หนงั สอื เรยี นวิชาเลอื ก สาระการพฒั นาสังคม รายวิชา การละเมดิ สทิ ธิด้านทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม รหัส สค32010 ระดับ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย หลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 สํานกั งานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั จงั หวัดสุโขทยั สํานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย สาํ นักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ
คํานํา สํานักงาน กศน.จังหวัดสุโขทัย ได้จัดทําหนังสือเรียนรายวิชาการละเมิดสิทธิด้าน ทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม ระดบั มัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นรายวิชาเลือก จํานวน 1 หน่วยกิต หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันฐาน พุทธศักราช 2551 สําหรับนักศึกษาได้ใช้ ประกอบการเรียนขึ้น ซึ่งมีรายละเอียดเก่ียวกับเนื้อหา และกิจกรรมการเรียนรู้ สําหรับให้นักศึกษาได้ทํา กิจกรรม หรือแบบฝึกปฏิบัติที่กําหนดให้ครบถ้วน จะทําให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถ ตามผลการเรยี นรู้ทค่ี าดหวังของหลกั สูตร คณะผูจ้ ดั ทาํ หนงั สือฉบับนห้ี วงั ว่า จะเป็นประโยชน์ตอ่ นักศึกษา ครู และผูส้ นใจ ทงั้ น้ีขอขอบคณุ ผู้มีส่วนร่วมจดั ทาํ หนังสือเรยี นฉบับนใี้ ห้สําเร็จด้วยดีไวใ้ นโอกาสนี้ด้วย (นายสงั วาลย์ ชาญพิชิต) ผู้อาํ นวยการสาํ นกั งาน กศน.จังหวัดสโุ ขทัย
สารบญั หน้า คํานาํ แบบทดสอบกอ่ นเรยี น บทท่ี 1 ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม............................................................................... 1 บทท่ี 2 การละเมิดสทิ ธิทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม..................................................... 8 บทที่ 3 กฎหมายท่ีเกี่ยวขอ้ งและอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการอนุรกั ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม............................................................................................................... 24 บทที่ 4 ประโยชน์ของทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม ..................................................... 33 บทที่ 5 โทษและแนวทางการป้องกนั การละเมดิ สทิ ธิ................................................................... 37 แบบทดสอบหลังเรียน..................................................................................................... 41 บรรณานุกรม....................................................................................................................44
คําแนะนาํ การใชห้ นังสอื เรียน รายวชิ า การละเมดิ สิทธดิ ้านทรพั ยากรธรรมชาตสิ ่งิ แวดลอ้ ม รหสั สค32010 หนังสือเรียนสาระการพัฒนาสังคม รายวิชาเลือกการละเมิดสิทธิด้านทรัพยากรธรรมชาติและ สง่ิ แวดลอ้ ม (รหสั สค32010) เป็นหนังสอื เรยี นทจี่ ดั ทําขึน้ สาํ หรบั ผูเ้ รียนนอกระบบ รายละเอยี ดดังนี้ 1. หนังสือเรียนนี้มี 5 บท บทท่ี 1 ทรพั ยากรธรรมชาติละสงิ่ แวดล้อม บทท่ี 2 การละเมิดสิทธิทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม บทที่ 3 กฎหมายทเ่ี ก่ยี วข้องและอนสุ ญั ญาระหว่างประเทศว่าดว้ ยการอนุรักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม บทท่ี 4 ประโยชนข์ องทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม บทที่ 5 โทษและแนวทางการปอ้ งกนั การละเมิดสิทธิ 2. ระยะเวลาในการศกึ ษา จํานวน 40 ชว่ั โมง จาํ นวน 1 หนว่ ยกิต 3. วิธีการศกึ ษา เชน่ 3.1 ทําแบบทดสอบก่อนเรียน เพ่อื ตรวจสอบความรู้ ความเข้าใจรายวชิ านเี้ พยี งใด 3.2 ศกึ ษาหนงั สือเรียนทีละบท ทุกเรือ่ ง และทํากิจกรรมท้ายบทใหค้ รบถ้วนทกุ กจิ กรรมหรอื แบบฝกึ 3.3 ทาํ แบบทดสอบหลงั เรียน อีกคร้ังและตรวจให้คะแนนตามเฉลยทา้ ยเล่มและนํา คะแนนท่ีได้มาเปรียบเทียบกับคะแนนก่อนเรียน ว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่หากน้อยกว่าเดิม ให้กลับไปศึกษาทบทวนบทเรียนอีกคร้ัง หากได้คะแนนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียน แต่ ยังไม่พอใจระดับคะแนนให้ลองกลับไปทบทวนบางบทเรียนท่ีไม่เข้าใจเพ่ิมเติมจะ ชว่ ยใหน้ ักศึกษามคี วามรู้ ความเขา้ ใจตามผลการเรียนรูท้ ่คี าดหวัง 4. นอกจากศกึ ษาจากหนังสอื เรยี นน้ีแลว้ นกั ศึกษาควรหาความรู้เพ่ิมเติมจากแหล่งการเรียนรู้อ่ืน ๆ เช่น เว๊บไซต์กรมป่าไม้, http://www.forest.go.th กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, http://www.mnre.go.th ปา่ ไมจ้ งั หวดั สโุ ขทัย หรอื ห้องสมุดประชาชน
โครงสรา้ งหนังสอื เรียน รายวชิ า การละเมิดสทิ ธิดา้ นทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม รหสั สค32010 สาระสาํ คญั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้การละเมิดสิทธิด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นการจัด กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้บูรณาการทักษะต่าง ๆ ไปพร้อมกับการสร้างสถานการณ์ในการเรียนรู้ อย่างสร้างสรรค์ โดยมีครูเป็นผู้ให้คําปรึกษา ให้ผู้เรียนได้ฝึกการทําแผนปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพ ชีวิตในชุมชน และมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ด้วยตนเองที่ทําให้การเรียนรู้ด้วยตนเองประสบความสําเร็จ และนําความรไู้ ปใชใ้ นวิถีชวี ติ ใหเ้ หมาะสมกับตนเองชุมชน และสงั คมตอ่ ไป ผลการเรยี นรทู้ ีค่ าดหวงั 1. เพอื่ ให้ผู้เรยี นเขา้ ใจและเหน็ ความสําคัญของทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม 2. เพ่ือให้ผู้เรียนวิเคราะห์เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ กฎหมายทเ่ี กย่ี วข้อง/อนุสญั ญาระหวา่ งประเทศว่าดว้ ยการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อมได้ 3. เพอื่ ให้ผูเ้ รยี นเหน็ คุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม 4. เพ่อื สง่ เสรมิ ให้ผเู้ รยี นได้แนะนําให้ผู้อื่นหลีกเล่ียง ในการละเมิดสทิ ธิด้านทรพั ยากรธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อมได้ ขอบข่ายเน้อื หา หนงั สอื เรียนรายวิชา การละเมิดสทิ ธดิ า้ นทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม รหสั สค32010 มี 5 บท ดังนี้ บทที่ 1 ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม บทท่ี 2 การละเมดิ สิทธทิ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม บทที่ 3 กฎหมายทเ่ี กี่ยวขอ้ งและอนสุ ญั ญาระหวา่ งประเทศวา่ ดว้ ยการอนุรกั ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม บทที่ 4 ประโยชน์ของทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม บทท่ี 5 โทษและแนวทางการปอ้ งกันการละเมดิ สทิ ธิ
กจิ กรรมการเรยี นรู้ 1. แบบทดสอบกอ่ น – หลังเรียน 2. ศึกษาหนังสือเรียนแต่ละบท ทํากิจกรรมตามครูผู้สอนมอบหมายโดยค้นคว้าข้อมูล เป็น รายงาน ศึกษาดูงานในสถานการณ์จริง ฝึกทักษะการทํากระดานข่าวแบ่งกลุ่มอภิปลาย ประเดน็ 3. ทํากจิ กรรมท้ายบท 4. ตรวจสอบความรูจ้ ากเฉลยและแนวทางการตอบทา้ ยเล่ม 5. ศึกษาเพิม่ เติมจากแหล่งการเรียนรเู้ พมิ่ เติม การวัดและประเมินผลการเรียน 1. การทํากจิ กรรมท้ายบท 2. ทดสอบหลงั เรียน 3. ครผู ู้สอนสงั เกตการณเ์ ข้ารว่ มกจิ กรรม การส่งรายงาน การอภิปรายในกจิ กรรมการเรียนรู้
แบบทดสอบก่อนเรยี น 1. การแบ่งประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติแบ่งออกเปน็ กป่ี ระเภท ก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท ค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท 2. พลงั งานจากดวงอาทติ ย์ ลม อากาศ ฝ่นุ แมก้ าลเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตามสงิ่ เหล่านก้ี ย็ งั คงมี ไมเ่ ปลย่ี นแปลงเป็นทรพั ยากรธรรมชาตปิ ระเภทใด ก. ใช้แลว้ ไมห่ มดส้ิน ข. ใชแ้ ลว้ ทดแทนได้ ค. สามารถนํามาใชใ้ หม่ได้ ง. ใชแ้ ลว้ หมดสน้ิ ไป 3. ข้อใดคือการกระทําโดยจงใจหรอื ประมาทเลินเลอ่ ก. การกระทาํ โดยบุคคลวกิ ลจรติ ข. การกระทําโดยการเกิดอบุ ตั ิเหตุ ค. การกระทําโดยไม่เจตนา ง. การกระทาํ โดยร้สู ํานกึ และในขณะเดียวกันก็รวู้ ่าจะทาํ ใหเ้ ขาเสยี หาย 4. เครอื่ งมือทสี่ ําคัญประการหนึ่งท่จี ะมีผลทาํ ใหก้ าร จัดการหรือการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดลอ้ มประสบผลสาํ เร็จก็คอื ก. วิถปี ระชา ข. พระราชกําหนด ค. จารีตประเพณี ง. กฎหมาย 5. การตราพระราชบญั ญตั ิการควบคมุ และแกไ้ ขปัญหาสิง่ แวดลอ้ มใหม้ ีประสทิ ธภิ าพยิง่ ขน้ึ คอื พระราชบัญญตั ิส่งเสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพส่งิ แวดลอ้ มมีใจความวา่ อย่างไร ก. ผู้ก่อใหเ้ กดิ มลพษิ ตอ้ งปดิ โรงงาน ข. ผู้ก่อใหเ้ กดิ มลพษิ ตอ้ งมีหนา้ ทีเ่ สยี ค่าใช้จา่ ย ค. ผกู้ อ่ ใหเ้ กิดมลพษิ ตอ้ งแก้ไขใหด้ ขี นึ้ ง. ผกู้ อ่ ใหเ้ กิดมลพษิ ตอ้ งตดิ คกุ 6. ทรพั ยากรปา่ ไม้มปี ระโยชน์ต่อการดํารงชีวติ ของมนษุ ยป์ ระโยชนท์ างตรงมกี ี่ประการ ก. 1 ประการ ข. 2 ประการ ค. 3 ประการ ง. 4 ประการ
7. ดนิ ท่เี มอ่ื เปียกแลว้ มีความยดื หยุ่น สามารถปั้นเปน็ กอ้ นหรือคลึงเป็นเสน้ ยาวได้แก่ดนิ ชนดิ ใด ก. ดนิ รว่ นปนทราย ข. ดนิ ร่วน ค. ดนิ เหนยี ว ง. ดินทราย 8. ป่าอนุรักษต์ ามกฎหมายปัจจุบนั แบ่งออกได้กป่ี ระเภท ก. 3 ประเภท ข. 4 ประเภท ค. 5 ประเภท ง. 6 ประเภท 9. โทษทางอาญา ทกี่ าํ หนดไวจ้ ะมโี ทษจําคุกสงู สุดคอื จําคกุ ไมเ่ กนิ กีป่ ี หรือปรับไมเ่ กนิ ก่บี าท ก. จาํ คุกไมเ่ กนิ สามปี หรอื ปรับไมเ่ กนิ สามหมืน่ บาท ข. จําคกุ ไม่เกินส่ปี ี หรือปรับไม่เกนิ สีห่ มืน่ บาท ค. จําคุกไม่เกินหา้ ปี หรอื ปรับไมเ่ กินสองหมืน่ บาท ง. จาํ คกุ ไมเ่ กนิ หกปี หรอื ปรับไม่เกนิ หกหมื่นบาท 10. พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า มาตรา 38 ผฝู้ า่ ฝนื มโี ทษจําคกุ ไม่เกนิ กีป่ ี หรอื ปรบั ไม่เกนิ ก่บี าท ก. จาํ คุกไม่เกนิ เจด็ ปี หรอื ปรบั ไม่เกินหนึง่ แสนบาท ข. จําคกุ ไม่เกินแปดปี หรือปรับไม่เกนิ สองแสนบาท ค. จําคกุ ไมเ่ กินเกา้ ปี หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ สามแสนบาท ง. จาํ คุกไมเ่ กนิ สิบปี หรือปรบั ไม่เกนิ สี่แสนบาท ------------------------------------------
บทท่ี 1 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความหมายของทรพั ยากรธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถงึ สิ่งทป่ี รากฏอยตู่ ามธรรมชาติหรอื ส่งิ ท่ีขนึ้ เอง อาํ นวยประโยชนแ์ ก่ มนษุ ยแ์ ละธรรมชาติด้วยกันเอง ถ้าสิ่งนั้นยังไมใ่ หป้ ระโยชน์ตอ่ มนุษย์ กไ็ ม่ถือว่าเป็นทรพั ยากรธรรมชาติ ความหมายของทรัพยากรธรรมชาตมิ กั จะมองในแง่ทวี่ า่ เปน็ สงิ่ อาํ นวยประโยชนแ์ ก่มนษุ ยท์ งั้ ทางตรงและทางอ้อม หากไมไ่ ด้ใหป้ ระโยชนอ์ ะไรเลยก็คงไม่ใช่ทรพั ยากรธรรมชาติ ดงั นั้นจงึ มีการจัด ประเภททรพั ยากรธรรมชาตไิ วห้ ลายประเภทด้วยกนั เช่น ดนิ น้ํา ป่าไม้ สตั ว์ป่า แรธ่ าตุ ฯลฯ ซ่งึ เปน็ ทรัพยากรที่เป็นแหลง่ พลงั งานสําคญั \"ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม\" ในเรอ่ื งนี้ดูความคลา้ ยคลงึ กัน ในแง่นพ้ี ิจารณาจากที่เกิด คอื เกดิ ขึน้ ตามธรรมชาติเหมอื นกัน ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ มตา่ งเป็นสิ่งท่ใี หป้ ระโยชนต์ อ่ มนุษย์ เชน่ กัน มนษุ ยร์ จู้ กั ใช้ ร้จู ักคิดในการนําทรัพยากรธรรมชาตมิ าใช้ และมนษุ ย์อาศัยอยู่ในทรพั ยากรธรรมชาติ ต่าง ๆ กใ็ ห้เกดิ การเปลย่ี นแปลงทรัพยากรธรรมชาติ แล้วมนุษย์กเ็ รียกสง่ิ ต่าง ๆ ท้งั หมดวา่ \"ส่ิงแวดล้อม\" ความคล้ายคลงึ กนั ของคาํ วา่ ทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อมอยู่ท่ีว่าทรัพยากรธรรมชาตเิ ป็นสว่ นหน่ึง ของสิง่ แวดลอ้ ม มองจากความแตกต่าง ทรพั ยากรธรรมชาติเปน็ สง่ิ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ ส่ิงแวดลอ้ มนนั้ ประกอบดว้ ยทรัพยากรธรรมชาติ และสิง่ ทีม่ นุษย์สร้างขน้ึ โดยอาศัยทรพั ยากรธรรมชาติ หากขาดทรัพยากรธรรมชาติ มนุษย์จะไม่สามารถสรา้ งสิ่งแวดลอ้ มอื่น ๆ ได้เลย ถ้าแยกมนุษย์ออกมาในฐานะผู้ใช้ประโยชน์จากสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ เม่ือกล่าวถึงสิ่งที่เกิดข้ึนเองตาม ธรรมชาติ จึงควรใช้คําว่า \"ทรัพยากรธรรมชาติ\" แต่ถ้าต้องการกล่าวรวม ๆ ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และส่ิงท่ีมนุษย์สร้างขึ้นก็ควรใช้คําว่า \"ส่ิงแวดล้อม\" แต่ถ้าต้องการเน้นเร่ืองทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม ไ ป พ ร้ อ ม ๆ กั น ก็ ค ว ร ใ ช้ คํ า ว่ า \" ท รั พ ย า ก ร ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ สิ่ ง แ ว ด ล้ อ ม \" สิ่งแวดล้อม มีความหมายกว้างมาก มีความสัมพันธ์กับทุก ๆ สิ่งที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต เป็นสิ่งต่าง ๆ ท่ีอยู่ รอบตัวเรา เหน็ ไดด้ ้วยตาเปลา่ และไม่สามารถมองเหน็ ดว้ ยตาเปลา่
2 ประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติ จากคํานิยามพบว่าทรัพยากรธรรมชาติทุกประเภทน้ันเป็นส่วนหนึ่งของส่ิงแวดล้อมแต่ส่ิงแวดล้อม ทุกชนิดไม่เป็นทรัพยากรธรรมชาติท้ังหมด ความสําคัญท่ีเกี่ยวของกับมนุษย์เกิดจากความต้องการของ มนุษย์ท่ีจะนําสิ่งแวดล้อมมาใช้ประโยชน์กับตนเอง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะอยู่รวมกันต้องมี กฎ ระเบียบ ข้อบังคับท้ังท่ีเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและที่มนุษย์กําหนด เรียกรวมว่า “ระบบนิเวศ หรือ ระบบสง่ิ แวดล้อม” การแบ่งประเภทของทรัพยากรธรรมชาติมีการแบ่งกันหลายลักษณะ แต่ในทีน้ี แบ่งโดยใช้เกณฑ์ ของการนาํ มาใช้ แบง่ ออกเป็น 4 ประเภท ดงั น้ี 1. ทรัพยากรธรรมชาตทิ ีใ่ ชแ้ ลว้ ไมห่ มดสิน้ เปน็ ทรัพยากรธรรมชาติท่ีเกิดขึ้นก่อนที่จะมีมนุษย์ เมื่อ มมี นษุ ย์เกดิ ข้ึนมาส่ิงเหลา่ นี้ก็มคี วามจาํ เปน็ ตอ่ การดํารงชีวิตของมนษุ ย์ จาํ แนกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1.1 ประเภททค่ี งสภาพเดมิ ไมเ่ ปลยี่ นแปลง ไดแ้ ก่ พลังงานจากดวงอาทติ ย์ ลม อากาศ ฝนุ่ แม้ กาลเวลาจะผา่ นไปนานเทา่ ใดกต็ ามสิง่ เหล่าน้ีก็ยังคงมีไม่เปลยี่ นแปลง 1.2 ประเภททีม่ กี ารเปลย่ี นแปลง การเปลี่ยนแปลงที่เกดิ ขน้ึ เน่อื งมาจากการใชป้ ระโยชน์อยา่ ง ผดิ วิธี เช่น การใชท้ ด่ี นิ การใชน้ ําโดยวิธกี ารท่ีไมถ่ ูกต้อง ทาํ ให้เกดิ การเปล่ยี นแปลงทงั้ ทางดา้ นกายภาพ และด้านคณุ ภาพ 2. ทรัพยากรธรรมชาติที่ใช้แล้วทดแทนได้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้ไปแล้วสามารถเกิดข้ึน ทดแทนได้ ซงึ่ อาจจะเร็วหรือช้าข้ึนอยู่กันชนิดของทรัพยากรธรรมชาติประเภทนั้น ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้ แล้วทดแทนได้ เช่น พืช ป่าไม้ สัตว์ป่า มนุษย์ ความสมบูรณ์ของดิน คุณภาพของนํ้า และทัศนียภาพท่ี สวยงาม เป็นตน้ 3. ทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถนํามาใช้ใหม่ได้ เป็นทรัพยากรธรรมชาติจําพวกแร่ธาตุที่ นํามาใช้แล้วสามารถนําไปแปรรูปให้กลับไปสู่สภาพเดิมได้ แล้วนํากลับมาใช้ใหม่อีก เช่น แร่โลหะ แร่ อโลหะ ได้แก่ เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนยี ม แกว้ ฯลฯ 4. ทรัพยากรธรรมชาติท่ีใช้แล้วหมดส้ินไป เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่นํามาใช้แล้วจะหมดไปจาก โลกน้ี หรือสามารถเกิดข้ึนทดแทนได้ แต่ต้องใช้เวลายาวนานมาก ทรัพยากรธรรมชาติประเภทนี้ ได้แก่ นํ้ามันปิโตรเลยี ม กา๊ ซธรรมชาติ และถา่ นหนิ เป็นตน้ ประเภทของส่ิงแวดล้อมแบง่ ออก 2 ประเภท 1. เกดิ ขน้ึ โดยธรรมชาติ ได้แก่ นาํ้ ดิน แรธ่ าตแุ ละสง่ิ มีชวี ติ ทอี่ าศัยอยู่บนโลก(พชื และสตั ว์) 2. มนษุ ย์สรา้ งขึน้ เอง ไดแ้ ก่ สาธารณูปการ ตา่ ง ๆ เชน่ ถนน เขือ่ นกนั น้าํ
3 ความสาํ คัญของทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ มมคี วามสําคญั ตอ่ มนุษย์มากมายหลายดา้ นดงั น้ี 1. การดํารงชีวิต ทรัพยากรธรรมชาติเป็นต้นกําเนิดของปัจจัย 4 ในการดํารงชีวิตของมนุษย์ พบว่า มนุษย์จะต้องพ่ึงพาทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสนองความต้องการทางด้านปัจจัยสี่ คือ อาหาร เครื่องนุง่ หม่ ท่ีอยอู่ าศัย และยารักษาโรค - อาหารท่ีมนุษย์บริโภคแรกเร่ิมส่วนหนึ่งได้จากทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เผือก มัน ปลานํ้า จดื และปลานาํ้ เคม็ เป็นต้น - เครื่องนุ่งห่ม แรกเริ่มมนุษย์ประดิษฐ์เคร่ืองนุ่งห่มจากทรัพยากรธรรมชาติ เช่น จากฝ้าย ป่าน ลินิน ขนสัตว์ ฯลฯ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ต่อมาเมื่อจํานวนประชากรเพิ่มขึ้น ความต้องการ เครอื่ งนุง่ หม่ ก็เพมิ่ ขึน้ ดว้ ย จึงจาํ เป็นตอ้ งปลูกหรือเลี้ยงสตั ว์ เพอ่ื การทําเครอื่ งนงุ่ หม่ เอง และในทีส่ ุดก็ทําเป็น อุตสาหกรรม - ท่ีอยู่อาศัย การสร้างที่อยู่อาศัยของชนเผ่าต่าง ๆ จะพยายามหาทรัพยากรธรรมชาติ ท่ีมี อยู่ในท้องถ่ินมาเปน็ องค์ประกอบหลกั ในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยขึ้นมา ตัวอย่างเช่น ในเขตทะเลทรายที่แห้ง แลง้ บา้ นทส่ี รา้ งข้ึนในเขตภูเขาจะทําด้วยดินเหนียว แต่ถ้าเป็นบริเวณที่แห้งแล้ง และไร้พืชพรรณธรรมชาติ บ้านท่ีสร้างขึ้นอาจจะเจาะเป็นอุโมงค์เข้าไปตามหน้าผา บ้านคนไทยในชนบทสร้างด้วยไม้ ไม้ไผ่ หลังคามุง ดว้ ยจากหรือหญ้า เปน็ ตน้ - ยารักษาโรค ต้ังแต่สมัยโบราณมนุษย์รู้จักนําพืชสมุนไพรมาใช้ในการรักษาโรค เช่น คน ไทยใชฟ้ ้าทะลายโจรรักษาโรคหวัด หอบ หดื หัวไพล ขมิน้ นํา้ ผึ้งใชบ้ ํารุงผิว 2. การตง้ั ถ่นิ ฐานและการประกอบอาชีพ ทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยพ้ืนฐานในการตั้งถิ่นฐาน และประกอบอาชีพของมนุษย์ เช่น แถบลุ่มแม่น้ําหรือชายฝ่ังทะเลท่ีอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชและสัตว์ จะมี ประชาชนเข้าไปตง้ั ถ่นิ ฐานและประกอบอาชีพทางการเกษตรกรรมประมง เป็นต้น 3. การพฒั นาทางเศรษฐกจิ จาํ เป็นตอ้ งใชท้ รัพยากรธรรมชาติ 4. ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การประดิษฐ์เคร่ืองมือ เครื่องใช้ เคร่ืองจักร เคร่ืองผ่อนแรง ตอ้ งอาศัยทรัพยากรธรรมชาติ 5. การรักษาสมดุลธรรมชาติ ทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยในการรักษาสมดุลธรรมชาติ มนษุ ย์สรา้ งกจิ กรรมที่ส่งผลกระทบตอ่ ส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรธรรมชาติ ไดแ้ ก่ 1. กจิ กรรมทางด้านอตุ สาหกรรม โดยไมม่ ีการคาํ นงึ ถงึ สิง่ แวดล้อม มกี ารนําใช้ทรัพยากรธรรมชาติ มากมาย และก่อให้เกิดมลพิษ ต่อส่ิงแวดล้อม เช่น อุตสาหกรรมเหมืองแร่ มีการเปิดหน้าดิน ก่อให้เกิด ปัญหาการชะล้าง พังทลายของดิน และปัญหาน้ําทิ้ง จากเหมืองลงสู่แหล่งน้ํา ก่อให้เกิดพลพิษทางนํ้า
4 2. กิจกรรมทางการเกษตร เช่น มีการใช้ยาฆ่าแมลง เพื่อเพิ่มผลผลิต ส่งผลให้เกิดอันตราย ต่อ สิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยของมนุษย์ เน่ืองจากมีการสะสมสารพิษ ไว้ในร่างกายของส่ิงมีชีวิต และ ส่ิงแวดล้อม ก่อให้เกิดอันตราย ในระยะยาวและเกิดความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ เน่ืองจากการเจ็บป่วย ของประชาชน และคณุ ภาพสิง่ แวดล้อมท่ีแยล่ ง 3. กิจกรรมการบริโภคของมนุษย์ ส่งผลให้ มีการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือย ขาดการคํานึงถือ สิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดปัญหา สิ่งแวดล้อมตามมา เช่น ปริมาณขยะท่ีมากขึ้น จากการบริโภคของเรานี้ ท่ี มากขึ้นซึ่งยากต่อการกําจัด โดยเกิดจาการใช้ทรัพยากร อย่างไม่คุ้มค่า ทําให้ปริมาณทรัพยากรธรรมชาติ ลดน้อยลง เป็นตน้ มนษุ ย์ทําลายส่งิ แวดลอ้ ม มหี ลายสาเหตุดังนี้ 1. การเพ่ิมของประชากร การเพ่ิมของประชากรโลก เป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความเจริญ ทางด้านการแพทย์ ช่วยลดอัตราการตาย โดยการเพิ่มประชากรนี้ กอ่ ให้เกิดการบรโิ ภคทรัพยากรมากข้ึน มี ของเสยี มากข้นึ 2. พฤติกรรมการบริโภค อันเน่ืองมาจาก ต้องการให้คุณภาพชีวิตดีข้ึน มีความสุขสบาย มากข้ึน มีการนําใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อย่างสิ้นเปลือง มีขยะและของเสียมากข้ึน ส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม และตัวมนุษยเ์ อง 3. ความโลภของมนุษย์ โดยนําทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมมาใช้ เพ่ือให้ตนเองมีความ รํ่ารวย มีความสะดวกสบาย มีความเห็นแก่ตัว ขาดสติย้ังคิด ถึงสิ่งแวดล้อม อันจะเป็นผลส่งให้เกิดปัญหา สิง่ แวดลอ้ ม ท่มี ากระทบตอ่ มนุษย์เองในท่ีสดุ 4. ความไม่รู้ สิ่งที่ทําให้มนุษย์ ขาดการรู้เท่าทัน บนรากฐานแห่งความจริง อย่างลึกซึ้งใน ส่งิ แวดลอ้ ม และธรรมชาติ สง่ ผลให้มนุษยข์ าดสติ ในการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ มีพฤตกิ รรมการบรโิ ภค อัน เป็นการทําลายส่ิงแวดล้อม โดยขาดการคาดการณ์ ผลที่จะเกิดตามมา จะส่งผลให้เกิดปัญหาสิ่ง แวดล้อม และนาํ ไปสู่ความเสยี หาย ท้งั ตนเองและธรรมชาติ สภาพการณ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม • ทรัพยากรธรรมชาตลิ ดความอดุ มสมบูรณ์ ทัง้ ในดา้ นปรมิ าณและคุณภาพ ไดแ้ ก่ ดิน น้ํา ป่าไม้ สัตว์ ปา่ และแร่ธาตตุ ่าง ๆ • การเกิดมลภาวะหรือมลพิษต่าง ๆ ของส่ิงแวดล้อม เช่น น้ําเน่าเสีย อากาศเป็นพิษ มลพิษของ เสียง และมลพษิ จากขยะมลู ฝอย เปน็ ต้น • การทําลายระบบนิเวศทางธรรมชาติ เช่น ฝนท้ิงช่วง ภัยจากความแห้งแล้ง อุทกภัย วาตภัย และ ภาวะโลกรอ้ นมอี ุณหภูมสิ งู เป็นตน้
5 เมื่อแยกประเภทปัญหาแล้วพบว่าจากคนในชุมชนเมือง การทําสังคมทางการเกษตร หรือ อตุ สาหกรรมมปี ัญหาและแนวทางการแก้ปัญหา ดังน้ี ประเภท ปัญหาสงิ่ แวดล้อม แนวทางแก้ไขปญั หา คน ขยะและของเสยี ต่าง ๆ ซึง่ เป็นผลกระทบ ให้ความรู้ ความเข้าใจ และให้เกดิ ความ ตอ่ เนอื่ งถึงปญั หาน้ํา อากาศ ดนิ และแหลง่ รว่ มมอื ของทกุ คนในการใช้ทรพั ยากรอยา่ ง สะสมเชื้อโรค ต้มุ คา่ เกษตรกรรม การใชส้ ารเคมีทางการเกษตรไม่ถูกต้องและ การใช้สารเคมีทางการเกษตรอย่างถูกต้อง อตุ สาหกรรม ใช้ตามความจําเป็น ตามความจําเป็นการจัดการด้านการเกษตร ดว้ ยวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สารเคมีและของเหลอื ท้งิ จากกระบวนการ การแกไ้ ขและปอ้ งกันปญั หาส่ิงแวดลอ้ มจาก ผลิตในอตุ สาหกรรมที่มผี ลต่อสิ่งแวดล้อม อตุ สาหกรรมทาํ ไดโ้ ดยใชว้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละ กอ่ ใหเ้ กดิ มลภาวะของดนิ น้ํา อากาศ เทคโนโลยี ทงั้ ในดา้ นวัตถดุ ิบ กระบวนการ ผลติ และอืน่ ๆ
6 กจิ กรรมทา้ ยบท เรือ่ ง ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม คําชแี้ จง จงตอบคําถามตอ่ ไปน้ีใหถ้ ูกตอ้ ง 1. ใหผ้ ู้เรยี นอธิบายความสัมพนั ธ์ของมนษุ ย์กบั สง่ิ แวดลอ้ มวา่ มีความสมั พันธก์ นั อย่างไร ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 2. ให้ผู้เรยี นยกตวั อย่างของทรพั ยากรธรรมชาตปิ ระเภทตอ่ ไปน้ี 1) ทรัพยากรธรรมชาติทใ่ี ชแ้ ลว้ ไม่หมดส้นิ ได้แก่ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 2) ทรัพยากรธรรมชาตทิ ่ีใช้แลว้ ทดแทนได้ ได้แก่ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 3) ทรัพยากรธรรมชาติทีส่ ามารถนาํ มาใชใ้ หม่ได้ ได้แก่ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 4) ทรัพยากรธรรมชาติท่ใี ช้แลว้ หมดส้นิ ไป ไดแ้ ก่ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
7 3. ใหผ้ ู้เรียนยกตัวอย่างของสงิ่ แวดลอ้ มธรรมชาติและมนษุ ย์สรา้ งขน้ึ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 4. ให้ผเู้ รียนอธบิ ายว่าส่งิ แวดลอ้ มท่ถี ูกทําลายโดยมนุษย์เกิดจากสาเหตุใดเป็นสงิ่ สาํ คัญทส่ี ุด ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
8 บทท่ี 2 การละเมิดสทิ ธิทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ ม ความหมายของการละเมิด การละเมิด คือการกระทําโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอ่ืนโดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้ เขา (ผู้ถูกกระทํา) เสียหายแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดีเสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหน่ึง อยา่ งใดกด็ ี กฎหมายถือว่าผ้นู นั้ ทาํ ละเมดิ จะตอ้ งรับผดิ ชดใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทนเพ่ือการละเมดิ นัน้ พฤตกิ รรมการละเมิด 1. การกระทําต่อบคุ คลอน่ื โดยผดิ กฎหมาย ซ่ึงหมายถึงการประทุษกรรม กระทําต่อบุคคลโดยผิดกฎหมายด้วยอาการฝ่าฝืนต่อกฎหมายที่ห้าม ไว้ หรือละเวน้ ไมก่ ระทําในสงิ่ ที่กฎหมายบญั ญัตใิ หก้ ระทาํ หรือตนมีหน้าท่ีตามกฎหมายจะต้องกระทําโดยจง ใจหรือประเมินเลินเล่อเป็นต้นว่า ฆ่าเขาตาย, ทําร้ายร่างเขา, ขับรถโดยประมาท ชนคนตายและทรัพย์สิน ของเขาเสียหาย ฯลฯ 2. กระทาํ โดยจงใจหรือประมาทเลนิ เล่อเปน็ การ กระทําโดยจงใจ คือ การกระทําโดยรู้สํานึกและในขณะเดียวกันก็รู้ว่าจะทําให้เขาเสียหาย เช่น เจตนาฆา่ เขา หรอื เจตนาทาํ รา้ ยเขา ฯลฯคาํ วา่ ประมาทเลนิ เล่อในทางแพ่ง หมายความถึง การกระทําที่ขาด ความระมัดระวังจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายขึ้น และหมายรวมถึงการไม่ป้องกันผลท่ีจะเกิดขึ้นโดย ประมาทเลินเลอ่ ด้วยแมต้ นเองไมไ่ ด้กระทําให้เกดิ ผลนน้ั ขนึ้ 3. สทิ ธิ เปน็ อํานาจอนั ชอบธรรม ซ่งึ บุคคลทกุ คนพงึ มพี งึ ได้ โดยไมไ่ ปเบยี ดเบยี นคนอน่ื สิทธทิ ่ีมอี ยูน่ ีจ้ ะปรากฏในหลาย ๆ ด้าน เช่น สิทธิในบ้านเรือนท่ีอยู่อาศัย ตลอดจนทรัพย์สินต่าง ๆ ของตนเอง ที่เรียกว่า สิทธิตามกฎหมายแพ่ง หรือในการเลือกต้ังบุคคลทุกคนก็มีสิทธิในการเลือกตั้ง ตามที่ กฎหมายกําหนดเอาไว้ นอกจากนี้ยังมีสิทธิในร่างกาย สิทธิในการประกอบกิจการต่าง ๆ ตามที่ตนเอง ตอ้ งการและสิทธทิ ่ีสาํ คัญทสี่ ดุ ของบุคคลก็คือ สทิ ธติ ามกฎหมาย
9 การละเมิดสทิ ธิทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม มีสถานการณ์ท่ีสําคัญบางประการที่บ่งช้ีถึงความจําเป็นเร่งด่วน ต้องมีการจัดการกับการละเมิด สิทธทิ รัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ดังตวั อย่าง เช่น 1) การสญู เสยี ป่าธรรมชาติที่สมบูรณ์ถึง 80 ลา้ นไรใ่ นช่วงประมาณ 50 ปีที่ผ่านมา หรือปีละกว่า 1 ล้านไร่ ทาํ ให้ระบบนเิ วศป่าซง่ึ มคี วามหลากหลายทางชีวภาพ ถกู ทาํ ลายไปเป็นจํานวนมาก 2) กระบวนการฟอกบรสิ ุทธขิ์ องสินทรัพย์ทเ่ี กี่ยวข้องกบั ปา่ เชน่ ไม้ ตดั ไม้ผิดกฎหมายโดยหา ผู้กระทาํ ผดิ ไมไ่ ด้แลว้ ทาํ ให้ไมต้ กเป็นของกลาง ถกู ประมูลกลบั ไปยังนายทนุ ผ้บู งการตัดไม้ หรือการถางปา่ แลว้ นาํ ไปสร้างหลกั ฐานกเู้ งินจากสถาบันการเงนิ เมือ่ ทดี่ ินถูกยดึ ขายทอดตลาด ก็สามารถซอ้ื กลับมาไดเ้ ปน็ ทีด่ ินทีถ่ กู กฎหมาย รวมทงั้ การนาํ เงนิ ทไ่ี มม่ ีแหล่งทม่ี าทีช่ ดั เจนจากตา่ งชาตมิ ากว้านซ้อื ที่ดินโดยตงั้ ตวั แทน ทําธรุ กจิ และไดเ้ งนิ สดกลับไปอย่างถูกตอ้ งตามกฎหมาย 3) ท่ดี ินท่จี ดั สรรโดยโครงการจดั ทดี่ นิ เพอื่ ช่วยเหลอื คนจนทีไ่ ร้ทีด่ ินตา่ งๆ ของรัฐ ถูกเปล่ยี นมือมา เปน็ ของนายทุนและผ้คู รอบครองที่ไม่ได้ไร้ทด่ี นิ ทาํ กนิ มากกว่าคร่ึง ทําให้เกษตรกรผูเ้ คยไดร้ บั การจัดสรร ท่ีดนิ จากรฐั ตอ้ งกลบั ไปถางป่าใหม่ 4) การกวา้ นซอื้ ท่ีดนิ เปน็ ผืนใหญโ่ ดยนายทุนระดับชาตแิ ละทนุ ต่างชาติ ประเด็นนเ้ี กิดขึน้ ทง้ั พน้ื ท่ี เกษตรกรรมในภาคกลาง และพน้ื ที่ป่าในภาคใต้ เชน่ ทเี่ กาะสมยุ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี เกาะยาวจงั หวัดพังงา ในบทเรียนน้ี จะกล่าวถึงการละเมิดสิทธิทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดล้อม ในเรื่องตอ่ ไปน้ี 1.ทดี่ ิน การละเมิดสิทธทิ ี่รนุ แรงท่สี ดุ คือ การปลอ่ ยให้ทด่ี นิ ตกเปน็ ของเอกชนทง้ั ที่ทดี่ นิ ควรเปน็ ของ ส่วนรวมทกุ คนเทา่ เทียมกัน เพราะท่ดี นิ ไมใ่ ชส่ ่งิ ทมี่ นุษยผ์ ลิต และขาดทด่ี ินมนษุ ย์ตาย มลู คา่ ท่ีดนิ ก็มใิ ช่แต่ ละคนทาํ ใหเ้ กดิ เช่น ท่ดี ินวา่ งเปล่ามหี ญา้ ขน้ึ รก 100 ตร.วา กลางเมอื งมีราคาสูงข้ึนเรือ่ ยมาจนเป็นหลาย ลา้ นบาท \"ทด่ี นิ \" ใน The Devil’s Dictionary ปี 1911 ของ Ambrose Bierce อธบิ ายวา่ สงั คมสมยั ใหม่ ถือวา่ ท่ีดนิ คอื ทรัพยส์ ินท่ีเอกชนสามารถเป็นเจา้ ของได้ ซง่ึ ถา้ พิจารณากันจนถงึ ขอ้ ยตุ ทิ างตรรกะ (logical conclusion) แลว้ กห็ มายความวา่ คนบางคนมสี ิทธิกดี กนั คนอนื่ ไมใ่ ห้มชี วี ิต เพราะสิทธเิ ป็นเจา้ ของมีนยั ถึงสิทธิครอบครองเด็ดขาด ประเทศทีร่ บั รองกรรมสิทธิ์ของเอกชนในทีด่ นิ จะมกี ฎหมายป้องกันการบุกรุก ผลกค็ อื ถ้านาย ก, นาย ข, และนาย ค เปน็ เจ้าของทดี่ ินทั้งหมด กจ็ ะไมม่ ที ี่สําหรบั ให้ ง, จ, ฉ, ช เกิด หรอื เกิดมากลายเป็นผบู้ กุ รุก
10 แตก่ รรมสทิ ธ์ิในที่ดนิ ก็จําเปน็ ต่อการใชท้ าํ ประโยชนแ์ ละดูแลเกบ็ เก่ยี วผลประโยชน์วธิ ที ่ีดีจึงควร เป็นการปฏิรปู ภาษีเช่ือหรือไม่ ทกุ คนไม่ควรต้องเสียภาษเี งินได้หรือภาษีอ่ืน ๆ จากการลงแรงลงทนุ ทก่ี ่อ ผลผลติ และบรกิ าร รวมท้ังการแลกเปล่ียนคา้ ขายของตน ระบบรัฐสวสั ดกิ าร สามารถทาํ ได้โดยเก็บแต่เพยี งภาษที ด่ี ิน ซง่ึ ถา้ ไมเ่ กบ็ หรือเกบ็ น้อยไปจะเกิดการ เกง็ กาํ ไรสะสมทีด่ นิ อย่างปจั จุบนั ไปไหน ๆ ก็เจอแต่ท่ดี ินมเี จา้ ของแล้ว ทด่ี นิ ไดร้ บั การทาํ ประโยชน์นอ้ ย เกินไป ผลผลติ และความเจรญิ กา้ วหน้าของชาติตาํ่ กว่าปกติ ซ่ึงหมายถงึ มีคนต้องวา่ งงานมาก ค่าแรงต่ํา คน จนไมส่ ามารถเป็นเจ้าของทดี่ ินได้ ต้องเชา่ ท่ีอยู่ทีท่ ํากินในอตั ราแพงกว่าท่ีควรเปน็ (สว่ นแบ่งการผลิตลดตา่ํ กวา่ ปกต)ิ ลทั ธภิ าษีเดีย่ ว (Single Tax) จากทด่ี นิ จะชว่ ยใหเ้ กิดความเปน็ ธรรมขน้ั ฐานราก แกค้ วามยากจน ไมม่ ีการเก็งกาํ ไรท่ีดนิ จึงไมเ่ กิดวกิ ฤตวัฏจักรเศรษฐกิจฟองสบู่ท่ีรนุ แรงกอ่ ความเสยี หายย่อยยบั แกท่ ัง้ คนจน และคนรวยอกี ตอ่ ไป และเกดิ ผลดี คือ 1. ให้เสรีมากข้นึ ลดการถกู เรียกตรวจสอบจากเจา้ พนกั งานภาษีของรฐั เพราะเหลือแต่ ภาษที ่ีดิน (ควรมภี าษีหรือคา่ ชดเชยการทาํ ความเสยี หายแก่ส่ิงแวดลอ้ มและการใช้ทรพั ยากรธรรมชาตทิ ่ี สําคัญหมดเปลอื งไปดว้ ย) 2. เกิดความยุตธิ รรม ใครทํางาน ใครลงทุน ไดเ้ ทา่ ไรก็เปน็ ของเขาทั้งหมด โดยตดั ความ ไดเ้ ปรยี บเสียเปรียบจากการไดค้ รองทดี่ นิ มากนอ้ ยดีเลวผดิ กนั ออกไปด้วยภาษีทีด่ นิ 3. เกดิ ผลดี คอื ที่ดนิ ไม่เสยี เปลา่ มากมายมหาศาลจากการเกบ็ กักเก็งกําไร การว่างงานจะ ลด ค่าแรงเพิม่ และเม่ือคนไมเ่ สียภาษีเงินได้กไ็ ด้คา่ จ้างเงินเดอื นกลับบา้ นเตม็ ที่ สนิ ค้าของกินของใช้ไม่ถูก ภาษี เงินก็ไมเ่ ฟอ้ ไมเ่ สื่อมค่า ราคากต็ าํ่ ลง คนจนก็สบายข้ึน สนิ ค้าขายแข่งกบั ตา่ งประเทศได้ดขี นึ้ คน ตา่ งชาติก็จะอยากมาเทยี่ วมาใช้จา่ ยมาลงทุนทีเ่ มอื งไทยมากข้ึน (ที่อาจเปน็ ปญั หากค็ อื แรงงานต่างดา้ วจะ ทะลกั เข้าไทย) แต่เม่ือระบบปัจจุบันกลายเปน็ ความเคยชนิ จนกระทั่งเราไม่รสู้ กึ ถงึ ความอยตุ ิธรรมของการปลอ่ ย ให้เจ้าของทีด่ ินได้ประโยชน์จากทีด่ ินไปโดยไมต่ ้องลงแรงลงทุน (unearned income) เราจะเปลย่ี นระบบ ทันที เจา้ ของทด่ี ินกจ็ ะเดอื ดรอ้ นเกนิ ไป จึงควรเปลย่ี นแบบค่อยเปน็ คอ่ ยไป คือ คอ่ ย ๆ เพ่ิมภาษีทีด่ นิ เช่น ปีละ 3 % ของค่าเช่าศกั ย์หรอื ค่าเชา่ ทด่ี นิ ที่ควรเป็น 33 ปีกไ็ ด้ 99 % ขณะเดียวกนั ค่อย ๆ ลดภาษีจากการ ทํางานและการลงทุนลงชดเชยกัน 2. ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม มีแนวนโยบายพืน้ ฐานแหง่ รัฐในรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ส่วนท่ี 8 แนวนโยบายด้าน ทดี่ นิ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม มาตรา 85 รฐั ตอ้ งดําเนนิ การตามแนวนโยบายด้านท่ีดิน ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดลอ้ ม ดงั ต่อไปน้ี
11 2.1 กาํ หนดหลักเกณฑก์ ารใชท้ ่ีดนิ ให้ครอบคลุมทวั่ ประเทศ โดยใหค้ ํานึงถงึ ความสอดคล้องกบั สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ทั้งผนื ดนิ ผนื นํา้ วถิ ีชีวิตของชมุ ชนท้องถ่ิน และการดูแลรักษา ทรพั ยากรธรรมชาตอิ ย่างมปี ระสิทธิภาพ และกาํ หนดมาตรฐานการใชท้ ด่ี ินอย่างย่งั ยืน โดยตอ้ งให้ ประชาชนในพ้ืนท่ีที่ ได้รับผลกระทบ จากหลักเกณฑ์การใช้ท่ดี นิ น้นั มีส่วนรว่ มในการตัดสินใจด้วย 2.2 กระจายการถือครองทด่ี ินอย่างเปน็ ธรรมและดําเนนิ การใหเ้ กษตรกรมกี รรมสทิ ธิ์ หรอื สิทธิใน ทีด่ นิ เพื่อประกอบเกษตรกรรม อย่างท่วั ถึง โดยการปฏิรูปทีด่ นิ หรอื วธิ อี ื่นรวมทง้ั จดั หาแหล่งนาํ้ เพ่อื ให้ เกษตรกรมนี ้ําใช้อยา่ งพอเพยี งและเหมาะสมแกก่ ารเกษตร 2.3 จดั ใหม้ ีการวางผังเมอื ง พฒั นา และดาํ เนนิ การตามผงั เมืองอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพและ ประสิทธผิ ล เพ่ือประโยชนใ์ นการดูแลรักษาทรพั ยากรธรรมชาติอย่างย่ังยนื 2.4 จัดใหม้ แี ผนการบรหิ ารจัดการทรพั ยากรน้ําและทรพั ยากรธรรมชาติอนื่ อย่างเปน็ ระบบ และ เกิดประโยชน์ตอ่ ส่วนรวม ทง้ั ต้องให้ประชาชน มสี ่วนร่วมในการสงวน บํารงุ รักษา และใช้ประโยชน์จาก ทรพั ยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชวี ภาพอย่างสมดลุ 2.5 ส่งเสริม บาํ รงุ รักษา และคมุ้ ครองคณุ ภาพสง่ิ แวดล้อมตามหลกั การพัฒนาท่ยี ่ังยนื ตลอดจน ควบคุม และกาํ จดั ภาวะมลพิษที่มผี ลตอ่ สขุ ภาพอนามยั สวสั ดิภาพและคณุ ภาพชีวิตของประชาชน โดย ประชาชน ชุมชนท้องถิ่น และองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ ต้องมสี ่วนร่วมในการกาํ หนดแนวทาง การ ดาํ เนินงาน 3. ป่าไม้ เนือ่ งจากไม้เป็นทรพั ยากรธรรมชาตทิ สี่ าํ คัญ และคนนําไมม้ าใช้ทั้งการอปุ โภคและบรโิ ภค เช่น ทาํ เป็นเคร่ืองใช้ในครัวเรือน เคร่อื งใชใ้ นการเกษตรกรรมและอตุ สาหกรรม เปน็ บ้านทีอ่ ยู่อาศยั หรอื สํานกั งาน เปน็ ตน้ กฎหมายจงึ ควบคุมการตดั ไม้ และขนสง่ ไมบ้ างชนิดทสี่ ําคัญๆ ไว้ โดยบัญญตั ิไว้ในกฎหมายปา่ ไม้ เชน่ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 เปน็ ต้น สาระสาํ คญั ของการควบคุมการทาํ ไม้ ตามพระราชบญั ญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 คือ การห้ามมิให้ ผใู้ ดตดั ไมท้ ก่ี ําหนดไวว้ า่ เป็นไมห้ วงหา้ ม ท้ังนีเ้ พราะเป็นไม้ท่ีมคี วามสาํ คญั และกาํ ลังจะหมดไป แตเ่ พอื่ ประโยชน์ในทางเศรษฐกจิ สําหรับการนําไมม้ าใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ ประจําวนั ผทู้ ีต่ ัดไม้ทถี่ กู ควบคมุ ดังกล่าว จะต้องขออนุญาตจากเจ้าหน้าทีก่ รมป่าไม้ หรอื บางกรณจี ะตอ้ งไดร้ บั สัมปทานการทาํ ไม้จากรัฐ สว่ นไมท้ ี่ ไมไ่ ด้จัด ใหเ้ ปน็ ไม้หวงหา้ ม ราษฎรก็มสี ิทธทิ ําไมไ้ ดโ้ ดยไม่ต้องขออนุญาตจาก เจา้ หน้าที่ของรัฐ
12 ไม้หวงหา้ ม ตามกฎหมายป่าไม้ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คอื ประเภท ก. ไดแ้ ก่ ไมซ้ ่ึงการทาํ ไมจ้ ะต้องไดร้ ับอนญุ าตจาก พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี หรอื ไดร้ ับ สมั ปทานตามกฎหมาย ประเภท ข. ได้แก่ ไมห้ วงห้ามพเิ ศษ ซง่ึ เป็นไมห้ ายาก หรอื ไม้ที่รัฐต้องการสงวนรกั ษาไว้ เป็นพเิ ศษ การทําไมใ้ นประเภทนโี้ ดยหลักทาํ ไมไ่ ด้ เวน้ แต่รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะ เปน็ ผอู้ นุญาตเปน็ กรณีพเิ ศษ(พ.ร.บ.ป่าไมม้ าตรา 6) สําหรบั ไม้สัก และไม้ยาง ซ่งึ ขน้ึ อยใู่ นราชอาณาจักร พ.ร.บ.ปา่ ไม้ มาตรา 7 กาํ หนดวา่ เป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ไม่วา่ จะอยู่ในเขตป่าไม้ หรอื ในทด่ี นิ ของเอกชน การจะทราบวา่ ไม้อะไรเป็นไม้ หวงหา้ มหรอื ไม่ หรือเปน็ ไมห้ วงห้ามในประเภทใด ต้องออกกฎหมายที่เรียกว่า พระราชกฤษฎีกา กาํ หนดไว้ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาใหป้ ระชาชนทราบ ส่วนไม้ทไ่ี มไ่ ด้เป็นไมห้ วงห้าม ประชาชนสามารถตดั ไมแ้ ละแปรรูป ไมไ้ ด้ แตก่ ฎหมายกย็ งั ควบคมุ การนําไมด้ งั กล่าวเขา้ เขตด่านปา่ ไม้ จะต้องเสยี คา่ ธรรมเนียม ตามกฎหมาย เวน้ แตว่ า่ จะเป็นการนําไปใช้เพ่อื การสว่ นตวั (มใิ ชเ่ พอื่ การค้า) ภายในเขตจงั หวดั ทอ้ งที่นน้ั เชน่ ไม้ยางพารา ไม้มะม่วง ไมส้ น ไม้ทุเรยี น ตน้ หมาก ตน้ มะพร้าว เป็นต้น การทาํ ไม้ ซึง่ เปน็ การกระทําต้องห้าม และมโี ทษทางอาญาตาม พ.ร.บ. ปา่ ไม้ มลี กั ษณะ ดังนี้ ตดั ฟนั กาน โคน่ ลิด เลอ่ื ย ผ่า ถาก ทอน ขดุ ชกั ลากไมใ้ นปา่ หรอื นําไมอ้ อกจากปา่ ด้วยประการ ใดๆ และรวมถงึ การกระทาํ ดังกล่าวกับไมส้ ัก ไมย้ างที่ข้ึนอยใู่ นทดี่ ินที่ไมใ่ ช่ป่า หรือการนําไมส้ ักหรอื ไมย้ าง ออกจากทีด่ นิ ท่ไี มน้ นั้ ขนึ้ อยดู่ ว้ ย นอกจากการทาํ ไม้แล้ว กฎหมายยงั ห้ามการเจาะ หรอื สบั หรอื เผา หรือ การทําอันตรายแกไ่ ม้หวงห้ามอกี ด้วย ทั้งนี้ ถา้ ไม่ไดร้ ับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ต้องมีโทษทางอาญา กฎหมายยังห้ามการเก็บหาของป่า อีกดว้ ย ของปา่ หมายถึง บรรดาของที่เกดิ ขน้ึ หรอื มขี ึ้นในปา่ ตามธรรมชาติ คือ ก. ไม้ รวมท้งั สว่ นตา่ งๆ ของไม้ ถา่ นไม้ น้ํามนั ไม้ ยางไม้ ตลอดจนส่งิ อื่นๆ ทีเ่ กดิ จากไม้ ข. พชื ตา่ งๆ ตลอดจนสง่ิ อนื่ ๆ ที่เกดิ จากพชื นัน้ ค. รงั นก ครัง่ รวงผ้งึ ข้ผี ้ึง และมูลคา้ งคาว ง. หนิ ทีไ่ ม่ใช่แร่ ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยแร่ และหมายความรวมถึงถ่านไมท้ บ่ี ุคคลทาํ ข้นึ ดว้ ย (พ.ร.บ.ปา่ ไม้ มาตรา 4) ของปา่ ขา้ งต้น จะต้องห้ามไมใ่ หเ้ กบ็ ตามกฎหมายฉบับน้ี ต้องมี การประกาศว่าเปน็ ของ ป่าหวงหา้ ม ซง่ึ จะกระทาํ โดยพระราชกฤษฎีกาในทอ้ งทีใ่ ดทอ้ งทีห่ น่งึ
13 ในกรณีทเ่ี ปน็ ของปา่ หวงหา้ ม การเก็บหาของป่า จะต้องไดร้ บั อนุญาตจากเจ้าหนา้ ที่กอ่ น ซ่ึงการขอ อนญุ าตจะต้องย่นื แบบฟอรม์ ตามท่ีกฎหมายกาํ หนดต่อพนักงานเจา้ หน้าทใ่ี นเขตนัน้ และเม่ือได้รบั อนุญาตกส็ ามารถเกบ็ หาของปา่ ได้ โดยเสยี คา่ ธรรมเนียมตามทีก่ ฎหมายบัญญัติ กฎหมายยังห้ามการค้าหรอื มขี องป่าไว้ในครอบครองเกนิ กาํ หนด ซง่ึ รฐั มนตรวี า่ การกระทรวง เกษตรและสหกรณจ์ ะเป็นผู้ประกาศในราช-กิจจานุเบกษา เว้นแต่จะไดร้ ับอนญุ าตจากพนกั งานเจ้าหนา้ ที่ (พ.ร.บ. ปา่ ไม้ มาตรา 29 ทว)ิ สว่ นของปา่ ทไ่ี ม่ไดห้ วงห้ามราษฎรสามารถเกบ็ หาของป่าไดโ้ ดยไมต่ อ้ งขออนุญาตต่อพนกั งาน เจา้ หน้าท่ีแต่อยา่ งใดอยา่ งไรก็ดี การกระทําบางอย่าง เจา้ หน้าท่หี รือราษฎรสามารถกระทําได้เพราะ กฎหมายยกเว้นไว้ คอื การกระทําของเจา้ หน้าทีป่ า่ ไมเ้ พือ่ การบาํ รงุ ป่า หรอื การคน้ คว้า ทดลองทางวชิ าการ หรอื เปน็ การทีร่ าษฎรเก็บหาเศษไม้ ปลายไมต้ ายแห้ง ทลี่ ้มขอนนอนไพร อันมีลกั ษณะเป็นไมฟ้ ืน และไมใ่ ช่ ไม้สกั หรอื ไม้หวงห้ามประเภท ข. โดยนําเศษไม้ดงั กล่าว ไปใช้สอยในบา้ นของตนหรอื ประกอบกจิ การของ ตน (พ.ร.บ.ปา่ ไม้ มาตรา 17) การนําไม้หรอื ของปา่ เคลือ่ นที่จากทห่ี นงึ่ ไปยงั อีกท่ีหนงึ่ กฎหมายควบคุมการนาํ เคลอื่ นท่ี จากทีห่ นึ่งไปยงั อีกทห่ี นึ่ง ทง้ั นโ้ี ดยการที่ราษฎรต้องขออนญุ าต นาํ ไมห้ รอื ของป่าเคลือ่ นท่ตี อ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทก่ี อ่ น การนาํ ไมเ้ คล่อื นทท่ี ่ตี ้องขออนุญาต มีดังน้ี ก. นําไมห้ รือของป่าที่ไดร้ ับอนุญาตให้ทาํ หรอื เกบ็ ออกจากสถานทที่ ร่ี ะบุไว้ในใบอนญุ าต ไปถงึ สถานท่ีท่ีระบไุ วใ้ นใบอนญุ าตแลว้ ข. นาํ ไมท้ ท่ี ําโดยไมต่ อ้ งรบั อนุญาต ออกไปจากด่านปา่ ไม้ด่านแรกแล้ว ค. นําไมห้ รือของป่าเขา้ มาในประเทศ ไปถงึ ด่านศลุ กากรหรอื ดา่ นตรวจศลุ กากรทนี่ าํ เข้ามาแลว้ ง. นาํ ไมห้ รือของปา่ ทีซ่ อื้ มาจากทางราชการไปจากทีไ่ มห้ รอื ของปา่ นนั้ อยู่ (พ.ร.บ.ปา่ ไม้ มาตรา 38) ผ้นู าํ ไมห้ รือของป่าเคล่อื นท่ี จะตอ้ งมีใบเบกิ ทางของพนักงาน เจ้าหน้าท่กี าํ กบั ไปดว้ ย (พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 39) การขอใบเบกิ ทางนาํ ไม้หรอื ของปา่ เคลือ่ นที่ให้ขอท่ปี า่ ไมจ้ ังหวดั พร้อมดว้ ยบนั ทกึ แสดงชนดิ จํานวน ขนาด ปริมาตร และใบเสรจ็ ทแ่ี สดงว่าไม้หรือของป่าน้ี ได้เสยี ค่าธรรมเนยี มเรียบรอ้ ยแล้ว ในการนําไมห้ รอื ของปา่ เคลอื่ นทน่ี ้นั กฎหมายไดก้ ําหนดหา้ มมใิ หเ้ คลื่อนท่ี ผา่ นด่านปา่ ไม้ในระหว่างเวลา กลางคนื (ตงั้ แต่พระอาทติ ย์ตก จนถงึ พระอาทติ ยข์ ้ึน) เวน้ แต่จะได้รับอนญุ าตจากเจา้ พนกั งานเปน็ หนังสือ (พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 41)
14 การแผว้ ถางปา่ เพ่อื เป็นการสงวนรกั ษาปา่ ไมไ้ วอ้ ันเปน็ ประโยชนต์ ่อสว่ นรวมและแกล่ กู หลาน กฎหมายจึงไดห้ ้าม ผูใ้ ดเขา้ ครอบครองป่าไว้เปน็ ของตนเองหรือผู้อน่ื และห้ามมิให้แผว้ ถางหรือทาํ ลายปา่ มิฉะนั้นจะมคี วามผิด ทาง อาญา อยา่ งไรก็ดี ทางราชการได้ตระหนักถงึ ความจําเป็นของราษฎรที่ ยากจนไม่มที ดี่ นิ ทําการเกษตร จึง ไดจ้ าํ แนกป่าไมไ้ ว้ ถา้ ป่าใดเปน็ ปา่ ประเภทเกษตรกรรม ราษฎรสามารถเข้าครอบครอง และแผ้วถางเพ่อื เพาะปลูกพชื ไดโ้ ดยไม่ตอ้ งขออนญุ าตจากพนกั งานเจา้ หน้าท่ี แต่ป่าใดที่ทางราชการมไิ ด้ประกาศเปน็ ปา่ เกษตรกรรม ราษฎรคนใดประสงค์ที่จะครอบครองแผว้ ถางปา่ จะต้องขออนญุ าตตอ่ เจ้าหน้าทปี่ ่าไมใ้ นเขตท่ี ปา่ นั้นอยู่ก่อน (พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 54) การคุ้มครองปา่ อนุรกั ษ์ กฎหมายทเี่ กี่ยวขอ้ งกับป่าอนุรกั ษ์มีหลายฉบบั แตท่ ่ีเป็นกฎหมายหลกั ในปจั จุบันมี 4 ฉบบั คือ พระราชบญั ญตั ปิ ่าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2507 พระราชบญั ญัตอิ ุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 พระราชบญั ญตั ิ สงวนและคมุ้ ครองสัตวป์ ่า พ.ศ. 2535 และพระราชบญั ญัติสง่ เสรมิ และรักษาคุณภาพ ส่งิ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซ่งึ ในกฎหมายทง้ั ส่ีฉบบั นไี้ ด้มมี าตรการทจี่ ะจํากัดการทาํ ลายป่าไมแ้ ละ สงวนพนื้ ท่ปี า่ ไมท้ ่มี ีความอดุ มสมบูรณใ์ นทางระบบนิเวศนแ์ ละเปน็ แหลง่ ตน้ นํา้ ลําธาร อันเปน็ ต้นกาํ เนิดของ ทรัพยากรธรรมชาตติ า่ งๆ โดยการกาํ หนดให้มกี ารประกาศเขตพ้นื ทอ่ี นุรกั ษ์ไว้ และกาํ หนดห้ามการกระทํา บางอยา่ งที่จะนําไปส่กู ารทําลายปา่ ไม้ สัตวป์ า่ และของปา่ ในเขตดังกล่าว ทั้งน้ี ผูฝ้ า่ ฝืนจะต้องได้รบั โทษ ทางอาญา และตอ้ งรับผดิ ในทางแพง่ อีกด้วย นอกจากนี้ กฎหมายดังกล่าวยงั มีแนวโน้มที่จะใหอ้ ํานาจหนา้ ที่ แก่เจ้าพนักงานป่าไม้ และเจา้ พนักงานท่เี กี่ยวข้องทจี่ ะปอ้ งกนั และปราบปรามการทาํ ลาย ทรพั ยากรธรรมชาตใิ นเขตอนรุ กั ษด์ ังกลา่ ว โดยการออกใบอนุญาต หรอื การสัง่ ใหผ้ ฝู้ ่าฝนื ทําให้ สภาพแวดลอ้ มกลบั คนื ดดี ังเดิม หรือเข้าไปดําเนนิ การแก้ไขสภาพแวดลอ้ มเองโดยคิดคา่ ใช้จ่ายจากผ้กู ระทํา การละเมิด ปา่ อนรุ ักษต์ ามกฎหมายปัจจบุ นั แบ่งออกได้ 4 ประเภท ก. ป่าสงวนแห่งชาติ ข. อทุ ยานแห่งชาติ ค. เขตรักษาพนั ธสุ์ ตั วป์ า่ ง. เขตพ้ืนทค่ี ุ้มครองสงิ่ แวดลอ้ ม
15 ก. ปา่ สงวนแห่งชาติ ปา่ สงวนแห่งชาติ คอื ป่าที่พระราชบญั ญัตสิ งวนและค้มุ ครองป่า พ.ศ. 2481 ประกาศว่าเปน็ ปา่ สงวนและป่าคมุ้ ครอง ส่วนป่าสงวน อีกกรณหี นง่ึ เป็นป่าซ่งึ รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออก กฎกระทรวงใหเ้ ป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยพิจารณาจากความจําเป็นเพ่ือการรักษาสภาพปา่ ไม้ ของปา่ หรอื ทรัพยากรธรรมชาตอิ ่ืน และในกฎ กระทรวงดังกลา่ วจะตอ้ งมแี ผนทีแ่ สดงแนวเขตของปา่ สงวนไว้ดว้ ย อีก ทั้งเมอื่ ประกาศแล้ว ตอ้ งปิดประกาศสาํ เนากฎกระทรวงไว้ ณ ทีว่ า่ การอําเภอหรอื กิง่ อําเภอ ท่ที ําการกาํ นนั และในหมูบ่ า้ นในเขตทีเ่ กยี่ วข้อง เพือ่ ใหป้ ระชาชนทราบ การประกาศพื้นทปี่ า่ สงวนแหง่ ชาติน้นั มขี ้อห้ามวา่ ต้องไมเ่ ป็น ที่ดนิ ของเอกชนทม่ี สี ิทธิ ครอบครองอยแู่ ล้วก่อนท่จี ะมีการประกาศเปน็ เขตป่าสงวนแหง่ ชาติ ซ่ึงโดยทั่วไปจะเปน็ ท่ีรกรา้ งว่างเปล่า หรือเปน็ ทท่ี ่อี ยู่ในความครอบครองของรฐั หรอื ทบวงการเมอื ง เป็นที่น่าสงั เกตว่า ในปจั จุบันชาวบา้ นบางหมู่บา้ นทํากินอยใู่ นเขตป่าสงวนแห่งชาติและมีปัญหา พิพาทวา่ ตนเคยอาศยั อยูใ่ นบรเิ วณ ดังกล่าวโดยชอบก่อนท่ีจะประกาศวา่ เขตน้นั เป็นเขตป่าสงวน ซ่งึ ใน กรณนี ี้ เป็นปัญหาทจี่ ะต้องนาํ สืบพสิ ูจนว์ า่ เป็นความจรงิ เชน่ ไร ซึง่ ถ้าเป็นความจรงิ อาจเป็นเพราะ ข้อบกพร่องในช่วงการสํารวจ ซ่ึงเจ้าหนา้ ที่ไม่สามารถสํารวจได้ครบทกุ พื้นทไี่ ด้ จึงประกาศเขตป่าสงวน แหง่ ชาติทบั ทข่ี องราษฎร ซง่ึ ทางแกก้ ็จะต้องเพกิ ถอนเขตดังกลา่ วออกจากเขตปา่ สงวนแห่งชาติ แตถ่ ้าไม่ เปน็ ความจริง ราษฎรหมู่บ้านน้ันจะต้องอพยพออกจากพ้ืนทป่ี ่าสงวนดงั กลา่ วเว้นแตจ่ ะเขา้ เง่ือนไข ทจ่ี ะ ไดร้ บั สิทธิทํากินตามพระราช-บัญญัตนิ ้ี แนวคดิ ในการอนรุ ักษ์ปา่ สงวนแห่งชาติ คอื การสงวนและรกั ษาไวซ้ ่งึ ทรัพยากรปา่ ไม้ เพอ่ื ประโยชน์ ในด้านการพฒั นาเศรษฐกิจอยา่ งยง่ั ยนื หรือกลา่ วอีกนัยหน่งึ วา่ เปน็ ป่าสงวนไว้ เพื่อใชป้ ระโยชนจ์ ากป่าใน เชงิ เศรษฐกิจ และนําผลประโยชน์จากป่าไมม้ าเพ่ือการพัฒนาอย่างมปี ระสิทธภิ าพ และให้มกี ารใช้ ประโยชน์นานทส่ี ดุ จนถึงลกู หลาน ดังนน้ั กฎหมายจงึ มีทงั้ การหา้ มมใิ หบ้ กุ รกุ หรอื หาของปา่ หรือเข้าไป กอ่ สร้างในเขตป่าสงวน แต่ถา้ เป็นพื้นทีป่ ่าดังกล่าวในเขตท่ีเรยี กวา่ ปา่ เส่อื มโทรม ทางกรมป่าไมก้ ็อาจ อนุญาตใหร้ าษฎรที่ไมม่ ที ่ีดินทํากนิ เขา้ ทํากินได้โดยไมส่ ามารถถอื เอากรรมสทิ ธิ์หรอื สทิ ธคิ รอบครองได้ หรือ อาจจะให้เอกชน เข้ามาปลกู ป่าทดแทนได้เพอ่ื พฒั นา ฟ้ืนฟสู ภาพป่าไม้ใหด้ ีขึ้น นอกจากน้ี การศึกษาทาง วิชาการอนั จะนาํ ไปสกู่ ารพฒั นาทางระบบนิเวศน์ หรอื การพฒั นาพนั ธพ์ุ ืช เจา้ พนกั งานป่าไม้มสี ิทธิอนุญาต ให้บคุ คลเข้าไปในปา่ เพือ่ ศึกษาได้ กรณีทถี่ ือว่าเป็นการบกุ รกุ หรือทําลายสภาพป่าสงวนแหง่ ชาติ มกี ําหนดไว้ในพระราชบัญญัติปา่ สงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14-20 มหี ลกั สําคญั ดงั นี้
16 1) กระทําต่อต้นไม้ ดนิ หิน กรวด ทราย แรแ่ ละนํ้ามัน พืช สตั วต์ ่างๆ หรอื ซากสตั ว์ ซง่ึ อย่ใู นเขต ปา่ สงวนนนั้ 2) ทําไม้ ซ่ึงรวมถึง การตัด ขุด หรือชักลากไมท้ ี่มีอยูใ่ นปา่ หรือนาํ ไมท้ ่ีอยู่ในป่าออกมาจากปา่ สงวน แห่งชาติ ไมว่ ่าไม้นั้นจะเปน็ ไม้ หวงห้ามตามกฎหมายป่าไม้หรอื ไม่กต็ าม เว้นแต่จะได้รบั อนุญาตจาก เจ้า พนักงาน 3) เกบ็ หาของปา่ ได้แก่ การเกบ็ ไมฟ้ ืน เปลอื กไม้ หนิ ซากสัตว์ นาํ้ ผ้ึง มูลคา้ งคาว เป็นต้น เว้นแต่ จะไดร้ ับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน 4) เขา้ ไปยึดถอื ครอบครอง ทาํ ประโยชน์ หรืออาศยั อยู่ แผ้วถาง เผาป่า หรอื ทาํ ให้เกดิ การ เสอ่ื มสภาพของปา่ โดยไม่ได้รบั อนุญาตจากพนกั งานเจา้ หน้าท่ี 5) กรณที ีร่ าษฎรอาจได้รบั การอนุญาตใหเ้ ข้าไปทํากินได้ ในเขตปา่ สงวนแห่งชาติ ได้แก่ การให้ สทิ ธทิ ํากนิ การอนญุ าตให้ปลกู ป่า หรอื ทาํ สวนปา่ ในเขตปา่ เส่อื มโทรม หรือการอนญุ าตให้เขา้ ทาํ ประโยชน์ เกี่ยวกบั การทําเหมอื งแรห่ ลงั จากทส่ี ัมปทานตามกฎหมายแร่ เปน็ ต้น ผฝู้ ่าฝืน หลักการขา้ งตน้ ตอ้ งระวางโทษจําคุก ตง้ั แต่หกเดือนถงึ หา้ ปี และปรับต้งั แต่ห้าพนั บาทถึง ห้าหมน่ื บาท แตผ่ กู้ ระทําจะตอ้ งไดร้ บั โทษจาํ คุกหนักข้ึน โดยตอ้ งระวางโทษจาํ คุกต้ังแต่สองปถี ึงสิบหา้ ปี และปรับตงั้ แตส่ องหมนื่ บาทถึงหนึ่งแสนหา้ หม่นื บาท ถ้าได้กระทําการบุกรุก มีเนอื้ ที่เกินยสี่ ิบห้าไร่ หรอื กอ่ ใหเ้ กิดความเสยี หายแกไ่ มส้ กั ไมย้ าง ไม้ สนเขา หรือไมห้ วงหา้ มประเภท ข. ตามกฎหมายป่าไม้ หรอื กระทาํ ตอ่ ไม้อ่นื ๆ ซึง่ มจี าํ นวนต้นหรือท่อน รวมกันเกนิ ยสี่ บิ ต้นหรอื ท่อน หรอื มปี รมิ าตรไม้เกนิ สีล่ ูกบาศก์ เมตร หรือกระทาํ ตอ่ ตน้ นาํ้ ลาํ ธาร (พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ มาตรา 31) กรณที จ่ี ะถือวา่ เป็นตน้ หรือทอ่ นน้ัน ตอ้ งมีขนาดใหญพ่ อสมควร ถา้ เปน็ เพียงเศษไม้เลก็ ไมน้ อ้ ยท่ีมี ลกั ษณะเปน็ ชนิ้ เลก็ ช้ินนอ้ ย ไม่ถือว่าเปน็ ตน้ หรือทอ่ น (ฎกี าท่ี 3103/2532) นอกจากนี้ ผ้นู น้ั จะต้องถูกสั่งใหอ้ อกจากพ้ืนทปี่ ่าสงวนแห่งชาติ (รวมถงึ ครอบครัวและบริวารดว้ ย) ถา้ ศาลพิพากษาว่ามคี วามผดิ อกี ทั้งยงั ถูกริบเคร่ืองมือ ยานพาหนะ เครื่องจกั ร เครอื่ งกล เชน่ เล่ือย รถ แมคโคร ขวาน มีด เป็นตน้ เวน้ แตท่ รพั ยส์ นิ ดังกล่าวจะเป็นของผูอ้ ่นื ท่ไี มร่ ้เู หน็ เปน็ ใจ เชน่ เป็นรถที่เช่าซ้ือ มาจากบรษิ ทั ทเ่ี ปน็ ตัวแทนจาํ หน่ายรถยนต์ และบริษทั ดงั กล่าวไม่รู้เหน็ ถงึ การที่จะนํารถไปกระทําความผิด บริษัทมีสทิ ธขิ อรถทีถ่ กู รบิ ไวค้ ืนได้ ภายใน 1 ปี นบั แต่วันท่มี คี ําพิพากษา ให้ริบ ข. อุทยานแหง่ ชาติ อทุ ยานแหง่ ชาติ คือ ท่ดี นิ ทร่ี ฐั มนตรวี า่ การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประกาศพระราช กฤษฎกี ากําหนดให้เป็นอุทยานแหง่ ชาติ ทงั้ นี้ โดยเห็นว่าทด่ี นิ ดังกลา่ วมสี ภาพธรรมชาติเปน็ ทนี่ ่าจะรกั ษาให้ คงสภาพไว้เพ่ือประโยชนแ์ ก่การศึกษา และเพอื่ การรื่นรมย์ของประชาชนหลักการในการอนุรักษ์ป่าในเขต
17 อุทยานแห่งชาติคือ การสงวน รักษาสภาพของปา่ ไว้ เพอ่ื รักษาความสมดลุ ของระบบนิเวศน์ และรกั ษา สภาพความกลมกลนื ของธรรมชาติ ทั้งป่าไม้ ดนิ นา้ํ สตั ว์ป่า นอกจากน้ี ยงั เปดิ โอกาสให้ประชาชนเข้าไป ศึกษาและนันทนาการถึงความสวยงามของธรรมชาติอีกดว้ ย ดังนั้น หลกั ในการจดั การอทุ ยานแห่งชาติ ก็ คือการรกั ษาและฟนื้ ฟสู ภาพป่า และสง่ิ มีชวี ิตในปา่ ไว้ตามธรรมชาติ และเปิดพ้นื ท่บี างส่วนเพ่อื ให้ประชาชน เขา้ ไปชมความงามของธรรมชาตินั้น ด้วยเหตนุ ก้ี ฎหมายจึงอนญุ าตใหป้ ระชาชนเขา้ ไปในเขตดงั กลา่ วได้ แต่ ต้องปฏบิ ัติตนมใิ หเ้ ป็นการทาํ ลายทรัพยากรธรรมชาตหิ รอื กระทบต่อความ เป็นอยู่ของสตั วป์ ่า ขอ้ ห้ามตามพระราชบญั ญตั ิอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ได้แก่ 1. ยดึ ถอื ครอบครอง แผว้ ถาง เผาปา่ ก่อสรา้ ง ในเขตอุทยานแห่งชาติ 2. เกบ็ หาของปา่ หรือนาํ ของป่าออกไป หรอื ทาํ ให้เสอ่ื มสภาพซ่ึงยางไม้ ไม้ น้าํ มันยาง นํ้ามันสน แร่ และทรัพยากรธรรมชาติ เวน้ แต่จะไดร้ ับอนุญาต 3. นําสัตวป์ า่ ออกไป หรือทําอันตรายแก่สตั ว์ หรือดนิ หิน กรวดหรอื ทราย 4. ทาํ ใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงของทางนาํ้ หรือทาํ ใหท้ างน้าํ เหอื ด แหง้ หรอื ท่วม 5. เก็บหรอื ทาํ อันตรายต่อดอกไม้ ใบไม้ หรอื ผลไม้ 6. นําสัตวเ์ ลย้ี ง หรือสตั วพ์ าหนะเข้ามา นาํ ยานพาหนะหรอื อากาศยานเขา้ มา เวน้ แต่จะไดร้ ับ อนญุ าตจากเจา้ พนกั งาน หรือปล่อยปศุสตั ว์เขา้ มา 7. ท้ิงขยะมลู ฝอย 8. ยงิ ปืน ทําให้เกดิ ระเบดิ นาํ เชือ้ เพลิงท่ีอาจทาํ ให้เกดิ เพลงิ ไหม้ ส่งเสียงออ้ื ฉาว 9. นาํ เคร่ืองมือลา่ สตั ว์หรือจบั สัตว์ หรอื อาวุธใดๆ เขา้ มา เวน้ แตจ่ ะได้รบั อนุญาตจากเจ้าหนา้ ที่ โทษทางอาญา ทีก่ าํ หนดไว้จะมโี ทษจําคุกสงู สุดคอื จาํ คกุ ไมเ่ กินหา้ ปี หรือปรบั ไม่เกินสองหม่ืน บาท หรือทัง้ จาํ ทง้ั ปรบั ในการกระทาํ ท่ี ฝ่าฝืนใน 1, 2, 3, 4 ส่วนในกรณีอน่ื กม็ โี ทษตาํ่ กวา่ แตเ่ ฉพาะการ เกบ็ หาของปา่ ซึง่ เป็นสตั ว์และทรัพย์สนิ ทมี่ รี าคาเลก็ น้อย ซงึ่ โดยส่วนใหญ่ จะเป็นการเกบ็ หาของป่าตามวถิ ี ชวี ติ ของชาวบ้านซงึ่ อาศยั อย่ใู นเขตใกลเ้ คยี งกับเขตอทุ ยานแหง่ ชาติ โทษท่ีฝา่ ฝนื จะลดลงเหลอื เพียงโทษ ปรบั ไมเ่ กินหา้ ร้อยบาท อยา่ งไรกด็ ี กฎหมายยงั ให้อํานาจศาลทีจ่ ะรบิ เครื่องมือ ยานพาหนะ ที่ใชใ้ นการกระทําความผิดอีก ดว้ ย เวน้ แตจ่ ะเปน็ ของผ้อู น่ื ที่ไมไ่ ด้รูเ้ หน็ เปน็ ใจด้วย ค. เขตรกั ษาพนั ธสุ์ ัตวป์ ่า เขตรกั ษาพันธสุ์ ตั ว์ปา่ เปน็ เขตท่ีคณะรัฐมนตรเี ห็นชอบวา่ ทีด่ นิ ในเขตใดท่คี วรรักษาไวเ้ พือ่ เปน็ ท่ี อยู่อาศยั ของสัตวป์ า่ โดยปลอดภัย เพือ่ รักษาพนั ธ์สุ ัตวป์ า่ ไว้ โดยการประกาศพระราชกฤษฎีกาใหเ้ ปน็ เขต รักษาพนั ธสุ์ ตั ว์ปา่ (แต่ท่ดี นิ นน้ั จะตอ้ งไม่เป็นที่ดนิ ของเอกชน)
18 หลกั การคมุ้ ครองพื้นทป่ี า่ และสัตวป์ า่ ในเขตรักษาพันธส์ุ ัตว์ปา่ น้ี จะมกี ารหา้ มกิจกรรมของคนทจี่ ะเขา้ ไปใน เขตน้อี ยา่ งเขม้ งวด โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การใหส้ ัมปทาน หรอื ประทานบัตร เพ่ือทําแร่หรือปิโตรเลียม ทงั้ น้ี เพราะกฎหมายประสงค์จะใหม้ พี ืน้ ท่เี พ่ือการขยายพนั ธ์ุของสัตว์ปา่ จึงพยายามจะอนุรักษพ์ ้นื ทป่ี า่ ทอี่ ุดม สมบรู ณไ์ ว้ ข้อห้ามท่ีกําหนดไว้มดี งั นี้ 1) ห้ามลา่ สตั ว์ปา่ ไมว่ า่ จะเปน็ สัตว์ป่าสงวนหรือสตั วป์ า่ ค้มุ ครองหรือไม่ และห้ามเก็บหรอื ทํา อันตรายแก่รังของสัตว์ป่า ยกเว้นการกระทาํ เพอื่ การศึกษาทางวิชาการ และไดร้ ับอนุญาตเปน็ หนงั สอื จาก อธิบดกี รมปา่ ไม้ โดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าแห่งชาติ (พ.ร.บ.สงวนและ ค้มุ ครองสัตว์ปา่ มาตรา 36) ผู้ฝ่าฝนื มโี ทษจาํ คกุ ไมเ่ กินห้าปี หรือปรับไม่เกนิ หา้ หมนื่ บาทหรอื ท้งั จําทัง้ ปรับ (มาตรา 53) 2) หา้ มเขา้ ไปในเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ัตว์ป่า เว้นแตจ่ ะได้รับอนญุ าตจากพนักงานเจา้ หน้าที่ หรอื เปน็ เจ้าพนักงานซ่งึ ต้องทาํ หนา้ ท่ีในเขตนัน้ (พ.ร.บ.สงวนและคุม้ ครองสตั ว์ปา่ มาตรา 37) 3) หา้ มยึดถอื ครอบครองทด่ี นิ หรอื ตดั โคน่ แผว้ ถาง เผา หรือทาํ ลายตน้ ไม้ หรือพฤกษาชาติ อนื่ ๆ หา้ มขดุ หาแร่ ดนิ หนิ หรือเลี้ยงสัตว์ หรือปลอ่ ยสตั วห์ รือสัตว์ป่าหรือเปล่ียนแปลงทางนาํ้ หรอื ทาํ ให้น้าํ แห้ง นํ้าท่วม หรอื น้าํ เป็นพษิ หรือเป็นอนั ตรายต่อสัตว์ปา่ แตม่ ีข้อยกเวน้ ใหท้ าํ ไดโ้ ดยได้รบั อนุญาตจาก อธบิ ดกี รมป่าไม้หรอื กรมประมงเพอ่ื ประโยชนใ์ นการบาํ รงุ พันธุ์ การศึกษาทางวชิ าการ หรอื การอํานวย ความปลอดภยั หรอื การให้ความรูแ้ กป่ ระชาชน (พ.ร.บ.สงวนและคมุ้ ครองสตั วป์ า่ มาตรา 38) ผฝู้ ่าฝืนมี โทษจําคกุ ไม่เกนิ เจด็ ปี หรือปรบั ไม่เกินหนึง่ แสนบาท หรอื ทง้ั จําทง้ั ปรบั (มาตรา 54) และศาลมีอํานาจพิพากษาขับไลผ่ นู้ ้ันและบรวิ ารออกจากเขตรักษาพนั ธุ์สัตว์ปา่ และมอี ํานาจรบิ ทรพั ย์ บรรดาเครื่องมือ ยานพาหนะหรอื สตั ว์ป่า หรือซากของสัตว์ป่าท่ีไดม้ าจากการกระทาํ ความผดิ น้ัน (มาตรา 57, 58) ง. เขตพน้ื ทคี่ มุ้ ครองสงิ่ แวดล้อม โดยทีบ่ างพนื้ ท่ีซึง่ ทางราชการไมไ่ ดป้ ระกาศเป็นเขตปา่ สงวน แหง่ ชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ และ เขตรกั ษาพนั ธ์ุสตั ว์ป่า การให้ ความคุ้มครองแหล่งต้นนํ้าลาํ ธาร หรอื ระบบนเิ วศน์จะไม่อาจทําได้ และ อาจจะสายเกนิ ไปท่จี ะรอใหม้ กี ารประกาศเขตอนุรกั ษ์ดังกล่าว ดังนั้น พระราชบัญญตั ิสง่ เสรมิ และรักษา คุณภาพสิ่งแวดลอ้ มแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 43 ซง่ึ ใหอ้ าํ นาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวทิ ยาศาสตร์
19 เทคโนโลยี และสิ่งแวดลอ้ ม โดยได้รับคาํ แนะนําจากคณะกรรมการสง่ เสรมิ และรกั ษาคุณภาพส่งิ แวดลอ้ ม แห่งชาติ เพ่อื ประกาศให้พน้ื ทใ่ี ดพืน้ ท่หี น่งึ เปน็ เขตพืน้ ท่คี ้มุ ครองส่ิงแวดลอ้ ม โดยประกาศเป็นกฎกระทรวง แตพ่ น้ื ท่ีดังกล่าวจะต้องเปน็ พ้ืนทแี่ หล่งตน้ นาํ้ ลําธาร หรือมีระบบนเิ วศน์ตามธรรมชาตแิ ตกตา่ งจากท่ีอื่นๆ หรือระบบนเิ วศน์ตามธรรมชาติของพื้นทน่ี ั้นอาจจะถูกทําลาย หรอื ถูกกระทบกระเทือนจากการกระทําของ คนท่เี ข้าไปอยู่ในบรเิ วณน้ันโดยง่าย หรอื เป็นพน้ื ท่อี นั มคี ุณคา่ ควรแกก่ ารอนุรกั ษ์ แตย่ ังไม่มีการประกาศเป็น เขตอนรุ ักษ์ เมอ่ื ไดป้ ระกาศเขตพื้นทค่ี ้มุ ครองส่งิ แวดล้อมแลว้ กฎหมายกําหนดให้มีมาตรการคมุ้ ครอง ส่งิ แวดล้อมในกฎกระทรวงท่ีประกาศด้วย เช่น การกาํ หนดการใชป้ ระโยชน์ในที่ดินเพอื่ รกั ษาสภาพ ธรรมชาติ หรือมิให้กระเทอื นตอ่ ระบบนเิ วศน์ หรอื หา้ มการกระทาํ อนั มีลกั ษณะเปน็ การทําลายหรอื ก่อให้เกดิ ผลกระทบตอ่ ระบบนเิ วศน์ ซง่ึ มาตรการทกี่ าํ หนดนี้ ทัง้ ราษฎรและหน่วยราชการทเ่ี กย่ี วข้อง จะต้องถือปฏิบัตติ ามเพ่ือประโยชน์ ในการอนรุ ักษ์และคมุ้ ครองสงิ่ แวดล้อม (มาตรา 44) การฝ่าฝนื ขอ้ กาํ หนดในกฎกระทรวงข้างต้น ผูก้ ระทาํ ต้องระวางโทษจาํ คุกไมเ่ กินหนึง่ ปี หรือปรับไม่ เกินหนึง่ แสนบาทหรือทงั้ จําทั้งปรับ (มาตรา 100) แต่ถ้ามีผู้ใดบกุ รุก หรอื ครอบครองท่ดี นิ ของรัฐโดยไมช่ อบด้วยกฎหมาย หรือเข้าไปทําอันตรายแก่ ทรพั ยากรธรรมชาติ หรือศิลปกรรม หรือก่อให้เกิดมลพษิ ในเขตดังกล่าว จะต้องระวางโทษจําคกุ ไมเ่ กนิ ห้าปี หรือปรบั ไมเ่ กินหา้ แสนบาท หรือท้งั จาํ ทัง้ ปรับ (มาตรา 99) 4. สตั ว์ปา่ สงวน ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตวป์ ่า พ.ศ. 2535 ได้จําแนกสตั ว์ป่าทไี่ ด้รบั การคมุ้ ครองไว้ 2 ประเภท คือ สัตว์ป่าสงวน และสตั ว์ปา่ คมุ้ ครอง ก. สตั ว์ปา่ สงวน มีอยู่ 15 ชนิด ดังนี้ นกเจา้ ฟา้ สริ ินธร แรด กระซู่ กปู รี ควายปา่ ละองหรือละม่ัง สมนั หรือเนอื้ สมนั เลียงผา กวางผา นกแตว้ แร้วทอ้ งดาํ นกกระเรยี น แมวลายหินออ่ น สมเสรจ็ เก้งหม้อ พะยูนหรอื หมนู ํา้ สตั ว์เหลา่ น้ีเป็นสัตวป์ ่าทีห่ ายากแลว้ และกาํ ลงั จะสูญ พนั ธ์ุ ข. สัตวป์ า่ คุ้มครอง เปน็ สัตว์ป่าทม่ี กี ฎกระทรวงกาํ หนดใหเ้ ป็นสตั วป์ า่ สงวน หลกั การคมุ้ ครองสัตว์ ป่าสงวนหรอื สตั วป์ า่ คมุ้ ครองนัน้ กฎหมายมงุ่ ทจ่ี ะหา้ มการลา่ สตั ว์ดงั กลา่ ว และการครอบครองสตั วป์ ่านั้นไว้ เกินประมาณท่กี ําหนด และหา้ มการคา้ สัตวป์ า่ ไมว่ ่าสัตว์นน้ั จะอยใู่ นปา่ อนุรักษ์หรอื ไม่ ทัง้ นี้เพราะสตั ว์ ดังกล่าวควรจะสงวนไว้ เพอื่ การรักษาความสมดลุ แหง่ ระบบนิเวศน์ หากใหล้ ่าได้ก็อาจกลายมาเป็นอาหาร หรอื ถูกฆา่ เพราะกีฬาลา่ สตั ว์ จนสญู พันธไุ์ ป
20 การกระทําท่เี ป็นการตอ้ งหา้ มตามกฎหมาย ได้แก่ 1. ห้ามลา่ หรอื พยายามลา่ สัตวป์ า่ สงวนหรือสัตวป์ ่าคุ้มครอง (รวมถงึ ไขข่ องสัตว์ป่าด้วย) เช่น การ ยิงเสอื การเกบ็ ไขน่ กกระเรยี น เปน็ ตน้ ไมว่ า่ จะเป็นการล่า ณ ทใี่ ด (มาตรา 16) ผู้ฝ่าฝนื มีความผิดต้องรับ โทษจําคกุ ไม่เกนิ สป่ี ี หรอื ปรบั ไม่เกินสหี่ มนื่ บาทหรอื ทัง้ จําทัง้ ปรบั (มาตรา 47) อยา่ งไรกด็ ี ถ้าเปน็ การยงิ สัตว์เพราะความจาํ เปน็ เนื่องจากเสอื จะเขา้ มากดั หรอื กระทงิ จะวงิ่ พงุ่ เข้าชนบา้ น และได้กระทาํ ไปพอสมควรแก่เหตุ ดงั นี้ ผยู้ งิ นัน้ ไม่ตอ้ งรบั โทษ 2. หา้ มการเพาะพนั ธส์ุ ตั ว์ป่าสงวนหรือสตั ว์ปา่ คุ้มครอง เวน้ แตเ่ ปน็ สัตวป์ า่ คุ้มครอง ตามทก่ี ฎหมาย อนญุ าต และไดร้ บั อนญุ าตจากพนักงานเจ้าหนา้ ที่ หรือเปน็ การเพาะพันธุ์ของสวนสตั วส์ าธารณะของเอกชน ซึ่งไดร้ บั อนญุ าตจากอธิบดกี รมป่าไม้ (มาตรา 18) 3. หา้ มการครอบครองสัตวป์ ่าสงวน สตั วป์ า่ คมุ้ ครอง หรอื ซากของสตั ว์ดังกล่าว นอกจากจะเปน็ สตั ว์ป่าทีไ่ ด้รบั อนญุ าตให้เพาะพันธุ์ ตาม 2. (มาตรา 19) 4. ห้ามการคา้ สตั ว์ปา่ สงวน สตั วป์ า่ คุ้มครอง หรือซากหรอื ผลติ ภณั ฑข์ องสัตวด์ ังกลา่ ว เว้นแตจ่ ะ เปน็ สัตว์ได้รบั อนญุ าตตาม 2. (มาตรา 20) 5. ห้ามเก็บ หรอื ทําอนั ตรายหรอื มีไวซ้ ง่ึ รงั ของสตั ว์ปา่ สงวน หรอื สตั ว์ปา่ คมุ้ ครอง แต่ไม่รวมถงึ การเกบ็ รังนกอีแอ่นที่ผู้น้นั ได้รบั อนุญาตตามกฎหมายอากรรังนกอแี อน่ (มาตรา 21) 6. ห้ามนําเข้าหรอื สง่ ออกสตั ว์ปา่ สงวน สตั ว์ปา่ คุม้ ครองชนิดท่รี ัฐมนตรปี ระกาศ ซากของสัตว์ ดังกล่าว เว้นแตเ่ ปน็ สัตวท์ ีไ่ ด้มาจากการเพาะพันธต์ุ าม 2. (มาตรา 23) 7. การนําสัตวป์ ่าคมุ้ ครองหรือซากของสัตวป์ ่าคุม้ ครองเคลอื่ นที่ เพอ่ื การคา้ ต้องได้รบั ใบอนุญาต จากอธบิ ดกี รมป่าไม้ หรืออธบิ ดกี รมประมง (มาตรา 25) 8. ผู้ท่ตี ้องการประกอบกจิ การสวนสตั วส์ าธารณะ สามารถยืน่ ขออนญุ าตตอ่ อธบิ ดีกรมป่าไม้ หรือ อธิบดีกรมประมงแล้วแตก่ รณวี า่ เปน็ สัตว์บกหรือสัตวน์ ํ้า เม่ือได้รับอนญุ าตแลว้ ผู้รบั อนญุ าตสามารถ เพาะพนั ธ์ุ ครอบครอง สตั ว์ปา่ สงวนหรือสตั ว์ป่าคมุ้ ครองได้ เพือ่ ประโยชน์ในกิจการ สวนสัตวส์ าธารณะ ของตน 9. ขอ้ หา้ มในการล่าสตั วน์ ้นั นอกเหนอื จากสตั ว์ปา่ สงวนหรือ สัตวป์ ่าคุ้มครองแล้ว กฎหมายยงั กําหนดห้ามลา่ สัตวใ์ นบางพน้ื ทอี่ ีกดว้ ย ไม่ว่าสัตว์นน้ั จะเป็นสัตวช์ นดิ ใด เขตดงั กล่าวคือ เขตรักษาพนั ธุส์ ตั ว์
21 ปา่ เขตอทุ ยานแหง่ ชาติ บริเวณวดั หรือบริเวณทจี่ ัดไวเ้ พ่ือประชาชนใช้เปน็ ทป่ี ระกอบพิธกี รรมทางศาสนา (เขตอภยั ทาน) เป็นตน้ ขอ้ สังเกต การท่จี ะรู้ว่าสัตวป์ ่าประเภทใดเป็นสัตว์ปา่ คมุ้ ครอง หรือไมน่ นั้ ต้องดจู ากกฎกระทรวง ดังนน้ั ผูฝ้ า่ ฝนื กฎหมายอาจกระทําความผิดโดยไมร่ ู้ว่าเป็นสัตว์ป่าคมุ้ ครองก็ได้ เพราะประเภทของสตั ว์ คุม้ ครองน้ัน มอี ยูห่ ลายร้อยชนดิ และมีชือ่ เรยี กตา่ งกนั กรณนี แ้ี นวทางป้องกันควรประกาศชนดิ ของสัตวป์ า่ คมุ้ ครองใหป้ ระชาชนทราบโดยท่วั กนั กรณที ีส่ อง การอนุญาตให้มีสัตว์ทไี่ ดร้ บั อนุญาตใหเ้ พาะพนั ธ์ไุ ว้ใน ความครอบครองได้ ถา้ เป็นลกู ที่เกิดจากสัตว์ป่าท่ีได้รบั อนุญาตนั้น การควบคมุ และบังคับใช้กฎหมายตอ้ ง เขม้ งวด เพราะเคยมีคนนาํ สตั ว์ออกจากป่าและอา้ งว่าเป็นสัตว์ทไี่ ดจ้ ากการเพาะเลีย้ ง ซง่ึ ทางเจ้าหนา้ ที่ไม่ ตรวจตราใหเ้ ข้มงวดก็จะเปน็ ชอ่ งทางของผู้ไมส่ ุจรติ ที่จะอาศยั ประโยชนจ์ าก ชอ่ งวา่ งกฎหมายอนั น้ี 5. การจับปลา ชมุ ชนชาวประมงพน้ื บ้านและชมุ ชนชายฝง่ั ถกู ละเมิดสิทธใิ นมติ ติ ่างๆ 5.1 สทิ ธิในการทาํ การประมงอย่างย่ังยืน ได้ถกู ทา้ ทายและทําลายลงอย่างหนกั หนว่ งและต่อเนอื่ ง ตลอด ระยะเวลากวา่ สี่สบิ ปีทผ่ี า่ นมา ผา่ นปรากฏการณ์การใช้เครอื่ งมอื ท่ที ันสมัยกว่า ขนาดใหญก่ ว่า และมี ประสทิ ธิภาพในการ ทําลายมากกว่า ได้แก่ เครื่องมอื อวนรุน อวนลาก และเรอื ป่ันไฟจบั ปลากะตกั เปน็ ต้น ตลอดจนรปู แบบการจดั การสทิ ธิ เหนือทรัพยากรรปู แบบใหม่ เช่น กรณี โครงการพฒั นาฐานการผลติ อาหาร ทะเลของประเทศหรือซฟี ดู แบงก์ (Sea Food Bank) ท่ีเน้นใหส้ ิทธกิ ารใช้ประโยชนใ์ นพ้ืนที่ทะเลแก่ ชาวประมงจาํ นวนหน่งึ ใหส้ ามารถเข้าถงึ แหล่งทนุ ดว้ ยการแปลง สินทรัพยเ์ ปน็ ทุน (Assets Capitalization) 5.2 สิทธิของชาวประมงพ้ืนบา้ นที่จะเลอื กใชช้ ีวติ พอเพียงอยู่กับทรพั ยากรธรรมชาติชายฝั่ง ถกู กระทบ จากการให้สัมปทานป่าชายเลนเพื่อเผาถา่ นขาย, การสง่ เสรมิ การเพาะเลีย้ งกงุ้ บรเิ วณรมิ ชายฝั่ง, ทําให้ปา่ ชายเลนเสีย หายไปกว่าหนงึ่ ลา้ นไร่ ภายในรอบ 30 ปี ชมุ ชนชาวประมงพ้นื บ้านตอ้ งสูญเสยี แหลง่ อาชพี แหลง่ อาหารไปอยา่ งสิ้นเชิง ผลกระทบจากโครงการพัฒนาของรฐั ตา่ ง เชน่ การพัฒนาทา่ เรอื -ร่องนํ้า ลกึ ,การสร้างเข่อื นกันคล่ืน ทาํ ให้ฐานทรพั ยากรใน ทะเลเปลี่ยนแปลงสภาพ ไมส่ ามารถประกอบอาชีพได้ เชน่ เดมิ 5.3 สทิ ธขิ องชาวประมงที่จะมีทอี่ ยู่อาศยั เลือกถนิ่ ทตี่ ง้ั เสาเรือน ตลอดจนการปกั หลกั ตั้งทับพกั พิง เพอื่ ประกอบอาชพี ประมงพื้นบ้านทีด่ ําเนนิ สืบเนือ่ งมานับร้อยๆปี ถกู ระเบียบกตกิ าของรัฐตีตราวา่ เป็นส่งิ ผดิ โดยอาํ นาจของ กฎหมายอทุ ยานแหง่ ชาติ, กฎหมายป่าสงวนแห่งชาติ, และการใหเ้ อกสารสทิ ธิเหนอื ทดี่ นิ ทงั้ ๆท่กี ฎเกณฑ์เหล่านีเ้ พงิ่ เกดิ ขึน้ ในห้าสิบปนี เ้ี ท่านั้น เกดิ กรณีนายทนุ อา้ งเปน็ เจา้ ของท่ดี ิน ทง้ั ท่ีมี เอกสารสทิ ธิตามกฎหมายท่ดี ินและใช้อํานาจอิทธิพลออก เอกสารสทิ ธโิ ดยมชิ อบ จนถึงข้ันหลอกลวงฉอ้ โกง ท่ดี ิน ดาํ เนินการขับไล่ชุมชนออกจากที่ดนิ ทีอ่ ยู่อาศยั ของตนจํานวนมาก นอกจากน้นั สทิ ธิในทรัพยากรทดี่ ิน
22 แบบปจั เจก ก่อใหเ้ กดิ กระบวนการธุรกจิ ทีด่ นิ -ซือ้ ขายที่ดนิ ท้ังทไ่ี มไ่ ดท้ ําการผลิตจรงิ ทาํ ให้ทีด่ นิ หลดุ ไปจาก มือของชมุ ชนชาวประมง 5.4 สิทธิของชุมชนชาวประมงทจ่ี ะใชช้ ายหาด ปา่ สันทรายและปา่ ชายหาดในหมู่บ้าน อนั เป็นสว่ น หนึ่ง ของวถิ ชี ีวิต การดาํ รงชีพ-ประกอบสัมมาอาชีพ ถูกกระทบและละเมิด ด้วยรูปแบบสิทธเิ หนอื ทด่ี ินของ ปจั เจกบุคคล, การใช้ พืน้ ท่ใี นโครงการพฒั นาอตุ สาหกรรม, การพฒั นาแหล่งทอ่ งเท่ยี ว, การสร้างทา่ เทยี บ เรือน้ําลึก เป็นตน้ 5.5 สทิ ธิการกําหนดทิศทางพัฒนาในท้องถิน่ และการกําหนดนโยบายทรัพยากรประมง และ ทรพั ยากรชายฝ่ัง ชุมชนชาวประมงไม่ได้รบั ขอ้ มูลข่าวสารทแ่ี ท้จรงิ ไม่มโี อกาสไดค้ ิดและแสดงความคิดเหน็ ในการมีสว่ นรว่ มให้ความ คดิ เหน็ และย่งิ ไมม่ ีสทิ ธใิ นขน้ั ตอนตดั สินใจใดๆ การถูกละเมิดสิทธิ และภาวะการไม่ตระหนักถงึ สทิ ธขิ องตนอยา่ งแทจ้ ริงทาํ ให้การใช้ชีวิตอย่าง พอเพยี งดํารงชีวิต บนฐานสทิ ธิชมุ ชนของชาวประมงพื้นบ้าน ตอ้ งกลายเปน็ ผูท้ ตี่ อ้ งมีชวี ติ อย่างยากไร้ ขาด แคลนส่ิงจาํ เปน็ ในการดํารงชีวติ เพราะระบบสิทธชิ ุมชนถกู สั่นคลอนและทําลายลงดว้ ยระบบสิทธิแบบใหม่ ท่นี าํ พาความราํ่ รวยแบบกระจุกตวั ความ ยากจนกระจายสูช่ มุ ชนชาวประมงคนเลก็ คนนอ้ ย
23 กิจกรรมท้ายบท เร่อื ง การละเมดิ สิทธิทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม คาํ ช้แี จง จงตอบคําถามต่อไปน้ใี ห้ถกู ตอ้ ง 1. ใหผ้ ้เู รียนอธิบายความหมายของการละเมิดสทิ ธิทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 2. ใหผ้ เู้ รียนยกตวั อยา่ งของการละเมิดทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม ได้แก่ ท่ดี นิ ทรพั ยากรธรรมชาติ และสิง่ แวดล้อม ป่าไม้ สตั วป์ า่ สงวน และการจบั ปลา มาอย่างละ 1 ตวั อย่าง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
24 บทที่ 3 กฎหมายทเี่ กี่ยวขอ้ งและอนสุ ัญญาระหวา่ งประเทศวา่ ดว้ ย การอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม กฎหมาย การจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม เครื่องมือท่ีสําคัญประการหนึ่งที่จะมีผลทําให้การ จัดการหรือการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อมประสบผลสําเร็จก็คือ กฎหมาย ทั้งนี้เพราะต้องอาศัยกฎหมายเพื่อการกําหนดนโยบายการ จัดการให้การดําเนินงาน เป็นไปตามหลกั ความสมดุลของธรรมชาติ มคี วามสอดคล้องกบั การกาํ หนดอาํ นาจ หน้าท่ี วิธีการ ประสาน งานขององค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และในขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องมือในการ ควบคุมการดําเนินงานให้เปน็ ไปตาม ระเบยี บและข้อกาํ หนดอย่างชดั เจนด้วย เดิมทีประเทศ ไทยมกี ฎหมายที่เกยี่ วข้องโดยตรงเพียงฉบับเดียวท่ีครอบคลุมเรื่องการแก้ไข ปัญหา ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม คือพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมฉบับที่ 1 พ.ศ. 2518 และฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2521 แต่พระราชบัญญัติฯฉบับนี้ มิได้มีกลไกท่ีเป็นระบบท่ีจะช่วยให้มี การ เปล่ียนแปลง นโยบายและแผนที่ผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีไปสู่ภาคปฏิบัติที่ได้ผลขาด ความต่อเนื่องในการติดตามตรวจสอบโครงการท่ีได้ดําเนินงานไปแล้ว ขาดอํานาจในการลงโทษและการ บังคับใช้มาตรฐานคุณภาพส่ิงแวดล้อมเพื่อการรักษา คุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กําหนด และประเด็นที่สําคัญก็คือไม่มีการกําหนดความรับผิดชอบของผู้ทําลายส่ิงแวดล้อมที่จะต้องรับภาระในการ แก้ไข นอกจากนั้น ยังไม่เปดิ โอกาสใหม้ กี ารจัดทาํ เครือขา่ ยการทํางานด้านการแก้ไขปัญหาสิ่งแวด ลอ้ มทจ่ี ะ ช่วยให้มีการผนึกกําลังระหว่างภาครัฐบาล เอกชนและองค์กรเอกชนอย่างมีระบบ รวมท้ังยังไม่ได้ มีการ กระจายอํานาจออกไปส่สู ว่ นภมู ิภาคและท้องถิ่นให้เพียง พอด้วย ปัจจุบันมีการตราพระราชบัญญัติขึ้น ใหม่เพื่อใช้เป็นกฎหมายที่จะเอื้ออํานวยต่อการควบคุมและ แก้ไขปัญหาสิง่ แวด ลอ้ มให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นคือ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพ ส่ิงแวดล้อม แหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 ซึ่งพระราชบัญญัติฯ ฉบับน้ีได้มีผลทําให้เกิดมาตรการ การดําเนินงานต่าง ๆ อาทิเช่น การปรับองค์กรให้มีเอกภาพทั้งในการกําหนดนโยบายและแผนการส่งเสริมและรักษา คุณภาพสิ่งแวดล้อม การควบคมุ มลพิษ การกระจายอาํ นาจการบริหารและการจดั การด้านสิง่ แวดล้อมออกสจู่ ังหวัดและ ท้องถิ่น การกําหนดมาตรฐานคุณภาพส่ิงแวดล้อมและมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกําเนิดการ พิจารณาและ ติดตามตรวจสอบผลกระทบส่ิงแวดล้อมท้ังก่อนและหลังโครงการพัฒนา การกําหนดสิทธิและหน้าที่ตาม กฎหมายของประชาชนและเอกชน ที่จะมีส่วนร่วมในการคุ้มครองสิ่ง แวดล้อมและอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ การนํามาตรการดา้ นการเงนิ การคลังมาใช้เป็นมาตรการเสริมเพ่ือให้เป็นแรงจูงใจ และ มาตรการบังคับให้ส่วนราชการท้องถ่ิน องค์กรเอกชน และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ส่งิ แวดล้อม ภายใต้หลักการ \"ผู้ก่อให้เกิดมลพิษ ต้องมีหน้าท่ีเสียค่าใช้จ่าย\" การกําหนดหรือจําแนกพ้ืนท่ีใน การแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม โดย เร่งด่วน เพื่อการคุ้มครองอนุรักษ์และควบคุมทรัพยากรธรรมชาติและ
25 สิ่งแวดล้อม รวมทั้งมีการกําหนดความรับผิดชอบทางแพ่ง การต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือสินไหมทดแทน กรณีทําให้เกิดการแพร่กระจายมลพิษ และการเพิ่มบทลงโทษในการไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กําหนดข้ึน ดว้ ย ทัง้ ในรปู ของการปรบั และการระวางโทษจําคุกเป็นตน้ นอกจากน้แี ลว้ ยงั มกี ฎหมายฉบบั อน่ื ๆ ซ่ึงมีบทบญั ญตั ิบางมาตราท่ีมสี ่วนเกี่ยวขอ้ งกบั การ จดั การ สง่ เสรมิ และรกั ษาคณุ ภาพสงิ่ แวดลอ้ มอกี หลายฉบบั อาทเิ ช่น พระราชบัญญัติโรงงาน 2535 พระราชบญั ญตั สิ าธารณสุข 2535 พระราช-บญั ญัติวัตถุอนั ตราย 2535 พระราชบัญญัตแิ ร่พ.ศ. 2510 พระราชบัญญตั ิการผังเมือง พ.ศ.2518 พระราชบัญญัตินํา้ บาดาล พ.ศ. 2520 พระราชบญั ญัติ ควบคมุ อาคาร พ.ศ. 2522พระราชบัญญตั สิ งวนและคุม้ ครองสัตวป์ ่า พ.ศ.2503 พระราชบญั ญัติอุทยาน แหง่ ชาติ พ.ศ.2503 พระราชบญั ญตั ิปา่ สงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 เป็นตน้ รวมท้งั ยังมีประกาศกระทรวง กฎกระทรวง ระเบียบ ขอ้ บังคับทีเ่ ก่ียวข้องกบั สิ่งแวดลอ้ ม โดยอาศัยความตามมาตราในพระราชบญั ญตั ิ ต่าง ๆ ขา้ งต้นอกี ด้วย กฎหมายทเ่ี ก่ยี วข้องกับการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดลอ้ ม กฎหมายทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับการจัดการทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม ได้แก่ 1. พระราชบัญญตั อิ ุทยานแหง่ ชาติ พ.ศ. 2504 ไดถ้ กู ตราข้ึนเพ่อื การจดั การและการดแู ลรกั ษา อุทยานแหง่ ชาติเป็นการเฉพาะ เมอ่ื รัฐบาลเหน็ สมควรกาํ หนดบริเวณทีด่ ินแหง่ ใดท่ีมสี ภาพธรรมชาตเิ ปน็ ท่ี นา่ สนใจ ให้คงสภาพอย่ใู นสภาพธรรมชาติเดิมเพื่อสงวนไว้ใช้เปน็ ประโยชน์แก่การศึกษาและร่ืนรมยข์ อง ประชาชน 2. พระราชบญั ญตั ิปา่ สงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ไดถ้ กู ตราขึ้นเพ่ือคุ้มครองป่าไมแ้ ละ ทรัพยากรธรรมชาตอิ น่ื ท่อี ยู่ในพ้ืนทีท่ ี่ถกู กําหนดให้เป็นเขตป่าสงวนแหง่ ชาติ เพอื่ การรักษาสภาพปา่ ไม้ ของ ปา่ และทรัพยากรธรรมชาติอน่ื ๆ 3. พระราชบญั ญตั ิโรงงาน พ.ศ. 2535 เปน็ เรอื่ งต่างๆ เก่ียวกับการประกอบกิจการโรงงาน โดยเฉพาะอย่างย่งิ การระบายนาํ้ ทงิ้ หรอื ของเสยี จากโรงงานออกสสู่ ภาพแวดลอ้ มนอกโรงงาน เช่น กฎกระทรวงเพอ่ื กําหนดหลกั เกณฑก์ ารควบคมุ การปลอ่ ยของเสยี ออกจากโรงงาน การกาํ หนดคณุ ลกั ษณะ ของนาํ้ ทิง้ ท่ีอนุญาตใหร้ ะบายออกจากโรงงานได้ 4. พระราชบัญญัตกิ ารเดนิ เรอื ในนา่ นนํา้ ไทย พ.ศ. 2456 และ พ.ศ. 2535 ได้ถกู ตราข้นึ เพื่อ ควบคมุ และจัดระเบยี บการเดินเรือ แต่กม็ บี ทบัญญัตเิ กี่ยวกับการป้องกนั ปัญหามลพษิ ดว้ ย กล่าวคอื หา้ ม ทิ้งขยะส่งิ ของทไ่ี ม่ใชแ้ ลว้ น้าํ มนั เคมีภัณฑห์ รือสิง่ ปฏกิ ลู ใดๆ ลงในนาํ้ ลาํ คลอง บงึ อ่างเก็บน้ํา หรอื ทะเลสาบ หรอื ทะเลภายในน่านนา้ํ ไทยอันเปน็ เหตุให้เกดิ การตื้นเขิน ตกตะกอน หรือสกปรก
26 5. พระราชบัญญตั โิ รงงาน พ.ศ. 2535 เป็นเรือ่ งตา่ งๆ เกยี่ วกบั การประกอบกิจการโรงงาน โดยเฉพาะอย่างยง่ิ การระบายน้ําทิ้งหรือของเสียจากโรงงานออกสูส่ ภาพแวดล้อมนอกโรงงาน เชน่ กฎกระทรวงเพือ่ กําหนดหลักเกณฑก์ ารควบคุมการปล่อยของเสียออกจากโรงงาน การกาํ หนดคณุ ลักษณะ ของน้ําทง้ิ ท่ีอนุญาตให้ระบายออกจากโรงงานได้ ข้อตกลงความรว่ มมือระหว่างประเทศ ขอ้ ตกลงความรว่ มมือระหวา่ งประเทศ ได้แก่ 1. พธิ สี ารเกยี วโต (Kyoto Protocol) เปน็ ขอ้ ผูกพนั ทางกฎหมายสบื เน่ืองจากการประชุม สมชั ชาประเทศภาคี อนุสัญญาสหประชาชาตวิ ่าด้วยการเปล่ยี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ สมัยท่ี 3 ระหว่าง วนั ท่ี 1-10 ธนั วาคม พ.ศ. 2540 ณ นครเกียวโต ประเทศญ่ีปุ่น ทีป่ ระชมุ สามารถบรรลุขอ้ ตกลงร่วมกันใน การกาํ หนดเป้าหมายและระยะเวลาในการลดปรมิ าณการปล่อยกา๊ ซเรอื นกระจก 6 ชนิด โดยไดม้ ีการ กาํ หนดพันธกรณเี พิ่มเตมิ ใหก้ ับประเทศภาคีนุสญั ญาฯ ทพี่ ฒั นาแล้ว และประเทศในกลุ่มทกี่ ําลงั มกี าร เปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยให้การลงนามรบั รองพธิ สี ารฯ เมือ่ วนั ท่ี 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2542 แต่ยงั มิไดใ้ หส้ ตั ยาบัน 2. คณะกรรมาธกิ ารวา่ ดว้ ยการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยนื (CSD) จัดตง้ั ขึ้นตามมตกิ ารประชมุ สหประชาชาติ พ.ศ. 2537 และได้รับการคดั เลอื กเป็นสมาชกิ CSD ครั้งแรกเมอ่ื วนั ท่ี 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2538 โดยมีวาระการดาํ รงตาํ แหน่งสมาชิกภาพครั้งละ 3 ปี CSD จัดตั้งข้ึนมาเพ่ือดาํ เนินการตามทรี่ ะบุไวใ้ น Agenda 21 และรายงานโดยตรงตอ่ สมชั ชาสหประชาชาติ โดยผ่านคณะกรรมาธิการทางดา้ นเศรษฐกิจ และสงั คมแห่งสหประชาชาติ (Econimic and Social Council – ECOSOC) 3. ความรว่ มมือด้านสงิ่ แวดล้อมของอาเซียน อาเซยี นไดเ้ ริม่ โครงการความรว่ มมอื ด้าน สิง่ แวดลอ้ มครงั้ แรกในปี พ.ศ. 2520 (ประเทศไทยใหก้ ารลงนามรับรองในปเี ดียวกัน) โดยความช่วยเหลอื จากโครงสงิ่ แวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ปจั จุบนั มผี ู้เช่ียวชาญเปน็ คณะกรรมการ เรียกว่า เจ้าหนา้ ทีอ่ าวโุ ส ดา้ นสิ่งแวดล้อมของอาเซยี น (ASEAN Senior Officials on the Enviroment – ASOEN) ทาํ หนา้ ที่กํากับ ดแู ลและรกั ษาคณุ ภาพส่งิ แวดล้อมของอาเซยี น และร่วมกนั พจิ ารณาโครงการเก่ยี วกบั ความร่วมมอื ตา่ งๆ ด้านส่ิงแวดล้อมท่ีไดร้ บั การพิจารณากล่ันกรองจากคณะทํางาน ซึ่งประกอบดว้ ยคณะทาํ งาน 3 คณะ และ คณะทาํ งานเฉพาะกจิ 1 คณะ คือ 1) คณะทาํ งานด้านการอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละความหลากหลายทางชีวภาพ มี ประเทศ ฟลิ ิปปนิ ส์ เปน็ ประธานคณะทํางาน 2) คณะทาํ งานดา้ นสงิ่ แวดลอ้ มทางทะเลและชายฝั่ง มีประเทศไทยเป็นประธานคณะทาํ งาน
27 3) คณะทาํ งานด้านข้อตกลงพหุภาคีดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม มีประเทศมาเลเซียเป็นประธาน คณะทาํ งาน 4) คณะทาํ งานเฉพาะกจิ ดา้ นหมอกควนั ของอาเซยี น มีประเทศอินโดนเี ซียเป็นประธาน คณะทาํ งาน อนสุ ัญญาระหวา่ งประเทศว่าด้วยการอนุรักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม อนุสญั ญาระหวา่ งประเทศวา่ ด้วยการอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ ม ท่ี สําคัญมีดังน้ี 1.อนสุ ญั ญาสตอกโฮลม์ อนุสัญญาสตอกโฮล์ม (Stockholm Convention) ว่าดว้ ยสารมลพษิ ท่ีตกค้างยาวนานมี จุดประสงคเ์ พ่อื คุ้มครองสุขภาพอนามัยของมนษุ ย์และสง่ิ แวดล้อมจากสารมลพิษท่ีตกคา้ งยาวนาน (persistent organic pollutions, POPs) จานวน 12 ชนดิ มีผลบังคบั ใชเ้ มือ่ วันท่ี 17 พฤษภาคม พ.ศ.2547 โดยประเทศไทยให้สัตยาบัน เมอื่ วันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2548 อนุสัญญาสตอกโฮล์มจะมี ผลกระทบตอ่ อตุ สาหกรรมทท่ี าการผลิตและนาเขา้ -ส่งออกสารเคมีในกลมุ่ ดังกล่าว สาหรบั ประเทศไทย อตุ สาหกรรมทเี่ ก่ียวขอ้ งกับสาร POPs ส่วนใหญ่เป็นอตุ สาหกรรมนาเขา้ สารเคมี ทาใหภ้ าคอตุ สาหกรรมจา เป็นตอ้ งปรับปรุงระบบการจัดเกบ็ สนิ คา้ และดแู ลจดั การของเสียท่ีเกิดจากสาร POPs และการจดั หา สารเคมีทดแทน ซึ่งเป็นการเพิ่มภาระและต้นทุนในการผลติ แตท่ ัง้ นีจ้ ะทาให้ภาคอุตสาหกรรมมีภาพพจน์ที่ ดที ั้งภายในประเทศและตา่ งประเทศ เนือ่ งจากเป็นการประกอบกิจการทห่ี ว่ งใยตอ่ สุขภาพอนามัยของ มนษุ ย์และสง่ิ แวดล้อม 2. อนุสญั ญารอตเตอดัม อนุสญั ญารอตเตอดมั (Rotterdam Convention) : ว่าดว้ ยกระบวนการแจ้งข้อมลู สารเคมี ลว่ งหนา้ สาหรับสารเคมีอันตรายและสารปอ้ งกันกาจัดศัตรูพืชบางชนิดในการคา้ ระหวา่ งประเทศมี วตั ถปุ ระสงค์หลกั เพือ่ ปอ้ งกันอันตรายตอ่ มนุษย์ สัตว์ และส่ิงแวดล้อมทอ่ี าจเกิดขึ้นจากสารเคมี โดยเนน้ การดาเนนิ งานโดยภาครัฐ ซ่ึงจะสง่ ผลดีต่อภาคอตุ สาหกรรม กลา่ วคอื จะไดร้ ับขอ้ มูลและกฎระเบียบที่ เกยี่ วข้องกับสารเคมตี า่ งๆ อย่างถูกตอ้ ง และได้รับการสง่ เสรมิ การใช้สารเคมีทไ่ี มเ่ ปน็ อนั ตรายต่อ สง่ิ แวดลอ้ มนอกจากนใ้ี นการเขา้ รว่ มและดาเนนิ การตามพนั ธกรณีในอนสุ ญั ญาฉบับนี้ จะส่งผลดตี ่อประเทศ ไทยในลกั ษณะของความปลอดภยั จากการไดข้ ้อมูลเพื่อใชต้ ัดสนิ ในนาเข้าส่งออก สารเคมีอนั ตราย และ ป้องกันการลักลอบนาสารเคมอี นั ตรายเข้ามาในประเทศจากระบบการคา้ ระหว่างประเทศ เนอ่ื งจากมีการ แลกเปลย่ี นขอ้ มลู และแจ้งข้อมลู การสง่ ออกระหวา่ งประเทศ ซง่ึ จะเปน็ ผลดีตอ่ ประชาชนในการปอ้ งกนั ความเส่ยี งจากสารเคมอี นั ตราย
28 3. อนสุ ญั ญาเวียนนาและพธิ สี ารมอนทรีออล อนสุ ญั ญาเวยี นนาและพธิ ีสารมอนทรีออล (Vienna Convention & Montreal Protocall) ถือ เป็นขอ้ ตกลงระหว่างประเทศทมี่ ุ่งมนั่ ในการพทิ กั ษโ์ อโซนและเป็นเครื่องมือทางกฎหมายขอ้ แรกท่ีเป็น รปู แบบของการแก้ปัญหาสิง่ แวดลอ้ มร่วมกันสาหรบั พิธสี ารมอนทรอี อล เป็นสว่ นหนึ่งของอนสุ ัญญา เวยี นนา ซง่ึ มผี ลบงั คบั ใช้ตอ่ ประเทศไทยเม่ือวนั ที่ 2 ตลุ าคม พ.ศ. 2532 ท้งั นผี้ ลของพิธสี ารในขน้ั ตน้ สารเคมที ีถ่ ูกควบคุมคือ สารซีเอฟซีรวม 5 ชนิด และสารฮาลอน 3 ชนิด รวมควบคุมทง้ั สนิ้ 8 ชนดิ ซงึ่ สาร เหล่านม้ี ีใชใ้ นอตุ สาหกรรมหลายประเภท เช่น สารทาความเยน็ ในตเู้ ยน็ เครื่องปรบั อากาศ ใช้เป็นก๊าซสา หรับเป่าโฟมและเป็นฉนวนในโฟม รวมทัง้ เป็นตวั ทาลายในความสะอาดลา้ งคราบไขมันสิ่งสกปรกในชิน้ ส่วน อิเลก็ ทรอนกิ สส์ ่วนสารฮาลอนใชเ้ ป็นสารดับเพลิงในอปุ กรณด์ บั เพลงิ อปุ กรณ์ป้องกนั และระงับอคั คภี ยั การอนวุ ัตติ ามอนุสัญญาเวียนนาและพิธีสารมอนทรีออลในประเทศไทยน้นั จะมีผลกระทบต่อ ภาคอตุ สาหกรรมทมี่ ีการใช้ นาเขา้ และสง่ ออกผลิตภณั ฑ์ทมี่ กี ารบรรจุหรอื ใช้สารทาลายชัน้ บรรยากาศ เนอ่ื งจากถกู จากดั การใชส้ ารดงั กล่าวน่นั เอง ไดแ้ ก่ อตุ สาหกรรมการซอ่ มบารุงระบบปรับอากาศรถยนต์ สถานบรกิ ารรถยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตต้แู ช/่ ตู้น้าเย็น เปน็ ภาคอตุ สาหกรรมทม่ี กี ารใชส้ ารทาลายช้นั โอโซนในกระบวนการผลิต คือ CFC-11 เปน็ ตัวเป่าโฟม สาหรับการผลิตโฟมฉนวนกันความรอ้ น ผนงั ตู้เยน็ และ CFC-12 ในสว่ นของสารทาความเยน็ ซ่ึงมสี ่วนในการทาลายชน้ั บรรยากาศโอโซน เปน็ ต้น อย่างไรก็ ตามการอนุวัติจะมีผลตอ่ ภาคอตุ สาหกรรมเช่นกนั กล่าวคอื ชว่ ยป้องกันการขาดแคลนสารทาลายชัน้ บรรยากาศโอโซนโดยสามารถนาเข้าจากต่างประเทศได้ตามกฎเกณฑ์ท่ีกาหนด ปอ้ งกนั มใิ หส้ ินคา้ สง่ ออก ของประเทศไทยทีย่ ังคงบรรจหุ รอื ผลติ ดว้ ยสารทาลายช้นั บรรยากาศโอโซนถูกกีดกนั และสาหรับ อุตสาหกรรมทต่ี ้องเลกิ ใช้สารทาลายชัน้ โอโซน ไดแ้ ก่ อุตสาหกรรมซอ่ มบารงุ เครื่องปรบั อากาศรถยนต์ อุตสาหกรรมการผลติ ตูเ้ ยน็ ตู้แช่ อตุ สาหกรรมการผลติ โฟม สามารถขอรับความช่วยเหลอื ทางเทคนคิ และ ทางการเงนิ จากกองทุนพหภุ าคเี พ่อื การอนุวตั พิ ิธสี ารมอนทรอี อล ซง่ึ มีอยู่หลายแนวทางด้วยกัน ได้แก่ การ ใหค้ วามช่วยเหลือทางด้านการเงนิ แกผ่ ู้ประกอบการในการปรบั เปลี่ยนเครือ่ งจักร ตลอดจนเครื่องมอื / อุปกรณ์ทีใ่ ชส้ ารทาลายชัน้ โอโซนเปน็ เทคโนโลยที ดแทนที่ไมท่ าลายชัน้ โอโซน อีกทงั้ การกาหนดโควต้า ควบคมุ การนาเข้าสารทาลายชัน้ โอโซนชนดิ ตา่ งๆ ให้เป็นตามระยะเวลาที่กาหนดไว้ในพธิ ีสาร รวมถงึ การ ประชาสมั พนั ธ์ เพื่อเผยแพรค่ วามรูค้ วามเข้าใจท่ถี กู ต้องการอนุรกั ษแ์ ละฟน้ื ฟชู ั้นบรรยากาศสู่สาธารณชน ผา่ นสือ่ ตา่ งๆ 4. อนุสญั ญาบาเซล อนสุ ญั ญาบาเซล (Basel Convention): ว่าดว้ ยการควบคุมการเคลื่อนยา้ ยข้ามแดนของของเสยี อนั ตรายและกาจัด สืบเนอ่ื งจากปญั หาการลกั ลอบนาของเสยี อันตรายไปทงิ้ หรอื กาจัดทาลายในประเทศ ด้อยพฒั นา ซึ่งก่อให้เกดิ ผลกระทบตอ่ สุขภาพอนามัยของมนษุ ยแ์ ละส่ิงแวดล้อมทาให้โครงการสิ่งแวดลอ้ ม แหง่ สหประชาชาติรว่ มกบั ผ้แู ทนจากประเทศสมาชิกได้จดั ทาอนสุ ัญญาบาเซล ประเทศไทยใหส้ ตั ยาบนั เปน็ ภาคสี มาชกิ เม่ือวันที่ 24 พฤศจกิ ายน พ.ศ.2540 และอนสุ ัญญามผี ลบงั คบั ใช้กบั ประเทศไทยตัง้ แตว่ นั ที่ 22
29 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.2541 ข้อตกลงภายใต้อนุสญั ญาจะควบคมุ ต้งั แตก่ ่อนนาเขา้ สง่ ออก และนาผา่ นของเสีย อันตรายไปยังประเทศอ่ืนโดยจะตอ้ งแจ้งรายละเอยี ด และขออนุญาตตามขน้ั ตอนจากหน่วยงานผมู้ ีอํานาจ (Competent Authority) ของประเทศที่เกยี่ วขอ้ งก่อน เมื่อไดร้ ับการยนิ ยอมเปน็ ลายลกั อกั ษรแล้วจงึ จะ ดาเนนิ การต่อไปได้ การขนสง่ ต้องบรรจหุ บี หอ่ และติดป้ายด้วยวิธีการท่ีกําหนดตามมาตรฐานสากลพรอ้ ม ทั้งมกี ารประกันภยั และรบั ผดิ ชอบชดใชค้ า่ เสียหายในกรณีทเ่ี กิดความเสียหายหรือเกดิ อุบตั ิเหตุ หรอื ต้องนา กลบั ประเทศผสู้ ่งออกกรณไี มส่ ามารถดาเนนิ การได้ตามวัตถปุ ระสงค์ อนสุ ญั ญาบาเซลมไิ ดเ้ ปน็ เพียง มาตรการด้านกฎหมายเท่าน้นั แต่ยังเปน็ เครื่องมือและกลไกทที่ าให้เกิดการพัฒนาการจัดการของเสยี อันตรายของประเทศภาคสมาชกิ ใหอ้ ย่ใู นระดับสากล และควบคมุ การคา้ ขายกากของเสียอนั ตรายให้เป็น ระบบมากข้ึน และช่วยลดความเสี่ยงตอ่ สุขภาพอนามยั และส่งิ แวดล้อมจากของเสียอนั ตราย 5. อนสุ ญั ญาอารฮ์ สั ทําเนยี บการปลดปลอ่ ยสารมลพิษสู่สิง่ แวดลอ้ ม (Pollutant Release and Transfer Registers, PRTRs) เปน็ มาตรการหน่งึ ใน Agenda 21 กําหนดขึ้นเพือ่ เป็นแนวทางในการจัดการทําเนยี บหรอื ทะเบยี นการปลดปล่อยสารเคมแี ละสารมลพิษท่ีเป็นอนั ตรายส่สู ง่ิ แวดลอ้ ม รวมไปถงึ แนวทางในการจัดการ ทาทะเบียนขอ้ มูลการเคล่อื นย้ายของเสยี อันตรายจากแหล่งกําเนิดเพ่อื นาไปบาบัดหรือกาจัดทงิ้ การจดั ทา ทาํ เนยี บขอ้ มลู PRTRs ในแตล่ ะประเทศมกั แตกต่างกนั ทง้ั น้ีขนึ้ อยู่กบั ความต้องการ เง่ือนไข บรบิ ททาง สงั คม วัตถุประสงคท์ างดา้ นสิ่งแวดล้อมและการให้ลาดบั ความสาํ คญั ระบบนเ้ี นน้ การดาเนินการใน ระดบั ประเทศ ซ่ึงในแตล่ ะประเทศอาจมจี ุดมงุ่ หมายท่ีแตกตา่ งกันไป เชน่ มจี ุดมงุ่ หมายเน้นเรือ่ งสิทธกิ าร รับร้ขู อ้ มูลข่าวสารของชุมชน หรอื เน้นไปทกี่ ารติดตามความก้าวหนา้ โครงการดา้ นส่ิงแวดล้อมบางโครงการ เม่อื มจี ดุ มงุ่ หมายต่างกันการออกแบบตวั ระบบก็จะต่างกนั ไปดว้ ย แต่โดยท่ัวไปแลว้ ทําเนยี บการปลดปลอ่ ย มลพิษจะมลี กั ษณะและกรอบการรายงาน คอื เปน็ การรายงานการใช้สารเคมแี ตล่ ะชนดิ โรงงาน อตุ สาหกรรมแต่ละแห่งเปน็ ผ้รู ายงาน โดยเปิดเผยตัวเลขปริมาณการปลดปลอ่ ยและขนย้ายทัง้ หมด รายงานสารเคมีและมลพษิ ทอ่ี อกส่อู ากาศ นา้ ดิน การรายงานต้องทาํ อยา่ งสมํ่าเสมอ จัดทาเป็นฐาน ขอ้ มลู คอมพิวเตอร์ พรอ้ มเผยแพรส่ สู่ าธารณะ ตอ้ งจากัดข้อมูลทป่ี กปดิ เฉพาะความลบั ทางการคา้ เทา่ นั้น ทงั้ นจ้ี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื ปรับปรุงคุณภาพสง่ิ แวดลอ้ มและสง่ เสรมิ การผลิตทสี่ ะอาดข้นึ หากประเทศไทยไดด้ า เนินการตามหลกั การของอนสุ ัญญาอารฮ์ สั กรมควบคุมมลพิษจะเปน็ หน่วยงานหลกั ในการกาํ หนด มาตรการทางกฎหมายข้ึนเพ่อื ควบคุมการรายงานขอ้ มลู 6. อนุสญั ญาสหประชาชาตวิ ่าด้วยการเปล่ียนแปลงสภาพภมู อิ ากาศและพิธสี ารเกยี วโต อนสุ ญั ญาสหประชาชาติวา่ ด้วยการเปลย่ี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change, UNFCCC) และพธิ สี ารเกยี วโต (Kyoto Protocol) เป็นอนุสัญญาที่ เกิดจากความพยายามของประชาคมโลกในการแก้ไขปญั หาการเปลีย่ นแปลงสภาพภมู อิ ากาศ ที่เช่ือว่ามี สาเหตุมาจากภาวะเรอื นกระจก อันเนอื่ งมาจากการสะสมตัวของกา๊ ซบางประเภทในชั้นบรรยากาศ
30 ประเทศไทยไดใ้ ห้สตั ยาบนั ในฐานะประเทศนอกภาคผนวกท่ี 1 เมื่อวนั ที่ 28 ธนั วาคม พ.ศ.2537 และมผี ล บังคบั ใช้ตง้ั แต่วนั ที่ 28 มีนาคม พ.ศ.2538 ซึ่งบทบาทของประเทศไทย คือ (1) รว่ มรับผิดชอบในการลดปรมิ าณก๊าซเรอื นกระจกโดยใช้นโยบายทไี่ ม่มผี ลเสียต่อการพฒั นา เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ แตไ่ มม่ พี นั ธกรณีในการลดปริมาณกา๊ ซเรอื นกระจก (2) จดั ทารายงานแหง่ ชาติ (National Communication) เสนอต่อสานกั เลขาธิการอนสุ ญั ญา ซง่ึ เปน็ การแลกเปลี่ยนขอ้ มลู ขา่ วสาร แสดงให้ประเทศภาคตี า่ งๆ ทราบถงึ การมีสว่ นร่วมของประเทศไทยกับ ประชาคมโลก ในส่วนของพธิ สี ารเกยี วโต ในฐานะภาคีสมาชิกในกลุ่มประเทศกาลังพฒั นาไม่มพี ันธกรณีใดๆ ยกเว้นมาตรา 10 ซึ่งกาํ หนดใหท้ ุกภาครี ว่ มรับผิดชอบดาเนินการดา้ นการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศตาม ขดี ความสามารถและสถานการณข์ องแต่ละประเทศดว้ ยความสมัครใจ และมีสทิ ธ์ิเขา้ รว่ มโครงการตาม กลไกการพฒั นาที่สะอาด แต่ไม่มพี ันธกรณีทจ่ี ะต้องลดปริมาณการปลอ่ ยกา๊ ซเรือกระจกในชว่ งพนั ธกรณี แรก พ.ศ. 2551-2555 เหมอื นกับประเทศทพี่ ฒั นาแล้ว การแกไ้ ขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ นนั้ จาเป็นอยา่ งยิ่งที่จะตอ้ งให้ภาคธุรกิจเขา้ มามีส่วนรว่ มในการดาเนินงานตามกรอบขอ้ ตกลงท้ังในระดบั นานาชาตแิ ละแผนการดาเนินงานภายในประเทศ อยา่ งไรก็ตาม เนอ่ื งจากการลดปรมิ าณการปลอ่ ยก๊าซ เรือนกระจกน้นั อาจจาเปน็ ต้องมกี ารลงทนุ และตน้ ทุนการดาเนินการสงู นอกจากนัน้ ยงั อาจส่งผลถึง ศักยภาพในการแขง่ ขัน การจา้ งงาน รวมถงึ ประเด็นการค้าและสิ่งแวดลอ้ มด้วย
31 กจิ กรรมท้ายบท เรื่อง กฎหมายท่ีเกีย่ วข้องและอนสุ ัญญาระหว่างประเทศวา่ ดว้ ยการอนรุ กั ษ์ ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม คําชแี้ จง จงตอบคาํ ถามตอ่ ไปน้ใี หถ้ กู ตอ้ ง 1. ใหผ้ ู้เรียนยกตัวอยา่ งกฎหมายทเ่ี กย่ี วข้องกับการอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม พรอ้ ม อธบิ ายมาพอสังเขป ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 2. ใหผ้ เู้ รยี นยกตัวอยา่ งการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม ในชุมชนของตนเอง ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
32 3. ใหผ้ เู้ รยี นยกตัวอย่างอนสุ ัญญาระหวา่ งประเทศว่าดว้ ยการอนรุ ักษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม พร้อมอธบิ ายมาพอสงั เขป ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
33 บทท่ี 4 ประโยชนข์ องทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม มนุษย์สามารถนาํ ทรพั ยากรและส่ิงแวดล้อมมาใช้ประโยชน์ได้ โดยนํามาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชนก์ ับ ตนเอง เชน่ ป่าไมม้ ปี ระโยชนม์ ากมายต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนี้ 1. ประโยชน์ทางตรง (Direct benefits) ได้แกก่ ารนํามาใชส้ นองปัจจัยพ้นื ฐานในการดาํ รงชีวติ ของมนษุ ย์ 4 ประการ ได้แก่ 1.1. นํามาสรา้ งอาคารบ้านเรอื นและผลติ ภณั ฑ์ต่าง ๆ เชน่ เฟอร์นเิ จอร์ กระดาษ ไม้ขดี ไฟ ฟนื เปน็ ตน้ 1.2. ใช้เป็นอาหาร 1.3. ใช้เสน้ ใยทไ่ี ด้จากเปลือกไม้และเถาวัลย์ มาถักทอเป็นเคร่ืองนุง่ ห่ม เชอื ก และอน่ื ๆ 1.4. ใช้ทํายารักษาโรคตา่ ง ๆ 2. ประโยชน์ทางอ้อม (Indirect benefits) 2.1. เป็นแหล่งกําเนิดต้นนํ้าลําธาร เพราะตน้ ไมจ้ ํานวนมากในปา่ จะทําใหน้ ้าํ ฝนท่ตี กลงมา ค่อย ๆ ซึมซับลงในดนิ กลายเปน็ นํา้ ใต้ดินซึ่งจะไหลซึมมาหลอ่ เลี้ยงใหแ้ มน่ ้าํ ลาํ ธารมีนํ้าไหลอย่ตู ลอดปี 2.2. ทําให้เกดิ ความชมุ่ ชื้นและควบคุมสภาวะอากาศ ไอน้ําซึง่ เกิดจากการหายใจของพชื จํานวนมากในป่า ทาํ ให้อากาศเหนือปา่ มีความช้ืนสูง เมื่ออุณหภมู ลิ ดต่ําลงไอนํา้ เหล่านนั้ กจ็ ะกลน่ั ตัว กลายเปน็ เมฆแลว้ กลายเปน็ ฝนตกลงมา ทําใหบ้ รเิ วณที่มพี ืน้ ทปี่ า่ ไมม้ คี วามชุมช้ืนอยูเ่ สมอ ฝนตกต้องตาม ฤดกู าลและไม่เกิดความแหง้ แลง้ 2.3. เป็นแหลง่ พกั ผ่อนและศกึ ษาหาความรู้ บรเิ วณป่าไม้จะมีภมู ปิ ระเทศที่ สวยงามจาก ธรรมชาติ ทรัพยากรนํา้ หรือลําธาร นํ้าเป็นทรัพยากรท่ีมีความสําคัญต่อชีวิตคน พืช และสัตว์มากท่ีสุดแต่ก็มีค่าน้อยที่สุดเมื่อ เปรียบเทียบกับทรัพยากรธรรมชาติอ่ืน ๆ น้ําเป็นปัจจัยสําคัญในการดํารงชีวิตของมนุษย์และเป็น องคป์ ระกอบทสี่ าํ คญั ของสิง่ มชี วี ติ ท้ังหลาย ประโยชน์ของน้าํ นํ้าเป็นแหล่งกําเนิดชีวิตของสัตว์และพืชคนเรามีชีวิตอยู่โดยขาดนํ้าได้ไม่เกิน 3 วัน และน้ํายังมี ความจําเป็นทั้งในภาคเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ซ่ึงมีความสําคัญอย่างย่ิงในการพัฒนาประเทศ ประโยชนข์ องน้ํา ได้แก่
34 - น้ําเป็นสิ่งจําเป็นท่ีเราใช้สําหรับการด่ืมกิน การประกอบอาหาร ชําระร่างกาย ฯลฯ - น้ํามีความจาํ เป็นสําหรบั การเพาะปลูกเลย้ี งสตั ว์ แหล่งน้ําเปน็ ท่อี ยอู่ าศยั ของปลาและสตั ว์น้ํา อืน่ ๆ ซง่ึ คนเราใชเ้ ปน็ อาหาร - ในการอุตสาหกรรม ตอ้ งใช้นํา้ ในขบวนการผลติ ใชล้ า้ งของเสียใช้หล่อเครื่องจกั รและระบายความ รอ้ น ฯลฯ - การทาํ นาเกลือโดยการระเหยนาํ้ เคม็ จากทะเล - นาํ้ เป็นแหลง่ พลังงาน พลงั งานจากน้ําใชท้ ําระหดั ทาํ เขือ่ นผลิตกระแสไฟฟา้ ได้ - แม่น้าํ ลาํ คลอง ทะเล มหาสมุทร เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งท่ีสําคญั - ทัศนียภาพของรมิ ฝ่ังทะเลและน้าํ ท่ีใสสะอาดเปน็ แหลง่ ท่องเท่ยี วของมนุษย์ ทรพั ยากรดิน ดนิ หมายถงึ เทหวัตถุธรรมชาติท่ีปกคลุมผิวโลก เกิดจากการแปรสภาพหรือสลายตัวของหินแร่ธาตุ และอินทรีย์วัตถุผสมคลุกเคล้ากันตามธรรมชาติรวมกันเป็นช้ันบาง ๆ เมื่อมีน้ําและอากาศที่เหมาะสมก็จะ ทาํ ให้พชื เจรญิ เตบิ โตและยังชพี อยไู่ ด้ เน่ืองจากภาคตะวันตกส่วนใหญ่เป็นเขตเทือกเขาสูง เพราะฉะนั้นวัตถุแม่ดิน หรือแหล่งกําเนิดดิน ตอ้ งเกิดจากการสลายตัวของหินที่เป็นกรด ดังนั้นดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ ค่อนข้างตํ่า ดินชนิดน้ี เรียกว่า ดินเรดเยลโล-พอดโซลิก (Red-yellow Podzolic Soils) ดินชนิดน้ี มีในเขตภูเขาที่เป็นกรด ส่วนในเขตท่ีมี หนิ ปูน เชน่ บรเิ วณเทือกเขาในเขตอําเภออมุ้ ผาง จังหวัดตาก และบริเวณปลายเทือกเขาถนนธงชัยระหว่าง แม่นํ้าแควใหญ่กับแควน้อยจะเป็นพวก เรด-บราวด์ เอิท (Red-Brown earth) นอกจากนั้นยังมีดินท่ีเกิด จากการสลายตวั ของสารหรือ หนิ ภเู ขาไฟ เราเรยี กว่า ดินภูเขาไฟ ได้แก่พ้ืนท่ีบริเวณจังหวัดตาก เขตอําเภอ อุ้มผาง ที่ราบลุ่มน้ําแควน้อย เขตอําเภอสังขละบุรี อําเภอทองผาภูมิ อําเภอไทรโยค และบริเวณแก่ง กระจาน เปน็ ตน้ ในดา้ นสมรรถนะของที่ดนิ ในภาคตะวนั ตกปรากฏว่าพื้นท่ีเหมาะสําหรับการปลูกพืชไร่ มีประมาณ 25 % ของเนื้อท่ีภาค ทํานา 5% ที่เหลือ 70 % ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูก เพราะเป็น ท่ีลาดชันมาก หรือ มดี ินเปน็ ทรายจดั ประโยชนข์ องดนิ ดนิ มีประโยชน์มากมายมหาศาลต่อมนษุ ยแ์ ละส่ิงมีชีวิตอื่น ๆ คือ 1. ประโยชน์ต่อการเกษตรกรรม เพราะดนิ เปน็ ตน้ กําเนิดของการเกษตรกรรมเปน็ แหล่งผลติ อาหารของมนษุ ย์ ในดนิ จะมีอินทรียวัตถแุ ละธาตุอาหารรวมทัง้ น้าํ ท่จี ําเปน็ ต่อการเจริญเตบิ โตของ พืช อาหารที่คนเราบรโิ ภคในทุกวันนีม้ าจากการเกษตรกรรมถงึ 90%
35 2. การเล้ียงสัตว์ ดินเป็นแหล่งอาหารสัตว์ทั้งพวกพืชและหญ้าท่ีขึ้นอยู่ ตลอดจนเป็นแหล่งท่ีอยู่ อาศยั ของสตั ว์บางชนดิ เชน่ งู แมลง นาก ฯลฯ 3. เป็นแหล่งท่ีอยู่อาศัย แผ่นดินเป็นท่ีตั้งของเมือง บ้านเรือน ทําให้เกิดวัฒนธรรมและอารยธรรม ของชมุ ชนต่าง ๆ มากมาย 4. เป็นแหล่งเก็บกักนํ้า เนื้อดินจะมีส่วนประกอบสําคัญ ๆ คือ ส่วนที่เป็นของแข็ง ได้แก่ กรวด ทราย ตะกอน และส่วนท่ีเป็นของเหลว คือ นํ้าซ่ึงอยู่ในรูปของความช้ืนในดินซึ่งถ้ามีอยู่มาก ๆ ก็จะ กลายเป็นนา้ํ ซมึ อย่คู ือนา้ํ ใตด้ ิน นํ้าเหล่านีจ้ ะคอ่ ยๆ ซึมลงที่ต่าํ เชน่ แม่นา้ํ ลาํ คลองทําให้เรามนี ํา้ ใชไ้ ด้ตลอดปี
36 กจิ กรรมทา้ ยบท เรือ่ ง ประโยชนข์ องทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม คาํ ชีแ้ จง จงตอบคาํ ถามต่อไปน้ีใหถ้ ูกต้อง 1. ทา่ นคิดวา่ ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อมมีประโยชน์อย่างไร(ใหอ้ ธิบายพรอ้ มยกตวั อยา่ งประกอบ) ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 2. จงบอกประโยชน์ของทรัพยากร ปา่ ไม้,ทรพั ยากรน้าํ หรอื ลําธาร,ทรพั ยากรดิน ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
37 บทที่ 5 โทษและแนวทางการปอ้ งกนั การละเมดิ สทิ ธิ ในปัจจบุ นั ยังไมม่ กี ฎหมายทบี่ ัญญตั หิ นา้ ท่ีของบุคคลในการอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ สิง่ แวดลอ้ มโดยตรง หน้าที่ท่ีสามารถยกเป็นตวั อยา่ งได้อย่างชดั เจน เช่น หนา้ ที่ในการให้ความร่วมมอื และ ชว่ ยเหลือเจา้ พนกั งานในการปฏิบัติหน้าทที่ ี่เกยี่ วขอ้ งกับการสง่ เสริมและรักษาคณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ มโดย เครง่ ครัดตามมาตรา 6 (4) ของ พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสง่ิ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 หนา้ ท่ี ในการปฏบิ ตั ติ ามมาตรฐานมลพษิ ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ิ ด้วยการไมป่ ลอ่ ยน้ําเสยี อากาศเสีย หรอื ของเสีย อ่ืนๆ เวน้ แต่จะได้บาํ บดั ใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรฐานขนั้ ตาํ่ ตามทก่ี ฎหมายทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกําหนด รวมทั้งหน้าท่ีใน การส่งน้ําเสียหรอื ของเสียเขา้ สรู่ ะบบบาํ บัดรวมโดยเสียคา่ บริการตามอตั ราที่กฎหมายกําหนด เปน็ ต้น ในด้านทรัพยากรปา่ ไม้ ก็มกี ฎหมายป่าไม้หลายฉบับทบี่ ัญญตั ิหน้าที่ใหบ้ ุคคลตอ้ งปฏิบัติ ได้แก่ พ.ร.บ. ป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซ่ึงควบคมุ ห้ามมใิ หบ้ คุ คลทําไมห้ วงห้ามและเก็บของป่าหวงหา้ มเว้นแตจ่ ะไดร้ บั อนุญาตและชาํ ระคา่ ภาคหลวงตามทก่ี ฎหมายบัญญัติ พ.ร.บ. ป่าสงวนแหง่ ชาติ พ.ศ. 2507 หา้ มมิให้ บุคคลยดึ ถือ ครอบครองทําประโยชน์ หรืออาศัยในที่ดนิ กอ่ สร้าง แผว้ ถางปา่ หรือเผาปา่ ในพ้ืนทที่ ่เี ป็นปา่ สงวน พ.ร.บ. อทุ ยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 ห้ามการกระทาํ ลกั ษณะตา่ งๆ มากมายหลายประการอนั เป็น การทําลายสง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรธรรมชาตใิ นเขตอุทยานแหง่ ชาติ และ พ.ร.บ. สงวนและคุม้ ครองสตั ว์ ป่า พ.ศ. 2535 บัญญัตหิ า้ มมใิ ห้ล่าสตั ว์ หรือทาํ อันตรายต่อรังของสตั วป์ า่ ตลอดจนกระทาํ การในลกั ษณะ ต่างๆ ทีเ่ ป็นการทาํ ลายสิ่งแวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาตใิ นเขตรกั ษาพนั ธส์ุ ตั วป์ ่าเป็นต้น ปัญหาและอปุ สรรคในการบงั คบั ใชส้ ทิ ธิตามกฎหมายของประชาชนเพอ่ื ให้เกดิ การมสี ว่ นรว่ มในการ จัดการสิง่ แวดล้อม เมอื่ พิจารณาพัฒนาการโดยรวมของกฎหมายทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับการจัดการส่ิงแวดล้อมตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมากจ็ ะพบว่า ไดม้ ีความพยายามท่ีจะเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนสามารถมีสว่ นรว่ มโดยการใช้ สทิ ธิในการดําเนินคดกี ับผูท้ ี่กระทําผิดกฎหมายสิ่งแวดลอ้ มมากขึ้นทั้งในทางคดีแพ่งและคดอี าญา นอกจากนีก้ ารใหก้ ารรับรองแก่สทิ ธิต่างๆ ท่เี กย่ี วข้องกับส่ิงแวดลอ้ มดงั ได้กลา่ วมาแลว้ ภายใตร้ ฐั ธรรมนญู ฉบบั ใหม่ ก็เป็นส่ิงที่ทา้ ทายต่อสงั คมไทยว่า สทิ ธเิ หล่านีจ้ ะได้รับการรับรองและบังคบั ใชไ้ ด้จรงิ หรอื ไมใ่ น ทส่ี ดุ 1. การใชส้ ทิ ธใิ นการมีสว่ นรว่ มในทางคดอี าญา โดยปรกติบุคคลทว่ั ไปทีพ่ บเห็นการกระทําผดิ ท่ีมีโทษทางอาญาสามารถท่ีจะร้องเรียน “กล่าวโทษ” ผกู้ ระทาํ ผดิ ตอ่ เจา้ พนกั งานตามกฎหมายได้ตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และสิทธิประการน้ี ก็ได้รับการยืนยันอีกครั้งหน่ึงในมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.ส่งเสรมิ และรักษาคุณภาพส่ิงแวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ. 2535 อย่างไรก็ตาม ลําพังการร้องเรียนกล่าวโทษมิไดเ้ ปน็ หลักประกันว่าจะมกี ารดาํ เนนิ การทางคดีอาญา
38 กับผู้เสยี หายในท่สี ดุ เน่อื งจากผกู้ ล่าวโทษมิใชผ่ ู้ไดร้ ับความเสยี หายจากการกระทาํ ผดิ อาญานั้น และการ พจิ ารณาวา่ จะมีการดาํ เนินคดหี รือจะฟ้องร้องต่อไปในชั้นศาลหรอื ไมย่ งั คงข้ึนอยูก่ บั เจ้าพนกั งานที่เกี่ยวขอ้ ง ของรัฐ ในแงน่ ี้ พ.ร.บ.สง่ เสรมิ และรักษาคณุ ภาพสิง่ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 จงึ มิได้ทาํ ให้สิทธิในการ ดําเนินการในทางคดีอาญาของประชาชนมีเพิ่มมากข้นึ แตป่ ระการใด ในทางกลับกัน หากวา่ บุคคลทม่ี คี วาม ประสงคจ์ ะดาํ เนนิ การในทางคดอี าญาเป็นผเู้ สยี หายจากการละเมิดกฎหมายนั้น บคุ คลน้ันยอ่ มมีสทิ ธใิ นการ “รอ้ งทกุ ข”์ ให้มีการดําเนินคดีตอ่ ผกู้ ระทาํ ผิดได้ นอกจากน้ี ยงั มสี ิทธติ ามกฎหมายท่ีจะฟอ้ ง ผู้เสยี หายใน คดอี าญาได้โดยตรงอกี ดว้ ย การเปน็ “ผู้เสยี หาย” ในคดอี าญาจึงมีส่วนสําคัญในการทําให้มีการดาํ เนินคดี อาญาต่อผู้กระทําผดิ ได้อยา่ งจริงจัง แต่ผ้ฟู อ้ งจะตอ้ งแบกรับค่าใชจ้ ่ายเองไดม้ ีกฎหมายอืน่ ๆ ท่ไี ดป้ ระกาศใช้ ในชว่ งระยะเวลาเดียวกนั กับ พ.ร.บ. ส่งเสรมิ และรกั ษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแหง่ ชาติ พ.ศ. 2535 ซ่งึ มี บทบัญญตั ิท่นี า่ สนใจ และพยายามขยายคาํ นยิ ามของ “ผู้เสยี หาย” เพือ่ ให้สิทธิในการดําเนนิ คดอี าญาแก่ ประชาชนมากขน้ึ ไดแ้ ก่ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 มาตรา 64 ซงึ่ บัญญัตวิ า่ ความผิดเกดิ ข้ึน หรอื บคุ คลซึง่ ความเปน็ อยู่ถกู กระทบกระเทอื นเนื่องจากการกระทําความผิด เปน็ ผเู้ สยี หายตามประมวลกฎหมายวา่ ด้วย วธิ พี ิจารณาความอาญา” โดยนัยของมาตราน้ี มีความหมายว่า เมื่อมีการกระทําความผิดตาม พ.ร.บ. โรงงานอันเป็น ความผิดและมีโทษทางอาญา บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับโรงงานหรืออยู่ในข่ายที่จะได้รับผลกระทบจากกิจกรรม ของโรงงานดังกล่าวสามารถท่ีจะใช้สิทธิในการร้องทุกข์ในฐานะ “ผู้เสียหาย” เพ่ือให้มีการดําเนินคดีอาญา ต่อผู้กระทําผิดและเพ่ือให้มีการลงโทษผู้กระทําผิดได้ และยังสามารถฟ้องคดีอาญาด้วยตนเองได้โดยตรง ดังกล่าวมาแล้ว มาตรการทางกฎหมายตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 64 ของ พ.ร.บ. โรงงานนี้ถือเป็น เคร่ืองมือที่สําคัญในการเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบังคับใช้กฎหมายในทางคดีอาญาได้มาก ข้ึน โดยไม่จํากัดสิทธิดังกล่าวไว้เฉพาะผู้เสียหายเท่านั้นนอกจากบทบัญญัติดังกล่าวของ พ.ร.บ. โรงงานแล้ว พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 อันเป็นกฎหมาย สิ่งแวดล้อมที่ได้กําหนดหน้าที่ให้แก่พลเมือง ตลอดจนความผิดและโทษท่ีเกี่ยวกับความสะอาดเรียบร้อย ของบ้านเมืองไว้อย่างกว้างขวาง ก็ได้มีบทบัญญัติในทํานองเดียวกันที่มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วน ร่วมในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวมากขึ้นโดยวิธีการในทางคดีอาญา มาตรา 51 ของกฎหมายฉบับ ดังกล่าว บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีผู้กระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ประชาชนผู้พบเห็นอาจแจ้งความ ต่อพนักงานสอบสวน เจ้าพนักงานท้องถิ่น หรือพนักงานเจ้าหน้าท่ี ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่โดยไม่ ชักช้า และให้ถือว่าประชาชนผู้พบเห็นการกระทําความผิดดังกล่าวเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา\" จากบทบัญญัติตามมาตราน้ี หมายความว่า ประชาชนทั่วไป ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะบุคคลที่เป็น ผู้เสียหายก็สามารถท่ีจะดําเนินการในทางคดีอาญาต่อผู้กระทําความผิดประหน่ึงเป็นผู้เสียหายได้ และเมื่อ แจ้งความแล้ว เจ้าพนักงานตามกฎหมายมีหน้าที่ต้องดําเนินการต่อผู้กระทําความผิดโดยมิชักช้า มิเช่นนั้น จะต้องระวางโทษเช่นเดียวกันกับผู้กระทําความผิดตามท่ีมีการแจ้งความนั้น นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติที่ ส่งเสรมิ ใหท้ ั้งประชาชนและเจา้ พนักงานมคี วามสนใจในการบงั คับใช้กฎหมายมากข้นึ กลา่ วคือ กฎหมายให้ อาํ นาจแก่เจ้าพนักงานภายใตก้ ฎหมายนี้มีอาํ นาจเปรยี บเทยี บปรับผู้กระทําความผิดได้ และค่าปรับท่ีได้จาก
39 การเปรียบเทียบปรับดังกล่าวให้แบ่งแก่บุคคลผู้แจ้งความตามมาตรา 51 กึ่งหน่ึง และพนักงาน เจ้าหน้าท่ี เจา้ พนักงานจราจร หรอื ตาํ รวจท่ปี ฏิบัตหิ น้าทค่ี วบคมุ การจราจร ซึ่งเป็นผู้จบั กุมอีกกึง่ หน่ึง จะเห็นได้ว่า พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองมีลักษณะ เปิดกวา้ งยงิ่ กว่า พ.ร.บ. โรงงาน ในการใหป้ ระชาชนทวั่ ไปสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการบังคับใช้กฎหมาย ส่ิงแวดล้อมได้ อันเป็นแนวทางเดียวกันกับแนวคิดในเรื่อง “citizen’s suit” ท่ีเปิดให้บุคคลท่ัวไปเข้ามามี ส่วนรว่ มในการบงั คับใช้กฎหมายสง่ิ แวดล้อม โดยไมจ่ าํ กดั สิทธดิ ังกล่าวไว้ให้แตเ่ พยี งผูเ้ สยี หายเท่านน้ั ฉะนั้น องค์กรเอกชนทางด้านส่ิงแวดล้อมก็สามารถท่ีจะเข้ามีบทบาทในการบังคับใช้กฎหมายโดยอาศัยช่องทางนี้ เช่นกัน อย่างไรก็ดี หลักการเปิดให้ประชาชนท่ัวไปเข้ามามีส่วนร่วมในการบังคับใช้กฎหมายส่ิงแวดล้อม ตามแนวคิดแบบ “citizen’s suit” นี้ยังคงจํากัดเฉพาะกรณีท่ีมีการกระทําความผิดอาญาภายใต้ พ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองเท่านั้น และความผิดตามกฎหมายนี้ก็มิได้ ถือเป็นความผิดรา้ ยแรง เพราะมแี ตเ่ พยี งโทษปรบั ตัง้ แต่ 500 บาทจนถงึ สงู สุด 10,000 บาท จึงน่าจะมกี าร พิจารณาขยายหลักการนีไ้ ปยงั กฎหมายอื่นๆ ทเ่ี กยี่ วข้องกับการอนรุ ักษส์ ิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ต่อไปด้วยแม้ว่าการขยายแนวคิดแบบ “citizen’s suit” เพ่ือเปิดให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการ บังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับอื่นๆ ด้วยจะเป็นสิ่งท่ีดี ประเด็นท่ีน่าจะพิจารณาก็คือ สังคมไทยมีความ พร้อมและความเข้าใจท่ีจะใช้สิทธินั้นมากน้อยเพียงใด ทั้งน้ีเพราะนับแต่มีการบังคับใช้ พ.ร.บ. โรงงาน และ พ.ร.บ. รักษาความสะอาดเรียบร้อยของบ้านเมือง มาจนบัดนี้เป็นเวลาหลายปี แต่ก็ปรากฏว่า ประชาชนยังใช้สิทธิในการดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดน้อยมาก การไม่ใช้สิทธิในการมีส่วนร่วมแม้ว่า กฎหมายจะเปิดช่องให้แล้วน้ีอาจสืบเนื่องมาจากสาเหตุหลายๆ ประการ นับต้ังแต่ความไม่รู้กฎหมาย การ ขาดจิตสํานึกที่จะร่วมกันปกป้องผลประโยชน์ท่ีเป็นของส่วนรวมและท่ีสําคัญท่ีสุดก็คือ ในสังคมท่ีกฎหมาย ขาดความศักด์ิสิทธิ์ การยืนยันสิทธิในการบังคับใช้กฎหมายในระดับปัจเจกไม่ว่าจะเพื่อรักษาผลประโยชน์ ส่วนตวั หรือส่วนรวมจะกลายเป็นความเส่ียงและเปน็ การกระทาํ ท่ีมีตน้ ทนุ สูง แนวทางการปอ้ งกนั ทุกคนต้องตระหนกั ในความสาํ คัญและคณุ ค่าของทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดล้อม รฐั ได้ตรากฎหมาย เก่ยี วกบั การอนุรักษท์ รพั ยากรธรรมชาตไิ ว้ เพือ่ ปกปอ้ งคมุ้ ครองและควบคมุ ไมใ่ หท้ รัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม ถูกทาํ ลายจนสญู สลาย หรือแปรสภาพไป การดแู ลรักษาส่ิงแวดล้อมเปน็ ภารกจิ ท่ีสําคัญยงิ่ ทป่ี ระชาชนทกุ คนต้องให้ ความร่วมมือและเอาใจใสไ่ มใ่ หผ้ ูใ้ ดมาทาํ ลายสงิ่ แวดลอ้ ม อันจะมผี ลกระทบตอ่ คน สัตว์ พชื และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ นอกจากนก้ี ฎหมายผังเมืองได้ช่วยเสริมกฎหมายรักษาคุณภาพสิ่งแวดลอ้ ม เพราะเกยี่ วข้องกบั การใช้ท่ดี ินใหเ้ กดิ ความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย ถกู สขุ ลักษณะและมคี วามปลอดภัยสําหรบั ประชาชน ซ่ึงนอกจากจะให้ประโยชน์ทาง เศรษฐกิจแล้ว ยงั คํานึงถงึ สภาวะแวดล้อมที่จะกระทบต่อชวี ิตของประชาชนด้วย เมื่อรัฐตรากฎหมายเก่ียวกับ ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มข้ึนมาแลว้ เป็นหนา้ ท่ีของประชาชนชาวไทยทกุ คนต้องร่วมกนั ดแู ล รักษาและ ป้องกันไมใ่ หป้ า่ ไม้ แรธ่ าตุ นาํ้ มนั ภเู ขา แมน่ าํ้ ลาํ คลองและสงิ่ แวดล้อมถูกทําลาย ชว่ ยกนั รกั ษาให้คงอยู่ และพัฒนาและย่ังยนื สบื ไป
40 กิจกรรมท้ายบท เร่อื ง โทษและแนวทางการปอ้ งกนั การละเมดิ สทิ ธิ คําชีแ้ จง จงตอบคําถามต่อไปนใี้ ห้ถูกต้อง 1. ท่านคิดวา่ การกระทําใดบา้ งท่เี ป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย (ให้อธบิ ายพร้อมยกตวั อยา่ งประกอบ) ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ 2. ใหผ้ ู้เรยี นบอกแนวทางการป้องกันแก้ไขปญั หาสิง่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนของทา่ น ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
41 แบบทดสอบหลงั เรียน 1. การแบ่งประเภทของทรพั ยากรธรรมชาติแบง่ ออกเป็นกปี่ ระเภท ก. 1 ประเภท ข. 2 ประเภท ค. 3 ประเภท ง. 4 ประเภท 2. พลังงานจากดวงอาทติ ย์ ลม อากาศ ฝนุ่ แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเทา่ ใดก็ตามสง่ิ เหลา่ น้ีก็ยงั คงมี ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นทรพั ยากรประเภทใด ก. ใชแ้ ลว้ ไม่หมดส้นิ ข. ใชแ้ ลว้ ทดแทนได้ ค. สามารถนํามาใช้ใหมไ่ ด้ ง. ใช้แล้วหมดสนิ้ ไป 3. ข้อใดคอื การกระทําโดยจงใจหรอื ประมาทเลินเลอ่ ก. การกระทาํ โดยรสู้ าํ นกึ และในขณะเดียวกนั ก็ร้วู ่าจะทาํ ใหเ้ ขาเสยี หาย ข. การกระทําโดยการเกิดอบุ ตั เิ หตุ ค. การกระทําโดยไมเ่ จตนา ง. การกระทาํ โดยบุคคลวิกลจริต 4. เครอ่ื งมอื ทีส่ าํ คัญประการหน่งึ ทีจ่ ะมีผลทําให้การ จัดการหรือการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละ ส่งิ แวดลอ้ มประสบผลสาํ เรจ็ กค็ ือ ก. วิถีประชา ข. พระราชกําหนด ค. จารตี ประเพณี ง. กฎหมาย 5. การตราพระราชบัญญัตกิ ารควบคุมและแกไ้ ขปัญหาส่ิงแวดล้อมให้มปี ระสิทธิภาพย่ิงข้ึนคอื พระราชบัญญตั ิส่งเสรมิ และรกั ษาคุณภาพสง่ิ แวดลอ้ มมใี จความว่าอย่างไร ก. ผู้ก่อใหเ้ กดิ มลพิษ ตอ้ งปิดโรงงาน ข. ผูก้ ่อใหเ้ กิดมลพษิ ตอ้ งมีหนา้ ทีเ่ สยี ค่าใช้จา่ ย ค. ผกู้ อ่ ใหเ้ กิดมลพษิ ตอ้ งแก้ไขใหด้ ีขนึ้ ง. ผกู้ อ่ ให้เกิดมลพิษ ตอ้ งตดิ คกุ 6. ทรัพยากรป่าไมม้ ปี ระโยชนต์ อ่ การดํารงชีวติ ของมนษุ ยป์ ระโยชน์ทางตรงมีกป่ี ระการ ก. 1 ประการ ข. 2 ประการ ค. 3 ประการ ง. 4 ประการ
Search