Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สุขศึกษาต้น

สุขศึกษาต้น

Description: สุขศึกษาต้น

Search

Read the Text Version

5. เมือ่ จําเปนตองซอมหรือตรวจตราสายพานลําเลียงเพราะมีการทํางานผิดพลาด ตองปดสวิตซท ํางานกอ นทจี่ ะซอ มหรอื ตรวจตราสายพานลาํ เลยี งนัน้ การเชอื่ มโลหะ 1. ขณะทําการเชือ่ มดวยไฟฟาภายในอาคาร จะตองใชฉากกัน้ กําบังเพื่อเปนเครือ่ ง ปองกนั อันตรายแกผปู ฏิบตั ิงานคนอื่น หรอื ผูทอ่ี ยูใกลเคยี ง 2. ขณะทําการเชือ่ มหรือการตัดดวยกาซหรือไฟฟา ผูเ ชื่อมหรือตัดจะตองใชเครื่อง กําลังหนาที่เหมาะสม มีเลนสปองกันนัยนตาตามประเภทของการเชื่อมหรือการตัดนั้น และตองสวม ถงุ มอื หนงั ดว ย 3. จะตองมีเครื่องดับเพลิงประจําพื้นท่ี และพรอมทีจ่ ะใชไดเสมอในกรณีเกิด เพลิงไหม 4. เมือ่ จะใชเครื่องเชื่อมไฟฟา ผูท ําการเชือ่ มจะตองมัน่ ใจวาตนไมไดสัมผัสกับพื้นที่ เปยกช้ืน 5. หา มสวมถงุ มอื ทเี่ ปย กน้าํ มนั หรือจาระบีหยบิ จับเคร่ืองเชือ่ ม 6. ถังออกซิเจนและอะเซทิลีนจะตองมีการยึดใหแนน เพือ่ ปองกันการลม และจะตอง ไมวางทออะเซทิลีนนอนราบกับพื้นเปนอันขาด 7. ใหใชไกบังคับแรงเคลื่อน (Pressure Regulator) บังคับใหออกซิเจนและอะเซทิลีน ไหลไปยังไฟเชื่อมอยางสม่ําเสมอ 8. ในขณะทําการเปด ล้นิ ถงั ออกซิเจน หามผูปฏบิ ัติงานคนหน่ึงคนใดยืนอยูห นาเครือ่ ง บังคับออกซิเจน 9. หามทําการเชือ่ ม ตัดหรือบัดกรีใกลตัวถังหรือทีต่ ัวถัง หรือภาชนะอืน่ ทีเ่ คยใสวัตถุ ติดไฟหรือวัตถุทีเ่ กิดระเบิดได จนกวาจะไดทําการระบายอากาศ หรือลางถังหรือภาชนะเหลานั้นให สะอาดแลว 10. เม่อื ทาํ การเชอื่ มหรือเผาหรอื ใหความรอนกับตะกั่ว แคดเมียม วัตถุอาบสังกะสี หรือ วตั ถุอน่ื ใด รวมท้ังสารทีใ่ ชช วยในการเช่ือม จนทาํ ใหเ กดิ ควันขึ้น จะตองจัดใหมีระบบระบายอากาศ ที่ดีพอ เพือ่ ปองกันมิใหผูปฏิบัติงานสูดควันพิษทีเ่ ปนอันตรายเขาไป ถาหากไมสามารถทําการระบาย อากาศได จะตองสวมหนากากหรือเครื่องชวยหายใจที่ไดรับการรับรองแลวตลอดเวลาที่ปฏิบัติงาน 11. เมือ่ ทําการเชือ่ มในสถานทีอ่ ับอากาศจะตองมีการระบายอากาศออกอยางมี ประสิทธิภาพ 12. การเก็บรักษาถังออกซิเจนและถังอะเซทิลีนเปนจํานวนมาก จะตองแยกเก็บไว คนละแหง 144

13. การเชื่อมดวยไฟฟาหรือกาซใกลกับแบตเตอรี่ ตองยกแบตเตอรีใ่ หพนจากบริเวณ การเชอ่ื ม การพน สี 1. ดวงโคม พัดลมดูดอากาศและสายไฟในหองพนสี จะตองใชชนิดทีม่ ีความทนทาน ตอ ไอระเหยของสไี ดด ี 2. สวิตซดวงโคม เตาเสียบ หรืออุปกรณอื่น ๆ ที่อาจกอใหเกิดประกายไฟ จะตอง ไมต ดิ ตง้ั ไวภายในหองพน สี 3. หา มสูบบหุ ร่ี จุดไฟหรือทาํ ใหเกดิ ประกายไฟภายในหองพน สี 4. ในขณะทําการพนสีในหองพนสี ผูป ฏิบัติงานทุกคนจะตองสวมหนากาก หมวก เสื้อแขนยาวไมพับแขน ถุงมือ กางเกงขายาว และรองเทาหุมสน 5. ขณะที่กําลังทําการพนสี ทุกคนทีอ่ ยูในหองพนสีจะตองสวมหนากากแบบที่มี เคร่ืองกรอง หรือใชผา ปดปากและจมกู การทํางานเกย่ี วกับแบตเตอร่ี 1. หามสูบบหุ รี่ จุดไฟ หรือทําใหเกดิ ประกายไฟภายในหองอัดแบตเตอร่ี หรือในหอง เกบ็ แบตเตอร่ี เพอ่ื ปอ งกนั การระเบดิ ของกา ซไฮโดรเจน 2. เมือ่ จะปฏิบัติการใด ๆ เกีย่ วกับนํ้ากรด ผูป ฏิบัติงานจะตองสวมถุงมือยาง แวนตา นริ ภยั และผากนั เปอนทําดวยยาง 3. ในกรณีที่น้าํ กรดหกหรือกระเด็นถูกสวนหนึ่งสวนใดของรางกายใหใชน้าํ สะอาด ลางออกทันที แลวรีบไปพบแพทย 4. กอ นทาํ การตอหรอื ปลดสายขัว้ แบตเตอร่ี ตองแนใจวา ไดต ดั วงจรไฟฟาแลว 5. ในการยกหรือเคลื่อนยายแบตเตอรี่หรือกลองบรรจุแบตเตอรี่หามเอียงหรือตะแคง แบตเตอร่ี เพ่ือปองกนั การหกหรือกระเด็นของนาํ้ กรด 6. ขว้ั ของแบตเตอรข่ี นาดใหญค วรปด กน้ั ดว ยฉนวน เพอ่ื ปอ งกนั การลดั วงจร 7. ในการเคลือ่ นยายแบตเตอรี่ตองระมัดระวังไมใหแบตเตอรี่กระทบซึ่งกันและกัน หรือกระแทกกับส่งิ อื่นทอ่ี าจจะทาํ ใหแตกหรือราวได และหามวางแบตเตอร่ีซอนกนั โดยเด็ดขาด 145

การใชเ ครอ่ื งปอ งกนั นัยนตาและหู 1. เมือ่ ปฏิบัติงานในสถานทีท่ ี่อาจเกิดอันตรายกับนัยนตา จะตองสวมเครือ่ งปองกัน นยั นต าชนิดทไ่ี ดมาตรฐาน 2. ผูปฏิบัติงานทีท่ ํางานเกี่ยวกับการติดตั้งหรือซอมบํารุง และลักษณะงานเปนงานที่ กอใหเกิดประกายไฟฟา เศษวัตถกุ ระจาย จะตองสวมแวน นริ ภัยปอ งกนั นัยนต า 3. การปฏิบัติงานในทีท่ ีม่ ีเสียงดังมาก ๆ จนเปนอันตรายตอระบบการไดยินของ ผูป ฏิบัติงาน จะตองกําหนดใหผูป ฏิบัติงานทุกคนใชเครือ่ งปองกันอันตรายตอหูชนิดเสียบหรือชนิด ครอบดว ย 1.2 ความปลอดภยั ในการทาํ งานเกย่ี วกับไฟฟา กฎขอ บังคับทั่วไป 1. พนักงานทีท่ ํางานเกี่ยวกับการซอม ตอเติม ติดตัง้ อุปกรณไฟฟาตองสวมเสือ้ ผา ทีแ่ หงและสวมรองเทาพื้นยาง พรอมทั้งตัดกระแสไฟฟาที่มายังจุดที่ทํางานตลอดระยะเวลาทีท่ ํางาน เก่ียวกับไฟฟา 2. เคร่ืองมือทีใ่ ชก บั งานไฟฟา ชนดิ ใชมอื จบั ตอ งมีฉนวนซึ่งอยใู นสภาพดหี มุ ท่ดี า มจบั 3. ในกรณีที่มีการปฏิบัติงาน ตรวจสอบ ซอมแซม หรือติดตั้งไฟฟาที่เกี่ยวกับการผลิต ตอ งตดั สวติ ซตวั ทเ่ี กี่ยวขอ ง พรอ มลอ็ กกุญแจปอ งกนั การสับสวิตซ อปุ กรณแ ละเคร่ืองจกั รไฟฟา 1. มอเตอรทใี่ ชใ นบริเวณท่ีมวี ัตถไุ วไฟตอ งเปนชนดิ กันระเบดิ 2. หลอดไฟฟาหรือโคมไฟ ซึง่ ใชในบริเวณทีม่ ีวัตถุไวไฟ ตองเปนชนิดทีม่ ีฝาครอบ มิดชิด และมีตะแกรงโลหะหุม รอบนอกอีกชั้นหน่งึ 3. สวิตซไฟฟาในบริเวณที่มีวัตถุไวไฟตองเปนชนิดทีม่ ีกลองโลหะหุมมิดชิด และ เตาเสียบที่ใชต องเปนชนิดท่มี ีฝาปด 4. การติดตั้งสวิตซทุกตัวตองเลือกชนิดทีม่ ีอัตราทนกระแสสูงพอที่จะใชกับกระแส สงู สุดในวงจรทใี่ ชน ้นั ได 5. การติดตัง้ แผงสวิตซตองมีตูปดมิดชิด และตองตัง้ หางจากเครือ่ งจักรพอสมควร สวนทเ่ี ปน โลหะของแผงสวิตซต อ งตอลงดนิ 6. เมื่อใชอุปกรณไฟฟาทั้งหมดพรอมกันในวงจรแตละวงจร จะตองมีกระแสไฟฟา ไมเกินขนาดของกระแสไฟฟาสูงสุดที่ยอมใหใชกับไฟฟาของวงจรนั้น 146

7. การติดตั้งซอมแซม หรือแกไขดัดแปลงหมอแปลงไฟฟา ซึ่งแปลงไฟจาก ไฟฟา แรงสงู ต้ังแต 12,000 โวลตขึ้นไป ตองติดตอขอความชวยเหลือหรือขอคําแนะนําจากเจาหนาที่ของ การไฟฟาเสียกอ น 8. ตองมีการตรวจสอบ และทดสอบเครือ่ งกําเนิดไฟฟาฉุกเฉิน ใหอยูใ นสภาพที่ พรอ มจะใชงานไดอยางปลอดภยั อยูเ สมอ 9. หามพนักงานทํางานเกีย่ วกับหมอแปลงไฟฟาทีม่ ีความดันตัง้ แต 380 โวลตขึ้นไป กอนไดร ับอนญุ าตจากหวั หนา ฝายซอ มบาํ รุง 10. การซอมแซม ดัดแปลง หรือแกไขอุปกรณและเครือ่ งจักรไฟฟาเปนหนาที่ของ พนกั งานหนวยซอมบํารุงเทานั้น วธิ ปี องกนั อันตรายจากไฟฟาช็อต 1. ผปู ฏบิ ตั ิงานทเ่ี กย่ี วของกบั ไฟฟา ตองมีความรเู กี่ยวกบั ไฟฟา 2. เมอ่ื พบสิง่ ผิดปกตติ า ง ๆ เกดิ ขน้ึ กับสายไฟ ตอ งแจงใหผ บู งั คบั บัญชาทราบทนั ที 3. ในการปฏิบัติงานทเี่ ก่ียวของกับไฟฟา ตองใชผชู ํานาญงานเทา นน้ั 4. ตอ งปด ตสู วิตซไ ฟฟา เสมอ และจะตอ งไมม สี ิง่ กดี ขวางวางอยบู รเิ วณรูไ ฟฟา 5. ตอ งติดต้งั สายดินเสมอ 6. ตรวจสอบอุปกรณป อ งกนั ไฟฟาดูด ไฟฟา ร่วั กอนใชอุปกรณไฟฟา น้นั ๆ เสมอ 7. การเปดหรือปดระบบไฟฟา ตอ งแนใจกอนวา ปลอดภัยแลว 8. เมอื่ เลิกใชอุปกรณไฟฟา แลวใหเกบ็ เขา ที่เสมอ 9. ถาตองทํางานอยูใ กลระบบไฟฟา เชน มีสายไฟฟาอยูเหนือศีรษะตองระมัดระวัง อยาไปสมั ผัสถกู สายไฟฟาดงั กลา ว 10. หามทํางานโดยไมสวมชุดปองกันไฟฟาดูดโดยเด็ดขาด 1.3 ความปลอดภยั ในการทํางานกบั วัตถอุ นั ตราย วัตถุอนั ตราย วัตถุอันตราย หมายถึง วัตถุที่สามารถลุกไหมได ติดไฟได และระเบิดได วัตถุ อันตรายตาง ๆ เหลานี้ มักจะมีกฎหมายควบคุมเปนพิเศษ และมีขอบังคับเพื่อใหทํางานไดโดยปราศจาก อบุ ตั ิเหตุ 147

วตั ถุอนั ตราย แบง ออกไดเ ปน 1. สารระเบิดได สารเหลานีจ้ ะลุกติดไฟไดงายและระเบิดขึ้นเมือ่ มีความรอน มีการกระแทกหรือมี การเสยี ดสี สารระเบดิ ไดม ชี อ่ื เรยี กแตกตางกนั ไป ผทู ท่ี าํ งานกบั สารเหลา นคี้ วรจะจดจําชื่อสารเหลาน้ีให ไดและมีการติดปายวาเปนสารอันตราย หรือวัตถุอันตราย นอกจากนี้ยังควรรูถึงวิธีการใชสารเหลานี้ อยา งถกู ตอ งดวย 2. สารลุกไหมไ ด สารลุกไหมได เชน สารฟอสฟอรัสแดงและสารฟอสฟอรัสเหลืองสามารถลุกติด ไฟไดเองเมือ่ สัมผัสกับอากาศ ตัวอยางสารลุกไหมได เชน พวกคารไบด และสารประกอบโลหะของ โซเดยี ม ซ่ึงจะลุกตดิ ไฟไดเ ม่ือสมั ผัสกบั นํา้ 3. สารไวไฟ กาซไวไฟ เชน กาซถานหิน กาซอะเซทิลีน กาซโพรเพน ฯลฯ กาซเหลานี้มี คุณสมบัติไวไฟและยังสามารถระเบิดไดอีกดวยหากกาซเหลานีผ้ สมอยูใ นอากาศในสัดสวนทีพ่ อเหมาะ นอกจากนี้สารละลายไวไฟตาง ๆ เชน น้ํามัน ทินเนอร ก็ยังมีคุณสมบัติไวไฟและยังสามารถระเบิด อยา งรนุ แรงไดอ กี ดว ย สารเหลานี้จะกอใหเกิดอุบัติเหตุไดงายคามีการเคลือ่ นยายผิดวิธี ดังนัน้ ผูท ีท่ ําการ ขนยา ยจะตอ งรวู ธิ ขี นยายทถ่ี ูกตองดว ย อนั ตรายของวัตถุอนั ตราย 1. กาซคารบอนมอนอกไซด (Carbon Monoxide) กาซคารบอนมอนอกไซดเกิดจาการเผาไหมทีไ่ มสมบูรณ เกิดขึ้นไดทัง้ ในโรงงาน และในสถานท่ที ํางาน กาซคารบอนมอนอกไซดเปนกาซทีเ่ บากวากาซออกซิเจนเล็กนอย เปนกาซทีไ่ ม มีสี ไมมีกลิน่ และไมมีการกระตุน เตือนใด ๆ จึงเปนกาซทีอ่ ันตรายตอรางกาย เพราะกาซนีจ้ ะทําใหเม็ด เลอื ดขนถา ยออกซเิ จนนอ ยลง เปน เหตใุ หเ กดิ อาการขาดออกซเิ จน (Suffocation) ได เม่ือตองทํางานในสถานที่ท่ีมกี า ซคารบ อนมอนนอกไซด ควรปฏบิ ตั ดิ งั น้ี 1. กอนเริม่ งาน ตองตรวจดูความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดดวย เครอ่ื งตรวจวัดกา ซกอน 2. ใหระบายอากาศออกจนกวาความหนาแนนของกาซคารบอนไดออกไซดจะ ต่ํากวา 50 ppm (0.005%) 148

3. ตองสวมใสหนากากกรองที่เหมาะสม 4. ถาความหนาแนนของกาซคารบอนมอนอกไซดสูง หรือความเขมขนของ ออกซิเจนตํ่า ใหใ ชเคร่ืองชว ยหายใจ หรอื หนา กากแบบมอี ากาศเสรมิ 2. สารละลายอินทรีย (Organic Solvents) มีสารละลายอินทรียเปนจํานวนมากที่ใชในสถานทีท่ ํางานและบานพักอาศัย สารละลายอินทรียเหลานี้สามารถแทรกซึมเขาสูร างการไดหลายทางทั้งทางระบบหายใจในรูปของ ไอระเหย เพราะเปนสารที่สามารถระเหยไดในอุณหภูมิปกติ และแพรผานผิวหนังไดเพราะเปนตัวทํา ละลายไขมันนอกจากนีย้ ังอาจทําใหหมอสติได เพราะจะไปรบกวนการทํางานของระบบประสาท สว นกลาง ดังนั้นจึงจําเปนอยางยิง่ ทีจ่ ะตองรูค ุณสมบัติของสารละลายอินทรียทีจ่ ะใชเหลานัน้ และจะตอ งใชอยา งถูกตองเพอ่ื ใหเ กิดอนั ตรายนอ ยที่สดุ วิธีปฏิบตั ิงานกับสารละลายอินทรียอ ยางปลอดภยั 1. ระวงั อยา ใหสารละลายอนิ ทรียหก 2. ปดฝาภาชนะบรรจุสารละลายอินทรียเสมอ 3. ไมลางมือดวยสารละลายอินทรีย 4. ตรวจตราระบบระบายอากาศอยเู สมอ อยา ใหม สี ง่ิ ใดไปขดั ขางทางระบายอากาศ 5. หามใชส ารละลายอินทรยี ใกลบ ริเวณที่มไี ฟหรือบรเิ วณท่อี าจเกิดประกายไฟ 6. สวมใสอุปกรณปองกันที่เหมาะสมเสมอขณะใชสารละลายอินทรีย 7. ตองใชระบบระบายอากาศเสมอในขณะใชสารละลายอินทรีย 8. หลีกเลี่ยงการสัมผัสไอระเหยของสารละลายใหมากที่สุดเทาที่จะทําได 3. ฝนุ ปกติโรคปอดท่เี กิดจากฝุนทหี่ ายใจเขาไปจะมีชื่อเรียกวา โรคปอดฝุนหรือนิวโมโค นิซิส (Pneumoconiosis) ฝุนที่สูดดมเขามาจะฝงตัวอยูในปอดและปอดไมสามารถขจัดสิง่ แปลกปลอม เหลานี้ได เมือ่ มีการสะสมมากขึน้ ปอดจะรูส ึกแนนอึดอัด ทําใหหายใจไมออก วิธีแกไขที่ดีทีส่ ุด คือ การปองกันโรคนีไ้ วกอน โดยปรับปรุงสภาพแวดลอมในบริเวณทีท่ ํางานและปรับเปลีย่ นวิธีการทํางาน เชน การขจัดฝนุ ในสถานท่ีทาํ งาน หรอื การสวมใสห นากากปองกนั ฝุน 149

วิธใี ชหนากากปอ งกันฝุนอยา งถกู วิธี 1. หนากากควรกระชับกับใบหนา ซึง่ ฝุน จะไมสามารถแทรกเขาไประหวางรอง ของหนากากกับใบหนาได 2. แมสภาพของสถานทีท่ ํางานโดยทั่วไปจะสะอาด แตอาจจะมีฝุน ขนาดเล็กอยู ได จึงควรสวมหนากากปองกันฝุนไว ถาบริเวณนั้นมีฝุน ขนาดเล็กอยูไ ด จึงควรสวมหนากากปองกัน ฝนุ ไว ถาบริเวณนั้นมฝี ุนอยู 3. หามสวมหนากากกรองฝุนในบรเิ วณทีอ่ บั อากาศ หรือบริเวณทีม่ กี า ซพิษ 4. ควรเก็บรักษาหนากากไวในที่ที่อากาศถายเทดี และเก็บอยางถูกหลักวิธี รวมท้งั ควรเปลีย่ นไสกรองเมือ่ จําเปน 5. หนา กากกนั ฝุน โดยท่ัวไปจะใชส ําหรับงานชั่วคราวเทานั้น 4. สารเคมีจําเพาะ สารเคมีจําเพาะจะถูกจัดเปนสารเคมีอันตราย เพราะจะกอใหเกิดอันตรายตอ สุขภาพรางกาย เชน กอใหเกิดโรคมะเร็งจากการทํางาน โรงผิวหนัง ระบบประสาทเสือ่ ม ฯลฯ ปจจุบันมีการใชสารเคมีอยูอยางกวางขวางในงานอุตสาหกรรมจึงตองระมัดระวังเปนอยางยิง่ การปองกันอันตรายจากการใชสารเคมีจําเพาะ 1. อยาทําหกหรือกระเดน็ ลงบนพ้ืน 2. กอนเริม่ ทํางานตองสวมอุปกรณปองกันอันตรายสวนบุคคลหรือติดตั้งระบบ ระบายอากาศทั่วไปในที่ทํางานแลว 3. จัดการปฏิบัติงานใหเปนไปตามระเบียบขอบังคับของกฎหมาย 4. เมือ่ ตองการขนยายหรือเก็บสารเคมีเหลาน้ัน จะตองบรรจุลงภาชนะท่ีเหมาะสม ใหเ รยี บรอย 5. หา มสบู บหุ ร่ี รบั ประทานอาหาร หรอื ดม่ื นาํ้ ในขณะทก่ี าํ ลงั ทาํ งานกบั สารเคมี 6. หามสมั ผสั เสอ้ื ผาทเ่ี ปอ นสารเคมี 7. จัดใหมีการสวมชุดปองกันหรืออุปกรณปองกันอันตรายจากสารเคมี 8. หามนําสารเคมีนี้ออกไปหรือเขา ไปยังหนว ยงานอืน่ โดยไมไ ดร บั อนญุ าต 9. เสื้อผาทีส่ วมใสขณะทํางานยอมมีสารเคมีปนเปอน จึงควรที่จะชําระลาง รางกายเปลี่ยนเสื้อผาใหม กอนทีจ่ ะรับประทานอาหารหรือกอนกลับบาน และนําเสื้อผาที่ใสทํางานนัน้ ไปซักหรือทําความสะอาดทันที 150

5. สภาพไรอากาศหรอื อบั อากาศ อุบัติเหตุจากการขาดอากาศหายใจมักเกิดขึ้นไดในบริเวณที่เปนใตถุนอาคาร ถัง หรือบริเวณอโุ มงคข ดุ เจาะ ฯลฯ อาการขาดอากาศมีผลโดยตรงตอการทํางานของสมอง และบอยอครั้งทีน่ ําไปสู ความสญู เสียอยางใหญหลวง ทั้งนเ้ี พราะการอยูในที่แคบหรืออับอากาศซึง่ มักไมคอยมีคนไดเขาไปบอยนัก ก็ยากท่ีจะพบหรอื ชว ยชีวติ ไดท ันหากมอี ุบตั ิเหตุเกิดขึน้ วธิ ีปองกันการขาดอากาศหายใจมดี งั นี้ 1. ตรวจสอบความหนาแนนของออกซิเจนกอนลงมือปฏิบัติงาน 2. จัดระบบระบายอากาศที่เหมาะสม 3. มีการปฐมพยาบาลอยางถูกตองและเหมาะสม ขอ พงึ ปฏิบตั ิเมอื่ ตองทํางานในบรเิ วณทมี่ ีสภาพไรอ ากาศหรอื อบั อากาศ 1. กอนเขาบริเวณอันตรายทีม่ ีออกซิเจนนอยหรือออกซิเจนใกลหมด เชน ในบอ หรือถัง จําเปนตองจัดใหมีระบบระบายอากาศทีด่ ี (อยางไรก็ตามก็เปนอันตรายมากเชนกัน ถาใช ออกซิเจนบรสิ ทุ ธ์ิอยางเดียว) ความหนาแนนของออกซิเจนที่เหมาะสมคือ ไมนอยกวา 18% 2. หา มเขาไปในบรเิ วณทม่ี ีสภาพขาดออกซเิ จน ยกเวน ผมู ีหนาทเ่ี ก่ยี วของเทา นัน้ 3. ผูจะเขาไปในบริเวณอับอากาศ ตองมีการเฝาดูและติดตามโดยหัวหนางาน หรอื เพ่ือนรวมงาน และระบบระบายอากาศจะตองจัดใหมีออกซิเจนอยางนอย 18% ดว ย 4. ถาลักษณะงานไมสามารถจัดระบบระบายอากาศได ใหใชอุปกรณชวยหายใจ ที่เหมาะสม เชน เครื่องกรองอากาศ หรือระบบสายลม 5. ถาสภาพทท่ี าํ งานน้ันขาดอากาศมาก ๆ ใหส วมใสอปุ กรณน ิรภยั เชน หนากาก เขม็ ขดั นริ ภัย หรอื สายสง อากาศในขณะท่ปี ฏิบตั งิ านอยูในบรเิ วณน้นั 6. ตรวจสอบอุปกรณป องกนั ทกุ คร้ังกอนเริม่ ทาํ งาน 7. ถาไดรับอุบัติเหตุจะขาดอากาศหายใจ ผูทําการชวยเหลือจะตองสวมใส อุปกรณชวยหายใจที่มีระบบระบายอากาศที่ดี ดังอธิบายไวในขอ 4. ขางตน (หนากากปองกันกาซไมได จัดไวสําหรับกรณีขาดอากาศ ควรขนยายผูป วยออกไปสูท ีโ่ ลงโดยเร็วที่สุด และชวยหายใจดวยการ เปาปาก ฯลฯ ) การจัดใหมีระบบระบายอากาศ เพือ่ สุขภาพที่ดีควรจัดใหมีระบบระบายอากาศทีเ่ หมาะสมในสถานประกอบการ จาํ เปนอยา งยิ่งทจ่ี ะตองจัดระบบระบายอากาศในสถานประกอบการที่มีอุณหภูมิและความรอนสูง หรือมี กาซหรือไอทีเ่ กดิ ข้ึนจากตวั ทาํ ละลายอนิ ทรียหรือสารอืน่ ๆ การปลอยปละละเลยที่จะจัดทําระบบระบาย 151

อากาศจะเปนสาเหตุทีก่ อใหเกิดอาการปวดศีรษะและวิงเวียนศีรษะได และปญหาทีจ่ ะตามมาก็คือความ เจ็บปว ยตา ง ๆ ที่มีสาเหตุจากสารเคมีอันตราย การเปดหนาตางหรือประตูนัน้ เปนการถายเทอากาศทัว่ ไปตามปกติ การติดตัง้ ระบบระบายอากาศเฉพาะที่หรือในตําแหนงทีจ่ ําเปนนัน้ ควรติดตัง้ ใหเหมาะสมกับลักษณะของสารเคมี อนั ตรายท่ีจะตอ งใช แตค วรตระหนักไวว า ในบางครัง้ การเปดหนาตางอาจใหผลที่ตรงขามกันก็ได 1.4 ความปลอดภยั ในการทํางานกับผลิตภัณฑเ คมี ขอพงึ ปฏบิ ัตทิ ่ัวไปในการทํางานกับผลติ ภัณฑเ คมี 1. กอนปฏิบตั งิ านตองทราบถึงชนิดของผลิตภณั ฑและอนั ตรายทีอ่ าจเกิดขึ้น ถาสงสัย ใหปรกึ ษาผูบ งั คบั บัญชาที่เกยี่ วขอ ง 2. กอนขนยายผลิตภัณฑตองสังเกตวาหีบหอไมแตกหรือบุบสลายซึ่งอาจจะทําให หกหลน สภู ายนอกได 3. หลีกเลีย่ งการสัมผัสกบั ผลติ ภณั ฑโดยตรง ใหสวมเครอ่ื งปอ งกนั เชน ถุงมอื เสื้อคลุม เครอ่ื งกรองอากาศ หมวก แวนตา ฯลฯ 4. หามรับประทานอาหาร เครื่องดื่ม หรือสบู บุหร่ีในขณะปฏิบัติงาน 5. ขณะปฏิบัติงานหามใชมือขยีต้ า หรือใชมือสัมผัสกับปากจนกวาจะลางมือให สะอาดเสยี กอ น 6. กอนรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ หรือเขาหองสุขา ตองถอดอุปกรณปองกัน อนั ตรายและลางมือใหสะอาดเสียกอน 7. หามผทู ่ไี มม หี นาท่ีเก่ยี วของปฏบิ ตั งิ านเก่ียวกับผลิตภัณฑเคมี 8. หากเกดิ อุบตั เิ หตุ ภาชนะบรรจุผลติ ภัณฑแ ตกเสียหาย ตองรีบรายงานผูบ ังคับบัญชา ที่รับผดิ ชอบทันที หรือจดั การเก็บกวาด เช็ดถบู รเิ วณใหสะอาดตามวิธีทก่ี ําหนด ไมควรปลอยทง้ิ ไว 9. ในขณะปฏิบัติงานหากพบวา มีการเจ็บปวย หรือวิงเวียนศีรษะใหหยุดปฏิบัติงาน ทนั ที พรอ มทัง้ รายงานใหผ ูบังคับบญั ชาผูรับผิดชอบทราบ หรือทําการปฐมพยาบาลอยางถูกตองแลวรีบ นําไปพบแพทยพรอ มนาํ ฉลากหรอื ผลิตภัณฑไ ปดวย 10. อุปกรณปองกันอันตรายทีใ่ ชแลวตองทําความสะอาดหรือทําลายทิง้ ตามคําแนะนํา ทไ่ี ดก าํ หนดไว 11. เมือ่ เสร็จสิน้ การปฏิบัติงานแตละครัง้ ตองลางมือ อาบน้าํ และผลัดเปลีย่ นเสือ้ ผา ทีส่ ะอาด 152

ความปลอดภยั ในการใชผลิตภณั ฑเ คมใี นการผลิต 1. พนักงานตองอานคําแนะนําขางกลองบรรจุผลิตภัณฑเคมีทุกชนิดใหละเอียดกอน ที่จะนําเขาโรงงานผลิต 2. กลอ งผลิตภณั ฑเ คมีทกุ กลองท่ีนําเขาโรงงานผลติ ตองอยูในสภาพดไี มแตกรัว่ 3. พนักงานตองสวมถุงมือ เสือ้ คลุมแขนยาว หนากาก รองเทาหุมสน กอนเปด กลองสารเคมีที่จะนํามาใชในการผลิต 4. ตองระมัดระวังเปนพิเศษในการบรรจุผลิตภัณฑเคมี พยายามใหฝุน หรือละออง ของสารเคมปี ลิวกระจายนอยท่ีสุด 5. กลองเปลาของผลิตภัณฑเคมี หลังจากใชแลวตองนําไปเก็บรวมกันในที่มิดชิด (หากจําเปน ตอ งมกี ญุ แจปด ) กอ นนาํ ไปทําลาย เผาทิ้งหรือฝงดิน 6. หลังจากท่พี นักงานทํางานเรียบรอยแลว ใหล างมือ ลางหนาหรอื อาบนํา้ และเปลี่ยน เส้อื ผา ใหมกอนรับประทานอาหารหรือสูบบุหรี่ 7. หา มสูบบุหร่ขี ณะปฏบิ ัติงาน 8. หามรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มในบริเวณโรงงานผลิตหรือโรงงานบรรจุ ความปลอดภยั ในการเก็บผลติ ภณั ฑเ คมใี นคลงั พัสดุ 1. พนกั งานตอ งอานฉลากผลติ ภัณฑเ คมที กุ คร้ังกอนทาํ การเกบ็ เขาคลังพสั ดุ 2. ผลิตภัณฑเคมีบางอยางตองเก็บในที่แหง สะอาด มีอากาศถายเทดี และมีอุณหภูมิ ไมเ กนิ 46 C 3. ผลิตภัณฑเคมีตองเก็บใหหางจากอาหารและภาชนะบรรจุอาหาร 4. ไมควรเก็บผลิตภณั ฑเ คมีวางซอนกนั สงู เกนิ กวา 5 เมตร 5. หามสูบบุหรี่ในคลังพสั ดุ ยกเวนบริเวณทก่ี าํ หนดให 6. พนักงานตองสวมถุงมือ หนากาก รองเทาและเสื้อแขนยาวขณะปฏิบัติงานซึ่งสัมผัส กับสารเคมีโดยตรง 7. ผลิตภัณฑเคมีที่ตกหลนตามพื้นใหกวาดเก็บใสถังอยางระมัดระวังเพือ่ นําไปทําลาย หรือฝงดินในบริเวณทีก่ ําหนด ถาเปนผลิตภัณฑชนิดเหลวใหใชทรายแหงกลบแลวกวาดเก็บไปฝงดิน หา มลา งดว ยนา้ํ 8. ผลติ ภณั ฑเคมที ุกชนดิ ตอ งปดฉลากทุกกลอ งกอ นนาํ เขา เก็บในคลังพสั ดุ 9. คลงั เกบ็ ผลิตภัณฑเ คมี ตองปดกุญแจหลงั จากเลิกงาน 153

การเกดิ ไอเคมไี วไฟ การเกิดไอเคมีไวไฟในโรงงาน หมายถึง การปลอยไอเคมีไวไฟจํานวนมาก ซึ่งอาจลุก ติดไฟ หรือระเบิดเมื่อมีแหลงที่กอใหเกิดประกายไฟ หรืออาจเกิดจากการลุกไหมของสารเคมีหรือกาซ ท่ีมจี ดุ วาบไฟ (Flash Point) ตาํ่ และมีชวงไวไฟกวาง จุดวาบไฟ (Flash Point) ของสารเคมีเหลว คือ อุณหภูมิต่าํ สุดที่สารเคมีนัน้ จะให ไอเคมีที่สามารถผสมกับอากาศเปนสวนผสมที่พรอมจะลุกไหมเมื่อมีแหลงเกิดประกายไฟ ชวงไวไฟ (Flammability Limit) คือ ชวงระหวางความเขมขนต่าํ สุด และสูงสุดของ ไอเคมีในอากาศซึ่งจะเกิดการลกุ ไหมไดเ มื่อมแี หลงเกิดประกายไฟ สวนผสมของไอเคมีและอากาศทีต่ ่าํ กวาชวงไวไฟน้ีจะเจอื จางเกนิ ไปทีจ่ ะลุกไหมไ ด และในทํานองเดยี วกันสวนผสมทีส่ ูงกวาชวงไวไฟนีจ้ ะ เขมขนเกินไปที่จะตดิ ไฟ เมือ่ เกิดกลุมไอเคมีจํานวนมาก หามพนักงานเขาไปในบริเวณทีเ่ กิดไอเคมีนัน้ ควรรับ แจงหนวยดับเพลิงประจําโรงงานเตรียมพรอมเพื่อทําการชวยเหลือทันที วธิ ปี ฏบิ ตั ิเมือ่ เกดิ กลมุ ไอเคมี 1. ปลอดภัยไวกอน เมือ่ พบไอเคมีจํานวนมากไมวาจะเกิดจากการหกราดบนพืน้ หรือเกิดจากการรัว่ จากทอสงเคมีหรือจากถังเคมีตาง ๆ หากมีขอสงสัยใหสมมุติไวกอนวากําลังเกิดกลุม ไอเคมีไวไฟ อยาเสียเวลาไปหาเครื่องวัดประมาณไอเคมี เพราะกวาจะรู ประมาณไอและอากาศก็มีมาก เพียงพอท่จี ะลุกไหมห รอื ระเบดิ ได และกเ็ ปน เวลาทท่ี า นไดเขา ไปอยูใ นกลมุ ไอเคมไี วไฟเสียแลว 2. ออกไปใหพนจากบริเวณทีเ่ กิดกลุม ไอเคมีไวไฟทันที และรับแจงใหหัวหนางาน หรือผูจ ดั การทราบ 3. ใหใชนาํ้ ฉดี เปนฝอยเพ่ือไลไอเคมี โดยใชห ัวฉีดน้าํ จากตูดับเพลิงในกรณีที่เกิดกลุม ไอเคมีไวไฟบริเวณรีแอกเตอร ใหเปดวาลวน้าํ ปลอยน้ําจากหัวฝกบัวซึ่งติดตั้งอยูเหนือรีแอกเตอรเพื่อ ไลไ อเคมี 4. หากกลุม ไอเคมีไวไฟกําลังลุกติดไฟใหฉีดน้าํ หลอเครือ่ งมือเครือ่ งใชหรือถังตาง ๆ ที่อยูรอบ ๆ บริเวณนัน้ เพือ่ ปองกันการลุกลามขยายตัวของไฟและการระเบิด อยาพยายามเขาไปดับไฟ ทีจ่ ุดลุกไหม แตใหหาแหลงทีม่ าของไอเคมีและจัดการกําจัดตนตอของการเกิดไอเสียกอนโดยไมตอง เขาไปในกลุมไอเคมี แลวจึงเขาทําการดับไฟ 154

1.4 ความปลอดภยั เก่ยี วกับอัคคภี ยั การปองกนั อคั คีภยั ในบรเิ วณโรงงาน พนักงานทุกคนจะตอ งปฏบิ ตั ดิ ังนี้ 1. รูจ ักคุณสมบัติเครือ่ งดับเพลิงทุกชนิดที่ใชอยูใ นโรงงาน และสามารถนํามาใชงาน ไดท นั ที และเหมาะสมกับลักษณะของไฟเมอ่ื ตอ งการ 2. หามนําเครื่องดับเพลงิ มาฉีดเลน หรือหยอกลอกนั 3. ใหความสนใจกับเครือ่ งมือดับเพลิงในแผนก และจะตองมีการตรวจสอบสภาพ ของเครือ่ งดับเพลิงอยูเ สมอ เมือ่ พบหรือสงสัยวาเครื่องดับเพลิงเครือ่ งใดอยูในสภาพชํารุดหรือน้ําหนัก พรองไป ใหรายงานผูบังคับบัญชาตามลําดับชั้นทันที 4. จะตองไมติดตัง้ หรือวางเครือ่ งจักรหรือสิง่ ของใด ๆ เอาไวในตําแหนงซึ่งจะเปน อปุ สรรคหรือกีดขวางการนําเครื่องดับเพลิงมาใชโดยสะดวก 5. วัตถุซึง่ ไวไฟหรือน้าํ มันเชือ้ เพลิงชนิดบรรจุถัง เมื่อนํามาใชแลวจะตองปดฝาให สนิทและที่ภาชนะบรรจุควรจะมีเครื่องหมายแสดงวาเปนสารไวไฟ 6. หา มนํานํา้ มันเชือ้ เพลิง หรือเคมภี ัณฑไ วไฟใด ๆ ไปใชในการซกั ลา งเสอ้ื ผา 7. พนักงานทุกคนจะตองทําความเขาใจกับวิธีปฏิบัติเมื่อเกิดเพลิงไหม พนักงานทุกคน จะตองใหความรวมมือในการซอมภาคปฏิบัติโดยพรอมเพรียงกัน 8. ไมวาเพลิงจะเกิดจากอะไรก็ตาม หากเกิดขึ้นใกลกับสายไฟฟา เครือ่ งมือเครื่องใช หรือแผงสวติ ซไ ฟฟา ใหป ลดสะพานไฟตัดวงจรไฟฟาทันที เม่ือเกดิ เพลงิ ไหม 1. เมื่อเกิดเพลิงไหมขึ้นในบริเวณที่ทํางาน จงอยาตื่นตระหนกจนเสียขวัญ พยายาม รกั ษาขวัญและกาํ ลังใจไวใ หม น่ั การตื่นตระหนกจนเสยี ขวัญอาจทําใหเหตกุ ารณเลวรา ยลงอีก 2. รีบแจงใหเพื่อนรวมงานทุกคนในบริเวณเพลิงไหมและหนวยดับเพลิงทราบ เพื่อ ดําเนินการดับเพลิงและแจงเหตุเพลิงไหมไปยังหนวยดับเพลิงของราชการ 3. พนักงานผูไ มม ีหนาทเี่ กีย่ วของกบั การดับเพลงิ ตอ งรีบออกจากตัวอาคารโดยเร็วตาม แผนอพยพหนีไฟ และไปรวมกันทีบ่ ริเวณหนาประตูทางเขาโรงงาน เพื่อรอคําสัง่ จากผูป ระสานงาน ดบั เพลงิ ตอไป 4. พนักงานที่ไดรับมอบหมายใหเปนหนวยดับเพลิงโรงงาน จะตองเตรียมหัวฉีดสาย ดบั เพลิง เพ่อื ตอเขา กบั ขอ ตอทอนํา้ ดับเพลิงและอยูในสภาพเตรียมพรอมโดยเร็วที่สุด ในกรณีทีเ่ พลิงอยู ในตาํ แหนงท่ีหัวฉีดใหญจะฉดี มาถึง อาจไมจ ําเปนตองใชทอ ดับเพลิงและหัวเลก็ ฉีดตอ ท้ังนี้ใหข้ึนอยูกับ ดุลยพินิจของหนวยดับเพลิงโรงงาน 155

การปองกันอคั คีภยั ในสาํ นักงาน 1. พนักงานทุกคนจะตองทราบขอ บังคบั เก่ยี วกับความปลอดภยั ในสํานกั งานเปนอยา งดี 2. พนกั งานทุกคนควรฝก ใชเ คร่อื งดบั เพลงิ ใหเ ปน 3. พนักงานทุกคนตองปฏิบัติตามกฎขอบังคับความปลอดภัยในสํานักงานโดย เครง ครัด เชน หา มสูบบหุ ร่ใี นบรเิ วณหามสูบ 4. บริษัทอาจจัดใหมีการซอมดับเพลิงเมื่อเกิดเพลิงไหมหรือกรณีฉุกเฉิน ณ สํานักงาน รว มกบั เจา หนาที่ของทางราชการ พนักงานทุกคนจะตองใหความรวมมือในการซอมโดยพรอมเพรียงกัน 5. หามวางสิ่งของกีดขวางทางออกฉุกเฉิน เมื่อเกดิ เพลงิ ไหม 1. ใหพนักงานที่พบเพลิงไหมรีบดับเพลิงตามความสามารถทันทีหากเห็นวาไม สามารถดับเพลิงดว ยตนเองได ใหร ีบแจงผปู ระสานงานดับเพลิงทราบทันที 2. ผูป ระสานงานจะแจงใหเ จาหนาทบ่ี ริหารของบริษัททราบ และเปด สญั ญาณเพลิงไหม 3. เมื่อมีสัญญาณเพลิงไหมใหพนักงานทุกคนหยุดปฏิบัติงานทันทีและจัดเก็บเอกสาร ทีส่ าํ คัญพรอ มทั้งของมคี าไวในท่ปี ลอดภัย แลว รับออกจากบริเวณท่ีทํางานในทิศทางตรงขามกับบริเวณ เกดิ เพลิงไหม 4. การออกจากอาคาร หามวิ่งและหามใชลิฟตโดยเด็ดขาด 5. ใหพนักงานที่ออกจากอาคารแลวทุกคนไปรวมกันในบริเวณที่จอดรถอาคารเพื่อ ตรวจสอบจํานวนและรอรับคําสั่งจากผูประสานงานตอไป 1.5 ความปลอดภัยในสาํ นกั งาน พื้นสาํ นกั งาน - ทางเดนิ - ประตู 1. ควรใหพื้นสํานักงานมีความสะอาดอยูเสมอ 2. พื้นสํานักงานควรอยูใ นแนวระดับราบไมลาดเอียงหรืออยูต างระดับกัน หากไม สามารถหลกี เล่ียงได ใหใชส ีสันแสดงใหเ ห็นชดั เจน 3. ใหใชวัสดุกนั ล่ืนปทู ับบนกระเบือ้ งหรือพืน้ ขัดมนั ทลี่ ื่น 4. ในขณะปฏิบัติงาน หามวง่ิ หรอื ทําการล่นื ไถลแทนการเดิน 5. ในขณะที่มีการขัดหรือทําความสะอาดพืน้ ผูป ฏิบัติงานควรสังเกตปายคําเตือนและ เดินหรือปฏิบัติงานดวยความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น 6. ในกรณที ่ีมนี ้ํา นาํ้ มนั หรือสิง่ ท่ีทําใหเกิดการล่ืนบนพื้นสํานักงานใหแจงเจาหนาท่ี ท่รี บั ผดิ ชอบโดยทนั ที โดยกอ นแจง ใหแ สดงเครอ่ื งหมายเตอื นไวด ว ย 156

7. ในกรณีทีพ่ บเห็นวัสดุหรือเครื่องใชสํานักงาน เชน ดินสอ ทีห่ นีบกระดาษ ยางลบ หรือสง่ิ อืน่ ใดตกหลนอยูบนพืน้ ใหเก็บโดยทนั ทเี พราะอาจเปนสาเหตุใหล่ืนหกลมได 8. ในขณะเดินถึงมุมตึกใหเ ดนิ ทางดานขวาของทางเดิน และเดินอยางชา ๆ ดวยความ ระมัดระวัง เพือ่ หลกี เลย่ี งการชนกบั ผูอนื่ ซึ่งกาํ ลงั เดินมาจากอีกมุมหน่ึง 9. ควรตดิ ตั้งกระจกเงาทํามุมในบริเวณมมุ อบั ทอ่ี าจเกดิ อบุ ตั เิ หตไุ ดง าย 10. สายโทรศัพท สายเครื่องคิดเลข หรือสายไฟฟา ควรติดตัง้ ใหเรียบรอย เพื่อไมให กีดขวางทางเดิน 11. อยายืนหรือเดินใกลบริเวณประตูทีป่ ดอยู เพราะบุคคลอื่นอาจจะเปดประตูมา กระแทกได 12. เมื่อจะผานเขาออกบังตา หรือเปดปดประตูบานกระจก ควรเขาออกหรือเปดปด ดวยความระมัดระวังอยางชา ๆ และในการใชบังตาหรือประตูที่เปดปดสองบาน ใหใชบังตาหรือบาน ประตูทางดานขวา 13. บังตาหรือประตูบานกระจกที่เปดปดสองทาง ใหติดเครื่องหมาย “ดึง” หรือ “ผลัก” ใหช ดั เจน 14. ไมค วรจัดเก็บวัสดอุ ปุ กรณสิง่ ของตาง ๆ หรือปลอยใหมีสิ่งกีดขวางบริเวณทางเดิน หรือชองประตู การใชบนั ได การใชบันไดอยางปลอดภัย 1. กอ นขึน้ หรอื ลงบันได ควรสงั เกตสิง่ ท่ีอาจกอใหเ กดิ อนั ตรายข้ึนได 2. ถาบริเวณบันไดมีแสงสวางไมเพียงพอ หรือราวบันไดหรือขั้นบันไดชํารุด ใหแจง เจาหนา ที่เพื่อทําการแกไขใหเ รียบรอ ย 3. อยาปลอ ยใหม ีเศษวสั ดุชิน้ เล็กชิ้นนอ ยตกอยูตามขนั้ บันได เชน เศษกรวด เศษแกว ฯลฯ 4. ไมควรติดตั้งสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ เชน กระจกเงา ภาพโปสเตอร เครือ่ งประดับ ตกแตงตา ง ๆ ไวบ รเิ วณบันได 5. ควรจดั ใหมพี รมหรอื ท่ีเช็ดเทา บรเิ วณเชงิ บันได เพ่อื ความปลอดภัย 6. อยาวง่ิ ขน้ึ หรือลงบันได ควรขน้ึ ลงดว ยความระมดั ระวงั 7. หา มเลน หรอื หยอกลอ กันในขณะข้ึนหรอื ลงบนั ได 8. การขึ้นลงบันได ใหขึ้นลงทางดานขวาและจับราวบันไดทุกครั้ง 9. อยาปลอยราวบันไดจนกวาจะมีการขึ้นหรือลงบนั ไดเปนท่ีเรียบรอ ยแลว 157

10. ในขณะขนึ้ หรอื ลงบันได ใหใชสายตามองขัน้ บนั ไดทจ่ี ะกา วตอ ไปและหามกระทํา ส่งิ ใด ๆ ในลักษณะทจ่ี ะกอใหเ กิดอันตราย เชน การอา นหนงั สอื หรอื คนสิง่ ของในกระเปาถือ เปน ตน 11. อยาขึ้นหรอื ลงบันไดเปน กลมุ ใหญใ นเวลาเดียวกัน การใชบ ันไดพาดและบนั ไดยนื อยา งปลอดภยั 1. กอ นใชบ นั ไดพาดหรอื บนั ไดยืน ตองตรวจสอบความแข็งแรงโดยทั่วไป ตองแนใจ วา ไมมรี อยหกั รอยราว และมยี างกนั ลืน่ 2. เมื่อใชบันไดพาดกับผนัง ตองพาดใหไดประมาณ 70 องศาและควรสูงกวาจุดทีจ่ ะ ทํางานอยางนอย 60 เซนตเิ มตร 3. ถาเปนไปได ควรยึดหัวและทายของบันไดดวยเชือก แตถาทําไมไดควรใหคนอืน่ ชวยใชมอื จบั ยึดให 4. พน้ื วางบันไดตอ งเรียบ และปราศจากหลุม บอ หรอื โหนกนนู 5. ขณะปนบันไดขึ้นหรือลงใหมองไปขางหนาและไมทํางานบนบันไดดวยทาทางที่ ไมเหมาะสม 6. กรณีมีแผนรองยืนบนบันไดยืน ขาของบันไดตองหางกันไมเกิน 1.8 เมตร และ แผน รองยนื ตอ งสูงไมเ กิน 2 เมตร 7. บนั ไดยนื ตอ งมีตวั ลอ็ กขาท่กี างไวด ว ย 8. ถา ใชบนั ไดยืนในจุดท่ีไมแนใจวา จะมคี วามปลอดภัยเพียงพอตองมีผูชวยคอยยึดจับ บนั ไดนน้ั ไว 9. อยา ยืนบนแผนรองยนื เม่ือตอ งอยูสงู เกิน 1.2 เมตร โตะ ทาํ งาน - เกา อ้ี - ตู 1. ตลอดเวลาการทํางานไมควรปดลิน้ ชักโตะ ลิน้ ชักตูเ อกสาร หรือตูอ ื่นใดคางไว ให ปดทุกครั้งที่ไมใชงาน 2. หา มวางพัสดุ ส่งิ ของ หรอื กลอ งใตโตะ ทํางาน 3. หามเอนหรือพงิ พนกั เกา อี้ โดยใหร ับนาํ้ หนักเพยี งขา งใดขางหน่งึ 4. ใหมีพืน้ ที่เคลอื่ นยา ยเกาอ้ี สาํ หรับการเขาออกที่สะดวก 5. หามวางพัสดุ สิ่งของตาง ๆ บนหลังตูเพราะอาจตกหลนลงมาเปนอันตราย 6. อยา เปด ลิน้ ชักตูเอกสารในเวลาเดียวกนั เกินกวาหนง่ึ ลิ้นชกั 7. การจัดเอกสารใสในลิน้ ชักตู ควรจัดใสเอกสารจากชั้นลางสุดขึ้นไป เพือ่ เปนการ ถว งดุลนาํ้ หนัก และใหห ลีกเลยี่ งการใสเอกสารในลนิ้ ชักมากเกินไป 158

8. ใหใชหูจบั ลนิ้ ชกั ทุกคร้ังเมอื่ จะเปดปด ลน้ิ ชักเพอื่ ปอ งกันนิ้วถูกหนบี 9. การจัดวางตูล้ินชักตูต องไมเกะกะชองทางเดินในขณะทปี่ ดใชง าน สายไฟฟาและเตาเสียบ 1. สายไฟฟาที่มีรอยฉีกขาด หรือปลั๊กไฟฟาทีแ่ ตกราว ตองทําการเปลีย่ นทันที หาม พนั ดว ยเทปพนั สายไฟหรอื ดดั แปลงซอ มแซมอยา งใดอยา งหนง่ึ 2. เตาเสียบทีช่ ํารุดจะตองทําการซอมแซมโดยทันที ในระหวางรอการซอมแซม จะตอ งปดหรอื ครอบ เพื่อปองกนั ไมใหผอู ืน่ มาใชง าน 3. เครือ่ งมือหรืออุปกรณไฟฟาตาง ๆ ทีใ่ ชภายในสํานักงาน ใหวางในตําแหนงทีใ่ กล เตาเสียบมากท่ีสดุ เพอ่ื หลีกเล่ยี งสายไฟฟาท่ีทอดยาวไปตามพื้น หรอื หลกี เลี่ยงการใชส ายตอ ในกรณีท่ีไม อาจวางในตําแหนง ใกลเตา เสียบได ใหแสดงเครอื่ งหมายใหช ดั เจนเพอื่ ปอ งกันการเดนิ สะดดุ สายไฟฟา 4. ในการใชอุปกรณไฟฟาใหแนใจวาแรงดันไฟฟาเหมาะสมกับความตองการ แรงดนั ไฟฟาของอปุ กรณนั้น ๆ 5. การวางหรือเคลื่อนยายเครื่องใชสํานักงาน ตองระวังอยาใหมีการวางหรือเคลื่อนยาย ไปทับถูกสายไฟฟา การใชเครอ่ื งใชส ํานกั งาน 1. ในขณะขนยายกระดาษควรระมัดระวังกระดาษบาดมือ 2. ใหเก็บปากกาหรือดินสอ โดยการเอาปลายชี้ลง หรือวางราบในชิ้นชัก 3. ใหทําการหุบขากรรไกรทีเ่ ปดซองจดหมาย ใบมีดคัดเตอร หรือของมีคมอืน่ ๆ ให เขา ทีก่ อ นทําการเกบ็ 4. การใชเครือ่ งตัดกระดาษ ตองระวังนิว้ มือใหอยูหางจากใบมีด ขณะที่กําลังทําการ ตัดกระดาษ และหลีกเลี่ยงการตัดกระดาษจํานวนมากเกินไปพรอมกันทีเดียว ถาไมไดใชงานใหลดใบมีด ลงใหต่ําท่ีสุด อยา ยกใบมีดคางเอาไว 5. การแกะลวดเย็บกระดาษไมควรใชมือหรือเล็บ ใหใชท่ดี ึงลวดเย็บกระดาษทุกคร้งั 6. เฟอรน ิเจอรท เี่ ปน โลหะใหท าํ การลบมุมทกุ แหงเพอื่ ความปลอดภัย 7. ควรใชบันไดหรือชั้นเหยียบ เมือ่ ตองการหยิบของในทีส่ ูง ไมควรยืนบนกลอง โตะ หรือเกาอี้ติดลอ 8. หลังเลิกงานทุกวัน ใหปดไฟฟาทุกดวงและตัดวงจรอุปกรณไฟฟาภายในหองทํางาน ทั้งหมด 159

9. เครือ่ งใชสํานักงานที่อาจกอใหเกิดอันตราย เชน สายพาน ลูกกลิ้ง เกียร เฟอง ลอ ฯลฯ ถาไมมีการติดตัง้ อุปกรณปองกันอันตรายเอาไว ใหติดตัง้ อุปกรณปองกันอันตรายนัน้ ใหเรียบรอย กอ นทีจ่ ะใชงาน 10. หามทําความสะอาด ปรับ แตง หรือเปลีย่ นแปลงสวนประกอบใด ๆ ของเครื่องใช สํานกั งานทีอ่ าจกอใหเ กดิ อนั ตรายในขณะท่ีเคร่อื งกาํ ลงั ทาํ งาน 11. ตองทําการศึกษาวิธีใชและขอควรระวังของเครื่องใชสํานักงานทีม่ ีอันตรายใหดี กอนปรบั แตง 12. ถามีผูปฏิบัติงานสองคน หรือมากกวาสองคนขึ้นไปทํางานกับเครือ่ งใชสํานักงานที่ มอี ันตรายเครอ่ื งเดียวกนั ผูป ฏบิ ัตงิ านแตละคนจะตองระมัดระวงั ซ่งึ กันและกัน 13. อยาถอดอุปกรณปองกันอันตรายหรือเปดแผงเครือ่ งใชสํานักงานทีม่ ีอันตรายโดย เด็ดขาด กรณเี คร่อื งขดั ของใหติดตอชางเพ่ือมาทําการซอ มแซม 14. เครื่องใชสํานักงานที่ใชก าํ ลังไฟฟาและมไิ ดเปน ชนิดท่มี ฉี นวนหุมสองช้ัน จะตองมี ระบบสายดนิ ติดอยูท คี่ รอบโลหะผานปลั๊ก และหามมีการดัดแปลงปลก๊ั เพอ่ื ตดั วงจรสายดนิ ออก 15. ใหตัดกระแสไฟฟาของเครือ่ งใชสํานักงานที่ใชไฟฟาทุกครัง้ ทีไ่ มใชหรือเมือ่ จะ ปรบั แตงเครือ่ ง ลิฟต 1. ในขณะเกดิ เพลิงไหม หามทกุ คนใชล ฟิ ตใหใชบ ันไดหนไี ฟเทา นน้ั 2. กอ นใชลิฟตทกุ คร้ังใหส ังเกตวา ตวั ลฟิ ตเ ลอ่ื นมาอยูในระดับเดียวกับพื้นแลวหรือไม ถา ตัวลิฟตอ ยูตา งระดับกับพนื้ ใหร ะมดั ระวังการสะดดุ ขณะเดินเขาลิฟต สําหรับสุภาพสตรีที่สวมรองเทา สนสูงหรือสน เลก็ ตองกาวขาม เพอ่ื ปอ งกันการล่นื และหกลม 3. ในการใชลฟิ ต ใหเ ขาลฟิ ตอ ยางรวดเร็วและระมัดระวงั อยาลงั เลใจ 4. หา มสบู บหุ รีใ่ นลฟิ ต 5. เมื่อลิฟตเลือ่ นถึงชั้นที่ตองการ ใหรอประตูลิฟตเปดเต็มทีแ่ ลวกาวออกจากลิฟต อยา งรวดเรว็ 6. หามใชมือจับหรือดันประตูลิฟตเพือ่ ใหลิฟตรอบุคคลอืน่ ใหใชปุมควบคุมประตู ลิฟตท ต่ี ิดตั้งอยูภายในลิฟต 7. ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินขณะอยูในลิฟต ใหปฏิบัติตามขอแนะนํา ซึ่งติดอยูภายใน ลฟิ ต พยายามควบคุมสตใิ หได อยา ตกใจเปน อันขาด 160

กิจกรรม 5 ส สูค วามปลอดภัย สถานที่ทํางานจะปลอดภัยดวยการปฏิบัติ 5 ส สถานท่ดี ําเนินกจิ กรรม 5 ส จะปลอดภัยกวา ถูกสุขอนามัยกวา และมีการผลิตดีกวา ใน การทําใหสถานทีท่ ํางานนาอยู นาดู สะดวกสบายและปลอดภัยนั้น จะตองกําจัดส่ิงที่ไมตองใชแลว ออกไปใหห มด และจดั สง่ิ ทจ่ี ะเกบ็ ใหเ ปน หมวดหมู เพอ่ื ความสะดวก สะอาด และสวยงาม กิจกรรม 5 ส สะสาง : แยกรายการสิ่งของที่จําเปนและไมจําเปน ทิ้งสิ่งของที่ไมจําเปน ออกไปใหมากที่สุดเทาที่จะทําได สะดวก : เก็บเคร่อื งมอื อุปกรณไ วใ นท่ที ่ีใชไดสะดวกและเกบ็ ในสภาพทปี่ ลอดภัย สะอาด : จัดระเบียบการดูแลความสะอาดของสถานที่ทํางาน เชน การกําจัด ฝนุ ละออง สุขลักษณะ : ดูแลเสอื้ ผา และรักษาสภาพสถานท่ีทาํ งานใหสะอาดเรียบรอ ย อยาปลอ ย ใหสกปรกรกรุงรังเปนเด็ดขาด สรางนสิ ยั : ปฏบิ ตั ิ 4 ส ขางตน จนเปนนสิ ัย 1.6 ความปลอดภัยในการประกอบอาชพี เกษตรกรรม ปจจุบันการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีการนําเครื่องจักรกล เชน รถแทรกเตอร รถไถนา เครือ่ งเกบ็ เกีย่ ว เคร่ืองผอ นแรง เปน ตน และสารเคมี เชน ปุยเคมี สารกําจัดศัตรูพืช สารฆาแมลง เขามาใชอยางมากมาย เพื่อชวยเพิ่มผลผลิต ซึ่งสิง่ เหลานี้หากนําไปใชอยางไมถูกตองจะมีผลเสียตอ สุขภาพและชีวิต อันตรายจากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม มี 5 ประการ ดังนี้ ประการที่ 1 สารเคมี เชน ปุย สารกําจัดศัตรูพืช สารฆาแมลง สารพิษปราบวัชพืช สารกําจัดเชื้อรา สารกําจัดสัตว สารพิษกําจัดสาหราย ไสเดือนฝอย หอยทาก สารเคมีเหลานีห้ ากใชถูกวิธี กม็ ีประโยชน หากใชผ ิดวธิ เี ปน โทษอยางมากเชน กัน เกษตรกรจาํ เปนตองทราบสิ่งเหลานี้ 161

• วิธีเก็บ การใช โดยอานจากฉลากขางภาชนะบรรจุ • เมื่อใชห มดแลว ตองทาํ ลายภาชนะบรรจโุ ดยการเผาหรือฝง • ไมควรสูบบุหร่ขี ณะทําการฉีดพน • ระวังการสัมผสั สารเคมีท่ผี วิ หนงั เน่ืองจากสามารถดดู ซมึ ทางผวิ หนังได • ระวังการสูดดมหายใจเขาสูทางเดินหายใจ • ไมยืนใตลมขณะฉีดพนสารเคมี • เครื่องใชต า ง ๆ สาํ หรับการฉดี พน ตองดแู ลไมใ หเสือ่ มสภาพ ร่ัวซมึ • เวลาผสมยาหามใชมือกวน ประการท่ี 2 อนั ตรายจากฝุน ทีเ่ กิดจากเกษตรกรรม ฝุนเกิดขึ้นจํานวนมากในกิจกรรม นวดขาว และกิจกรรมอืน่ ๆ ในนา ปญหาทีเ่ กิดขึน้ คือ ฝุนจะเปนสวนที่รับเอาเชื้อรา ละอองเกสรดอกไม และพวกสเปอรป ะปนอยู และจะนาํ โรคสูคนได ทําใหผูสัมผัสเกิดเช้ือรา โรคปอดฝุนฝาย โรคปอดชานออย โรคปอดชาวนา วิธีปองกัน คือ • เกษตรควรสวมหนา กากปองกนั ฝุน • รักษาความสะอาดของผิวหนังหลังเสร็จงานแลว • ใชวิธีพน น้ําเพ่อื ลดการฟุงกระจายของฝุน • หาความรูเพื่อปองกันตัวเอง รวมทัง้ เพือ่ ใหทราบถึงภัยตาง ๆ ที่อาจเกิดขึน้ เชน อาการเกิดโรค จะไดสามารถปองกันตัวเองไมใหเกิดโรคลุกลามตอไป ประการท่ี 3 อันตรายจากการเปนโรคติดเชื้อจากสัตว ทีส่ ําคัญคือ มา วัว ควาย แกะ แพะ สุกร สุนัข สัตวปาที่กินเนื้อ นก เปด ไก เปนตน โรคติดเช้ือท่ีสําคัญ ไดแก โรคแอนแทรกซ โรคกลวั นา้ํ บาดทะยัก เลพโตสไปโรซีส กลากเกลอ้ื นของเช้ือรา วิธีปอ งกันคอื • เกษตรกรควรทราบแหลง โรค วธิ กี ารแพรโ รค • เมือ่ สัตวปวยตอ งเผาหรือฝง ทาํ ลายเช้ือ ฉีดวัคซีนปองกันโรคแกส ตั ว • รกั ษาความสะอาดของผิวหนัง ระวังมใิ หสัมผสั กบั ผวิ หนงั ของสัตวท่เี ปน โรค • ทําความสะอาดแผลทันทีเมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้น ประการท่ี 4 อันตรายจากความรอน แสง เสียง ความสัน่ สะเทือน เกษตรกรอาจเปน ตะคริว ออ นเพลีย หรือเปน ลม อันเนื่องมาจากการไดรับความรอนที่มาจากแสงอาทิตย หรือไดรับเสียงดัง จากเครื่องจักรกล ซึง่ มีผลตอสุขภาพจิตดวย รวมทั้งเกิดอาการหูตึง หรือหูหนวกได อันตรายจาก 162

แสงจา ซึ่งพบมากทําใหเกิดตอ สูญเสียการมองเห็น และในการใชเครื่องจักรก็มีปญหา การสัน่ สะเทือน จากเครือ่ งจักร เชน รถแทรกเตอร เครื่องเกี่ยวขาว เครื่องไถ เครือ่ งเจาะ เลือ่ ยไฟฟา ความสั่นสะเทือนมี อันตรายตอมือและแขน ทําใหเกิดอาการปวดขอตอ เมือ่ ยลา ระบบยอยอาหารผิดปกติ กระดูกอักเสบ วธิ ปี อ งกนั อนั ตรายเหลา นีไ้ ดแ ก • การสวมใสอ ปุ กรณป องกนั อนั ตรายสว นบคุ คล เชน ถุงมอื อุดหู • การปองกันเก่ยี วกับความรอน ทาํ ไดโดยใหส วมเสอื้ ผาหนา แขนยาว แตเปนผา ที่ระบายอากาศไดดี • ด่ืมน้าํ ผสมเกลอื ใหเขมขน ประมาณ 0.1% • หยุดพักระหวางงานบอยขึ้น หากอากาศรอนจัดมาก ประการที่ 5 อุบัติเหตุในงานเกษตรกรรม เชน การถูกของมีคมบาด ไดแก มีด ขวาน เคียว เม่ือเกดิ บาดแผลเกษตรกรไมมีเวลาที่จะทําความสะอาดแผลหรือปฐมพยาบาลโดยทันที โอกาสที่จะ ไดรับเชื้อโรค เชน โรคบาดทะยัก จึงพบบอย และเปนสาเหตุการตายทีส่ ําคัญหรือการใชเครือ่ งยนตทีใ่ ช ไฟฟาก็อาจเกิดไฟฟาดูด หรือเกิดการไหมตามผิวหนังขึน้ ได ซึ่งควรตองเรียนรูเรือ่ งการใชไฟฟาให ถูกตองดวย นอกจากนี้ยังมีอันตรายจากการใชเครื่องยนต เชน เชือก โซ สายพาน หนีบหรือบีบอัด ทําให มอี ุบัตเิ หตุเกิดขน้ึ ทีน่ ้วิ มอื เปนสวนใหญ โรคจากการทํางานทีส่ ําคัญและพบบอยทีส่ ุดในเกษตรกรคือ การปวดหลังจากการ ทํางานอันเนื่องมาจากทาทางการทํางานที่ฝนธรรมชาติ ทาํ ใหเ กดิ อาการปวดเมื่อยกลามเน้ือ การปวดเม่ือย กลา มเน้อื ที่เกิดขึ้นซํา้ ๆ ทุกวัน เรยี กวา โรคบาดเจ็บซ้าํ ซาก หรือโรคบาดเจ็บซ้ําบอย สามารถแกไขได ควรจะไดเรียนรูวิธีการหาเครือ่ งทุน แรงหรือประยุกตวิธีการทํางานเพือ่ บรรเทาอาการเหลานัน้ ใหลด นอ ยลง ตัวอยา งเชน การใชเครื่องหวานเมล็ดพืชแทนการกมเงยในการหวานโดยคนก็จะทําใหการทํางาน เปนสุขขึน้ ได เรื่องที่ 2 การปฐมพยาบาลเบือ้ งตน การปฐมพยาบาล คอื การใหการชว ยเหลือเบ้ืองตนตอผูป ระสบอนั ตราย หรอื เจ็บปวย ณ สถานท่ีเกดิ เหตุกอนทจ่ี ะถึงมือแพทย หรือโรงพยาบาล เพ่ือปองกันมิใหเกดิ อันตรายแกชวี ติ หรือเกดิ ความพิการโดยไมสมควร วตั ถปุ ระสงคของการปฐมพยาบาล 1. เพื่อใหมีชีวิตอยู 2. เพื่อไมใหไดรบั อันตรายเพ่ิมขน้ึ 3. เพือ่ ใหก ลับคืนสสู ภาพเดมิ ไดโดยเร็ว 163

หลักทัว่ ไปในการปฐมพยาบาล 1. อยา ต่ืนเตน ตกใจ และอยา ใหคนมงุ เพราะจะแยงผบู าดเจ็บหายใจ 2. ตรวจดูวาผบู าดเจบ็ ยังรสู ึกตัว หรือหมดสติ 3. อยา กรอกยา หรอื นา้ํ ใหแกผูบาดเจบ็ ในขณะทไ่ี มรสู กึ ตัว 4. รีบใหการปฐมพยาบาลตอการบาดเจ็บที่อาจทําใหเกิดอันตรายถึงแกชีวิต โดยเรว็ กอ น สว นการบาดเจ็บอ่นื ๆ ท่ีไมรนุ แรงมากนกั ใหดาํ เนินการปฐมพยาบาลในลําดบั ถดั มา การบาดเจ็บท่ตี อ งไดรบั การชวยเหลือโดยเร็ว คอื 1. การขาดอากาศหายใจ 2. การตกเลือด และมีอาการช็อก 3. การสัมผัส หรอื ไดร บั ส่งิ มพี ิษท่รี ุนแรง การปฐมพยาบาลเมือ่ เกดิ อาการบาดเจบ็ ขอ เคลด็ สาเหตุ เกดิ จากการฉกี ขาด หรือการยึดตวั ของเนื้อเย่ือ กลา มเนือ้ หรือเสนเอ็นรอบขอตอ อาการ - เวลาเคลื่อนไหวจะรสู กึ ปวดบริเวณขอตอ ทไี่ ดร ับอันตราย - บวมแดงบริเวณรอบ ๆ ขอตอ การปฐมพยาบาล - อยาใหขอ ตอบริเวณทเ่ี จบ็ เคลอ่ื นไหว - อยา ใหข องหนักกดทบั บริเวณขอทีเ่ จ็บ - ควรประคบดว ยความเยน็ ไวก อ น - ถามีอาการปวดรุนแรง ใหรีบนําไปพบแพทย 164

ขดั ยอก สาเหตุ เกดิ จากการทก่ี ลามเน้ือยดึ ตัวมากเกนิ ไป ซึ่งเกิดข้ึนเพราะการเคลือ่ นไหวอยา งรนุ แรง และรวดเรว็ มากเกนิ ไป อาการ เจ็บปวดบริเวณที่ไดรับบาดเจ็บ ตอมามีอาการบวม การปฐมพยาบาล - ใหผ ูบาดเจบ็ น่งั หรอื นอนในทาที่สบาย และปลอดภยั - ถาปวดมากอาจบรรเทาอาการโดยการประคบความเย็นกอน แลวตอดวยประคบ ความรอน ตาบาดเจบ็ การปฐมพยาบาลเกี่ยวกับตานั้น ควรใหการปฐมพยาบาลเฉพาะตาที่บาดเจ็บเล็กนอย เทา นนั้ ถา บาดเจบ็ รุนแรงใหหาผา ปด แผลสะอาดปด ตาหลวม ๆ แลว นาํ ผูบาดเจ็บสง โรงพยาบาลโดยเรว็ ผงเขา ตา สาเหตุ - มีสิ่งแปลกปลอมเขาตา - ระคายเคืองตา คัน หรือปวดตา การปฐมพยาบาล - ใชน าํ้ สะอาดลางตาใหท ั่ว - ถา ผงไมออกใหหาผา สะอาดปด ตาหลวม ๆ แลว นาํ ผูบ าดเจ็บไปพบแพทย สารเคมเี ขา ตา สาเหตุ กรด หรอื ดางเขา ตา อาการ - ระคายเคอื งตา - เจ็บปวด และแสบตามาก 165

การปฐมพยาบาล - ใหล างตาดว ยน้าํ ทสี่ ะอาดโดยวธิ ีการใหน าํ้ ไหลผา นลกู ตา จนกวา สารเคมี จะออกมา - ใชผาปดแผลที่สะอาดปด ตาหลวม ๆ แลว นําผบู าดเจ็บไปพบแพทย โดยเรว็ ท่สี ุด ไฟไหม หรอื นํ้ารอ นลวก สาเหตุ บาดแผลอาจจะเกิดจากถูกไฟโดยตรง ประกายไฟ ไฟฟา วัตถทุ รี่ อนจัด นํา้ เดือด สารเคมี เชน กรด หรือดางที่มีความเขมขน อาการ แบงเปน 3 ลักษณะ - ลกั ษณะที่ 1 ผวิ หนงั แดง - ลกั ษณะท่ี 2 เกดิ แผลพอง - ลกั ษณะท่ี 3 ทาํ ลายชัน้ ผิวหนังเขา ไปเปนอนั ตรายถึงเนื้อเยอ่ื ที่อยใู ตผวิ หนัง บางครั้งผูบาดเจ็บจะมีอาการช็อก การปฐมพยาบาล บาดแผลในลักษณะท่ี 1 และ 2 ซง่ึ ไมส าหสั ใหป ฐมพยาบาลดังน้ี - ประคบดวยความเย็นทันที - ใชน ํา้ มันทาแผลได และปด แผลดวยผาทส่ี ะอาด ใชผา พันแผลพนั แตอยา ใหแ นน มาก บาดแผลในลกั ษณะที่ 3 ใหปฐมพยาบาลดังนี้ - ถาผูบาดเจ็บมีอาการช็อก รีบใหการปฐมพยาบาลอาการช็อกกอน - หามดงึ เศษผาที่ถูกไฟไหมซ่งึ ติดอยูก ับรางกายออก - นําผูบาดเจ็บสงโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดเทาที่จะทําได กระดกู เคลอ่ื น สาเหตุ กระดูกเคล่อื นเกิดข้ึนเพราะปลายกระดูกขางหนึ่งซึ่งประกอบกนั เขา เปนขอ ตอ เคลื่อนท่ี หลดุ ออกจากเสน เอน็ ทห่ี มุ หอบริเวณขอตอไว 166

อาการ - ตึงและปวดมากบริเวณขอตอที่หลุด - ขอ ตอจะมีรูปรา ง และตาํ แหนง ผิดไปจากเดิม การปฐมพยาบาล - จัดใหผ บู าดเจ็บอยูในทาที่สบายท่ีสดุ - หามกด หรอื ทําใหขอตอน้ันเคลอื่ นไหวเปน อนั ขาด - นาํ ผบู าดเจ็บสง แพทยใ หเ ร็วทีส่ ดุ - การเคลื่อนยายผูบาดเจ็บควรใชเปลหาม กระดกู หกั กระดูกหักมอี ยู 2 แบบ คือ 1. กระดกู หกั ชนดิ ธรรมดา หรอื ชนิดปด ไดแก การมกี ระดูกหกั เพยี งอยา งเดยี ว ไมแทงทะลุผิวหนังออกมา 2. กระดกู หกั ชนิดมีบาดแผล หรือชนิดเปด ไดแ ก การมกี ระดกู หกั แลว แทงทะลุ ผวิ หนังออกมา หรอื วัตถจุ ากภายนอกแทงทะลุผิวหนงั เขาไปกระทบกับกระดูก ทําใหกระดกู หัก อาการ - บวม - เวลาเคลอื่ นไหวจะเจ็บบริเวณที่ไดร ับอนั ตราย - ถา จบั บรเิ วณทีไ่ ดรบั อันตรายจะรสู ึกนมุ นมิ่ และอาจมีเสียงปลายกระดกู ทห่ี กั เสยี ดสี กนั - อวัยวะเบ้ียวบดิ ผดิ รปู การปฐมพยาบาล - อยาเคล่ือนยายผูป ระสบอันตราย นอกจากจะจาํ เปนจริง ๆ การเคลอื่ นยา ย อาจทําใหบาดเจ็บมากขึ้นไปอีก - คอยระวงั ใหปลายกระดกู ที่แตกอยนู ่ิง ๆ - ปอ งกนั อยา ใหเ กดิ อาการช็อก - ถา กระดูกที่หกั แทงทะลผุ วิ หนงั ออกมาขา งนอก ใหหา มเลอื ดโดยใชน ้ิวกด หรอื ใชสายสาํ หรบั รดั หา มเลอื ด - ใชผาปด แผลที่สะอาด ปดปากแผล หรอื กระดกู ทโี่ ผลออกมา 167

- ถามคี วามจาํ เปน ที่จะตอ งเคล่อื นยา ยผบู าดเจ็บ ควรใชเฝอกชั่วคราว สายคลอ งแขน หมอน และเปล เฝอกชั่วคราวอาจทําดวยวัตถุใด ๆ ก็ไดทีอ่ ยูใกลมือ เชน กระดาน มวนหนังสือพิมพ มวนฟาง หรือรม ใหผูกเฝอกกับแขน หรือขาตรงทีห่ ักทั้งขางลาง และขางบน และถาสามารถทําไดให ผูกมัดดจากที่ ๆแตกไปทัง้ สองขาง จะทําใหเฝอกชัว่ คราวแข็งแรงขึน้ ใชกระดาษ ผา สําลี หรือวัตถุอื่น ๆ ที่คลายกันรองเฝอก เพื่อใหบริเวณที่ไดรับอันตรายอยูใ นระดับเดียวกัน ซึง่ การทําวิธีนีเ้ ฝอกจะพอดี ไม กดกระดูกบางแหงมากเกินไป สําหรับการใสเฝอกทีแ่ ขนหรือขานั้น ควรใสใหรอบทุกดานดีกวาใส เฉพาะดานใดดานหนึ่ง และใหใชผาเปนชิ้น ๆ หรือเชือกที่เหนียว ๆ ผูกเฝอก แตผาสําหรับผูกในยาม ฉกุ เฉินที่ดีที่สุดก็คอื ผา พันแถบยาว ๆ - บางครั้งกอนจะเขา เฝอกจาํ เปนตองเคลอื่ นยายผบู าดเจ็บบา งเลก็ นอ ย ควรจะใหใครคน หน่งึ จับแขน หรอื ขาสวนทอ่ี ยเู หนือ และสวนทอ่ี ยูตาํ่ กวาบรเิ วณที่กระดกู น้นั หกั ใหอยนู ิง่ ๆ สวนคนอ่ืน ๆ ใหชว ยกนั รับน้าํ หนกั ของรางกายไว วธิ ที ่ดี ที ่ีสดุ กค็ ือ ใชเปลหาม - กระดูกสันหลัง หรือคอหัก หรือสงสัยวาจะหัก จะตองใชความระมัดระวังเปนพิเศษ ถา คนเจ็บหมดสตอิ าจจะไมร ูว า กระดกู คอ หรือกระดกู สันหลังหัก นอกจากผทู ําการ ปฐมพยาบาลนัน้ จะมีความรูในเรื่องนี้เปนพิเศษ กระดูกหักธรรมดาอาจจะกลายเปนกระดูกหักชนิดมี บาดแผลไดถาหากไมระมัดระวังในการเคลือ่ นยายผูบ าดเจ็บ ดังนัน้ หากสามารถทําไดควรงดเวนการ เคลอื่ นยา ยใด ๆ จนกวา แพทยจะมาทาํ การชวยเหลือ การเคลอื่ นยายผูทีก่ ระดูกคอหัก - เมื่อจะทาํ การเคลื่อนยายผบู าดเจ็บที่กระดูกคอหัก ใหเอาบานประตู หรือแผนกระดาน กวาง ๆ มาวางลงขางคนเจ็บ ใหปลายกระดานเลยศีรษะคนเจ็บไปประมาณ 4 นิ้ว เปน อยางนอย - ถาผูบาดเจ็บนอนหงาย ใหใครคนหนึ่งคุกเขาลงเหนือศีรษะ ใชมือทัง้ สองจับศีรษะไว ใหนิง่ ๆ เพือ่ ใหศีรษะ และหัวไหลเคลือ่ นไหวเปนจังหวะเดียวกันกับรางกาย สวนคนอืน่ ๆ จะเปนคน เดียว หรือหลายคนก็ไดช ว ยกนั จับเสอ้ื ผาของผูบาดเจบ็ ตรงหัวไหล และตะโพก แลว คอ ย ๆ เลื่อนผูบาด เจ็ดนั้นวางลงบนแผนกระดาน หรือบานประตู ใหผูบ าดเจ็บนอนหงายอยายกศีรษะขึน้ และอยาใหคอบิด ไปมา - ถาผูบาดเจ็บนอนคว่าํ หนา ควรจะวางบานประตู หรือกระดานลงขาง ๆ ตัว ผูบ าดเจ็บนัน้ เอาแขนเหยียดไปทางศีรษะ คุกเขาลงเอามือจับขางศีรษะของผูบ าดเจ็บ โดยใหมือปดหู และมมุ ขากรรไกร แลว คอยพลกิ คนเจบ็ ใหน อนหงายบนกระดาน เวลาพลกิ ใหน อนหงายจะตองใหศีรษะ อยนู ง่ิ ๆ และใหอยูระดับเดยี วกบั ลําตวั ท้งั ศรี ษะ และลําตวั จะตองพลกิ ให พรอม ๆ กัน - ระหวางที่ทําการเคลือ่ นยาย ควรจะใชหนังรัด หรือผาพันแผลก็ไดหลาย ๆ อัน รัด รอบตัวของผูบาดเจ็บใหติดแนน กบั แผน กระดาษ หรอื ถามีเปลก็ใหใชเปลหาม 168

การเคล่อื นยา ยผทู ก่ี ระดูกสันหลังหกั - อยารีบยกผูบ าดเจ็บที่สงสัยวากระดูกสันหลังจะหัก ตองถามกอนวาสามารถ เคลื่อนไหว ไดหรือไม ถาผูบาดเจ็บไมไดสติ และสงสัยวาจะไดรับอันตรายทีก่ ระดูกสันหลัง ใหปฏิบัติ เชน เดียวกับผูท ีก่ ระดูกคอหัก - ถาพบคนที่สงสัยวากระดูกสันหลังหักนอนคว่าํ หนาอยู คอย ๆ พลิกใหนอนหงายลง บนแผน กระดาน หรอื เปล แลว หาอะไรมารองสนั หลงั ตอนลา ง - ถาผูบาดเจ็บนอนหงาย คอย ๆ เลือ่ นใหนอนบนกระดาน โดยปฏิบัติเชนเดียวกับผูที่ กระดูกคอหัก - ผบู าดเจบ็ ทีส่ งสยั วากระดูกสันหลังหกั หามยกในทานั่งโดยเด็ดขาด กะโหลกศรี ษะแตก สมองไดร บั ความกระทบกระเทือน ผูที่ประสบอันตรายจนกะโหลกศีรษะแตก หรือสะเทือน จะมีอาการเลือดออกทางหู ตา และจมูก อาจมีของเหลวสีขาวไหลออกมาจากหู ตาดําอาจจะมีขนาดไมเทากัน หนาแดง หรือซีดก็ได การปฐมพยาบาล - ถาหนามีสีปกติ หรือสีแดง ควรวางผูบาดเจ็บนอนลง แลวหนุนศีรษะใหสูงเล็กนอย ถา หนา ซดี ควรวางศรี ษะในแนวราบ - พลกิ ศรี ษะใหอ ยใู นลักษณะท่ไี มถ กู ทบั บรเิ วณท่สี งสยั วากระดกู จะแตก - ถามีบาดแผลปรากฏใหหามเลือด และปดบาดแผลดวยผาปดแผลที่สะอาด ผูก ผาพันแผลดานตรงขามกับบาดแผล - ใหความอบอนุ แกผบู าดเจบ็ อยเู สมอ และอยาใหส ารกระตุนใด ๆ แกผูบาดเจ็บ การหา มเลือดเมอ่ื เกดิ อนั ตรายจากของมคี ม วิธีหา มเลอื ดมหี ลายวิธี ไดแ ก 1. การกดดวยนวิ้ มอื มวี ธิ ปี ฏิบัตดิ งั นี้ - ในกรณีที่บาดแผลเลือดออกไมมาก จะหามเลือดโดยใชผาสะอาดปดทีบ่ าดแผลแลว พนั ใหแ นน ถา ยังมีเลอื ดไหลซมึ ใหใชนิว้ มอื กดตรงบาดแผลดวยก็ได - ในกรณีที่เสนโลหิตแดงใหญขาด หรือไดรับอันตรายอยางรุนแรงเปนบาดแผลใหญ ควรใชนิว้ มอื กดเพ่ือหามเลอื ดไมใหไหลออกมา และใหกดลงบรเิ วณระหวา งบาดแผลกบั หัวใจ เชน - เลือดไหลออกจากหนังศีรษะ และสวนบนของศีรษะ ใหกดทีเ่ สนเลือด บริเวณขมับดานที่มีบาดแผล 169

- เลือดไหลออกจากใบหนา ใหกดที่เสนเลือดใตขากรรไกรลางดานที่มี บาดแผลหางจากมุมขากรรไกรไปขางหนาประมาณ 1 นิ้ว - เลือดไหลออกมาจากคอ ใหกดลงไปบริเวณตนคอขาง ๆ หลอดลมดานที่มี บาดแผล แตการกดตาํ แหนง นี้นานๆ อาจจะทําใหผถู กู กดหมดสติได ฉะนั้นควรใชวธิ ีน้ีตอเมื่อใชวิธีอื่น ๆ ไมไ ดผลแลว เทาน้ัน - เลือดไหลออกมาจากแขนทอนบน ใหกดลงไปที่ไหปลาราตอนบนสุดใกล หวั ไหลข องแขนดา นทม่ี บี าดแผล - เลือดไหลออกมาจากแขนทอนลาง ใหกดที่เสนเลือดบริเวณแขนทอนบน ดานในกึ่งกลางระหวางหัวไหลกับขอศอก - เลอื ดออกทีข่ า ใหก ดเสนเลอื ดบรเิ วณขาหนบี ดานทม่ี ีบาดแผล 2. การใชส ายรดั หามเลือด ในกรณที ีเ่ ลือดไหลออกจากเสนโลหติ แดงท่แี ขน หรือขา ใชนวิ้ มือกดแลว เลือด ไมหยุด ควรใชสายสาํ หรับหา มเลือดโดยเฉพาะ - สายรัดสําหรับแขน ใหใชรัดเสนโลหิตทีต่ นแขน สายรัดสําหรับขาใหใชรัดเสน โลหิตทโ่ี คนขา - อยาใชสายรัดผูกรัดใหแนนเกินไป และควรจะคลายออกเปนเวลา 3 วินาที ทุก ๆ 10 นาที จนกวา เลอื ดจะหยดุ - ถาไมมีสายรัดแบบมาตรฐาน อาจใชวัตถุที่แบน ๆ เชน เข็มขัด หนังรัด ผาเช็ดตัว เนค ไท หรือเศษผา ทําเปนสายรัดได แตอยาใชเชือกเสนลวด หรือดายทําเปนสายรัด เพราะอาจจะบาด หรือ เปนอันตรายแกผิวหนงั บริเวณท่ผี ูกได 3. การยกบริเวณทีม่ ีบาดแผลใหสูงกวา หัวใจ ในกรณที ่มี บี าดแผลเลอื ดออกทเ่ี ทา จดั ใหผ บู าดเจบ็ นอนลงแลวยกเทา ข้นึ 170

กจิ กรรม ใหผูเรียนรวบรวมขอมูลการไดรับอันตรายจากการทํางานของตนเอง สมาชิกใน ครอบครัว และเพื่อนรวมงาน ดงั น้ี 1. ขาพเจาเคยไดรับอันตรายจากการทํางาน ดังนี้ • งาน / หนา ทท่ี ่ีปฏบิ ัติ หรอื เคยปฏบิ ตั .ิ ..................................................................................... ........................................................................................................................................... • อนั ตรายท่เี คยไดรบั 1. ..................................................................................................................................... 2. ..................................................................................................................................... 3. ..................................................................................................................................... • การปองกัน และแกไ ข 1. ..................................................................................................................................... 2. ..................................................................................................................................... 3. ..................................................................................................................................... 2. สมาชิกในครอบครัวเคยไดรับอันตรายจาการทํางาน คือ ......................................................... • งาน / หนา ท่ีท่ีปฏบิ ัติ หรือเคยปฏบิ ัต.ิ ................................................................................. ........................................................................................................................................... • อันตรายทีเ่ คยไดรบั 1. ..................................................................................................................................... 2. ..................................................................................................................................... 3. ..................................................................................................................................... • การปองกัน และแกไ ข 1. ..................................................................................................................................... 2. ..................................................................................................................................... 3. ..................................................................................................................................... 171

3. เพื่อนรวมงานที่เคยไดรับอันตรายจากการทํางาน ดงั น้ี • งาน / หนา ที่ที่ปฏบิ ัติ หรือเคยปฏบิ ัติ.................................................................................. ........................................................................................................................................... • อันตรายทเ่ี คยไดรับ 1. ..................................................................................................................................... 2. ..................................................................................................................................... 3. ..................................................................................................................................... • การปองกัน และแกไข 4. ..................................................................................................................................... 5. ..................................................................................................................................... 6. ..................................................................................................................................... 172

บทที่ 9 ทกั ษะชวี ิตเพือ่ การส่อื สาร สาระสําคัญ การมีความรูความเขาใจเกีย่ วกับทักษะทีจ่ ําเปนสําหรับชีวิตมนุษย โดยเฉพาะ ทักษะการสื่อสาร ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวางบุคคล ทักษะการเขาใจผูอื่น จะชวยใหบุคคล ดํารงชีวิตอยูในครอบครัว ชุมชน และสังคมอยางมีความสุข ผลการเรียนรทู ี่คาดหวงั เพอื่ ใหผ ูเรียน 1. มีความรูความเขาใจเกีย่ วกับทักษะชีวิตทีจ่ ําเปน 3 ประการ ไดแก ทักษะการ สอื่ สาร ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวา งบุคคล และทกั ษะการเขาใจผูอ่ืน 2. ประยุกตใชทักษะชีวิตในการดําเนินชีวิต และในการทํางานอยางมี ประสิทธภิ าพ ขอบขา ยเน้อื หา ความหมายของทักษะชีวิต เรือ่ งท่ี 1 ทักษะชวี ิตทจี่ าํ เปน 3 ประการ เรือ่ งท่ี 2 173

เรือ่ งที่ 1 ความหมายของทกั ษะชีวติ คําวา ทักษะ (Skill) หมายถึง ความชัดเจน และความชํานิชํานาญในเรือ่ งใดเรือ่ ง หนึง่ ซึง่ บุคคลสามารถสรางขึน้ ไดจากการเรียนรู ไดแก ทักษะการอาชีพ การกีฬา การทํางาน รวมกับผูอื่น การอาน การสอน การจัดการ ทักษะทางคณิตศาสตร ทักษะทางภาษา ทักษะทางการใช เทคโนโลยี ฯลฯ ซึง่ เปนทักษะภายนอกทีส่ ามารถมองเห็นไดชัดเจนจากการกระทํา หรือจากการ ปฏิบตั ิ ซ่งึ ทักษะดังกลาวนั้นเปนทักษะที่จําเปนตอการดํารงชีวิต ทีจ่ ะทําใหผูมีทักษะเหลานัน้ มีชีวิต ที่ดี สามารถดํารงชีพอยูใ นสังคมได โดยมีโอกาสที่ดีกวาผูไ มมีทักษะดังกลาว ซึ่งทักษะประเภทนี้ เรียกวา Livelihood skill หรือ Sikll for living ซึง่ เปนคนละอยางกับทักษะชีวิต ที่เรียกวา Life skill (ประเสริฐ ตันสกุล) ดังนัน้ ทักษะชีวิต หรือ Life skill จึงหมายถึง คุณลักษณะ หรือความสามารถ เชิงสังคม จิตวิทยา (Phychosoclal competence) ทเ่ี ปน ทักษะภายในทีจ่ ะชว ยใหบุคคลสามารถเผชิญ สถานการณตาง ๆ ทีเ่ กิดขึ้นในชีวิตประจําวันไดอยางมีประสิทธิภาพ และเตรียมพรอมสําหรับการ ปรับตัวในอนาคต ไมวาจะเปนเรื่องการดูแลสุขภาพ เอดส ยาเสพติด ความปลอดภัย สิง่ แวดลอม คุณธรรมจริยธรรม ฯลฯ เพือ่ ใหสามารถมีชีวิตอยูใ นสังคมไดอยางมีความสุข หรือจะกลาวงาย ๆ ทักษะชีวิต ก็คือ ความสามารถในการแกปญหาที่ตองเผชิญในชีวิตประจําวัน เพื่อใหอยูร อด ปลอดภยั และสามารถอยรู วมกบั ผูอ่นื ไดอยา งมคี วามสขุ 1.1 องคประกอบของทักษะชวี ิต องคประกอบของทักษะชีวิต จะมีความแตกตางกันตามวัฒนธรรม และสถานที่ แต ทักษะชีวติ ที่จําเปน ที่สดุ ท่ีทุกคนควรมี ซง่ึ องคการอนามัยโลกไดสรุปไว และถือเปนหัวใจสําคัญใน การดาํ รงชวี ติ คอื 1. ทักษะการตัดสินใจ (Decision making) เปนความสามารถในการตัดสินใจ เกี่ยวกับเรื่องราวตาง ๆ ในชีวิตไดอยางมีระบบ เชน ถาบุคคลสามารถตัดสินใจเกีย่ วกับการกระทํา ของตนเองที่เกี่ยวกับพฤติกรรมดานสุขภาพ หรือความปลอดภัยในชีวิต โดยประเมินทางเลือก และ ผลที่ไดจากการตัดสินใจเลือกทางทีถ่ ูกตองเหมาะสม ก็จะมีผลตอการมีสุขภาพทีด่ ีทัง้ รางกาย และ จติ ใจ 2. ทักษะการแกปญหา (Problem Solving) เปนความสามารถในการจัดการกับ ปญหาที่เกิดขึน้ ในชีวิตไดอยางมีระบบ ไมเกิดความเครียดทางกาย และจิตใจ จนอาจลุกลามเปน ปญ หาใหญโ ตเกนิ แกไ ข 3. ทักษะการคิดสรางสรรค (Creative thinking) เปนความสามารถในการคิดทีจ่ ะ เปนสวนชวยในการตัดสินใจ และแกไขปญหาโดยการคิดสรางสรรค เพือ่ คนหาทางเลือกตาง ๆ 174

รวมทั้งผลทีจ่ ะเกิดขึน้ ในแตละทางเลือก และสามารถนําประสบการณมาปรับใชในชีวิตประจําวัน ไดอยางเหมาะสม 4. ทักษะการคิดอยางมีวิจารณญาณ (Critical thinking) เปนความสามารถใน การคิดวิเคราะหขอมูลตาง ๆ และประเมินปญหา หรือสถานการณที่อยูร อบตัวเรา ทีม่ ีผลตอการ ดาํ เนนิ ชวี ติ 5. ทักษะการสื่อสารอยางมีประสิทธิภาพ (Effective communication) เปน ความสามารถในการใชคําพูด และทาทาง เพือ่ แสดงออกถึงความรูส ึกนึกคิดของตนเองไดอยาง เหมาะสมกับวัฒนธรรม และสถานการณตาง ๆ ไมวาจะเปนการแสดงความคิดเห็น การแสดง ความตองการ การแสดงความชืน่ ชม การขอรอง การเจรจาตอรอง การตักเตือน การชวยเหลือ การปฏิเสธ ฯลฯ 6. ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship) เปน ความสามารถในการสรางความสัมพันธที่ดีระหวางกันและกัน และสามารถรักษาสัมพันธภาพไวได ยืนยาว 7. ทักษะการตระหนักรูใ นตน (Self awareness) เปนความสามารถในการคนหา รูจัก และเขาใจตนเอง เชน รูข อดี ขอเสียของตนเอง รูค วามตองการ และสิง่ ทีไ่ มตองการของตนเอง ซึ่งจะชวยใหเรารูต ัวเองเวลาเผชิญกับความเครียด หรือสถานการณตาง ๆ และทักษะนีย้ ังเปน พืน้ ฐานของการพัฒนาทักษะอืน่ ๆ เชน การสือ่ สาร การสรางสัมพันธภาพ การตัดสินใจ ความเห็น ใจผูอ่นื 8. ทักษะการเขาใจผูอ ืน่ (Empathy) เปนความสามารถในการเขาใจความเหมือน หรือความแตกตางระหวางบุคคล ในดานความสามารถ เพศ วัย ระดับการศึกษา ศาสนา ความเชื่อ สีผิว อาชีพ ฯลฯ ชวยใหสามารถยอมรับบุคคลอืน่ ที่ตางจากเรา เกิดการชวยเหลือบุคคลอืน่ ทีด่ อย กวา หรือไดรบั ความเดอื ดรอน เชน ผูตดิ ยาเสพติด ผูตดิ เชอ้ื เอดส 9. ทักษะการจัดการกับอารมณ (Coping with emotion) เปนความสามารถในการ รบั รอู ารมณข องตนเอง และผอู ื่น รวู า อารมณมผี ลตอ การแสดงพฤติกรรมอยางไร รูว ิธีการจัดการกับ อารมณโกรธ และความเศราโศก ที่สงผลทางลบตอรางกาย และจิตใจไดอยางเหมาะสม 10. ทักษะการจัดการกับความเครียด (Coping with stress) เปนความสามารถใน การรับรูถึงสาเหตุของความเครียด รูว ิธีผอนคลายความเครียด และแนวทางในการควบคุมระดับ ความเครียด เพื่อใหเกิดการเบี่ยงเบนพฤติกรรมไปในทางที่ถูกตอง เหมาะสม และไมเกิดปญหาดาน สขุ ภาพ 175

1.2 กลวธิ ีในการสรา งทกั ษะชีวิต จากองคประกอบของทักษะชีวิต 10 ประการ เมอ่ื จะนําไปใชพฒั นาทกั ษะชวี ติ สามารถแบงไดเปน 2 สว น ดงั น้ี 1. ทักษะชีวิตทั่วไป คือ ความสามารถพื้นฐานที่ใชเผชิญปญหาปกติใน ชีวิตประจําวัน เชน ความเครียด สุขภาพ การคบเพือ่ น การปรับตัว ครอบครัวแตกแยก การบริโภค อาหาร ฯลฯ 2. ทักษะชีวิตเฉพาะ คือ ความสามารถทีจ่ ําเปนในการเผชิญปญหาเฉพาะ เชน ยา เสพติด โรคเอดส ไฟไหม นํ้าทว ม การถกู ลวงละเมิดทางเพศ ฯลฯ 176

เรื่องที่ 2 ทกั ษะชวี ติ ที่จําเปน 3 ประการ • ทกั ษะการสอ่ื สารอยางมปี ระสิทธิภาพ (Effective communication) • ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวางบุคคล (Interpersonal relationship) • ทกั ษะการเขา ใจผูอ่นื (Empathy) 2.1 ทกั ษะการสือ่ สารอยา งมีประสทิ ธิภาพ การสือ่ สาร เปนกระบวนการสรางความเขาใจกันระหวางบุคคล โดยอาจเปนการ สื่อสารทางเดียว (one-way communication) คือ การสือ่ ขาวสารจากผูส งสาร ไปยังผูร ับสาร โดยไม มีการสอ่ื สารกลับ หรอื สะทอนความรสู ึกกลับไปยงั ผูสงสารอีกครั้ง สวนการสือ่ สารสองทาง (Two- way Communication) เปนการสือ่ ขาวสารจากผูส งสารไปยังผูรับสาร และมีการสือ่ สารกลับ หรือ สะทอ นความรูสกึ กลบั จากผรู บั สาร ไปยงั ผสู ง สารอีกครัง้ จึงเรยี กวา เปน การสือ่ สารสองทาง การสื่อสารระหวางบุคคล นับวาเปนความจําเปนอยางยิง่ เพราะในการดําเนินชีวิต ปกติในปจจุบัน การสือ่ สารเขามามีบทบาทอยางยิง่ ในทุกกิจกรรม ไมวาจะเปนการสือ่ สารดวย การพูด การเขียน การแสดงกิริยาทาทาง หรือการใชเครือ่ งมือสือ่ สารที่เปนเทคโนโลยีสมัยใหม ตาง ๆ เชน โทรศัพท Internet e-mail ฯลฯ ท้ังนี้ การสือ่ สารดวยวิธีใด ๆ ก็ตาม ควรทําใหผูส งสาร และผูร ับสารเกิดความเขาใจอันดีตอกัน และเกิดสัมพันธภาพที่ดีตามมา ซึ่งทักษะทีจ่ ําเปนในการ สือ่ สาร ไดแก การรูจ ักแสดงความคิดเห็น หรือความตองการใหถูกกาลเทศะ และการรูจักแสดง ความช่ืนชมผูอื่น การรูจักขอรอง การเจรจาตอรองในสถานการณคับขันจําเปน การตักเตือนดวย ความจริงใจ และใชวาจาสุภาพ การรูจักปฏิเสธเมื่อถูกชักชวนใหปฏิบัติในสิง่ ทีผ่ ิดขนบธรรมเนียม ประเพณี หรอื ผิดกฎหมาย เปนตน การสือ่ สารดว ยการปฏิเสธ หลาย ๆ คนไมก ลา ปฏเิ สธคําชักชวนของเพ่ือน หรอื คนรัก เม่ือไปทําในส่ิงท่ีตนเอง ไมเ ห็นดว ย เชน การมเี พศสัมพันธท ่ไี มป ลอดภัย การเที่ยวซองโสเภณี การเสพยาเสพติด ฯลฯ อันที่ จริงการปฏิเสธเปนสิทธิของทุกคน การปฏิเสธคําชักชวนของเพื่อน หรือคนรักเมื่อทําในสิ่งที่ตนเอง ไมเห็นดวยอยางเหมาะสม และไดผลจะชวยปองกันการมีพฤติกรรมเสี่ยงได คนสวนใหญไมกลา ปฏเิ สธคาํ ชกั ชวนของเพื่อน หรอื คนรัก เพราะกลัววาเพ่ือน หรือคนรกั จะโกรธ แตถา สามารถปฏิเสธ ไดถ กู ตอ งตามขัน้ ตอนจะไมทาํ ใหเ สียเพอื่ น การปฏิเสธที่ดี จะตอ งปฏิเสธอยา งจริงจัง ทง้ั ทาทาง คําพดู และนา้ํ เสียง เพ่ือแสดงความต้ังใจอยาง ชดั เจนทจ่ี ะขอปฏเิ สธ 177

การปฏิเสธมี 3 ขน้ั ตอน คือ 1. บอกความรูส ึกเปนขออางประกอบเหตุผล เพราะการบอกความรูส ึกจะโตแยง ยากกวาการบอกเหตุผลอยางเดียว 2. การขอปฏิเสธ เปนการบอกปฏิเสธชัดเจนดวยคําพูด 3. การถามความเห็นชอบเพื่อรักษาน้าํ ใจของผูช วน และความขอบคุณเมือ่ ผูช วน ยอมรับการปฏิเสธ ตัวอยางการปฏเิ สธเมอ่ื ถกู ชวนไปเสพยาเสพติด แดงเปนผชู วน และแอมเปนผูปฏเิ สธ แดง : คนื น้มี ปี ารต ีท้ ีห่ อ ง แอมไปใหไ ดนะ มขี องดอี ยา งวาใหม ๆ มาใหลอง แอม : ของอยางวานั้นไมดีตอสุขภาพ ขอไมลอง แดงคงไมวานะ ขอบคุณมากที่ชวน แดง : .................................... การหาทางออกเมือ่ ถูกเซาซี้ หรือสบประมาท บางครัง้ ผูช วนพูดเซาซีเ้ พือ่ ชวนให สําเร็จ ผูถูกชวนไมควรหวัน่ ไหวกับคําพูด เพราะจะทําใหขาดสมาธิในการหาทางออก ควรยืนยัน การปฏิเสธดวยทาทีมั่นคง และหาทางออกโดยวิธีตอไปนี้ ปฏิเสธซ้าํ โดยไมต องใชข อ อา ง พรอ มทง้ั บอกลา แลวเดนิ จากไปทันที การตอ รอง โดยการชวนไปทํากจิ กรรมอื่นทด่ี กี วา การผัดผอ น โดยการยืดระยะเวลาออกไปเพอื่ ใหผ ชู วนเปลี่ยนความตัง้ ใจ เชน ข้ันตอน ตวั อยางคําพดู “ฉนั ไมช อบ มนั ไมด ตี อสขุ ภาพ” 1. อางความรูสึกประกอบเหตุผล “ขอไมไ ปนะเพอ่ื น” 2. ขอปฏเิ สธ “เธอคงเขาใจนะ” 3. การขอความเห็นชอบ “ไมล องดีกวา เราขอกลบั กอนนะ” 4. ถกู เซาซี้ หรือถกู สบประมาท “ฉันคดิ วา เรากลบั บา นกนั เลยดกี วา ” “แดงคดิ วา เราควรรอไปอกี สักระยะหนึ่ง เมือ่ เราท้งั สอง 4.1 การปฏิเสธซ้ํา พรอ มทีจ่ ะรบั ผดิ ชอบครอบครัว คอ ยคิดเรอื่ งนี”้ 4.2 การตอ รอง 4.3 การผดั ผอน 178

สถานการณท่ีชวนไปเท่ยี วซอ ง ชัยเปน ผูช วน ยุทธเปนผูปฏิเสธ ชยั : วันนกี้ นิ ขา วเยน็ แลว ไปเทีย่ วอยางวากันนะ ยุทธ : เราไมช อบสถานท่อี ยา งนนั้ กลวั ติดโรคดวย ขอไมไปนะเพอ่ื น ชยั : เราไปหลายหนไมเหน็ เปนอะไรเลย ชักสงสัยแลว วานายเปน ผูช าย เตม็ รอ ยหรอื เปลา ชวนท่ไี รไมไ ปสักที ยุทธ : ไมละ เอาไวคราวหลัง พวกนายไปเที่ยวทีอ่ ่นื เราจะไปดวย ครง้ั นข้ี อตัวกอ นนะ ขอบใจมากท่ีชวน ในเรอ่ื งความรกั ผหู ญิงเม่ือมีความรกั จะมคี วามรูสึกชอบ หรือรัก ตองการความรัก ความอบอุน ความใกลชิดผูกพันทางใจ ไมคาดคิดวาฝายชายตองการอะไรจากความใกลชิด จึงขาด ความระมัดระวัง อาจเผลอตัวเผลอใจไปตามที่ฝายชายตองการ เปนคานิยมของชาย โดยถือเปนเรือ่ ง ปกติท่จี ะมีเพศสมั พนั ธกับหญงิ บรกิ าร หรอื คนรักเพื่อปลดเปล้ืองความใคร เพราะเมื่อผูชายรัก หรือ ชอบผูหญิงมักจะตองการผูกพันทางกาย คือ ความรัก ความใคร เมื่อผูชายตองการผูกพันทางกายก็จะ คิดหาวิธีการตาง ๆ เพือ่ ทําใหเกิดพฤติกรรมที่จะนําไปสูสิง่ ทีต่ นตองการ โดยคิดวาฝายหญิงก็ ตองการเชน กนั การมีเพศสัมพันธครัง้ แรก ฝายหญิงไมไดมีความสุขทางเพศอยางที่ฝายชายเขาใจ ตรงกันขามจะมีความวิตกกังวล กลัวตั้งครรภ กลัวแฟนจะทอดทิง้ หรือดูถูก กลัวเพือ่ นรู กลัวพอแม เสียใจ แตฝายชายจะมีความสุขทางเพศ และภูมิใจที่ไดเปนเจาของ การมีเพศสัมพันธในครั้งตอ ๆ มา ฝายหญิงมักจะยินยอมเพราะความรัก ความผูกพัน ความกังวล กลัวถูกทอดทิง้ หากไมยอม แตฝาย ชายถือเปนเรือ่ งปกติ เปนการหาความสุขรวมกัน ปญหาทีต่ ามมาคือ การตัง้ ครรภ หรือโรคตาง ๆ ฉะนน้ั การคบเพื่อนตางเพศ ผูหญิงควรปฏิบัติตนอยางไรบาง เชน - ไมควรอยูด วยกันตามลําพังสองตอสองในทีล่ ับตา เพราะความใกลชิดสามารถ ไปสูก ารมเี พศสัมพันธไ ด - ผหู ญิงควรแตงกายมดิ ชดิ ไมแ ตงกายลอ แหลม - ผูห ญิงควรระมัดระวังตัวขณะอยูใ กลชิดกับเพือ่ นตางเพศ ควรรักนวลสงวนตัว ระวังการสมั ผัส หรือถกู เนื้อตองตวั สําหรับผูชาย เมื่อมีโอกาสอยูก ันตามลําพังสองตอสองควรยับยัง้ ชัง่ ใจ และไมคิด หาวิธีตาง ๆ ทีจ่ ะทําใหเกิดพฤติกรรมที่จะนําไปสูส ิ่งทีต่ นตองการ โดยคาดคิดเอาเองวาฝายหญิงก็ ตอ งการเชน เดยี วกับตน 179

ตัวอยางการสอ่ื สารดว ยการปฏเิ สธ ปจจุบันปญหาการมีเพศสัมพันธกอนวัยอันควร ลุกลาม รุนแรงถึงขัน้ เปนปญหา การตัง้ ครรภที่ไมพึงประสงคเพิม่ สูงขึน้ ในกลุมวัยรุน วัยเรียน ทําใหตองออกกลางคัน หรือแอบไป ทําแทงจนทําใหเกิดอันตรายถึงแกชีวิตเปนจํานวนมาก ดังนั้นเร่ืองที่พอแมไมอยากใหเกิดเรือ่ งหนึง่ คือ ไมอยากใหลูกมี “เซ็กซ” กอนวัย อันควร อยากใหเรียนหนงั สือจบ ใหเ ปนผใู หญท รี่ ับผิดชอบตัวเองไดมากกวา น้ี แตขาวเด็กวัยรุน ตอนนีก้ ็ออกมามากเหลือเกิน วาเห็นเรื่อง “เซ็กซ” เปนเรื่อง ธรรมดา ไมเห็นจะเสียหายตรงไหน บางคนเปลีย่ นคูเ ปนวาเลน บางคูก็เชาหอพักอยูด วยกัน เชาไป เรียนดวยกัน เย็นกลับมานอนดวยกัน พอแมอยูตางจังหวัดไมรูเ รือ่ ง คิดวาลูกคงตัง้ ใจเรียนอยางเดียว ทไ่ี หนได เรื่องนีพ้ อแมจะทําเฉยไมไดแมลูกเราจะเปนเด็กเรียบรอย ยังไมมีทีทาวาจะสนใจ เพศตรงขามก็ตาม พอแมก็ตองชวนคุยเมือ่ มีโอกาส หากพอแมลูกดูโทรทัศนดวยกัน จะมีฉากอยาง วาในละครไทยอยูห ลายเรือ่ ง เชน พระเอกเสียทีนางราย หรือนางเอกใจออนยอมพระเอกกอน แต สุดทายไมไดแตงงานกัน พอแมก็ถือโอกาสนีช้ วนลูกคุยเสียเลย ไมวาจะเปนลูกชาย หรือลูกสาวก็ ตอ งระวงั เร่ืองนดี้ ว ยกนั ทั้งนั้น ซ่ึงอาจแนะนาํ ลูกดงั น้ี อยาอยูกันตามลําพังสองตอสองในที่ลับตาคน แมอีกฝายจะชวนก็ไมตองตามใจ ใหร จู กั ปฏเิ สธ • ถา ดแู ลว อกี ฝา ยจะผกู มดั โดยอา งวา “รกั จริงหวงั แตง” หรอื อะไรกแ็ ลว แต ทีจ่ ะสรรหามาพร่ําพรรณนา ตองใหลูกเราพูดกับอีกฝายแบบเปดใจ เปดเผย ดวยทาทีทีม่ ัน่ ใจวา “ไมตองการใหมีอะไรกันเกินเลยกวานี้ เพราะเรายังเด็กยังไมสมควร” หรือ “ยังไมพรอม” แมวาเรา จะรักเขามากกค็ วรคบกนั แคเปนแฟนกอน เวลายังมีอีกยาวนาน ใครจะรวู าคนนี้ใชคูแ ทห รือไม • ตองรูจักหลีกเลี่ยง หรอื กลา ปฏิเสธที่จะมเี พศสมั พนั ธ ถา อีกฝา ยยังตื้อ ตอ งใหรจู กั เอาตวั รอดใหไ ด • ใหเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝายไปยังเรื่องอื่น เชน อาจชวนไปเลนกีฬา หรอื ชวนคยุ ในเรื่องท่คี ิดวาอกี ฝา ยจะหยุดฟง • ถา อกี ฝา ยยงั ไมยอมฟง เหตุผล โดยอาจจะมีขอ อา งวา “ถาไมยอม แสดงวา ไมร ักจริง” หากถึงขั้นนี้ละกอ ตองใหลูกคิดใหมแลววา ควรจะคบกันเปนแฟนตอไปอีกไหม เพราะ อีกฝายคงตอ งพยายามหาโอกาสอกี เรอ่ื ย ๆ แลวแนใจไหมวา ลกู จะไมใ จออ นเขา สกั วัน • ท่สี ําคัญ พอ แมต องชวนลกู คยุ ถงึ ผลสียของการมเี พศสมั พันธกอนวยั อนั ควรดวย 180

2.2 ทักษะการสรางสัมพันธภาพระหวางบุคคล คงไดย นิ คําพดู น้ีบอ ย ๆ วา “คนเราอยคู นเดยี วในโลกไมไ ด” เราตองพึง่ พาอาศัยกัน ซง่ึ จะตอ งมีสมั พนั ธภาพที่ดตี อกนั การที่จะสรา งสัมพนั ธภาพใหเ กิดขนึ้ ระหวา งกนั น้ัน เปนเรือ่ งไมย าก แรกเร่ิมคอื 1. มีการตดิ ตอพบปะกนั เราจะตองมีการติดตอพบปะพูดคุยกับคนทีต่ องการมีสัมพันธภาพกับเขา ใหเวลา กับเขา ทํางานรวมกัน ทํากิจกรรมรวมกัน เลนกีฬาดวยกัน และในทีส่ ุดเราก็มีโอกาสสรางมิตรภาพ ทด่ี ีตอกนั 2. มีความสนใจและประสบการณรวมกนั ประสบการณเ ปน สงิ่ ทนี่ ําคนสองคนใหมารวมมือกัน การชวยเหลือกันในระหวาง การเลาเรียน หรือการทํางานดวยกัน มีความสนใจในเรือ่ งเดียวกัน การรวมประสบการณ และ แลกเปล่ียนประสบการณร ะหวา งกัน เปนการสรา งมติ รภาพท่ีดใี หเ กิดขนึ้ ได 3. มีทศั นคติและความเชอื่ ทค่ี ลายคลึงกนั ชวงวัยรุนเปนชวงที่ความคิด ทัศนคติ และความรูสึกอาจมีการเปลี่ยนแปลงอยาง รวดเร็ว ถาคนไหนมีความคิดเห็นคลายคลึงกับเรา เราจะรูสึกพอใจ แตถาคนไหนมีความคิดแตกตาง กับเรา เราจะรูส ึกไมพอใจ แตในความเปนจริงตองเขาใจวา คนสวนใหญไมไดมีความเห็น เหมือนกนั ทุกเร่ือง แมในคนที่เปนมิตรตอกันเพยี งใดกต็ าม จะสรา งสัมพนั ธภาพทดี่ ไี ดอยางไร การเรียนรูว ิธีการสรางสัมพันธภาพทีด่ ีเปนสําคัญ และทุกคนควรจะคนหาเพื่อให เกิดมิตรภาพ ดงั นี้ 1. ความใสใ จ เอาใจใสซ งึ่ กนั และกนั ดูแลกันทง้ั ยามสขุ ยามทุกข 2. ความไวเนอ้ื เชอื่ ใจ การอยูกับผูอนื่ อยา งมีความสขุ เราตองไววางใจในตัวเขา และตอ งใหเ ขาไวว างใจในตวั เราดว ย 3. การยอมรบั เราจะตอ งรูจักใหก ารยอมรับ และนับถือคนอน่ื รจู ักแสดงความ ชนื่ ชม และยนิ ดีกับความสําเร็จของผูอ ่ืน 4. การมีสวนรวม และการแบงปน สัมพันธภาพทีด่ ีคือ การไดมีสวนรวมแบงปน ในประสบการณ รูจักรับฟงความคิด และยอมรับความจริงจากคนสวนมาก 5. การมีความยืดหยุน คนทีม่ ีความยืดหยุน จะเปนคนที่สามารถมีความสุข แมจะ อยูกับคนทีม่ ีความเห็นตางกัน 6. ความเห็นอกเห็นใจผูอ ืน่ การแสดงความเห็นอกเห็นใจ จะทําไดงายถามี สมั พนั ธภาพที่ดีตอกัน เพราะจะไมเ กดิ ความเขาใจผดิ ตอ กัน 181

จากการทีค่ นเราตองมีสัมพันธภาพทีด่ ีกับผูอ ืน่ นัน้ ก็เพือ่ ทีจ่ ะสามารถอยูร วมกับ ผูอ ืน่ ได โดยทีไ่ ดรับการชวยเหลือจากผูอ ืน่ ตามสมควร ไมวาจะเปนเพือ่ น พอแม พี่นอง หรือคน อืน่ ๆ โดยเฉพาะการมีสัมพันธภาพทีด่ ีระหวางพอแมกับลูกวัยรุนเปนสิง่ ทีส่ ําคัญมาก เพือ่ ลูกจะได เตบิ โตเปน ผใู หญท ี่ดี และประสบความสําเร็จในชวี ิตตอไป การสรางสมั พนั ธภาพดวยการให • การฝก ใหเปน ผูเ สยี สละ หรือเปนผใู หน้นั พอ แมจ ะตองสอนลูก หรือเปน ตัวอยา งในการเปนผใู หเสมอ • การใหโ ดยทวั่ ไปนั้น เรามักจะนึกถงึ แตการใหส ่งิ ของ หรือเงนิ ทอง แตค วาม จริงยังมีสิง่ สําคัญที่ทุกคนควรใหแกกัน ไดแก การใหรอยยิ้ม ใหความจริงใจ ใหการชวยเหลือ ใหคําชมเชย ใหความเมตตา ใหอภัย ฯลฯ ซึง่ การใหสิง่ เหลานีไ้ มตองเสียเงินทองซื้อหา แตตองเปน การใหที่ออกมาจากใจจรงิ จะเปนการสรา งมติ รภาพทดี่ ตี อกนั • ใหน กึ เสมอวา จงเปนผใู หเ ถดิ ใหผูอื่นใหม ากขึ้น รบั ใหนอ ยลง จึงจะเปนการ ทําใหครอบครัวเรามีความสุข และสังคมจะอบอุน เพือ่ ลูกไดซึมซับ และนําไปใชในการเปนผูใ ห เสมอกับเพอื่ น ๆ พ่ี นอง และคนอื่น ๆ ท่อี ยรู วมกนั การฝกใหเปน คนนารกั นาคบหา เคยไดยินอาจารยทานหนึง่ พูดในรายการโทรทัศนนานมาแลววา “ลูกเราไมวาจะ เปนอยางไร มันก็ดูนารักไปหมดในสายตาพอแม แตเราจะตองสอนลูกเราใหเปนคนนารัก เพือ่ ทีค่ น อื่นเขาจะไดร กั ลกู เราดว ย” • พวกเราทเี่ ปน ผูใหญคงเคยเห็นเด็กประเภทน้บี าง เชน - เห็นผูใ หญแลวไมไ หว ทาํ เปน มองไมเ หน็ - พดู จาไมเ พราะ หนา บึ้งตึง - ไมรจู ักกาลเทศะ - เอาแตใ จตวั เอง - ทาทาอวดี เด็กที่เปนอยา งน้ี ผใู หญก ็จะมองวาไมนารักเลย บางทีทาํ ใหอดคิดไมไ ดวา พอแมคงไมมีเวลาสั่งสอน • สวนในกลมุ ของเด็กวัยรุนดว ยกัน ไดล องถามวา เพอ่ื นแบบไหนทไี่ มอ ยาก คบดว ย ก็ไดค าํ ตอบวา - ประเภททีช่ อบดถู กู เพอื่ น - เอาเปรียบไมชวยงานกลุม 182

- ขอ้ี ิจฉาเพื่อน เห็นเพอื่ นมีดีไมไ ด - ชอบพดู ใหค นอน่ื หนา แตก หมอไมร ับเย็บ - คุยโมโออ วดตนเอง และวา คนอนื่ - ชอบแกลง เพอ่ื น ถาเปน อยางนเ้ี พอื่ นกไ็ มอยากคบหาสมาคม และไมอยากใหเขารวมกลุม เพราะเขาทีไ่ หนก็วงแตกกระเจิงทุกที จนเพื่อน ๆ เอือมระอา • คนเปนพอแมคงเศราใจมาก ถาลูกเรากลายเปนคนนารังเกียจที่ไมมีใคร อยากคบ ดังนัน้ พอแมตองพยายามพูดคุยยกตัวอยางคนทีท่ ําตัวนารัก และคนทีท่ ําตัวไมนารักให ลูกเห็น เพือ่ เปรียบเทียบ และเอาเปนตัวอยาง ซึง่ ลักษณะของคนนารักนัน้ พระเทพวิสุทธิกวี แหง วดั โสมนัสวหิ าร กรุงเทพมหานคร ไดก ลาววา คนทน่ี า รกั ยอมมีคุณสมบตั ิ 9 ประการ คือ 1. ไมเ ปน คนอวดดี 2. ไมพูดมากจนเขาเบื่อ 3. เปน คนออ นนอ มถอ มตน 4. รจู กั ผอ นสนั้ ผอนยาว 5. พดู จาออ นหวาน 6. เปน คนเสยี สละ ไมเอาเปรยี บผอู ่ืน 7. เปนคนกตัญูกตเวที 8. เปน คนไมมนี สิ ัยริษยา เสียดสผี อู ่นื 9. เปนคนมีนิสัยสุขุมรอบคอบ ไมยกตนขมทาน “พอ แมท่หี วังใหล ูกเปน ทรี่ ักของผใู หญ และเพือ่ นฝงู ตอ งพยายามเพาะนสิ ัย ดังกลาวใหกับลกู ก็จะทําใหการอยูร วมกบั ผูอื่นในสังคมเกิดเปนสัมพันธภาพที่ดีระหวางกันและกัน ทุกคนก็จะมีแตความสุข” 2.3 ทกั ษะการเขาใจผูอ่นื การที่บุคคลจะอยูใ นครอบครัว อยูใ นสังคมอยางมีความสุข จําเปนตองรูจ ักตนเอง และรูจกั ผทู ่ีตนเก่ียวของสัมพนั ธด ว ย ดังภาษิตจนี ทวี่ า “รเู ขา รูเรา รบรอ ยคร้ัง ชนะรอ ยครั้ง” ดังนัน้ การทีเ่ ราจะทําความรูจ ักผูอืน่ ซึ่งเราจะตองเกี่ยวของสัมพันธดวย ไมวาจะ เปนภายในครอบครัวของเราเอง หรือในสถานศึกษา ในสถานทีท่ ํางาน เพราะเราไมสามารถอยูคน เดยี วไดใ นทุกที ทกุ สถานการณ 183

หลกั ในการเขา ใจผูอ ่นื มีดงั นี้ 1. ตองคํานึงวาคนทุกคนมีศักดิศ์ รีความเปนมนุษยเชนเดียวกับเรา จึงควรปฏิบัติ กับเพื่อนมนุษยทุกคนดวยความเคารพในศักดิ์ศรีของความเปนมนุษยเทาเทียมกัน ไมวาจะเปน คนจน คนรวย คนแก เดก็ คนพกิ าร ฯลฯ 2. บุคคลทุกคนมีความแตกตางกัน ทั้งพืน้ ฐานความรู ฐานะทางเศรษฐกิจ สภาพ ความเปนอยู ระดับการศึกษา การปลูกฝงคุณธรรม คานิยม ระเบียบ วินัย ความรับผิดชอบ ฯลฯ ดังนัน้ หากเรายอมรับความแตกตางระหวางบุคคลดังกลาว จะทําใหเราพยายามทําความเขาใจเขา และสื่อสารกับเขาดวยกิริยาวาจาสุภาพ ซึง่ หากยังไมเขาใจเราก็จําเปนตองอดทน และอธิบายดวย ภาษาที่เขาใจงาย ไมแสดงอาการดูถูกดูแคลน หรือแสดงอาการหงุดหงิด รําคาญ เปนตน 3. การเอาใจเขามาใสใจเรา บุคคลทัว่ ไปมักชอบใหคนอืน่ เขาใจตนเอง ยอมรับ ในความตองการ ควรเปนตัวตนของตนเอง ดังนัน้ จึงมักมีคําพูดติดปากเสมอ เชน ฉันอยางน้ัน ฉันอยางนี้ ทําไมเธอไมทําอยางนั้น ทําไมเธอไมทําอยางนี้ ทําไมเธอถึงไมเขาใจฉัน ฯลฯ ซึ่งเปน การเอาใจเราไปยัดเยียดใสใ จเขา และมักไมพงึ พอใจในทุกเรื่อง ทกุ ฝาย ท้งั นใ้ี นดา นกลับกัน หากเรา คิดใหม ปฏิบัติใหม โดยพยายามทําความเขาใจผูอ ื่นไมวาจะเปน พอแมเขาใจลูก หรือลูกเขาใจ พอแม เพือ่ นเขาใจเพื่อน โดยการทําความเขาใจวาเขาหรือเธอมีเหตุผลอะไร ทําไมจึงแสดง พฤติกรรมเชนนั้น เขามีความตองการอะไร เขาชอบอะไร ฯลฯ เมื่อเราพยายามเขาใจเขา และปฏิบัติ ใหสอดคลองกับความชอบ ความตองการของเขาแลว ก็จะทําใหการอยูร วมกัน หรือการทํางาน รวมกันเปนไปดวยความราบรื่น และแสดงความสงบสันติสุขในครอบครัว ชุมชน และสังคม 4. การรับฟงผูอ ื่น การที่เราจะเขาใจผูอ ืน่ ไดดีหรือไม ขึ้นอยูกับวาเรารับฟงความ คิดเห็น ความตองการของเขามากนอยเพียงใด บุคคลทั่วไปในปจจุบันไมชอบฟงคนอืน่ พูด แตชอบ ทีจ่ ะพูดใหคนอืน่ ฟง และปฏิบัติตาม ดังนั้น สิง่ สําคัญทีเ่ ปนพืน้ ฐานทีจ่ ะทําใหเราเขาใจผูอ ืน่ ก็คือ ทักษะการฟง ซึ่งจะตองเปนการฟงอยางตัง้ ใจ ไมขัดจังหวะ หรือแสดงอาการเบื่อหนาย และควร แสดงกิริยาตอบรับ เชน สบตา ผงกศีรษะ ทัง้ นี้ การฟงอยางตัง้ ใจ จะทําใหเรารับทราบความคิด ความตองการ หรือปญหาของผูท ี่เราเกีย่ วของดวย ไมวาจะเปนในฐานะลูกกับพอแม พอแมกับลูก นายจางกับลูกจาง หัวหนากับลูกนอง ฯลฯ ซึ่งจะทําใหเราเกิดอาการเขาใจ และสามารถแกปญหา ไดอยางถกู ตองในทส่ี ดุ 184

กจิ กรรม 1 ใหผ ูเรียนยกตัวอยาง วธิ กี ารสอ่ื สารกับพอ แม และหวั หนางาน หรือลกู นอง ดงั น้ี 1. การส่ือสารกบั พอ แม กรณขี อไปเท่ียวคางคนื ตา งจงั หวดั ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 2. การสือ่ สารกบั หวั หนา งาน หรอื ลกู นอ ง กรณขี อขึ้นเงินเดอื น หรอื ลดโบนัส ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... กจิ กรรม 2 ถาทานมีลูกวัยรุนที่กําลังมีปญหาอกหัก ถูกแฟนบอกเลิก ทานจะมีแนวทาง ชวยเหลอื ลกู อยา งไร โดยใชทกั ษะการสื่อสาร การสรา งสัมพนั ธภาพ และทักษะการเขาใจผูอ่ืน ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... 185

บรรณานกุ รม นพ.กิตติ ปรมัตถผล, นายปรีชา ไวยโภคา : รวมชุดสาระการเรียนรูพ้นื ฐาน “สุขศึกษา 2” ชว งชัน้ ท่ี 3 ม.2, 2550. บริษทั สาํ นกั พิมพเอมพันธ จํากดั พญ.กุสุมาวดี ดาํ เกลย้ี ง, ปรีชา ไวยโภคา และคณะ : รวมชดุ สาระการเรยี นรพู น้ื ฐาน “สุขศึกษา 6” ชวงชนั้ ท่ี 4 ม.6, 2550. บรษิ ทั สาํ นักพมิ พเ อมพนั ธ จาํ กดั นพ.กิตติ ปรมตั ถผล, นายปรีชา ไวยโภคา : รวมชุดสาระการเรยี นรูพืน้ ฐาน “สุขศกึ ษา 3” ชว งชัน้ ท่ี 3 ม.3, 2550. บรษิ ทั สาํ นกั พมิ พเ อมพนั ธ จาํ กดั วฑิ ูรย สมิ าโชคดี, คมู อื ความปลอดภยั สําหรบั พนักงานใหม. 2540. บรษิ ัท ส.เอเชยี เพรส จาํ กดั . กรุงเทพมหานคร. ความรเู รือ่ งโชค : ทางแก ดแู ล ปอ งกนั , 2543 : บริษัท รดี เดอรส ไดเจสท (ประเทศไทย) จํากัด. กรุงเทพมหานคร

ทีป่ รึกษา คณะผูจ ัดทาํ 1. นายประเสรฐิ บญุ เรอื ง เลขาธิการ กศน. 2. ดร.ชัยยศ อิม่ สวุ รรณ รองเลขาธิการ กศน. 3. นายวชั รนิ ทร จําป รองเลขาธิการ กศน. 4. ดร.ทองอยู แกว ไทรฮะ ท่ีปรึกษาดานการพัฒนาหลกั สตู ร กศน. 5. นางรักขณา ตัณฑวฑุ โฒ ผูอ ํานวยการกลุมพฒั นาการศึกษานอกโรงเรยี น ผเู ขยี นและเรียบเรียง 1. นายววิ ฒั นไ ชย จนั ทนส คุ นธ กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 2. นายศุภโชค ศรีรัตนศิลป กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 3. นางสาวนวลพรรณ ศาสตรเวช หนว ยศกึ ษานเิ ทศก 4. นางสุปรารถนา ยุกหะนนั ทน โรงเรยี นบดนิ ทรเ ดชา ( สิงห สงิ หเสนีย ) 5. นางกนกพรรณ สุวรรณพิทักษ กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 6. นางสาวเยาวรัตน คําตรง กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน ผูบรรณาธกิ าร และพัฒนาปรับปรุง 1. นางสาวนวลพรรณ ศาสตรเวช หนว ยศกึ ษานเิ ทศก 2. นางสุปรารถนา ยุกหะนนั ทน โรงเรยี นบดนิ ทรเ ดชา ( สิงห สิงหเสนยี  ) 3. นางกนกพรรณ สุวรรณพทิ ักษ กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 4. นางสาวเยาวรัตน คําตรง กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 5. นางสาวสุรีพร เจริญนชิ ขาราชการบํานาญ 6. นางธญั ญวดี เหลา พาณชิ ย ขาราชการบํานาญ 7. นางเอ้ือจิตร สมจติ ตช อบ ขาราชการบํานาญ 8. นางสาวชนิตา จติ ตธ รรม ขาราชการบํานาญ 9. นางสาวอนงค เชอ้ื นนท สํานักงาน กศน เขตบางเชน คณะทํางาน 1. นายสุรพงษ ม่ันมะโน กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 2. นายศุภโชค ศรีรัตนศิลป กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 3. นางสาววรรณพร ปทมานนท กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 4. นางสาวศรญิ ญา กุลประดิษฐ กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 5. นางสาวเพชรินทร เหลอื งจิตวฒั นา กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน

ผพู ิมพต น ฉบับ คะเนสม กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 1.นางสาวปย วดี เหลอื งจิตวฒั นา กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 2. นางสาวเพชรินทร กวีวงษพพิ ัฒน กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 3. นางสาวกรวรรณ ธรรมธษิ า กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 4. นางสาวชาลินี บานชี กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน 5. นางสาวอลิศรา ผอู อกแบบปก ศรรี ัตนศิลป กลุมพัฒนาการศึกษานอกโรงเรียน นายศภุ โชค


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook