Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore NNFE-256006-การนำเสนอแนวปฎิบัติที่ดี

NNFE-256006-การนำเสนอแนวปฎิบัติที่ดี

Description: NNFE-256006-การนำเสนอแนวปฎิบัติที่ดี

Search

Read the Text Version

แนวทางการนาเสนอ แนวปฏิบตั ิท่ดี ี (Best Practice) สถาบนั พฒั นาการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั ภาคเหนอื สานกั งานสง่ เสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ

แนวทางการนาเสนอแนวปฏบิ ตั ิที่ดี (Best Practice) เอกสารวชิ าการลาดับท่ี 06/2560 พิมพค์ รง้ั ที่ 1 ปีที่พมิ พ์ พ.ศ. 2560 จานวนพมิ พ์ 1,800 เลม่ จดั ทาตน้ ฉบบั และเผยแพร่ สถาบันพัฒนาการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยภาคเหนือ ถนนจามเทวี ตาบลบอ่ แฮ้ว อาเภอเมอื งลาปาง จังหวัดลาปาง 52100 โทรศพั ท์ 0-5422-4862 โทรสาร 0-5422-1127 พมิ พท์ ่ี : บอยการพมิ พ์ 80 หมู่ 2 ตาบลสบปราบ อาเภอสบปราบ จังหวัดลาปาง 52170 โทร. 08-1026-1140, 08-3209-7302, 0-5429-6289 E-mail : [email protected]

คำนำ จากหลักการท่ีว่า “ถ้าได้นาความรู้ไปใช้ ความรู้น้ันก็ย่ิงเพ่ิมคุณค่า เพราะทาให้เกิดการ ต่อยอดความรู้ให้แตกแขนงออกไปอย่างกว้างขวาง” ดังน้ัน เป้าหมายสาคัญประการหน่ึง ในการปฏิบัติงานขององค์กร คือ ให้คนในองค์กรมี Best Practice เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตในการทางาน ท้งั ในด้านปริมาณและคุณภาพ สถาบัน กศน.ภาคเหนอื ได้จดั ทาเอกสารวชิ าการ “แนวทางการนาเสนอแนวปฏิบตั ิทด่ี ี (Best Practice)” เล่มน้ีขึ้น เพื่อเป็นประโยชนต์ ่อครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษา สังกัดสานักงาน กศน. และ ผู้ทส่ี นใจทว่ั ไป ไดศ้ กึ ษาเรียนร้เู กี่ยวกับแนวปฏบิ ตั ิที่ดี (Best Practice) พรอ้ มทัง้ ใชเ้ ป็นแนวทางในการ นาเสนอแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) เอกสารเล่มนี้ประกอบด้วยเน้ือหาที่จาเป็นในการนาเสนอ แนวปฏบิ ตั ทิ ดี่ ีพร้อมตัวอย่าง เพ่อื ให้เห็นแนวทางในการนาเสนอแนวปฏบิ ัติทด่ี ี (Best Practice) ไดแ้ ก่ แนวทางการนาเสนอแนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) การดาเนินงานเพื่อหาแนวปฏิบัติท่ีดี ตามแนวทางวงจรคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle : PDCA) ตัวอย่างการนาเสนอแนวปฏิบัติท่ีดี ด้านการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน ด้านการศึกษาเพ่ือพัฒนาอาชีพ ด้านการศึกษาตามอัธยาศัยและด้านการ ส่งเสริมการรู้หนังสือ การนาเสนอแนวปฏิบัติท่ีดีตามโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และตัวอย่างการนาเสนอ แนวปฏิบัติที่ดีตามโครงการพัฒนาเด็กและเยาวชนในถ่ินทุรกันดาร ตามพระราชดาริสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้านโภชนาการและสุขภาพอนามัย ด้านการศึกษา ด้านการ ส่งเสริมอาชีพ ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม และด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรม ท้องถ่นิ สถาบนั กศน.ภาคเหนอื ขอขอบคณุ ผูม้ สี ่วนเกยี่ วขอ้ งทุกท่านท่ีมีสว่ นรว่ มในการจัดทาเอกสาร วิชาการ “แนวทางการนาเสนอแนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice)” เล่มน้ี ซ่ึงเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงาน สถานศกึ ษาและบุคลากร ใชเ้ ปน็ แนวทางและนาไปปรบั ใชใ้ หเ้ หมาะสมต่อไป (นายจาเริญ มลู ฟอง) ผู้อานวยการสถาบนั กศน.ภาคเหนือ มิถนุ ายน 2560 ก แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ข แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

สำรบญั หน้ำ  คำนำ ก  สำรบัญ ค  แนวทำงกำรนำเสนอแนวปฏิบตั ิทดี่ ี (Best Practice) 1  ควำมหมำยของแนวปฏบิ ตั ิทดี่ ี 1  จุดเรม่ิ ต้นของ Best Practice 1  Best Practice มคี วำมสำคญั อย่ำงไร 1  Best Practice กับทฤษฎกี ำรเรยี นรู้ของ Thorndike 1  Best Practice ในหนว่ ยงำน 2  คณุ ลักษณะของ Best Practice 2  กำรดำเนนิ งำน Best Practice 3  แนวทำงกำรเขยี น Best Practice 4  กำรดำเนนิ งำนเพือ่ หำแนวปฏิบตั ิที่ดี (Best Practice) 7 ตำมแนวทำงวงจรคุณภำพของเดมมิ่ง (Deming Cycle : PDCA) 9  ตัวอยำ่ งกำรนำเสนอแนวปฏบิ ัตทิ ด่ี ี (Best Practice) 10  ดำ้ นกำรศึกษำขัน้ พนื้ ฐำน 22  ด้ำนกำรศกึ ษำเพื่อพัฒนำอำชีพ 30  ด้ำนกำรศกึ ษำตำมอธั ยำศัย 44  ดำ้ นกำรส่งเสรมิ กำรรู้หนังสอื ค แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

สำรบญั (ตอ่ ) หนำ้  กำรนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) 53 ตำมโครงกำรพฒั นำเด็กและเยำวชนในถนิ่ ทรุ กันดำร 53 ตำมพระรำชดำรสิ มเด็จพระเทพรัตนรำชสดุ ำฯ สยำมบรมรำชกุมำรี 54  ควำมเป็นมำของกำรพฒั นำเดก็ และเยำวชนในถิน่ ทุรกนั ดำร 54  แนวพระรำชดำรใิ นกำรพัฒนำเดก็ และเยำวชนในถ่ินทรุ กนั ดำร  กำรเขียนนำเสนอแนวปฏบิ ตั ทิ ดี่ ี (Best Practice) ตำมโครงกำรพัฒนำเด็กและเยำวชนในถนิ่ ทรุ กนั ดำร ตำมพระรำชดำริสมเดจ็ พระเทพรตั นรำชสดุ ำฯ สยำมบรมรำชกุมำรี  ตวั อยำ่ งกำรนำเสนอแนวปฏิบตั ทิ ดี่ ี (Best Practice) 59 ตำมโครงกำรพัฒนำเดก็ และเยำวชนในถ่นิ ทุรกันดำร ตำมพระรำชดำรสิ มเดจ็ พระเทพรตั นรำชสุดำฯ สยำมบรมรำชกุมำรี 60 66  ด้ำนโภชนำกำรและสุขภำพอนำมัย 71  ดำ้ นกำรศึกษำ 77  ด้ำนกำรส่งเสรมิ อำชีพ 84  ด้ำนกำรอนรุ กั ษท์ รพั ยำกรธรรมชำตแิ ละสงิ่ แวดล้อม  ดำ้ นกำรอนุรกั ษ์วฒั นธรรมทอ้ งถิน่  บรรณำนกุ รม 90  คณะผู้จดั ทำ 91 ง แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

แนวทางการนาเสนอแนวปฏิบตั ิทดี่ ี (Best Practice) ความหมายของแนวปฏบิ ตั ิท่ดี ี แนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) หมายถึง วิธีปฏิบัติหรือข้ันตอนการปฏิบัติที่ทาให้องค์กร ประสบความสาเร็จ หรือสู่ความเป็นเลิศตามเป้าหมาย เป็นที่ยอมรับในวงวิชาการหรือวิชาชีพน้ัน ๆ มีหลักฐานของความสาเร็จปรากฏชัดเจน โดยมีการสรุปวิธีปฏิบัติ หรือข้ันตอนการปฏิบัติ ตลอดจน ความรู้และประสบการณ์ บันทึกเป็นเอกสารเผยแพร่ให้หน่วยงานภายในหรือภายนอกสามารถ นาไปใช้ประโยชน์ได้ จดุ เรมิ่ ตน้ ของ Best Practice Best Practice เร่ิมจากวงการแพทย์ เป็นวิธีการปฏิบัติงานท่ีดี ไม่ว่าจะนาไปปฏิบัติท่ีไหน อย่างไร ซง่ึ ผลงานทีป่ ฏิบตั นิ ้ันได้นาไปสูผ่ ลสาเร็จ หนว่ ยงานจาเป็นต้องมีการแลกเปล่ียนวธิ ีการปฏิบัติ ที่ดีกับหน่วยงานย่อย และมีการแลกเปล่ียนระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ท้ังภายในและภายนอก ผลสุดท้าย คือการนา Best Practice น้ันไปใช้จนเป็นมาตรฐาน ตัวอย่างโปรแกรมที่ได้รางวัล คือ โปรแกรมการเชิญชวนผู้ดูแลผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งมารักษาท่ีศูนย์การรักษา โดยดาเนินกิจกรรมใน ลักษณะการวิจัย ผลของโปรแกรมพบว่า 90% ของผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยส่วนใหญ่เป็นมะเร็งใน ระยะแรกเท่าน้ัน ผปู้ ว่ ยมีความพงึ พอใจในการดูแลรกั ษาจากโปรแกรมดังกล่าวทเ่ี ปน็ Best Practice Best Practice มคี วามสาคัญอยา่ งไร จากหลักการที่ว่า “ถ้าได้นาความรู้ไปใช้ ความรู้นั้น ก็ยิ่งเพิ่มคุณค่า เพราะทาให้เกิดการต่อ ยอดความรู้ให้แตกแขนงออกไปอย่างกว้างขวาง” ดังน้ัน เป้าหมายสาคัญประการหนึ่งของการจัดการ ความรู้ในองค์กร คือ เพื่อให้คนในองค์กร มี Best Practice ในการทางานที่ช่วยเพิ่มผลผลผลิตท้ังใน ดา้ นคุณภาพและปริมาณ ดงั คากลา่ วของ Peter Senge ท่วี า่ ความรู้ คือความสามารถในการทาอะไร ก็ตาม อยา่ งมีประสทิ ธผิ ล (Knowledge is the capacity for effective actions) Best Practice กับทฤษฎีการเรียนร้ขู อง Thorndike Edward Lee Thorndike (พ.ศ. 2417-2492) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกันผู้ค้นพบทฤษฎี ความต่อเนื่อง (Connectionism) ทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่า การเรียนรู้เกิดจากการลองผิดลองถูก เช่น เมื่อใหผ้ ูเ้ รยี นทากจิ กรรมอะไรอยา่ งหน่ึง ซ่ึงไม่มคี วามรใู้ นเร่อื งน้นั มาก่อน ผู้เรยี นจะทาแบบลองผิดลอง ถกู เพอ่ื เลือกท่จี ริง ทงิ้ ทีเ่ ท็จ จนกระทัง่ จับไดว้ ่า ควรทาอยา่ งไร จงึ จะถูกตอ้ งและรวดเร็ว ก็จะเลอื กทา ด้วยวิธนี ั้นในครั้งต่อไป 1 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

Best Practice ในหนว่ ยงาน การทาใหเ้ กิด Best Practice ในหน่วยงาน สามารถทาใหเ้ กิดข้ึนได้หลายชอ่ งทาง 1. เกิดจากบุคคล อันมาจากการเรียนรู้หรือประสบการณ์ เป้าหมายของหน่วยงานท่ี คาดหวังความสาเร็จ ผู้ปฏิบัติงานเรียนรู้จากการปฏิบัติ ริเร่ิมสร้างสรรค์ แก้ปัญหาการทางาน เสนอแนะวิธีการทางาน อาจเกิดแนวคิด การรับรู้จากข้อแนะนาของผู้บริหาร วิทยากร เพื่อนร่วมงาน หน่วยงานอนื่ และผู้รบั บริการ ก่อใหเ้ กิดการสร้างสรรค์วิธีการใหมห่ รือวธิ กี ารทดี่ กี ว่า 2. เกิดจากปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติท่ีไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ความกดดันของ ผู้รับบริการ การแข่งขัน การขับเคล่ือนนโยบายขององค์กร ภาวะข้อจากัดของทรัพยากร ภาวะวิกฤต ทาให้มีการแสวงหาแนวทาง กระบวนการ วธิ ีการทีด่ กี ว่า เพอ่ื ให้ได้ผลสาเร็จสูงสดุ 3. เกิดจากแรงขับเคล่ือนการพัฒนา ค้นหาวิธีการใหม่ สร้างความพึงพอใจของผู้รับบริการ เสริมสรา้ งสร้างประสิทธภิ าพขององค์กร คณุ ลักษณะงานของ Best Practice การวินิจฉัย Best Practice เป็นพลังที่ช่วยกันยกระดับความคิด สามารถมีมุมมองที่แตกต่าง หลากหลาย ยอมรับมุมมองท่ีแตกต่างจากมุมมองของตนเองได้ดีข้ึน มีประเด็นในการพิจารณาพอ สังเขปดังน้ี 1. เป็นเร่ืองทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับภารกิจโดยตรงของหน่วยงาน 2. สนองตอ่ นโยบายการแกป้ ญั หา การพฒั นาประสิทธภิ าพของหนว่ ยงาน 3. ลดข้ันตอน ลดรอบระยะเวลาการทางาน 4. ลดทรพั ยากร ลดคา่ ใช้จา่ ย 5. มกี ารนาเทคโนโลยีมาใชป้ ระกอบการทางาน 6. ริเริม่ สร้างสรรค์วธิ ีการขนึ้ มาใหม่ หรือประยกุ ต์ขน้ึ ใหม่ 7. สามารถทาแผนผังเชิงเปรียบเทยี บวิธีการเก่ากับใหม่ และส่ิงท่ีเป็นวธิ ใี หม่จะใหป้ ระโยชน์ อะไรทีด่ ีกว่าวธิ ีเก่า 8. อานวยความสะดวกในการใช้ 9. วางระบบในการใหบ้ ริการ และมชี ่องทางที่หลากหลายในการให้บริการดงั กลา่ ว 10. สามารถเทียบเคยี งวธิ กี ารทางานลักษณะเดยี วกนั กบั หน่วยงานอ่ืนได้ 11. มผี ลผลติ /ความสาเร็จเพ่มิ ขนึ้ 12. ความพึงพอใจของผู้รบั บรกิ าร หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 13. สามารถนาไปใชเ้ ป็นมาตรฐานการทางานต่อไปไดย้ ่งั ยนื พอสมควร 14. มกี ารพฒั นาปรับปรงุ ตอ่ ไป 2 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

การดาเนนิ งาน Best Practice หน่วยงานสามารถดาเนินการได้หลายกระบวนการ เช่น ดาเนินการตามแนวทางวงจร คุณภาพของเดมมิ่ง (Deming Cycle : PDCA) P : การวางแผน D : การปฏิบัติ C : การตรวจสอบประเมินผล A : การปรับปรุงพัฒนา กาหนดกิจกรรมใหม่ และสามารถเลือกนาเทคนิคต่าง ๆ มาใช้ให้ เหมาะสมกับบริบทของหน่วยงาน เช่น CQI (Continuous Quality Improvement) RCA (Root Cause Analysis) FMEA (Failure Mode Evaluation Analysis) และอ่ืน ๆ มาช่วยในการดาเนนิ งาน จนเกิด Best Practice ซ่งี พอจะสรุปเปน็ ลาดับข้ัน ดงั น้ี 1. การคน้ หา Best Practice การค้นหา Best Practice เพ่ือดูส่ิงที่เราคิดว่า เจอแล้ว ใช่แล้ว และคิดว่าเป็น Best Practice ของเรา จรงิ ๆ แลว้ ใช่ หรอื ไม่ มีสิง่ ทช่ี ่วยในการคน้ หางา่ ย ๆ ดังนี้  การวิเคราะหบ์ รบิ ท ความคาดหวังของหน่วยงาน/สงั คม/ผมู้ สี ว่ นได้เสีย  พจิ ารณาวา่ PDCA ได้ครบวงจรหรอื ยัง  ขั้นตอนนนั้ เปน็ “นวัตกรรม” หรือไม่  ตง้ั คาถามว่านวตั กรรมนั้น  คอื อะไร What  ทาอย่างไร How  ทาเพื่ออะไร Why  วเิ คราะห์ปัจจัยท่สี าเร็จและบทเรยี นท่ไี ดเ้ รยี นรู้ 2. เกณฑ์พจิ ารณา Best Practice การพิจารณาว่าสิ่งท่ีผู้เขียน คิดว่าเป็น Best Practice นั้น ผู้อ่านมีเกณฑ์ง่าย ๆ ในการ พิจารณาวา่ เป็น Best Practice หรอื ไม่ ดงั น้ี 1) สอดคล้องกับ “ความคาดหวัง” ของหน่วยงาน/โรงเรียน/ชุมชน/ผู้ปกครอง/ ผเู้ กย่ี วขอ้ ง 2) มี PDCA จนเหน็ แนวโน้มของตวั ชว้ี ัด 3) ผู้เขียนบอกเล่าไดว้ ่า “ทาอะไร What” “ทาอย่างไร How” “ทาไมจงึ ทา Why” 4) ผลลัพธ์เป็นไป/สอดคลอ้ ง/สะท้อนตามมาตรฐานหรือข้อกาหนด 5) เป็นสง่ิ ท่ี “ปฏิบตั ไิ ด้จริงและเห็นผลแล้ว” ไม่ใชแ่ นวคิด หรือ ทฤษฎี 3 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

3. การเขยี น Best Practice การเขยี น Best Practice อาจเขยี นในรูปแบบ/องค์ประกอบ ดังน้ี 1) ข้อมูลทั่วไป 2) ผลงาน/ระบบงานท่ีเป็น Best Practice (ดีอย่างไร How) ซึ่งอาจเขียนโดยการแยก เปน็ 2 ส่วน คอื (1) ขนั้ ตอนการดาเนินงาน หรือ Flow (แผนภมู )ิ ของระบบงานทที่ า (2) วิธีการและนวัตกรรมที่เป็น Best Practice หรือ อาจเขียนบอกเล่าข้ันตอน การดาเนนิ งานจนสาเร็จเป็นผลงานท่ีดเี ลศิ เปน็ ความเรียงกไ็ ด้ 3) ปัจจัยเก้ือหนุน (ดีเพราะอะไร What) หรือปัจจัยแห่งความสาเร็จ/ความภาคภูมิใจ และบทเรียนทไ่ี ด้รับ 4) ผลการดาเนินงาน (ดีแค่ไหน Why) ซ่ึงอาจจะเอาไว้ในหัวข้อที่ 2 ก็ได้ ทั้งน้ี ควรเน้น ตวั ช้วี ัดสาคญั ต่าง ๆ ทีแ่ สดงให้เห็นแนวโนม้ การเปล่ียนแปลง ซง่ึ อาจใช้แผนภูมิหรอื กราฟ แสดงให้เห็น ถงึ การเปลีย่ นแปลงการดาเนินงานจนเกิดผลสาเร็จ และอาจมแี ผนงานในอนาคตด้วยก็ได้ แนวทางการเขียน Best Practice การนาเสนอแนวปฏิบัติที่ดี สามารถนาเสนอได้หลายรูปแบบ สาหรับการพัฒนาศักยภาพ บคุ ลากรในครัง้ น้ี ไดก้ าหนดหวั ข้อสาหรับการนาเสนอแนวปฏบิ ัตทิ ี่ดีประกอบดว้ ย 15 ห้วข้อ ดังนี้ 1. ช่อื ผลงาน (ระบุช่อื ผลงานท่เี ปน็ แนวปฏิบัตทิ ีด่ )ี ควรเป็นวิธีปฏิบัติหรือข้ันตอนการปฏิบัติงานสาคัญท่ีมีส่วนช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์/ เปา้ หมายทก่ี าหนดไว้ 2. หน่วยงาน/ สถานศึกษา/ กศน.ตาบล (ระบุชื่อหน่วยงาน/ สถานศึกษา/ กศน.ตาบลที่ พัฒนาแนวปฏิบัตทิ ด่ี )ี 3. คณะทางานพัฒนาแนวปฏบิ ัติที่ดี (ระบุชอ่ื บุคคล) 4. ความสอดคล้อง (ระบุความสอดคล้องที่เก่ียวข้อง เช่น ยุทธศาสตร์และจุดเน้น การดาเนนิ งาน กศน. วสิ ยั ทัศน/์ พันธกจิ ระบบประกนั คุณภาพสถานศึกษา ฯลฯ) 5. ที่มาและความสาคญั ของผลงาน ใหเ้ ขยี นระบุเหตุผล/ความจาเปน็ ว่าทาไมต้องทาโครงการน้ี 6. วตั ถุประสงค์ ให้ระบุว่า เมือ่ ไดท้ าโครงการ/กิจกรรมนแี้ ล้วเสร็จจะเกิดอะไรขึ้น หรือคาดหวังวา่ จะเกิด อะไรข้ึนที่เปน็ ผลจากการทาโครงการ/กจิ กรรมนี้ โดยเขยี นเป็นข้อ ๆ ใหช้ ดั เจน 4 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

7. วธิ ีดาเนินการ 7.1 เขียนอธิบายข้ันตอนการดาเนินงานโดยละเอียด เช่น ขั้นตอนที่ 1 เป็นขั้นตอน ศึกษาอะไร ศึกษาหรือแบ่งกลุ่มศึกษาอย่างไร และดูผลจากอะไร โดยวิธีไหน อย่างไร เป็นต้น ถดั จากนน้ั ข้ันตอนท่ี 2 ขน้ั ตอนที่ 3 ขน้ั ตอนท่ี 4 ทาอยา่ งไรไปเรื่อย ๆ 7.2 เขียนวิธีการทดลอง โดยเรียงลาดับก่อนหลัง ใส่หมายเลขเป็นข้อ ๆ เขียนให้ได้ ใจความตอ่ เนอื่ ง ชดั เจน กะทดั รัด อา่ นแลว้ เข้าใจงา่ ย ไมว่ กวน 7.3 บอกวธิ ีการหาขอ้ มูลว่าทาอย่างไร เชน่ นามาเขยี นในรูปตาราง แผนภูมิ กราฟ ฯลฯ 8. ตวั ช้วี ดั ความสาเรจ็ ให้ระบุว่า อะไรหรือสิ่งใดเป็นสิ่งบ่งบอกความสาเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ/ กจิ กรรม (ระบไุ วเ้ พือ่ การประเมินผล) รวมทั้งระบุเปา้ หมายของความสาเรจ็ ด้วย 9. การประเมนิ ผลและเครื่องมอื การประเมินผล ให้ระบุวิธีการประเมินผล และเคร่ืองมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลหรือเคร่ืองมือ การประเมินผลตามตวั ชีว้ ดั ที่ระบไุ วท้ ุกตัว 10. ผลการดาเนนิ งาน ใหร้ ะบผุ ลการดาเนนิ งานตามวตั ถปุ ระสงค์และตัวชว้ี ัด 11. บทสรปุ ให้ระบุบทสรุปท่ีได้จากการทาโครงการ/กิจกรรม ควรสรุปวิธีปฏิบัติหรือข้ันตอน การปฏิบตั ทิ ี่ดี ผลของการใช้แนวปฏิบัตทิ ี่ดี และความร้แู ละประสบการณ์ท่ีไดร้ บั 12. กลยทุ ธห์ รอื ปัจจัยทท่ี าให้ประสบความสาเร็จ ให้ระบุกลยุทธ์หรือปัจจัยท่ีนาไปสู่ความสาเร็จ ท่ีเป็นเทคนิค หรือวิธีการทางาน หรือ ปจั จยั ใด ๆ ท่ีคณะทางานเห็นวา่ ชว่ ยให้การทาโครงการ/กจิ กรรมแนวปฏิบัติท่ดี ปี ระสบความสาเรจ็ 13. ขอ้ เสนอแนะ ให้ระบุแนวทางการนาแนวปฏิบัติท่ีดีไปใช้ในการพัฒนางาน หรือพัฒนากระบวนการ ทางาน ควรเขยี นในลกั ษณะเสนอแนะวิธีการปรับปรุง/พัฒนางาน หรือพฒั นากระบวนการทางานให้ดีข้ึน 13.1 ให้บอกว่าสามารถนาความรู้ทไี่ ด้จากการศึกษา ไปทาอะไรไดบ้ ้าง 13.2 เขยี นข้อเสนอแนะเป็นขอ้ ๆ โดยเรยี งลาดบั ความสาคัญจากมากไปหานอ้ ย 14. การอ้างอิง (ระบุแหล่งอา้ งองิ เอกสารอ้างอิง ฯลฯ) ให้ระบุแหล่งที่มาของข้อความท่ีใช้อ้างอิง หรือข้อมูลท่ีใช้ค้นคว้า ศึกษาหาข้อมูล ท่ีนามาใช้ประโยชน์ในการทาโครงการ/กิจกรรมน้ี สาหรับรูปแบบการเขียนเอกสารอ้างอิงท่ีใช้ใน การทาโครงการมีการเขียนได้หลายรูปแบบ เช่น ระบบนาม-ปี เปน็ ต้น 5 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

เอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม เป็นการอ้างอิงส่วนท้ายบทความหรือท้ายเล่ม โดยผู้เขียนบทความจะต้องรวบรวมรายการเอกสารท้ังหมดท่ีได้ใช้อ้างอิงในผลงานของตน เรียกว่า รายการเอกสารอ้างอิง (References List) หรือ บรรณานุกรม (Bibliography) ซึ่งมีข้อแตกต่างกัน ดังน้ี 1) เอกสารอ้างอิง เป็นการรวบรวมเฉพาะรายการเอกสารท่ีถูกอ้างไว้ในส่วนเน้ือเรื่อง เท่าน้ัน ดังนั้น จานวนรายการเอกสารที่อ้างอิงในส่วนท้ายเร่ือง จึงต้องมีจานวนเท่ากันกับท่ีถูกอ้างอิง ไว้ในสว่ นเนื้อเรื่อง 2) บรรณานุกรม เป็นการรวบรวมรายการเอกสารท่ีใช้อ้างอิงในส่วนเนื้อหาท้ังหมด รวมทั้งรายการเอกสารที่มิได้อ้างไว้ในส่วนเน้ือเร่ือง มารวบรวมไว้ก็ได้ หากเห็นว่าเอกสารนั้นมี ความเกี่ยวข้อกับเรื่องที่เขียน และจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน ดังนั้นจานวนรายการเอกสารท่ีอ้างอิงใน สว่ นทา้ ยเร่ืองจงึ อาจมมี ากกว่าจานวนท่ถี กู อ้างอิงไวใ้ นส่วนเนื้อเรื่อง สาหรับการเลือกใช้ระหว่างเอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม ขึ้นอยู่กับลักษณะ การอ้างองิ ตามทีก่ ล่าวไว้ขา้ งตน้ 15. ภาคผนวก ส่วนประกอบท่ีเขียนเพิ่มเติมในตอนท้าย (ถ้ามี) เพื่อช่วยให้เห็นความสมบูรณ์ในข้อมูล เน้ือหา กระบวนการดาเนินงาน และผลของการดาเนินงาน อาจประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติท่ีเกี่ยวข้องอ่ืน ๆ นอกเหนือจากส่วนที่จัดไว้ใน เน้ือหา สาเนาเอกสารหายาก โปรแกรมคอมพิวเตอร์ท่ีใช้ นอกจากนี้อาจมีรายละเอียดอ่ืน ๆ เช่น คาอธิบายเก่ียวกับข้ันตอน หรือวิธีทาภาพประกอบ การสร้างเครื่องมือหรืออุปกรณ์การทดลอง ผลิตภัณฑ์ที่เกิดข้ึนหรือสร้างขึ้นในโครงการ/กิจกรรมนั้น ๆ สาหรับกรณีมีภาคผนวกหลายภาค ให้ จัดเป็นภาคผนวก ก ภาคผนวก ข และภาคผนวก ค ตามลาดับ และให้ขึ้นหน้าใหม่เม่ือขึ้นภาคผนวก ใหม่ และพมิ พ์หนา้ บอกตอนสาหรับภาคผนวกน้นั ๆ ด้วย 6 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

การดาเนินงานเพ่ือหาแนวปฏิบตั ิท่ีดี (Best Practice) ตามแนวทางวงจรคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle : PDCA) ดา้ นการวางแผน (P) 1. สารวจ รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มเป้าหมาย และข้อมูลบริบทของชุมชนในพ้ืนที่ ทีร่ บั ผดิ ชอบ 2. วิเคราะห์งานตามบทบาทหน้าท่ี และวิเคราะห์ความสอดคล้องที่เกี่ยวข้อง เช่น ยุทธศาสตร์และจดุ เนน้ การดาเนินงาน กศน. วสิ ยั ทศั น/์ พนั ธกิจ ระบบประกันคุณภาพสถานศึกษา ฯลฯ 3. ค้นหา Best Practice โดยมปี ระเด็นพิจารณา ดงั นี้  เป็นเรือ่ งท่เี กย่ี วข้องกับภารกจิ โดยตรงของหน่วยงาน/สถานศึกษา/บทบาทหนา้ ที่  สนองนโยบาย การแกป้ ญั หา การพฒั นาประสิทธภิ าพของหนว่ ยงาน/สถานศึกษา/ กลุม่ เปา้ หมาย  ลดขั้นตอน ลดรอบระยะเวลาการทางาน ลดทรพั ยากร ลดค่าใช้จา่ ย  เปน็ การนาเทคโนโลยีมาใช้ประกอบการทางาน  เป็นวิธีการริเริ่มสร้างสรรค์ข้ึนมาใหม่ หรือประยุกต์ขึ้นใหม่ (นวัตกรรม) โดยต้ัง คาถามวา่ นวตั กรรมนน้ั คอื อะไร (What) ทาอยา่ งไร (How) ทาเพ่ืออะไร (Why)  สามารถทาแผนผังเชิงเปรียบเทียบวิธีการเก่าและใหม่ และสิ่งท่ีเป็นวิธีใหม่จะให้ ประโยชนอ์ ะไรทด่ี กี ว่าวิธีเกา่  สามารถอานวยความสะดวกในการใช้  เป็นการวางระบบในการให้บริการ และมีช่องทางที่หลากหลายในการให้บริการ ดังกลา่ ว  สามารถเทยี บเคยี งวธิ กี ารทางานลักษณะเดียวกันกับหนว่ ยงานอื่นได้  มีผลผลิต/ความสาเรจ็ เพมิ่ ข้นึ  มีการประเมนิ ความพึงพอใจของผรู้ ับบรกิ าร หรือผู้มีส่วนได้สว่ นเสีย  สามารถนาไปใชเ้ ป็นมาตรฐานการทางานต่อไปได้ยง่ั ยนื พอสมควร  มกี ารพัฒนาปรบั ปรุงต่อไป 4. นาข้อมูลจากการวิเคราะห์และพิจารณาในข้อ 1 – 3 มากาหนดกรอบการดาเนินงานท่ี พิจารณาแล้วว่าเปน็ แนวปฏิบตั ิทีด่ ี (Best Practice) เพือ่ เปน็ แนวทางในการปฏิบตั ิงาน  กาหนดวัตถปุ ระสงคโ์ ครงการ/กจิ กรรม  กาหนดตวั ช้ีวัดความสาเรจ็  กาหนดวิธดี าเนินการ  กาหนดวิธีการประเมนิ ผลและเคร่ืองมือการประเมินผล 7 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ด้านการดาเนนิ งาน (D) ปฏบิ ตั ิงานตามกรอบการดาเนินงานของแนวปฏบิ ัติทด่ี ี (Best Practice) ดา้ นการตรวจสอบและประเมินผล (C) ติดตามและประเมินผล โดยใชว้ ิธีการและเครื่องการประเมินผลทก่ี าหนด ด้านการปรบั ปรุงและพัฒนาผลการปฏิบตั งิ าน (A) 1. สรปุ ผลการดาเนินงาน 2. จัดทารายงาน เพื่อนาเสนอแนวปฏิบัตทิ ่ีดี (Best Practice) ตามหวั ข้อการนาเสนอแนว ปฏิบัตทิ ด่ี ี (Best Practice) 1) ช่ือผลงาน (ระบุช่อื ผลงานที่เปน็ แนวปฏบิ ัตทิ ด่ี )ี 2) หน่วยงาน/ สถานศึกษา/ กศน.ตาบล (ระบชุ ่ือหนว่ ยงาน/ สถานศึกษา/ กศน. ตาบลทพ่ี ฒั นาแนวปฏบิ ตั ิที่ด)ี 3) คณะทางานพฒั นาแนวปฏิบัติท่ีดี (ระบุชือ่ บุคคล) 4) ความสอดคล้อง (ระบุความสอดคล้องที่เก่ยี วขอ้ ง เชน่ ยุทธศาสตรแ์ ละจดุ เนน้ การ ดาเนินงาน กศน. วสิ ยั ทัศน/์ พันธกจิ ระบบประกนั คณุ ภาพสถานศึกษา ฯลฯ) 5) ท่มี าและความสาคัญของผลงาน 6) วัตถุประสงค์ 7) วิธดี าเนนิ การ 8) ตวั ช้ีวัดความสาเรจ็ 9) การประเมินผลและเครื่องมือการประเมนิ ผล 10) ผลการดาเนินงาน 11) บทสรปุ 12) กลยุทธ์หรอื ปัจจัยที่ทาใหป้ ระสบความสาเรจ็ 13) ขอ้ เสนอแนะ 14) การอา้ งอิง (ระบแุ หล่งอา้ งอิง เอกสารอา้ งอิง ฯลฯ) 15) ภาคผนวก 8 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ตัวอยา่ งการนาเสนอแนวปฏบิ ัติที่ดี (Best Practice) ตัวอย่างการนาเสนอแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ของงาน กศน. ที่จะนาเสนอ ต่อไปนี้ คณะผู้จัดทาได้ปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบางส่วน เพ่ือให้ผู้ศึกษาเอกสารได้มองเห็นภาพการ นาเสนอแนวปฏบิ ตั ิท่ดี ีที่ครอบคลุมทกุ ประเดน็ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการนาเสนอแนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) ของงาน กศน. ซ่ึงจะ ขอนาเสนอตัวอย่างเพียงบางส่วนของบทบาทหน้าท่ีของครู กศน. ทง้ั ครู กศน.ตาบล และครูอาสาสมัคร ดงั นี้ 1) ดา้ นการศึกษาขัน้ พืน้ ฐาน 2) ดา้ นการศึกษาเพือ่ พฒั นาอาชพี 3) ดา้ นการศกึ ษาตามอัธยาศัย 4) ดา้ นการสง่ เสริมการรู้หนังสอื 9 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ตัวอยา่ งที่ 1 : ด้านการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน 1. ช่อื ผลงาน : ผลการใช้แบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นสะกดคาภาษาไทยของผู้เรียนระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กศน.ตาบลห้างฉตั ร อาเภอหา้ งฉัตร จงั หวัดลาปาง 2. หนว่ ยงาน/ สถานศึกษา : กศน.อาเภอห้างฉัตร สานกั งาน กศน.จงั หวดั ลาปาง 3. คณะทางาน นางจรัสรชั ช์ ถาน้อย ครู กศน.ตาบล 4. ความสอดคลอ้ ง สอดคล้องกับยุทธศาตร์และจุดเน้นการดาเนินงาน สานักงาน กศน. ปีงบประมาณ 2559 ยุทธศาตร์ที่ 1 ลดความเหล่ือมล้า สร้างโอกาส และยกระดับคุณภาพการศึกษา ข้อ 1.3 ยกระดับ คุณภาพการจัดการศึกษาและการเรียนรู้การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย “ปรับวิธี เรียน เปลี่ยนวิธีจัดการเรียนรู้” โดยการพัฒนาหลักสูตร การพัฒนาสื่อ การพัฒนาส่ือเทคโนโลยีเพื่อ การศึกษา การพัฒนาระบบ ICT การพัฒนาบุคลากรผู้เกี่ยวข้อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา การประเมินเทียบระดับการศึกษา การพัฒนาระบบสะสมและการเทียบโอนผลการเรียน และให้ความสาคัญกับการวิจัยเพ่ือการพัฒนา งานในรูปแบบตา่ ง ๆ 5. ทมี่ าและความสาคัญของปัญหา การเขียนเป็นการส่ือสารเพ่ือแสดงออกถึงความรู้ ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์โดยใช้ ตัวหนังสือ และเคร่ืองหมายต่าง ๆ เป็นเคร่ืองมือส่ือสาร ดังนั้น การเขียนจึงเป็นทักษะท่ีสาคัญ ท่ีสามารถสื่อความหมายได้นานกว่าการพูด สามารถตรวจสอบและใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงได้ อีกทั้ง เป็นเคร่อื งมือในการถา่ ยทอดมรดกทางวัฒนธรรมได้อีกวิธหี นึง่ (ชนดิ า ภมู สิ ถิต, ม.ป.ป.) กศน.ตาบลห้างฉัตร ได้ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรียน ท่ี 2 ปีการศึกษา 2558 พบว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่เขียนคา ไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย สะกดผิด เขียน พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ผิด เขียนตามภาษาพูด ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงต้องการพัฒนาผู้เรียนระดับ มัธยมศกึ ษาตอนปลายให้มีทักษะการเขียนภาษาไทยท่ีถูกต้อง โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคา ภาษาไทย 6. วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย 6.1 เพอื่ หาค่าพัฒนาการท่ีเพิม่ ขน้ึ ของผเู้ รียนท่ีเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคาของ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย โดยการหาคา่ ดัชนปี ระสิทธผิ ล (E.I.) 6.2 เพ่อื ศึกษาความพึงพอใจต่อการใชแ้ บบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย 10 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

7. วิธดี าเนินการวิจัย 7.1 กาหนดกล่มุ เป้าหมาย 7.1.1 ประชากร ผู้เรียน กศน.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ท่ีลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาไทย ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2558 จานวน 47 คน ของ กศน.ตาบลห้างฉัตร อาเภอห้างฉัตร จังหวัด ลาปาง 7.1.2 กลมุ่ ตัวอยา่ ง ผู้เรียน กศน.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ท่ีลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาไทย ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ท่ีมีปัญหาในการเขียนสะกดคาไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ของ กศน. ตาบลห้างฉตั ร อาเภอหา้ งฉตั ร จังหวัดลาปาง โดยเลือกแบบเจาะจง จานวน 20 คน 7.2 การดาเนินการจดั กิจกรรม การดาเนินการจัดกิจกรรมครง้ั นี้ ไดด้ าเนินการตามขัน้ ตอน ดังต่อไปน้ี 7.2.1 ศึกษาสภาพ ปัญหาและวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เรียนที่เรียนรายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 โดยใช้แบบทดสอบ การสังเกต และแบบสารวจ ความต้องการ เพือ่ วเิ คราะห์สภาพ ปญั หา และความตอ้ งการของผู้เรยี นที่มปี ัญหาในการเรียนรายวิชา ภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 7.2.2 วิเคราะห์งานตามบทบาทหน้าที่ และวิเคราะห์ความสอดคล้องท่ีเกี่ยวข้อง เช่น ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดาเนินงาน กศน. วิสัยทัศน์/พันธกิจ ระบบประกันคุณภาพสถานศึกษา ฯลฯ ซึ่งจากการวิเคราะห์เห็นได้ว่า การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยน้ี เป็น บทบาทหน้าท่ีของครูผู้สอนท่ีจะต้องช่วยเหลือแก้ปัญหา และพัฒนาผู้เรียนให้สามารถบรรลุ จุดประสงค์การเรียนรู้ในเร่ือง การเขียนสะกดคาภาษาไทย ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และจุดเน้น การดาเนินงาน กศน. ประจาปีงบประมาณ 2559 ในเร่ือง “ปรับวิธีเรียน เปลี่ยนวิธีจัดการเรียนรู้” โดยการพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย เพื่อแก้ปัญหาการเขียนสะกดคาภาษาไทย ของผู้เรียนที่มีปัญหาในการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2559 7.2.3 ค้นหา Best Practice ในการแก้ปัญหาการเขียนสะกดคาภาษาไทย โดยนา ประเด็นการพิจารณาเพื่อค้นหา Best Practice มาพิจารณา พบว่า เป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับบทบาท หน้าท่ีโดยตรงของครูผู้สอนในการช่วยเหลือผู้เรียนแก้ปัญหาการเรียน จึงได้วางแผนเพ่ือดาเนินการ แกป้ ัญหาการเรียนของผู้เรยี น ดงั นี้ 11 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

1) ครูสร้างความเข้าใจกับผู้เรียนในการร่วมกันแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน เพ่อื ใหผ้ ูเ้ รยี นได้เรียนรู้ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 2) ครศู กึ ษาข้อมลู และเทคนิควิธีการในการแก้ปญั หาและพัฒนาผ้เู รียนจากแหล่ง เรียนรู้ต่าง ๆ ได้แก่ เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อินเทอร์เน็ต ผู้รู้ ฯลฯ เพื่อนามาประยุกต์ใช้ในการ แกป้ ญั หาท่ีเกดิ ขนึ้ กับผเู้ รยี น 3) ครูวางแผนการพัฒนาสื่อ ได้แก่ แบบฝึกการเขียนสะกดคาภาษาไทย เพื่อ แก้ปัญหาการเขียนสะกดคาภาษาไทย ของผู้เรียนที่มีปัญหาในการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2559 4) ครูวางแผนการติดตามประเมินผลการใชแ้ บบฝึกการเขียนสะกดคาภาษาไทย ดังกล่าว โดยการนาไปใช้จัดการเรียนการสอน วัดผลและประเมินผลการเรียน รวมท้ังประเมินความ พงึ พอใจของผ้เู รียนต่อแบบฝกึ การเขยี นสะกดคาภาษาไทย 7.2.4 ดาเนนิ การสร้างเคร่ืองมือ ไดแ้ ก่ 1) เครือ่ งมอื ท่ใี ช้ในการพฒั นาการเขยี นของกลุ่ม ตัวอย่าง คือ แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย จานวน 5 แบบฝึก โดยการกาหนดประเด็น เน้ือหาในแบบฝึกฯ ให้ครอบคลุมปัญหาท่ีเกิดข้ึนกับผู้เรียนทุกเร่ือง เช่น ตัวสะกด พยัญชนะ สระ วรรณยกุ ต์ เป็นตน้ และเลือกใช้คาทีต่ ้องใช้ในชีวติ ประจาวัน เพ่ือใหผ้ ้เู รียนเกดิ ความเข้าใจงา่ ยขึ้น และ 2) เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลัง เรียน และ แบบสอบถามความพงึ พอใจต่อการใช้แบบฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย เพอื่ ใช้ใน การตดิ ตามประเมนิ ผลการใชแ้ บบฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย 7.2.5 ตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือก่อนนาไปใช้ โดยผู้เช่ียวชาญ โดยใช้แบบประเมิน คณุ ภาพของแบบฝึกการเขียนสะกดคาภาษาไทย เปน็ แบบมาตราประมาณค่า 5 ระดบั แบบตรวจสอบ คุณภาพแบบทดสอบก่อนเรียน–หลังเรียน และแบบประเมินประเด็นประเมินความพึงพอใจของ ผู้เรียนต่อแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย พร้อมทั้งปรับปรุงแก้ไขเคร่ืองมือการวิจัยตาม ขอ้ เสนอแนะของผเู้ ช่ียวชาญ เพอื่ ให้เครือ่ งมือการวจิ ยั มีคณุ ภาพ สามารถนาไปใชใ้ นการแก้ปัญหาและ พัฒนาผเู้ รยี นให้บรรลจุ ดุ ประสงค์การเรยี นรู้ได้ 7.2.6 นาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา ไปจัดการเรียนการสอนกับกลุ่มตัวอย่าง ผู้เรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง จานวน 20 คน จานวน 5 คร้ัง ๆ ละ 2 ช่ัวโมง โดยดาเนินการตามข้ันตอน การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน โดยใช้รปู แบบ ONIE Model ดงั น้ี 12 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ขนั้ นาเขา้ สู่บทเรียน (O : Orientation) 1) ครูพูดคุยกับผู้เรียนเก่ียวกับการติดต่อสื่อสารทางลายลักษณ์อักษรทั้งที่ เป็นทางการและไม่เป็นทางการว่า มีอะไรบ้าง (ได้แก่ การเขียนจดหมายราชการ การเขียนจดหมาย สมัครงาน การกรอกข้อมูลหรอื ขอ้ ความผ่านสือ่ ออนไลน์ เชน่ ไลน์ เฟซบุก๊ ฯลฯ เปน็ ต้น) 2) ครูให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาการเขียนเพื่อการส่ือสาร และคาทตี่ ้องใชบ้ อ่ ย แต่เป็นคายากท่ีผเู้ รยี นเขยี นไมไ่ ด้ 3) ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับสภาพปัญหาการเขียนของตนเอง และคาที่ ต้องใช้บ่อยแต่เขียนไม่ได้ (เช่น การติดต่อส่ือสารกับพ่อ แม่ ลูก ญาติพ่ีน้อง หรือเพื่อน ฯลฯ ผ่านทางไลน์ เฟซบุ๊ก เปน็ ต้น) 4) ครูแจ้งจดุ ประสงค์การเรียนรใู้ หผ้ ู้เรยี นทราบว่า เม่ือเรียนโดยใชแ้ บบฝึกทักษะ การเขยี นสะกดคาภาษาไทยจบแล้ว ผเู้ รยี นจะมีความรู้ ความเขา้ ใจ และทกั ษะในเรอื่ งใดบา้ ง ขน้ั จัดกระบวนการเรยี นรู้ (N : New ways) 1) ครูช้ีแจงทาความเข้าใจกับผู้เรียนในการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคาภาษาไทย จานวน 5 แบบฝึก 2) ผเู้ รียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน 3) ผูเ้ รียนเรยี นรเู้ ร่ืองการเขียนสะกดคาภาษาไทย โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะการเขียน สะกดคา จานวน 5 แบบฝึก โดยผ้เู รยี นต้องเรยี นรู้พรอ้ มทั้งฝกึ ทักษะทลี ะแบบฝกึ 4) เมื่อผู้เรียนเรียนรู้และฝึกทักษะจบแต่ละแบบฝึก ครูและผู้เรียนร่วมกันสรุป องคค์ วามรู้จากการเรียนรู้และฝกึ ทกั ษะโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคา ข้ันฝึกปฏบิ ตั ิ (I : Implement) 1) เมื่อผู้เรียนเรียนรู้และฝึกทักษะจบแต่ละแบบฝึก ครูให้ผู้เรียนฝึก การติดต่อสื่อสารกับเพ่ือนผ่านสื่อออนไลน์ท้ังไลน์ และเฟซบุ๊ก โดยใช้สมาร์ทโฟนของผู้เรียน หรือ คอมพวิ เตอรใ์ น กศน.ตาบล สาหรับผเู้ รยี นทไ่ี ม่มีสมาร์ทโฟน 2) กรณผี เู้ รยี นทย่ี งั ไม่ไดส้ มัครเปน็ สมาชิกไลน์ หรือเฟซบุก๊ ครูให้ผเู้ รียนฝึกการใช้ ไลน์และเฟซบุก๊ โดยเริม่ จากการกรอกขอ้ มูลการสมัครใชไ้ ลน์และเฟซบุก๊ ข้นั ประเมนิ ผล (D : Evaluation) 1) เมื่อผู้เรียนเรียนรู้และฝึกทักษะครบทุกแบบฝึก พร้อมท้ังนาไปฝึกปฏิบัติ โดยประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประชวี ติ ประจาวนั ผ่านสอ่ื ออนไลน์แล้ว ครใู หผ้ ู้เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี น 2) ครูให้ผู้เรียนตอบแบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการใช้แบบฝึก ทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย 13 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

7.2.7 ดาเนินการวิเคราะหข์ ้อมลู ดังน้ี 1) คานวณหาคา่ ร้อยละและค่าเฉล่ยี จากคะแนนทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียน ของกลุ่มตวั อย่าง 2) คานวณหาค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) และค่าร้อยละท่ีเพ่ิมข้ึนหลังเรียน จากผลรวมคะแนนทดสอบกอ่ นเรียนและผลรวมคะแนนทดสอบหลงั เรียนของกลุม่ ตัวอยา่ ง 3) คานวณหาค่าเฉล่ียและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจต่อการใช้ แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย โดยแปลความหมายของระดับความพงึ พอใจ 7.2.8 สรุปผลการวิจัยและจัดทารายงาน เพ่ือนาเสนอแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ด้านการศึกษาข้นั พืน้ ฐาน 7.2.9 เผยแพร่ผลงานแนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) ด้านการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน โดย การนาเสนอผลงานกับเพื่อนครู เพ่อื ใหเ้ กิดกจิ กรรมแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ และนาไปสกู่ ารประยุกตใ์ ช้และ พฒั นางานอย่างตอ่ เน่อื ง 7.2.10 นาข้อเสนอแนะของผู้เรียนที่ได้ทดลองใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา ภาษาไทย และจากการวิพากษ์ของเพ่ือนครูในกิจกรรมเผยแพร่ผลงานและแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับ เพอื่ นครู มาดาเนนิ การปรับปรุงแก้ไขแบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคาภาษาไทยให้สมบรู ณ์ยิ่งขนึ้ เพ่ือ นาไปใช้ในการพัฒนาผู้เรียนกลุ่มอนื่ ๆ ทม่ี ีสภาพปญั หาเหมอื นกนั ตอ่ ไป 8. ตวั ช้วี ดั ความสาเรจ็ 8.1 แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สามารถพัฒนาทักษะ การเขียนสะกดคาภาษาไทยของผู้เรียนท้งั กลุม่ ได้ 8.2 ผ้เู รยี นมีความพงึ พอใจต่อการใชแ้ บบฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคา อยใู่ นระดับมากขน้ึ ไป 9. การประเมนิ ผลและเครื่องมือการประเมนิ ผล 9.1 การประเมินผล เมื่อดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เรียบร้อยแลว้ ผู้วิจัยนาข้อมลู มาวเิ คราะห์ ดงั นี้ 9.1.1 คานวณหาค่าร้อยละและค่าเฉล่ีย จากคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ของกลุ่มตวั อยา่ ง 9.1.2 คานวณหาค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) และค่าร้อยละที่เพ่ิมข้ึนหลังเรียน จาก ผลรวมคะแนนทดสอบก่อนเรียนและผลรวมคะแนนทดสอบหลงั เรยี นของกลุม่ ตวั อยา่ ง 9.1.3 คานวณหาค่าเฉล่ียและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจต่อการใช้แบบ ฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย โดยแปลความหมายของระดับความพงึ พอใจ กาญจนา วัฒนายุ (2548: 166) ดงั นี้ 14 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ค่าเฉล่ยี 4.50 - 5.00 หมายถงึ มีความพึงพอใจระดับมากทีส่ ดุ ค่าเฉล่ีย 3.50 - 4.49 หมายถงึ มีความพึงพอใจระดบั มาก คา่ เฉลยี่ 2.50 - 3.49 หมายถึง มคี วามพึงพอใจระดบั ปานกลาง คา่ เฉลี่ย 1.50 - 2.49 หมายถึง มีความพึงพอใจระดบั น้อย ค่าเฉลย่ี 1.00 - 1.49 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจระดับน้อยที่สดุ 9.2 เคร่อื งมอื การประเมินผล เครอ่ื งมือทใี่ ช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบดว้ ย 9.2.1 เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาการเขียนของกลุ่มตัวอย่าง คือ แบบฝึกทักษะการ เขยี นสะกดคาภาษาไทย จานวน 5 แบบฝึก 9.2.2 เครอื่ งมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ไดแ้ ก่ 1) แบบทดสอบก่อนเรียน เป็นแบบปรนัย ชนดิ เลอื กตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ข้อ 2) แบบทดสอบกอ่ นเรียน เป็นแบบปรนัย ชนดิ เลือกตอบ 4 ตัวเลอื ก จานวน 20 ขอ้ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา ภาษาไทย เป็นแบบมาตราสว่ นประมารณคา่ 5 ระดับ ข้นั ตอนการสร้างเคร่ืองมอื 1) ศึกษาหลักการ วิธีการในการสร้างแบบฝึกทักษะ แบบทดสอบ และแบบสอบถาม จากเอกสารและงานวิจยั ท่เี ก่ียวข้อง 2) สรา้ งแบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคา แบบทดสอบกอ่ นเรียน แบบทดสอบหลังเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย 3) นาเครอ่ื งมือการวิจัยทส่ี ร้างขนึ้ ให้ผเู้ ชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพ ดังนี้ (1) แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยตรวจสอบความสอดคล้องของ เนอ้ื หากับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ (2) แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน ตรวจสอบความสอดคล้อง ของขอ้ คาถามกับจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ (3) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา ภาษาไทย ตรวจสอบความสอดคลอ้ งของประเดน็ คาถามกับวตั ถปุ ระสงค์การวิจยั 4) ปรับปรุงแก้ไขเครื่องมือการวิจัยตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ก่อนนาไปทดลอง ใช้กับกลมุ่ ตัวอยา่ ง 15 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

10. ผลการวจิ ยั 10.1 ค่าดัชนีประสิทธิผลเป็นกลุ่ม มีค่าเท่ากับ 0.6419 คิดเป็นค่าร้อยละที่เพิ่มขึ้นหลังเรียน ของผู้เรียนท้ังกลุ่ม เท่ากับ 64.19 แสดงว่าการพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคาของผู้เรียนดว้ ยแบบฝึก ทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย สามารถพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคาของผู้เรียนทั้งกลุ่มได้ โดยมคี ่ารอ้ ยละทีเ่ พม่ิ ขน้ึ คดิ เปน็ 64.19 10.2 ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา อยู่ในระดับมาก มคี ่าเฉลยี่ 3.60 (S.D = 0.94) 11. บทสรปุ การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยครั้งน้ี ดาเนินการตามแนวทางวงจร คณุ ภาพของเดมมิ่ง (Deming Cycle : PDCA) ดังนี้ ด้านการวางแผน (P) 1. ศึกษาสภาพ ปัญหาและวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เรียนที่เรียนรายวิชาภาษาไทย ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2559 โดยใช้แบบทดสอบ การสงั เกต และแบบสารวจความต้องการ เพื่อวิเคราะห์สภาพ ปัญหา และความต้องการของผู้เรียนที่มีปัญหาในการเรียนรายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2559 2. วิเคราะห์งานตามบทบาทหน้าที่ และวิเคราะห์ความสอดคล้องท่ีเกี่ยวข้อง เช่น ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดาเนินงาน กศน. วิสัยทัศน์/พันธกิจ ระบบประกันคุณภาพสถานศึกษา ฯลฯ ซึ่งจากการวิเคราะห์เห็นได้ว่า การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยนี้ เป็นบทบาท หน้าที่ของครูผู้สอนท่ีจะต้องช่วยเหลือแก้ปัญหา และพัฒนาผู้เรียนให้สามารถบรรลุจุดประสงค์ การเรียนรู้ในเร่อื ง การเขียนสะกดคาภาษาไทย ซงึ่ สอดคล้องกบั ยุทธศาสตรแ์ ละจุดเน้นการดาเนินงาน กศน. ประจาปีงบประมาณ 2559 ในเรื่อง “ปรับวิธีเรียน เปล่ียนวิธีจัดการเรียนรู้” โดยการพัฒนา แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย เพ่ือแก้ปัญหาการเขียนสะกดคาภาษาไทย ของผู้เรียนที่มี ปัญหาในการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2559 3. ค้นหา Best Practice โดยพิจารณาประเด็น ดังนี้  เปน็ เร่อื งทเ่ี กย่ี วขอ้ งกับภารกจิ โดยตรงของบทบาทหน้าที่  สนองนโยบาย การแก้ปญั หา การพัฒนาประสิทธภิ าพของผูเ้ รยี น กศน.  เป็นวิธีการริเริ่มสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ หรือประยุกต์ข้ึนใหม่ (นวัตกรรม) โดยตั้ง คาถามว่า นวตั กรรมนน้ั คืออะไร (What) ทาอย่างไร (How) ทาเพอ่ื อะไร (Why) 16 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

 มีการประเมนิ ความพงึ พอใจของผู้เรียน  สามารถนาไปใช้เป็นมาตรฐานการทางานตอ่ ไปไดย้ ั่งยืนพอสมควร  มีการพัฒนาปรบั ปรุงตอ่ ไป จากการพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ดังกล่าว เพ่ือค้นหา Best Practice ในการแก้ปัญหา การเขียนสะกดคาภาษาไทย พบว่า เป็นเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่โดยตรงของครูผู้สอนใน การช่วยเหลือผู้เรียนแก้ปัญหาการเรียน จึงได้วางแผนเพื่อดาเนินการแก้ปัญหาการเรียนของผู้เรียน ดังน้ี 3.1 ครูสร้างความเข้าใจกับผู้เรียนในการร่วมกันแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน เพ่ือให้ ผเู้ รียนได้เรยี นรตู้ ามจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3.2 ครูศึกษาข้อมูลและเทคนคิ วิธีการในการแกป้ ัญหาและพัฒนาผู้เรียนจากแหลง่ เรียนรู้ ตา่ ง ๆ ได้แก่ เอกสารงานวิจัยท่ีเก่ียวข้อง อนิ เทอร์เน็ต ผูร้ ู้ ฯลฯ เพื่อนามาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา ท่เี กิดข้นึ กับผเู้ รียน 3.3 ครูวางแผนการพัฒนาส่ือ ได้แก่ แบบฝึกการเขียนสะกดคาภาษาไทย เพื่อแก้ปัญหา การเขียนสะกดคาภาษาไทย ของผู้เรียนท่ีมีปัญหาในการเขียนสะกดคา รายวิชาภาษาไทย ระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2559 3.4 ครูวางแผนการติดตามประเมินผลการใช้แบบฝึกการเขียนสะกดคาภาษาไทย ดังกล่าว โดยการนาไปใช้จัดการเรียนการสอน วัดผลและประเมินผลการเรียน รวมท้ังประเมิน ความพึงพอใจของผ้เู รยี นตอ่ แบบฝึกการเขียนสะกดคาภาษาไทย 4. นาข้อมูลจากการวิเคราะห์และพิจารณาในข้อ 1 – 3 มากาหนดกรอบการดาเนินงานท่ี พิจารณาแลว้ วา่ เปน็ แนวปฏิบตั ิท่ดี ี (Best Practice) โดยดาเนินการ ดงั นี้ 1) กาหนดวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั 2) กาหนดตัวช้วี ดั ความสาเร็จ 3) กาหนดวธิ ีดาเนนิ การ 4) กาหนดวิธีการประเมินผลและเครือ่ งมือการประเมนิ ผล ด้านการดาเนินงาน (D) 1. ดาเนนิ การสรา้ งเครือ่ งมือ ดังนี้ 1.1 เครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาการเขียนของกลุ่มตัวอย่าง คือ แบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคาภาษาไทย จานวน 5 แบบฝึก โดยการกาหนดประเด็นเนื้อหาในแบบฝึกฯ ให้ครอบคลุม ปัญหาท่ีเกิดข้ึนกับผู้เรียนทุกเร่ือง เช่น ตัวสะกด พยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ เป็นต้น และเลือกใช้คาท่ี ต้องใช้ในชีวิตประจาวนั เพื่อใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความเขา้ ใจง่ายข้ึน 17 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

1.2 เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบหลังเรียน และ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา ภาษาไทย เพื่อใชใ้ นการติดตามประเมนิ ผลการใช้แบบฝึกทกั ษะการเขยี นสะกดคาภาษาไทย 2. ตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมอื ก่อนนาไปใช้ โดยผู้เชีย่ วชาญ โดยใชแ้ บบประเมินคุณภาพของ แบบฝึกการเขียนสะกดคาภาษาไทย เป็นแบบมาตราประมาณค่า 5 ระดับ แบบตรวจสอบคุณภาพ แบบทดสอบ ก่อนเรียน – หลังเรียน และแบบประเมินประเด็นประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อ แบบฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย พร้อมทง้ั ปรบั ปรุงแก้ไขเครื่องมือการวิจัยตามข้อเสนอแนะ ของผู้เชยี่ วชาญ เพ่ือให้เครื่องมือการวจิ ยั มคี ุณภาพ สามารถนาไปใชใ้ นการแกป้ ัญหาและพฒั นาผู้เรียน ใหบ้ รรลุจดุ ประสงคก์ ารเรียนรไู้ ด้ 3. ดาเนินการจัดการเรียนการสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยกับ ผู้เรียนท่ีเป็นกลุ่มตัวอย่าง จานวน 20 คน โดยดาเนินการตามข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอน โดยใชร้ ปู แบบ ONIE Model ดังน้ี ขนั้ นำเขำ้ สูบ่ ทเรียน (O : Orientation) 1) ครูพูดคุยกับผู้เรียนเกี่ยวกับการติดต่อส่ือสารทางลายลักษณ์อักษรท้ังที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการว่า มีอะไรบ้าง (ได้แก่ การเขียนจดหมายราชการ การเขียนจดหมายสมัครงาน การกรอกข้อมูลหรือขอ้ ความผ่านส่อื ออนไลน์ เชน่ ไลน์ เฟสบ้คุ ฯลฯ เป็นตน้ ) 2) ครใู ห้ผู้เรยี นแสดงความคดิ เหน็ เก่ียวกบั สภาพปัญหาการเขยี นเพ่ือการส่ือสาร และคาท่ี ตอ้ งใช้บ่อย แตเ่ ปน็ คายากทผี่ ู้เรยี นเขยี นไม่ได้ 3) ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาการเขียนของตนเอง และคาที่ต้องใช้ บ่อยแต่เขียนไม่ได้ (เช่น การติดต่อส่ือสารกับพ่อ แม่ ลูก ญาติพี่น้อง หรือเพื่อน ฯลฯ ผ่านทางไลน์ เฟสบคุ้ เป็นต้น) 4) ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนทราบว่า เมื่อเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การเขยี นสะกดคาภาษาไทยจบแล้ว ผูเ้ รยี นจะมคี วามรู้ ความเข้าใจ และทกั ษะในเร่อื งใดบา้ ง ขัน้ จดั กระบวนกำรเรยี นรู้ (N : New ways) 1) ครูช้ีแจงทาความเข้าใจกับผู้เรียนในการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคา ภาษาไทย จานวน 5 แบบฝกึ 2) ผ้เู รยี นทาแบบทดสอบก่อนเรยี น 3) ผเู้ รียนเรียนรเู้ รอื่ งการเขยี นสะกดคาภาษาไทย โดยใช้แบบฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคา จานวน 5 แบบฝกึ โดยผูเ้ รียนตอ้ งเรยี นรู้พรอ้ มท้ังฝกึ ทกั ษะทีละแบบฝกึ 4) เม่ือผู้เรียนเรียนรูแ้ ละฝกึ ทักษะจบแต่ละแบบฝึก ครูและผู้เรียนร่วมกันสรุปองค์ความรู้ จากการเรยี นรแู้ ละฝกึ ทักษะโดยใช้แบบฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคา 18 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ขนั้ ฝกึ ปฏบิ ัติ (I : Implement) 1) เม่ือผู้เรียนเรียนรู้และฝึกทักษะจบแต่ละแบบฝึก ครูให้ผู้เรียนฝึกการติดต่อส่ือสารกับ เพื่อนผ่านส่ือออนไลน์ท้ังไลน์ และเฟซบุ๊ก โดยใช้สมาร์ทโฟนของผู้เรียน หรือคอมพิวเตอร์ใน กศน. ตาบล สาหรับผเู้ รียนที่ไมม่ ีสมารท์ โฟน 2) กรณผี ้เู รียนที่ยงั ไม่ได้สมคั รเปน็ สมาชิกไลน์ หรอื เฟสบุ๊ค ครูใหผ้ ู้เรียนฝกึ การใช้ไลน์และ เฟสบุ๊ค โดยเริม่ จากการกรอกข้อมูลการสมคั รใชไ้ ลนแ์ ละเฟสบุ๊ค ขน้ั ประเมินผล (D : Evaluation) 1) เม่ือผู้เรียนเรียนรู้และฝึกทักษะครบทุกแบบฝึก พร้อมท้ังนาไปฝึกปฏิบัติ โดย ประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประชวี ติ ประจาวันผ่านสอ่ื ออนไลน์แล้ว ครใู ห้ผู้เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรียน 2) ครูให้ผู้เรียนตอบแบบประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการใช้แบบฝึกทักษะ การเขียนสะกดคาภาษาไทย ดา้ นการตรวจสอบและประเมนิ ผล (C) 1. ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียน และ แบบทดสอบหลงั เรยี น 2. ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการใชแ้ บบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย โดยใช้แบบสอบถามความพึงพอใจตอ่ การใชแ้ บบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย 3. ดาเนินการวิเคราะห์ข้อมูล ดังน้ี 1) คานวณหาค่าร้อยละและค่าเฉล่ยี จากคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนของ กลุ่มตัวอยา่ ง 2) คานวณหาค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) และค่าร้อยละท่ีเพิ่มขึ้นหลังเรียน จากผลรวม คะแนนทดสอบกอ่ นเรยี นและผลรวมคะแนนทดสอบหลังเรยี นของกล่มุ ตวั อย่าง 3) คานวณหาค่าเฉลย่ี และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานของความพงึ พอใจตอ่ การใชแ้ บบฝึก ทักษะการเขยี นสะกดคาภาษาไทย โดยแปลความหมายของระดับความพึงพอใจ 4. สรุปผลการวิจัยและจัดทารายงาน เพื่อนาเสนอแนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) ดา้ นการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน 5. เผยแพร่ผลงานแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ด้านการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน โดยการ นาเสนอผลงานกับเพ่ือนครู เพื่อให้เกิดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และนาไปสู่การประยุกต์ใช้และ พัฒนางานอย่างตอ่ เน่ือง ด้านการปรับปรุงและพัฒนาผลการปฏบิ ัติงาน (A) นาข้อเสนอแนะของผู้เรียนท่ีได้ทดลองใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย และจากการวิพากษ์ของเพ่ือนครูในกิจกรรมเผยแพร่ผลงานและแลกเปล่ียนเรียนรู้กับเพื่อนครู มาดาเนินการปรับปรุงแก้ไขแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยให้สมบูรณ์ย่ิงข้ึน เพื่อนาไปใช้ ในการพัฒนาผเู้ รียนกลุ่มอ่นื ๆ ทมี่ สี ภาพปญั หาเหมือนกนั ตอ่ ไป 19 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

การดาเนินการพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย ตามแนวทางวงจรคุณภาพ ของเดมม่ิง (Deming Cycle : PDCA) ดังกล่าว สามารถแสดงได้ดังผังงานแนวปฏิบัติท่ีดีการใช้แบบ ฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยของผู้เรียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กศน.ตาบลห้างฉัตร อาเภอห้างฉตั ร จงั หวดั ลาปาง 12. กลยทุ ธ์หรอื ปจั จัยทีท่ าใหป้ ระสบความสาเร็จ 12.1 การสร้างความเข้าใจกับผู้เรียนในการร่วมกันแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียน เป็น การกระตุ้นผู้เรียนให้ความรว่ มมือในการเรียนรู้ตามข้ันตอนกระบวนการจัดกจิ กรรม ทาใหผ้ ูเ้ รียนมีผล การเรยี นบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้ 12.2 การศึกษาค้นคว้าหาความรู้ เทคนิควิธีการสร้างนวัตกรรมท่ีเหมาะสมในการแก้ปัญหา และพฒั นาผูเ้ รยี นด้วยความม่งุ มัน่ ตั้งใจของครูผู้สอน 20 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

12.3 การพฒั นาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยครัง้ น้ี สรา้ งข้นึ จากสภาพ ปญั หา การเขียนสะกดคาของผู้เรียน และเลือกคาท่ีต้องใช้ในชีวิตประจาวัน จึงทาให้สามารถ ทาให้ผู้เรียนมี ความพงึ พอใชต้ อ่ การการใชแ้ บบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคาอย่ใู นระดับมาก 12.4 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีเน้นการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ การได้ฝึกปฏิบัติกิจกรรม ที่นาไปใช้ในชีวิตประจาวันและนาเสนอผลการปฏิบัติในชั้นเรียน ทาให้ผู้เรียนเกิดแรงบันดาลใจใน การเรยี นรูม้ ากขน้ึ 12.5 การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยคร้ังน้ี ดาเนินการตามแนวทาง วงจรคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle : PDCA) ซ่ึงเป็นการดาเนินการอย่างเป็นระบบ สามารถ ตรวจสอบไดใ้ นทุกข้ันตอน ทาใหแ้ บบฝกึ ทกั ษะการเขียนสะกดคาภาษาไทยที่พฒั นาขึ้นมีประสิทธิภาพ สามารถทาใหพ้ ัฒนาทักษะการเขียนสะกดคาของผู้เรยี นทัง้ กลุ่มได้ 13. ข้อเสนอแนะ 13.1 ครู กศน.ในแต่ละพื้นทคี่ วรมกี ารพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขยี นสะกดคาภาษาไทย ตาม สภาพปัญหาของผ้เู รียน ท้ังระดบั ประถมศึกษา มัธยมศกึ ษาตอนตน้ และระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย 13.2 ครู กศน.ควรวิเคราะห์ผ้เู รียนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้สอดคล้องกบั สภาพ ปญั หาและความ ตอ้ งการเพื่อชว่ ยให้ผู้เรยี นได้เรยี นร้บู รรลตุ ามจดุ มงุ่ หมายของการเรยี นรตู้ ามหลักสตู ร 14. เอกสารอ้างอิง กาญจนา วฒั ายุ (2548). การวจิ ัยเพอ่ื พัฒนาคุณภาพการศึกษา. กรงุ เทพฯ : ธนพรการพมิ พ.์ ชนิดา ภมู สิ ถิต. (ม.ป.ป.). การพัฒนาทกั ษะทางการเขียน. [ระบบออนไลน์]. เขา้ ถึงได้จาก : http://www.npu.ac.th/gad/pdf/m6.pdf (วันที่ค้นข้อมูล 20 สิงหาคม 2557). 15. ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครือ่ งมือที่ใช้ในการวจิ ยั  แบบฝกึ ทกั ษะการเขยี นสะกดคาภาษาไทย  แบบทดสอบกอ่ นเรียน และแบบทดสอบหลังเรียน  แบบสอบถามความพงึ พอใจตอ่ การใชแ้ บบฝึกทักษะการเขียนสะกดคาภาษาไทย ภาคผนวก ข ผลการวจิ ัย  ตารางแสดงค่าร้อยละ ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคา รายวิชาภาษาไทย  ตารางแสดงค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานของความพึงพอใจต่อแบบฝึก ทักษะการเขยี นสะกดคา รายวิชาภาษาไทย 21 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ตวั อย่างท่ี 2 : ดา้ นการศกึ ษาเพ่อื พฒั นาอาชพี 1. ชื่อผลงาน ทอผ้า สานไผ่ สร้างรายไดใ้ ห้ชมุ ชน 2. หน่วยงาน/สถานศกึ ษา: ศนู ย์การเรยี นชมุ ชนชาวไทยภเู ขา “แม่ฟ้าหลวง”บ้านกองสุม ตาบลแม่คง อาเภอแม่สะเรยี ง จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอน ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัยอาเภอแม่สะเรียง สานกั งานส่งเสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย จงั หวดั แมฮ่ ่องสอน 3. คณะทางาน : นายนธิ ิ หน่อพรหม ครู ศศช. นางสนุ ยี ์ ศรีวิชัย ครู ศศช. 4. ความสอดคล้อง  แผน กพด. ฉบบั ท่ี 4 พ.ศ. 2550-2559 วัตถุประสงค์ท่ี 4 เสรมิ สรา้ งศักยภาพของเด็กและ เยาวชนทางการอาชพี 5. ทมี่ าและความสาคญั ของผลงาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดาริเกี่ยวกับการพัฒนา คุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชน มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ในพื้นท่ีจังหวัดต่าง ๆ ทรงใช้โรงเรียนหรือ ศูนย์การเรียนเป็นของทุกภาคส่วน ต่อมาใน พ.ศ. 2534 โปรดเกล้าฯ ให้ดาเนินงานโครงการส่งเสริม อาชีพของชุมชนและสหกรณ์เพ่ือชุมชนในศูนย์การเรียนข้ึน มีลักษณะเป็นสหกรณ์นักเรียน ซ่ึงจะ ให้บริการแก่สมาชิกสหกรณ์และชาวบ้านได้ อันจะส่งผลต่อชุมชนในอนาคต ศูนย์การเรียนชุมชนชาว ไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” บ้านกองสุม จึงได้สอบถามและวิเคราะห์ข้อมูลชุมชน ทาให้พบว่า ชาวบ้าน กองสุมส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ได้แก่ ทานา ทาไร่ และปลูกพืชเศรษฐกิจ ซ่ึงได้แก่ ข้าว พรกิ และกระเทียม ดา้ นการปศุสตั ว์ ชาวบา้ นมกี ารเลยี้ งไก่ สกุ ร แพะ และกระบอื โดยมีวตั ถุประสงค์ ในการเล้ียงเพื่อประกอบพิธีกรรมหรือเพ่ือการบริโภคในครัวเรือนเท่าน้ัน รายได้หลักจึงมาจากการทา การเกษตร ซ่ึงไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในครัวเรือน และจากการศึกษาชุมชน พบว่า ชุมชนแห่งน้ียังมี ภูมิปัญญาท้องถิ่นคงอยู่ ได้แก่ ภูมิปัญญาด้านการจักสาน ภูมิปัญญาด้านการทอผ้ากะเหร่ียง เป็นต้น หากได้รับการส่งเสริม สนับสนุนการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท่ีสามารถสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนได้ ก็จะเปน็ ทางเลือกในการประกอบอาชีพให้แก่คนในชุมชนอีกทางเลือกหนงึ่ ศูนยก์ ารเรียนชมุ ชนชาวไทยภเู ขา “แมฟ่ า้ หลวง” บ้านกองสุม จงึ ได้ดาเนนิ การจัดทาโครงการ ทอผ้า สานไผ่ สร้างรายได้ให้ชุมชน เพ่ือใช้ชาวบ้านมีรายได้เสริมและเรียนรู้ด้านอาชีพผ่าน กระบวนการสหกรณ์เพ่ือชุมชนในศูนย์การเรยี น 22 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

6. วัตถปุ ระสงค์ 6.1 เพอ่ื ใหก้ ล่มุ เปา้ หมายเด็กมีความรู้และทักษะในการจักสาน และการทอผ้ากะเหร่ยี ง 6.2 เพ่ือให้กลุ่มเป้าหมายผู้ใหญ่มีความรู้และทักษะในด้านการพัฒนารูปแบบของเคร่ือง จกั สานและผ้าทอกะเหรี่ยง และสามารถสร้างรายไดไ้ ด้จริง 6.3 เพ่ือให้กลุ่มเป้าหมายท้ังเด็กและผู้ใหญ่มีความรู้และทักษะในการดาเนินงานในสหกรณ์ ชมุ ชน 7. วธิ ีดาเนนิ การ 7.1 กาหนดกลุม่ เปา้ หมาย 7.1.1 ผู้เรยี นเดก็ จานวน 25 คน 7.1.2 ผเู้ รียนผใู้ หญ่ จานวน 17 คน 7.2 การดาเนินการจัดกจิ กรรม 7.2.1 ครู ผู้เรียน และชุมชนร่วมกันศึกษาสภาพปัญหา ความต้องการ โดยการจัดเวที ประชาคม จากนั้นนาข้อมูลมาวิเคราะห์ ทาให้ทราบว่าชุมชนมีภูมิปัญญาที่มีความชานาญด้านการจัก สานและการทอผ้ากะเหรย่ี ง อีกทั้งในพื้นที่ยังมีวสั ดุจากธรรมชาตทิ ่ีสามารถนามาทาผลิตภัณฑ์ได้ เช่น ไมไ้ ผ่สาหรบั ทาเครอ่ื งจักสาน เปลอื กไมแ้ ดงสาหรบั ยอ้ มสีฝ้าย 7.2.2 ครู ผู้เรียน และชุมชน ประชุมร่วมกันเพ่ือวางแผนการดาเนินงาน ชี้แจง วตั ถุประสงค์ ผลทผี่ ู้ร่วมโครงการจะได้รับ ทาให้มีผูส้ นใจเขา้ รว่ มโครงการเปน็ ผ้เู รียนเด็ก จานวน 25 คน ผ้เู รียนผู้ใหญ่ จานวน 17 คน 7.2.3 ศึกษาเอกสารข้อมูลเก่ียวกับการส่งเสริมอาชีพในชุมชน และการดาเนินงาน สหกรณ์เพ่ือชุมชนในศูนย์การเรียน จัดเตรียมส่ือ อุปกรณ์ และวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกบั ผูเ้ รียน 7.2.4 ครูและผเู้ รียนร่วมกนั กาหนดทิศทางการดาเนินงานและทาข้อตกลง คอื สหกรณ์ฯ จะรับซื้อสินค้าจากชุมชนในราคาที่เหมาะสม (สินค้าที่ผลิตโดยใช้ทุนของสมาชิกท้ังหมด จะรับซ้ือใน ราคาท่ีแพงกว่าผลงานท่ีผลิตจากวัสดุที่สหกรณ์ฯ สนับสนุน) จากน้ันสหกรณ์ฯ จะนาไปขายต่อโดย เพิ่มราคาสินค้า 20% ส่วนผลกาไรได้จัดต้งั เป็นกองทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพ เชน่ ซอ้ื ฝ้ายสาหรบั ทอผ้าและนาผลผลติ กลับมาขายผ่านระบบสหกรณ์เพ่อื ชมุ ชนในศนู ยก์ ารเรียน 7.2.5 จัดกิจกรรมส่งเสริมอาชีพโดยให้ความรู้ผู้เรียนผู้ใหญ่ เรื่อง การพัฒนารูปแบบ เครอ่ื งจกั สานและผา้ ทอกะเหร่ียง โดยการใช้สอ่ื รปู ภาพ และอธิบาย จากน้นั ผลิตเครอ่ื งจักสานและทอ ผ้ากะเหรย่ี ง โดยเน้นให้มกี ารผลติ สนิ ค้าท่ีมีคุณภาพ ใช้สแี ละรูปแบบท่ีสอดคล้องกบั ความต้องการของ กล่มุ ผู้ซอื้ และนามาวางจาหน่ายในสหกรณเ์ พอื่ ชุมชนในศนู ยก์ ารเรียน 7.2.6 ให้ผู้เรียนเด็กฝึกจักสานและทอผ้ากะเหรี่ยง โดยให้ผู้ปกครอง ภูมิปัญญา เป็น ผู้สอน และบนั ทึกรปู แบบ ลวดลายของเครือ่ งจกั สานและผ้าทอกะเหรยี่ งเพ่ือเปน็ คลังความรู้ 23 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

7.2.7 ปลูกฝังอุดมการณ์สหกรณ์ และให้ความรู้เรื่อง หลักการสหกรณ์ วิธีการสหกรณ์ และระบบบญั ชแี บบง่ายใหก้ บั ผเู้ รยี นเดก็ และผูใ้ หญ่ พร้อมท้ังใหฝ้ กึ ปฏิบัตกิ ารจัดทาบัญชี 7.2.8 ให้ผู้เรียนท่ีเป็นคณะกรรมการสหกรณ์ฯ จัดทาบัญชีรายการสินค้า ตรวจนับและ บันทึกสินคา้ คงเหลือ ทาบญั ชรี ายรับ-รายจา่ ยของสหกรณ์ฯ โดยมีครปู ระจาศูนย์การเรียนฯ เปน็ ผ้ทู ่ใี ห้ คาปรึกษาแนะนา 7.2.9 ปลูกฝังจิตสานึกให้สมาชิกรู้จักประหยัด อดออม พ่ึงพาตนเอง รักและเห็น คณุ ค่ารวมถึงประโยชนข์ องธรรมชาติ 7.2.10 ศูนย์การเรียนฯ ได้ติดตามการดาเนินงานโดยประชุมคณะกรรมการสหกรณ์ และสมาชิกโครงการทุกเดือน มีการตรวจบัญชีสหกรณ์ เพื่อให้ทราบผลความก้าวหน้าใน การดาเนินงาน ปญั หา อปุ สรรค และรว่ มกนั หาแนวทางแกไ้ ข 7.2.11 สรุปผลการดาเนนิ งานรายงานเดอื น และรายปี รวมถึงประเมนิ ผลการซ้อื -ขาย 7.2.12 สรุปผลการดาเนินโครงการท่ีได้จากการติดตามประเมินผลเมื่อสิ้นสุดโครงการ โดยการรวบรวมผลงานที่เป็นจุดเด่น และจุดท่ีควรพัฒนา รวมทั้งข้อเสนอแนะจากการประเมินผล การนาไปใช้ประโยชน์ และจดั ทารายงาน เพอ่ื นาเสนอแนวปฏิบัติทีด่ ี (Best Practice) ดา้ นการศึกษา เพอื่ พฒั นาอาชีพ 7.2.13 เผยแพร่ผลงานแนวปฏบิ ัตทิ ดี่ ี (Best Practice) ดา้ นการศกึ ษาเพื่อพฒั นาอาชีพ โดยการนาเสนอผลงาน ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะต่อที่ประชุม กศน.อาเภอ เพ่ือใช้เป็นข้อมูลใน การวางแผนจัดกิจกรรมคร้ังต่อไป รวมทั้งนาเสนอผลงานในรูปแบบต่าง เช่น นาเสนอข้อมูลในศูนย์ การเรียนฯ จัดกจิ กรรมแลกเปลยี่ นเรียนรู้ของผ้เู รยี นเด็ก จัดกจิ กรรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรมชมุ ชน ฯลฯ 7.2.14 นาข้อเสนอแนะของผู้เรียน ชุมชน และผู้เก่ียวข้อง มาปรับปรุงรูปแบบและ วิธีการดาเนินงานการส่งเสริมอาชีพ เพ่ือเผยแพร่ให้ชุมชนอ่ืนท่ีมีสภาพบริบทเหมือนหรือใกล้เคียงกัน ไดน้ าไปปรบั ใชใ้ นการจัดกจิ กรรมส่งเสรมิ อาชพี ต่อไป 8. ตวั ชว้ี ัดความสาเรจ็ 8.1 ผู้เรยี นเดก็ มีความรู้ ความเขา้ ใจ และมที ักษะการจักสานและการทอผา้ กะเหร่ยี ง รวมถึง การดาเนนิ งานสหกรณช์ ุมชนในศูนย์การเรียนฯ 8.2 ผู้เรยี นผู้ใหญ่ สามารถพัฒนารปู แบบเครื่องจักสานและผ้าทอกะเหร่ยี งเพ่ือจาหน่ายสร้าง รายได้ และมคี วามรเู้ รื่องการดาเนนิ งานสหกรณ์เพ่อื ชมุ ชนในศนู ย์การเรยี นฯ 9. การประเมนิ ผลและเครอื่ งมอื การประเมินผล ประเมินผลตามสภาพจริง โดยการประชุมคณะกรรมการสหกรณ์ฯ และสมาชิกโครงการทุก เดือน มกี ารตรวจบญั ชีสหกรณ์ ประเมินผลงานการจักสานเครื่องจักสานและการทอผา้ กะเหร่ียง โดย ใช้แบบประเมินผลการฝึกปฏิบัติ และจากบันทึกของผู้เรียนเก่ียวกับชื่อรูปแบบ ลวดลายของเคร่ือง จกั สานและผ้าทอกะเหรี่ยง และประเมนิ ความรู้ ความเข้าใจจากการสอบปากเปล่า โดยใชแ้ บบทดสอบ วัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น 24 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

10. ผลการดาเนนิ งาน 10.1 ผลทเ่ี กิดกับผู้เรียนเด็ก 10.1.1 ผู้เรียนเด็กทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะด้านการจักสานและ การทอผา้ กะเหร่ยี ง รวมถงึ ไดบ้ นั ทึกและรวบรวมข้อมลู เครื่องจกั สานและผา้ ทอกะเหร่ยี งเพื่อใช้เป็นส่ือ ความรู้ 10.1.2 ผู้เรียนเด็ก จานวน 5 คน ได้รับการฝึกและสามารถปฏิบัติงานในสหกรณ์ฯ ใน ตาแหน่งต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่บัญชี เจ้าหน้าท่ีควบคุมสินค้า ส่วนอีก 20 คน มีความรู้ ความเข้าใจใน การดาเนนงานสหกรณ์ 10.2 ผลทเี่ กดิ กับผู้เรยี นใหญ่ ผ้เู รยี นผใู้ หญ่ จานวน 17 คน สามารถพฒั นารูปแบบและลวดลายเคร่ืองจักสานและผ้า ทอกะเหร่ียง โดยประยุกต์รูปแบบและลวดลายใหม่เข้ากับรูปแบบด้ังเดิมของเคร่ืองจักสานและผ้าทอ กะเหร่ียง ซ่ึงผลผลิตที่ได้ทั้งหมดนามาจาหน่ายผ่านสหกรณ์เพ่ือชุมชนในศูนย์การเรียน ทาให้ผู้ร่วม โครงการทุกคนมีรายได้เฉลยี่ เพม่ิ ขึน้ 2,000 บาทต่อปี 11. บทสรุป โครงการทอผ้า สานไผ่ สร้างรายได้คร้ังนี้ ดาเนินการตามแนวทางวงจรคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle : PDCA) ดงั นี้ ด้านการวางแผน (P) 1. ศึกษาสภาพ ปัญหาและวิเคราะห์ข้อมูลของชุมชนอย่างมีส่วนร่วมของครู ผู้เรียน และ ชุมชน โดยการจัดเวทีประชาคม เพื่อนามาวางแผนจัดกิจกรรมท่ีสอดคล้องกับสภาพบริบท ศักยภาพ ของชมุ ชน ปญั หา และความตอ้ งการทแี่ ท้จริงของผู้เรยี น และคนในชมุ ชน 2. วิเคราะห์งานตามบทบาทหนา้ ที่ และวิเคราะห์ความสอดคลอ้ งทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง เช่น แผน กพด. ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดาเนินงาน กศน. วิสัยทัศน์/พันธกิจ ระบบประกันคุณภาพสถานศึกษา ฯลฯ ซึ่งจากการวิเคราะห์งาน จะเห็นได้ว่า เป็นงานตามบทบาทหน้าที่ของครู ศศช. ที่จะต้องจัด การศึกษาเพ่ือส่งเสริมการรู้หนังสือ การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน การศึกษาต่อเนื่อง การศึกษาตามอัธยาศัย ส่งเสริมการเรียนรู้ของชุมชน ตลอดจนการจัด ศศช. เพ่ือเป็นศูนย์ข่าวสารเพ่ือการเรียนรู้ของหมู่บ้าน ซ่ึงเป็นภารกิจหลัก อีกทั้งเพื่อตอบสนองต่อการดาเนินงานตามแนวพระราชดาริในการพัฒนาเด็กและ เยาวชนในถ่ินทุรกันดารของสมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตามแผน กพด. ฉบับท่ี 4 พ.ศ. 2550-2559 วตั ถุประสงค์ท่ี 4 เสริมสร้างศักยภาพของเด็กและเยาวชนทางการอาชีพ 3. คน้ หา Best Practice โดยพจิ ารณาประเดน็ ดงั นี้  เปน็ เรือ่ งทเี่ ก่ยี วข้องกบั ภารกิจโดยตรงของบทบาทหนา้ ที่  สนองนโยบาย การแกป้ ัญหา การพัฒนาประสิทธภิ าพของผู้เรยี น กศน. 25 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

 เป็นวิธีการริเริ่มสร้างสรรค์ข้ึนมาใหม่ หรือประยุกต์ข้ึนใหม่ (นวัตกรรม) โดยต้ัง คาถามวา่ นวตั กรรมน้ัน คอื อะไร (What) ทาอยา่ งไร (How) ทาเพือ่ อะไร (Why)  มีผลผลิต/ความสาเรจ็ เพิม่ ขึน้  สามารถนาไปใชเ้ ป็นมาตรฐานการทางานต่อไปไดย้ งั่ ยนื พอสมควร  มกี ารพัฒนาปรบั ปรงุ ตอ่ ไป จากการพิจารณาประเด็นตา่ ง ๆ ดังกล่าว เพ่ือค้นหา Best Practice ในการจัดกิจกรรมท่ี สอดคลอ้ งกับสภาพ ปญั หา และความต้องการของชมุ ชน พบว่า เป็นเรื่องท่เี ก่ียวข้องกับบทบาทหน้าท่ี โดยตรงของครู ศศช. และเป็นการดาเนินงานตามโครงการพัฒนาเดก็ และเยาวชนในถ่ินธุรกันดาร จึง ไดว้ างแผนเพ่อื ดาเนนิ การตามบทบาทภารกจิ ดงั นี้ 1) ครู ผู้เรียน และชุมชน มีส่วนร่วมในการวางแผนและออกแบบกิจกรรมทส่ี อดคล้องกับ สภาพ ปัญหา ความต้องการของชุมชน โดยการประชุมร่วมกันเพ่ือวางแผนการดาเนินงาน ชี้แจง วัตถปุ ระสงค์ ผลท่ผี ู้ร่วมโครงการจะไดร้ ับ ทาใหม้ ีผสู้ นใจเข้าร่วมโครงการเป็นผู้เรียนเด็ก จานวน 25 คน ผูเ้ รียนผใู้ หญ่ จานวน 17 คน 2) ศึกษาเอกสารข้อมูลเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพในชุมชน และการดาเนินงานสหกรณ์ เพ่ือชุมชนในศูนย์การเรียน โดยครู และผู้เรียนร่วมกันวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้สาหรับผู้เรียน ผูใ้ หญแ่ ละผเู้ รียนเด็ก พร้อมท้ังจดั เตรียมส่ือ อุปกรณ์ 3) ครูและผู้เรียนร่วมกันกาหนดทิศทางการดาเนินงานและทาข้อตกลง คือ สหกรณ์ฯ จะ รับซอื้ สินค้าจากชมุ ชนในราคาทเี่ หมาะสม (สนิ คา้ ทผ่ี ลติ โดยใชท้ นุ ของสมาชกิ ท้ังหมด จะรับซือ้ ในราคา ท่ีแพงกว่าผลงานท่ีผลิตจากวัสดุที่สหกรณ์ฯ สนับสนุน) จากนั้นสหกรณ์ฯ จะนาไปขายต่อโดยเพ่ิม ราคาสินค้า 20% ส่วนผลกาไรได้จดั ตั้งเป็นกองทุนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสรมิ อาชีพ เช่น ซ้ือ ฝ้ายสาหรบั ทอผ้าและนาผลผลติ กลับมาขายผ่านระบบสหกรณ์เพือ่ ชมุ ชนในศนู ยก์ ารเรยี น 4. นาข้อมูลจากการวิเคราะห์และพิจารณาในข้อ 1 – 3 มากาหนดกรอบการดาเนินงานที่ พิจารณาแลว้ ว่าเปน็ แนวปฏบิ ัตทิ ่ีดี (Best Practice) โดยดาเนินการ ดงั น้ี 1) กาหนดวตั ถุประสงค์ของโครงการ 2) กาหนดตวั ชวี้ ัดความสาเรจ็ 3) กาหนดวธิ ีดาเนินการ 4) กาหนดวธิ ีการประเมินผลและเครื่องมือการประเมนิ ผล ดา้ นการดาเนนิ งาน (D) จดั กิจกรรมส่งเสริมอาชีพตามท่ีไดว้ างแผนและออกแบบกิจกรรมไว้ โดยใหก้ ารให้ความรู้และ ฝึกทักษะปฏิบตั ิ ดงั นี้ 1) จัดกิจกรรมส่งเสริมอาชีพโดยให้ความรู้ผู้เรียนผู้ใหญ่ เร่ือง การพัฒนารูปแบบเคร่ืองจัก สานและผ้าทอกะเหรี่ยง โดยการใช้ส่ือรูปภาพ และอธิบาย จากน้ันผลิตเคร่ืองจักสานและทอผ้า 26 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

กะเหร่ียง โดยเน้นให้มีการผลิตสินค้าท่ีมีคุณภาพ ใช้สีและรูปแบบท่ีสอดคล้องกับความต้องการของ กลุม่ ผ้ซู อื้ และนามาวางจาหน่ายในสหกรณ์เพอ่ื ชุมชนในศูนย์การเรยี น 2) ให้ผู้เรียนเด็กฝึกจักสานและทอผ้ากะเหร่ียง โดยให้ผู้ปกครอง ภูมิปัญญา เป็นผู้สอน และ บนั ทึกรูปแบบ ลวดลายของเครอ่ื งจกั สานและผา้ ทอกะเหร่ยี งเพ่อื เป็นคลงั ความรู้ 3) ปลูกฝังอุดมการณ์สหกรณ์ และให้ความรู้เร่ือง หลักการสหกรณ์ วิธีการสหกรณ์ และ ระบบบัญชแี บบง่ายใหก้ ับผเู้ รียนเดก็ และผใู้ หญ่ พร้อมทัง้ ให้ฝึกปฏบิ ตั กิ ารจดั ทาบญั ชี 4) ให้ผู้เรียนที่เป็นคณะกรรมการสหกรณ์ฯ จัดทาบัญชีรายการสินค้า ตรวจนับและบันทึก สินค้าคงเหลือ ทาบัญชีรายรับ-รายจ่ายของสหกรณ์ฯ โดยมีครูประจาศูนย์การเรียนฯ เป็นผู้ท่ีให้ คาปรึกษาแนะนา 5) ปลูกฝังจิตสานึกให้สมาชิกรู้จักประหยัด อดออม พ่ึงพาตนเอง รักและเห็นคุณค่ารวมถึง ประโยชน์ของธรรมชาติ ดา้ นการตรวจสอบและประเมินผล (C) 1. ประเมินผลตามสภาพจริง โดยศูนย์การเรียนฯ ได้ติดตามการดาเนินงานโดยการประชุม คณะกรรมการสหกรณ์ฯ และสมาชิกโครงการทุกเดือน มีการตรวจบัญชีสหกรณ์ เพื่อให้ทราบผล ความกา้ วหน้าในการดาเนนิ งาน ปัญหา อุปสรรค และร่วมกันหาแนวทางแก้ไข ประเมนิ ผลงานการจัก สานเครื่องจักสานและการทอผ้ากะเหร่ียง โดยใช้แบบประเมินผลการฝึกปฏิบัติ และจากบันทึกของ ผู้เรียนเกี่ยวกับชื่อรูปแบบ ลวดลายของเคร่ืองจักสานและผ้าทอกะเหร่ียง และประเมินความรู้ ความ เขา้ ใจจากการสอบปากเปลา่ โดยใช้แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น 2. สรุปผลการดาเนนิ งานรายงานเดือน และรายปี รวมถึงประเมนิ ผลการซอื้ -ขาย 3. สรุปผลการดาเนินโครงการที่ได้จากการติดตามประเมินผลเม่ือส้ินสุดโครงการ โดยการ รวบรวมผลงานทีเ่ ป็นจุดเด่น และจุดทคี่ วรพฒั นา รวมทง้ั ขอ้ เสนอแนะจากการประเมินผลการนาไปใช้ ประโยชน์ และจัดทารายงาน เพอ่ื นาเสนอแนวปฏบิ ัตทิ ดี่ ี (Best Practice) ดา้ นการศกึ ษาเพื่อพฒั นาอาชีพ 4. เผยแพร่ผลงานแนวปฏิบัติท่ีดี (Best Practice) ด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ โดยการ นาเสนอผลงาน ปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะต่อท่ีประชุม กศน.อาเภอ เพ่ือใช้เป็นข้อมูลในการ วางแผนจัดกิจกรรมครั้งต่อไป รวมทั้งนาเสนอผลงานในรูปแบบต่าง เช่น นาเสนอข้อมูลในศูนย์การเรียนฯ จัดกิจกรรมแลกเปล่ียนเรียนรู้ของผเู้ รยี นเดก็ จัดกิจกรรมสง่ เสรมิ วฒั นธรรมชุมชน ฯลฯ ดา้ นการปรบั ปรุงและพฒั นาผลการปฏบิ ัตงิ าน (A) นาข้อเสนอแนะของผู้เรียน ชุมชน และผู้เก่ียวข้อง มาปรับปรุงรูปแบบและวิธีการดาเนินงาน การสง่ เสริมอาชีพ เพอื่ เผยแพร่ให้ชุมชนอ่นื ที่มสี ภาพบริบทเหมือนหรือใกล้เคียงกัน ไดน้ าไปปรบั ใช้ใน การจดั กิจกรรมสง่ เสรมิ อาชีพต่อไป 27 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

การดาเนินการโครงการทอผ้า สานไผ่ สร้างรายได้ ตามแนวทางวงจรคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle : PDCA) ดังกล่าว สามารถแสดงได้ดังผังงานแนวปฏิบัติท่ีดีด้านการส่งเสริมอาชีพ ดงั น้ี 12. กลยุทธห์ รือปัจจยั ทท่ี าให้ประสบความสาเรจ็ 12.1 การมีส่วนร่วมของครู ผู้เรียน และชุมชนในการวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐานของชุมชน ทาให้รสู้ ภาพปญั หา และความตอ้ งการพฒั นาชมุ ชนของตนเองให้ไปส่เู ปา้ หมายทต่ี ้องการได้ 12.2 การนาเอาวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตลอดจนทรัพยากรในชุมชน เป็นองค์ความรู้ พืน้ ฐานในการต่อยอดความร้ใู หเ้ กดิ การพัฒนาอย่างยง่ั ยนื 12.3 โครงการทอผ้า สานไผ่ สร้างรายได้คร้ังน้ี ดาเนินการตามแนวทางวงจรคุณภาพของ เดมม่ิง (Deming Cycle : PDCA) ซ่ึงเป็นการดาเนินการอย่างเป็นระบบ สามารถตรวจสอบได้ในทุก ข้ันตอน โดยเริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์สภาพ ปัญหา ความต้องการของชุมชนอย่างมีส่วนร่วมของครู ผู้เรียน ชุมชน รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการวางแผนและออกแบบกิจกรรมของครู ผู้เรียน ชุมชน ตลอดจนมีการติดตามประเมินผลทุกข้ันตอน จึงทาให้สามารถพัฒนาผู้เรียนท้ังสองกลุ่มได้บรรลุตาม ตวั ชี้วัดความสาเร็จของโครงการ 28 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

13. ข้อเสนอแนะ 13.1 ควรส่งเสริมให้มีการพัฒนารูปแบบงานจักสานและผ้าทอกะเหรี่ยงอย่างต่อเนื่อง เช่น การประยุกต์งานจักสานกับผ้าทอกะเหร่ียงให้อยู่ในผลิตภัณฑ์ชิ้นเดียวกัน เพื่อเพ่ิมมูลค่าให้กับ ผลิตภัณฑ์ 13.2 ควรเผยแพร่และขยายความรู้รูปแบบและลวดลายของเครื่องจักสานและผ้าทอกะเหรี่ยง สู่ชมุ ชนอน่ื ๆ 13.3 ควรประชาสัมพันธ์ให้ผู้ท่ีสนใจสามารถศึกษาข้อมูลรูปแบบและลวดลายของเคร่ืองจกั สานและผ้าทอกะเหรี่ยงได้จากคลังความรู้ท่ีศูนย์การเรียนฯ ได้รวบรวมจัดเก็บไว้ได้อย่างหลากหลาย ช่องทาง เช่น เว็บไซต์ของสถานศึกษา/หน่วยงานต้นสังกัด สื่อออนไลน์ ได้แก่ Facebook YouTube ฯลฯ 13.4 ควรพัฒนาผู้เรยี นในเร่ืองช่องทางการจาหน่ายสนิ ค้าผ่านส่ือออนไลน์ โดยเรียนรู้จากศูนย์ ดิจิทัลชุมชน เพ่ือเพิ่มช่องทางในการจาหน่ายผลิตภัณฑ์เคร่ืองจักสานและผ้าทอกะเหร่ียง ตลอดจน ผลติ ภัณฑอ์ น่ื ๆ ของชุมชน 14. เอกสารอา้ งอิง สานักงานโครงการสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี. (2551). แผนพฒั นา เดก็ และเยาวชนในถน่ิ ธุรกนั ดาร ตามพระราชดาริสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราช กมุ ารี ฉบับท่ี 4 พ.ศ. 2550 - 2559. กรุงเทพฯ : บรษิ ัท อัมรินทร์พร้นิ ตงิ้ แอนด์พับลิชชิง่ จากัด. ผา้ กะเหร่ยี ง chezmoi handicraft. [ระบบออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.Chezmoimyhome.com (วนั ที่คน้ ข้อมลู 30 มีนาคม 2557). 15. ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครื่องมือทีใ่ ช้ในการวจิ ยั  สาเนาบนั ทกึ การประชุมคณะกรรมการสหกรณ์ฯ และสมาชิกโครงการ  สาเนารายงานการตรวจบัญชีสหกรณ์  สาเนาบันทึกของผู้เรียนเกี่ยวกับช่ือรูปแบบ ลวดลายของเครื่องจักสานและผ้าทอ กะเหรี่ยง  แบบประเมนิ ผลการฝึกปฏิบตั ิ  แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ภาคผนวก ข ภาพกจิ กรรม 29 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

ตัวอยา่ งที่ 3 : ด้านการศึกษาตามอธั ยาศัย 1. ชื่อผลงาน : กลอ่ งความรู้กนิ ได้ “การเพาะต้นอ่อนพืชออรแ์ กนิค” 2. หน่วยงาน/ สถานศึกษา/ กศน.ตาบล : ห้องสมุดประชาชนจังหวัดลาปาง กศน.อาเภอเมือง ลาปาง สานักงาน กศน.จงั หวดั ลาปาง 3. คณะทางานพัฒนาแนวปฏิบัติที่ดี : นางจิตราภรณ์ เทวนะ บรรณารักษ์ชานาญการ ห้องสมุด ประชาชนจังหวัดลาปาง 4. ความสอดคลอ้ ง  สอดคล้องยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดาเนินงาน สานักงาน กศน. ประจาปีงบประมาณ 2560 ภารกิจกิจต่อเนื่อง ข้อ 1 ด้านการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ ข้อ 1.3 การศึกษาตาม อัธยาศัย ข้อ 2) จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และพัฒนา ความสามารถในการอ่านและศักยภาพการเรียนรู้ของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ให้ ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารท่ีถูกต้องและทันเหตุการณ์ เพื่อสามารถนาความรู้ที่ ไดร้ ับไปปรบั ใชป้ ระโยชน์ในการปฏบิ ตั ิจริง  สอดคล้องกับการประกันคุณภาพสถานศึกษา มาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพผู้เรียน/ผู้รับบริการ การศึกษาตามอัธยาศัย ตัวบ่งชี้ที่ 8 ความพึงพอใจต่อการ ใหบ้ ริการการศึกษาตามอัธยาศยั 5. ท่ีมาและความสาคญั ของผลงาน กล่องความรู้กินได้เป็นกิจกรรมของศูนย์ความรู้กินได้ (OKMD) ซึ่งมีฐานะเป็นองค์กรท่ีมี บทบาทสาคัญในการผลักดนั สังคมไทยใหเ้ ป็นสงั คมแห่งการเรยี นรู้ และมีหน้าท่ีหลกั ในการบรหิ ารองค์ ความรู้ เพื่อให้เกิดความคิดในการต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ ได้เล็งเห็นถึงความสาคัญของการสร้าง แหล่งเรียนรู้อันเป็นประโยชน์ต่อการประกอบอาชีพและการทามาหากินของคนในพื้นท่ีต่าง ๆ ทั่วประเทศ จึงได้จัดต้ังโครงการ “ศูนย์ความรู้กินได้” โดยร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อพัฒนา ห้องสมุดประชาชนแหล่งเรียนรู้เพ่ือการทามาหากินของคนในชุมชน โดยคาว่า “ศูนย์ความรู้กินได้” มาจากประโยคท่ีว่า “เพราะความรู้....ใช้ทามาหากินได้” โดยดาเนินการท่ีห้องสมุดประชาชนจังหวัด อุบลราชธานีให้เป็นต้นแบบ เพ่ือให้ห้องสมุดประชาชนอื่น ๆ สามารถนารูปแบบนี้ไปพัฒนาห้องสมุด ของตนได้ นอกจากน้ีโครงการดังกลา่ วยังสอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซ่งึ เป็นแนวทางใน การพฒั นาเศรษฐกิจของประเทศ ทจี่ ะเข้ามามบี ทบาทสาคญั ในเศรษฐกิจโลก โดยมุง่ หวงั ใหป้ ระชาชน มีความรูค้ วามเขา้ ใจและสามารถนาไปต่อยอดสู่การประกอบอาชีพ เพ่ือทจ่ี ะสร้าง “มลู คา่ เพิม่ ” ให้แก่ สินค้าและบริการของตัวเองต่อไปได้ ห้องสมุดประชาชนจังหวัดลาปางได้เข้าร่วมโครงการดังกล่าว ท่ี มุ่งเนน้ ให้ประชาชนไดเ้ รียนรู้ในการทามาหากนิ ตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สนับสนุนและกระตุ้น ให้ประชาชนได้เข้าถึงองค์ความรู้ และนาความคิดสร้างสรรค์ไปใช้ในการประกอบอาชีพด้วยการผลิต 30 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

เปน็ สินค้าหรือบรกิ ารที่มีคุณคา่ และเพ่ือสร้างวัฒนธรรมการใช้ “ความรู้” เปน็ “ทุน” ในการทามาหากิน ซง่ึ กลอ่ งความรู้กนิ ได้ของห้องสมุดประชาชนจังหวัดลาปางที่พฒั นาข้นึ คอื “การเพาะตน้ อ่อนพืชออร์แกนิค” 6. วัตถปุ ระสงค์ 6.1 เพ่ือให้กลุ่มเป้าหมายสามารถนาไปประกอบอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม ก่อให้เกิดรายได้ ไดจ้ รงิ 6.2 เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถผลิตอาหารที่มีประโยชน์ สะอาด และปลอดภัย ไว้บริโภค ในครวั เรอื น 6.3 เพอ่ื ใหห้ ้องสมดุ ประชาชนจังหวัดลาปาง เปน็ แหล่งเรียนรู้ดา้ นอาชพี ให้กับชมุ ชน 7. วธิ ีดาเนนิ การ 7.1 กาหนดกลมุ่ เปา้ หมาย ประชาชนทั่วไปในพืน้ ทอ่ี าเภอเมอื งลาปาง จานวน 50 คน 7.2 การดาเนินการจัดกิจกรรม 7.2.1 ศึกษาสภาพ ปัญหา ความต้องการการเรียนรู้ด้านการประกอบอาชีพของ ผูใ้ ชบ้ รกิ ารห้องสมุด โดยกาหนดกลมุ่ เป้าหมาย จานวน 50 คน โดยการสัมภาษณ์รายคน เพอ่ื นาข้อมูล ไปวางแผนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7.2.2 วิเคราะห์งานตามบทบาทหน้าที่ และวิเคราะห์ความสอดคล้องที่เกี่ยวข้อง เช่น ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดาเนินงาน กศน. วิสัยทัศน์/พันธกิจ ระบบประกันคุณภาพสถานศึกษา ฯลฯ ซ่งึ จากการวิเคราะหเ์ หน็ ได้ว่า กล่องความรู้กินได้ “การเพาะตน้ อ่อนพืชออร์แกนิค”น้ี เปน็ บทบาท หน้าท่ีของบรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดาเนินงาน กศน. ประจาปีงบประมาณ 2560 ในเร่ืองการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน และ พัฒนาความสามารถในการอ่านและศักยภาพการเรยี นรู้ของประชาชนทุกกล่มุ เป้าหมาย ใหป้ ระชาชน สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและทันเหตุการณ์ เพ่ือสามารถนาความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ ประโยชน์ในการปฏิบัตจิ ริง และสอดคล้องกับการประกันคุณภาพสถานศึกษา มาตรฐานด้านคุณภาพ ผู้เรียน มาตรฐานที่ 1 คุณภาพผู้เรียน/ผู้รบั บริการ การศึกษาตามอัธยาศัย ตัวบ่งชี้ที่ 8 ความพึงพอใจ ตอ่ การให้บริการการศกึ ษาตามอัธยาศัย 7.2.3 ค้นหา Best Practice ในการเผยแพร่ความรู้ การเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค โดยนาประเด็นการพิจารณาเพ่ือค้นหา Best Practice มาพิจารณา พบว่า เป็นเรื่องที่เก่ียวข้องกับ บ ท บ า ท ห น้ า ที่ ข อ ง บ ร ร ณ า รั ก ษ์ ห้ อ ง ส มุ ด ป ร ะ ช า ช น ใ น ก า ร จั ด ก า ร ศึ ก ษ า ต า ม อั ธ ย า ศั ย ใ ห้ แ ก่ กลุ่มเป้าหมาย โดยการจัดกิจกรรมเพื่อปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน พร้อมทั้งให้ข้อมูลข่าวสารท่ีถูกต้อง ทันสมัย เพ่ือให้กลุ่มป้าหมายสามารถนาความรู้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง จึงได้วางแผนเพ่ือ ดาเนินการพัฒนากลอ่ งความร้กู นิ ได้ “การเพาะต้นอ่อนพืชออรแ์ กนคิ ” ดังน้ี 31 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

1) เขา้ รับการอบรมการพฒั นากลอ่ งความรู้กนิ ได้ กับศนู ย์ความรู้กนิ ได้ (OKMD) 2) วิเคราะห์ความต้องการในการประกอบอาชีพ แหล่งเรียนรู้ โอกาส ความ เป็นไปได้ ในการประกอบอาชีพในจังหวดั ลาปาง 3) ศึกษาข้อมูลเก่ียวกับอาชีพการเพาะต้นอ่อน โดยคัดเลือกอาชีพเพาะต้นอ่อน พืชออร์แกนิค เน่ืองจากมองเห็นช่องทางในการประกอบอาชีพเพื่อสร้างรายได้ มีผู้ประกอบการน้อย และมคี วามต้องการในตลาดสูง 4) วางแผนการพฒั นากล่องความรูก้ ินได้ “การเพาะตน้ ออ่ นพชื ออร์แกนิค” 5) วางแผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใชก้ ล่องความรู้กินได้ “การเพาะต้นอ่อน พชื ออร์แกนิค” 6) วางแผนการติดตามประเมินผลการเรียนรู้ โดยใช้กล่องความรู้กินได้ “การ เพาะตน้ อ่อนพชื ออรแ์ กนิค” 7.2.4 ดาเนินการ 1) พัฒนากล่องความรู้กินได้ “การเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค”โดยนาความรู้ที่ ศึกษารวบรวมความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เช่น หนังสือ สื่อ การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตและสารวจ พื้นท่ีเพ่ือสรรหาแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญา ผู้ประกอบการเพาะต้นอ่อนพืชเพ่ือจาหน่าย เพื่อศึกษาเรียนรู้ ขั้นตอนกระบวนการในการเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค และนาความรู้ท่ีได้รับมาทดลองปฏิบัติด้วย ตนเองในการเพาะต้นอ่อนทานตะวัน ผักบุ้ง โต้วเหม่ียวหรือต้นอ่อนถ่ัวลันเตา โดยใช้การเปรยี บเทยี บ ระหว่าง ต้นทุน เวลา ผลผลิต การเก็บรักษา ความต้องการของผู้บริโภคและจุดคุ้มทุน โดยเร่ิมต้ังแต่ กระบวนการผลิตและจาหน่ายด้วยตนเอง จากนั้นนาความรู้ท่ีได้มาประมวล และเรียบเรียงเน้ือหา ความรู้เป็นความรู้ใหม่ที่ถอดมาจากประสบการณ์ของตนเอง เนื้อหากล่องความรู้ มีเน้ือหา 4 ส่วน ประกอบดว้ ย สว่ นที่ 1) ทาไมตอ้ งตน้ อ่อนพชื ออร์แกนิค 2) เชค็ ความพร้อมก่อนประกอบอาชีพ 3) ลง มือทา และ 4) ทาอย่างไรให้ประสบผลสาเร็จ 2) ดาเนินการสรา้ งเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบติดตามการ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์ 2) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้กล่องความรู้กินได้ เพื่อใช้ในการ ติดตามประเมนิ ผลการใชก้ ล่องความร้กู ินได้ 7.2.5 ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของกล่องความรกู้ ินได้ “การเพาะตน้ อ่อนพืชออร์ แกนิค” และเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยหัวหน้ากลุ่มจัดการศึกษานอกระบบฯและผู้บริหาร กศน.อาเภอ เพ่อื ตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา และกระบวนการจัดการเรยี นรู้ พร้อมท้ังปรับปรุง แกไ้ ข กล่องความรกู้ ินได้ และเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูลตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจ กอ่ นนาไป ให้กลุม่ เปา้ หมายได้ศึกษาเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง 32 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

7.2.6 จัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ โดยใช้กล่องความรู้กินได้ โดยการสาธิตการเพาะต้น อ่อนพืชออร์แกนิค พร้อมทั้งแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค โดยโปสเตอร์ท่ีแสดง ขอ้ มลู เปน็ ลาดับขั้นตอน 7.2.7 ประเมินความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมกิจกรรม โดยใช้แบบประเมินความพึงพอใจ ตอ่ การใชก้ ลอ่ งความรู้กนิ ได้ฯ เพอ่ื นาข้อมลู ไปปรบั ปรงุ กล่องความร้กู นิ ไดฯ้ 7.2.8 ดาเนินการติดตามผลการนาความรู้ กล่องความรู้กินได้ ไปใช้ประโยชน์ โดย ดาเนินการติดตามหลังจากเข้ารว่ มกจิ กรรมไปแล้วอยา่ งน้อย 1 เดอื น โดยใชแ้ บบติดตามการนาความรู้ ไปใชป้ ระโยชน์ เพื่อนาขอ้ มูลไปปรับปรุง กลอ่ งความรูก้ นิ ได้ 8. ตวั ช้ีวัดความสาเร็จ 8.1 ร้อยละ 30 ของผู้ร่วมกิจกรรมสามารถนาความรู้ไปประกอบอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม ก่อให้เกดิ รายไดไ้ ดจ้ รงิ 8.2 ร้อยละ 80 ของผู้ร่วมกิจกรรมสามารถผลิตอาหารที่มีประโยชน์ สะอาด และปลอดภัย ไวบ้ ริโภคในครัวเรอื นได้ดว้ ยตนเอง 8.3 ห้องสมุดประชาชนจงั หวัดลาปาง เป็นแหลง่ เรยี นรดู้ ้านอาชพี ให้กบั ชมุ ชน 9. การประเมินผลและเครอ่ื งมอื การประเมนิ ผล 9.1 ติดตามผลการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ โดยใชแ้ บบตดิ ตามการนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 9.2 ประเมินความพึงพอใจต่อการใช้กล่องความรู้กินได้ “การเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค” โดยใช้แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใชก้ ล่องความรู้กนิ ไดฯ้ 10. ผลการดาเนนิ งาน หอ้ งสมุดประชาชนจังหวัดลาปาง ได้จัดทากล่องความรู้กินได้ เร่ือง “การเพาะต้นอ่อนพืชออร์แก นคิ ” และมีการเผยแพร่ความรู้โดยการนาเสนอกลอ่ งความร้กู ินได้ พร้อมท้ังสาธิตการเพาะต้นอ่อนพืช ออร์แกนิคใหก้ ับผู้รว่ มกจิ กรรมได้ฝกึ ปฏบิ ัติ ซึง่ สรุปผลการดาเนินงานได้ ดงั นี้ 10.1 ผู้ร่วมกิจกรรมสามารถนาความรู้ไปประกอบอาชีพหลักหรืออาชีพเสริม ก่อให้เกิด รายได้ไดจ้ รงิ จานวน 17 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 34.00 10.2 ผู้ร่วมกิจกรรมสามารถผลิตอาหารที่มีประโยชน์ สะอาด และปลอดภัย ไว้บริโภคใน ครัวเรอื นไดด้ ้วยตนเอง จานวน 41 คน คิดเป็นร้อยละ 82.00 10.3 ห้องสมุดประชาชนจังหวัดลาปาง เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านอาชีพให้กับชุมชน โดยมี ผเู้ ขา้ ร่วมกจิ กรรมเรียนรโู้ ดยใช้ชดุ ทดลองกลอ่ งความรู้กินได้ “การเพาะตน้ ออ่ นพืชออร์แกนิค” จานวน 50 คน คดิ เป็นร้อยละ 100.00 และมคี วามพึงพอใจต่อการเข้าร่วมกิจกรรมในภาพรวม คดิ เปน็ รอ้ ยละ 93.00 นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมกิจกรรมยังสามารถนาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง เพื่อลด รายจา่ ย เพ่มิ รายได้ ในครัวเรอื นของตนเองได้ คดิ เป็นร้อยละ 82.00 33 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

11. บทสรุป กล่องความรู้กินได้ “การเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค” เป็นการสนับสนุนและกระตุ้นให้ ประชาชนได้เข้าถึงองค์ความรู้ และนาไปปรับใช้ในการประกอบอาชีพ ด้วยการผลิตเป็นสินค้า หรือ บริการที่มคี ุณค่าโดยใช้ “ความรู้” เป็น “ทนุ ” ในการทามาหากนิ มกี ารดาเนนิ การตามแนวทางวงจร คุณภาพของเดมมงิ่ (Deming Cycle : PDCA) ดังน้ี ด้านการวางแผน (P) 1. ศึกษาสภาพ ปัญหา ความต้องการการเรียนรู้ด้านการประกอบอาชีพของผู้ใช้บริการ ห้องสมุด โดยกาหนดกลุ่มเป้าหมาย จานวน 50 คน โดยใช้การสัมภาษณ์รายคน เพื่อนาข้อมูลไป วางแผนในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 2. วิเคราะห์งานตามบทบาทหน้าที่ และวิเคราะห์ความสอดคล้องท่ีเก่ียวข้อง เช่น ยุทธศาสตร์และจุดเน้นการดาเนินงาน กศน. วิสัยทัศน์/พันธกิจ ระบบประกันคุณภาพสถานศึกษา ฯลฯ ซึ่งจากการวิเคราะห์เห็นได้ว่า กล่องความรู้กินได้ “การเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค”นี้ เป็น บทบาทหน้าที่ของบรรณารักษ์ห้องสมุดประชาชน ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์และจุดเน้นการ ดาเนินงาน กศน. ประจาปีงบประมาณ 2560 ในเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อปลูกฝังนิสัยรัก การอา่ น และพฒั นาความสามารถในการอ่านและศักยภาพการเรียนรู้ของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ให้ประชาชนสามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องและทันเหตุการณ์ เพ่ือสามารถนาความรู้ที่ได้รับไป ปรับใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติจริง และสอดคล้องกับการประกันคุณภาพสถานศึกษา มาตรฐานด้าน คุณภาพผู้เรียน มาตรฐานที่ 1 คุณภาพผู้เรียน/ผู้รับบริการ การศึกษาตามอัธยาศัย ตัวบ่งช้ีท่ี 8 ความพึงพอใจตอ่ การใหบ้ รกิ ารการศึกษาตามอธั ยาศยั 3. เขา้ รบั การอบรมการพฒั นากลอ่ งความรู้กินได้ กบั ศูนย์ความรู้กนิ ได้ (OKMD) 4. วเิ คราะหค์ วามต้องการในการประกอบอาชีพ แหล่งเรยี นรู้ โอกาส ความเปน็ ไปได้ ในการ ประกอบอาชีพในจังหวัดลาปาง 5. ค้นหา Best Practice โดยพิจารณาประเดน็ ดงั นี้  เป็นเรือ่ งทเ่ี กี่ยวข้องกับภารกจิ โดยตรงของบทบาทหนา้ ท่ี  สนองนโยบาย การแก้ปัญหา การพัฒนาประสิทธิภาพของผู้เรียน กศน. / ผู้รับบริการ  เป็นวิธีการริเร่ิมสร้างสรรค์ข้ึนมาใหม่ หรือประยุกต์ขึ้นใหม่ (นวัตกรรม) โดยตั้ง คาถามว่า นวัตกรรมนน้ั คอื อะไร (What) ทาอย่างไร (How) ทาเพื่ออะไร (Why)  มกี ารประเมนิ ความพงึ พอใจของผู้เข้ารว่ มกิจกรรม  สามารถนาไปใช้เป็นมาตรฐานการทางานต่อไปไดย้ งั่ ยนื พอสมควร  มกี ารพฒั นาปรับปรุงตอ่ ไป 34 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

จากการพจิ ารณาประเด็นต่างๆ ดงั กล่าวเพื่อคน้ หา Best Practice ในการเผยแพรค่ วามรู้โดย ใช้กล่องความรู้กินได้ พบวา่ เป็นเรอ่ื งท่ีเกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าท่ีของบรรณารักษห์ ้องสมดุ ประชาชน โดยตรง ในการจัดการศึกษาตามอัธยาศัยให้แก่กลุ่มเป้าหมาย จึงได้วางแผนเพื่อดาเนินการพัฒนา กลอ่ งความร้กู นิ ได้ “การเพาะต้นอ่อนพชื ออรแ์ กนิค” ดังนี้ 1) ศึกษาข้อมูลและวิธีการทากล่องความรู้กินได้ พร้อมทั้งศึกษาความรู้เกี่ยวกับอาชีพ การเพาะต้นอ่อน โดยคัดเลือกอาชีพเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค เน่ืองจากมองเห็นช่องทางในการ ประกอบอาชีพเพ่ือสร้างรายได้ และมีผ้ปู ระกอบการน้อยมคี วามตอ้ งการในตลาดสูง 2) วางแผนการพฒั นากลอ่ งความรกู้ ินได้ “การเพาะตน้ อ่อนพืชออรแ์ กนิค” 3) วางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้กล่องความรู้กินได้ “การเพาะต้นอ่อนพืช ออร์แกนิค” 4) วางแผนการติดตามประเมินผลการเรียนรู้ โดยใช้กล่องความรู้กินได้ “การเพาะต้น อ่อนพืชออร์แกนคิ ” ดา้ นการดาเนนิ งาน (D) 1. ดาเนนิ การพฒั นากล่องความรู้กินได้ฯ และสรา้ งเคร่องมอื เก็บรวบรวมข้อมลู 1.1 พัฒนากล่องความรู้กินได้ “การเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค”โดยนาความรู้ท่ีศึกษา รวบรวมความรู้จากแหล่งต่าง ๆ เช่น หนังสือ ส่ือ การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตและสารวจพ้ืนท่ี เพื่อสรรหาแหล่งเรียนรู้ภูมิปัญญา ผู้ประกอบการเพาะต้นอ่อนพืชเพ่ือจาหน่าย เพ่ือศึกษาเรียนรู้ ข้ันตอนกระบวนการในการเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค และนาความรู้ที่ได้รับมาทดลองปฏิบัติด้วย ตนเองในการเพาะต้นอ่อนทานตะวัน ผักบุ้ง โต้วเหม่ียวหรือต้นอ่อนถ่ัวลนั เตา โดยใช้การเปรยี บเทยี บ ระหว่าง ต้นทุน เวลา ผลผลิต การเก็บรักษา ความต้องการของผู้บริโภคและจุดคุ้มทุน โดยเร่ิมตั้งแต่ กระบวนการผลิตและจาหน่ายด้วยตนเอง จากน้ันนาความรู้ที่ได้มาประมวล และเรียบเรียงเน้ือหา ความรู้เป็นความรู้ใหม่ท่ีถอดมาจากประสบการณ์ของตนเอง เน้ือหากล่องความรู้ มีเนื้อหา 4 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนท่ี 1) ทาไมต้องต้นอ่อนพืชออร์แกนิค 2) เช็คความพร้อมก่อนประกอบอาชีพ 3) ลงมือทา และ 4) ทาอย่างไรให้ประสบผลสาเรจ็ 1.2 ดาเนินการสร้างเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบติดตามการนา ความรู้ไปใช้ประโยชน์ 2) แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้กล่องความรู้กินได้ เพ่ือใช้ในการ ตดิ ตามประเมนิ ผลการใชก้ ลอ่ งความรู้กินได้ 2. ตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ของกล่องความรู้กินได้ “การเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค” และเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยหัวหน้ากลุ่มจัดการศึกษานอกระบบฯและผู้บริหาร กศน. อาเภอ เพอ่ื ตรวจสอบความถูกต้องของเน้ือหา และกระบวนการจัดการเรียนรู้ พร้อมทั้งปรับปรงุ แก้ไข กล่องความรู้กินได้ และเครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูลตามข้อเสนอแนะของผู้ตรวจ ก่อนนาไปให้ กลุม่ เปา้ หมายไดศ้ ึกษาเรียนรดู้ ้วยตนเอง 35 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

3. จัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ โดยใช้กล่องความรู้กินได้ โดยการสาธิตการเพาะต้นอ่อนพืช ออร์แกนิค พร้อมท้ังแสดงข้อมูลเกี่ยวกับการเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค โดยโปสเตอร์ที่แสดงข้อมูล เปน็ ลาดบั ขั้นตอน ดา้ นการตรวจสอบและประเมินผล (C) 1. ประเมินความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมกิจกรรม โดยใช้แบบประเมินความพึงพอใจต่อการใช้ กลอ่ งความรู้กินไดฯ้ เพอื่ นาข้อมูลไปปรับปรงุ กลอ่ งความรู้กินไดฯ้ 2. ดาเนินการติดตามผลการนาความรู้ กล่องความรู้กินได้ ไปใช้ประโยชน์ โดยดาเนินการ ติดตามหลังจากเข้าร่วมกิจกรรมไปแล้วอย่างน้อย 1 เดือน โดยใช้แบบติดตามการนาความรู้ไปใช้ ประโยชน์ เพ่อื นาข้อมูลไปปรับปรุง กลอ่ งความรกู้ นิ ได้ ดา้ นการปรบั ปรุงและพัฒนาผลการปฏบิ ัติงาน (A) นาข้อเสนอแนะของผู้เข้าร่วมกิจกรรมที่เรียนรู้ด้วยกล่องความรู้กินได้ มาพัฒนาปรับปรุง กล่องความรู้กินได้นี้ และนาไปพัฒนากล่องความรู้กินได้ในเนื้อหาอื่น ๆ ต่อไป ซ่ึงเป็นวิธีการเรียนรู้น้ี เป็นวิธีการทผ่ี ู้เรยี นสามารถเรยี นรู้ได้ด้วยตนเอง การดาเนินกิจกรรมกล่องความรู้กินได้ ภายใต้โครงการศูนย์ความรู้กินได้ (OKMD) ตาม แนวทางวงจรคุณภาพของเดมมิ่ง (Deming Cycle : PDCA) ดังกล่าว สามารถแสดงได้ดังผังงานแนว ปฏิบัติทดี่ ดี า้ นการศีกษาตามอัธยาศยั ดังนี้ 36 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ท่ี ดี ( B e s t P r a c t i c e )

12. กลยุทธ์หรอื ปัจจยั ทีท่ าใหป้ ระสบความสาเรจ็ 12.1 การรวบรวมความรู้ท่ีกระจัดกระจายจากแหล่งต่าง ๆ นามาจัดหมวดหมู่ วิเคราะห์ จัดเรียงให้เป็นระบบ การปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันโดยใช้แหล่งข้อมูลท่ีหลากหลาย ถอดความรู้ และบันทกึ อย่างเป็นระบบเพ่ือนาเสนอต่อสาธารณะ มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพ่ือแก้ปัญหา และมีการ ปรับปรงุ แกไ้ ขใหไ้ ดค้ วามรทู้ ่ีสามารถตอ่ ยอดไปสู่ความรใู้ หม่ไดต้ ลอดเวลา 37 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

12.2 บรรณารักษ์มีความรู้และทักษะในการเป็นนักจัดการความรู้ และดาเนินการพัฒนา กล่องความความรู้ตามวงจรคุณภาพของเดมมง่ิ (PDCA) ทเี่ ริม่ ดว้ ยการสารวจสภาพ ความต้องการของ ผ้รู ับบริการหอ้ งสมุดประชาชน ศึกษาค้นควา้ รวบรวมข้อมลู ท่ีเก่ยี วข้องนามาพัฒนากล่องความรู้กินได้ ตามหลักการท่ีได้รับความรู้มา ดาเนินกิจกรรมให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรม มีการประเมินผล การดาเนินงานพร้อมท้ังติดตามผลการนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ สรุปผลการดาเนินงาน และเผยแพร่ กล่องความรู้กนิ ไดใ้ ห้แก่ผู้ทสี่ นใจทั่วไป และทีส่ าคญั ไดน้ าข้อเสนอแนะของผูเ้ ข้าร่วมกิจกรรมไปพัฒนา ปรับปรงุ กลอ่ งความรกู้ นิ ได้ใหส้ อดคลอ้ งกับวิธกี ารเรียนน้ีให้มคี ุณภาพมากย่งิ ขึ้น 13. ขอ้ เสนอแนะ 13.1 ผู้จัดทากล่องความรู้กินได้ สามารถนาประสบการณ์ที่ได้รับจากการจัดทาไปปรับใชใ้ น การจดั การความรู้ในแขนงวชิ าอื่น ๆ ที่เก่ียวข้องไดอ้ ย่างเป็นระบบ 13.2 ผู้จัดทากล่องความรู้กินได้สามารถนาความรู้ท่ีได้รับไปต่อยอดความคิด และพัฒนา ผลิตภัณฑใ์ นรปู แบบตา่ ง ๆ เพือ่ สร้างงานและพฒั นาอาชพี ได้ 14. การอ้างอิง (ระบุแหล่งอ้างองิ เอกสารอา้ งองิ ฯลฯ) นายทรัพย์. (ม.ป.ป.). สอนเพาะต้นอ่อนทานตะวัน by นายทรัพย์. [ระบบออนไลน์]. เข้าถึงได้ จาก : http://www.Facebook.com/ BaanRaiPlaiFun/?fref=ts (วนั ทค่ี ้นข้อมลู : 22 สิงหาคม 2559). สานักวิจัยและพัฒนาเกษตร เขต 1. (ม.ป.ป.). ระบบรับรองมาตรฐานการผลิต GPA พืชและ พืชอิน ทรีย์. [ระบบออนไลน์ ]. เข้าถึงได้จาก : http://www.oard1.org/ index.php?option=comcontent&View=article&id=66&Itemid=16 (วันท่ีค้น ข้อมลู : 22 สิงหาคม 2559). มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย). (ม.ป.ป.). ออร์แกนิค (Organic Food) กับประโยชน์ 1 5 ข้ อ . [ร ะ บ บ อ อ น ไ ล น์ ]. เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก : http://www.sathai.org/ Account_code. (วันทีค่ น้ ขอ้ มูล : 26 สงิ หาคม 2559). เ อ า โ ต้ ว เ ห มี่ ย ว ม า ฝ า ก จ้ า ! ! ! ! ! ! . ( ม . ป . ป . ) . [ร ะ บ บ อ อ น ไ ล น์ ]. เ ข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก : http://pantip.topic/32700263 (วนั ท่คี ้นขอ้ มูล : 22 สิงหาคม 2559). Kapook!. (ม.ป.ป.). ต้นอ่อนทานตะวัน ประโยชน์อนันต์ท่ีไม่ควรพลาดจากพืชตัวน้อย. [ระบบออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://health.kapook.com/view117063.html (วันทคี่ น้ ข้อมูล : 26 สงิ หาคม 2559). 15. ภาคผนวก เอกสารชุด กลอ่ งความรกู้ ินได้ “การเพาะต้นอ่อนพืชออร์แกนิค” 38 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

39 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

40 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

41 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

42 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )

43 แ น ว ท า ง ก า ร นา เ ส น อ แ น ว ป ฏิ บั ติ ที่ ดี ( B e s t P r a c t i c e )


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook