หนังสือเรยี นวิชาเลอื ก สาระการพัฒนาสงั คม รายวิชา การพฒั นาความเปน็ ผ้นู าํ รหัส สค33032 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบ ระดับการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 สํานกั งานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จังหวัดสุโขทยั สํานักงานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั สาํ นักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
คํานํา สํานักงาน กศน.จังหวัดสโุ ขทัย ไดจ้ ดั ทาํ หนงั สือเรียนรายวิชาการพฒั นาความเป็นผนู้ ํา ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย เปน็ รายวิชาเลือก จํานวน 3 หน่วยกิต หลกั สตู รการศกึ ษานอกระบบระดับ การศึกษาข้นั ฐานพุทธศักราช 2551 สาํ หรับนกั ศึกษาไดใ้ ช้ประกอบการเรียนขน้ึ ซง่ึ มรี ายละเอยี ด เกีย่ วกับเน้อื หา และกจิ กรรมการเรียนรู้ สําหรบั ใหน้ กั ศึกษาได้ทาํ กิจกรรม หรือแบบฝึกปฏิบตั ทิ ี่ กาํ หนดให้ครบถว้ น จะทาํ ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถตามผลการเรียนร้ทู ีค่ าดหวัง ของหลกั สูตร คณะผู้จดั ทาํ หวงั เป็นอย่างยงิ่ ว่าหนงั สอื เรียนฉบับน้ี จะเปน็ ประโยชน์ต่อนักศึกษา ครู และ ผสู้ นใจ ทั้งน้ขี อขอบคุณผู้มสี ่วนรว่ มจัดทําหนงั สือเรียนฉบับนีใ้ หส้ าํ เรจ็ ด้วยดไี ว้ในโอกาสน้ดี ว้ ย (นายสงั วาลย์ ชาญพิชิต) ผอู้ าํ นวยการสํานกั งาน กศน.จังหวัดสโุ ขทยั
สารบญั หนา้ คํานาํ คาํ แนะนําในการใชห้ นังสือเรียน บทที่ 1 แนวคิดพ้ืนฐานดา้ นการพฒั นาความเปน็ ผู้นาํ 1. หลักการพฒั นาตนเอง…………………………………………………………………………………1 2. ความหมายของการพฒั นาตน………………………………………………………………………1 3. แนวคิดพน้ื ฐานในการพฒั นาตน……………………………………………………………………2 4. ความสาํ คญั ของการพัฒนาตน………………………………………………………………………2 บทที่ 2 ความหมายและความสําคญั ของความเป็นผนู้ ํา 1. ความหมายของความเป็นผนู้ าํ ……………………………………………………………………..3 2. แนวคิดเก่ียวกับภาวะผู้นาํ ……………………………………………………………………………4 3. ความมปี ระสิทธิภาพของความเป็นผนู้ ํา…………………………………………………………5 4. เคร่ืองมือวัดภาวะผู้นํา…………………………………………………………………………………6 บทที่ 3 การบริหารจดั การสู่ความเปน็ ผนู้ าํ 1. การบรหิ ารจัดการกับความเป็นผู้นาํ ………………………………………………………………..8 2. บรบิ ทใหมข่ ององค์การยุคปัจจบุ ัน……………………………………………………………………8 3. ลักษณะของการบริหารจดั การ................................................................................11 บทที่ 4 คุณลักษณะ ทกั ษะและพฤติกรรมของผนู้ าํ ทมี่ ีประสทิ ธผิ ล 1. คณุ ลักษณะและทักษะที่แยกผนู้ าํ จากบุคคลทไี่ ม่ใช่ผู้นํา…………………………………..14 2. พฤติกรรมของผู้นาํ ที่มปี ระสทิ ธผิ ล………………………………………………………………..15 บทท่ี 5 ผนู้ ํา : คณุ ลักษณะและทกั ษะ 1. คุณลกั ษณะของผนู้ าํ …………………………………………………………………………………..17 2. คณุ ลักษณะด้านการบรหิ ารจัดการทมี่ ีประสทิ ธิผล…………………………………………18 3. ทกั ษะการบรหิ ารและความมีประสิทธผิ ล.............................................................21 แบบทดสอบหลงั เรยี น………………………………………………………………………………………………..………………….. เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน...................................................................................................... บรรณานกุ รม………………………………………………………………………………………………………………………………. ภาคผนวก…………………………………………………………………………………………………………………………………..
คาํ แนะนาํ การใชห้ นังสือเรยี น รายวิชา การพฒั นาการเปน็ ผู้นาํ รหัส สค33032 หนังสือเรียนสาระการพัฒนาสังคม รายวิชาเลือกการพัฒนาความเป็นผู้นํา รหัส สค33032 เปน็ หนงั สือเรยี นทีจ่ ดั ทาํ ขึ้นสําหรับผเู้ รยี นนอกระบบ รายละเอียดดงั น้ี 1. หนังสือเรียนนี้มี 5 บท บทที่ 1 แนวคดิ พ้ืนฐานดา้ นการพฒั นาความเปน็ ผ้นู ํา 1. หลกั การพฒั นาตนเอง 2. ความหมายของการพัฒนาตน 3. แนวคิดพนื้ ฐานในการพัฒนาตน 4. ความสําคญั ของการพัฒนาตน บทที่ 2 ความหมายและความสาํ คญั ของความเป็นผ้นู ํา 1. ความหมายของความเปน็ ผนู้ ํา 2. แนวคิดเกยี่ วกับภาวะผู้นาํ 3. ความมปี ระสิทธภิ าพของความเปน็ ผู้นํา 4. เคร่อื งมอื วัดภาวะผู้นาํ บทที่ 3 การบรหิ ารจดั การสู่ความเป็นผนู้ ํา 1. การบริหารจดั การกับความเป็นผูน้ ํา 2. บรบิ ทใหม่ขององค์การยุคปจั จบุ นั 3. ลักษณะของการบรหิ ารจดั การ บทท่ี 4 คณุ ลกั ษณะ ทกั ษะและพฤติกรรมของผนู้ ําที่มีประสิทธผิ ล 1. คุณลักษณะและทักษะท่ีแยกผนู้ าํ จากบุคคลท่ีไม่ใช่ผ้นู ํา 2. พฤติกรรมของผนู้ ําท่ีมีประสทิ ธิผล บทท่ี 5 ผูน้ ํา : คุณลกั ษณะและทักษะ 1. คุณลกั ษณะของผนู้ ํา 2. คณุ ลกั ษณะดา้ นการบริหารจัดการท่มี ปี ระสทิ ธผิ ล 3. ทกั ษะการบริหารและความมีประสิทธผิ ล 2. ระยะเวลาในการศกึ ษา จํานวน 120 ชั่วโมง จํานวน 3 หนว่ ยกติ 3. วิธีการศึกษา เช่น 3.1 ทาํ แบบทดสอบก่อนเรียน เพ่ือตรวจสอบความรู้ ความเขา้ ใจในรายวชิ านเี้ พยี งใด 3.2 ศึกษาหนังสอื เรยี นทลี ะบท ทกุ เรอ่ื ง และทาํ กิจกรรมทา้ ยบท ให้ครบถว้ นทุก กจิ กรรมหรอื แบบฝึกหดั
3.3 ทําแบบทดสอบหลังเรียน อีกคร้ังและตรวจให้คะแนนตามเฉลยท้ายเล่มและนํา คะแนนทีได้มาเปรียบเทียบกับคะแนนก่อนเรียน ว่าเพ่ิมขึ้นหรือไม่หากน้อยกว่าเดิมให้กลับไปศึกษา ทบทวนบทเรียนอีกครั้ง หากได้คะแนนเพิ่มข้ึนจากก่อนเรียน แต่ยังไม่พอใจระดับคะแนนให้ลองกลับไป ทบทวนบางบทเรียนที่ไม่เข้าใจเพ่ิมเติมจะช่วยให้นักศึกษามีความรู้ ความเข้าใจตามผลการเรียนรู้ท่ี คาดหวงั 4. นอกจากศึกษาจากหนงั สือเรยี นน้ีแล้วนักศึกษาควรหาความร้เู พ่ิมเตมิ จากแหล่งการเรยี นรู้ อน่ื ๆ เช่น เวบ็ ไซต์ หอ้ งสมดุ ประชาชน ผ้รู ใู้ นเรอ่ื งนั้นๆ เป็นต้น
โครงสร้างหนงั สือเรียน รายวิชา การพัฒนาความเปน็ ผ้นู ํา รหัส สค33032 สาระสาํ คญั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การพัฒนาความผู้นํา เป็นการจัดกิจกรรมท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ พัฒนาความเป็นผู้นํา การเป็นผู้นําน้ันไม่ใช่เป็นกันง่าย ๆ ที่ทุกคนก็เป็นได้ ผู้นําจะต้องมีคุณสมบัติพิเศษ เด่นกว่าบุคคลอ่ืน ๆ จะต้องมีความเข้มแข็งอดทนมีมนุษยสัมพันธ์เข้ากับบุคคลท่ัวไปได้ ผู้นําที่ดีควรเป็น ผู้นําท่ีมีจิตสํานึก จิตสํานึกของผู้นําคืออะไร จิตสํานึกของผู้นําคือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ความเป็นตัวของ ตัวเอง รจู้ กั ตนเอง ไมห่ ลงตน สามารถควบคุมตัวเองได้ ว่าสิ่งใดควรประพฤติปฏิบัติ รู้ถึงบทบาทหน้าที่ของ ตนเองและมีความรับผิดชอบในบทบาทหนา้ ที่นั้น สามารถนาํ มาปรบั ใช้ในการดาํ เนินชีวิตประจําวนั ได้ ผลการเรยี นรู้ท่คี าดหวัง 1. มีความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับบทบาท และหน้าทข่ี องผู้นํา 2. มที ักษะในการเสรมิ สร้างบุคลิกภาพและมคี ุณธรรม 3. สามารถนําความรู้ท่ไี ด้รับมาประยกุ ต์ใช้ ในชวี ติ ประจําวนั ขอบข่ายเนอ้ื หา บทที่ 1 แนวคดิ พืน้ ฐานด้านการพฒั นาความเป็นผู้นาํ เร่ืองท่ี 1 หลักการพฒั นาตนเอง เรื่องท่ี 2 ความหมายของการพฒั นาตน เรือ่ งท่ี 3 แนวคดิ พ้นื ฐานในการพัฒนาตน เรอ่ื งท่ี 4 ความสาํ คญั ของการพัฒนาตน บทที่ 2 ความหมายและความสําคัญของความเป็นผูน้ าํ เรือ่ งที่ 1 ความหมายของความเป็นผู้นํา เรือ่ งที่ 2 แนวคดิ เก่ยี วกับภาวะผ้นู าํ เร่อื งท่ี 3 ความมีประสทิ ธิภาพของความเปน็ ผู้นาํ เรื่องท่ี 4 เครื่องมอื วดั ภาวะผู้นาํ บทท่ี 3 การบริหารจดั การสู่ความเปน็ ผู้นาํ เร่อื งที่ 1. การบรหิ ารจัดการกับความเปน็ ผนู้ ํา เรื่องท่ี 2. บริบทใหมข่ ององค์การยคุ ปจั จบุ นั เร่อื งที่ 3. ลกั ษณะของการบริหารจัดการ บทท่ี 4 คุณลกั ษณะ ทกั ษะและพฤตกิ รรมของผู้นําที่มีประสิทธผิ ล เรอื่ งท่ี 1 คณุ ลกั ษณะและทกั ษะท่ีแยกผูน้ ําจากบุคคลทไ่ี ม่ใช่ผู้นํา เร่อื งที่ 2 พฤตกิ รรมของผนู้ ําท่มี ปี ระสทิ ธผิ ล
บทท่ี 5 ผ้นู าํ : คณุ ลักษณะและทกั ษะ เรือ่ งท่ี 1 คณุ ลกั ษณะของผู้นํา เรื่องท่ี 2 คุณลกั ษณะดา้ นการบรหิ ารจัดการทม่ี ีประสทิ ธิผล เรอื่ งท่ี 3 ทักษะการบริหารและความมีประสิทธผิ ล กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. แบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลังเรียน 2. ศึกษาหนังสือแตล่ ะบท 3. ทําใบงาน 4. ตรวจสอบความรจู้ ากเฉลยและแนวทางการตอบทา้ ยเล่ม 5. ศึกษาเพมิ่ เติมจากแหลง่ การเรียนรู้เพ่มิ เตมิ การวัดและประเมนิ ผลการเรียน 1. ใบงาน 2. ทดสอบหลงั เรียน
แบบทดสอบก่อนเรยี น 1. หลกั สําคญั ของการพัฒนาตนเองคือ ก. การค้นหาจดุ ออ่ นของตนเอง ข. การคน้ หา การยอมรับ และการพัฒนาตนเอง ค. การเขา้ รว่ มการอบรมต่างๆ ง. การปรับตนเองให้เขา้ กบั ผอู้ ื่น 2. บคุ คลในขอ้ ใดมีภาวการณ์เป็นผนู้ ํา ก. นายแดง นาํ ความร้ทู ่ีไดเ้ รยี นมาไปสอนผู้อืน่ ข. นายเขียว เขา้ ร่วมกิจกรรมของหมู่บ้าน ค. นายดาํ นาํ ชาวบา้ นไปพฒั นาหมบู่ า้ น ง. นายขาว ขยนั ทํางานสว่ นรวม 3. การสํารวจจุดออ่ นของตนเองมผี ลดีอย่างไร ก. ดตี อ่ การพัฒนาตนเอง ข. ดีต่อการปรับปรุงตนเอง ค. ดีตอ่ การทาํ งานร่วมกัน ง. ดีต่อความสัมพันธ์ของครอบครัว 4. เราสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างไร ก. การเขา้ รับการอบรม ข. การฝึกฝน ค. การเรียนรู้ ง. ถูกทกุ ขอ้ ทก่ี ลา่ วมา 5. บุคคลในข้อใดสามารถปรับเปลย่ี นตนเองได้ ก. สม้ ชอบทาํ อะไรเหมือนเดิม ข. สมจติ ชอบแสวงหาความรู้ ค. ประพนธ์ชอบการสงั สรรค์ ง. จนิ ดาชอบการเลียนแบบ 6. ผู้นาํ มีความหมายว่าอยา่ งไร ก. ผู้ท่เี ป็นผู้นาํ กลุ่ม ข. ผู้ที่เป็นผู้นาํ กลุ่มใดกลมุ่ หนึ่ง ค. ผู้ทถ่ี ูกเลอื กใหเ้ ป็นผู้นาํ ง. ถกู ทุกข้อทีก่ ลา่ วมา
7. Self – Leadership หมายถงึ ก. การเปน็ ผนู้ าํ ตนเอง ข. การเปน็ ผ้นู ําแบบทีม ค. การเป็นผนู้ าํ เชงิ สญั ลักษณ์ ง. การเป็นผู้นาํ เชิงกลยทุ ธ์ 8. การเป็นผูน้ ําทีม่ ปี ระสิทธภิ าพดไู ดจ้ าก ก. การประสบผลสาํ เร็จในการงาน ข. การที่ผู้รว่ มงานมีความพึงพอใจ ค. บรหิ ารกจิ การมีผลกาํ ไรดี ง. ครอบครัวมคี วามสขุ อย่ดู ีกินดี 9. องค์ประกอบของการเปน็ ผู้นําส่งิ ใดสําคัญทีส่ ดุ ก. ผนู้ าํ ข. ผู้ตาม ค. บริบท ง. ผลลพั ธ์ 10. บรบิ ท Content หมายถึง ก. ความเปน็ จรงิ ข. สถานการณ์ ค. ความพงึ พอใจ ง. ความสามารถของผ้นู าํ 11. ทฤษฏดี า้ นภาวะผู้นาํ ของ คอตเตอร์ คือ ก. การนําควบคู่กบั การบริหาร ข. การนาํ ควบคกู่ ับความเมตตา ค. การนําควบคกู่ ับการปรบั ปรุง ง. การนาํ ควบคกู่ ับการพัฒนา 12. การบรหิ ารจดั การ The Funetions of Managemert หมายถงึ ก. การทําให้องค์กรมผี ลกําไร ข. การทาํ ให้องค์กรขยายใหญ่โต ค. การทําให้องค์กรบรรลเุ ปา้ หมาย ง. การทาํ ใหบ้ ุคคลท่อี ยู่ในองค์กรมีอยู่มกี ิน 13. บทบาทของการบริหารจดั การดา้ นใดที่เกี่ยวข้องกบั การสรา้ งสัมพันธภาพ ก. ด้านขา่ วสาร ข. ด้านความสัมพนั ธ์ ค. ดา้ นการตัดสินใจ ง. ถูกทุกขอ้ ท่ีกล่าวมา
14. การจัดการทีด่ ีควรมีลกั ษณะอยา่ งไร ก. จัดแผนงานใหเ้ ป็นระบบ ข. จดั สรรบคุ ลากรให้ตรงกบั งาน ค. จัดสิ่งอาํ นวยความสะดวกให้กบั องค์กร ง. จัดวางอํานาจให้กับหน่วยงาน 15. Open mind คือ ก. บคุ คลทมี่ ีความขยัน ข. บุคคลทมี่ ีความประหยัด ค. บุคคลทม่ี ีความใจกว้าง ง. บคุ คลทเ่ี ขา้ กบั บุคคลอ่นื ได้งา่ ย 16. คณุ ลักษณะทส่ี าํ คญั ของการเปน็ ผู้นําคือ ก. การมีสตปิ ัญญาสามารถแก้ไขปญั หาได้ ข. มีความรดู้ า้ นต่างๆ ค. มีความทะเยอทะยาน ง. มกี ารตดั สนิ ใจที่ดี 17. ความต้องการของคนมีด้วยกนั กด่ี า้ น ก. ต้องการความสขุ สบาย มีเงนิ ทอง ข. ตอ้ งการอาํ นาจ ความรัก ความสําเรจ็ ค. ตอ้ งการความรัก ความสุข การมอี ํานาจ ง. ตอ้ งการอํานาจ เงนิ ทอง ความรัก 18. ผบู้ รหิ ารที่ประสบความสําเร็จจะต้องปฏบิ ตั ิอย่างไร ก. รู้จกั ป้องกนั ตนเอง ข. รู้จกั ควบคมุ อารมณ์ ค. รู้จักประเมินสถานการณ์ ง. รูจ้ ักใชค้ น 19. ทกั ษะดา้ นเทคนคิ มีความสําคญั อย่างไร ก. ช่วยในการบรหิ ารจดั การ ข. ช่วยในการพัฒนา ค. ช่วยในการวางแผน ง. ชว่ ยในการปรับตัว 20. การเป็นผูน้ ําทด่ี คี วรปฏบิ ัติอย่างไร ก. มคี ณุ ธรรม ข. มีการวางตวั ท่ดี ี ค. มีการพัฒนาตนเอง ง. ถกู ทกุ ขอ้ ท่ีกลา่ วมา
หนงั สือเรียนวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผนู้ ํา(3) รหัส สค33032 บทท่ี 1 แนวคดิ พนื้ ฐานด้านการพัฒนาความเป็นผนู้ ํา หลักการพัฒนาตนเอง การพฒั นาตวั เองให้ก้าวหน้าเราควรยึดหลกั การเบื้องต้น 3 ประการคอื 1. อ่านตัวให้ออก หมายถงึ ตอ้ งศึกษาตัวเอง สํารวจตวั เอง เพื่อใหเ้ รารู้จักภาวะที่แท้จรงิ ของตัวเองให้ไดว้ า่ มีความรู้ ความสามารถ สติปญั ญา สภาพ มกี าํ ลงั เรย่ี วแรงเท่าไหร่ ทีส่ ําคญั ตอ้ งร้ตู ัวเองวา่ มี ความตอ้ งการอะไรกนั แน่ 2. บอกตัวใหไ้ ด้ หมายถึง ต้องสอนตัวเราเอง เตอื นตัวเอง โดยทั่วไปแลว้ คนเรานน้ั มักไม่ได้ ทาํ สอนและเตือนคนอน่ื ไดส้ ารพดั ใหเ้ ขาทาํ อย่างนน้ั ปฏิบัตอิ ย่างน้ี แตต่ ัวเองน้ันไม่ยอมสอนและไม่ยอมเตือน จงึ พบกับความผดิ พลาดแท้ท่ีจริงการสอนและเตือนตัวเองนั้นทาํ ไดย้ ากที่สดุ ฝึกกย็ าก ดัดกย็ าก ดงั นนั้ จึงมีคาํ สอนวา่ จงเตือนตน ของตน ใหพ้ ้นผิด ตนเตอื นจติ ตนได้ ใครจะเหมือน ตนเตือนตน ไม่ได้ ใครจะเตือน ตนแชเชอื น ใครจะเตือน ใหป้ ่วยการ 3. ใช้ตัวใหเ้ ป็น หมายถึงวา่ กระตนุ้ เตือนตัวเองใหท้ ํางาน และทาํ ตวั ให้เปน็ ประโยชน์ดว้ ย ตวั เอง คิดทาํ งานเอง คดิ ชว่ ยคนอนื่ เอง โดยไมร่ อใหใ้ ครมาใช้ ไม่ต้องรอให้ใครมาสั่งถึงทาํ ตัวเองเห็นเหมาะ เห็นควรอยา่ งไรกท็ ํา เมื่อเห็นว่าสิ่งน้ันดี ถกู ต้อง และเป็นประโยชนก์ ็ทําไป เปน็ การสรา้ งเสน่หใ์ ห้กบั ตัวเอง คนเราน้ันนยิ มให้ผอู้ น่ื มานยิ มยกย่องตนกันท้ังน้ัน แตค่ นแบบนี้นน้ั ต้องมดี ี มเี สน่หใ์ นตวั คนที่ขาด สง่ิ เหล่าน้ีกไ็ ม่มีใครมารัก ความหมายของการพัฒนาตน การพฒั นาตน ตรงกับภาษาอังกฤษว่า self-development แตย่ ังมีคําท่ีมคี วามหมายใกล้เคยี งกบั คําว่า การพัฒนาตน และมักใชแ้ ทนกันบ่อยๆ ไดแ้ ก่ การปรบั ปรุงตน (self-improvement) การบรหิ ารตน (self- management) และการปรับตน (self-modification) หมายถงึ การเปลีย่ นแปลงตัวเองใหเ้ หมาะสมเพื่อสนอง ความตอ้ งการและเป้าหมายของตนเอง หรอื เพอื่ ให้สอดคลอ้ งกบั สิง่ ท่สี ังคมคาดหวงั ความหมายที่ 1 การพฒั นาตนคือการทีบ่ คุ คลพยายามที่จะปรับปรุงเปลย่ี นแปลงตนดว้ ยตนเองให้ดีขึ้น กวา่ เดมิ เหมาะสมกว่าเดิม ทําให้สามารถดาํ เนินกจิ กรรม แสดงพฤติกรรม เพ่ือสนองความตอ้ งการ แรงจูงใจ หรอื เป้าหมายท่ตี นตั้งไว้ ความหมายที่ 2 การพัฒนาตนคอื การพฒั นาศักยภาพของตนดว้ ยตนเองใหด้ ีข้นึ ท้งั ร่างกาย จติ ใจ อารมณ์ และสังคม เพ่ือให้ตนเปน็ สมาชกิ ท่มี ปี ระสิทธภิ าพของสังคม เป็นประโยชนต์ ่อผู้อน่ื ตลอดจนเพอ่ื การดํารงชีวิต อย่างสนั ติสขุ ของตน
หนงั สือเรียนวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผนู้ ํา(3) รหัส สค33032 2 แนวคดิ พนื้ ฐานในการพฒั นาตน บคุ คลทจี่ ะพฒั นาตนเองได้ จะตอ้ งเป็นผูม้ งุ่ มนั่ ท่ีจะเปลี่ยนแปลงหรอื ปรบั ปรุงตัวเอง โดยมีความเช่ือหรือ แนวคดิ พน้ื ฐานในการพัฒนาตนทถ่ี กู ต้อง ซ่ึงจะเปน็ สิ่งทช่ี ่วยส่งเสรมิ ใหก้ ารพฒั นาตนเองประสบความสําเร็จ แนวคดิ ท่ีสําคญั มีดงั นี้ 1. มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพทมี่ ีคุณคา่ อย่ใู นตวั เอง ทาํ ให้สามารถฝึกหดั และพัฒนาตนได้ในเกือบทุกเรื่อง 2. ไม่มบี ุคคลใดทม่ี คี วามสมบรู ณ์พร้อมทกุ ด้าน จนไม่จําเป็นตอ้ งพฒั นาในเรื่องใดๆ อกี 3. แม้บคุ คลจะเป็นผูท้ ีร่ จู้ กั ตนเองไดด้ ีท่ีสดุ แตก่ ็ไมส่ ามารถปรับเปลีย่ นตนเองไดใ้ นบางเรื่อง ยงั ตอ้ ง อาศยั ความชว่ ยเหลอื จากผ้อู ่ืนในการพัฒนาตน การควบคุมความคิด ความรูส้ ึก และการกระทําของตนเอง มี ความสําคัญเท่ากบั การควบคุมสิง่ แวดลอ้ มภายนอก 4. อปุ สรรคสาํ คญั ของการปรบั ปรุงและพัฒนาตนเอง คือ การทบี่ คุ คลมีความคิดตดิ ยดึ ไม่ยอม ปรบั เปลย่ี นวิธีคดิ และการกระทาํ จึงไม่ยอมสร้างนิสัยใหม่ หรือฝึกทักษะใหมๆ่ ท่ีจําเป็นต่อตนเอง 5. การปรับปรงุ และพัฒนาตนเองสามารถดําเนินการไดท้ ุกเวลาและอย่างต่อเนื่อง เมือ่ พบปัญหา หรอื ขอ้ บกพรอ่ งเกย่ี วกับตนเอง ความสาํ คัญของการพัฒนาตน บคุ คลลว้ นต้องการเปน็ มนุษย์ทีส่ มบูรณ์ หรืออย่างน้อยก็ต้องการมชี วี ิตท่ีเปน็ สุขในสังคม ประสบ ความสาํ เร็จตามเป้าหมายและความต้องการของตนเอง พัฒนาตนเองได้ทนั ต่อการเปล่ยี นแปลงทีเ่ กดิ ขึ้นในสงั คม โลก การพัฒนาตนจงึ มีความสําคญั ดังนี้ ก. ความสาํ คัญต่อตนเอง จําแนกได้ดงั น้ี 1. เป็นการเตรยี มตนให้พรอ้ มในดา้ นต่างๆ เพื่อรบั กับสถานการณท์ ั้งหลายไดด้ ้วยความรูส้ ึก ท่ีดีต่อตนเอง 2. เปน็ การปรับปรุงสงิ่ ทบี่ กพร่อง และพัฒนาพฤติกรรมใหเ้ หมาะสม ขจดั คุณลักษณะท่ีไม่ ตอ้ งการออกจากตัวเอง และเสริมสรา้ งคุณลักษณะที่สังคมต้องการ 3. เปน็ การวางแนวทางใหต้ นเองสามารถพฒั นาไปสเู่ ปา้ หมายในชวี ิตได้อย่างม่นั ใจ 4. ส่งเสริมความรสู้ ึกในคุณค่าแหง่ ตนสูงให้ขึน้ มีความเขา้ ใจตนเอง สามารถทําหน้าที่ตาม บทบาทของตนได้เต็มศักยภาพ ข. ความสําคัญต่อบุคคลอน่ื เนื่องจากบุคคลย่อมต้องเกยี่ วขอ้ งสัมพันธ์กัน การพฒั นาในบคุ คลหนงึ่ ย่อม ส่งผลต่อบุคคลอ่ืนด้วย การปรบั ปรุงและพฒั นาตนเองจึงเป็นการเตรียมตนใหเ้ ป็นสิง่ แวดลอ้ มท่ดี ีของผู้อ่ืน ทง้ั บคุ คลในครอบครัวและเพ่ือนในท่ีทาํ งาน สามารถเปน็ ตัวอย่างหรอื เปน็ ที่อา้ งองิ ใหเ้ กิดการพัฒนาในคนอนื่ ๆ ต่อไป เปน็ ประโยชนร์ ่วมกนั ท้งั ชวี ิตสว่ นตัวและการทํางานและการอยู่ร่วมกันอยา่ งเปน็ สขุ ในชุมชน ที่จะสง่ ผลให้ชุมชนมี ความเข้มแข็งและพฒั นาอย่างตอ่ เน่ือง ค. ความสาํ คญั ต่อสงั คมโดยรวม ภารกิจท่ีแตล่ ะหน่วยงานในสังคมต้องรบั ผิดชอบ ลว้ นตอ้ งอาศัย ทรพั ยากรบุคคลเป็นผู้ปฏบิ ตั ิงาน การที่ผูป้ ฏบิ ัติงานแตล่ ะคนได้พัฒนาและปรับปรงุ ตนเองให้ทนั ตอ่ พฒั นาการของ รปู แบบการทาํ งานหรอื เทคโนโลยี การพฒั นาเทคนิควิธี หรอื วธิ ีคิดและทักษะใหม่ๆ ท่ีจาํ เปน็ ตอ่ การเพ่มิ ประสทิ ธิภาพการทํางานและคณุ ภาพของผลผลิต ทาํ ใหห้ นว่ ยงานนนั้ สามารถแข่งขนั ในเชิงคณุ ภาพและ ประสทิ ธิภาพกับสงั คมอื่นได้สูงขึน้ สง่ ผลให้เกดิ ความมั่นคงทางเศรษฐกจิ ของประเทศโดยรวมได้
หนงั สอื เรยี นวชิ าเลือก สาระการพัฒนาสงั คม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหัส สค33032 3 บทที่ 2 ความหมายและความสาํ คัญของความเปน็ ผนู้ าํ ความหมายของความเปน็ ผู้นํา ความเปน็ ผู้นาํ ” leader” หรอื การเป็นผู้นาํ “ leadership ” มผี ใู้ ห้คาํ นิยามความหมายทีแ่ ตกต่างกนั ออกไป ได้มผี ใู้ หน้ ิยาม “ผูน้ าํ ”ไว้ดงั นี้ 1. ผ้นู ํา คอื บคุ คลท่ีมีลักษณะอยา่ งใดอยา่ งหนึง่ ใน 5 อย่างต่อไปน้ี 1. มบี ทบาทหรอื มีอิทธพิ ลต่อคนในหน่วยงานมากกว่าผอู้ น่ื 2. มบี ทบาทเหนือบุคคลอืน่ 3. มบี ทบาทสําคัญท่สี ดุ ทท่ี ําใหห้ นว่ ยงานบรรลเุ ปา้ หมาย 4. ได้รบั เลือกจากผู้อื่นใหเ้ ป็นผ้นู ํา 5. เป็นหัวหนา้ ของกล่มุ 2. ผ้นู าํ คอื บคุ คลในกลุ่มซ่ึงไดร้ ับมอบหมายหน้าท่ีให้ควบคุมหรือประสานงานกจิ กรรมต่าง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง กับภารกิจของกลุ่ม 3. ผูน้ าํ คอื บุคคลที่ถกู เลือกหรอื ไดร้ ับการแตง่ ต้ังให้นํากลุ่มและมีอิทธพิ ลต่อกิจกรรมตา่ ง ๆ ของกลุ่มเพื่อ การบรรลเุ ป้าหมายของกลุ่มและเพื่อทาํ หนา้ ทห่ี วั หน้าของกลมุ่ กลา่ วโดยสรุป “ผูน้ ํา” คอื บุคคลท่ีได้รบั มอบหมาย ซ่ึงอาจโดยการเลือกตงั้ หรอื แต่งตั้งและเปน็ ทย่ี อมรับ ของสมาชิกให้มีอิทธิพลและบทบาทเหนอื กลุ่ม สามารถที่จะจูงใจชักนํา หรือชน้ี ําให้สมาชกิ ของกลุม่ รวมพลังเพ่ือ ปฏิบัติภารกิจตา่ ง ๆ ของกลมุ่ ใหส้ าํ เร็จ สาํ หรับ “ความเป็นผู้นาํ ” นน้ั ได้มีผใู้ หน้ ยิ ามไวด้ งั นี้ ความเปน็ ผู้นํา คือ พฤติกรรมของบุคคลในการกาํ กบั กิจกรรมของกลมุ่ ไปส่เู ปา้ หมายรว่ มกัน หรือ ความเปน็ ผ้นู ํา คอื การใช้อิทธิพลเพ่มิ ทส่ี งู กวา่ และมากกว่ากลไกการทาํ งานปกตทิ ใ่ี ช้กาํ กับงานประจาํ องค์การ ความเป็นผู้นํา เป็นความสัมพันธร์ ะหวา่ งบคุ คลซึง่ เก่ยี วข้องกับการใช้อทิ ธิพลและอํานาจ ความเปน็ ผนู้ ํา เปน็ กระบวนการของการใช้อิทธิพลต่อกิจกรรมต่าง ๆ ของกลมุ่ เปา้ หมายและบรรลุ เป้าหมาย ความเป็นผู้นํา เปน็ กระบวนการท่ผี ้นู ําชว่ ยสรา้ งความชัดเจนแกผ่ ู้ใตบ้ งั คบั บัญชาใหร้ บั รวู้ ่า อะไรคือ ความสาํ คัญ ให้ภาพความเป็นจรงิ ขององค์การแก่ผู้อ่ืน ชว่ ยให้มองเหน็ ทิศทางและจดุ ม่งุ หมายอย่างชัดเจนภายใต้ ภาวะการเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ของโลก นยิ ามภาวะผนู้ ําใหม่ภายใต้แนวคิดด้านบรบิ ทสภาวะแวดล้อมของโลกทเ่ี ปลยี่ นแปลงอย่างรวดเรว็ ไดแ้ ก่ ความเป็นผนู้ ํา หมายถงึ การจุดประกายวิสยั ทัศน์ให้ผู้อนื่ มองเห็น พร้อมทั้งปลกู ฝังคา่ นิยมและสรา้ ง สภาวะแวดลอ้ มที่เออ้ื อาํ นวยให้สามารถปฏบิ ตั ิไดส้ าํ เรจ็ ความเปน็ ผนู้ าํ เปน็ กระบวนการให้จุดมงุ่ หมาย (ทศิ ทางที่มีความหมาย)เพ่ือใหเ้ กดิ การรวมพลังความ พยายามนน้ั เพ่ือใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย
หนงั สอื เรียนวชิ าเลือก สาระการพัฒนาสังคม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผนู้ ํา(3) รหัส สค33032 4 ความเป็นผนู้ าํ คอื ความสามารถที่จะก้าวออกมาจากวฒั นธรรมเดิม เพอ่ื เรม่ิ กระบวนการววิ ฒั นาการและ การเปลย่ี นแปลงท่ีทําใหม้ ีการปรับตัวไดม้ ากข้ึน ความเปน็ ผูน้ ํา เปน็ กระบวนการสร้างความสมเหตผุ ลในการทํางานรว่ มกันของบุคคลต่าง ๆ เพอ่ื สร้าง ความเข้าใจและความผกู พนั ให้เกิดขน้ึ กับคนเหลา่ น้ี แนวคดิ เก่ยี วกับภาวะผนู้ าํ ยังมีแนวคิดที่เป็นมโนทศั น์เกี่ยวกบั ความเป็นผนู้ าํ ที่ควรแก่การสนใจเพิ่มเตมิ จากทก่ี ล่าวมาแล้วซ่งึ ได้แก่ ความเป็นผนู้ าํ ตนเอง ความเป็นผู้นําทีมงาน ความเป็นผู้นําเชงิ กลยุทธ์ และความเปน็ ผู้นาํ เชงิ สญั ลักษณ์ เปน็ ตน้ 1. ความเป็นผู้นําตนเอง แนวคิดความเป็นผ้นู ําตนเอง มพี ้นื ฐานจากแนวคดิ “ตนเป็นผนู้ ําตนเอง” การนาํ ตนเองของบุคคล ประกอบดว้ ย การเรม่ิ ตน้ ด้วยตนเอง การกําหนดทิศทางและการจงู ใจดว้ ยตนเอง การให้รางวัลผลความสําเร็จส่วน ตน และการตดิ ตามตรวจสอบหาสาเหตขุ องความล้มเหลว ไดเ้ สนอบทบาทของผ้นู ําในศตวรรษท่ี21 ภายใต้แนวคิด ที่เรียกวา่ ภาวะผูน้ ําช้นั ยอด โดยให้คาํ นิยามของผูน้ าํ แบบดังกล่าววา่ “ผนู้ ําสุดยอด คือ ผู้นาํ สดุ ยอด คือ ผนู้ ําคนอน่ื เพอ่ื ให้เขาสามารถนําตนเอง 2. ความเปน็ ผนู้ าํ แบบทีม ตัวอย่างของความเป็นผู้นาํ แบบทีมงานเกิดข้ึนจากการยุบรวมกจิ การของบริษัทประกอบธุรกิจขนาด ใหญเ่ ข้าด้วยกนั แลว้ จัดการแบบบริหารจดั การใหม่ เชน่ กรณี เกดิ ขนึ้ ทส่ี หรัฐ ในปี 1998 เมอื่ บรษิ ัทประกันภัย เทรเวลเลอร์(Travelers Insurance) ยบุ รวมเข้ากบั สถาบันการเงนิ ขนาดใหญ่ ช่ือ ซิตีคอร์ป (Citicorp) ภายใต้ การนาํ รว่ มจากบริษทั เดมิ ท้ังสองในลกั ษณะผู้นาํ แบบทีมงานที่บรหิ ารร่วมกนั ในฐานะประธานกรรมการบรหิ าร โดยมแี นวคดิ ของภาวะผนู้ ําแบบทมี ได้แก่ 1. คณะผู้นําในทมี จะยึดมั่นต่อเปา้ หมายและพันธกิจที่ผูน้ ํากําหนดรว่ มกัน 2. คณะผนู้ ําในทมี ตา่ งมคี วามรับผดิ ชอบร่วมกันทีส่ ามารถตรวจสอบได้ 3. คณะผนู้ าํ ในทีมต้องไวใ้ จซึง่ กนั และกัน และทีมบริหารของคณะผ้นู ําจะต้องสร้างวัฒนธรรมการทาํ งาน ร่วมกนั 4. คณะผ้นู ําในทมี จะใช้ภาวะผนู้ ําร่วมกันในดา้ นต่าง ๆ 5. เปน็ ผลที่เกิดข้ึนจากความเป็นผ้นู ําแบบทมี คอื การได้ผลงานเพิม่ ขึ้นจากทค่ี วรเปน็ ตามปกติ 3. ความเปน็ ผ้นู าํ เชิงกลยุทธ์ การเป็นผู้นําเชิงกลยุทธ์ หมายถึง ผูน้ ําหรือกลุ่มผู้นาํ ระดบั สูงทม่ี ีความหมายในการคาดการณ์ มมี มุ มอง ระยะยาวและสรา้ งความยืดหยุน่ ใหอ้ งค์การบรรลุเปา้ หมาย โดยมีขอบเขตความรบั ผดิ ชอบงานท้ังองค์การ
หนังสอื เรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผ้นู ํา(3) รหัส สค33032 5 4. ภาวะผนู้ าํ เชงิ สัญลักษณ์ สัญลกั ษณ์ ศาสนพิธี คาํ ขวัญหรอื ภาษติ ตา่ ง ๆ ประวัตแิ ละคําสอน นิยายหรือตํานานชาดก สงิ่ ต่าง ๆ เหลา่ นลี้ ้วนเปน็ เครื่องมือสําคัญของภาวะผนู้ ําท้งั สนิ้ ปรากฏวา่ หลังจากผ่านการใช้เป็นเครือ่ งมือในการถา่ ยทอดสบื ต่อกนั มายาวนานร้อยนบั พนั ปี ส่งิ เหล่าน้ันคอ่ ยเปล่ียนสภาพจากความเป็นเครื่องมือมามีความเป็นเสมอื นสถาบัน ท่ี สามารถแสดงบทบาทความเป็นผู้นําขึ้นมาได้ในทีส่ ดุ บุคคลสําคญั ของโลกท่ีอย่ใู นขา่ ยดงั กล่าวได้แก่ พระพุทธเจา้ พระเยซูคริสต์ พระมุฮมั มดั เป็นตน้ ซ่งึ ยงั ล่วงลบั ไปนับพันปแี ล้วคงมีภาวะความเป็นผูน้ ําอยา่ งสูงย่ิงในโลกปัจจุบัน ทัง้ ทท่ี ่านเหลา่ น้ีลว่ งลบั ไปนับพนั ปแี ลว้ แต่ยังคงความเปน็ ผู้นาํ เชิงสัญลกั ษณ์ของโลก โดยแสดงบทบาทภาวะผ้นู าํ ของท่านผา่ นกระบวนการของเครื่องมือดงั กลา่ วมาแล้วน่นั เอง ความมีประสิทธิภาพของความเปน็ ผู้นํา ประสิทธิภาพของความเปน็ ผู้นําในแง่การปฏบิ ัติของกลุ่มวา่ 1. ผนู้ ําจะมีประสทิ ธผิ ลกต็ ่อเมอื่ กลุ่มของตนสามารถปฏบิ ตั ิงานบงั เกิดผลดี 2. ผูน้ าํ จะมีประสทิ ธิผลกต็ ่อเมอ่ื ผตู้ ามของตนเองบังเกิดความพึงพอใจ 3. ความสําเรจ็ ของผนู้ ําทสี่ ามารถก่อใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงในขอบเขตภาพกวา้ งขน้ึ ในองค์การ ความมีประสิทธผิ ล หมายถงึ การช่วยเหลอื ให้คนไดส้ อื่ สารระหวา่ งกนั มากขึน้ มีการร่วมมือกนั มากข้นึ และสามารถรเิ ร่ิมสรา้ งสรรคส์ ่ิงใหม่ ๆ เพ่ิมขนึ้ การวัดความมีประสิทธิผลความเปน็ ผนู้ าํ โดยการแยกออกเปน็ 2 ประเด็น คือ ผ้บู รหิ ารท่ีมีประสิทธผิ ล กบั ผ้บู ริหารท่มี ีประสบผลสาํ เร็จ ผบู้ ริหารทม่ี ปี ระสิทธผิ ล ไดแ้ ก่ ผทู้ ่ีสามารถทําให้พนกั งานมผี ลงานดีและมีความพึงพอใจดว้ ย ในขณะท่ี ผ้บู ริหารทป่ี ระสบความสําเร็จ ไดแ้ ก่ ผู้ท่ีสนับสนุนใหเ้ จริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ผู้บริหารทป่ี ระสบความสําเร็จนน้ั จะมภี ารกจิ ที่เป็นแบบของกจิ กรรมต่าง ๆ ที่ไมเ่ หมือนกัน กลา่ วคอื ผ้บู รหิ ารทม่ี ปี ระสิทธิผลจะใชเ้ วลาสว่ นใหญไ่ ป กับกจิ กรรมเพ่ือการสื่อสารกบั ผ้ใู ต้บงั คบั บัญชาการบริหารความขัดแยง้ การจัดการฝึกอบรม กิจกรรมด้านการ พฒั นาและการจงู ใจพนักงาน ในขณะทผ่ี ู้บรหิ ารท่ีประสบความสาํ เร็จจะไมม่ ุ่งท่ีพนักงาน แตจ่ ะให้ความสาํ คญั เรื่อง การสรา้ งเครือขา่ ย ซ่งึ เกยี่ วกับการปฏิสัมพันธก์ ับบุคคลภายนอก การเข้ารว่ มกจิ กรรมทางสงั คมและกิจกรรมเชิง การเมือง เป็นหลกั ความมีประสทิ ธผิ ลของภาวะผนู้ าํ จงึ มีองคป์ ระกอบท่ีสาํ คัญ 3 ประการดังนี้ 1. มกี ารบรรลุเป้าหมาย ซง่ึ ประกอบดว้ ยการบรรลุเป้าหมายด้านการเงนิ ผลผลิตหรือการบรกิ ารที่มี คณุ ภาพ ความสามารถตอบสนองความต้องการของลกู คา้ ได้ดีเป็นตน้ 2. มกี ระบวนการและการดําเนนิ การภายในองคก์ ารทีร่ าบร่นื มบี รรยากาศของความรกั สามัคคี อยา่ งเหนียวแน่นของกลุ่ม มีความพึงพอใจของผู้ตาม และการดําเนนิ งานท่มี ีประสิทธิภาพ 3. มคี วามยดื หย่นุ ตอ่ ปจั จัยภายนอก ซงึ่ หมายถงึ ความสามารถของกลุม่ ในการเปล่ียนแปลงและการ พัฒนาไปสู่ความสําเร็จไดด้ ี สอดคล้องต่อการเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเรว็ ของโลกภายนอก
หนังสอื เรียนวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหสั สค33032 6 เครอื่ งมือวดั ความเปน็ ผนู้ ํา ตอนที่ 1 : ความหมายของความเป็นผนู้ าํ คําอธิบาย : แบบฝกึ หัดต่อไปนี้จะชว่ ยทา่ นในการสร้างนยิ ามของความเปน็ ผู้นาํ ของทา่ นเอง ช่วยทําให้ สมมตฐิ านและความคาดหวังของทา่ นเก่ียวกบั ความเป็นผนู้ ําและความมปี ระสทิ ธผิ ลมคี วาม ชัดเจนมากขนึ้ 1. บรรยายถงึ ผู้นําในอุดมคติของท่าน โดยขอให้ท่านระบุคุณสมบัตทิ ี่พงึ ประสงค์ 5 ประการ และคุณสมบัติทไี่ ม่ พึงประสงค์ 5 ประการ สาํ หรับผนู้ ําในอุดมคตขิ องทา่ น คุณสมบัติทพี่ ึงประสงค์ คุณสมบัตทิ ่ไี ม่พึงประสงค์ 1) ............................................................. 1) ........................................................................... 2) ............................................................. 2) ........................................................................... 3) ............................................................. 3) ........................................................................... 4) ............................................................. 4) ........................................................................... 5) ............................................................. 5) .......................................................................... 2. สร้างคาํ นิยามระดับกล่มุ จดั แบ่งกล่มุ ประมาณ 4-5 คน แตล่ ะคนนําข้อมูลของตนตามข้อ 1 มาอภปิ รายใน กล่มุ พรอ้ มแสดงเหตุผลเพ่ือหาคาํ นิยามของกลุ่ม สรุปคาํ นิยามร่วมของกลุ่ม ความเป็นผู้นาํ .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... 3. นําคาํ นยิ ามของกลมุ่ เสนอต่อชน้ั เรียน พรอ้ มแสดงเหตุผลและตอบขอ้ ซักถาม แต่ละกลุ่มจะใชเ้ วลาประมาณ 5 นาที เพอื่ นาํ เสนอคํานิยามของกลมุ่ ตน 4. หาแนวคดิ รว่ มกนั อภิปรายคํานิยามของกลมุ่ ตา่ ง ๆ เพอื่ แสวงหา 1) อะไรคือสิ่งท่ีเปน็ แนวคดิ ร่วมกนั .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 2) คาํ นิยามของภาวะผนู้ าํ แนวใดทเี่ ปน็ ข้อยุตทิ ่ยี อมรบั .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 3) จากสมมตฐิ านของทา่ นในข้อ 2) สะท้อนถงึ บทบาทของผนู้ าํ อะไรบ้าง .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................
หนังสอื เรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผนู้ ํา(3) รหสั สค33032 7 ตอนที่ 2 : ภาพลักษณ์ของความเปน็ ผนู้ าํ วิธหี น่ึงท่ีช่วยทาํ ใหส้ มติฐานของท่านเกีย่ วกบั ความเปน็ ผ้นู าํ ชดั เจนข้ึน โดยการใช้ภาพลกั ษณ์ เพื่อ บรรยายผู้นําในอนาคตของท่าน ด้วยการใชภ้ าพลักษณ์ดงั กล่าว ทา่ นสามารถเขา้ ใจทัศนะของทา่ นเองเก่ียวกับ บทบาทของผนู้ ําในองค์การและความคาดหวงั และภาพลกั ษณเ์ หลา่ น้ีคือทฤษฎีความเป็นผนู้ ําหน่งึ ทท่ี ่านพัฒนาจาก มมุ มองของตนเอง ตวั อยา่ งเช่นท่านอาจมีทัศนะว่า ผนู้ ําคือผอู้ ย่ใู นฐานะผู้อํานวยความสะดวก ซง่ึ ยอ่ มแน่นอนว่า ภาพลกั ษณ์ทแ่ี ตกต่างจากทัศนะผู้นําคือผู้อยูใ่ นฐานะผ้นู ิเทศงาน 1. การเลือกภาพลักษณ์ของผนู้ าํ ขอให้ทา่ นเลอื กภาพลกั ษณข์ องผู้นาํ ที่อยู่ในอุดมคติของทา่ น 1 คนโดย ระบคุ ณุ สมบัตติ า่ ง ๆ ที่เปน็ ภาพลักษณ์ของผูน้ าํ คนน้ัน .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................. 2. อภิปรายแลกเปลี่ยนในกลุม่ ย่อย แบง่ กลมุ่ ย่อยกลุ่มละ 4-5 คน นําข้อมูลจากข้อ1 มาอภิปราย แลกเปลีย่ นในกลมุ่ ย่อย เพ่ือหาคณุ สมบัตริ ว่ มที่เปน็ ภาพลักษณข์ องผนู้ ําให้ได้ภาพลักษณ์ของผนู้ าํ ที่เปน็ ตวั แทนของ กลมุ่ 3. อภิปรายในระดับช้นั เรียน กลุ่มย่อยนําข้อ 2 มาเสนอเพื่อใหก้ ลมุ่ ใหญค่ ัดไว้ 2 กลุ่ม นาํ ภาพลกั ษณ์ ของผู้นาํ ท่ีคัดไว้มาอภปิ รายคุณสมบัตติ ่าง ๆ ของภาพลักษณ์ในประเด็น 3.1 แบบความเปน็ ผู้นาํ 3.2 ผลกระทบของแบบความเป็นผนู้ ําดงั กลา่ วที่มีต่อองค์การในแง่ตา่ ง ๆ เชน่ โครงสร้าง วฒั นธรรม และแนวทางบริหารจัดการ 3.3 เปรียบเทยี บความเปน็ ผู้นําในอุดมคติตาม ขอ้ 3.1 กับผู้นําคนปจั จุบนั หรอื ในอดตี ขององค์การนน้ั 3.4 ระบุจุดอ่อนจากภาพลักษณ์ของผูน้ ําทีน่ ํามาอภปิ รายเหลา่ นนั้
หนงั สอื เรยี นวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผ้นู ํา(3) รหสั สค33032 8 บทท่ี 3 การบรหิ ารจัดการสู่ความเปน็ ผู้นํา การบริหารจัดการกับความเป็นผู้นํา การบริหาร มักจะมองถึง การดาํ เนนิ การตามหน้าที่หลัก ซึง่ เปน็ กลไกปกติขององค์การ เช่น การวางแผน การจดั องค์การ การอาํ นวยการและการกาํ กับควบคมุ เป็นต้น ในขณะที่การนําหรือความเป็นผนู้ ําเปน็ เร่อื งที่ เกีย่ วข้องกับความสัมพนั ธร์ ะหว่างบคุ คล โดยเฉพาะแนวคิดปจั จบุ นั ทีถ่ อื ว่า การนําหรอื ความเปน็ ผ้นู ําเก่ยี วข้องกับ เรอ่ื งของการเปลีย่ นแปลง การสร้างแรงบันดาลใจ การสรา้ งแรงจูงใจและการใช้อาํ นาจอิทธิพล เป็นต้น ผูเ้ ปน็ หัวหน้าในยคุ ปัจจบุ ันจาํ เปน็ ตอ้ งรู้ทั้งการนํา ควบคูก่ บั การบรหิ าร เพราะต่าง มีความสาํ คัญและ จาํ เป็นสําหรับองค์การ โดยการบริหารจดั การตามแนวความคดิ เดิมนั้นจะช่วยใหอ้ งค์การสามารถตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการของลูกค้า ต่อผู้ถือหนุ้ ของบริษัท ตอ่ พนักงาน และบคุ คลอืน่ ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ แตข่ ณะเดียวกนั องค์การก็ต้องการมีผ้นู าํ ท่ีเขม้ แข็งในการสรา้ งวิสยั ทศั น์ สามารถสรา้ งแรงจงู ใจและแรงบันดาลใจให้แก่พนกั งานได้ดี รวมทั้งนาํ พาองค์การให้เกิดการเปลย่ี นแปลงทสี่ อดคล้องต่อสภาวการณใ์ หม่ได้ แต่ปัญหาขององคก์ ารในปจั จบุ นั ส่วนใหญ่พบวา่ มหี ัวหนา้ ที่มุ่งเนน้ ด้านการบริหารจดั การแต่ขาดการผนู้ ําท่ีมีประสิทธผิ ล โดยเฉพาะอย่างย่ิงคนท่ี สามารถบรู ณาการท้งั ทักษะและคุณลักษณะต่าง ๆ เข้าด้วยกนั ในการทําหนา้ ทเ่ี ปน็ ผู้บรหิ ารและผนู้ าํ ได้ในเวลา เดยี วกนั กย็ ิง่ นับวา่ มีจาํ นวนน้อย บริบทใหมข่ ององคก์ ารยคุ ปัจจบุ ัน โลกปัจจุบันของเราก้าวสู่ยุคกระแสโลกาภิวัฒน์ทมี่ กี ารเปล่ียนแปลงอย่างมากมาย อันเนื่องมาจากการ วิจยั คน้ คว้า และการพฒั นาเทคโนโลยโี ทรคมนาคมด้วยดาวเทยี มรูปแบบต่างๆและเสน้ ใยแกว้ นาํ แสง ทําให้การ ตดิ ตอ่ สอ่ื สารถา่ ยทอดความรู้ขอ้ มูลสารสนเทศระหวา่ งประเทศทว่ั โลกกระทําไดง้ ่ายทรวดเร็วเพยี งเสี้ยววนิ าที คา่ ขนสง่ และการตดิ ต่อส่อื สารซ่ึงเคยมสี ูงกลับลดต่าํ ลงอย่างมาก เปน็ สาเหตใุ ห้เกดิ โอกาสใหมใ่ นการคา้ ระหว่าง ประเทศ โดยเฉพาะความฉับไวของการตดิ ตอ่ ตกลงการลงทุนและการค้า คา่ ขนส่งท่ถี ูกลง ทําให้สามารถแยก กระจายลงไปในถิน่ ทแ่ี รงงานยงั ถูก โดยแยกผลติ ส่วนประกอบแล้วขนถา่ ยมาประกอบรวมกัน และสง่ ออกไปขาย โดยท่ัวโลก ด้วยความเจรญิ กา้ วหน้าของเทคโนโลยี เชน่ โทรสาร การสือ่ สารดว้ ยระบบอนิ เตอร์เน็ตและ โทรศัพท์ไร้สาย ตลอดจนการแพร่กระจายของจานรับสัญญาณภาพโทรทัศน์ ทาํ ใหเ้ กิดการยน่ กาลเทศะ เสมือน โลกเล็กลง และเกิดภาวะไร้พรมแดนระหวา่ งประเทศข้ึน ส่ิงเหลา่ นีท้ าํ ใหล้ ักษณะของความรู้และอํานาจ เปลย่ี นแปลงไปดว้ ย ในแง่ความสามารถในการผูกขาด ควบคมุ ของศนู ย์กลางและรฐั ลดต่ําลงอยา่ งรวดเรว็ ในยุคน้ี มนุษย์ตดิ ต่อส่อื สารกันด้วยซุปเปอรไ์ ฮเวย์ทางข้อมลู ข่าวสาร โลกปัจจุบนั จึงเปลย่ี นแปลงจากยคุ อุตสาหกรรมทีด่ าํ เนินต่อเน่ืองมาหลายร้อยปีเขา้ สูย่ ุคสารสนเทศอยา่ ง สมบรู ณ์ โดยเกิดขึ้นอย่างรวดเรว็ และใชช้ ่วงเวลาเพยี งระยะสั้นเท่านนั้ การเปลีย่ นแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบและ กอ่ ใหเ้ กดิ ความจําเปน็ ต้องเปล่ียนแปลงกระบวนการทศั น์แบบเก่า เก่ียวกบั การบรหิ ารจัดการองค์การและบทบาท ความเป็นผนู้ ําไปสมู่ ุมมองทีเ่ ป็นกระบวนการทศั นแ์ บบใหม่ ท่ีสอดคล้องกบั การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก 1.จากเนน้ ความม่นั คงสูเ่ นน้ การเปล่ยี นแปลง ในชว่ งอดีตที่สภาวะแวดล้อมคงที่ มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างชา้ การจดั การรปู แบบขององค์การมลี ักษณะ ท่แี ขง็ ตัวคลา้ ยเคร่ืองจกั ร ซึง่ เป็นรูปแบบที่มุ่งเน้นความสําคัญของผลผลิตและความมปี ระสทิ ธิภาพเปน็ หลัก มี โครงสรา้ งทเ่ี ปน็ ทางการชัดเจนแบบรวมศนู ยแ์ ละมีความซบั ซ้อนมากลดหลน่ั ลงมา ภายใต้บริบทขององค์การเชน่ น้ี ทาํ ให้ผ้นู ําในอดีตไมน่ อ้ ยที่เช่อื วา่ เพยี งแตต่ นมบี ทบาทให้องคก์ ารสามารถดาํ เนนิ การไปได้อย่างปกตสิ มา่ํ เสมอก็
หนงั สอื เรียนวิชาเลือก สาระการพัฒนาสงั คม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหัส สค33032 9 น่าจะเพียงพอต่อการทําใหอ้ งคก์ ารประสบความสาํ เรจ็ ได้แล้ว โดยเห็นว่าการรกั ษาสภาพองคก์ ารให้มีความม่นั คง ได้ก็ชว่ ยในการประหยัดค่าใชจ้ า่ ยและสามารถประหยัดพลังงานดา้ นตา่ งๆ ในการดาํ เนนิ งานธุรกจิ ไดด้ ี การ เปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ข้ึนจะถูกมองวา่ เปน็ สงิ่ ท่ีรบกวนขัดขวางตอ่ การปฏบิ ัติงานและสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยเปลา่ ประโยชน์ อย่างไรกต็ ามการเปล่ยี นแปลง ซ่ึงมีรปู แบบทม่ี ่งุ เน้นการมีความสามารถในการปรบั ตัวและการพัฒนา โลกปัจจุบัน ทําให้ไม่อาจหลกี เลย่ี งการปรบั ตัวใหม่ขององค์การ เพราะการฝนื กระแสด้วยการพยายามรักษาสภาพ เดิมนนั้ นอกจากไมอ่ าจบรรลุเปา้ หมายแลว้ ยังต้องเพิ่มทรัพยากรและพลงั งานมากขน้ึ กวา่ เดมิ อีกดว้ ย กระบวน ทศั น์ใหม่มองเร่ืองการเปลย่ี นแปลงโดยใชท้ ฤษฎีความไร้ระเบียบทางวิทยาศาสตร์ ที่เชอื่ ว่า ภายใต้ภาวะของโลกทมี่ ี ความสลบั ซับซ้อนน้ัน มนุษย์แต่ละคนไดร้ ับผลกระทบจากความไม่แน่นอนทีเ่ กดิ ในลักษณะบังเอญิ โดยเหตุการณท์ ี่ เกดิ ข้ึนในจุดเล็ก ๆ สามารถลุกลามแผ่ขยายวงกว้างออกไปทวั่ โลก พรอ้ มทั้งเกดิ ผลกระทบอ่ืนตามมาอีกมากมาย อยา่ งไม่สามารถคาดการณ์ได้ (ลองนึกถึงกรณีตวั อยา่ งทีป่ ระเทศไทยเปน็ จุดเร่ิมต้นของการเกดิ ภาวะวกิ ฤติ เศรษฐกจิ เมื่อปี 2540 ก่อนลุกลามไปทวั่ ภมู ิภาคและระดบั โลก) ดังนั้นองค์การท่ีปรับเปลย่ี นไปตามบรบิ ทใหมแ่ ละ มกี ระบวนการทศั น์ใหม่ จงึ มรี ูปแบบขององคก์ ารเปรียบเสมือนสิ่งมชี วี ิต มลี กั ษณะโครงสร้างและไม่เป็นทางการ ลดความซบั ซ้อนลงและเน้นการกระจายอาํ นาจมากขึ้นและจากการท่ีองค์การมสี ภาพพลวัต มีสภาพคล่องตัว และ มศี กั ยภาพในการปรบั ตนเองใหม่ ๆ เชน่ น้ี ผู้นาํ สมัยใหม่จึงต้องปรบั ตวั และเรยี นรู้การอยู่ทา่ มกลางกระแสของการ เปล่ยี นแปลงอยา่ งต่อเนื่องท่ีมิอาจหลีกเล่ยี งได้ตามไปดว้ ย ต้องยอมรบั ว่าการเปล่ียนแปลงคอื แหล่งทมี่ าของ ศักยภาพอนั ทรงพลงั มองเห็นวา่ การเปล่ียนแปลงช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทดี่ ีกวา่ เดิม จะต้องเป็นศนู ย์กลางการ เปล่ยี นจากการเน้นความม่ันคงไปสกู่ ารเปลีย่ นแปลงโดยให้ความสําคัญต่อการพฒั นาบุคลากรขององคก์ ารและตวั องค์การอยา่ งต่อเนอื่ ง เพอื่ ให้สภาวะสามารถรองรบั การเปลย่ี นแปลงใหม่ให้ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพต่อไป 2.จากการควบคุมสู่การใชก้ ารกระจายอํานาจความรับผดิ ชอบ ในกระบวนการทศั น์แบบเก่าเชื่อวา่ ผู้นาํ เปน็ ผู้อย่ใู นตาํ แหน่งท่ที รงอาํ นาจในการกําหนดว่า จะตอ้ งทาํ อะไรบ้าง มวี ิธที ําอยา่ งไร ทาํ เมอ่ื ไร ใครเปน็ ผู้ทาํ หรือทาํ กับใคร เป็นต้น ผูน้ ําเชอ่ื ว่า การควบคมุ เป็นวิธีที่จําเปน็ ใน การทาํ ให้องค์การสามารถปฏิบตั ภิ ารกจิ ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพและประสทิ ธผิ ล องค์การตอ้ งมีโครงสรา้ งสายบังคบั บญั ชาท่ลี ดหลนั่ กันไปอยา่ งชัดเจนแน่นอน มโี ครงสรา้ งของงานและขั้นตอนกระบวนการทาํ งาน พร้อมกบั รายละเอยี ดต่าง ๆ ทกุ คนในองคก์ ารรู้วา่ ผูม้ อี ํานาจจะอย่ใู นระดับบนสดุ ของสายงาน ส่วนระดับล่างสดุ จะไม่มี อาํ นาจแตต่ ้องปฏิบตั ติ าม การแบง่ ปันหรือกาํ หนดอํานาจตามแนวคิดแบบเก่าเชน่ นี้พบวา่ ไมม่ คี วามเหมาะ สมเหตสุ มผลในยคุ ปัจจบุ นั อีกตอ่ ไป การกระจายอํานาจความรับผิดชอบในการตัดสินใจ จึงกลายเปน็ ปรากฏการณ์ใหมข่ องโลกปจั จบุ นั ท่มี ผี ล มาจากการแพร่ของข่าวสารแบบไร้พรมแดน คนสว่ นใหญจ่ ึงมีความต้องการได้รับการมีอํานาจรับผิดชอบในการ ตดั สินใจด้วยตนเองและการได้เข้าไปมสี ว่ นรว่ มในเรือ่ งต่างๆ ทีเ่ กย่ี วข้องตอ่ ชีวติ ของตนมากยิ่งขนึ้ เช่นเดียวกันกบั ในที่ทํางาน การม่งุ ควบคมุ ด้วยวิธกี ารอนั เข้มงวดมีแต่ทําลายขวญั และแรงจูงใจของผปู้ ฏิบตั งิ านมากกวา่ จะบังเกดิ ผลดดี ว้ ยเหตนุ ีผ้ ู้นาํ ในปจั จบุ นั จะมงุ่ เน้นการใชอ้ าํ นาจรว่ มมากกวา่ การรวบอาํ นาจทตี่ นเอง เพราะเลง็ เหน็ วา่ เป็นวธิ ีท่ี สามารถสร้างอํานาจทางสมองขององค์การ ดว้ ยการให้ทกุ คนในองค์การมีสว่ นรว่ มและเกิดความผกู พันข้ึน ความสําเร็จจงึ ขนึ้ อยู่กับสตปิ ัญญาทมี่ าจากผปู้ ฏิบตั ิงานทุกคน อยา่ งไรก็ตามการกระจายอาํ นาจความรบั ผดิ ชอบใน การตดั สินใจนนั้ มใิ ช่เพียงวิธีการกระจายลงมาตามสายงานบงั คบั บัญชาเท่านั้น แตค่ วรกระจายไปยงั ผูป้ ฏิบัติงาน
หนงั สอื เรียนวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผูน้ ํา(3) รหัส สค33032 10 ทกุ คนดว้ ย ด้วยวธิ กี ารดงั กลา่ วงานหน่งึ ทท่ี ้าทายต่อความสามารถของผนู้ าํ มากก็คือ การแนะนําผ้ปู ฏิบตั งิ านให้รจู้ ัก การใชอ้ าํ นาจของตนอยา่ งมปี ระสทิ ธิผลและดว้ ยความรับผิดชอบ โดยการสร้างบรรยากาศทใ่ี หค้ วามนับถือตอ่ กัน และชว่ ยกนั พฒั นาผู้ปฏิบตั ิงานทกุ คน อาํ นาจจึงมาจากการมสี ัมพนั ธภาพท่ีดีตอ่ กันระหว่างบคุ คลมากกว่าจากการมี ยศตาํ แหน่งตามโครงสร้างสายงานบังคับบัญชา ซึง่ เปน็ อํานาจเพอ่ื การควบคุม 3. มุ่งเน้นการแข่งขันสู่มุ่งการแสวงหาความรว่ มมือ แนวโนม้ ของกระแสทม่ี ่งุ เน้นเรอื่ งการกระจายอาํ นาจความรับผดิ ชอบในการตัดสนิ ใจท่ีมีมากข้นึ เป็น เคร่ืองบง่ ช้ีทิศทางใหม่ของวิธีการดาํ เนนิ งานทมี่ ุ่งเนน้ การรว่ มมือกนั มากกว่าการมุ่งแขง่ ขันและสรา้ งความขัดแยง้ ต่อ กัน แมจ้ ะเป็นความจรงิ วา่ การแขง่ ขนั สามารถเพ่ิมความแข็งแกรง่ และความมนั่ คงใหแ้ ก่องค์การก็ตาม แต่แนวคิด เกย่ี วกับลักษณะของการแข่งขันแบบเดมิ ได้เปล่ียนไป กลา่ วคือแทนท่ีจะมุ่งใหฝ้ า่ ยหน่งึ ชนะในขณะทอ่ี ีกฝ่ายแพน้ น้ั ปจั จุบนั ทง้ั ในสว่ นขององค์การและสว่ นบุคคลตา่ งๆจะหันมาใชพ้ ลังงานเพอ่ื การแขง่ ขันเปลยี่ นเป็นเพ่ือการปรบั ปรุง พฒั นาความเป็นเลิศของตนการประนปี ระนอมถือเป็นจดุ เด่นไมใ่ ช่จุดอ่อนอีกต่อไป ดังจะเห็นวา่ มกี ารปรับปรุง ภายในองค์การโดยใช้รปู แบบของทีมงานทสี่ ามารถนําตนเอง และรูปแบบอ่นื ในแนวท่ีมีลกั ษณะของการร่วมกนั ทํางานมากยง่ิ ข้ึน ทัง้ นี้เพื่อสลายพรมแดนทขี่ วางกน้ั ระหว่างแผนกงานและยงั ช่วยให้การแพร่กระจายของความรู้ กว้างขวางตลอดทั้งองค์การได้ดี แนวคดิ ดังกล่าวมแี นวโน้มขยายออกไปยังระดบั ระหวา่ งองคก์ ารท่ีตา่ งพยายามลด พรมแดนขวางก้ันระหวา่ ง แล้วหนั มาเพิ่มการร่วมมือซึง่ กนั และกันมากขน้ึ โดยการร่วมมือเปน็ ทมี เดียวและสร้าง คา่ นยิ มร่วมเพ่ือเพม่ิ ความแข็งแกรง่ แกก่ นั แทนการแขง่ ขันกันอยา่ งอสิ ระเหมือนอดตี การมงุ่ สแู่ นวคดิ เพ่ือการร่วมมือจงึ เปน็ ภารกจิ ที่ท้าทายต่อความสามารถของผูน้ ําย่งิ กวา่ แนวคิดเก่าที่มุง่ เนน้ การแขง่ ขัน กล่าวคือ ภายในองคก์ ารเองผูน้ าํ จาํ เปน็ ต้องสร้างบรรยากาศของการทํางาน เปน็ ทมี ตอ้ งทําให้องค์การ เปน็ ชมุ ชนที่มงุ่ เนน้ การร่วมมอื และการชว่ ยเหลือสนับสนุนต่อกันในการรว่ มกันทํางาน ผนู้ ําจะต้องสมั พนั ธ์กับความ เขา้ ใจรูปแบบใหม่ขององค์การทตี่ อ้ งมคี วามคล่องตัว มีพลวตั และเปน็ ระบบที่มีปฏิสมั พันธ์ระหว่างบคุ คลอยู่ ตลอดเวลา แนวคดิ ดังกลา่ วเหลา่ น้ีจะชว่ ยลดบรรยากาศของการแขง่ ขนั ชงิ ดีชงิ เด่นภายในองค์การให้น้อยลง 4. จากการยึดด้านวตั ถสุ ิ่งของไปเปน็ การยดึ ดา้ นคนและความสัมพันธ์ ในการเพ่ิมการรว่ มมอื ท้งั ภายในองค์การและระหวา่ งองค์การดงั กล่าวเป็นสิง่ สะท้อนการเปลย่ี นแปลงท่ี สําคญั อีกประการหนึง่ คือ การเปล่ียนจดุ เน้นเดิมจากวตั ถุสิ่งของไปสู่จุดเน้นความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบุคคล ทั้งนเี้ ทา่ ที่ ผา่ นมาแนวคดิ เก่ียวกับองค์การก็ดี และความเป็นผนู้ ํากด็ ลี ้วนมาจากบรบิ ทของยคุ อุตสาหกรรม ซึง่ เป็น กระบวนการทศั นแ์ บบเกา่ ในการมองโลกเสมอื นเครอื่ งจักรกลท่ีสามารถถอดออกเป็นชิน้ ๆ เพื่อพิจารณาแบบแยก เปน็ สว่ นได้ เชน่ งานทกุ จุดจะต้องสามารถระบุวตั ถุประสงค์ ต้องมีรายละเอยี ดประกอบและสามารถวัดผลได้ เป็น ต้น และเมื่องานแต่ละจดุ เรียบรอ้ ยกส็ ามารถนาํ มาประกอบเป็นงานรวมขององคก์ ารไดเ้ ชน่ เดียวกบั การประกอบ ชน้ิ สว่ นย่อยใหก้ ลบั เปน็ เครื่องจกั รดงั เดมิ แนวคิดดังกล่าวจงึ มององค์การเปรียบเสมือนเป็นทจ่ี ัดรวมของวตั ถตุ า่ งๆ เข้าดว้ ยกนั ในขณะที่กระบวนทศั น์ใหม่มองโลกด้วยภาพรวมอนั ซบั ซ้อนทเ่ี กิดขน้ึ จากความสมั พนั ธ์ของเหตุการณ์ และสรรพสง่ิ ทง้ั หลายท่ีมปี ฏิสัมพันธ์สง่ ผลกระทบอย่างต่อเนือ่ งตลอดเวลาบทบาทของผู้นาํ จงึ ต้องม่งุ เน้นมุมมอง ด้วยวสิ ัยทัศนแ์ ละค่ารว่ มกัน พรอ้ มท้ังให้มีความอิสระต่อการปฏิบัตงิ านมากข้นึ โดยลดกฏระเบียบทเี่ ข้มงวดและ การควบคุมใหน้ อ้ ยลง
หนงั สือเรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผ้นู ํา(3) รหัส สค33032 11 5. จากการเน้นความเหมือนกันไปเปน็ เนน้ ความแตกตา่ งทีห่ ลากหลาย องค์การตา่ งๆ จํานวนมากในปจั จุบันที่ตง้ั ขั้นจากสมมติฐานแบบเดมิ เชน่ มุ่งเนน้ ความดีรปู แบบและ คณุ ลักษณะทีเ่ หมือนกนั เน้นการแยกส่วน และแยกตามลักษณะความเชยี่ วชาญเฉพาะ ดงั จะเหน็ จากการจัดคน ท่ีคิดคล้ายกนั ทําคลา้ ยกันและมีทักษะในงานเหมือนกนั ให้อยูใ่ นแผนกงานเดยี วกัน เชน่ แผนกช่าง แผนกบญั ชี เปน็ ตน้ โดยไมป่ ะปนกับงานอื่นขององค์การ แนวคิดในการจัดกล่มุ คนที่มลี ักษณะเหมือนกนั อยู่ดว้ ยกนั ดว้ ย วัตถปุ ระสงค์เพ่ือง่ายต่อการสื่อสารเขา้ ใจซ่ึงกันและกันไดด้ ีเช่นนี้ กลับกลายเปน็ จดุ ออ่ นท่สี ร้างความเสียหาย ใหแ้ ก่องค์การ เนือ่ งจากในโลกยคุ ปัจจบุ นั มีลักษณะไร้พรมแดนทตี่ อ้ งมกี ารตดิ ต่อสอ่ื สารและดาํ เนินธรุ กิจระหว่าง กันในลกั ษณะของบริษัทขา้ มชาติ จึงจาํ เปน็ ต้องประกอบด้วยคนทีม่ ีความหลากหลายทางด้านภาษา วฒั นธรรม ความคิดและทักษะท่ีจาํ เป็นต่างกนั มาอยรู่ ว่ มกนั ในลกั ษณะทมี งาน หลายองค์การ หรอื บรษิ ทั ใหญ่ท่ีประสบ ความสาํ เรจ็ สูงในปจั จบุ นั ล้วนเนน้ แนวคดิ ของความหลากหลายแทบทัง้ ส้ิน ลักษณะของการบรหิ ารจัดการ ในการทาํ ความเข้าใจเก่ยี วกับลักษณะของการบรหิ ารจัดการนน้ั สามารถทาํ การศึกษาได้ในสองแนวทาง ดงั นี้ 1. หน้าทข่ี องการบริหารจัดการ การบริหารจดั การ หมายถงึ การทาํ ให้บรรลเุ ป้าหมายขององค์การอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและมปี ระสิทธผิ ล โดยใช้กระบวนการ (ซ่ึงเรยี กวา่ หนา้ ที่) เชน่ การวางแผน การจดั องค์การ การจดั กําลงั คน การอํานวยการและ การควบคุมทรัพยากรขององค์การ เป็นต้น จากความหมายดังกล่าวจะเห็นว่า การนําหรือภาวะผนู้ าํ มิได้เปน็ หน้าท่ีหน่ึงหรือขั้นตอนหนง่ึ ตามความหมายเดิมของการบริหารและจดั การแตอ่ ยา่ งใด 1.1 การวางแผน หมายถงึ การกาํ หนดเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ขององค์การ การจัดทาํ ยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ การใชง้ บประมาณและการจัดสรรทรพั ยากร การกําหนดนโยบายและขนั้ ตอนการทาํ งาน เป็นต้น 1.2 การจดั องคก์ าร เกย่ี วข้องกับการจดั ระเบียบงาน การกาํ หนดโครงสร้างองค์การ การ ระบคุ วามสมั พันธ์ระหวา่ งความรับผดิ ชอบกับอาํ นาจ การกําหนดภาระงานของตําแหน่งตา่ ง ๆ ทจ่ี ะต้องปฏบิ ตั ิให้ สําเร็จไดต้ ามแผน รวมถงึ การมอบหมายงานใหแ้ กห่ น่วยงานย่อยพร้อมจดั สรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อการ ปฏิบตั ิงาน 1.3 การจัดกาํ ลังคน ไดแ้ ก่ การคัดเลือกบรรจคุ นลงในตําแหน่งตา่ ง ๆ รวมถึงการฝกึ อบรม เสนอแนะ ช่วยเหลอื ให้ได้พัฒนาความรูแ้ ละทักษะที่เหมาะสมกับงาน 1.4 การอาํ นวยการ ไดแ้ ก่ การใชอ้ ํานาจอทิ ธิพลและให้รางวัลเพอื่ จงู ใจหรือกระตนุ้ พฤตกิ รรม การทาํ งานของพนักงานให้สเู่ ปา้ หมายท่ตี ้องการ ซ่ึงรวมถงึ การกระจายรายงาน การประสานงาน และการบริหาร ความขดั แย้ง รวมอยดู่ ้วย 1.5 การควบคุม หมายถงึ การพัฒนามาตรฐานการปฏิบตั ิงาน การสรา้ งระบบการรายงาน การกํากบั การทํางานของพนักงานให้เป็นไปตามข้นั ตอนสู่เป้าหมายรวมทั้งการใหค้ ุณใหโ้ ทษตามจําเป็น เปน็ ตน้ โดยสรปุ รปู แบบหน้าท่ีของการบรหิ ารจดั การดงั กลา่ ว จะกาํ หนดกจิ กรรมทง้ั หลายอยา่ งกวา้ งขวางให้ ผ้บู รหิ ารตอ้ งปฏิบัติ โดยบางงานเปน็ กิจกรรมเชงิ ความคิด บางงานต้องใชก้ ารปฏบิ ัติและเทคนิควิธี และบางงาน เกย่ี วกับคน การบริหารงานโดยยดึ ตามหนา้ ท่ีของการบริหารจัดการจะให้ความสาํ คัญตอ่ ความสัมพนั ธ์ระหว่างผ้นู าํ
หนังสอื เรียนวชิ าเลือก สาระการพัฒนาสังคม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหสั สค33032 12 กบั ผู้ตามน้อยมากประหน่งึ วา่ องค์การสามารถดาํ เนินการไปได้เหมือนเครื่องจกั รขนาดใหญห่ รือเหมือนกปั ตนั เรือที่ บังคบั เรอื ให้แลน่ ไปในมหาสมุทร เปน็ ต้น จึงเป็นแนวคดิ ท่ีเหมาะสมกับกระบวนทศั น์ของการบรหิ ารในโลกยคุ อุตสาหกรรมท่ีผา่ นมาในอดีตเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ยงั คงจําเป็นในปจั จุบันเพยี งแตต่ ้องปรบั ปรงุ หรือสอดแทรกดว้ ย แนวคดิ ทฤษฎีใหม่ทเี่ หมาะสมควบคู่ไปดว้ ย 2. บทบาทของการบริหารจัดการ บทบาท หมายถึง กลมุ่ ของพฤติกรรมที่คาดหวังของผู้บริหาร สามารถจดั เป็นบทบาทหลกั ได้ 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ บทบาทหลกั ดา้ นขา่ วสาร บทบาทหลกั ดา้ นความสัมพันธ์ และบทบาทหลักด้านการตัดสนิ ใจ ซงึ่ มีรายละเอยี ดดงั นี้ 2.1 บทบาทดา้ นข่าวสาร เปน็ บทบาทที่เกยี่ วกับการจดั การระบบข้อมูลขา่ วสาร การสร้าง เครือข่ายของขา่ วสาร การแสวงหาข่าวสารจากแหล่งต่าง ๆ และเผยแพร่ไปยงั บุคคลและหน่วยงานท่ตี ้องการใช้ ขา่ วสารนนั้ ทง้ั ภายในและภายนอกองค์การ 2.2 บทบาทด้านความสมั พันธ์ เปน็ บทบาทท่ีเกยี่ วกับการสรา้ งสมั พันธภาพของผ้นู ํากับ หน่วยงานหรอื บคุ คลอ่ืน เช่น บทบาทฐานะเป็นสญั ลกั ษณ์ หรอื หัวหนา้ เขา้ ร่วมกจิ กรรมของสงั คม บทบาทการ เป็นประธานของงานหรือกจิ กรรมในโอกาสต่างๆ ท้งั ภายในและภายนอก บทบาทในการสร้างความสมคั รสมาน ของบุคลตา่ งๆ ขององค์การ เป็นตน้ 2.3 บทบาทดา้ นการตัดสินใจ เป็นบทบาทท่ีผนู้ าํ ทาํ กิจกรรมในการเลอื กวิธกี ารหรือเลอื ก แนวปฏบิ ตั ิ เช่น การรเิ ริม่ การเปลี่ยนแปลง การแกป้ ัญหา การต่อรองตา่ งๆ และการจดั สรรทรพั ยากร เปน็ ตน้ กจิ กรรมตา่ ง ๆ ที่ประกอบข้ึนเป็นบทบาทของผู้บรหิ ารน้นั ไม่สามารถแยกออกจากกนั ได้เด็ดขาด หากแต่มีความเกีย่ วข้องต่อเน่ืองซงึ่ กันและกัน ผ้บู รหิ ารจึงมีความจําเป็นต้องเขา้ ใจและปฏบิ ตั ิภารกจิ ในบทบาท ตา่ ง ๆ เหลา่ น้ันได้อยา่ งผสมกลมกลนื และครบถ้วนใหบ้ ังเกิดผลดีตอ่ องคก์ าร
หนังสอื เรียนวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหัส สค33032 13 บทบาทของผ้บู ริหาร ประเภท บทบาท กจิ กรรม 1. ด้านข่าวสาร 1.1 การเปน็ ผู้ตดิ ตามกํากับ ขา่ วสาร -รับและแสวงหาข้อมลู ข่าวสาร จดั ลงบันทึกใน 2. ดา้ น 1.2 การเปน็ ผ้เู ผยแพร่ ฐานข้อมูลอย่างเป็นระบบ คงการติดต่อกับ ความสมั พันธ์ กระจายข้อมูลข่าวสาร บุคคลไว้ ระหวา่ งบคุ คล 1.3 การเป็นหวั หนา้ องค์การ -ส่งขอ้ มลู ขา่ วสารใหห้ น่วยอ่ืนหรอื บุคคล ส่ง 2.1 การเป็นหวั นา้ องค์การ รายงานหรือบนั ทึกช่วยจาํ ใช้การโทรศัพท์ 3. ด้านการ และสอ่ื อิเลคทรอนิกสต์ ่างๆ เผยแพรข่ า่ วสาร ตดั สินใจ 2.2 การเปน็ ผู้นํา -การกระจายขา่ วสภู่ ายนอกด้วยวธิ ีตา่ ง ๆ เชน่ จดหมาย รายงาน บรรยาย ปาฐกถา เป็นต้น 2.3 การเป็นผ้ตู ิดต่อ ประสานงาน -ปฏบิ ตั ภิ ารกิจ เป็นสัญลกั ษณ์ตัวแทนหน่วยใน พิธกี ารต่าง ๆ เช่น เปดิ งาน รบั รองแขก ลง 3.1 การเปน็ ผปู้ ระกอบการ นามเอกสารตา่ งๆ ตามกฎหมาย ฯลฯ -กาํ กับดแู ลและจงู ใจผูใ้ ตบ้ ังคับบัญชา รวมถึง 3.2 การเปน็ ผู้ควบคุม การให้คาํ ปรึกษาแนะนํา การฝกึ อบรมสอน แก้ปญั หา งานและการส่ือสารกบั ผใู้ ตบ้ ังคบั บญั ชา -รักษาสายสมั พันธ์ การติดต่อด้านข่าวสารท้ัง 3.3 การเป็นผู้จดั สรร ภายในและภายนอกองคก์ าร เช่น การ ทรัพยากร โทรศัพท์การใช้รปู แบบไปรษณยี ส์ ือ่ สารต่าง ๆ 3.4 การเปน็ ผู้เจรจาต่อรอง การประชมุ รว่ มกนั เป็นตน้ -รเิ ริ่มการพัฒนาโครงการ การกําหนดความคิด ใหม่ การกระจายความรบั ผิดชอบตาม ความคดิ ใหม่ไปยังผู้อนื่ -ดาํ เนนิ การแก้ไขขอ้ พิพาทและภาวะวิกฤติ ตา่ งๆ ยุตคิ วามขัดแย้งของผู้ใต้บงั คบั บญั ชา ช่วยเหลือในการปรบั ตัวต่อภาวะวิกฤตขิ อง สภาพแวดล้อมดีขึ้น -ทําหน้าท่ีเป็นตัวแทนจาํ หนา่ ยในการเจรจา ดา้ นแรงงานสัมพันธ์ เป็นตัวแทนจัดซอื้ จัดหา ทรพั ยากร -ตวั แทนการเจรจาต่อรองงบประมาณ และ เป็นตวั แทนเจรจารักษาผลประโยชนข์ อง หนว่ ยงาน
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการพัฒนาสังคม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหัส สค33032 14 บทที่ 4 คณุ ลักษณะ ทกั ษะและพฤตกิ รรมของผู้นําทีม่ ปี ระสทิ ธิผล คุณลกั ษณะและทักษะ ที่เหมาะสมทีจ่ ะสามารถขึน้ สูต่ าํ แหน่งผนู้ ํา และสามารถปฏบิ ัติหน้าท่ีในตําแหน่ง ผ้นู ําไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธผิ ล คณุ ลักษณะท่ีมีความสอดคล้องกับผนู้ ํา กลา่ วคอื การมีคุณลักษณะทีเ่ หมาะสมและ สอดคลอ้ งจะช่วยใหผ้ ้นู ํามีแนวโน้มที่จะเกดิ ประสิทธผิ ลมากขนึ้ แต่ก็ไม่อาจจะรบั ประกนั ไดแ้ น่นอนวา่ จะต้องมี ประสิทธผิ ลเสมอไป เพราะผู้นาํ ที่มคี ุณลกั ษณะเฉพาะตวั แบบหน่ึงกอ็ าจจะมีประสทิ ธิผลได้ในสถานการณห์ น่งึ แต่ ในอกี สถานการณ์หน่ึงอาจจะไรป้ ระสิทธิผลกไ็ ด้ และยงิ่ ไปกว่านน้ั ผนู้ าํ สองคนท่ีมีแบบแผนของคุณลกั ษณะ เฉพาะตวั ทแี่ ตกตา่ งกันก็สามารถทจ่ี ะมีประสิทธิผลในสถานการณเ์ ดียวกันก็ได้ คณุ ลกั ษณะและทักษะท่ีแยกผ้นู าํ จากบุคคลที่ไม่ใช่ผู้นํา คุณลักษณะ ทักษะ 1.ความสามารถปรบั ตัวเขา้ กับสถานการณ์ 1. เฉลยี วฉลาดมีสตปิ ัญญา 2. รับร้ไู วต่อสภาพแวดล้อมทางสงั คม 2. มีทักษะด้านมโนทัศน์ 3. มคี วามทะเยอทะยาน มุ่งความสาํ เร็จ 3. มีความคดิ สรา้ งสรรค์ 4. มคี วามเปิดเผยตรงไปตรงมา 4. มคี วามนุ่มนวลและมีอัธยาศยั ดี 5.ใหค้ วามร่วมมือ 5. มีความคลอ่ งแคล่วดา้ นการพดู 6. มกี ารตัดสินใจท่ีดี 6. มีความรอบรู้เกยี่ วกบั งาน 7. สามารถพ่ึงพาอาศัยได้ 7. มีความสามารถจัดองค์การหรือความสามารถด้าน การบรหิ าร 8.การมอี ํานาจเหนือคนอน่ื และมีแรงจงู ใจดา้ นอาํ นาจ 8. มีความสามารถในการชักชวน 9.ความมพี ลงั หรือมีระดับความกระตือรือร้นสูง 9. มีทักษะทางสงั คม 10. ความมมี ุมานะ พยายามอยา่ งต่อเน่อื ง 11. มีความม่นั ใจในตนเอง 12.สามารถทนต่อสภาวะความเครยี ด 13.เต็มใจแสวงหางานรับผดิ ชอบ
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหัส สค33032 15 พฤติกรรมของผนู้ ําท่ีมีประสิทธผิ ล ความมีประสิทธิผลทางการบริหาร ประกอบดว้ ยคุณลกั ษณะ แรงขับ ทักษะ ความรู้ ภาพลักษณ์ ตนเอง และพฤติกรรมเฉพาะด้านบางประการ มลี ักษณะทางบุคลกิ ภาพหลายประการท่ีสามารถแยกผูบ้ รหิ ารทม่ี ี ประสทิ ธผิ ลออกจากผูบ้ รหิ ารทไี่ ม่มีประสทิ ธิผลได้ กลา่ วคือ ผบู้ รหิ ารท่ีมีประสทิ ธิผลจะมุ่งความมปี ระสิทธภิ าพสูง ซ่ึงประกอบดว้ ย การมีแรงจงู ใจด้านความสําเร็จสูง การมมี าตรฐานการทาํ งานของตนเองสูง รวมท้ังมีความยดึ มัน่ ตอ่ วตั ถุประสงคข์ องงาน ผู้บรหิ ารที่มีประสิทธิผลยังมีความตอ้ งการอํานาจทางสังคมสงู อีกดว้ ย โดยจะสงั เกตเหน็ ได้จากความปรารถนาดา้ นอํานาจสงู ใหค้ วามใสใ่ จต่อสัญลักษณ์ของอํานาจ มีพฤติกรรมแสดงออกแบบเปิดเผย ตรงไปตรงมา พยายามมีอิทธิพลต่อผู้อน่ื ให้ความใสใ่ จต่อชือ่ เสียงของผลผลิตและบริการขององค์การ ผ้บู ริหารที่ มีประสิทธผิ ลจะมีความมน่ั ใจในตนเองสงู ซง่ึ สามารถสงั เกตเห็นได้จากการเชอื่ ม่ันในความคดิ และความสามารถ ของตนเอง หรือจากพฤติกรรมการตดั สินใจอย่างเด็ดเด่ียวมากกว่าท่จี ะลงั เลหรอื ขาดความเดด็ ขาด มักจะยืนยนั อยา่ งหนักแนน่ ตอ่ ข้อเสนอของตน มอี ากัปกริ ยิ าที่ไม่โลเล มีทว่ งทที ี่เหมาะสมสง่างามนา่ เล่ือมใสศรัทธา และ ประการสดุ ท้ายทีส่ ําคัญก็คือ ผบู้ รหิ ารท่มี ปี ระสิทธผิ ลจะแสดงออกในความเชอ่ื ว่าตนเองเปน็ ผมู้ ีประสิทธิภาพสูง และมีความเช่ือในอํานาจและความสามารถภายในตนสูง ซึ่งจะสงั เกตเห็นได้จากการเป็นฝา่ ยริเรม่ิ กระทําก่อนหรอื แสดงพฤตกิ รรมเชงิ รุก มากกว่ารอให้เหตุการณ์มาถึง หรอื เป็นฝ่ายถูกกระทําหรือมีพฤติกรรมเชิงรบั ชอบรเิ รมิ่ ข้นั ตอนและวิธีการเอาชนะอุปสรรค โดยใชว้ ิธกี ารหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ และพร้อมที่จะแสดงความรบั ผิดชอบ ไมว่ ่าผลออกมาจะสาํ เรจ็ หรือล้มเหลวกต็ าม ในดา้ นสมรรถนะทเ่ี กีย่ วกบั ทักษะความสัมพนั ธ์ระหว่างบคุ คล ที่ทําใหผ้ บู้ รหิ ารที่มปี ระสิทธผิ ลตา่ งไปจาก ผบู้ ริหารท่ีไม่มปี ระสทิ ธผิ ลน้นั พบวา่ ผบู้ ริหารท่มี ปี ระสิทธิผลมักมีทักษะการนาํ เสนอด้วยวาจาสูง โดยสามารถใช้ สัญญลกั ษณ์การใชค้ ําพดู เปรียบเทยี บเพื่อจูงใจตลอดจนการใช้กิรยิ าท่าทางได้อย่างเหมาะสมในการสือ่ สารไดผ้ ลดี ผู้บริหารทม่ี ที ักษะด้านความสัมพันธ์ระหวา่ งบุคคลสงู จะสามารถใช้อํานาจทางสังคมได้อย่างมีประสทิ ธิผล รวมทงั้ ความสามารถในการสร้างเครอื ข่ายการทาํ งานร่วมกับผูอ้ ่ืน สามารถทําให้ไดร้ ับความรว่ มมือช่วยเหลือจาก ผู้อื่นสามารถในการแก้ปัญหาไดด้ ว้ ยวิธกี ารสงั สรรค์ และสามารถใชแ้ บบตัวอยา่ งบทบาทของตนใหม้ ีอทิ ธิพลต่อ ผ้อู ืน่ ทักษะดา้ นความสัมพนั ธร์ ะหว่างบคุ คลสําคัญอีกประการหนง่ึ ท่ีพบในผบู้ รหิ ารทีม่ ีประสิทธิผล ได้แก่ ความสามารถในการบริหารด้วยกระบวนการกลุ่ม การสรา้ งเอกลักษณ์และพัฒนาใหเ้ กดิ นาํ้ ใจ การทํางานแบบ ทมี งานโดยแสดงออกด้วยพฤติกรรม เช่น สรา้ งเอกลักษณ์ประจาํ กลมุ่ ขึน้ ยดึ แนวทางท่เี ปน็ ผลประโยชน์ร่วมกัน และการแสวงหาวธิ ีการทํางานรว่ มกัน ใหค้ วามสนับสนนุ เพื่อใหเ้ กิดความสาํ เรจ็ ดว้ ยการทํางานแบบทมี และ แสดงการยอมรับดว้ ยการแสดงความชนื่ ชมตอ่ ผลงานที่ประสบความสําเรจ็ ของสมาชกิ ต่อสาธารณชน นอกจากน้ีผบู้ รหิ ารทมี่ ปี ระสทิ ธผิ ลยงั พบวา่ มที กั ษะดา้ นมโนทศั นใ์ นระดบั สูง ซึง่ ประกอบด้วย ความสามารถในการคิดเชิงเหตุผลแบบอปุ นยั สามารถเข้าใจความสมั พนั ธ์ขององค์ประกอบย่อยต่างๆ ทีป่ ระกอบ ขนึ้ เปน็ เหตกุ ารณ์หรือสถานการณ์ มคี วามสามารถในการถ่ายทอดส่ือความหมายดว้ ยการนําเสนอเป็นรูปแบบ เป็นมโนทัศน์ หรือเป็นประเด็นสาระสาํ คัญ หรอื ใช้การอุปมาเปรียบเทยี บใหช้ ัดเจนขึ้น รวมทงั้ มีความสามารถใน การหาคาํ ตอบด้วยวิธสี ร้างสรรค์ สามารถมองปญั หาและเข้าใจปัญหาไดอ้ ย่างทะลุปรุโปร่ง มคี วามสามารถในการ คดิ เชงิ เหตผุ ลแบบนริ นยั โดยการใช้มโนทัศน์ หรอื รปู แบบ มาอธิบายความหมายของเหตุการณ์หรอื วิเคราะห์ สถานการณ์ มีความสามารถในการแยกแยะระหวา่ งข้อมูลที่ไมส่ ามารถสอดคลอ้ งได้ และสามารถดึงส่ิงทที่ ําให้ เกิดความเบ่ียงเบนแผนงานออกไปได้
หนงั สอื เรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหัส สค33032 16 คุณลักษณะสาํ คัญอันได้แกค่ ุณลกั ษณะด้านบุคลกิ ภาพ ด้านแรงจูงใจ และด้านความสามารถท่จี าํ เปน็ ต่อ ความมีประสิทธิผลของผู้บรหิ าร สรุปดงั ตาราง ต่อไปน้ี ด้านบุคลกิ ภาพ ดา้ นแรงจูงใจ ด้านความสามารถ - ความมีพลัง - มแี รงจงู ใจดา้ นอาํ นาจ - มที กั ษะด้านความสัมพันธ์ - ความทนทานต่อความ เครียดสูง ทางสังคม ระหว่างบุคคล - มีความมนั่ ใจในตนเอง - มคี วามต้องการมุ่งความ - มที กั ษะดา้ นมโนทัศน์ - เชอ่ื อาํ นาจภายในตนเอง สําเร็จอย่ใู นระดบั สูงปานกลาง - มีวฒุ ภิ าวะด้านอารมณ์ - มคี วามสัตย์ซือ่ ถอื คณุ ธรรม - มคี วามต้องการด้านความ - มีทกั ษะด้านเทคนิค ยดึ ม่ันหลักการ รักใครผ่ ูกพนั ในระดับตาํ่ - มีทักษะในการเกล้ยี กล่อม ชกั ชวน
หนงั สือเรียนวิชาเลือก สาระการพัฒนาสังคม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผนู้ ํา(3) รหัส สค33032 17 บทท่ี 5 ผ้นู ํา : คุณลักษณะและทักษะ คณุ ลักษณะของผนู้ าํ องคป์ ระกอบที่เหมาะสมตอ่ การมปี ระสทิ ธผิ ลทางการบริหารสงู สุดสาํ หรับองคก์ ารขนาดใหญ่ จะ ประกอบดว้ ยคณุ ลักษณะที่มุ่งความต้องการอํานาจทางสังคมสูง มีความต้องการมุ่งความสาํ เรจ็ ในระดบั สงู ปาน กลาง และมีความต้องการด้านความรกั ใครผ่ กู พันในระดบั คอ่ นข้างตา่ํ แรงจูงใจด้านบริหาร แรงจูงใจการบริหาร ได้แก่ 1. ความปรารถนาท่จี ะใชอ้ ํานาจ 2. มีเจตคตเิ ชงิ บวกต่อสัญลกั ษณข์ องอาํ นาจ 3. ความปรารถนาทจี่ ะกา้ วโดดเด่นออกมาจากกล่มุ 4. ความปรารถนา ในการปฏิบัตงิ านไปตามหนา้ ท่ีการบรหิ าร 5. ความปรารถนาในการแสดงออกอยา่ งเปิดเผยตรงไปตรงมา คณุ ลักษณะและพฤตกิ รรมสําคญั ของผู้นํา 1.อารมณ์ท่ีมน่ั คงและสงบเยือกเย็น ผ้บู ริหารท่ปี ระสบความล้มเหลวมคี วามสามารถในการ ควบคุมสถานการณ์ทม่ี คี วามกดดนั ได้ตํ่า มีแนวโนม้ อารมณเ์ สียงา่ ย มกั จะระเบิดอารมณ์ฉนุ เฉยี วออกมาให้เห็น บอ่ ย ๆ และมีพฤติกรรมที่ขาดความคงเส้นคงวา พฤติกรรมดงั กล่าวมีแต่จะทําใหค้ วามสัมพนั ธข์ องตนกับ ผู้ใตบ้ งั คบั บญั ชา เพ่ือนร่วมงานและผู้บังคบั บัญชาเลวรา้ ยลง ซึ่งตรงกนั ข้ามกับผบู้ ริหารท่ปี ระสบความสาํ เร็จท่ี อารมณส์ งบเยอื กเย็น มคี วามม่ันคง และสามารถเป็นความหวงั ของทุกคนไดเ้ ผชญิ กบั ภาวะวกิ ฤติ 2. การปกปอ้ งตนเอง ผูบ้ ริหารท่ีลม้ เหลวมักป้องป้องความผดิ พลาดของตนเอง ด้วยการแสดง พฤติกรรมท่แี สดงออกถงึ ความพยายามทีจ่ ะปกปิดความผดิ พลาดของตนเองหรือดว้ ยการตําหนแิ ละโยนความผิดให้ ผอู้ น่ื แต่ในทางตรงกนั ข้ามผู้บริหารท่ีประสบความสาํ เร็จจะยอมรับในความผิดพลาด ด้วยการแสดงความ รับผิดชอบและดาํ เนนิ การแก้ไขปัญหาข้อบกพรอ่ งดังกล่าว นอกจากนีใ้ นการแก้ไขปญั หาจะไมย่ ึดตดิ กับวธิ กี ารเดิม ของตน แตจ่ ะให้ความสนใจทจี่ ะรับฟังความคดิ เห็นและข้อมูลจากรอบข้าง 3. ความสตั ย์ซื่อถือคุณธรรมยึดมน่ั หลกั การ ผบู้ รหิ ารท่ปี ระสบความสาํ เร็จจะมรี ะดับความ สตั ย์ซอื่ ถือคุณธรรมยดึ ม่นั หลักการสงู จะมงุ่ เนน้ ต่องานรบั ผิดชอบและความตอ้ งการของผู้ใตบ้ งั คบั บัญชามากกวา่ มุ่ง การแขง่ ขนั กบั คู่แข่ง หรอื เพื่อสรา้ งความประทับใจแก่ผ้บู ังคับบัญชา แตใ่ นทางตรงกันข้ามผู้บรหิ ารทล่ี ้มเหลว สว่ นใหญม่ ักทะเยอทะยานสูงเกินไปต่อการแสวงความกา้ วหน้าในอาชพี ให้แก่ตนเอง โดยไมค่ าํ นึงถงึ ผลกระทบต่อ ผอู้ ื่นเปน็ ผู้บรหิ ารท่ีสามารถพึ่งพาและไว้วางใจไดน้ ้อย เพราะพร้อมทจ่ี ะทรยศต่อความไวว้ างใจทไี่ ดร้ บั จากผู้อน่ื ดว้ ยการฉีกสัญญาท้ิง เพื่อให้ตนเกดิ การไดเ้ ปรียบและมีผลประโยชน์แกต่ นเอง 4. ทักษะดา้ นความสมั พันธร์ ะหว่างบุคคล ผบู้ ริหารที่ประสบความล้มเหลวสว่ นใหญม่ ักขาด ทักษะดา้ นความสัมพันธ์ระหว่างบคุ คลอย่างเพยี งพอ ดว้ ยเหตุผลสาํ คัญคือขาดความละเอยี ดอ่อนในการรบั รู้ ความร้สู ึกของผอู้ ื่น และมีพฤตกิ รรมใช้อํานาจข่มขู่บงั คับผู้อืน่ พฤติกรรมดงั กล่าวมักพบมากในผ้บู ริหารท่ี ไต่ เตา้ ขน้ึ มาจากตําแหนง่ บริหารระดับล่างซึ่งตนเคยเป็นผมู้ ีทักษะด้านเทคนิคทโี่ ดดเด่นมาก่อน แตเ่ ม่ือขน้ึ อยู่ตําแหน่ง บรหิ ารระดับสูง ความโดดเดน่ ทักษะด้านเทคนิคไม่อาจใชท้ ดแทนการทตี่ นขาดคณุ ลักษณะความละเอียดอ่อนใน
หนงั สอื เรียนวชิ าเลือก สาระการพัฒนาสงั คม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผ้นู ํา(3) รหัส สค33032 18 การับรคู้ วามรู้สกึ ของผู้อ่นื ได้ ผบู้ รหิ ารทลี่ ้มเหลวบางคนสามารถเลน่ ละครดว้ ยการแสดงบคุ ลกิ สหี นา้ ใหค้ นอน่ื เห็น วา่ ตนเปน็ คนมีเสน่ห์ น่าคบหาสมาคมเม่ือตนมคี วามต้องการบางอย่าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปส่ิงซ่อนเร้นอยู่ภายใต้สี หน้าทีห่ ่วงใยผอู้ น่ื ก็จะแสดงออกมาใหเ้ หน็ วา่ เปน็ บุคคลที่เห็นแกต่ ัว ขาดความเอาใจใสต่ ่อผ้อู ืน่ อยา่ งแทจ้ รงิ และ พยายามใชผ้ ู้อื่นเป็นเครื่องมือเพอ่ื ตอบสนองความต้องการของตนเอง แตใ่ นทางตรงกนั ขา้ มกับผ้บู ริหารทปี่ ระสบ ความสําเรจ็ จะมีพฤติกรรมที่ไวต่อการรบั รู้ความรู้สึกของผู้อื่น มีความนุม่ นวลและให้ความเอาใจใสต่ ่อผู้อื่นเป็นผทู้ ่ี สามารถเข้าใจและเข้าได้กบั คนทกุ ประเภท โดยสามารถพัฒนาเครอื ข่ายความสัมพันธก์ ับบคุ คลอน่ื เพ่ือให้เกิด ความร่วมมือได้อย่างกว้างขวาง เมื่อไม่เห็นด้วยกับผอู้ นื่ กจ็ ะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา แตน่ มุ่ นวลดว้ ยความมี อัธยาศัยทีด่ ี ส่วนผ้บู ริหารที่ล้มเหลวมักพูดจาแบบโผงผางและแข็งกรา้ วต่อผู้อื่น 5. ทักษะดา้ นเทคนคิ และด้านมโนทัศน์ ผ้บู รหิ ารทีล่ ม้ เหลวส่วนใหญม่ ักเคยประสบ ความสําเรจ็ ในการใช้ทกั ษะด้านเทคนิคเพ่ือแก้ปัญหาขณะที่ดํารงตาํ แหน่งบรหิ ารระดับลา่ งมาก่อน โดยคนเหล่านี้ จะมคี วามเชียวชาญด้านเทคนิคสงู กว่าผใู้ ตบ้ ังคบั ของตน อย่างไรก็ตามในตาํ แหนง่ บรหิ ารระดบั สูง จุดเดน่ ดงั กลา่ ว อาจกลายเปน็ จดุ อ่อนได้ถา้ ผ้นู ั้นมคี วามเช่ือม่นั ตนเองมากเกินไป และมีพฤติกรรมหยงิ่ ยโสอวดดี จนทําให้ กลายเป็นคนท่ีปฏเิ สธตอ่ คาํ แนะนาํ ทม่ี เี หตุผลของผู้อนื่ ชอบแสดงความแข็งกรา้ ววางตนเหนอื ผอู้ ืน่ และชอบกาํ กบั ควบคุมผ้ใู ตบ้ งั คับบญั ชาที่มคี วามสามารถเท่าตนหรือสูงกวา่ ตน ผบู้ ริหารเช่นน้ีไมส่ ามารถเปลย่ี นแปลงจดุ เน้นของ ตนเองจากงานดา้ นเทคนคิ ไปสงู่ านทม่ี ุมมองเชิงกลยุทธ์ ซ่งึ จาํ เปน็ ต่อการเป็นบรหิ ารระดับสงู ไดม้ ากนกั นอกจากนีผ้ บู้ ริหารทล่ี ้มเหลวบางคนทีเ่ ตบิ โตมาจากงานดา้ นเทคนคิ แคบ ๆ เฉพาะดา้ น เมอ่ื ข้นึ สู่ตําแหน่งบรหิ าร ระดบั สูงเร็วเกนิ ไป ทาํ ให้ไม่สามารถเรียนรู้งานด้านมโนทศั นแ์ ละงานดา้ นเทคนิคท่เี ปน็ หนา้ ทใ่ี นตําแหน่งบรหิ าร ระดับสูงได้ทัน ในขณะทีผ่ ู้บริหารท่ปี ระสบความสาํ เร็จนั้น มกั จะผา่ นประสบการณ์ในงานของฝ่ายต่าง ๆ ท่มี ี หนา้ ทห่ี ลากหลาย รวมท้งั เคยผา่ นสถานการณ์ทีจ่ ําเปน็ ต้องใช้มุมมองท่ีกวา้ งไกล และความชาํ นาญในการ แกป้ ัญหาทุกรูปแบบมาก่อนเป็นอย่างดี ทกั ษะการบริหารและความมีประสทิ ธิผล จากผลงานการวิจยั ดา้ นคุณลักษณะจํานวนมากทพี่ บว่ามีทกั ษะหลายอยา่ งที่จําเป็นต่อการบริหารจัดการที่ มีประสิทธิผล ดังจะได้อธิบายทักษะดังกล่าวตามลําดับดังนี้ ทักษะด้านเทคนิค ทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล และทกั ษะดา้ นมโนทัศน์ 1. ทักษะดา้ นเทคนคิ ทักษะด้านเทคนิคประกอบด้วยความรู้ที่เกี่ยวกับวิธีการ กระบวนการขั้นตอนและเทคนิควิธีในการปฏิบัติ กิจกรรมเฉพาะทางของผู้บริหารประจําหน่วยงานขององค์การ ทักษะเหล่าน้ันได้จากการศึกษาเล่าเรียนจาก สถาบันการศึกษา ( เช่น งานบัญชี งานการตลาด งานช่าง งานกฎหมาย งานโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ เป็นต้น) และได้จาการฝึกอบรมและประสบการณ์เพ่ิมเติมขณะทํางาน โดยความรู้ทางด้านเทคนิคที่เก่ียวกับเคร่ืองมือและ วัตถุอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีผลงานวิจัยด้านคุณลักษณะจํานวนหน่ึงที่ยืนยันตรงกันว่า ทักษะด้านเทคนิค สัมพนั ธก์ บั ความมปี ระสิทธผิ ลของผ้บู ริหารทัง้ ฝา่ ยพลเรือนและฝา่ ยทหาร โดยเฉพาะผู้บริหารท่ีอยู่ในระดับล่างของ สายงาน นอกจากน้ียังพบว่าความสามารถด้านงานเทคนิคเก่ียวข้องโดยตรงกับความมีประสิทธิผลและโอกาส ก้าวหน้าตามเส้นทางอาชพี ของผูบ้ ริหารระดับลา่ ง แตจ่ ะลดความสาํ คัญน้อยลงสาํ หรับผู้บรหิ ารในตําแหนง่ ระดับสูง ผู้บริหารท่ีมีหน้าที่ในการนิเทศติดตามผลการปฏิบัติงานของผู้อื่นจําเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิคและ ความรู้เก่ียวกับเครื่องมือต่างๆ ท่ีใช้เป็นอย่างดีความรู้ด้านเทคนิคท่ีเก่ียวกับผลผลิตและกระบวนการผลิตที่จําเป็น
หนงั สอื เรยี นวชิ าเลอื ก สาระการพัฒนาสังคม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหสั สค33032 19 ในการจัดทําแผนและจัดทําข้ันตอนการปฏิบัติงาน ทักษะการควบคุมกํากับเพ่ือช่วยฝึกฝนแนะนําในการทํางาน เฉพาะจดุ แกผ่ ู้ใต้บังคับบญั ชา รวมทงั้ เพอ่ื การติดตามประเมินผลปฏิบัติงานของยุคคลเหล่าน้ัน ความเชี่ยวชาญด้าน เทคนิคมีความจําเป็นมากโดยเฉพาะเมื่อเกิดภาวะงักงันของการทํางานที่เกิดจากปัญหาของเคร่ืองมือเครื่องจักร ขัดขอ้ ง หรอื กรณเี กิดความบกพร่องดา้ นคณุ ภาพของผลผลติ ข้ึน หรือเกิดอุบัติเหตุหรือวัสดุไม่เพียงพอ เป็นปัญหาที่ เกดิ ข้นึ จากการประสานงาน เป็นต้น ความรู้ด้านเทคนิคท่ีจําเป็นค่อนข้างมากต่อการเป็นผู้ประกอบอิสระ ก็ได้แก่ความดลใจด้าน วิสยั ทัศนท์ เ่ี ก่ียวกับสินค้าและบริการใหม่ ซ่ึงอาจผุดข้ึนจากสมองอย่างฉับพลันทันใดอันเป็นผลจากการเรียนรู้และ ประสบการณ์ทส่ี ะสมมานานหลายปี ผลงานวิจัยยืนยันเร่ืองนี้ว่า ผู้ประกอบการของบริษัทท่ีประสบความสําเร็จใน การนําเสนอสินค้าตัวใหม่ออกสู่ตลาดนั้นแท้เกิดจากความรู้ทางด้านเทคนิคที่บ่มฟักฝังรากลึกอยู่ในบริษัทอัน ยาวนาน จนกลายเปน็ ผลผลติ เชิงสร้างสรรค์ใหม่ขึ้นมา ตวั อย่างเช่น การประดิษฐ์กล้องถ่ายรูปแบบโพลารอยด์ของ บรษิ ัทโพลารอยด์ เป็นตน้ นอกจากผบู้ ริหารต้องมีความรดู้ า้ นเทคนคิ มคี วามค้นุ เคยต่อผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตท่ีตน รับผดิ ชอบเปน็ อยา่ งดแี ลว้ ยงั จําเป็นต้องมีความรอบรู้เก่ียวกับผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทคู่แข่งเป็นอย่างดีอีก ดว้ ย ท้งั นี้เพราะการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทจะขาดประสิทธิผลลงไป ถ้าผู้บริหารยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับ จุดเดน่ และจดุ อ่อนของสินค้าและบรกิ ารท่บี รษิ ทั ของตนผลติ เมือ่ เปรยี บเทียบกบั ของบริษทั คู่แข่ง 2.ทักษะดา้ นความสมั พันธ์ระหว่างบุคคล ทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลครอบคลุมกว้างถึงความรู้ท่ีเก่ียวกับพฤติกรรมของมนุษย์ และกระบวนการกลุ่ม ความสามารถในการเข้าถึงความรู้สึก เจตคติ และแรงขับของผู้อื่นรวมท้ังความสามารถท่ีจะ สื่อสารได้อย่างแจ่มชัดจนสามารถท่ีจะโน้มน้าวใจผู้อ่ืนให้คล้อยตามได้ จากผลงานวิจัยต่างๆ ด้านคุณลักษณะล้วน ยืนยันตรงกันว่า ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์มีความสําคัญต่อความมีประสิทธิผลและความเจริญก้าวหน้าในเส้นทาง อาชีพของผู้บริหาร และจากผลการศึกษาวิจัยกว่า 20 ปี เพ่ือหาสาเหตุของการล้มเหลวในอาชีพของผู้บริหาร พบวา่ ไม่ว่าสถานการณใ์ ดก็ตาม ส่งิ สาํ คญั มากอย่างหนึ่งท่ีทําใหผ้ ูบ้ รหิ ารท่มี ปี ระสิทธิผลแตกต่างจากผู้บริหารที่ไม่ได้ ประสิทธิผล ก็คอื การมที ักษะความสามารถด้านความสมั พนั ธ์ระหว่างบุคคลน่ันเอง ทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอันได้แก่ ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจแจ่มแจ้งทาง สงั คม ความมีเสน่ห์ ความนุ่มนวลและมีอัธยาศัย ความสามารถโน้มน้าวใจ และความสามารถส่ือสารด้วยวาจา ล้วนเป็นส่ิงจําเป็นต่อการพัฒนาและรักษาสัมพันธภาพอันดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา เพ่ือร่วมงาน ผู้บังคับบัญชาและ บุคคลภายนอก ผู้บริหารที่มีความเข้าใจผู้อื่น มีเสน่ห์ นุ่มนวล และอัธยาศัยดี ย่อมได้รับความร่วมมือจากผู้อื่นเป็น อย่างดีมากกวา่ ผบู้ ริหารที่มีลกั ษณะแข็งกรา้ วและขาดการไวตอ่ การรบั ร้คู วามรูส้ ึกของผู้อื่นอยา่ งแน่นอน ทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจึงมีความสําคัญต่อพฤติกรรมผู้นําแบบมุ่งความสัมพันธ์ การเป็นผนู้ าํ มที กั ษะความสัมพนั ธ์ระหวา่ งบุคคลสูงจะทําให้ผู้นําเข้าใจรับฟังผู้อื่นด้วยความต้ังใจมีความเห็นอกเห็น ใจและไม่ด่วนตัดสินใจผู้อ่ืนด้วยความรู้สึกนึกคิดส่วนตัว คุณลักษณะการให้ความเห็นอกเห็นใจและความสามารถ เข้าใจทางด้านสงั คมได้อย่างแจ่มแจ้ง เป็นสิ่งสําคัญท่ีช่วยให้ผู้บริหารสามารถเข้าใจและรับรู้ต่อความรู้สึกของผู้อ่ืน ได้ดีข้ึน รวมทั้งสามารถช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการสร้างสรรค์ให้แก่ผู้ใต้ผู้บังคับบัญชาอีกด้วย ดังนั้น แม้วา่ พฤติกรรมมุง่ งานจะมีความสําคัญเป็นลําดับแรกของผู้บริหารก็ตาม แต่การมีทักษะด้านความสัมพันธ์อันดีกับ ผู้อื่น ย่ิงชว่ ยเสรมิ สรา้ งประสิทธผิ ลของผู้บริหารเพิ่มข้ึนในการเป็นผู้นําท่ีมุ่งท้ังงานและมุ่งทั้งความสัมพันธ์พร้อมกัน ไปด้วย
หนงั สอื เรยี นวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสงั คม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหสั สค33032 20 3.ทักษะด้านมโนทศั น์ ทักษะด้านมโนทัศน์ (หรือทักษะด้านความคิด) ซึ่งประกอบด้วยความสามารถเชิงวิเคราะห์ การ คิดเชงิ เหตผุ ล การสรา้ งมโนทศั น์ การใชเ้ หตุผลเชิงอุปนัย และการใช้เหตุผลเชิงนิรนัย กล่าวโดยรวมทักษะด้าน มโนทัศน์จะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจที่ดี การมองไปข้างหน้า ความสามารถในการหย่ังรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการแปลความหมาย และความสามารถเข้าใจต่อสถานการณ์ท่ีคลุมเครือได้ดี ทักษะด้านมโน ทัศน์สามารถวัดได้ด้วยเครื่องมือหลายแบบ เช่น แบบทดสอบวัดความถนัด แบบทดสอบเชิงสถานการณ์ วิธีการ สัมภาษณ์ และเทคนิคการคดิ วเิ คราะหเ์ หตกุ ารณส์ ําคัญ ทักษะด้านมโนทัศน์มีส่วนสําคัญต่อความมีประสิทธิผลในการบริหาร โดยเฉพาะอย่างย่ิงกับ ผู้บริหารในตําแหน่งระดับสูง ทักษะด้านมโนทัศน์ทําให้ผู้บริหารท่ีมีประสิทธิผลแตกต่างไปจากผู้บริหารท่ีไร้ ประสิทธิผล และมีผลตอ่ ความเจรญิ ก้าวหนา้ ในเสน้ ทางอาชพี ของผบู้ รหิ าร การขาดทักษะดา้ นมโนทัศน์เป็นปัจจัย หนึ่งที่มีความสําคัญในการทําให้ผู้บริหารประสบความล้มเหลว ซึ่งระบุว่า “ผู้นําท่ีมีเสน่ห์ แต่ขาดความเฉลียว ฉลาด จะรสู้ ึกว่างานที่ทํางานนั้นใหญ่โตเงินไปและมีความยุ่งยากซับซ้อนมากเกินกว่าจะทําให้งานน้ันสําเร็จได้ด้วย ทักษะดา้ นความสัมพนั ธ์ระหว่างบคุ คล” ทักษะด้านมโนทัศน์อย่างหน่ึงท่ีเรียกว่า “ความซับซ้อนเชิงความคิด” ซ่ึงประกอบด้วย ความสามารถทางด้านความคิดด้านการจัดกลุ่มหรือแยกแยะประเภทสิ่งของ ความสามารถในการมองเห็น ความสัมพนั ธ์ของสว่ นตา่ งๆ ที่ทคี วามซับซอ้ นและความสามารถหาคาํ ตอบเชิงสร้างสรรค์ต่อปัญหา บุคคลที่มีระดับ ทักษะด้านมโนทัศน์ที่เก่ียวกับความซับซ้อนเชิงความคิดตํ่ามักจะมองปัญหาหรือตีความส่ิงต่างๆ แบบง่ายๆ ใน ลักษณะถ้าไม่ดําก็ต้องขาว และไม่สามารถมองเห็นองค์ประกอบย่อยๆ จํานวนมากมายน้ัน สามารถประกอบเข้า เป็นภาพรวมได้อยา่ งไร แต่บคุ คลที่มีทักษะด้านมโนทัศน์ท่ีเกี่ยวกับความซับซ้อนเชิงความคิดระดับสูงกลับมองเห็น ภาพเงาสีเทาจาํ นวนมากมายอยูร่ ะหว่างสีดาํ และสขี าวนน้ั พรอ้ มทง้ั มองเห็นความสัมพันธ์ซับซ้อนของภาพเหล่านั้น และยงั สามารถนาํ ไปใชเ้ ป็นแนวทางในการคาดคะเนอนาคตไดอ้ ีกด้วย ทักษะด้านมโนทัศน์จึงเป็นสิ่งจําเป็นต่อการวางแผนการจัดองค์การและการแก้ไขได้อย่างมี ประสิทธิผล นอกจากน้ี การประสานงานระหว่างหนว่ ยงานย่อยเฉพาะด้านภายในองค์การ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบ สําคัญของผบู ริหารจะเกดิ ประสิทธผิ ลได้น้นั ผบู้ ริหารจาํ เป็นตอ้ งมคี วามเข้าใจถึงความสัมพันธ์เก่ียวข้องกันของส่วน งานย่อยเหล่าน้ัน ต้องเข้าใจว่าเม่ือเกิดการเปล่ียนแปลงขึ้นที่หน่วยงานย่อยหนึ่งแล้วจะส่งผลกระทบไปยัง หน่วยงานอื่นๆ อย่างไร ผู้บริหารท่ีมีระดับความซับซ้อนเชิงความคิดสูงจะสามารถสร้างแบบจําลองทางความคิด ขององค์การเพื่อใช้อธิบายสร้างความเข้าใจให้เห็นองค์ประกอบสําคัญต่างๆ ว่ามีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร รูป แบบจาํ ลองทางความคิดดังกล่าวเปรียบเสมือนแผนที่ถนน ท่ีบ่งบอกถึงเส้นทางต่างๆ พร้อมทั้งวัตถุส่ิงของท่ีต้ังอยู่ บนถนนเหล่านั้น จนสามารถมองเห็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ต่อกัน ช่วยทําให้ผู้ใช้ถนนสามารถตัดสินใจว่าจะเร่ิม เดินทางจากจุดไหนไปสู่ที่ใดได้อย่างถูกต้อง ในทางตรงข้ามผู้บริหารที่มีระดับความซับซ้อนเชิงความคิดตํ่าจะมี ทกั ษะดา้ นมโนทัศน์ท่ีจะสร้างรูปแบบจําลองทางความคิดในลักษณะง่ายๆ ที่ขาดรายละเอียดและความสัมพันธ์ต่อ กันแบบจําลองดังกล่าวจงึ มปี ระโยชนน์ อ้ ย เพราะไม่สามารถอธบิ ายกระบวนการทีม่ ีความซับซ้อนหรือเหตุการณ์ท่ีมี ลักษณะเคล่ือนไหวแบบพลวตั รอยตู่ ลอดเวลา ผ้บู รหิ ารยังจาํ เป็นต้องมีความสามารถเขา้ ใจถงึ การเปล่ียนแปลงของปัจจัยแวดล้อมภายนอกว่าจะ ส่งผลกระทบต่อองค์การอย่างไร การวางแผนกลยุทธ์ ของผู้บริหารน้ันจําเป็นต้องมีความสามรถในการวิเคราะห์ เหตกุ ารณ์และรับรู้ต่อแนวโน้มท่ีเกิดขึ้น สามารถท่ีจะคาดหมายการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดข้ึนได้ และสามารถมองเห็น สว่ นท่ีจะเป็นโอกาส และส่วนทเ่ี ป็นอปุ สรรค ที่อาจเกดิ ขนึ้ ซง่ึ ลว้ นแตม่ ีผลกระทบตอ่ องคก์ ารทงั้ สนิ้
หนังสอื เรียนวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผนู้ ํา(3) รหสั สค33032 21 ผูบ้ ริหารทม่ี ีประสทิ ธิผลต้องร้จู กั ใช้วิธีการผสมผสานอยา่ งเหมาะสมระหว่างการใช้หลักการเหตุผลจากการ หย่ังรู้ กับหลักเหตุผลที่สามารถรับรู้ได้จริง เพ่ือใช้ประกอบการตัดสินใจปัญหาสําคัญท่ีกําลังเผชิญหน้าขณะน้ัน ความสามารถหย่ังรู้ คือความสามารถในการมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งที่เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดโดยไม่ทราบ ล่วงหน้า หรือต้องอาศัยหลักเหตุผลที่รับรู้ได้แต่ประการใด ความสามารถในการหยั่งรู้มิใช่เป็นกระบวนการที่ล้ีลับ อะไร แต่เป็นผลมาจากประสบการณ์เดิมที่เคยใช้ในการแก้ไขปัญหาแบบเดียวกันมาก่อนอย่างกว้างขวาง โดย ความรู้เกี่ยวข้องกับปัญหาซ่ึงเป็นประสบการณ์เดิมจะถูกดึงออกมาเม่ือต้องการใช้อย่างไม่รู้สึกตัว เปรียบคล้ายกับ คนเลน่ หมากรกุ ทส่ี ามารถเดินตามตวั หมากรุกได้อย่างฉับพลัน โดยไม่ต้องวิเคราะห์รายละเอียดของตัวหมากรุกแต่ ละตัวท่ีอยู่บนกระดานแต่อย่างใด ความสามารถในการหยั่งรู้นับว่ามีประโยชน์มาก โดยเฉพาะเม่ือจําเป็นต้อง ตัดสินใจภายใต้สถานการณ์ที่คลุมเครือ ขาดความชัดเจนและมีความไม่แน่นอนสูงอย่างไรก็ตาม การใช้ ความสามารถในการหยั่งรู้จะมีประสิทธิผลข้ึน ถ้าผู้นําได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับองค์การ ผลผลิตและบริการตลอด สภาวะแวดลอ้ มต่างๆ อย่างเพียงพอ แงค่ ิด – มมุ มองภาวะผู้นํา : การเปน็ ผนู้ าํ เปน็ ศิลปะ โดย Max De Pree ------------------------------------------------------------------------ • ผู้นาํ จะตอ้ งสามารถในการผสมผสานความตอ้ งการของตนเองกับความต้องการของผู้ตามเขา้ ดว้ ยกนั และเรยี นรูว้ ธิ กี ารใหท้ ุกคนร่วมผูกพนั ต่อกันในเป้าหมายร่วมขององค์การ • ผนู้ ําจะตอ้ งช่ืนชมในความสามารถอันหลากหลายท่บี ุคคลต่าง ๆ มี และใชเ้ ปน็ กา้ วสาํ คัญในการสรา้ ง ความไวว้ างใจต่อกันทั้งองคก์ าร ปฏิญญาวา่ ด้วยสทิ ธิของพนักงาน ผ้นู ําทจ่ี ะสามารถสรา้ งความเป็นผู้นําใหแ้ ก่ผ้อู ื่นได้นั้น ไม่เพียงแค่ต้องเคารพต่อสทิ ธมิ นุษยข์ นั้ พ้ืนฐานของ ผ้ตู ามเท่านนั้ แต่ต้องขยายครอบคลุมไปถงึ สทิ ธิในการมีความตอ้ งการและการมสี ว่ นร่วม สิทธใิ นการผูกพนั ใกล้ชดิ กบั หัวหนา้ ของตน สทิ ธิท่ีตอ้ งการเขา้ ใจและรบั รตู้ ่อความรับผิดชอบทีต่ รวจสอบได้ของตน สิทธิในการรอ้ ง อทุ ธรณ์ สิทธิในการสร้างความผกู พัน ตลอดจนสิทธิในการรับรู้ตอ่ การดําเนินการใดท่ีจะส่งผลกระทบต่อชะตา กรรมของตน เป็นต้น การตอบสนองความต้องการสว่ นบุคคลในประเดน็ เหลา่ น้ีสามารถทําได้โดยผู้นําชว่ ย กําหนดให้เกิดข้ึนทั้งองค์การ การตระหนักในศักยภาพและการยดึ ความเป็นกันเองสว่ นตวั ความเป็นกนั เอง เป็นแนวคิดท่ีจําเป็นและทรงพลังท่ีจะทาํ ให้เกิดความรู้สกึ ผูกพนั ความมีศกั ยภาพและ ความรู้สึกเป็นเจา้ ของให้เกดิ ข้ึนแก่ผตู้ าม ความเปน็ กนั เองจึงเป็นเสมอื นกลไกทีท่ าํ ใหเ้ ครื่องจักรเดนิ เป็นกลไกที่ จะชว่ ยแผลความหมายของค่านิยมของบุคคลและหนว่ ยงานลงสูภ่ าคปฏิบัตใิ นงานประจําวนั ไดอ้ ยา่ งราบร่ืน ศิลปะของการเป็นผู้นํายังเก่ียวข้อกับการให้อิสระเสรีในการเลือกวิธีทํางานท่ีบุคคลพิจารณาเห็นว่าให้ ประสิทธิผลมากที่สุด ควบคู่กับการปฏิบัติต่อกันด้วยวิธีแห่งมนุษยธรรม ผู้นําในฐานะผู้รับใช้จึงมีหน้าที่แผ้วถาง อปุ สรรคทีข่ ัดขวางตอ่ การทาํ งานและการพฒั นาตนเองไปสู่จุดสงู สดุ ของผู้ตาม ผอู้ ่านไม่เพียงได้รู้วิธีการเอาใจใส่ต่อ เรอ่ื งคณุ ภาพของการส่ือสารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณภาพของคํามั่นสัญญาหรือพันธกรณีท่ีบุคคลมีต่อกันได้ตลอด ทวั่ ทง้ั องค์การด้วย
หนังสอื เรยี นวิชาเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหสั สค33032 22 ความแตกต่างระหว่างการบริหารจดั การ กบั การนาํ ก่อให้เกดิ ผลลพั ธท์ ่แี ตกต่างกนั กล่าวคือ การบริหาร จัดการจะช่วยทาํ ใหเ้ กิดสภาพมั่นคง เพ่ิมความสามารถในการคาดคะเนหรอื คาดการณ์ ใหเ้ กดิ ความเปน็ ระเบียบ และมปี ระสิทธิภาพ ดว้ ยเหตุน้จี ึงคาดไดว้ ่าการบรหิ ารจัดการทด่ี ีจะสามารถช่วยใหอ้ งคก์ ารประสบความสําเจใน ระยะสน้ั ได้อยา่ งคงเสน้ คงวา ตรงตามเปา้ หมายและเป็นไปตามความคาดหวงั ของผมู้ ีส่วนได้เสยี ทุกฝ่ายของ องค์การ ส่วนในด้านตรงกันขา้ ม การนาํ หรือภาวะผนู้ ําชว่ ยใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงขึน้ โดยเฉพาะการ เปล่ยี นแปลงในระดบั ท่สี ําคัญขน้ึ ในองคก์ าร ท้ังน้ีเพราะการนาํ เน้นการทําให้คนเกดิ ความฉงนใจโดยใช้คาํ ถามเพือ่ ทา้ ทายต่อสานภาพเดิมทล่ี ้าสมยั และขาดผลวตั ตลอดจนหน่วยงานย่อยที่ไม่สามารถสรา้ งผลผติ ให้เกดิ ข้นึ ไดต้ าม เกณฑ์ โดยเสนอให้เปลี่ยนแปลงหรือทดแทนด้วยมาตรการใหม่ท่ที ้าทายและไดผ้ ลดกี ว่า การนาํ ท่ดี กี ็คอื การนํา การเปลย่ี นแปลงไปสู่แนวทางที่ดีอย่างชัดเจน เชน่ การสร้างผลผลิตหรือบรกิ ารใหม่ทส่ี ามารถดึงดดู ลูกค้าใหมไ่ ด้ มากและขยายตลาดได้ดีขนึ้ จึงกล่าวโดยสรปุ ได้วา่ การบรหิ ารจัดการท่ดี มี ีความสําคญั ตอ่ การบรรลตุ าม วตั ถปุ ระสงค์ขององคก์ ารตามที่กําหนดไว้ ส่วนการนาํ ทีด่ ี มีความจําเป็นย่งิ ต่อการขบั เคลอ่ื นองค์การให้ก้าวไปสู่ อนาคตไดเ้ ป็นอยา่ งดี แงค่ ิด – มมุ มองภาวะผนู้ าํ ผู้บริหารกบั ผ้นู ํา -------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ตลอดบทเรียนน้ีไดใ้ ห้ข้อมูลเพ่ือกระตนุ้ ให้ทา่ นเกิดการเปรยี บเทยี บและวิเคราะหข์ ้อมูลถึงความแตกตา่ ง และความสาํ คัญระหว่างผูบ้ ริหาร (managers) กับผ้นู ํา (leaders) ในแง่บทบาทหน้าที่และแบบในการปฏิบตั ิ ภารกจิ เพ่อื เป็นการทบทวนความเข้าใจของทา่ นในประเด็นดังกลา่ ว โปรดอา่ นข้อความต่อไปน้ี พรอ้ มแสดง ความเหน็ ในบทความและเขียนขอ้ คิดเห็นของท่านเพม่ิ เติมในชอ่ งทกี่ ําหนด ผ้บู ริหาร (Managers) ผ้บู รหิ ารมหี น้าทด่ี าํ เนินงานอยา่ งมปี ระสิทธิภาพโดยการใช้ทรพั ยากรทุกชนดิ ท่ีมอี ยู่ใหเ้ กิด ประสทิ ธผิ ล โดยมีภารกิจประกอบดว้ ย การจัดทํางบประมาณ การจกั ทาํ แผนและบิการการเงินการเสริมสร้างและรกั ษา สัมพันธภาพทด่ี ีระหวา่ งบคุ คล การมอบหมายงาน การจดั ทําแผนการผลติ และการตลาด การจัดระบบรูปแบบ และวิเคราะห์ข้อมูล การจดั อันดับความสําคญั การจัดทําแผนงาน การควบคุมและการแก้ไขความขัดแย้งต่าง ๆ ผบู้ ริหารมักใชก้ ารควบคุมมากกวา่ การริเริ่มใหม่ในแงค่ วามเยยี่ มยอดของการปฏิบตั งิ าน ผ้บู ริหารทป่ี ระสบ ความสําเรจ็ จะเกิดความภาคภูมิใจจากคุณภาพของการปฏิบัติงานท่ีมีความสม่ําเสมอ ดงั น้ัน เปา้ หมายของ ผูบ้ รหิ ารจึงอยทู่ ี่งานของตนมีผลผลติ เพ่มิ และกาํ ไรสูงข้ึนเป็นสาํ คัญ
หนงั สอื เรียนวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสงั คม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหสั สค33032 23 แงค่ ิด – มุมมองภาวะผ้นู าํ ผบู้ รหิ ารกับผนู้ าํ (ต่อ) ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- - อยา่ งไรกต็ าม ยงั ไม่พบว่ามแี บบผู้บรหิ ารลว้ นๆ กลา่ วคือ ทุกบทบาทหนา้ ท่ีของผบู้ รหิ ารจะตอ้ งมีภาวะ ผนู้ ําแทรกอยู่ในระดับใดระดับหนงึ่ เสมอ ผูท้ ่ีมีความเป็นผู้บริหารเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์มักเป็นหวั หนา้ สํานกั งาน สาขาทีห่ ่างไกลจากสาํ นักงานใหญ่ ซึง่ เป็นแหล่งที่มาของอํานาจและภาวะผนู้ าํ ผู้บรหิ ารบางคนชอบหลบเลยี่ ง บทบาทภาวะผ้นู าํ แต่ชอบการรักษาสถานะภาพเดิมของตนด้วยการรักษาระดับผลงานการผลติ และผลกําไร ผูบ้ ริหารเช่ือว่า เสน้ ทางสูต่ ําแหนง่ บรหิ ารระดบั สูงก็คือด้วยการบรหิ ารจดั การ ผ้นู าํ ทเี่ ป็นผู้บริหารจะเน้นการทําหนา้ ท่ผี ู้บรหิ ารก่อนแลว้ เป็นผ้นู ําในลาํ ดบั ตอ่ มา โดยมีความรสู้ กึ วา่ มี การบรหิ ารท่ีดีจะช่วยให้มอี ิสระในการทําหนา้ ท่ผี นู้ ําไดม้ ากขึ้น ในทศั นะของบคุ คลกล่มุ น้ีถอื วา่ การบรหิ ารเปน็ รากฐานสําคัญท่ชี ่วยสนับสนุนใหต้ นประสบความสาํ เร็จในการปรบั ปรงุ งานรเิ รม่ิ ใหมใ่ นฐานะผูน้ าํ ดงั นั้น การ บริหารเปน็ ปจั จัยช่วยสรา้ งความเปน็ ปกึ แผ่น ในขณะท่ภี าวะผู้นาํ เป็นปจั จัยช่วยขับเคลื่อนไปส่คู วามก้าวหนา้ ผนู้ ําทเี่ ปน็ ผ้บู ริหารจงึ พึงพอใจท่ีจะเปน็ ผบู้ รหิ ารก่อนเปน็ อันดบั แรกและเป็นผนู้ ําในลําดับถัดมา ทง้ั น้เี พราะ สามารถลดความเสี่ยงเมอ่ื เปน็ ผ้นู าํ ใหน้ อ้ ยลง หรือถา้ เผ่ือตนเกดิ ต้องล้มเหลวจากความพยายามทาํ ส่งิ ใหม่ ตนยงั สามารถกลับคนื สฐู่ านเดิมเพราะมีผลงานบรหิ ารดีมาก่อน ผนู้ ําทเ่ี ป็นผ้บู ริหารจะมีทัศนะวา่ การมผี ลงานบริหาร ที่ดีจะช่วย ทําใหต้ นได้รับพิจารณาสู่ตาํ แหนง่ สงู ขน้ึ แต่การมภี าวะผูน้ าํ จะทาํ ใหต้ นคงอยู่ในท่เี ดิม ในองค์การทางธุรกิจผ้นู ํามีแนวโนม้ มาจากฝ่ายการตลาด ฝ่ายขาย และฝ่ายประชาสัมพันธ์ มากกว่ามา จากฝ่ายผลติ หรอื ฝ่ายบญั ชี
หนงั สือเรียนวชิ าเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชาการพัฒนาความเป็นผนู้ ํา(3) รหสั สค33032 24 แบบทดสอบหลงั เรยี น 1. หลักสําคัญของการพฒั นาตนเองคือ ก. การค้นหาจุดออ่ นของตนเอง ข. การคน้ หา การยอมรบั และการพัฒนาตนเอง ค. การเข้าร่วมการอบรมต่างๆ ง. การปรับตนเองให้เข้ากับผ้อู ่นื 2. บคุ คลในขอ้ ใดมีภาวะการเป็นผ้นู ํา ก. นายแดง นาํ ความรู้ท่ีไดเ้ รียนมาไปสอนผู้อน่ื ข. นายเขยี ว เข้ารว่ มกจิ กรรมของหมู่บา้ น ค. นายดาํ นําชาวบา้ นไปพฒั นาหม่บู ้าน ง. นายขาว ขยันทํางานสว่ นรวม 3. การสํารวจจดุ ออ่ นของตนเองมผี ลดีอย่างไร ก. ดตี ่อการพฒั นาตนเอง ข. ดตี อ่ การปรบั ปรุงตนเอง ค. ดีต่อการทาํ งานรว่ มกัน ง. ดีต่อความสัมพันธ์ของครอบครวั 4. เราสามารถพัฒนาตนเองไดอ้ ย่างไร ก. การเข้ารับการอบรม ข. การฝึกฝน ค. การเรยี นรู้ ง. ถูกทกุ ขอ้ ทีก่ ลา่ วมา 5. บคุ คลในขอ้ ใดสามารถปรับเปลยี่ นตนเองได้ ก. ส้มชอบทาํ อะไรเหมอื นเดิม ข. สมจิตชอบแสวงหาความรู้ ค. ประพนธช์ อบการสังสรรค์ ง. จินดาชอบการเลียนแบบ 6. ผนู้ าํ มีความหมายว่าอยา่ งไร ก. ผ้ทู ี่เปน็ ผ้นู าํ กลุ่ม ข. ผูท้ ี่เปน็ ผ้นู าํ กลุม่ ใดกลมุ่ หน่ึง ค. ผทู้ ่ีถกู เลอื กใหเ้ ป็นผู้นํา ง. ถูกทุกขอ้ ที่กล่าวมา
หนงั สอื เรียนวชิ าเลือก สาระการพัฒนาสังคม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผนู้ ํา(3) รหสั สค33032 25 7. Self – Leadership หมายถงึ ก. การเปน็ ผู้นาํ ตนเอง ข. การเปน็ ผูน้ าํ แบบทีม ค. การเป็นผู้นาํ เชิงสัญลักษณ์ ง. การเป็นผนู้ าํ เชิงกลยทุ ธ์ 8. การเป็นผนู้ ําที่มีประสิทธภิ าพดูไดจ้ าก ก. การประสบผลสําเร็จในการงาน ข. การทผี่ ู้รว่ มงานมีความพึงพอใจ ค. บรหิ ารกิจการมผี ลกําไรดี ง. ครอบครวั มคี วามสขุ อยู่ดีกินดี 9. องคป์ ระกอบของการเปน็ ผนู้ าํ สง่ิ ใดสําคญั ทีส่ ดุ ก. ผนู้ าํ ข. ผ้ตู าม ค. บรบิ ท ง. ผลลัพธ์ 10. บรบิ ท Content หมายถึง ก. ความเปน็ จรงิ ข. สถานการณ์ ค. ความพึงพอใจ ง. ความสามารถของผู้นาํ 11. ทฤษฏดี ้านภาวะผนู้ าํ ของ คอตเตอร์ คือ ก. การนําควบคู่กบั การบรหิ าร ข. การนําควบคู่กับความเมตตา ค. การนําควบคู่กับการปรบั ปรงุ ง. การนําควบคูก่ บั การพฒั นา 12. การบรหิ ารจดั การ The Funetions of Managemert หมายถึง ก. การทําให้องค์กรมผี ลกาํ ไร ข. การทําให้องค์กรขยายใหญ่โต ค. การทาํ ให้องค์กรบรรลเุ ป้าหมาย ง. การทาํ ให้บคุ คลทอี่ ยู่ในองค์กรมอี ยู่มกี ิน 13. บทบาทของการบรหิ ารจดั การด้านใดที่เกี่ยวข้องกบั การสร้างสมั พนั ธภาพ ก. ดา้ นข่าวสาร ข. ดา้ นความสัมพันธ์ ค. ดา้ นการตัดสนิ ใจ ง. ถกู ทกุ ข้อทก่ี ลา่ วมา
หนงั สอื เรยี นวิชาเลือก สาระการพัฒนาสงั คม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผูน้ ํา(3) รหัส สค33032 26 14. การจดั การที่ดีควรมลี ักษณะอย่างไร ก. จดั แผนงานให้เป็นระบบ ข. จัดสรรบคุ ลากรให้ตรงกบั งาน ค. จัดส่ิงอํานวยความสะดวกให้กับองค์กร ง. จัดวางอาํ นาจให้กับหน่วยงาน 15. Open mind คอื ก. บุคคลท่ีมีความขยนั ข. บุคคลที่มีความประหยดั ค. บุคคลท่มี ีความใจกวา้ ง ง. บคุ คลทเี่ ข้ากบั บคุ คลอ่ืนได้งา่ ย 16. คุณลกั ษณะท่ีสาํ คญั ของการเปน็ ผ้นู ําคือ ก. การมีสตปิ ญั ญาสามารถแก้ไขปัญหาได้ ข. มคี วามรู้ด้านตา่ งๆ ค. มีความทะเยอทะยาน ง. มกี ารตัดสินใจทดี่ ี 17. ความต้องการของคนมีด้วยกนั ก่ีด้าน ก. ต้องการความสขุ สบาย มีเงินทอง ข. ต้องการอํานาจ ความรัก ความสาํ เร็จ ค. ต้องการความรัก ความสุข การมอี ํานาจ ง. ตอ้ งการอํานาจ เงนิ ทอง ความรัก 18. ผบู้ รหิ ารท่ปี ระสบความสําเรจ็ จะตอ้ งปฏบิ ตั ิอยา่ งไร ก. รจู้ ักปอ้ งกนั ตนเอง ข. รู้จกั ควบคุมอารมณ์ ค. รจู้ กั ประเมินสถานการณ์ ง. รู้จักใช้คน 19. ทักษะดา้ นเทคนคิ มีความสาํ คญั อย่างไร ก. ช่วยในการบริหารจัดการ ข. ชว่ ยในการพัฒนา ค. ชว่ ยในการวางแผน ง. ชว่ ยในการปรบั ตวั 20. การเป็นผู้นําทด่ี คี วรปฏบิ ัติอยา่ งไร ก. มีคุณธรรม ข. มกี ารวางตวั ท่ดี ี ค. มกี ารพัฒนาตนเอง ง. ถกู ทกุ ข้อท่กี ลา่ วมา
หนงั สือเรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหัส สค33032 27 เฉลยแบบทดสอบก่อน – หลงั เรียน 1. ข 11. ก 2. ค 12. ค 3. ก 13. ข 4. ง 14. ก 5. ข 15. ค 6. ง 16. ก 7. ก 17. ข 8. ข 18. ข 9. ค 19. ก 10. ข 20. ง
หนงั สอื เรยี นวชิ าเลือก สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ าการพัฒนาความเป็นผู้นํา(3) รหสั สค33032 บรรณานกุ รม กรมสขุ ภาพจติ (2543). อีควิ . ความฉลาดทางอารมณ์. นนทบุรี : สํานักพฒั นาสุขภาพจติ ชัยอนนั ต์ สุนทรวานิช. (2537). “การเปลยี่ นแปลงกับความรู้ในยคุ โลกานวุ ตั ร. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพต์ ะวันออก เสรมิ ศักดิ์ วศิ าลากรณ์. (2540). “ภาวะผนู้ ํา.” ทฤษฎีและแนวปฏิบตั ิในการบรหิ ารการศึกษา หนว่ ยท่ี 5. พมิ พค์ ร้งั ที่ 2. กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช สุเทพ พงศศ์ รวี ัฒน์. (2550). ภาวะความเป็นผู้นาํ พมิ พ์คร้ังท่ี 1 : มิถนุ ายน 2550 กรุงเทพมหานคร : ส.เอเชยี เพลส Bass, B.M (1985 ). Leadership and performance beyond expectations. Now York : Free Press.
คณะผจู้ ดั ทาํ ท่ปี รึกษา ชาญพิชิต ผอ.สํานักงาน กศน.จงั หวดั สโุ ขทัย มีเจริญ รอง ผอ.สาํ นกั งาน กศน.จังหวดั สุโขทัย 1. นายสงั วาลย์ พนั ธุ์โอภาส ผอ. กศน.อาํ เภอสวรรคโลก 2. นางสาวศรีโสภา ธนาทพิ ยกลุ ผอ. กศน.อาํ เภอกงไกรลาศ 3. นายกติ ติศกั ด์ิ คงเมือง ผอ. กศน.อาํ เภอทุง่ เสล่ยี ม 4. นายแฉลม้ บุญเกิด ผอ. กศน.อําเภอคีรีมาศ 5. นายชนัญ คงเรอื ง ผอ. กศน.อําเภอเมอื งสุโขทยั 6. นายสาํ อางค์ โตนชยั ภูมิ ผอ. กศน.อาํ เภอศรสี ัชนาลยั 7. นายสมมาตร เตชะบญุ บนั ดาล ผอ. กศน.อําเภอศรีนคร 8. นายรามณรงค์ ใจดา ผอ. กศน.อาํ เภอบ้านดา่ นลานหอย 9. นายธรรมรตั น์ ผลนาค ผอ. กศน.อําเภอศรสี ําโรง 10. นายสาํ ราญ 11. นายจริ พงศ์ รอง ผอ.สํานกั งาน กศน.จังหวดั สุโขทยั ผู้เช่ยี วชาญเน้อื หา ครู กศน.ตาํ บล ครู กศน.ตาํ บล 1. ดร.ศรโี สภา มีเจรญิ ผอ. กศน.อําเภอศรสี ําโรง ผูจ้ ดั ทําเนื้อหา ชูจติ ร ครชู ํานาญการ ชมกล่ิน ครูอาสาสมัคร 1 นางสาวชญานศิ ครอู าสาสมัคร 2. นางสาวอมุ าพร ครู กศน.ตาํ บล ครู กศน.ตําบล คณะกรรมการบรรณาธกิ าร ครู กศน.ตําบล ครู กศน.ตาํ บล 1. นายจิรพงศ์ ผลนาค ครู กศน.ตาํ บล ครู กศน.ตาํ บล 2. นางยุณรี ัตน์ เปลี่ยนทอง ครู กศน.ตําบล 3. นางบาํ เพ็ญ อิสระไพจติ ร 4. นางสาวกัลญารตั น์ ถาแก้ว 5. นางวนิดา ออมสนิ 6. นางสาวสรุ ินท์ ออ่ นใจ 7. นางสาวนงคน์ ชุ บัวเพง็ 8. นางสาวขวญั นภา ภูทวี 9. นางสาวยพุ นิ อยเู่ ปีย 10. นางสาวจฑุ ามาศ ล้วนงาม 11. นางสาวปยิ วรรณ สวุ รรณวงศ์
12. นางสาวสําเนียง หยอมแหยม ครู กศน.ตําบล 13. นายคริเมศย์ แสงบุญ ครู กศน.ตําบล 14. นายสรุ ชยั ประยรู ครู กศน.ตาํ บล 15. นางมชั ฌมิ า ช่างผาสกุ ครู กศน.ตาํ บล 16. นางสาวอมุ าพร ชมกล่นิ ครู กศน.ตาํ บล 17. นายประเสริฐศกั ด์ิ เดชศรวี ิศัลย์ ครู กศน.ตาํ บล ผู้ออกแบบปก บวั เพ็ง ครู กศน.ตาํ บล นางสาวนงค์นชุ
Search
Read the Text Version
- 1 - 42
Pages: