Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์

วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์

Published by jnlbcnsp, 2019-03-08 18:16:05

Description: ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2560

Keywords: วารสาร,วิทยาศาสตร์สุขภาพ,สรรพสิทธิประสงค์

Search

Read the Text Version

วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 45 ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ตารางที่ 1 จานวนและรอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ งจาแนกตามดชั นีมวลกาย ความยาวเสน้ รอบเอวและระดบั ความดนั โลหติ (n=98) ภาวะสขุ ภาพ จานวน (รอ้ ยละ) ดชั นีมวลกาย 5 (5.1) ผอม (≤ 18.5) ปกติ (18.5-22.9) 44 (44.9) น้าหนักเกนิ (23-24.9) 21 (21.4) อว้ นระดบั 1 (25.0-29.9) 18 (18.4) 10 (10.2) อว้ นระดบั 2 (≥ 30) ความยาวเสน้ รอบเอว ปกติ เพศชาย (‹ 90 cm) 13 (68.4) เพศหญิง (‹ 80 cm) 55 (67.9) เกินขนาด 6 (31.6) เพศชาย (≥ 90 cm) 26 (32.1) เพศหญิง (≥ 80 cm) ระดบั ความดนั โลหิต ปกติ (‹ 130/85) 83 (83.0) ค่อนขา้ งสงู (130-139/85-89) 8 (8.0) สงู ระดบั 1 (140-159/90-99) 7 (7.0) สงู ระดบั 2 (160-170/100-109) 2 (2.0) 0 สงู ระดบั 3 (≥180/110)

46 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ตารางที่ 2 จานวนและรอ้ ยละของกลุ่มตวั อยา่ ง จาแนกตามระดบั น้าตาลในเลือด และ ระดบั ไขมนั ในเลือด ภาวะสุขภาพ* จานวน (รอ้ ยละ) ระดบั น้าตาลในเลือด (n=78) ปกติ (<100) 62 (79.5) เร่มิ สงู (100-125) 12 (15.4) 4 (5.1) สงู กวา่ เกณฑป์ กติ (≥126) ระดบั ไขมนั ในเลือด โคเลสเตอรอล (n=82) ปกติ (<200) 33 (40.2) เริ่มสงู (200-239) 35 (42.7) 14 (17.1) ระดบั สงู (≥240) ไตรกลีเซอไรด์ (n=80) ปกติ (<150) 54 (67.5) เร่มิ สงู (150-199) 11 (13.8) 15 (18.8) ระดบั สงู (≥200) * หมายเหตุ การตรวจเลือดจะตรวจตามเกณฑข์ องกระทรวงการคลงั โดยผทู้ ่มี ีอายุน้อยกว่า 35 ปี จะไดร้ บั การตรวจเฉพาะความสมบรู ณข์ องเมด็ เลือดแดง (CBC) ส่วนผทู้ มี่ อี ายุ 35 ปี ข้ นึ ไปจะไดร้ บั การตรวจ CBC, BUN, Cr cholesterol, triglyceride, liver function test, uric acid และ FBS ตารางที่ 3 จานวนและรอ้ ยละของกลมุ่ ตวั อยา่ ง จาแนกตามพฤติกรรมสุขภาพโดยรวมและ รายดา้ น (n=78) การแปลผล พฤตกิ รรมสุขภาพ ไม่ดี ปานกลาง ดี จานวน (รอ้ ยละ) จานวน (รอ้ ยละ) จานวน (รอ้ ยละ) พฤติกรรมสุขภาพโดยรวม 27 (35.1) 43 (55.8) 7 (9.1) ดา้ นความรบั ผิดชอบตอ่ สขุ ภาพ 19 (24.4) 44 (56.4) 15 (19.2) ดา้ นโภชนาการ 55 (70.5) 23 (29.5) 0 ดา้ นกิจกรรมทางกาย 62 (79.5) 14 (17.9) 2 (2.6)

วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ 47 ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) พฤตกิ รรมสุขภาพ ไมด่ ี การแปลผล ดี ดา้ นสมั พนั ธภาพระหวา่ งบุคคล ปานกลาง ดา้ นการจดั การกบั ความเครียด จานวน (รอ้ ยละ) จานวน (รอ้ ยละ) ดา้ นการพฒั นาทางจิตวิญญาณ จานวน (รอ้ ยละ) 3 (3.8) 75 (96.2) 58 (75.3) 0 17 (21.8) 28 (35.9) 33 (42.3) 17 (21.8) 33 (42.3) การอภิปรายผล จากผลการวจิ ยั ผวู้ จิ ยั พบประเด็นที่สาคญั ซ่ึงสามารถอภิปรายไดด้ งั น้ ี ภาวะสุขภาพของกลุ่มตวั อย่าง ผลการวจิ ยั พบวา่ กลุ่มตวั อย่างเกือบครึ่งหน่ึงมีดชั นี มวลกายอยู่ในเกณฑป์ กติ เกือบคร่ึงหนึ่งมีระดบั โคเรสเตอรอลอยู่ในเกณฑ์ปกติ มากกว่า คร่ึงมีระดบั ไตรกลีเซอไรดใ์ นเลือดอยู่ในเกณฑป์ กติ และส่วนใหญ่มีระดบั ความดนั โลหิต และระดบั น้าตาลในเลือดอยูใ่ นระดบั ปกติ แสดงวา่ กลุ่มตวั อย่างประมาณครึ่งหนึ่งมีภาวะ สขุ ภาพปกติ อธิบายไดว้ ่า กลุ่มตวั อย่างปฏบิ ตั ิงานอยใู่ นสถาบนั การศึกษาพยาบาล ซ่ึงนา หลักการสถานท่ีทางานน่าอยู่น่าทางาน (Healthy workplace) มาใชเ้ พื่อเป็ นไปตาม มาตรฐานองค์กรแห่งความสุข13 ทาใหม้ ีการใหส้ ุขศึกษาแก่บุคคลากรในองค์กรอย่าง ต่อเน่ือง ท้งั เร่ืองการออกกาลังกาย และการรับประทานอาหาร และในทุกบ่ายวนั พุธจะ เป็ นชวั่ โมงของการออกกาลงั กายสาหรบั บคุ ลากรในองคก์ ร และยงั มีสมาชิกทรี่ วมกลุ่มกนั เพ่ือออกกาลังกายหลังจากเลิกงานอีก นอกจากน้ัน ภายในองคก์ รยงั มีบุคลากรสุขภาพท่ี ทางานอยู่ดว้ ยซึ่งก็อาจจะเป็ นปั จจัยที่เกี่ยวขอ้ งกับการมีภาวะสุขภาพท่ีดี ท้ังน้ ีเพราะ บุคลากรสุขภาพท่ีเป็ นอาจารย์สามารถท่ีจะใหค้ าปรึกษาแก่บุคลากรสายสนับสนุนได้ บุคลากรในวิทยาลัยฯยงั ไดร้ ับการพฒั นาความรจู้ ากการเขา้ รบั การอบรมเก่ยี วกบั การดแู ล สขุ ภาพ ท้งั ทางดา้ นการส่งเสริม ป้ องกนั รกั ษาและฟ้ ื นฟูสุขภาพ ซึ่งการมีความรู้เก่ียวกับ การดูแลสุขภาพอาจเป็ นปั จจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับการรับรูป้ ระโยชน์ของการปฏิบัติ พฤติกรรมสุขภาพและสมั พนั ธก์ บั การมีภาวะสุขภาพที่ดี ดงั น้ันจึงอาจเป็ นสาเหตุท่ีทาให้ กลุ่มตัวอย่างมีภาวะสุขภาพท่ีเป็ นปกติ เช่นเดียวกับหลายการศึกษาท่ีพบว่า ส่วนใหญ่ บุคลากรในองค์กร ไดแ้ ก่ วิทยาลัยพยาบาลฯ คณะพยาบาลศาสตร์ หรือโรงพยาบาล มีภาวะสุขภาพท่ีเป็ นปกติ ไดแ้ ก่ มีดชั นีมวลกายและระดบั ความดันโลหิต อยู่ในเกณฑท์ ี่ ปกติ5,14 มีระดับไขมันในเลือดและระดับน้ าตาลในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ 4 และอาจ เนื่องจากกลุ่มตวั อย่างส่วนใหญ่เป็ นบุคลากรทางสาธารณสุขซ่ึงมีความรูเ้ ก่ียวกบั การดูแล

48 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ี่ 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) สุขภาพจึงอาจทาใหม้ ีการปฏิบตั พิ ฤติกรรมสุขภาพท่ีดีซึ่งจะทาใหเ้ กิดภาวะสุขภาพที่ดีตาม ไปดว้ ย นอกจากน้ ีปั จจยั ดา้ นอายุซ่ึงกลุ่มตวั อย่างยังมีอายุที่อยู่ในวยั ผูใ้ หญ่ซ่ึงอายุเฉลี่ย เท่ากับ 41 ปี จึงอาจมีความสมบูรณ์ของพัฒนาการทางดา้ นร่างกายและมีรายไดเ้ พียง พอท่จี ะแสวงหาสง่ิ ท่ีเอ้ อื ตอ่ การมีภาวะสขุ ภาพทีด่ ี 4-5,14 อย่างไรก็ตามในการศึกษาคร้งั น้ ีมีกลุ่มตวั อย่างรอ้ ยละ 23.4 มีโรคประจาตวั และ จากขอ้ มูลภาวะสุขภาพ พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีดัชนีมวลกายเกินเกณฑ์ (รอ้ ยละ 50) ระดบั ความดนั โลหิตเร่ิมสูง (รอ้ ยละ 8) ระดบั น้าตาลเร่ิมสงู (รอ้ ยละ 15.4) และระดับ โคเรสเตอรอลเร่ิมสูง (รอ้ ยละ 42.7) และไตรกลีเซอไรดเ์ ร่ิมสงู (รอ้ ยละ 13.8) ซึ่งจะเป็ น ปัจจยั เสยี่ งต่อการเกิดโรคเร้ ือรังและโรคอว้ นลงพุง15 ท้งั น้ ีอาจเนื่องจากกลุ่มตวั อย่างมีอายุ ระหวา่ ง 46-50 ปี ซ่ึงอายุท่ีมากข้ นึ ทาใหม้ โี อกาสเสีย่ งต่อการเกดิ โรคหวั ใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะกลุ่มตวั อย่างส่วนใหญ่ท่ีเป็ นเพศหญิงซึ่งอยู่ในช่วงวยั หมดประจาเดือน จึงอาจ ทาให้มีการเปล่ียนแปลงของระดับไขมันและมีผลต่อหลอดเลือดจากระดับฮอร์โมน เอสโตรเจนที่ลดลง16-18 รวมท้งั กลุ่มตวั อย่างมีพฤติกรรมการออกกาลังกายไม่สมา่ เสมอ รับประทานอาหารไขมันสูงเป็ นบางคร้ัง และจัดการกับความเครียดได้บางคร้ัง ซึ่งพฤตกิ รรมดงั กล่าวเป็ นปัจจยั เสยี่ งตอ่ การเกิดโรคเร้ ือรงั เชน่ โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหติ สงู เป็ นตน้ 19 พฤติกรรมสขุ ภาพโดยรวมของกลุ่มตวั อยา่ ง พบว่าอยู่ในระดบั ปานกลาง อธบิ ายไดว้ ่า กลุ่มตวั อยา่ งมกี ารปฏบิ ตั พิ ฤติกรรมสขุ ภาพท่ีดีบา้ งเป็ นบางคร้งั แตใ่ นบางคร้งั ก็อาจจะขาดความเคร่งครัดในการปฏิบัติ ท้งั น้ ีอาจเนื่องจากลักษณะการทางานที่ตอ้ ง พฒั นาใหไ้ ดต้ ามมาตรฐานต่างๆ เช่น การประกนั คุณภาพการศึกษา มาตรฐานคุณวุฒิ ระดับอุดมศึกษาและการบริหารจดั การที่ดี เป็ นตน้ เพื่อใหว้ ิทยาลยั ไดร้ บั การยอมรับท้งั ในประเทศและต่างประเทศ10 ทาใหบ้ ุคคลากรต้องใช้เวลาในการปฏิบัติงานอย่างมี ประสิทธิภาพ บางคร้ังต้องทางานนอกเวลาราชการ รวมท้ังมีบทบาทหน้าที่ในการ ปฏิบัติงานที่มากกว่าภารกิจการสอน เช่น บริการวิชาการ วิจัย และทานุ บารุง ศิลปวัฒนธรรม เป็ นตน้ จึงอาจก่อใหเ้ กิดความเครียดในขณะปฏิบัติงานได้ เพราะตอ้ ง ปฏบิ ตั งิ านใหไ้ ดต้ ามมาตรฐานและตามกาหนดเวลา นอกจากน้ันบุคลากรส่วนใหญ่ยงั ไม่มี โรคประจาตวั ซึ่งอาจเป็ นสาเหตสุ ว่ นหน่ึงท่ที าใหก้ ลุ่มตวั อย่างละเลยในการดแู ลสขุ ภาพเพื่อ ป้ องกนั การเจบ็ ป่ วย ประกอบกบั กลุ่มตวั อย่างคร้งั น้ ีมที ้งั บุคลากรสายวชิ าการ คอื อาจารย์ พยาบาล และบุคคลากรสายสนับสนุน ซึ่งพ้ นื ฐานความรใู้ นการดูแลสขุ ภาพอาจจะแตกต่าง กนั โดยผูท้ ่ีมีระดบั การศึกษาท่ีสูงกวา่ ก็จะสามารถแสวงหาขอ้ มูลความรู้เก่ียวกบั การดูแล สุขภาพและปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพไดด้ ีกว่าผูท้ ี่มีระดับการศึกษาตา่ กว่า ทาใหก้ ลุ่ม ตวั อย่างบางส่วนปฏิบตั ิพฤติกรรมสุขภาพตามความรู้ และความเชื่อของตน20 ซ่ึงก็อาจจะ

วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 49 ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ปฏิบัติพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพบางคร้ัง เช่นเดียวกับหลายการศึกษาท่ีพบว่า กลุ่มตวั อยา่ งซ่ึงเป็ นบุคลากรที่ทางานอย่ใู นสถาบนั การศกึ ษาพยาบาล มพี ฤติกรรมสขุ ภาพ โดยรวมอย่ใู นระดบั ปานกลาง เพราะลักษณะของกลุ่มตวั อยา่ งมที ง้ั อาจารย์ และบคุ คลากร สายสนับสนุน ซึ่งมีระดบั การศึกษาท่ีแตกต่างกัน และส่วนใหญ่ยงั ไม่มีโรคประจาตวั และ รับรูว้ ่าตนเองสุขภาพดี จึงไม่ไดใ้ หค้ วามสาคญั กับการปฏิบตั ิพฤติกรรมสุขภาพ รวมถึง ลักษณะงานที่มีความหลากหลายภารกิจ ตอ้ งทางานต่อเน่ือง และเกิดความเหนื่อยล้า จากการทางาน ทาใหไ้ ม่มีเวลาดูแลสุขภาพหรือปฏิบัติพฤติกรรมสรา้ งเสริมสุขภาพ ไม่เคร่งครดั 5-7 พฤติกรรมสขุ ภาพรายดา้ นของกลุ่มตวั อยา่ ง พบวา่ กลุ่มตวั อยา่ งมีพฤติกรรมสขุ ภาพ อยู่ในระดับที่ไม่ดี 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นกิจกรรมทางกาย ดา้ นโภชนาการ และดา้ นการ จดั การความเครียด อธบิ ายไดว้ ่า กลุ่มตวั อย่างไม่ไดอ้ อกกาลงั กายสมา่ เสมอหรือออกกาลัง กายเป็ นบางคร้ัง กลุ่มตัวอย่างรับประทานอาหารไม่ครบ 5 หมู่และรับประทานอาหาร ไขมนั สงู บางคร้ัง และเม่ือมีความเครียดจะมีวิธีคลายเครียดบางคร้งั ท้งั น้ ีอาจเป็ นเพราะ สถานการณ์และลักษณะการทางานดงั ที่กล่าวมาแลว้ ขา้ งตน้ ทาใหบ้ ุคลากรมีการปฏิบัติ พฤติกรรมเหล่าน้ ีไม่สมา่ เสมอหรือไม่ไดป้ ฏิบัติเลย หรืออาจเป็ นเพราะการไม่มีเวลา ความเหนื่อยลา้ จากการทางานประจาวนั หรือร่างกายไม่พรอ้ ม21 ลกั ษณะการทางานส่วน ใหญ่เป็ นการนั่ง ยืน หรือการใชเ้ คร่ืองอานวยความสะดวกทาใหไ้ ม่ไดอ้ อกกาลังกาย3 รวมท้งั ความเขา้ ใจว่าการทางานเป็ นการออกกาลังกาย22 สาเหตุเหล่าน้ ีเป็ นอุปสรรคต่อ การออกกาลังกาย1 การบริโภคอาหารตามกลุ่มเพื่อนร่วมงานโดยเฉพาะในช่วงเวลา กลางวนั และมกั จะเป็ นอาหารประเภทอาหารตามสงั่ หรือขา้ วราดแกงเพราะสะดวกและ รวดเร็ว23 ซึ่งอาหารเหล่าน้ ีมกั จะเป็ นอาหารประเภทผัดและทอดท่ีมีไขมนั สูง24 และใน ม้ อื เยน็ มกั จะซ้ ืออาหารสาเร็จหรือออกไปรบั ประทานอาหารเยน็ นอกบา้ นเพ่ือความสะดวก2 อีกดา้ นหนึ่งกลุ่มตวั อย่างสว่ นใหญม่ ีอายุอยรู่ ะหว่าง 46-50 ปี ซึ่งเป็ นช่วงวยั กลางคนท่อี าจ มีบทบาทหน้าท่ีรับผิดชอบที่มากข้ ึนตามอายุงานที่เพิ่มข้ ึนจึงอาจทาใหม้ ีเวลาใหก้ ับ ครอบครัวไม่เพียงพอจึงอาจเกิดความขัดแยง้ จากงานสู่ครอบครัวและความขดั แยง้ จาก ครอบครัวสู่งานได้25 ดังน้ันสาเหตุหรือปั จจัยต่างๆเหล่าน้ ี จึงอาจเป็ นแหล่งที่มาของ ความเครียด และบางคร้งั ไม่สามารถท่ีจะจดั การกบั ความเครียดไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ กลุ่มตวั อย่างมีพฤติกรรมสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง 2 ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นความ รบั ผิดชอบต่อสุขภาพและดา้ นการพฒั นาทางจิตวิญญาณ อธิบายไดว้ ่า กลุ่มตวั อย่างมีการ ปฏิบัติพฤติกรรมสุขภาพท่ีดีบา้ งเป็ นบางคร้ัง แต่ในบางคร้ังก็อาจจะขาดความเคร่งครัด ในการปฏิบัติ ดังเช่นดา้ นความรับผิดชอบต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่จะไม่ด่ืมแอลกอฮอล์หรือ

50 วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ปที ี่ 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) สบู บุหร่ี มีเพศสัมพันธโ์ ดยใชถ้ ุงยางอนามยั ส่วนกลุ่มตวั อย่างที่ไม่ไดใ้ ชถ้ ุงยางอนามยั เมื่อมี เพศสัมพันธ์เป็ นกลุ่มท่ีมีคู่สมรส พักผ่อนอย่างเพียงพอ หากมีปัญหาสุขภาพก็จะปรึกษากบั บุคลากรทางสุขภาพบางคร้ัง และมีการติดตามข่าวสารทางสุขภาพบา้ งบางคร้ัง ท้ังน้ ีอาจ เน่ืองจาก บุคลากรอยู่ในองคก์ รท่ีเป็ นสถาบนั การศึกษาพยาบาล และมีการนาหลกั การสถานที่ ทางานน่าอยู่มาใช้ ดังน้ันบุคลากรจึงไดร้ ับความรู้เก่ียวกับการดูแลสุขภาพและไดร้ ับการ ฝึกอบรมในโครงการสรา้ งเสริมสุขภาพ26 แต่การท่ีบุคลากรส่วนใหญ่ไม่มีโรคประจาตวั มีภาระ งานมาก อาจทาใหข้ าดแรงจงู ใจและความตระหนักในการดูแลสุขภาพได้ ส่วนดา้ นการพฒั นา ทางจิตวิญญาณ พบว่า กลุ่มตวั อย่างมีการสวดมนต์ ทาบุญ ทาสมาธิเพื่อใหจ้ ิตใจสงบสบาย เป็ นบางคร้งั มากว่าหนึ่งในสีม่ ีความสุขและพอใจในชีวิตบางคร้งั อาจเป็ นเพราะกลุ่มตวั อย่าง อาจจะใชว้ ิธีการอื่นเพ่ือพัฒนาจิตวิญญาณ27 หรืออาจมีส่ิงยึดเหน่ียวอื่นๆ ท่ีนอกเหนือจาก วิธีการที่ถามในแบบสอบถาม เช่น การมีท่ีต้งั ของส่ิงศักด์ิสิทธ์ิท่ีเป็ นท่ีเคารพและสกั การะของ บุคลากร หรือบุคคลสาคญั อนั เป็ นท่ีรกั และการใชห้ ลกั ธรรมทางศาสนา เป็ นศูนยร์ วมจิตใจ และท่ยี ดึ เหน่ียวจิตใจของบุคลากรในวิทยาลยั ฯ ส่วนพฤติกรรมสุขภาพดา้ นสัมพนั ธภาพระหว่างบุคคลอยู่ในระดับดี อธิบายไดว้ ่า กลุ่มตัวอย่างมีสัมพนั ธภาพที่ดีกับผูอ้ ่ืน มีการพูดคุยกบั สมาชิกในครอบครัวและเพื่อน ร่วมงานสมา่ เสมอ อธิบายไดว้ ่า กลุ่มตวั อย่างอยู่ในวยั ผูใ้ หญ่ ซ่ึงเป็ นวัยที่มีวุฒิภาวะทาง อารมณ์ และมีทักษะในการสรา้ งสัมพันธภาพกับผู้อื่น นอกจากน้ัน ลักษณะงานของ บุคลากรในวิทยาลัยฯ ทาใหต้ อ้ งมีการติดต่อประสานงานกนั อย่างต่อเนื่องสมา่ เสมอ ซึ่งก็ ตอ้ งสรา้ งสมั พนั ธภาพที่ดีต่อกนั เพ่ือใหก้ ารดาเนินงานต่างๆบรรลุผลสาเร็จไปไดด้ ว้ ยดี สอดคลอ้ งกับหลายการศึกษาที่พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมสุขภาพดา้ นการสรา้ ง สมั พนั ธภาพอยู่ในระดบั มาก6-7 ทง้ั น้ ีเน่ืองจาก กลุ่มตวั อยา่ งสว่ นใหญ่เป็ นอาจารยพ์ ยาบาล ท่ีไดร้ ับการพัฒนาสมรรถนะทักษะดา้ นการสื่อสารและการสรา้ งสัมพันธภาพต้งั แต่เป็ น นักศึกษาพยาบาล เพื่อใชใ้ นการส่ือสารและสรา้ งสมั พนั ธภาพกบั บุคคลที่เกี่ยวขอ้ ง ไดแ้ ก่ นักศึกษา เพื่อนร่วมงานและพยาบาลวิชาชีพบนหอผูป้ ่ วย ทาใหก้ ลุ่มตัวอย่างมีวิธีการ ส่อื สารทด่ี แี ละสมั พนั ธภาพที่ราบร่ืนกบั บุคคลอน่ื ขอ้ เสนอแนะ ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวจิ ยั ไปใช้ 1. ผูบ้ ริหารหรือผูเ้ กี่ยวขอ้ งควรมีนโยบายสนับสนุนใหม้ ีการจดั โปรแกรมเพ่ือสรา้ ง เสริมสุขภาพดา้ นโภชนาการ เช่น อาหารว่างเพ่ือสุขภาพ สมุนไพรตา้ นโรค และอาหาร ชีวจิต เป็ นตน้ ดา้ นการออกกาลังกาย เช่น การเดินข้ ึน-ลงบนั ได การออกกาลังกาย

วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 51 ปที ่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ระหวา่ งทางาน และดา้ นการจดั การกบั ความเครียด เชน่ สมาธิบาบดั ดนตรีบาบดั และหรือ มุมสบายคลายเครียด เป็ นตน้ 2. ผูบ้ ริหารหรือผูเ้ กี่ยวขอ้ งควรสนับสนุนสถานท่ี ที่เอ้ ือต่อการสรา้ งเสริมสุขภาพ เพือ่ ใหบ้ คุ ลากรในวิทยาลยั มีพฤติกรรมสุขภาพทางดา้ นโภชนาการ ดา้ นการออกกาลงั กาย และดา้ นการจัดการความเครียด อยู่ในระดับที่ดีเพิ่มข้ ึน เช่น โรงอาหารสุขภาพดี หอ้ ง ฟิ ตเนสสาหรบั ออกกาลงั กาย และหอ้ งคลายเครียด (Edutainment room) 3. ผบู้ ริหารหรือผูม้ ีสว่ นเกยี่ วขอ้ งควรจดั โปรแกรมใหค้ วามรเู้ ก่ียวกบั การดูแลสุขภาพ โดยควรมีการประเมินความฉลาดทางสุขภาพกอ่ นจะใหค้ วามรูท้ างสขุ ภาพที่เหมาะสมกบั ระดบั ความฉลาดทางสุขภาพของบุคลากรในวิทยาลยั ฯ เพ่ือใหเ้ กิดการนาความรูไ้ ปใชไ้ ด้ อยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม ซ่ึงจะสง่ ผลใหเ้ กิดผลลพั ธท์ างสุขภาพทด่ี ีตามมา ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจยั คร้งั ตอ่ ไป 1. ศึกษาปัจจยั ท่ีมีความสมั พนั ธแ์ ละมีอทิ ธิพลต่อพฤติกรรมสขุ ภาพของบุคลากรใน สถาบนั การศกึ ษาพยาบาล 2. พฒั นาโปรแกรมการสรา้ งเสริมสุขภาพแกบ่ คุ ลากรสาธารณสขุ เอกสารอา้ งอิง 1. Pender, N. J., Murdaugh, C. L., & Parsons, M. A. (2006). Health promotion in Nursing Practice (5th ed.). New jersey: Pearson Education, Inc. 2. วิชยั เอกพลากร. (บรรณาธกิ าร). การสารวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจ ร่างกายคร้งั ท่ี 4 พ.ศ. 2551-2. นนทบุรี: บริษัท เดอะกราฟิ โกซิสเตม็ ส์ จากดั . 2552. 3. ทิพวรรณ ล้ มิ ประไพพงษ์ และคณะ. ภาวะเส่ียงตอ่ การเกิดโรคเร้ ือรงั และพฤติกรรม สุขภาพของบคุ ลากร. วารสารวิทยาลยั พยาบาลพระปกเกลา้ จนั ทบุรี. 2555;23(1):27-37. 4. สมอาจ วงศส์ วสั ด์.ิ ภาวะสุขภาพและพฤติกรรมสรา้ งเสริมสุขภาพของบคุ ลากร โรงพยาบาลจอมทอง จงั หวดั เชยี งใหม่. วารสารสาธารณสุขลา้ นนา. 2550;3(2): 170-80. 5. Prateepchaikul, L., P. Chailungka, and P. Jittanoon. State of health and health- promoting behaviors among staff: a case study of the Faculty of Nursing. Songklanagarind Medical Journal. 2008;26(2):151-62.

52 วารสารวิทยาศาสตรส์ ุขภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) 6. อนัญญา คูอาริยะกุล, ศศธิ ร ชิดนายี, วราภรณ์ ยศทวี, เสาวลกั ษณ์ เนตรชงั , และนิศา รตั น์ นาคทงั่ . พฤตกิ รรมการสรา้ งเสริมสุขภาพของบุคลากร วิทยาลยั พยาบาลบรมราช ชนนีอุตรดิตถ.์ วารสารวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์. 2557:6(1):48-9. 7. อุบลทิพย์ ไชยแสง และนิวตั ิ ไชยแสง. ภาวะสขุ ภาพจติ และพฤตกิ รรมสรา้ งเสริมสุขภาพ ของบุคลากร วทิ ยาลยั การสาธารณสุขสิรินธร จงั หวดั ยะลา. การพยาบาลและ การศึกษา. 2555;5(3):135-44. 8. อรสา พนั ธภ์ กั ดี, อภญิ ญา ศิริพิทยาคุณกิจ, สุภาพ อารีเอ้ อื , พรทพิ ย์ มาลาธรรม, นพวรรณ เปียซื่อ, มณี อาภานันทิกุล และคณะ. ผลการสารวจปัจจยั เส่ียงตอ่ โรคเร้ ือรงั ของบคุ ลากร คณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาลรามาธบิ ดี. เอกสารประกอบการติดตาม การดาเนินงานของโครงการสารวจภาวะสุขภาพของบุคลากรโรงพยาบาลรามาธิบดี. 2552. 9. ลตติ า พลู ทอง. ผลกระทบของพฤติกรรมการดาเนินชีวิตตอ่ ประสทิ ธภิ าพการทางาน ของกลุ่มวยั ทางานในพ้ นื ท่กี รุงเทพมหานคร (สารนิพนธบ์ ริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต). กรุงเทพฯ; มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคล. 2555. 10. สถาบนั พระบรมราชชนก. วสิ ยั ทศั น์ อานาจหนา้ ที่ และ พนั ธกิจ [อินเตอรเ์ นต] 2558. [เขา้ ถึงเมื่อ 1 ก.ย. 2558]. จากhttp://www.pi.ac.th/group/100/วสิ ยั ทศั น์- อานาจหน้าท่ี-และ-พนั ธกจิ . 11. แสงเดือน กง่ิ แกว้ , วนั ทนา มณีศรีวงศก์ ูล และพนู สขุ เจนพานิชย์ วสิ ุทธิพนั ธ.์ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างปัจจยั คดั สรร พฤตกิ รรมสขุ ภาพกบั ความต่อเน่ืองสมา่ เสมอใน การรบั ประทานยาตา้ นไวรสั ของผตู้ ิดเช้ อื เอชไอว.ี วารสารพยาบาลสาธารณสุข. 2556;29(2):1-14. 12. บญุ ใจ ศรีสถิตยน์ รากูร. ระเบียบวิธีการวจิ ยั ทางพยาบาลศาสตร.์ พิมพค์ ร้งั ที่ 5. กรุงเทพฯ: ยแู อนดไ์ อ อินเตอร์ มเี ดีย จากดั , 2553. 13. ดวงเนตร ธรรมกุล. การสรา้ งสุขภาวะในองคก์ ร (Developing Healthy Organization). วารสารวิจยั ทางวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ. 2555;6(1):1-10. 14. วรรณวมิ ล เมฆวมิ ล. ภาวะสขุ ภาพและพฤตกิ รรมการสรา้ งเสริมสขุ ภาพของบุคลากร ในมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสุนันทา. 2554. 15. อนวชั วิเศษบริสุทธ์.ิ ภาวะ Metabolic Syndrome ในบุคลากร โรงพยาบาลมหาราช นครเชยี งใหม่. วารสารสาธารณสุขลา้ นนา. 2556;9(2):65-75. 16. เพญ็ จิตต์ มานพศิลป์ . คุณลกั ษณะสตรีผมู้ ารบั บริการท่ีคลินิกวยั หมดระดโู รงพยาบาล สงขลานครินทร.์ สงขลานครินทรเ์ วชสาร. 2547;22(2):409-13.

วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 53 ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) 17. สกุ รี สุนทราภา. สตรีวยั ทอง. ศรีนครินทรเวชสาร. 2557;29(4):50-55. 18. สิรยา กิตโิ ยดม. ภาวะวยั หมดระดู (Menopause). เวชสารโรงพยาบาลมหาราช นครราชสมี า. 2555;36(1):61-5. 19. ลออศรี จารุวฒั น์. ปัจจยั เสยี่ งและปัจจยั ท่สี มั พนั ธก์ บั พฤติกรรมเสี่ยงตอ่ โรคความดนั โลหิตสงู และโรคเบาหวานของประชาชน จงั หวดั กาแพงเพชร. วารสารควบคุมโรค. 2552;35(2):79-88. 20. สภุ าวดี พงสุภา. ลกั ษณะทางจติ สงั คมและลกั ษณะทางพุทธท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั พฤตกิ รรม การสรา้ งเสริมสขุ ภาพของพยาบาลศนู ยก์ ารแพทยโ์ รงพยาบาลกรุงเทพ. (วิทยานิพนธ์ วทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑติ ) กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒ. 2552. 21. จิตอารี ศรีอาคะ. การรบั รูอ้ ุปสรรคตอ่ การออกกาลงั กายและพฤติกรรมการออกกาลงั กายของพยาบาลโรงพยาบาลน่าน. (วิทยานิพนธพ์ ยาบาลศาสตรมหาบณั ฑติ ). เชยี งใหม่: มหาวิทยาลยั เชียงใหม.่ 2543. 22. ประภารตั น์ ณ พทั ลุง และเกษราวลั ณ์ นิลวรางกรู . พฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพจาก การทางาน ของคนทางานวยั กลางคน. วารสารการพยาบาลและการดแู ลสขุ ภาพ. 2552;27(4):12-21. 23. ธนวฒั น์ ศาศวตั วงศ.์ พฤตกิ รรมการบริโภคอาหารกลางวนั ของประชากรวยั ทางานใน อาเภอเมืองเชยี งใหม่. (สารนิพนธบ์ ริหารธุรกิจมหาบณั ฑติ )เชยี งใหม่: มหาวิทยาลยั เชยี งใหม.่ 2552. 24. สุรียพ์ ร โสกนั เกตุ. พฤติกรรมการบริโภคอาหารไขมนั ของประชาชนในเขตเทศบาล เมือง จงั หวดั เชียงราย. (สารนิพนธบ์ ริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต) เชียงใหม:่ มหาวิทยาลยั เชยี งใหม.่ 2544. 25. นัฏชุกา คาวนิ ิจ. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความเครียดในงาน ความขดั แยง้ ระหว่างงาน กบั ครอบครวั และกลยุทธก์ ารจดั การความเครียดกบั พฤตกิ รรมเป็ นสมาชิกทด่ี ี ของ องคก์ ารของครโู รงเรียนมงฟอรต์ วิทยาลยั . (สารนิพนธว์ ทิ ยาศาสตรมหาบณั ฑิต). เชียงใหม:่ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. 2551. 26. ธวชั วิเชียรประภา, พรนภา หอมสนิ ธุ์ และรุ่งรตั น์ ศรีสุริยเวศน์. ปัจจยั ทม่ี ผี ลต่อ พฤติกรรมสขุ ภาพของอาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจาหมู่บา้ น จงั หวดั จนั ทบรุ ี. วารสาร สาธารณสุขมหาวิทยาลยั บรู พา. 2555:7 (2):53-68. 27. วลั ภา คุณทรงเกยี รติ. จิตวิญญาณในมุมมองของตะวนั ออกและตะวนั ตก. วารสารคณะ พยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา. 2551:16(1):1-8.

54 วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560)

การรบั รูเ้ ก่ียวกบั อปุ สรรคการจดั การความปวดของพยาบาลวิชาชีพ กลมุ่ การพยาบาล โรงพยาบาลยโสธร จงั หวดั ยโสธร กีรติ คาทอง1 สุณิสา ชน่ื ตา2 ศภุ ลกั ษณ์ คาทอง2 เพญ็ ประกาย สรอ้ ยคา2 สมคิด เผ่าผา2 ทองศรี กา่ แกว้ 2 บทคดั ยอ่ อุปสรรคการจดั การความปวดของประเทศไทย อาจจะมีความแตกต่างตามบริบท พ้ ืนท่ีและนโยบาย อีกท้ังยังมีข้อมูลจากัดในประเด็นน้ ี การวิจัยเชิงพรรณนาแบบ ภาคตดั ขวางน้ ีมีวตั ถุประสงคเ์ พ่อื ศึกษาการ รบั รูข้ องพยาบาลเกี่ยวกบั อุปสรรคการจดั การ ความปวด กลุ่มตัวอย่างเป็ นพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาลยโสธรจานวน 218 คน เคร่ืองมือวิจยั เป็ นแบบสอบถามการรับรูท้ ี่เป็ นอุปสรรคในการจดั การความปวด จานวน 21 ขอ้ มาตรวดั 5 ระดบั ผลการวจิ ยั พบวา่ พยาบาลรอ้ ยละ 100 เป็ นเพศหญิง อายุเฉล่ีย 40.41 (SD±9.1) เป็ นพยาบาลระดบั ปฏิบตั ิการเป็ นสว่ นใหญ่ ไดร้ บั การอบรมการจัดการ ความปวดหลกั สูตรระยะสน้ั รอ้ ยละ 36.9 มปี ระสบการณ์ในการดูแลผูป้ ่ วยมากกว่า 10 ปี รอ้ ยละ 49.8 อุปสรรคการจดั การความปวด พบว่า พยาบาลเห็นความสาคญั ของการ จดั การความปวด รบั รอู้ ุปสรรคการจดั การความปวดเก่ียวกบั ความรู้ การประเมินความ ปวดในระดบั ปานกลาง และพยาบาลมีความกงั วลตอ่ ผูป้ ่ วยด้ ือและติดยาบรรเทาความปวด แพทย์ใหก้ ารรักษาจัดการความปวดอยู่ในระดับมาก ความล่าชา้ ของเภสัชกรในการ ประมวลผล ใบสงั่ ยาของแพทย์ และความล่าชา้ ในการสง่ ยาจากแผนกจ่ายยาเป็ นอปุ สรรค อยู่ในระดบั ปานกลาง ผลการวิจัยท่ีพบเพ่ือเป็ นแนวทางการพฒั นาคุณภาพของพยาบาล ในการจดั การความปวดใหม้ ปี ระสิทธภิ าพ คาสาคญั : การจดั การความปวด, อุปสรรคการจดั การความปวด, พยาบาลวิชาชีพ 1 รองผอู้ านวยการฝ่ายการพยาบาลโรงพยาบาลยโสธร 2 ฝ่ายการพยาบาลโรงพยาบาลยโสธร

56 วารสารวิทยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) Perception of Barriers to Pain Management of Register Nurse: Nursing Department in Yasothon Hospital Abstract Pain management in Thailand, there may be differences in context, area, and policy. There are also limited information on this issue. The objective of this cross sectional descriptive design was to identify barriers perceived as interfering with nurses’ (RNs) ability to provide optimal pain management. The samples were 218 professional nurses in Yasothon Hospital. The research instrument was a questionnaire for perceived barriers to pain management, 21 items (5 ratting). The results showed that 100% of the nurses were female, the mean age was 40.41 (SD ± 9.1). Most of them are the nursing staff, 49.8% had experience in caring for patients over 10 years. Of 36.9% was trained in short-term pain management program. The nurses perceived pain management was the importance for nurse. Perceived barriers to pain management with knowledge of pain assessment at moderate level, and nurses were concerned about patients with tolerance and addict and pain medication. Doctors treated pain management that was at a high level. Delays in pharmacists' processing of prescriptions and the delay in drug delivery from the dispensary department was moderate. The results of the research were found to improve quality of nursing care in pain management. Keywords: pain management, pain management barrier, register nurse

วารสารวิทยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 57 ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา ความปวดถือเป็ นปัญหาทางคลินิกที่พบบ่อยที่สุดในผปู้ ่ วยที่มารบั บริการในสถาน บริการพยาบาล จากรายงานขององคก์ ารอนามยั โลก (WHO) พบว่า รอ้ ยละ 80 ถึง รอ้ ยละ 90 ของผูป้ ่ วยมคี วามปวด1การจดั การความปวดท่ีมปี ระสิทธิภาพสามารถบรรเทา ความปวดไดท้ าใหไ้ ดผ้ ลลัพธ์การดูแลดีข้ ึน ส่งผลใหว้ นั นอนในโรงพยาบาลส้ันลง และ ลดตน้ ทุนการบริการ2 ในปัจจุบนั ยงั พบว่าการจดั การความปวดในผูป้ ่ วยกลุ่มโรคและวยั ต่างๆ ยงั คงตา่ กว่าเกณฑท์ ่ีผูป้ ่ วยพึงจะไดร้ บั 3-5 แมว้ ่าระบบบริการสุขภาพมีแนวปฏิบตั ิการจดั การความ ปวดทางคลินิกสาหรบั แพทยแ์ ละพยาบาล6 แนวปฏิบตั ิการจดั การความปวดยงั ไม่สามารถ นาสู่การปฏิบัติอย่างเป็ นรูปธรรมไดท้ ้งั หมด ทาใหผ้ ูป้ ่ วยไดร้ ับการบรรเทาความปวดไม่ เหมาะสมและเพียงพอ7 ความปวดท่ีไม่ไดร้ ับการบรรเทามีผลกระทบต่อดา้ นร่างกายและ จิตใจ การทาหน้าที่ กิจวตั รประจาวนั ส่งผลใหค้ ุณภาพชีวิตของผูป้ ่ วยลดลง8 การจดั การ ความปวดท่ีมีประสิทธิภาพจึงมีความสาคญั งานวิจยั ที่ผ่านมาพบว่าอุปสรรคท่ีทาใหก้ าร จดั การความปวดไม่มปี ระสิทธภิ าพน้ัน ประกอบดว้ ย อปุ สรรคดา้ นบุคลากรบริการสุขภาพ อุปสรรคดา้ นตัวผูป้ ่ วย และอุปสรรคดา้ นระบบบริการสุขภาพ5,9 ซึ่งรายละเอียดแต่ละ ประเด็นมคี วามแตกต่างกนั อุปสรรคดา้ นบุคคลากรบริการสุขภาพ ประกอบดว้ ย ความรูข้ องบุคคลากรท่ีไม่ เพียงพอหรือลา้ สมยั และทศั นคติเก่ียวกบั การจดั การความปวด งานวิจยั พบว่าพยาบาล ขาดความรูท้ างทฤษฎีเกี่ยวกบั ความปวด การประเมินความปวด และพ้ นื ฐานหลกั การทาง เภสชั วิทยา10 การขาดความรูข้ องพยาบาลในประเด็นดงั กล่าวเป็ นอปุ สรรคต่อการจดั การ ความปวด11, 12 มีขอ้ เสนอแนะจากผลงานวิจยั พบว่าพยาบาลไม่ใหค้ วามสาคญั กับการ จดั การกบั ความปวดมากเทา่ กบั บทบาทอ่ืนๆ13 งานวจิ ยั พบว่าแมว้ ่าพยาบาลใหค้ วามสาคญั กับการจัดการความปวดแต่ผลลัพธ์ในทางปฏิบัติไม่ได้สะท้อนขอ้ ความดังกล่าว14 การจดั การความปวดที่ดีเริ่มจากการประเมินความปวด พบว่าพยาบาลมีทศั นคติท่ีดีต่อ การประเมินความปวดช่วยใหก้ ารปฏิบตั ิที่ดี แต่เม่ือพยาบาลไม่เห็นความสาคญั ในการ ประเมินความปวด สง่ิ น้ ีเป็ นอปุ สรรคตอ่ การจดั การความปวดในทางปฏิบตั ิมากทสี่ ุด15 อุปสรรคดา้ นตวั ผูป้ ่ วย พบว่าทัศนคติและความเชื่อของผูป้ ่ วยน้ันเป็ นอุปสรรคท่ี สาคญั ในการจดั การความปวด ซ่ึงทาใหม้ ีความเขา้ ใจผิดเก่ยี วกบั ความปวดและการจดั การ ความปวด3 ผปู้ ่ วยท่มี ีความปวดอาจไม่เลือกใชป้ ระโยชน์จากระบบบริการสขุ ภาพเนื่องจาก ความเช่ือทผี่ ิด ถงึ แมว้ ่ามีทรพั ยากรพรอ้ มในการจดั การความปวดใหก้ บั ผปู้ ่ วย จากงานวจิ ยั

58 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ ปีท่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) พบประเด็นต่างๆ ดังน้ ี ผูป้ ่ วยกลัวคิดว่ายาบรรเทาปวดบางชนิดเป็ นสารเสพติด ดงั น้ัน ผูป้ ่ วยเลือกที่จะไม่ใชย้ าเนื่องจากกลวั การติดยา16 อุปสรรคอีกประการคือกลวั ด้ ือยา เช่น ในผปู้ ่ วยมะเร็ง ผปู้ ่ วยมีความกงั วลถา้ เริ่มใชย้ าในช่วงตน้ ของโรค เมื่อโรคกา้ วหน้าข้ นึ ยาจะ ไม่สามารถบรรเทาความปวดได้ และผปู้ ่ วยเชื่อวา่ ควร \"รกั ษาดว้ ยยา\" เมอื่ ตอ้ งการจริงๆ17 นอกจากน้ ีผูป้ ่ วยมีความกงั วลกบั ผลขา้ งเคียงของยาบรรเทาความปวด ผูป้ ่ วยบางรายไม่มี ความอดทนต่อผลขา้ งเคียงของยา เช่นยาบรรเทาปวดกลุ่มอนุพันธฝ์ ิ่น ทาให้ คล่ืนไส้ ทอ้ งผูก ดงั น้ันผูป้ ่ วยบางรายอาจเลือกที่จะอยู่กับความปวดมากกว่ามีอาการทอ้ งผูก และ รูส้ ึกคลื่นไส้ ความเชื่อน้ ีมีผลต่อความคาดหวงั ของผูป้ ่ วยที่มีต่อการจดั การความปวด18 การรายงานความปวดเช่นกันท้งั น้ ีการประเมินความปวดท่ีเป็ นมาตรฐานคือผูป้ ่ วยบอก ความปวดดว้ ยตนเอง (self-report) ผูป้ ่ วยบางรายลงั เลท่ีจะรายงานความปวดของตนเอง เน่ืองจากคิดว่าความปวดที่มากข้ ึนน้ันเป็ นส่ิงที่ระบุว่าโรคแย่ลง19 ผูป้ ่ วยบางรายตอ้ งการ เป็ นผูป้ ่ วยท่ีดี (good patient) ผูป้ ่ วยท่ีดีในมุมมองของแพทยแ์ ละพยาบาลน้ันคือผูป้ ่ วยไม่ บ่นเกย่ี วกบั ความปวดใหแ้ พทยห์ รือพยาบาลรบั ทราบ18 ท้งั หมดน้ ีเป็ นอุปสรรคดา้ นผปู้ ่ วยท่ี ทาใหเ้ กดิ การจดั การความปวดท่ตี า่ กวา่ เกณฑ์ อุปสรรคดา้ นระบบบริการสุขภาพน้ันพบว่าการสงั่ ซ้ ือยาที่ไมเ่ พียงพอหรือมียาท่ีไม่ เพียงพ อในโรงพ ยาบาล14 ซึ่งเป็ นอุปสรรคท่ีสาคัญ การไม่มีเวลาและนโยบาย ใหค้ วามสาคญั การจัดการความปวด ความแตกต่างและไม่คงท่ีในการจดั การความปวด ของบคุ คลากรบริการสุขภาพถูกระบุว่าเป็ นอุปสรรคของระบบ2, 14 การปฏิบตั ิจดั การความ ปวดที่ดีทีส่ ุดโดยพยาบาลเป็ นคนประสานกบั ทมี สุขภาพ แต่ยงั พบว่าการขาดความร่วมมือ ระหว่างทีมสขุ ภาพ7 วัฒ นธรรมองค์กรพยาบาลเป็ นส่วนหน่ึ งของระบบบริการสุขภาพ และมี ความสาคัญในการขับเคลื่อนการจัดการความปวด งานวิจัยพบว่าวฒั นธรรมองค์กร พยาบาลมีผลกระทบต่อการจดั การความปวด จากการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 2 หอผูป้ ่ วย พบว่ากลุ่มตวั อย่างประเมินความปวดผูป้ ่ วยแตกต่างกนั ในแต่ละหอผูป้ ่ วย20 ดงั น้ันบริบท ของหอผูป้ ่ วยมีอิทธิพลต่อการปฏิบตั ิของพยาบาลในการประเมินความปวด จดั การความ ปวดยงั คงไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากถา้ ไมค่ านึงถงึ ปัจจยั ตามบริบทขององคก์ รพยาบาล ฝ่ายการพยาบาลโรงพยาบาลยโสธร เห็นความสาคญั และตระหนักถึงอปุ สรรคการ จดั การความปวด ท้งั น้ ีพยาบาลเป็ นผอู้ ยใู่ กลช้ ิดผปู้ ่ วยมากท่สี ดุ จากการทบทวนวรรณกรรม ที่ผ่านมาพบว่าส่วนใหญ่เป็ นงานวิจยั ของต่างประเทศ ขอ้ มูลเก่ียวกบั อุปสรรคการจดั การ ความปวดของประเทศไทย อาจจะมคี วามแตกต่างตามบริบทพ้ นื ที่และนโยบาย อกี ท้งั ยงั มี

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 59 ปีที่ 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ขอ้ มูลจากดั ในประเด็นน้ ี ดงั น้ัน การศึกษาการรบั รูถ้ ึงอุปสรรคต่อการจดั การความปวด ของพยาบาลจึงมีความจาเป็ น ท้งั น้ ีขอ้ มูลท่ีไดจ้ ะเป็ นแนวทางในการพฒั นาประสิทธิภาพ ของพยาบาลในการจดั การความปวด เพือ่ ผลลพั ธก์ ารดแู ลผปู้ ่ วยทมี่ ีประสิทธภิ าพยงิ่ ข้ ึน วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั เพื่อศกึ ษาการรบั รูข้ องพยาบาลวิชาชพี เกย่ี วกบั อปุ สรรคการจดั การความปวด วิธีดาเนินการวิจยั การวิจัยคร้ังน้ ี เป็ นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง (Cross sectional descriptive design) ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง ประชากรเป็ นพยาบาลวิชาชพี ปฏิบตั งิ านในโรงพยาบาลยโสธร จานวน 325 คน กลุ่มตวั อย่าง เป็ นพยาบาลวิชาชีพโรงพยาบาลยโสธร คานวณขนาดตวั อย่างดว้ ย วิธีของ Tora Yamane (1967) n = N ÷ 1+ Ne2 โดยกาหนดค่าความคลาดเคล่ือนที่สูง ทส่ี ุดท่ีผูว้ ิจยั รบั ได้ กาหนด e = 0.05 แทนค่ากลุ่มตวั อย่าง n = 325 ÷ 1+ {325 (.05)2} ไดเ้ ท่ากับ 190 ราย ปรับเพิ่มขนาดกลุ่มตวั อย่างเพ่ือป้ องกันการสูญหาย รอ้ ยละ 20 จานวนกลุ่มตัวอย่างท่ีศึกษาท้ังหมดจานวน 218 คน ใชว้ ิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครอ่ื งมือการวจิ ยั เครื่องมอื ทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลการวจิ ยั คร้งั น้ ี ประกอบดว้ ย 2 สว่ น ดงั น้ ี 1) แบบบันทึกขอ้ มูลทัว่ ไป ประกอบดว้ ย ขอ้ มูล ส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับ การศึกษา ประสบการณก์ ารทางาน การอบรมเกี่ยวกบั การจดั การความปวด 2) แบบสอบถามอุปสรรคการจดั การความปวด แบบสอบถามทมี วิจยั ไดพ้ ฒั นาจากการ ทบทวนวรรณกรรม ประกอบดว้ ย อุปสรรคการจดั การความปวด ดา้ นบุคคลากร สขุ ภาพ ดา้ นผปู้ ่ วย และ ดา้ นระบบบริการสุขภาพ แบบสอบถามประกอบดว้ ย 21 ขอ้ มาตรวดั Likert scale 5 ระดบั (มากที่สุด- มาก- ปานกลาง- น้อย และน้อย ที่สดุ ) ความตรงเน้ ือหาของเครื่องมือ ตรวจสอบโดยผูเ้ ช่ยี วชาญ 3 ท่าน แลว้ นามา ปรับปรุงแกไ้ ขตามขอ้ เสนอแนะ ค่าดชั นีความตรงตามเน้ ือหา (IOC) มีค่าระหว่าง 0.67 -1.00 ตรวจสอบความเชื่อมนั่ ชนิดความสอดคลอ้ งภายในของแบบสอบถาม มคี า่ สมั ประสิทธ์อิ ลั ฟ่ าของครอนบาคในกลุ่มตวั อยา่ งน้ ี เทา่ กบั 0.87

60 วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) การวิเคราะหข์ อ้ มูล ขอ้ มูลเชิงปริมาณ ใชส้ ถิติเชิงพรรณนา หาค่า ความถ่ี รอ้ ยละ ค่าเฉลี่ย และส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อวิเคราะหข์ อ้ มูลทวั่ ไป และอุปสรรคการจดั การความปวด ในการ แปลผลใชช้ ว่ งคะแนน จากพิสยั ยุบจาก 5 ระดบั เพอ่ื แปลผลเพียง 3 ระดบั โดยการหาพสิ ยั คือค่าสงู สุดลบดว้ ยค่าตา่ สุด แลว้ หารดว้ ยจานวนช่วงที่ตอ้ งการ นั่นคือ หาค่าพิสยั เท่ากบั 5-1 = 4/3 = 1.33 นาไปจดั ชว่ งคะแนนเป็ น 3 ระดบั ไดด้ งั น้ ี ผลการวจิ ยั ช่วงคะแนน 3.67-5.00 อยูใ่ นระดบั มาก ช่วงคะแนน 2.34-3.66 อยู่ในระดบั ปานกลาง ชว่ งคะแนน 1.00-2.33 อยใู่ นระดบั น้อย ตอนท่ี 1 ขอ้ มูลทวั ่ ไปของกลมุ่ ตวั อยา่ ง กลุ่มตวั อยา่ งเป็ นเพศหญงิ รอ้ ยละ 100 อายมุ ากที่สุด 59 ปี นอ้ ยท่ีสุด 22 ปี อายุ เฉลี่ย 40.41 (SD±9.1) เป็ นพยาบาลระดบั ปฏบิ ตั ิการเป็ นส่วนใหญ่ ไดร้ บั การอบรมการ จดั การความปวดหลกั สตู รระยะสน้ั รอ้ ยละ 36.9 มปี ระสบการณใ์ นการดแู ลผปู้ ่ วยมากกวา่ 10 ปี รอ้ ยละ 49.8 ดงั แสดงในตารางที่ 1 ตารางที่ 1 แสดงขอ้ มลู ทวั่ ไปของกลุ่มตวั อยา่ ง จานวน รอ้ ยละ ขอ้ มลู 218 100 204 93.5 เพศหญิง 14 6.5 การศกึ ษา 32 14.7 186 85.3 ปริญญาตรี 85 38.9 ปริญญาโท บทบาทในหอผูป้ ่ วย หวั หน้าและรองหวั หน้าหอผปู้ ่ วย ระดบั ปฏิบตั กิ าร การอบรมการจดั การความปวด

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 61 ปที ี่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ขอ้ มลู จานวน รอ้ ยละ ประสบการณใ์ นการดแู ลผูป้ ่ วย 8 3.7 17 7.8 ตา่ กวา่ 6 เดอื น 39 18 6 เดือน - 2 ปี 46 21.2 มากกวา่ 2 - 5 ปี 108 49.8 มากกวา่ 5 - 10 ปี มากกว่า 10 ปี ข้ นึ ไป

62 ตอนท่ี 2 การรบั รูข้ องพยาบาลเกยี่ วกบั อุปสรรคการจดั การความปวด วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ การรบั รูข้ องพยาบาลเกย่ี วกบั อุปสรรคการจดั การความปวด พบว่าพยาบาลและทีมพยาบาลใหค้ วามสาคญั เก่ียวกบั การจดั การ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ความปวดมีคะแนนเฉล่ียมากท่สี ดุ พยาบาลมีขอ้ จากดั ในความรแู้ ละการประเมินในระดบั ปานกลาง ไมม่ ีรูปแบบเอกสารและการบนั ทึก ความปวดมคี า่ คะแนนเฉล่ียน้อยท่ีสุด การจดั การความปวดของแพทยอ์ ยใู่ นระดบั มาก ระบบการจา่ ยยาของโรงพยาบาลมีความล่าชา้ ใน ระดบั ปานกลาง ดงั แสดงในตารางท่ี 2 ตารางที่ 2 แสดงจานวน ความถ่ี คา่ เฉลยี่ และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของการรบั รูเ้ กย่ี วกบั อปุ สรรคการจดั การความปวด หวั ขอ้ มากท่สี ุด มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยทสี่ ุด mean SD แปลผล n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) 1. ท่านมีขอ้ จากดั เก่ียวกบั ความรูใ้ นการจดั การความปวด 3 (1.4) 48 (21.9) 67 (30.6) 48 (21.9) 52 (23.7) 2.60 1.25 ปานกลาง 2. ทา่ นมีขอ้ จากดั เกยี่ วกบั ความสามารถในการประเมินความปวด 4 (1.8) 42 (19.2) 42 (19.2) 67 (30.6) 63 (28.8) 2.35 1.14 ปานกลาง 3. ท่านกงั วลผปู้ ่ วยอาจจะด้ ือยาบรรเทาความปวด 6 (2.7) 37 (16.9) 59 (26.9) 69 (31.5) 47 (21.5) 2.49 1.08 ปานกลาง 4. ทา่ นกงั วลผปู้ ่ วยอาจจะติดยาบรรเทาความปวด 12 (5.5) 35 (16.0) 53 (24.2) 64 (29.2) 54 (24.7) 2.49 1.18 ปานกลาง 5. ทา่ นกงั วลเก่ียวกบั ผลขา้ งเคยี งของยาบรรเทาความปวด 12 (5.5) 50 (22.8) 68 (31.1) 67 (30.6) 21 (9.6) 2.85 1.05 ปานกลาง 6. ท่านตอ้ งใชเ้ วลามากในการใหก้ ารพยาบาลเพือ่ จดั การความ 10 (4.6) 38 (17.4) 93 (42.5) 55 (25.1) 22 (10.0) 2.82 .98 ปานกลาง ปวด 7. ท่านใหค้ วามสาคญั เกี่ยวกบั การจดั การความปวด 100 (45.7) 99 (45.2) 16 (7.3) 1 (.5) 2 (.9) 4.36 .68 มาก 8. ทีมพยาบาลใหค้ วามสาคญั เก่ยี วกบั การจดั การความปวด 83 (37.9) 112 (51.1) 19 (8.7) 2 (.9) 2 (.9) 4.26 .69 มาก 9. ทีมบรหิ ารพยาบาลใหค้ วามสาคญั เกยี่ วกบั การจดั การความ 79 (36.1) 110 (50.2) 23 (10.5) 5 (2.3) 1 (.5) 4.21 .72 มาก ปวด 10. หอผปู้ ่ วยขาดแนวปฏบิ ตั ิในการจดั การความปวด 7 (3.2) 26 (11.9) 42 (19.2) 72 (32.9) 71 (32.4) 2.21 1.11 น้อย 11. ไม่มีรูปแบบเอกสารและการบนั ทึกความปวด 5 (2.3) 13 (5.9) 46 (21.0) 69 (31.5) 85 (38.8) 2.02 1.02 นอ้ ย 12. ผปู้ ่ วยมคี วามลังเลในการบอกระดับความรนุ แรงของความปวด 10 (4.6) 51 (23.3) 83 (37.9) 47 (21.5) 27 (12.3) 2.86 1.06 ปานกลาง

หวั ขอ้ มากทีส่ ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย นอ้ ยที่สุด mean SD แปลผล วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ n (%) n (%) n (%) n (%) n (%) ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) 13. ผปู้ ่ วยมีความลังเลในการใชย้ าบรรเทาความปวด 4 (1.8) 19 (8.7) 87 (39.7) 44 (20.1) 2.32 .96 น้อย 14. ญาติผปู้ ่ วยมีความเชือ่ มนั่ ในการรกั ษาดว้ ยยาบรรเทาความปวด 29 (13.2) 99 (45.2) 64 (29.2) 13 (5.9) 9 (4.1) 3.58 .95 มาก 15. แพทยใ์ หค้ วามสาคญั เกยี่ วกบั การจดั การความปวด 45 (20.5) 112 (51.1) 68 (31.1) 8 (3.7) 8 (3.7) 3.82 .94 มาก 16. แพทยล์ งั เลในการใหก้ ารรกั ษาเพื่อจดั การความปวด 8 (3.7) 26 (11.9) 45 (20.5) 88 (40.2) 46 (21.0) 2.37 1.07 ปานกลาง 17. กอ่ นทาหตั ถการไม่มกี ารใหย้ าบรรเทาความปวด 50 (22.8) น้อย 18. กอ่ นทาหตั ถการไมร่ อใหย้ าบรรเทาปวดออกฤทธ์ิ 58 (26.5) 70 (32.0) 16 (7.3) 6 (2.7) 2.28 1.03 น้อย 19. แพทยใ์ หก้ ารรกั ษาดว้ ยยาบรรเทาปวดไมเ่ พยี งพอ 52 (23.7) 100 (45.7) 68 (31.1) 19 (8.7) 8 (3.7) 2.22 1.03 น้อย 20. ความล่าชา้ ของเภสชั กรในการประมวลผลใบสงั่ ยาของแพทย์ 4 (1.8) 16 (7.3) 39 (17.8) 83 (37.9) 47 (21.5) 2.30 .96 ปานกลาง 21. ความล่าชา้ ในการส่งยาจากแผนกจา่ ยยา 5 (2.3) 13 (5.9) 68 (31.1) 85 (38.8) 36 (16.4) 2.38 .93 ปานกลาง 8 (3.7) 15 (6.8) 79 (36.1) 87 (39.7) 34 (15.5) 2.43 .98 74 (33.8) 63

64 วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) อภิปรายผล โรงพยาบาลยโสธร มีความมุ่งมนั่ ในการจดั การความปวดผูป้ ่ วยใหเ้ พียงและมี ทรพั ยากรสนับสนุนความมุ่งมนั่ น้ ี เป้ าหมายของการศกึ ษาคร้งั น้ ีเพื่อระบกุ ารรบั รอู้ ุปสรรค ของพยาบาลวชิ าชีพต่อการจดั การความปวด กลุ่มตวั อย่างรอ้ ยละ 100 ตอบแบบสอบถาม และใหข้ อ้ มูลกลับ พยาบาลวิชาชีพส่วนใหญ่ใหค้ วามสาคญั กบั การจดั การความปวด อกี ท้งั ทีมพยาบาลและทีมบริหารพยาบาลของโรงพยาบาลใหค้ วามสาคญั เกี่ยวกบั การจัดการ ความปวด สอดคลอ้ งกับงานวิจัยของ Czarnecki และคณะศึกษาในอุปสรรคการจัดการ ความปวดในเด็ก21 ท้งั น้ ีเน่ืองจากการจดั การความปวดเป็ นนโยบายและเป็ นมาตรฐานของ พยาบาลในการดูแลผปู้ ่ วย ซ่ึงทมี บริหารการพยาบาลตอ้ งวางกลยุทธท์ ี่จะทาใหพ้ ยาบาลให้ ความสาคญั ของการจดั การความปวดทง้ั ระบบ ทาใหม้ ีผลต่อความสามารถในการปรบั ปรุง เก่ียวกบั แนวทางการจดั การความปวดในหอผปู้ ่ วยทง้ั โรงพยาบาล การรบั รูอ้ ุปสรรค พบว่า พยาบาลมีขอ้ จากดั เกี่ยวกบั ความรู้ การประเมิน และการ จัดการความปวดอยู่ในระดับปานกลาง สอดคล้องกับงานวิจัยของต่างประเทศ22 -23 ท่ีพบว่าอุปสรรคของการจดั การความปวดคือความรู้ การประเมิน และการจดั การความ ปวด ท้งั น้ ีเน่ืองจากนโยบายของโรงพยาบาล ในการอบรมการจดั การความปวดใหก้ ับ พยาบาลไดร้ อ้ ยละ 38.9 อาจะทาใหพ้ ยาบาลบางส่วนยงั ขาดความมนั่ ใจเก่ียวกับความรู้ การใชเ้ ครื่องมอื ในการประเมินผปู้ ่ วย รวมถงึ การจดั การความปวดใหก้ บั ผปู้ ่ วย ผลดงั กล่าว ทาใหพ้ ยาบาลรบั รู้ กงั วลผูป้ ่ วยอาจจะด้ ือยาบรรเทาความปวด และกงั วลผปู้ ่ วยอาจจะตดิ ยา บรรเทาความปวด ซึ่งเป็ นอุปสรรคในการจัดการความปวด ผลดังกล่าวสอดคลอ้ งกับ การศกึ ษาของ Czarnecki และคณะ21 เชน่ กนั แนวทางการพฒั นาคอื ใหค้ วามรู้ และพฒั นา ทกั ษะการประเมินความปวดและการจดั การความปวดใหก้ บั พยาบาลวิชาชพี อยา่ งต่อเน่ือง สนับสนุนใหม้ ีการใชแ้ นวปฏิบัติของโรงพยาบาลอย่างเขม้ แข็ง ท้งั น้ ีโรงพยาบาลมีแนว ปฏิบัติการจัดการความปวดและรูปแบบการบันทึกความปวด และพยาบาลรับรูว้ ่าเป็ น อปุ สรรคท่ีมีค่าเฉล่ียนอ้ ย การรบั รูอ้ ุปสรรคเก่ียวกบั แพทยผ์ ูใ้ หก้ ารรกั ษาผูป้ ่ วย พบว่า แพทยใ์ หค้ วามสาคญั เกี่ยวกบั การจดั การความปวดในระดบั มาก ทง้ั น้ ีเนื่องจากเป็ นนโยบายของโรงพยาบาลและ ทรัพยากรสนับสนุน เช่น ยา หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ทาใหแ้ พทยส์ ามารถรักษาและจดั การ ความปวดใหผ้ ูป้ ่ วยไดอ้ ย่างเพียงพอ สอดคลอ้ งกับการศึกษาของ Czarnecki และคณะ24 แต่ในการศึกษาคร้งั น้ ีพบว่าแพทยล์ งั เลในการใหก้ ารรกั ษาเพ่ือจดั การความปวดในระดับ

วารสารวิทยาศาสตรส์ ุขภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 65 ปที ี่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ปานกลาง ท้ังน้ ีอาจจะเนื่องจากกลุ่มผูป้ ่ วยที่มีความแตกต่างกัน ซึ่งตอ้ งการขอ้ มูลเชิง คุณภาพในการอภิปรายผลดงั กล่าว การรบั รูอ้ ปุ สรรคของความล่าชา้ ของเภสชั กรในการประมวลผลใบสงั่ ยาของแพทย์ และความล่าชา้ ในการส่งยาจากแผนกจ่ายยาพบว่าอยู่ในระดบั ปานกลาง สอดคลอ้ งกบั การศึกษาของ Czarnecki และคณะ24 เน่ืองจากระบบยาท่ีเป็ นกลุ่มอนุพนั ธฝ์ ิ่นซึ่งมีระบบ เก็บในหอ้ งยา และเม่ือแพทยใ์ หก้ ารรกั ษาระบบของโรงพยาบาลจะตอ้ งใหเ้ ภสชั กรในการ ประมวลผลใบสงั่ ยาของแพทยแ์ ละสง่ ยามายงั หอผปู้ ่ วย ทาใหพ้ ยาบาลใหย้ ากบั ผปู้ ่ วยอาจจะ ล่าชา้ ได้ ปัญหาดงั กล่าวโรงพยาบาลจะตอ้ งมาทาแนวปฏิบตั เิ พ่อื ใหค้ วามล่าชา้ ลดลง ขอ้ จากดั ของการศกึ ษา การศึกษาคร้งั น้ ีมีขอ้ จากดั การนาผลการวิจยั ไปใชจ้ งึ ควรพิจารณาดงั ต่อไปน้ ี เป็ น การศึกษาภาคตัดขวาง กลุ่มตวั อย่างเฉพาะในโรงพยาบาลยโสธร ซ่ึงมีระบบและแนว ปฏบิ ตั ทิ ่ีแตกต่างจากโรงพยาบาลอนื่ อาจจะไมส่ ามารถอา้ งอิงกบั โรงพยาบาลอน่ื ๆ ได้ ขอ้ เสนอแนะในการนาผลกการศกึ ษาไปใช้ การจดั การความปวดเป็ นบทบาทท่ีสาคญั ของพยาบาล ทีมบริหารพยาบาลของ โรงพยาบาลจาเป็ นตอ้ งทบทวนแนวปฏิบัติในการจดั การความปวด และการใหค้ วามรู้ เก่ยี วกบั การประเมินและการจดั การความปวดใหก้ บั บคุ คลากรทางการพยาบาลอยา่ งทวั่ ถึง อา้ งอิง 1. Hoy D, March L, Brooks P, Blyth F, Woolf A, Bain C, et al. The global burden of low back pain: estimates from the Global Burden of Disease 2010 study. Annals of the rheumatic diseases. 2014:annrheumdis-2013-204428. 2. Wynne-Jones G, Main CJ. Overcoming pain as a barrier to work. Current opinion in supportive and palliative care. 2011Jun;5(2):131-6. 3. Potter VT, Wiseman CE, Dunn SM, Boyle FM. Patient barriers to optimal cancer pain control. Psycho‐Oncology. 2003;12(2):153-60. 4. MacLean S, Obispo J, Young KD. The gap between pediatric emergency department procedural pain management treatments available and actual practice. Pediatric emergency care. 2007;23(2):87-93.

66 วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) 5. Bair MJ, Matthias MS, Nyland KA, Huffman MA, Stubbs DL, Kroenke K, et al. Barriers and facilitators to chronic pain self‐management: A qualitative study of primary care patients with comorbid musculoskeletal pain and depression. Pain Medicine. 2009;10(7):1280-90. 6. Chou R, Fanciullo GJ, Fine PG, Adler JA, Ballantyne JC, Davies P, et al. Clinical guidelines for the use of chronic opioid therapy in chronic noncancer pain. The Journal of Pain. 2009;10(2):113-30. e22. 7. Dulko D, Hertz E, Julien J, Beck S, Mooney K. Implementation of cancer pain guidelines by acute care nurse practitioners using an audit and feedback strategy. Journal of the American Association of Nurse Practitioners. 2010;22(1):45-55. 8. Deshpande MA, Holden RR, Gilron I. The impact of therapy on quality of life and mood in neuropathic pain: what is the effect of pain reduction? Anesthesia & Analgesia. 2006;102(5):1473-9. 9. Parker SJ, Jessel S, Richardson JE, Reid MC. Older adults are mobile too! Identifying the barriers and facilitators to older adults’ use of mHealth for pain management. BMC geriatrics. 2013;13(1):43. 10. Henry M. Knowledge and attitudes of nurses about pain management in patients with cancer. 2010. 11. Vincent CVH. Nurses’ knowledge, attitudes, and practices: Regarding children’s pain. MCN: The American Journal of Maternal/Child Nursing. 2005;30(3):177-83. 12. Bernardi M, Catania G, Lambert A, Tridello G, Luzzani M. Knowledge and attitudes about cancer pain management: a national survey of Italian oncology nurses. European Journal of Oncology Nursing. 2007;11(3):272-9. 13. Twycross A. Nurses' views about the barriers and facilitators to effective management of pediatric pain. Pain Management Nursing. 2013;14(4):e164- e72.

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 67 ปที ี่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) 14. Oldenmenger WH, Smitt PAS, van Dooren S, Stoter G, van der Rijt CC. A systematic review on barriers hindering adequate cancer pain management and interventions to reduce them: a critical appraisal. European Journal of Cancer. 2009;45(8):1370-80. 15. Samuels JG, Fetzer S. Pain management documentation quality as a reflection of nurses' clinical judgment. Journal of nursing care quality. 2009;24(3):223- 31. 16. Bennett DS, Carr DB. Opiophobia as a barrier to the treatment of pain. Journal of pain & palliative care pharmacotherapy. 2002;16(1):105-9. 17. Jacobsen R, Møldrup C, Christrup L, Sjøgren P. Patient‐related barriers to cancer pain management: a systematic exploratory review. Scandinavian journal of caring sciences. 2009;23(1):190-208. 18. Luckett T, Davidson PM, Green A, Boyle F, Stubbs J, Lovell M. Assessment and management of adult cancer pain: a systematic review and synthesis of recent qualitative studies aimed at developing insights for managing barriers and optimizing facilitators within a comprehensive framework of patient care. Journal of pain and symptom management. 2013;46(2):229-53. 19. Chen CH, Tang ST, Chen CH. Meta-analysis of cultural differences in Western and Asian patient-perceived barriers to managing cancer pain. Palliative medicine. 2012;26(3):206-21. 20. Lauzon Clabo LM. An ethnography of pain assessment and the role of social context on two postoperative units. Journal of advanced nursing. 2008;61(5):531-9. 21. Czarnecki ML, Salamon KS, Thompson JJ, Hainsworth KR. Do barriers to pediatric pain management as perceived by nurses change over time? Pain Management Nursing. 2014;15(1):292-305. 22. Wang HL, Tsai YF. Nurses’ knowledge and barriers regarding pain management in intensive care units. Journal of Clinical Nursing. 2010;19(21‐22): 3188-96.

68 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ปที ่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) 23. Ameringer S. Barriers to pain management among adolescents with cancer. Pain Management Nursing. 2010;11(4):224-33. 24. Czarnecki ML, Simon K, Thompson JJ, Armus CL, Hanson TC, Berg KA, et al. Barriers to pediatric pain management: A nursing perspective. Pain Management Nursing. 2011;12(3):154-62.

ความรูข้ องพยาบาลวิชาชีพงานหอ้ งผปู้ ่ วยหนกั เกีย่ วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั การเฝ้ าระวงั และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั ในผูป้ ่ วยผใู้ หญ่วิกฤต โรงพยาบาลสรรพสทิ ธิประสงค์ : การศกึ ษานารอ่ ง ปรยี าวดี เทพมุสิก1, ศศธิ ร ชานาญผล1 นิตยา กรายทอง1, สุกญั ญา ผลวิสุทธ์ิ1 จนั ทนา นิลาศน1์ , จรูญศรี มีหนองหวา้ 2* บทคดั ยอ่ ภาวะสบั สนเฉียบพลนั ของผูป้ ่ วยวกิ ฤต พบมากในหอ้ งผปู้ ่ วยหนัก ความรขู้ องพยาบาล ที่อยู่ในหอ้ งผปู้ ่ วยหนักเกีย่ วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลันจงึ เป็ นเรื่องสาคญั แต่มพี ยาบาลใหค้ วาม สนใจน้อย การศึกษานาร่องคร้งั น้ ีมีวตั ถุประสงคเ์ พอื่ ศึกษาความรขู้ องพยาบาลวิชาชพี ในงาน หอ้ งผูป้ ่ วยหนักเก่ียวกับภาวะสับสนเฉียบพลัน การเฝ้ าระวัง และการจัดการภาวะสบั สน เฉียบพลันของผูป้ ่ วยผูใ้ หญ่วิกฤต กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพในงานหอ้ งผูป้ ่ วยหนัก ผใู้ หญ่ เลือกแบบเจาะจง จานวน 42 คน เคร่ืองมือวิจยั ประกอบดว้ ย ขอ้ มลู ส่วนบุคคล และ แบบวดั ความรูเ้ กี่ยวกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลันในผูป้ ่ วยวิกฤต ผลการศึกษาพบว่ากลุ่มตวั อย่าง มผี ลคะแนนความรู้ ดงั น้ ี 1) คะแนนความรูเ้ กี่ยวกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลัน มีคะแนนระหว่าง 14-23 คะแนน โดยมีค่าเฉลี่ย 19.19 (SD = 2.53) 2) คะแนนความรูเ้ กี่ยวกับการเฝ้ า ระวงั มีคะแนนระหว่าง 8-14 คะแนน โดยมีค่าเฉล่ีย 12.83 (SD=1.27) และ 3) คะแนน ความรูเ้ กี่ยวกบั การจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั มีคะแนนระหว่าง 5-13 คะแนน ค่าเฉลี่ย 10.86 (SD=1.75) นอกจากน้ ียังพบว่า พยาบาลท่ีมีประสบการณ์การทางานใน ICU มากกว่า 10 ปี มีความรู้อยู่ในระดับมาก มากท่ีสุด รอ้ ยละ 73.50 การเฝ้ าระวงั รอ้ ยละ 70.73 และการจัดการ ร้อยละ 66.67 ผลการศึกษานาร่องคร้ังน้ ีสะทอ้ นว่าควรเพิ่มพูน ความรูเ้ กย่ี วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั การเฝ้ าระวงั และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั ใหก้ บั พยาบาลที่มีประสบการณน์ ้อยในงานหอ้ งผูป้ ่ วยผปู้ ่ วยหนักเพือ่ ใหเ้ กิดผลลพั ธท์ ่ีผปู้ ่ วยไดร้ บั การ ดูแลทีม่ ีมาตรฐาน คาสาคญั : ความรู,้ พยาบาลวชิ าชพี , ภาวะสบั สนเฉียบพลนั , ผปู้ ่ วยผใู้ หญว่ ิกฤต 1 โรงพยาบาลสรรพสทิ ธิประสงค์ 2 ภาควชิ าการพยาบาลผใู้ หญ่และผสู้ งู อายุ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ * Correspondence e-mail: [email protected]

70 วารสารวิทยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) Knowledge Regarding to Delirium, Monitoring and Management in Critical Ill Patients among Nurses at Sunpasitthiprasong Hospital: A Pilot Study Preyawadee Thepmusik1, Sasithon chamnanphol1 Nittaya Kraythong1, Sukanya Phonwisut1 Jantana Nilas1, Jaroonsree Meenongwah2* Abstract Delirium in critically ill patients is common in the intensive care unit. The knowledge of nurses in the intensive care unit (ICU) regarding delirium is important but less to interest from nurse. This pilot study aimed to study the knowledge of nurses in adult ICU on delirium, monitoring and management. The samples were 42 nurses in ICU. The research tool consists of personal information and knowledge about delirium, monitoring and management in critical Ill patients. The results showed that: 1) Knowledge scores = 14-23, mean = 19.19, (SD = 2.53), 2) Monitoring scores = 8 - 14, mean = 12.83 (SD = 1.27), and 3) Management scores 5-13, mean = 10.86, (SD = 1.75). Nurses who experience more than 10 years in the ICU had a high level of knowledge (73.50%), monitoring (70.73%) and management (66.67%). The study was recommended that it should train nurses who less experienced critical care about early recognition of delirium, monitoring and management in ICU for standardized care outcomes. Keywords: knowledge, nurse, delirium, adult critical ill patient 1 Sunpasitthiprasong Hospital 2 Department of Adult and Elderly Nursing, Boromarajonani College of Nursing, Sanpasitthiprasong * Correspondence e-mail: [email protected]

วารสารวิทยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 71 ปที ่ี 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา ภาวะสับสนเฉียบพลันของผู้ป่ วยวิกฤต (ICU delirium, ICU psychosis หรือ ICU syndrome) เป็ นภาวะท่ีสมองทางานบกพร่องกะทันหัน ทาให้เกิดการสับสน (acute confusion) กระวนกระวาย (agitation) และระดับความรูส้ ึกตัวเปล่ียนแปลง (Alteration of conscious) ความคิด สติปัญญา ความจา และสมาธิเสยี ไป กอ่ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมต่างๆ ตามมา เช่น วุ่นวาย นอนไมห่ ลบั ไม่มสี มาธิ ซึมเศรา้ วติ กกงั วล1 ภาวะสบั สนเฉียบพลนั พบไดม้ ากถึง รอ้ ยละ 80 ของผูป้ ่ วยหนักท่ีอยู่ใน ICU โดยเฉพาะอย่างยิ่งผูป้ ่ วยท่ีตอ้ งใชเ้ คร่ืองช่วยหายใจ2 ในประเทศไทย การศึกษาในหอผูป้ ่ วยวิกฤตอายุรกรรมโรงพยาบาลอุดรธานี พบอุบตั ิการณ์ การเกิดภาวะสบั สนเฉียบพลนั รอ้ ยละ 31.83 ซ่ึงการเกดิ ภาวะสบั สนเฉียบพลันจะเกิดประมาณ 2 วนั หลงั เขา้ รบั การรกั ษาใน ICU และมีระยะเวลาการเกดิ ตอ่ เน่ืองโดยเฉลี่ย 3.4 วนั 4 สาเหตุของภาวะสับสนเฉียบพลันเกิดจากปั จจัยร่วมหลายอย่าง (Multifactorial) มีสมมุติฐานท่เี ป็ นไปไดเ้ ก่ียวกบั ความไมส่ มดุลของระบบสารสอ่ื ประสาท (Neurotransmitters) ซึ่งควบคุมเกี่ยวกับการรู้คิด (Cognitive function) พฤติกรรม (Behavior) และอารมณ์ (Mood) ขอ้ เท็จจริงคือ มีความสัมพันธ์ร่วมที่ซับซ้อนระหว่างปั จจัยชักนา (Predisposing Factors) และปัจจยั เร่งใหเ้ กิด (Precipitation Factors) ดงั น้ันผูป้ ่ วยที่มีความเปราะบางมากต่อ การเกิดภาวะสบั สนเฉียบพลัน เช่น ผูส้ ูงอายุกลุ่มท่ีอายุสูงมาก ผูท้ ี่มีภาวะสมองเสื่อม และ มีภาวะร่วมหลายอย่าง เมื่อมีปัจจยั เร่งใหเ้ กิดเพียงอย่างเดียว เช่น ไดย้ านอนหลับเพียงคร้ัง เดียวมีโอกาสเกิดภาวะสบั สนเฉียบพลันได้ แมว้ ่าผูป้ ่ วยท่ีไม่เปราะบางเม่ือมีปัจจยั เร่งใหเ้ กิด หลายอยา่ ง เชน่ ไดร้ บั ยาระงบั ความรูส้ ึก ผ่าตดั ใหญ่ ไดร้ บั ยากลุ่ม Psychoactive มีโอกาสเกิด ภาวะสบั สนเฉียบพลนั ไดเ้ ช่นเดียวกนั 5 ภาวะสบั สนเฉียบพลันเกิดจากหลายสาเหตุ ไดแ้ ก่ ดา้ นร่างกาย จิตใจและการรกั ษา เช่น 1) ไดร้ ับการจดั การความปวดไม่เพียงพอ 2) ฤทธ์ิจากยาที่ออกฤทธ์ิต่อจิตประสาท 3) พยาธิสรีรภาพของภาวะวิกฤต 4) มไี ข้ 5) การเผาผลาญผิดปกติ เป็ นตน้ ดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม เช่น 1) ภาวะพรากความรูส้ กึ 2) การนอนถูกรบกวน 3) แสงสว่างมากตลอดเวลา6 4) การ ไม่รูว้ นั เวลา สถานท่ี 5) เครื่องมืออุปกรณ์การแพทย์มีเสียงดัง เป็ นตน้ 2 พยาบาลใน ICU มบี ทบาทสาคญั ในการดแู ลผูป้ ่ วยเพ่ือป้ องกนั การเกดิ ภาวะสบั สนเฉียบพลนั เน่ืองจากพยาบาล เป็ นผูท้ ่ีอยู่ใกลช้ ิดกบั ผูป้ ่ วยตลอดเวลา ไดแ้ ก่ บทบาทในการคดั กรอง เพ่ือระบุปัจจยั เส่ียงของ ภาวะสับสนเฉียบพลันท้ังในระยะเริ่มตน้ ของปัญหาและระยะท่ีกาลังเกิดข้ ึนอย่างต่อเนื่อง บทบาทในการป้ องกนั โดยการจดั การปัจจยั เสย่ี ง ซ่ึงการใชว้ ิธกี ารจดั การหลายวธิ ีร่วมกนั จะทา ใหก้ ารจดั การกบั ปัจจยั เส่ียงไดผ้ ลดมี ากยิ่งข้ ึน และบทบาทในการประสานงานกบั ทีมสหสาขา

72 วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ ปีที่ 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) วชิ าชพี เพื่อร่วมกนั แกไ้ ขปัญหาภาวะสบั สนเฉียบพลนั มวี ิธีการบนั ทกึ ขอ้ มลู อยา่ งเป็ นระบบและ มกี ารสื่อสารกบั แพทยอ์ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ7 จากการศึกษาวิจยั เกีย่ วกบั ปัจจยั ทมี่ ีความสมั พนั ธก์ บั ความรขู้ องพยาบาลเกย่ี วกบั การ ป้ องกันและจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลันในผูป้ ่ วยวิกฤต โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โดย สุพตั รา อุปนิสากรและคณะ8 ในปี 2552 พบว่า พยาบาลหออภิบาลผูป้ ่ วยมีความรูเ้ ก่ียวกับ ภาวะสบั สนเฉียบพลนั การเฝ้ าระวงั การเกดิ ภาวะสบั สนเฉียบพลนั และการจดั การภาวะสบั สน เฉียบพลนั ในผูป้ ่ วยวกิ ฤต อยูใ่ นระดบั ปานกลาง สาเหตุอาจเกิดจากการขาดความรู้ และความ สนใจเกี่ยวกบั ภาวะสับสนเฉียบพลัน พยาบาลขาดความมนั่ ใจในการใชแ้ บบประเมินภาวะ สบั สนเฉียบพลนั ในงานหอผูป้ ่ วยวิกฤต และอาจเน่ืองมาจากไม่มีนโยบายหรือแนวทางปฏิบตั ิ รวมถงึ ยงั ไม่มีแนวทางการใชเ้ ครื่องมือในการประเมินภาวะสบั สนเฉียบพลนั อย่างชดั เจน เจา้ พยาบาลมีความรูไ้ ม่เพียงพอในการประเมินภาวะสบั สนเฉียบพลัน ไม่มีระบบการบนั ทึกผล การประเมินทดี่ ี และแพทยย์ งั ไม่ไดน้ าผลการประเมนิ ไปเป็ นสว่ นหนึ่งของการตัดสินใจในการ วางแผนการรกั ษา นอกจากน้ ีอายุและระยะเวลาการทางานในหออภิบาลผปู้ ่ วยมีความสมั พนั ธ์ กบั ความรเู้ กี่ยวกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั โดยเฉพาะพยาบาลทีม่ ีอายุการทางานประมาณ 3 – 5 ปี ซึ่งโดยส่วนใหญ่เป็ นพยาบาลกลุ่มท่ีตอ้ งใหก้ ารพยาบาลผูป้ ่ วยโดยตรง การศึกษาของ Christensen7 พบว่า พยาบาลรับรูเ้ กี่ยวกับนโยบายของโรงพยาบาลเกี่ยวกับภาวะสับสน เฉียบพลนั เพยี งรอ้ ยละ 38.5 และมพี ยาบาลที่ผ่านการฝึกอบรมเกยี่ วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั เพียงรอ้ ยละ 32.7 สาเหตุท่ีพ ยาบาลไม่ประเมินภาวะสับสนเฉียบพ ลัน ส่วนหนึ่ งอาจเกิดจาก ความสามารถในการใชเ้ คร่ืองมือประเมินภาวะสบั สนเฉียบพลันซ่ึงการสมั ภาษณพ์ ยาบาลท่ีใช้ แบบประเมินเห็นวา่ เคร่ืองมือมีความซบั ซอ้ น คลุมเครือ และมีความยุ่งยากในการนามาใช้ อีก ท้ังในผู้ป่ วยที่ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือได้รับยาระงับประสาทน้ัน การประเมินภาวะสับสน เฉียบพลันทาไดย้ าก หากพยาบาลมีความรูไ้ ม่เพียงพอน้ันอาจมีผลทาใหก้ ารประเมินภาวะ สบั สนเฉียบพลนั ในผปู้ ่ วยท่มี อี าการตา่ กว่าความเป็ นจริง8 จากการใหร้ หัสโรคในระบบ ICD 10 ผูป้ ่ วยท่ีมีภาวะสบั สนเฉียบพลันจดั อยู่ในรหัส F104 และ F050-059 ขอ้ มูลของโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ในปี 2556, 2557 และ 2558 มีผูป้ ่ วยในท้งั IPD และ ICU ท่ีจดั อยู่ในกลุ่มรหสั โรค F104 มีจานวน 73, 91 และ 96 รายตามลาดบั และกลุ่มรหสั โรค F050-059 มีจานวน 69, 69 และ 70 รายตามลาดบั เห็น ได้ว่ามีแนวโน้มสูงข้ ึน ข้อมูลจากสัมภาษณ์เบ้ ืองตน้ กับพยาบาลในห้องผู้ป่ วยหนักท่ีมี ประสบการณ์การทางานระหว่าง 2-5 ปี พบว่าพยาบาลขาดความมัน่ ใจในการประเมิน การเฝ้ าระวงั และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลัน และพยาบาลเพียงรอ้ ยละ 3 เท่าน้ันทีเ่ ห็น

วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 73 ปีท่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ความสาคญั ของการประเมินภาวะสบั สนเฉียบพลนั 10 นอกจากน้ ีพยาบาลท่ีปฏิบตั ิงานในหอ ผปู้ ่ วยวิกฤตรอ้ ยละ 54.2 ไม่เคยประเมินภาวะสบั สนเฉียบพลนั และรอ้ ยละ 100 ไม่เคยไดร้ บั การฝึกอบรมเกีย่ วกบั การประเมนิ และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั 7 ทาใหผ้ ูป้ ่ วยไม่ไดร้ ับ การป้ องกนั โดยส่วนใหญ่แล้วพยาบาลประเมินภาวะสับสนเฉียบพลันจากอาการกระวน กระวาย10 หากผปู้ ่ วยเกิดอาการแลว้ ไมไ่ ดร้ บั การแกไ้ ขจะเกิดผลกระทบที่รุนแรง ทาใหผ้ ปู้ ่ วยดึง ท่อช่วยหายใจออกมากข้ ึน ส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิตที่สูงข้ ึน หรือมีระยะเวลาการใช้ เครื่องช่วยหายใจนานข้ ึน ก่อให้เกิดปั ญหาติดเช้ ือในระบบทางเดินหายใจตามมา ทาให้ ระยะเวลานอนโรงพยาบาลนานข้ ึน2 นอกจากน้ ียงั ทาใหพ้ ยาบาลเกิดความเครียดในการดูแล ผปู้ ่ วย หรืออาจไดร้ บั บาดเจบ็ จากผปู้ ่ วยทว่ี นุ่ วายได้ การเฝ้ าระวงั การป้ องกนั และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั ในผูป้ ่ วยวกิ ฤตจงึ ตอ้ งมี การใหค้ วามรู้ และพัฒนาทกั ษะแก่พยาบาลและทีมสหสาขาวิชาชีพ ซึ่งปั จจุบนั มีเครื่องมือ เฉพาะที่มีมาตรฐานในการวินิจฉัยภาวะสบั สนเฉียบพลันในผูป้ ่ วยวิกฤต คือ The Confusion Assessment Method for the Intensive Care Unit (CAM-ICU) และ Intensive Care Delirium Screening Checklist (ICDSE) แต่ยังไม่มีการนาเครื่องมือน้ ีมาใชอ้ ย่างจริงจงั และเป็ นระบบ เพื่อป้ องกนั การเกิดภาวะสบั สนเฉียบพลนั หรือช่วยใหผ้ ปู้ ่ วยไดร้ บั การดแู ลรกั ษาท่ีถูกตอ้ งและ รวดเร็ว11 ความรูแ้ ละความสามารถของพยาบาลในงานหอผูป้ ่ วยจึงเป็ นเรื่องท่ีสาคัญในการ ประเมิน การป้ องกัน และการจัดการภาวะสับสนเฉียบพลัน เพื่อใหก้ ารพยาบาลผูป้ ่ วยมี คุณภาพและมีมาตรฐานของการดูแลทีค่ รบแบบองคร์ วม การศกึ ษาความรขู้ องพยาบาลวิชาชพี ในงานหอ้ งผูป้ ่ วยหนักเกี่ยวกบั การประเมินการป้ องกนั และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั ของผูป้ ่ วยวิกฤต จะช่วยใหผ้ ูบ้ ริหารงานหอผูป้ ่ วยหนักนามาวางแผนในการพฒั นาความรูข้ อง พยาบาล และเป็ นขอ้ มูลในการพฒั นาแนวทางการดูแลผปู้ ่ วยซึ่งมีความสาคญั ต่อการคงไวซ้ ึ่ง คุณภาพบริการพยาบาล คาถามงานวจิ ยั พยาบาลวิชาชีพในงานหอ้ งผูป้ ่ วยหนักมีความรเู้ กยี่ วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั การเฝ้ า ระวงั และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั ของผปู้ ่ วยผใู้ หญ่วิกฤตเป็ นอยา่ งไร วตั ถุประสงคง์ านวจิ ยั เพื่อศึกษาความรูข้ องพยาบาลวิชาชีพในงานหอ้ งผูป้ ่ วยหนัก เกี่ยวกับภาวะสับสน เฉียบพลนั การเฝ้ าระวงั และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั ของผปู้ ่ วยผใู้ หญ่วกิ ฤต

74 วารสารวิทยาศาสตรส์ ุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ขอบเขตการวจิ ยั การศึกษานาร่องคร้งั น้ ี ศึกษาระดบั ความรูข้ องพยาบาลวิชาชีพในงานหอ้ งผปู้ ่ วยหนัก โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี เก่ียวกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลัน การประเมิน การเฝ้ าระวัง และการจัดการภาวะสับสนเฉียบพลัน จานวน 19 หน่วยงาน โดยแบ่งระดับ ประสบการณใ์ นหอ้ งผปู้ ่ วยหนักของพยาบาลตาม Benner12 ไดแ้ ก่ - พยาบาลวชิ าชีพประสบการณก์ ารทางาน 0 - 1 ปี (Novice) - พยาบาลวิชาชีพประสบการณก์ ารทางาน >1 – 3 ปี (Advanced beginner) - พยาบาลวชิ าชพี ประสบการณก์ ารทางาน >3 – 5 ปี (Competent) - พยาบาลวิชาชีพประสบการณก์ ารทางาน >5 – 10 ปี (Proficient) - พยาบาลวิชาชพี ประสบการณก์ ารทางาน > 10 ปี (Expert) ระยะเวลาการดาเนินงาน เดือนตุลาคม 2558 – กนั ยายน 2559 ตวั แปรทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ความรูข้ องพยาบาลวิชาชีพในงานหอ้ งผปู้ ่ วยหนักเก่ียวกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลัน การ ประเมิน การเฝ้ าระวงั และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั ในผปู้ ่ วยผใู้ หญ่วิกฤต นิยามศพั ท์ ความรู้ หมายถึง การรับรู้ ความจา และความเขา้ ใจ ในขอ้ เท็จจริงเก่ียวกับภาวะ สบั สนเฉียบพลัน การประเมิน การเฝ้ าระวงั และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั ในผูป้ ่ วย ผใู้ หญ่ พยาบาลวิชาชีพ หมายถึง บุคลากรที่สาเร็จการศึกษาวุฒิปริญญาพยาบาลศาสตร บัณฑิต ประกาศนียบตั รพยาบาลศาสตร์และผดุงครรภ์ช้นั สูง (เทียบเท่าปริญญาตรี) หรือ ประกาศนียบัตรพยาบาลศาสตร์และผดุงครรภ์ช้ันสูง (ต่อเนื่อง) ซึ่งไดข้ ้ ึนทะเบียนเป็ นผู้ ประกอบวิชาชีพสาขาการพยาบาลและผดุงครรภช์ ้นั หน่ึงจากสภาการพยาบาล ปฏิบตั ิงานใน ตาแหน่งพยาบาลวชิ าชีพในงานหอ้ งผปู้ ่ วยหนักผใู้ หญ่ ระเบียบวธิ ีวจิ ยั การศกึ ษาน้ ีเป็ นการวจิ ยั เชงิ พรรณนา ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง พยาบาลวิชาชีพในงานห้องผู้ป่ วยหนักผู้ใหญ่ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างในการศึกษานาร่องคร้ังน้ ีเลือกแบบเจาะจงมาจากงานห้อง

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 75 ปีที่ 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ผูป้ ่ วยหนัก 19 หอ หอผูป้ ่ วยละ 2-3 คน ที่มีประสบการณ์การทางานแตกต่างกนั จานวน 42 คน เครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 1.แบบวัดความรู้เก่ียวกับภาวะสับสนเฉียบพลันในผู้ป่ วยวิกฤต ยืมจาก สุพัตรา อปุ นิสากร อุรา แสงเงิน ประสบสุข อินทรกั ษา และทพิ มาส ชิณวงศ์8 ประกอบไปดว้ ย 2 ส่วน คือ ส่วนท่ี 1 แบบบนั ทึกขอ้ มูลส่วนบุคคล มีจานวน 4 ขอ้ ประกอบดว้ ยอายุ ระยะเวลา การทางานในหออภิบาลผูป้ ่ วย ระดับการศึกษาสูงสุด และการประเมินความรูข้ องตนเอง เกย่ี วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั ในผปู้ ่ วยวิกฤต ส่วนท่ี 2 แบบวดั ความรูเ้ ก่ียวกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลันในผูป้ ่ วยวิกฤต มีจานวน 52 ขอ้ ขอ้ คาตอบเป็ นแบบเลือกตอบถูก-ผิด ขอ้ ละ 1 คะแนน แบ่งเป็ น 3 ดา้ น ดงั น้ ี ดา้ นท่ี 1 ความรูเ้ กีย่ วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั จานวน 23 ขอ้ มคี ่าความเท่ียง KR – 20 เทา่ กบั 0.85 ดา้ นท่ี 2 ความรูใ้ นการเฝ้ าระวงั การเกิดภาวะสบั สนเฉียบพลนั จานวน 14 ขอ้ มีค่า ความเท่ียง KR – 20 เท่ากบั 0.89 ดา้ นที่ 3 ความรใู้ นการจดั การกบั ผปู้ ่ วยท่ีอยู่ในภาวะสบั สนเฉียบพลัน จานวน 15 ขอ้ มคี ่าความเที่ยง KR – 20 เท่ากบั 0.83 แปลผลระดบั ความรู้ โดย 1. ความรเู้ กยี่ วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั จานวน 23 ขอ้ คิดเป็ น 23 คะแนน - ตอบถูกระหว่าง 0 – 8 คะแนน หมายถงึ มคี วามรใู้ นระดบั น้อย - ตอบถูกระหว่าง 9 – 16 คะแนน หมายถึง มีความรูใ้ นระดับปาน กลาง - ตอบถกู ระหวา่ ง 17 – 23 คะแนน หมายถึง มคี วามรใู้ นระดบั มาก 2. ความรใู้ นการเฝ้ าระวงั การเกดิ ภาวะสบั สนเฉียบพลนั จานวน 14 ขอ้ คิดเป็ น 14 คะแนน - ตอบถกู ระหวา่ ง 0 – 5 คะแนน หมายถึง มคี วามรใู้ นระดบั นอ้ ย - ตอบถูกระหว่าง 6 – 10 คะแนน หมายถึง มีความรูใ้ นระดับปาน กลาง - ตอบถูกระหวา่ ง 11 – 14 คะแนน หมายถึง มีความรใู้ นระดบั มาก

76 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ปีท่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) 3. ความรูใ้ นการจดั การกบั ผูป้ ่ วยท่ีอยู่ในภาวะสบั สนเฉียบพลัน จานวน 15 ขอ้ คดิ เป็ น 15 คะแนน - ตอบถกู ระหวา่ ง 0 – 5 คะแนน หมายถงึ มีความรใู้ นระดบั น้อย - ตอบถกู ระหว่าง 6 – 10 คะแนน หมายถึง มีความรูใ้ นระดับปาน กลาง - ตอบถกู ระหวา่ ง 11 – 15 คะแนน หมายถึง มีความรใู้ นระดบั มาก ขน้ั ตอนดาเนินการวิจยั ผูว้ ิจยั ช้ ีแจงวตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั ข้นั ตอนการวิจยั การพิทกั ษ์ สิทธ์ิกลุ่มตวั อย่าง และขอความร่วมมือในการวิจัย เมื่อกลุ่มตวั อย่างยินยอม / อนุญาตโดย วาจา จึงเร่ิมทาการศึกษาโดยผูว้ ิจยั ทาการเก็บขอ้ มูลดว้ ยตนเอง ตรวจสอบความสมบูรณ์ของ ขอ้ มูลแลว้ นาขอ้ มูลมาวเิ คราะห์ สถติ แิ ละการวเิ คราะห์ วิเคราะหข์ อ้ มูลโดยใชโ้ ปรแกรมสาเร็จรูป มีขน้ั ตอนการวเิ คราะหต์ ามลาดบั ดงั ตอ่ ไปน้ ี 1. ขอ้ มลู ส่วนบุคคล วิเคราะหโ์ ดยแจกแจงความถ่ี และค่ารอ้ ยละ 2. ขอ้ มูลความรูเ้ ก่ยี วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั การเฝ้ าระวงั การเกิดภาวะสบั สน เฉียบพลัน และการจัดการภาวะสับสนเฉียบพลัน วิเคราะห์โดยแจกแจง ความถแ่ี ละค่ารอ้ ยละ ผลการศกึ ษา การศึกษานาร่องคร้ังน้ ี กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็ นผูห้ ญิง ร้อยละ 97.62 มีอายุ มากกว่า 50 ปี มากที่สุดรอ้ ยละ 40.48 เป็ นพยาบาลประจาการรอ้ ยละ 50 มีประสบการณ์ การทางาน มากกว่า 10 ปี รอ้ ยละ 69.05 มีประสบการณก์ ารทางานใน ICU มากกวา่ 10 ปี รอ้ ยละ 47.62 เคยมีความรู้เกี่ยวกับภาวะสับสนเฉียบพลัน รอ้ ยละ 59.52 เม่ือแยกเป็ น ประเด็นย่อย พบว่ามีความรูเ้ ร่ืองภาวะสบั สนเฉียบพลนั มากที่สุด รอ้ ยละ 51.28 ความรูน้ ้อย ทสี่ ุดคือเร่ืองการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั รอ้ ยละ 12.82 (ตารางท่ี 1)

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ 77 ปที ี่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ตารางที่ 1 จานวนและรอ้ ยละขอ้ มูลทวั่ ไปของกลุ่มตวั อยา่ ง ขอ้ มลู ทวั่ ไป จานวน (n=42) รอ้ ยละ เพศ 97.62 - หญิง 41 2.38 - ชาย 1 23.81 อายุ (ปี ) 21.43 - 20-30 10 14.28 - 31-40 9 40.48 - 41-50 6 38.10 - > 50 17 11.90 ตาแหน่ง 50.00 - หวั หนา้ พยาบาล 16 2.38 - พยาบาลอาวโุ ส 5 7.14 - พยาบาลประจาการ 21 2.38 ประสบการณก์ ารทางาน (ปี ) 19.05 -0-1 1 69.05 - >1 – 3 3 2.38 - >3 – 5 1 4.76 - > 5 – 10 8 11.91 - > 10 29 33.33 ประสบการณก์ ารทางานใน ICU (ปี ) 47.62 -0-1 1 - >1 – 3 2 40.48 - >3 – 5 5 59.52 - > 5 – 10 14 51.28 - > 10 20 เค ย มี ค ว า ม รู ้เกี่ ย ว กั บ ภ า ว ะ สั บ ส น เฉียบพลนั - ไม่มี 17 - เคย 25 - ภาวะสบั สนเฉียบพลนั 20

78 วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ี่ 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ขอ้ มูลทวั่ ไป จานวน (n=42) รอ้ ยละ - การเฝ้ าระวงั 7 17.95 - การจดั การ 5 12.82 ความรเู้ กย่ี วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั ของพยาบาล พบว่า 1) คะแนนความรูเ้ ก่ียวกบั ภาวะสับสนเฉียบพลัน มีคะแนนระหว่าง 14-23 คะแนน โดยมีค่าเฉลี่ย 19.19 (SD = 2.53) 2) คะแนนความรูเ้ กี่ยวกับการเฝ้ าระวงั มีคะแนนระหว่าง 8-14 คะแนน ค่าเฉล่ีย 12.83 (SD=1.27) และ 3) คะแนนความรูเ้ กี่ยวกับการจดั การ มีคะแนนระหว่าง 5-13 คะแนน ค่าเฉลี่ย 10.86 (SD=1.75) (ตารางท่ี 2) ตารางที่ 2 คะแนนความรเู้ กีย่ วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั ของพยาบาล ค่าพสิ ยั ค่าเฉล่ีย และ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ความรเู้ ก่ียวกบั ภาวะสบั สน คะแนน คะแนน เฉียบพลนั ตา่ สุด สงู สดุ ค่าพสิ ยั mean SD ภาวะสบั สนเฉียบพลนั 14 23 9 19.19 2.53 (คะแนนเตม็ 23) การเฝ้ าระวงั (คะแนนเตม็ 14) 8 14 6 12.83 1.27 การจดั การ (คะแนนเตม็ 15) 5 13 8 10.86 1.75 ความรเู้ กย่ี วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลันของพยาบาลที่มปี ระสบการณก์ ารทางานใน ICU มากกวา่ 10 ปี มีความรูอ้ ยใู่ นระดบั มาก มีมากที่สุด รอ้ ยละ 73.50 ระดบั ปานกลาง รอ้ ยละ 50.00 รองลงมาคือพยาบาลที่มปี ระสบการณก์ ารทางานใน ICU มากกว่า 5-10 ปี มีความรู้ อยู่ในระดับมาก ร้อยละ 20.60 ระดับปานกลาง ร้อยละ 12.50 ส่วนพยาบาลที่มี ประสบการณ์ทางานเท่ากับหรือน้อยกว่า 5 ปี มีความรูอ้ ยู่ในระดบั ปานกลางเป็ นส่วนใหญ่ (ตารางท่ี 3)

วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 79 ปที ่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ตารางที่ 3 จานวนและรอ้ ยละระดบั ความรขู้ องพยาบาลเกยี่ วกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั จาแนก ตามประสบการณก์ ารทางานในงานหอ้ งผูป้ ่ วยหนัก ประสบการณก์ าร ความรรู้ ะดบั กลาง ความรรู้ ะดบั มาก ทางานใน ICU (ปี ) จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ 0 – 1 1 12.50 1 2.95 >1 – 3 1 12.50 0 0.00 >3 – 5 1 12.50 1 2.95 >5 – 10 1 12.50 7 20.60 >10 4 50.00 25 73.50 รวม 8 100.00 34 100.00 ความรเู้ กี่ยวกบั การเฝ้ าระวงั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั ของพยาบาลท่ีมีประสบการณ์การ ทางานใน ICU มากกว่า 10 ปี มีความรูอ้ ยูใ่ นระดบั มาก มีมากท่ีสดุ รอ้ ยละ 70.73 รองลงมา คือพยาบาลที่มีประสบการณ์การทางานใน ICU มากกว่า 5-10 ปี มีความรูอ้ ยู่ในระดบั มาก รอ้ ยละ 17.07 โดยพยาบาลท่ีมีประสบการณ์ทางานมากกว่า 3-5 ปี และน้อยกว่า 1 ปี มี ความรอู้ ยใู่ นระดบั มากรอ้ ยละ 4.88 เทา่ กนั (ตารางที่ 4) ตารางท่ี 4 จานวนและรอ้ ยละระดบั ความรขู้ องพยาบาลเกีย่ วกบั การเฝ้ าระวงั ภาวะสบั สน เฉียบพลนั จาแนกตามประสบการณก์ ารทางานในงานหอ้ งผปู้ ่ วยหนัก ประสบการณก์ ารทางาน ความรรู้ ะดบั กลาง ความรรู้ ะดบั มาก ใน ICU (ปี ) จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ 0-1 0 0.00 2 4.88 >1 – 3 0 0.00 1 2.44 >3 - 5 0 0.00 2 4.88 >5 - 10 1 100.00 7 17.07 >10 0 0.00 29 70.73 รวม 1 100.00 41 100.00 ความรูเ้ กี่ยวกบั การจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลันของพยาบาลท่ีมีประสบการณ์การ ทางานใน ICU มากกว่า 10 ปี มีความรอู้ ยูใ่ นระดบั มาก มีมากที่สดุ รอ้ ยละ 66.67 รองลงมา คือพยาบาลท่ีมีประสบการณก์ ารทางานใน ICU มากกว่า 5-10 ปี มีความรูอ้ ยู่ในระดบั มาก

80 วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปที ่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) รอ้ ยละ 20.00 โดยพยาบาลที่มีประสบการณ์ทางานมากกว่า 1-3 ปี และน้อยกว่า 1 ปี มี ความรูอ้ ยู่ในระดับมากรอ้ ยละ 3.33 เท่ากัน ส่วนกลุ่มพยาบาลท่ีมีความรูร้ ะดบั ปานกลาง พบวา่ พยาบาลท่ีมปี ระสบการณก์ ารทางานใน ICU มากกวา่ 10 ปี มมี ากที่สุด รอ้ ยละ 72.73 รองลงมาคือพยาบาลที่มีประสบการณ์การทางานใน ICU มากกว่า 5-10 ปี มีความรูอ้ ยู่ใน ระดบั ปานกลาง รอ้ ยละ 18.18 ตามลาดบั (ตารางที่ 5) ตารางท่ี 5 จานวนและรอ้ ยละระดบั ความรขู้ องพยาบาลเก่ียวกบั การจดั การภาวะสบั สน เฉียบพลนั จาแนกตามประสบการณก์ ารทางานในงานหอ้ งผปู้ ่ วยหนัก ประสบการณก์ าร ความรรู้ ะดบั ตา่ ความรรู้ ะดบั กลาง ความรรู้ ะดบั มาก ทางานใน ICU (ปี ) จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ 0 - 1 0 0.00 1 9.09 1 3.33 >1 – 3 0 0.00 0 0.00 1 3.33 >3 - 5 0 0.00 0 0.00 2 6.67 >5 - 10 0 0.00 2 18.18 6 20.00 >10 1 100.00 8 72.73 20 66.67 รวม 1 100.00 11 100.00 30 100.00 อภิปรายผล จากการศึกษาคร้ังน้ ีพบว่า พยาบาลที่มีประสบการณ์การทางาน ICU มากกว่า 10 ส่วนใหญ่มีความรูอ้ ยู่ในระดบั มาก ท้งั ในเร่ืองภาวะสบั สนเฉียบพลัน การป้ องกนั ภาวะสบั สน เฉียบพลนั และการจดั การภาวะสับสนเฉียบพลนั แต่ยงั พบว่าพยาบาลที่มีประสบการณก์ าร ทางานอยู่ในงานหอ้ งผู้ป่ วยหนักน้อยมีคะแนนความรูอ้ ยู่ในระดบั ปานกลาง สอดคล้องกับ การศึกษาของ Elfeky H and Ali FS7 ที่พบว่าพยาบาลพยาบาลที่มีประสบการณ์ในห้อง ผูป้ ่ วยหนักน้อยมกั ใหค้ วามสนใจกับภาวะสบั สนเฉียบพลันน้อย และความรูเ้ ก่ียวกับภาวะ สบั สนเฉียบพลนั มีความสมั พนั ธท์ างบวกกบั ประสบการณ์การทางานในหอ้ งผูป้ ่ วยหนัก โดย การประเมินภาวะสับสนเฉียบพลันจะเป็ นลาดับที่ 4 หลังการประเมินระดับความรูส้ ึกตัว ความปวด และอาการว่นุ วาย โดยใหค้ วามสนใจกบั อปุ กรณแ์ ละเครื่องมือในการดแู ลผปู้ ่ วยมาก ท้งั น้ ีอาจเกดิ จากพยาบาลขาดความมนั่ ใจในการประเมิน และไม่เคยไดร้ บั การอบรมเร่ืองการ ประเมินและการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลันมาก่อน ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การศึกษาส่วนใหญ่ท่ี

วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 81 ปที ี่ 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) พบว่าพยาบาลประเมินภาวะสบั สนเฉียบพลันจากอาการวุ่นวาย8 เช่นเดียวกบั การศึกษาของ AndrewsL, Silva SG, Kaplan S and Zimbro K9 ที่พบว่าพยาบาลขาดความรู้ และความมนั่ ใจ ในการประเมินภาวะสับสนเฉียบพลัน และพยาบาลเห็นความสาคญั ของการประเมินภาวะ สบั สนเฉียบพลนั น้อย สาหรับพยาบาลในงานหอ้ งผูป้ ่ วยหนักโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ เองยงั ไม่ไดร้ ับการฝึกปฏิบัติในเรื่องการประเมิน การเฝ้ าระวงั และการจัดการภาวะสับสน เฉียบพลันอย่างเป็ นระบบ และยงั ขาดการสอนแนะนา (coaching) อกี ท้งั ยงั ไม่มีแนวปฏบิ ตั ใิ น การดูแลผูป้ ่ วยท่ีมีภาวะสบั สนเฉียบพลันที่ชดั เจน ซึ่ง Balas et al.11 เสนอว่าพยาบาลควรใช้ หลักฐานเชิงประจกั ษ์เพ่ือสนับสนุนการเฝ้ าระวงั และจดั การภาวะสับสนเฉียบพลัน ท่ีพบว่า สามารถช่วยลดปั ญหาการเกิดภาวะสับสนเฉียบพลันได้ คือ Awakening and Breathing Coordination, Delirium Monitoring and Management, and Early Mobility (ABCDE Bundle) ซ่ึงหมายถึงชุดของหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์เพ่อื การจดั การกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั โดยมีหลกั 3 ประการ คือ 1) ช่วยใหเ้ กิดการสื่อระหว่างสหสาขาวิชาชีพท่ีดีข้ ึน 2) มีกระบวนการดูแลที่มี มาตรฐาน และ 3) เพื่อลดวงจรของการใชย้ าเพื่อใหส้ งบมากเกินไประหวา่ งการใชเ้ ครื่องช่วย หายใจ สาหรบั การเฝ้ าระวงั และการจดั การท่ีเหมาะสมควรใชเ้ คร่ืองมือประเมินภาวะสบั สน เฉียบพลัน ได้แก่ Confusion Assessment Method-ICU (CAM-ICU) และ Intensive Care Delirium Screening Checklist (ICDSE) พยาบาลท่ีมีประสบการณ์การทางานในงานหอผูป้ ่ วยนานมีคะแนนความรู้เก่ียวกบั ภาวะสบั สนเฉียบพลันสูงทุกดา้ น อาจเนื่องจากประสบการณ์ทางานท่ีนาน มีโอกาสไดด้ ูแล ผูป้ ่ วยท่ีมีภาวะสบั สนเฉียบพลันไดม้ ากกว่าพยาบาลที่มีประสบการณ์การทางานในงานหอ้ ง ผูป้ ่ วยหนักน้อย ซึ่งพยาบาลไดส้ ัง่ สมความรูแ้ ละประสบการณ์จากการทางาน ไดแ้ ก่ การ conference การทา Nursing round และผ่านกิจกรรมต่างๆในงานหอ้ งผูป้ ่ วยหนัก นอกจากน้ ี พยาบาลยงั ไดร้ บั การเพิ่มพูนความรูแ้ ละทกั ษะท่ีหน่วยงานจดั ให้ ดังน้ันการเพ่ิมความรูแ้ ละ ทกั ษะใหแ้ ก่พยาบาลท่ีมีประสบการณ์ในงานหอผูป้ ่ วยหนักจึงควรทาอย่างเร่งด่วน และควรมี การใชแ้ นวปฏิบตั ิสาหรบั การป้ องกนั และจดั การผูป้ ่ วยที่มภี าวะโอกาสเกิดหรือเกิดภาวะสบั สน เฉียบพลัน ท่ีเป็ นมาตรฐานมาจากหลกั ฐานเชิงประจกั ษ์และไดร้ ับการยอมรับจากสหสาขา วิชาชพี เพ่อื ส่งเสริมใหก้ ารพยาบาลมีมาตรฐานและคุณภาพท่ดี ีต่อไป

82 วารสารวทิ ยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ขอ้ จากดั ของการศกึ ษา การศึกษานาร่องคร้ังน้ ี ยงั ไม่ครอบคลุมพยาบาลทุกคนในหอ้ งผูป้ ่ วยหนักอาจทาให้ ขอ้ มูลผลของความรูภ้ าวะสบั สนเฉียบพลนั ของพยาบาลยงั ไม่เพียงพอ แต่พอจะสะทอ้ นใหเ้ ห็น กา้ วต่อไปของการเตรียมพยาบาลใหม้ ีความพรอ้ มในการดูแลผู้ป่ วยท่ีอาจเกิดภาวะสบั สน เฉียบพลนั ได้ ขอ้ เสนอแนะในการทาวิจยั คร้งั ตอ่ ไป การศึกษาความรู้ของพยาบาลวิชาชีพงานห้องผู้ป่ วยหนักเกี่ยวกับภาวะสับสน เฉียบพลนั การเฝ้ าระวงั และการจดั การภาวะสบั สนเฉียบพลนั ของผปู้ ่ วยผใู้ หญ่วิกฤต คร้งั น้ ีค่า คะแนนความรูอ้ าจไม่สะทอ้ นความจริง เนื่องจากแบบวดั ความรูค้ ่อนขา้ งง่าย จึงควรสรา้ ง เครื่องมือวดั ความรูท้ ่ีสะทอ้ นความจริง และมีแนวปฏิบตั ิสาหรับป้ องกนั และจดั การผูป้ ่ วยท่ีมี ความเสีย่ งตอ่ การเกิดภาวะสบั สนเฉียบพลนั หรือผปู้ ่ วยท่ีมีภาวะสบั สนเฉียบพลนั แลว้ กติ ตกิ รรมประกาศ คณะผูว้ ิจยั ขอขอบคุณ ผูอ้ านวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ หวั หน้าพยาบาล และคณะผูบ้ ริหารในการเอ้ ืออานวยการศึกษาวิจยั ในคร้งั น้ ี และขอขอบคุณพยาบาลผูต้ อบ แบบสอบถามทกุ คน เอกสารอา้ งอิง 1. Hickin SL, White S, & Knopp-Sihota J. Delirium in the Intensive Care Unit- A Nursing Refresher. Canadian Journal of Critical Care Nursing. 2017;28(2):19- 23. 2. Salluh JIF, et al Outcome of Delirium in critical Ill patients: Systematic Review and Meta-analysis. BMJ 2015;350:h2538doi:10.1135/bmj.h2538. 3. ทศั นีย์ เทศประสิทธ์ิ และพิมลรตั น์ พิมพด์ ี. 2553. อุบตั กิ ารณ์ ปัจจยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งและ ผลลพั ธก์ ารเกดิ ภาวะสบั สนเฉียบพลนั ในผปู้ ่ วยวกิ ฤตโรงพยาบาลอดุ รธานี[online]. from http://203.157.168.8/research/index.php?option=com_ content&view=article&id=75:acute-confusion&catid=1:latest-news

วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ 83 ปที ี่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) 4. ฐิตมิ า ลายอง และ ชนกพร จิตปัญญา. ปัจจยั ทสี่ มั พนั ธก์ บั ภาวะสบั สนเฉียบพลนั ของ ผปู้ ่ วยไอ ซี ยู ที่ใชเ้ ครื่องชว่ ยหายใจ. วารสารพยาบาลโรคหวั ใจและทรวงอก. 2555;23(1):20-30. 5. Brummel NE, Vasilevskied EE, Han JH, Boehm L, Pun BT & Ely EW. Implementing Delirium Screening in the ICU: Secrets to Success. Critical Care Medicine, 2013;41:2196-208. 6. Carins P. Prater J, Munro C,Calero K. Environmental Light and Delirium in the Intensive Care Unit. American Journal of Critical Care. 2017;26(3):E34. 7. Elfeky H and Ali FS. Nurses’ Practices and Perception of Delirium in the Intensive Care Units of a Selected University Hospitals in Egypt. IISTE Journals. 2013;4(19):61-71. 8. สุพตั รา อุปนิสากร อรุ า แสงเงนิ ประสบสุข อินทรกั ษา และทพิ มาส ชิณวงศ.์ ปัจจยั ที่ มีความสมั พนั ธก์ บั ความรขู้ องพยาบาลเกยี่ วกบั การป้ องกนั และจดั การภาวะสบั สน เฉียบพลนั ในผปู้ ่ วยวิกฤต. วารสารเวชบาบดั วกิ ฤต. 2554;17(2):6-12. 9. Christensen M. An Exploratory Study of Staff Nurses’ Knowledge of Delirium in the Medical ICU : An Asian perspective. Intensive and Critical Care Nursing. 2014;30:54-60. 10.Andrews L, Silva SG, Kaplan S and Zimbro K. Delirium Monitoring and Patient Outcomes in a General Intensive Care Unit. American journal of Critical Care. 2015;24(1):48-56. 11.Balas et al. Critical Care Nurses, Role in Implementing the “ABCDE Bundle” into Practice. Crt Care Nurse. 2012;32(2):35-48. 12.Benner PE. From Novice to Expert. September 16, 2011 Nursing Theories a companion to nursing theories and modelshttp://currentnursing.com/ nursing_theory/patricia_benner_from_novice_to_expert.html

84 วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560)

พฤติกรรมสุขภาพของผูส้ ูงอายุที่มีอายุยนื ตาบลปทุม อาเภอเมือง จงั หวดั อุบลราชธานี วรางคณา บุตรศร1ี นนั ทรยี า โลหะไพบูลยก์ ุล2 บทคดั ยอ่ การวจิ ยั คร้งั น้ ีเป็ นวจิ ยั เชิงคุณภาพ มีวตั ถุประสงคเ์ พือ่ ศกึ ษาพฤติกรรมสขุ ภาพของ ผูส้ ูงอายุท่ีมีอายุยืน ที่อาศยั อยู่ในเขตกึ่งเมืองกึ่งชนบท ตาบลปทุม อาเภอเมือง จงั หวัด อุบลราชธานี ผูใ้ หข้ อ้ มูลเป็ นผูส้ ูงอายุท่ีมีอายุต้งั แต่ 80 ปี ข้ ึนไปจานวน 20 คน คัดเลือก แบบเจาะจง เก็บขอ้ มูลโดยการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลึกดว้ ยแบบสมั ภาษณแ์ บบมโี ครงสรา้ ง 3 ดา้ น คือ ดา้ นพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการออกกาลังกาย และพฤติกรรมการ จดั การอารมณ์ ผลการวิจยั พบวา่ พฤติกรรมบริโภคอาหารสว่ นใหญ่ รบั ประทานอาหารครบ 3 ม้ ือ รบั ประทานขา้ วเจา้ และเน้ ือปลาเป็ นหลัก ไขมนั ที่ใชป้ ระกอบอาหารส่วนใหญ่ไดจ้ ากพืช เน้นผกั ทีห่ าไดง้ า่ ยตามพ้ นื บา้ น ผลไมท้ ีร่ บั ประทานส่วนใหญ่เป็ นกลว้ ย และดม่ื น้าเปล่าเป็ น หลกั วนั ละ 8 แกว้ ส่วนพฤติกรรมการออกกาลังกายส่วนใหญ่พบว่า เป็ นการเสริมสรา้ ง ความทนทานของระบบหวั ใจและหลอดเลือด โดยใชว้ ธิ ีการเดนิ พฤติกรรมดา้ นการจดั การ อารมณ์ ใชว้ ิธกี ารยบั ย้งั อารมณโ์ ดยใชห้ ลกั การปล่อยวาง เป็ นแนวทางในการดาเนินชวี ติ คาสาคญั : พฤติกรรมสุขภาพ, ผสู้ งู อายุทม่ี ีอายุยนื 1 ,2 กลุม่ วิชาการพยาบาลอนามยั ชุมชน วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธิประสงค์ อุบลราชธานี

86 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ ปีท่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) Health Behaviors of the Longevity Elderly in Pathum Sub-District, Mueang District, Ubon Ratchathani Province Warangkana Bootsri 1 Nantareya Lohapiboonkul2 Abstract This qualitative research aimed to study the health behaviors of elderly with longevity that resided in sub-urban and sub-district, Tombon Pratum, Ubon Ratchathani Province. Of 20 key informants were selected by purposive sampling of elderly persons who aged 80 years and over. The structured in-depth interview methodology was used that composed of 3 aspects, namely: dietary behavior, exercise behavior and emotional management behavior. The result found most dietary behavior by eaten three meals. Their main sources of diet were rice and fish. The cooking oil was mostly from vegetable. Focus on vegetables that are easy to find in the local areas. The main source of fruits was bananas. The informants took 8 glasses of water per day. The exercise behavior was to strengthen the endurance of the cardiovascular system by walking. The emotional management behavior was controlled by practice letting somethings go as the guiding way of life. Key words: health behavior, elderly with longevity 1,2 Community nursing department, Boromarajonani college of Nursing Sanpasithiprasong, Ubonratchathani. E-mail: [email protected]

วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธิประสงค์ 87 ปีท่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา องค์การสหประชาชาติไดน้ ิยามไวว้ ่าประเทศใดมีประชากรอายุ 60 ปี ข้ ึนไปเป็ น สดั ส่วนรอ้ ยละ 10 หรืออายุ 65 ปี ข้ ึนไปเกินรอ้ ยละ 7 ของประชากรท้ังประเทศถือว่า ประเทศน้ันไดก้ า้ วเขา้ สู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) และจะเป็ นสังคมผู้สูงอายุโดย สมบรู ณ์ (aged society) เม่ือสดั ส่วนประชากรอายุ 60 ปี ข้ ึนไปเพิ่มเป็ นรอ้ ยละ 20 และ อายุ 65 ปี ข้ นึ ไปเพ่ิมรอ้ ยละ 14 ซ่ึงประเทศไทยไดก้ า้ วเขา้ ส่สู งั คมผูส้ งู อายุแลว้ จากจานวน ประชากรสูงอายุ เมื่อมกราคม 2557 มีจานวนประมาณ 9,928,000 คนหรือรอ้ ยละ 15.301 ในขณะเดียวกนั ผูส้ งู อายุในประเทศไทยน้ันมีอายุยนื ข้ นึ โดยพบว่าอายุขยั เฉลี่ยของ ประชาชนไทยเพิม่ ข้ นึ จากขอ้ มลู พบวา่ อายุคาดเฉล่ียเม่ือแรกเกดิ ของชายไทยเพิ่มจาก 67.9 ปี ในปี พ.ศ.2548 เป็ น 69.5 ปี ในปี พ.ศ.2552 และมีการคาดประมาณว่าจะเพ่ิมสูงถึง 79.1 ปี ในช่วงปี พ.ศ. 2588-2593 สาหรบั หญิงไทยอายุคาดเฉล่ียเมื่อแรกเกิดเพ่ิมจาก ประมาณ 75.0 ปี ในปี พ.ศ.2548เป็ น 76.3 ปี ในปี พ.ศ.2552 และคาดว่าจะเพิ่มเป็ น 81.5 ปี ในปี พ.ศ.2588-2593 เมื่อพิจารณาจานวนปี ที่จะมีชีวิตต่อไปไดเ้ มื่ออายุ 60 ปี และอายุ 80 ปี พบวา่ อายุคาดเฉล่ียเม่ืออายุดงั กล่าวเพมิ่ ข้ นึ อย่างตอ่ เนื่อง2 ตาบลปทุม อาเภอเมือง จังหวดั อุบลราชธานี อยู่ห่างจากท่ีว่าการอาเภอเมือง จงั หวดั อุบลราชธานี ประมาณ 7 กิโลเมตร มีพ้ นื ท่ีเป็ นรอยตอ่ ระหว่างเขตเมืองกึ่งชนบท มี ลกั ษณะภูมิประเทศเป็ นที่ราบ มีแม่น้ามูลไหลผ่านตลอดปี วิถีชีวิตของชาวบา้ นจะมีความ ผูกพนั กับปากหว้ ยวงั นอง ซ่ึงเป็ นหว้ ยน้าขนาดใหญ่ พ้ ืนที่ส่วนใหญ่ใชเ้ ป็ นที่อยู่อาศยั มี พ้ ืนที่ประกอบอาชีพดา้ นการเกษตรเพียงเล็กน้อย เน่ืองจากเป็ นพ้ ืนที่ราบลุ่มอยู่ริมแม่น้า มลู และมีอา่ งเกบ็ น้าหว้ ยวงั นองอยลู่ อ้ มรอบพ้ ืนทถี่ งึ 3 ดา้ น มองจากทส่ี งู จะมีลกั ษณะคลา้ ย เกาะ จงึ ทาใหป้ ระสบปัญหาน้าท่วมขงั ในพ้ ืนท่ีลาดตา่ อยู่เป็ นประจา มกี ารดารงชวี ิตในการ ประมงและเครื่องป้ันดินเผา ลักษณะประชากร มีประชากรท้งั ส้ ิน 10,484 คน เป็ นเพศ ชาย 4,948 คน คิดเป็ นรอ้ ยละ 47.20 และเพศหญิง 5,536 คน คิดเป็ นรอ้ ยละ 52 มี ประชากรวยั แรงงานอายุระหว่าง 25-59 ปี คิดเป็ นรอ้ ยละ 54.88 วยั ผสู้ ูงอายุมแี นวโน้ม สูงข้ ึน รอ้ ยละ 14.41 ของประชากรท้งั หมด ประชากรส่วนใหญ่เป็ นประชากรท่ียา้ ยมา ปฏิบัติงานและมาปลูกสรา้ งบา้ นเรือนอยู่อาศัย และมีประชากรเคล่ือนยา้ ยในกลุ่มวัย แรงงานจึงไม่ค่อยมีประชาชนด้งั เดิมอาศยั อยู่ ประกอบดว้ ย จานวนหลงั คาเรือน 2,566 หลงั คาเรือน จากจานวนหมู่บา้ น 12 หมู่บา้ น และจากขอ้ มูลโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตาบลปทุม อาเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี มีจานวนประชากรท่ีมีอายุ 80 ปี ข้ ึนไป จานวนถงึ 115 คน3

88 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ปที ่ี 1 ฉบบั ท่ี 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) จากการท่ีประเทศไทยกา้ วเขา้ เขา้ สู่สังคมผูส้ ูงอายุ ดงั น้ันจึงควรมีการศึกษา พฤติกรรมสุขภาพของผูส้ งู อายุที่มีวยั เกิน 80 ปี โดยศึกษาถึงพฤติกรรมสขุ ภาพตามหลกั 3 อ.ของกรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข 4 ท่ีส่งผลต่อการมีอายุยืนยาวของผูส้ งู อายุไทย ขอ้ มูลที่ไดจ้ ะเป็ นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการมีพฤติกรรมบริโภคที่เหมาะสม ส่งผลให้ ประชาชนไทย มีสุขภาพแข็งแรงและอายุยีนยาวข้ ึน รวมท้งั เป็ นประโยชน์ต่อการพัฒนา ศกั ยภาพของผูส้ ูงอายุ ช่วยลดภาวะพึ่งพิงและเสริมคุณคุณค่าใหก้ บั ผูส้ ูงอายุ ผูใ้ หบ้ ริการ สุขภาพสามารถนาขอ้ มลู ท่ีไดไ้ ปใชใ้ นการดูแลต่อเนื่องที่บา้ นแบบบรู ณาการต่อไป วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั เพ่ือศึกษาพฤติกรรมสุขภาพของผูส้ ูงอายุที่มีอายุยืนในตาบลปทุม อาเภอเมือง จงั หวดั อบุ ลราชธานี คาถามการวิจยั พฤติกรรมสุขภาพของผูส้ ูงอายุที่มีอายุยืนในตาบลปทุม อาเภอเมือง จังหวัด อุบลราชธานีเป็ นอย่างไร วิธกี ารดาเนินการวจิ ยั การวจิ ยั คร้งั น้ ี เป็ นการวิจยั เชิงคุณภาพ ผูใ้ หข้ อ้ มลู ผู้ให้ขอ้ มูลถูกคัดเลือกมาแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling technique) เป็ นผูส้ งู อายุท่ีมีอายุ 80 ปี ข้ ึนไป จานวน 20 คน สามารถชว่ ยเหลือตนเองได้ และสมคั ร ใจร่วมงานวจิ ยั เครอื่ งมือทใี่ ชใ้ นการวจิ ยั และการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวิจัยเป็ นแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสรา้ งไดจ้ ากการทบทวน วรรณกรรมประกอบดว้ ย 3 ดา้ น คอื ดา้ นพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการออก กาลงั กาย และพฤติกรรมการจดั การอารมณ์ ผูว้ ิจยั รวบรวมขอ้ มูลวิจยั ดว้ ยวิธีการสมั ภาษณ์แบบเจาะลึก (in-depth Interview) เร่ิมตน้ การสมั ภาษณ์ดว้ ยการแนะนาตวั ช้ ีแจงวตั ถุประสงค์การวิจยั บนั ทึกเสียงระหว่าง การสัมภาษณ์โดยไดร้ ับอนุญาตจากผูส้ ูงอายุทุกคร้ัง ใชเ้ วลาในการสมั ภาษณ์คนละ 60 นาที โดยทาการสมั ภาษณด์ ว้ ยผวู้ จิ ยั เองท้งั 20 คน

วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 89 ปที ี่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) ระยะเวลาในการเกบ็ ขอ้ มูล การศกึ ษาคร้งั น้ ี ใชเ้ วลาในการเก็บรวบรวมขอ้ มลู ระหว่างเดือนสงิ หาคม – พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2560 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู คณะผจู้ ดั ทาวิจยั ไดท้ าความเขา้ ใจกบั ผูส้ งู อายุและญาติทดี่ แู ลผูส้ งู อายุ เพอื่ ขอความ ร่วมมอื ในการสมั ภาษณ์ เก็บขอ้ มูล โดยคณะผจู้ ดั ทาวิจยั เป็ นผรู้ วบรวมขอ้ มูลดว้ ยตนเอง ได้ ทาการนัดเวลาและสถานทเี่ พ่อื เตรียมการสมั ภาษณผ์ สู้ งู อายุและผดู้ แู ลจานวน 1-2 คร้งั พรอ้ มทง้ั ขออนุญาตบนั ทกึ เทป และใชว้ ธิ กี ารจดบนั ทกึ ขอ้ มลู พรอ้ มการสงั เกตต่างๆ เพ่อื ให้ ไดข้ อ้ มลู ท่ถี ูกตอ้ งมากท่ีสุด และส้ นิ สุดการสมั ภาษณเ์ มือ่ ขอ้ มลู มีความครอบคลุม การวิเคราะหข์ อ้ มูล ผวู้ ิจยั ทาการวเิ คราะหข์ อ้ มูลเชงิ คุณภาพ เพ่อื สรุปพฤติกรรมสุขภาพของผสู้ งู อายุที่มี อายุยืน โดยผูว้ ิจยั ทาการถอดเทปแบบคาต่อคา (transcribed verbatim)5 วิเคราะหข์ อ้ มูล เชิงใจความหลัก (thematic analysis) แยกขอ้ มูลและประเด็นย่อย (categories) 3 ดา้ น คือ ดา้ นพฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการออกกาลงั กาย และพฤติกรรมการ จดั การอารมณ์ การตรวจสอบความน่าเช่อื ถอื ของการวิเคราะหข์ อ้ มูล ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยเชิงคุณภาพผูว้ ิจัยยึดแนวทางของ Lincoln, Guba6 ไดแ้ ก่ การเลือกผใู้ หข้ อ้ มูลท่ีเป็ นตวั แทนที่ดี (representativeness) ประกอบดว้ ย ผสู้ งู อายุท่ี มีอายุ 80 ปี ข้ ึนไป เพื่อใหม้ นั่ ใจว่าคาบรรยายพฤติกรรมสุขภาพของผูส้ ูงอายุท่ีมีอายุยืน (credibility) การบรรยายพฤติกรรมสุขภาพของผสู้ งู อายุที่มีอายุยืนท่ีศึกษาใหม้ ากและลึก พอเพื่อสามารถนาผลที่ได้ไปอ้างถึงในบริบทท่ีคล้ายคลึงกัน (transferability) การ ตรวจสอบกระบวนการของการศึกษาวิจยั โดยที่ผูว้ ิจยั อีกหนึ่งท่านสามารถติดตามการ ตดั สินใจต่าง ๆ และเห็นดว้ ยกบั ผลท่ีไดใ้ นการศึกษาโดยไม่มีขอ้ ขัดแยง้ (dependability) และใช้การเขียนบันทึกพฤติกรรมสุขภาพของผู้สูงอายุที่มีอายุยืน 3 ด้าน คือ ด้าน พฤติกรรมการบริโภคอาหาร พฤติกรรมการออกกาลังกาย และพฤติกรรมการจดั การ อารมณ์ และความคิดเห็นตา่ ง ๆ ท่ีเก่ียวกบั ปรากฏการณ์ที่ศึกษา เพื่อใหผ้ วู้ ิจยั อีกหน่ึงทา่ น สามารถตรวจสอบได้ (confirmability)

90 วารสารวทิ ยาศาสตร์สขุ ภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ปีท่ี 1 ฉบบั ที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) ผลการวจิ ยั 1. ขอ้ มูลทวั ่ ไปของกลุ่มตวั อยา่ ง กลุ่มตวั อย่างจานวน 20 คน เพศชายรอ้ ยละ 40 เพศหญิงรอ้ ยละ 60 อายุอยู่ ระหว่าง 80 - 84 ปี จานวน 11 คน คิดรอ้ ยละ 55 รองลงมาคืออายุ 85 – 89 ปี รอ้ ย ละ 25 อายุมากกวา่ 60 ปี รอ้ ยละ 12.5 ตามลาดบั อายุกลุ่มตวั อยา่ งที่ศกึ ษา ส่วนใหญ่ อายุระหว่าง 80-84 ปี จานวน 11 คน คิดเป็ นรอ้ ยละ 55 รองลงมาคอื อายุระหวา่ ง 85- 89 ปี จานวน 6 คน คิดเป็ นรอ้ ยละ 30และอายุระหวา่ ง 85-89 ปี จานวน 6 คน คิดเป็ น รอ้ ยละ30 และอายุระหว่าง 90 – 94 ปี จานวน 3 คน คิดเป็ นรอ้ ยละ15 อายุสูงสุด 94 ปี อายุตา่ สดุ 80 ปี ดา้ นภาวะสุขภาพส่วนใหญไ่ มม่ ีโรคประจาตวั จานวน 11 คน คดิ เป็ น รอ้ ยละ 55 และมโี รคประจาตวั จานวน 9 คน คิดเป็ นรอ้ ยละ 45 2. ขอ้ มลู เชงิ คณุ ภาพ ขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากสมั ภาษณก์ ลุ่มตวั อย่างพบพฤติกรรมสุขภาพของผสู้ งู อายุท่มี ีอายุ ยืน ตาบลประทุม อาเภอเมอื ง จงั หวดั อุบลราชธานี ดงั น้ ี 2.1 พฤตกิ รรมดา้ นการบรโิ ภคอาหาร อาหารหลกั 5 หมู่ ขา้ ว พบว่า ส่วนใหญร่ บั ประทานขา้ วเจา้ หอมมะลิ ดงั ขอ้ มูล “กนิ ขา้ วเจา้ ขา้ วหอมมะลิ กินเป็ นจานพุน้ ละ” (รายที่ 3) “โดยมากมกั ขา้ วเหนียวแต่หมอใหก้ ินขา้ วเจา้ เลยบค่ อ่ ยไดก้ ิน” (รายท่ี 4) “กนิ ขา้ วเจา้ ขา้ วหอมมะลิ” (รายท่ี 6) “กนิ ขา้ วผสมขา้ วไรซเ์ บอรร์ ี่ แตก่ อ่ นกนิ ขา้ วขาวหอมมะลิ ขา้ วซอ้ มมอื สมยั กอ่ น กนิ ประมาณ 1-2 ทพั พี” (รายที่ 17) “ขา้ วหอมมะลิ เอาขา้ วกลอ้ งผสม ” (รายที่ 19) เน้ ือสตั ว์ พบวา่ สว่ นใหญจ่ ะเน้นรบั ประทานเน้ ือปลา ดงั ขอ้ มูล “กินเน้ ือปลาเป็ นหลกั ปลาทบั ทมิ ปลาคอ่ ปลาดุก” (รายที่2) “โดยมากกินปลากนิ หยงั ไป ปลาชบู๊ ปลานาง” (รายท่ี 4) “ส่วนใหญ่กนิ เน้ ือปลา”(รายท่ี 5) “ถา้ ปลายา่ งกินค่ะ”(รายท่ี 7) “ส่วนมากจะกนิ เน้ ือปลา ซ้ ือมาก็จะมปี ลานิล ปลาช่อน” (รายที่ 19) “ตม้ ปลากบั ทอดปลาท”ู (รายที่ 20) ผกั พบวา่ ส่วนใหญ่จะเนน้ ผกั ท่ีหาง่ายตามบา้ นหรือหาซ้ ือไดต้ าทอ้ งตลาด โดยจะตม้ หรือนึ่งใหส้ ุก ก่อน รบั ประทาน ดงั ขอ้ มลู

วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ 91 ปีที่ 1 ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) “น่ึงผกั กนิ เล่น น่ึงบกั ถวั่ น่ึงบกั หยงั น่ึงบวบ บกั เขอื บกั แขง้ เอามานึ่งกนิ ผกั ออบแอบ” (รายท่ี 4) “ผกั กะมกั บกั บงุ้ อ้นั ละหลาย ผกั คะนา้ ท่อน้ันละ เอามาลา้ งใหส้ ะอาดแลว้ เอามาตม้ ” (รายที่ 6) “เรื่องผกั นะ แม่กินอยู่ แม่มกั กินผกั บงุ้ ผักสลดั แต่ทกุ ม้ อื น้ ีกินบ่ไดเ้ ลยเด้ ยอ้ นมนั ติดฟันปลอม ยา้ บแ่ หลกแม่กินเป็ นผกั ตม้ กะบก่ ลา้ กนิ สดกะยอ้ นวา ยา่ น ร่างกายเฮาบแ่ ข็งแรง ย่านทอ้ งอดื แน่นทอ้ ง” (รายท่ี 11) “กนิ อยู่ ลงั เทือเขากะลวกผกั กระถนิ กบั แจ่วกบั ปลาแดกไปสนั่ แหล่ว ลวก ผกั ผกั หยงั กะกินไดเ้ บดิ วา่ แต่ลวก” (รายท่ี 14) “ผกั ก็ทุกผกั แหละ ตม้ ใหเ้ ปื่ อยๆ กนิ ไดห้ มด ผกั บงุ้ ผกั กาด” (รายที่ 19) “สว่ นมากกะสเิ ป็ นกะหลา่ ปลี ผกั อีหลา่ อยูร่ ้วั มานึ่ง” (รายท่ี 20) ผลไม้ พบว่าเลือกรบั ประทานผลไม้ ดงั ขอ้ มลู เลือกรบั ประทานผลไมท้ ีม่ สี ีเหลืองและสม้ ดงั ขอ้ มูล “บกั นัดกะกนิ ขา้ วโพดกะกิน” (รายที่ 4) “แม่ชอบสม้ มะม่วง แลว้ ก็สบั ปะรดคะ่ ” (รายที่ 7) เลือกรบั ประทานผลไมท้ ่มี สี ีแดง ดงั ขอ้ มูล “บกั แอปเป้ ิ ลสแี ดงๆกะมี” (รายท่ี 4) “แตงโมยงั ไมก่ นิ กะกบั ขา้ วเลย” (รายที่ 7) เลือกรบั ประทานผลไมท้ มี่ ีสีม่วง มว่ งอมน้าเงิน ดงั ขอ้ มลู “แม่ชอบองุน่ ”(รายท่ี 7) “ผลไมท้ ่ีแกชอบของหวานๆทง้ั หมดเลย องุน่ ไรเ้ มล็ด” (รายที่ 8) ผลไมอ้ ืน่ ๆ “พวกละมุดแหละหลาย มนั หวานมนั เย็นดกี ะเลยมกั กนิ ” (รายที่ 6) “กลว้ ยกท็ านบ่อย ต่นื ข้ นึ มาก็ทานเลยกลว้ ย กลว้ ยกจ็ ะกนิ เล่นๆเลย” (รายท่ี 7) “ขน้ั กลว้ ยน่ีขาดบไ่ ดเ้ ลยเด”้ (รายท่ี 11) “พวกกลว้ ยไข่ กลว้ ยน้าวา้ สองหวสี ามหวีเฮากะกินไป” (รายที่ 12) “กนิ กลว้ ยเป็ นหลกั ” (รายที่ 19) “ส่วนมากกะสซิ ้ ือกลว้ ยน้าวา้ ใหก้ ินนา คาบละหน่วย ” (รายที่ 20) ไขมนั พบวา่ ใชไ้ ขมนั ทไ่ี ดจ้ ากพืช มาปรงุ อาหาร ดงั ขอ้ มูล “น้ามนั ถวั่ เหลืองนิละ” (รายท่ี 1)

92 วารสารวิทยาศาสตร์สุขภาพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสิทธปิ ระสงค์ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) “น้ามนั องนุ่ น้ามนั บกั พรา้ ว” (รายที่ 2) “น้ามนั พืชละลูกเตา้ เขา้ พากนิ กะกนิ น้ามนั กุก๊ น้ามนั ถวั่ เหลือง” (รายที่ 3) “น้ามนั พชื น้ามนั กุก๊ น้ามนั ถวั่ เหลือง ” (รายที่ 6) “ส่วนมากน้ามนั พชื กจ็ ะทานยหี่ อ้ กุก๊ บอ่ ยมากกวา่ ยี่หอ้ อื่นคะ่ กุก๊ น่ีก็ จะเป็ นน้ามนั มะพรา้ วนะคะ” (รายที่ 7) จานวนม้ อื อาหาร พบวา่ ส่วนมากจะรบั ประทานอาหารครบ 3 ม้ อื ชว่ งเวลาสว่ นใหญท่ ี่รบั ประทานเป็ นชว่ งเชา้ เที่ยงและเยน็ ดงั ขอ้ มูล “กินขา้ วม้ อื ละ 3 เทือ่ 4 เทอ่ื พนุ้ ละ ม้ อื ไดห๋ วิ กะกิน 4 ม้ อื ได๋บค่ อ่ ย หิวกะกิน 2 กะมแี ลว้ แตม่ นั คอื อยากบ่คอื อยากน้ันหนา เชา้ เท่ยี ง แลง”(รายท่ี 2) “ม้ อื ละ 2-3 เทอื นิละ สองโมงเท่ือหน่ึง เที่ยงเท่อื หน่ึง ยามแลงกะ ท่มุ หนึ่งน้ันละ ทมุ่ กว่าๆ” (รายที่ 3) “แลว้ แตบ่ างม้ อื กะสองบางม้ อื กะสาม อนั ช่วงเซา้ กนิ นมอม่ิ ดีซอง หน่ึงใส่น้าฮอ้ น มนั กะอม่ิ กนิ กบั ขนมแลว้ กะส่ีโมงกวา่ ๆจงั มากนิ ขา้ ว บาดนิกะม้ อื แลงพรอ้ ม หมู่ทมุ่ สองทมุ่ ” (รายท่ี 5) “7 โมงกนิ แตเ่ ชา้ เทีย่ งกะกินตรง แลงกะประมาณหา้ หกโมง” (รายท่ี 16) นอกจากน้ ียงั พบวา่ มบี างรายรบั ประทานอาหาร 2 ม้ อื “ม้ อื หนึ่งตามปกติคอื ม้ อื นิกิน 2 เทอื่ นิละ กินตอนเชา้ 2 โมงนิละ แลว้ ก็ตอนเย็น” (รายที่ 1) “บางเทอื กะกินคาบเดยี วแลว้ แต่มนั หวิ กินแต่เซา้ กะแลว้ แลงนอน เลย ถา้ มันพออยู่ กะอยู่กะนอนเลย ถา้ ว่าเฮากินขา้ วเหนียวมนั อืดมนั เป็ นแน่นๆทอ้ ง ลาง เทือกะกนิ 3 คาบอยู่ อย่างหลาย 2 คาบทอ่ น้ันละ” (รายท่ี 4) “กินขา้ วยามเที่ยงกบั แลง” (รายที่ 6) “ทกุ ม้ อื น้ ีพ่อกิน 2 คาบ กนิ เชา้ กบั เย็น” (รายที่ 9) “วนั หน่ึงกนิ 2 เทอื กินเชา้ กบั กนิ เที่ยง ยามมอ่ื แลงบก่ ินดอก” (รายท่ี 13) “วนั ละ 2 คาบ สามโมงค่อยกนิ แลว้ กบ็ า่ ย 2” (รายที่ 18)

วารสารวิทยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ 93 ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สิงหาคม 2560) น้าด่ืม พบว่าผสู้ งู อายุส่วนใหญ่ ชอบด่ืมน้า ดงั ขอ้ มลู “หลายๆ แตย่ ามเชา้ นี่กะเบิดโอนึง ตื่นมาป๊ับนี่หละขนั น่ีหละจงั่ วา่ ห้ วิ กระติกน้านอ้ ยออกมานาโลด กะคอ่ ยๆกนิ ไป มกั กินน้าเปล่าประมาณ 4 แกว้ ”(รายท่ี 9) “ดมื่ ก็ 1 ขวดเท่าขวดน้าอดั ลมนะ เขาจะเอาไปกรอกไวข้ วดขนาดเทา่ น้ัน จะด่มื ได้ 2 วนั ประมาณ 4 แกว้ ” (รายท่ี 10) “น้าเปล่ากนิ เป็ นน้าขวด 2 ขวดกะหมดทง้ั ม้ อื ประมาณ 3 แกว้ ” (รายท่ี 16) “น้าเปล่าวนั ละ 2 ขวดใหญอ่ ย่างตา่ บางมื่อกะ 3 ขวด” (รายที่ 17) “ซ้ ือเป็ นถงั แลว้ กะมาไห่ใส่ขวดน้อยใหเ้ พิ่นกินม้ อื ละสองขวดนอ้ ย” (รายที่ 18 ) 2.2 พฤตกิ รรมดา้ นการออกกาลงั กาย จากการศึกษาพฤติกรรมสุขภาพของผสู้ งู อายุทีม่ อี ายุยืน พบวา่ ดา้ นการออกกาลังกายสาหรับเพิ่มความทนทานของระบบหวั ใจและหลอดเลือด กิจกรรมที่ สามารถทาไดต้ ่อเนื่อง เช่น เดิน ว่ิง ปั่นจักรยาน หรือเตน้ แอโรบิค เป็ นตน้ พบว่า ผสู้ งู อายุส่วนใหญจ่ ะใชก้ ารเดนิ เป็ นวธิ กี ารออกกาลงั กาย โดยสว่ นมากผสู้ งู อายุจะใช้ เวลาในการเดนิ คร้งั ละ 30-60 นาที ดงั ขอ้ มูล “หย่างเลาะยุนามุนิละ หย่างหลบไปหลบมายุบา้ นเฮานิละ” (ราย ท่ี 2) “ม้ อื หนึ่งหย่างหลาย ประมาณ 50 เทื่อ ออ้ มอยู่ (รายที่ 5) “ใชก้ ารเดนิ คะ่ 1 ชวั่ โมง แตไ่ มใ่ ช่ 1 ชวั่ โมงเดินตลอดนะคะ เดิน บา้ งพกั บา้ งคะ่ ” (รายท่ี 7) “มเี ดินหนา้ บา้ น 1 สปั ดาห์ 3 คร้งั ได้ แต่กเ็ ดินออกมาตากผา้ เกือบทุกวนั นะ” (รายที่ 8) ดา้ นการออกกาลงั กายสาหรบั เพ่ิมความยดื หยุน่ ของกลา้ มเน้ ือชนิด stretching exercise เลือกกลา้ มเน้ ือทต่ี อ้ งการยดื ใหเ้ หมาะสมกบั วตั ถุประสงค์ จนกวา่ กลา้ มเน้ ือจะลด ความตงึ ตวั ความถ่ี 3 รอบต่อวนั สามารถทาไดท้ ุกวนั พบว่าผสู้ งู อายุใชว้ ิธีแกวง่ แขนเป็ น การออกกาลงั กาย ดงั ขอ้ มลู “บดั ยามสนิ อนกะยกขายกแขน หมุนไปหมุนมาคาวเดยี ว” (รายท่ี4) “ธรรมดาเฮาแกว่งแขน กวดั ไปกวดั มา” (รายท่ี 12) “ออกกาลงั กายกะแก่งแขนธรรมดา” (รายท่ี 15)

94 วารสารวทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพ วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี สรรพสทิ ธปิ ระสงค์ ปที ่ี 1 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม-สงิ หาคม 2560) “แต่ก่อนแกว่งแขน ขา แลว้ กะยกขา ยกแขน” (รายท่ี 16) 2.3 พฤตกิ รรมดา้ นจดั การอารมณ์ ดา้ นการยบั ยง้ั อารมณ์ (Emotional Inhibition) พบวา่ ผสู้ งู อายุ สว่ นมากมวี ธิ กี ารควบคุมอารมณโ์ ดยใชห้ ลกั ธรรมะ การปล่อยวางไม่ใหเ้ กดิ อารมณโ์ กรธ หรือเครียด ดงั ขอ้ มลู “อ่านหนังสอื ตลอด หนังสือธรรมะ ถา้ วา่ งๆกะอ่าน” (รายท่ี 2) “นัง่ สมาธิทุกเชา้ สวดมนต”์ (รายท่ี 13) “กจ็ ะชอบสวดมนต์ พระทา่ นชว่ ยไง เรามที ุกขร์ อ้ น มีอะไรกข็ อพร ไม่ สบายใจก็ สวดมนต”์ (รายท่ี 19) ดา้ นการทบทวนอารมณ์ (Emotional Rumination) พบว่าผสู้ งู อายุ มี วิธกี ารจดั การอารมณโ์ ดยไตร่ตรองสาเหตุของความเครียดและความโกธร ดงั ขอ้ มลู “เฮากะเฒ่าแลว้ สิไปหาเครียดจงั สนั่ จงั สิเฮ็ดหยงั งานการกะบ่มกี ะ สบายแลว้ เฮาสิไปเครียดนาลูกหลานเฮ็ดหยงั่ ” (รายท่ี 1) “กะท่องในใจ เคยี ดหนอ เคียดหนอ แลว้ มนั กะเซาไปเองนัน่ ละ ลองเฮ็ดเบง่ิ เดอ้ ” (รายที่ 11) “ขน้ั เฮาเครียด เฮากะพกั ก่อน มนั กะหายไปเองมนั ” (รายที่ 12) ดา้ นการควบคุมลกั ษณะอารมณใ์ หส้ มเหตสุ มผล (Benign Control) พบวา่ ผสู้ งู อายุมีการควบคุมและผ่อนคลายอารมณจ์ ากความเครียดและความ โกรธโดยการฟังเพลง ฟังวทิ ยุ หรือสื่อบนั เทงิ ต่างๆ ดงั ขอ้ มูล “ฟังแต่เพลง รอ้ งเพลงใหเ้ ขาฟังนา” (รายที่ 4) “มีแต่ฟังวิทยุ แลว้ แตอ่ ยากฟังเพลงหยงั่ กะฟัง” (รายที่ 5) “กะมแี ตฟ่ ังหมอลานิละ” (รายที่ 18) การอภิปรายผล จากการศึกษาพฤตกิ รรมสุขภาพของผสู้ งู อายุที่มอี ายุยนื ในตาบลปทุม อาเภอเมอื ง จงั หวดั อบุ ลราชธานี มกี ารอภิปรายผลดงั ตอ่ ไปน้ ี พฤตกิ รรมดา้ นการบรโิ ภคอาหาร จากการศึกษา พฤติกรรมสุขภาพของผูส้ งู อายุท่ีมีอายุยืนพบว่า มีการรับประทาน อาหารครบ 3 ม้ ือบริโภคอาหารครบ 5 หมู่ โดย การรับประทานอาหารส่วนมากจะ รบั ประทานเน้ ือปลาเป็ นหลกั สอดคลอ้ งกบั การศึกษาของ ศนั สนีย์ กระจ่างโฉม และสุวภิ า7 พบว่า ผู้สูงอายุรับประทานอาหารวันละ 3 ม้ ือ เน้นม้ ือเชา้ และม้ ือกลางวัน ไม่ค่อย รับประทานหมูและเน้ ือมากนัก ไม่นิยมใส่เน้ ื อสัตว์ในอาหารแต่ละประเภท หากเป็ น