คู่มอื การจดั การการผลติ กาแฟอะราบิกา ISBN : 978-974-436-925-3 พมิ พ์ครัง้ ท่ี 1 : กมุ ภาพันธ์ 2562 จานวน : 1,000 เลม่ ท่ีปรึกษา : นายสมบัติ ตงเต๊า ผูอ้ านวยการสถาบันวิจยั พืชสวน นายพจิ ิตร ศรีปนิ ตา ผูอ้ านวยการศูนย์วิจยั เกษตรหลวงเชยี งใหม่ นายทวีศักดิ์ แสงอุดม ผอู้ านวยการกลมุ่ วชิ าการ นางวไิ ลวรรณ พรหมคา ผอู้ านวยการสานักวจิ ยั และพฒั นาอารกั ขาพชื นายชูชาติ วฒั นวรรณ ผอู้ านวยการกองวิจยั และพัฒนาวิทยาการหลังการ เก็บเก่ยี ว และแปรรูปผลติ ผลเกษตร นายสนอง อมฤกษ์ ผอู้ านวยการศนู ยว์ จิ ยั เกษตรวิศวกรรมเชียงใหม่ นายสนอง จรินทร ผู้อานวยการศนู ยว์ ิจัยพชื สวนเชียงราย คณะผจู้ ัดทา : นางสภุ ัทรา เลิศวฒั นาเกียรติ รักษาการผูเ้ ช่ียวชาญไม้ผล นางสาวฉตั ตน์ ภา ขม่ อาวธุ ผูอ้ านวยการกลมุ่ วิจัย ศนู ยว์ จิ ยั เกษตรหลวงเชยี งใหม่ นางสาวศิริภรณ์ จรนิ ทร นางศศธิ ร วรปิติรังสี นางวิมล แก้วสีดา นายนฤนาท ชัยรังษี นายยทุ ธศกั ด์ิ เจยี มไชยศรี นายมานพ รกั ญาติ นายโกเมศ สตั ยาวุธ นายปรีชา อานันทร์ ตั นกลุ นายนดั ไชยมงคล นางสาวอารรี ตั น์ การณุ สถิตชัย นายจริ วสั ส์ เจยี ตระกลู นางสาวบญุ ปิยธดิ า คล่องแคลว่ นายสเุ มธ พากเพยี ร นายสเุ มธ กาศสกุล นางสาวธารทิพย ภาสษุตร นายเมธาสทิ ธิ์ คนการ นางสภุ าภรณ์ สาชาติ สงวนลิขสิทธ์ิ สถาบนั วจิ ยั พชื สวน กรมวชิ าการเกษตร 50 พหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตจุ ักร กรงุ เทพฯ 10900 โทร. 0-2579-0583, 0-2940-5484 โทรสาร 0-2561-4667 ปก รปู เล่ม พิมพ์ นางนพดา ไกรรกั ษ์ พิมพ์ที่ การันตี GUARANTEE (นนทบรุ ี) โทรศัพท์ 02 982 8035
คานา ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบันกาแฟอะราบิกาเป็นพืชที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ความสาคัญพืชหน่ึง และได้เสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นชอบในการ ดาเนินการยุทธศาสตร์ในการพัฒนากาแฟ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบเมื่อ วนั ที่ 4 ตุลาคม 2559 ดังนั้นในการจัดทา คู่มือการจัดการการผลิตกาแฟอะราบิกา มี วัตถุประสงค์เพ่ือเป็นส่ือเผยแพร่ในเทคโนโลยีในการจัดการการผลติ กาแฟอะราบิกาที่ ถูกต้องและเหมาะสม ต้ังแต่การเลือกพ้ืนที่ปลูก การปลูก การจัดการโรคแมลงที่เป็น ปัญหากระจายตัวในพ้ืนที่ปลูกกาแฟอะราบิกาในปัจจุบัน ซึ่งเป็นกระทบต่อคุณภาพ ของกาแฟ ตลอดจนกระบวนการเก็บเกี่ยว และการแปรรูป ทางผู้จัดทาหวังเป็นอย่าง ยิง่ วา่ เกษตรกรและผทู้ เ่ี กีย่ วขอ้ งสามารถนาไปใชใ้ หเ้ กิดผลสมั ฤทธิ์ ในการผลติ กาแฟอะ ราบิกาตามความคาดหวังของการดาเนินการตามยุทธศาสตร์ และมีส่วนในการ สนับสนุนองค์ความรู้ให้เกษตรกรมีความเข้าใจและให้ความเอาใจใส่ในกระบวนการ ผลติ กาแฟอะราบกิ าคุณภาพของไทย (นายสมบตั ิ ตงเตา๊ ) ผูอ้ านวยการสถาบนั วิจัยพืชสวน
ค่มู ือการจดั การการผลิตกาแฟอะราบกิ า หน้า สารบญั 1 1. พ้ืนทปี่ ลกู 2 3 2. พนั ธก์ุ าแฟอะราบกิ า 7 3. การขยายพนั ธ์ุ 7 4. การปลกู และการดูแลรักษา 7 5. การจดั การร่มเงา 8 6. การใหน้ ้า 10 7. การใส่ปุ๋ย 11 8. การควบคมุ ทรงพมุ่ การตดั แต่งกิ่ง 11 9. ศตั รูและการปูองกันกาจดั 14 18 9.1 โรค 18 9.2 แมลง 19 9.3 วชั พชื 25 10. การเกบ็ เก่ยี ว 28 11. การปฏบิ ตั ิหลังการเกบ็ เกยี่ วและแปรรปู 12. แนวทางการผลติ กาแฟปลอดภยั 13. เครื่องมือสาหรบั แปรูป 14. เอกสารอา้ งอิง
กาแฟอะราบกิ า (Coffea arabica L.) พื้นทีป่ ลกู กาแฟอะราบกิ า แหล่งปลกู ท่เี หมาะสมของกาแฟอะราบิกา ตอ้ งพิจารณา 1. สภาพพ้นื ทแ่ี ละสภาพภูมอิ ากาศ - ควรเปน็ พ้ืนท่ที ่อี ย่ใู นระดับเส้นรุ้ง 17 องศาเหนอื ขนึ้ ไป - อยู่ในระดบั ความสงู จากนา้ ทะเล ตงั้ แต่ 700 เมตรขน้ึ ไปจากความสูงจากน้าทะเล - มีความลาดเอยี งไมค่ วรเกิน 30 เปอรเ์ ซ็นต์ - อุณหภมู ิทเ่ี หมาะสมอยใู่ นช่วง 15-25 องศาเซลเซยี ส - ความช้นื สัมพทั ธ์มากกวา่ 60 เปอรเ์ ซน็ ต์ 2. ลักษณะดิน - ดนิ มคี วามอุดมสมบูรณ์ มชี ั้นดนิ ลึกไมต่ า่ กวา่ 50 เซนติเมตร - ความเปน็ กรด-ด่าง 5.5-6.0 และระบายน้าดี 3. แหลง่ น้า - บริเวณที่อาศัยน้าฝน ควรมีปรมิ าณนา้ ฝนไมต่ า่ กวา่ 1,500 มลิ ลเิ มตรต่อปี และต้องมกี าร กระจายน้าฝนอยา่ งน้อย 5-8 เดอื น มีแหล่งนา้ สะอาดและมปี ริมาณเพยี งพอในการให้ น้าได้ตลอดช่วงแล้ง พ้นื ทป่ี ลกู ช่วงท่ี ช่วงท่ี อายกุ าร เหนอื ระดบั น้าทะเล (เมตร) ออกดอก เก็บเก่ยี ว เก็บเกี่ยว (เดอื น) 700-1,000 มี.ค.-เม.ย. ต.ค.-ธ.ค. 5-8 1,100-1,500 ม.ี ค.-พ.ค. ธ.ค.-เม.ย. 9-10 1
พนั ธ์ุกาแฟอะราบกิ า พันธก์ุ าแฟอะราบกิ าควรมลี ักษณะ ดังนี้ 1. ต้านทานตอ่ โรคราสนิม 2. ผลผลิตมคี ณุ ภาพการชมิ และเปน็ ทีย่ อมรับ 3. ตน้ เตี้ย ข้อส้นั ผลผลิตสงู สมา่ เสมอ 4. ควรเป็นพนั ธ์ุที่ผ่านการคดั เลือกพนั ธุ์ ไดแ้ ก่ พันธเ์ุ ชียงใหม่ 80 และพนั ธ์ุ H420/9 กาแฟอะราบิกา พันธุ์เชียงใหม่ 80 (พันธ์ุรับรองกรมวิชาการเกษตร) คือ สายพันธ์ุคา ติมอร์ CIFC 7963 ซึง่ เป็นพันธุ์ลูกผสมระหว่าง H.W.26/5 (832/1 Hibrido de Timor x 19/1 Caturra) กับพันธุ์ SL.28 มีลักษณะต้นเต้ีย ข้อสั้น ยอดสีเขียว ใบมีขนาดปานกลาง ผลสุกสีแดง ให้ผลผลิตน้าหนักแห้งเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 500-900 กรัมต่อต้น เมื่ออายุ 7 ปี ให้ สารกาแฟเฉล่ีย 215 กิโลกรมั ต่อไร่ คุณภาพการชิมอย่ใู นระดบั ดปี านกลาง กาแฟอะราบิกา พนั ธ์ุ H420/9 (พนั ธ์ุแนะนากรมวิชาการเกษตร) คือ สายพันธ์ุคาติมอร์ ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์ Mundo Novo 1535/33 กับพันธุ์ H.W.26/14 (832/1 Hibrio de Timor x 19/1 Caturra) มีลักษณะต้นสูงปานกลาง ข้อยาวปานกลาง ยอดสีเขียว ใบมีขนาดปานกลาง ผลสุกสีแดง ใหผ้ ลผลิตน้าหนักแห้งเฉลี่ยอยรู่ ะหว่าง 400- 550 กรัมต่อต้น เม่ืออายุ 6 ปี ให้สารกาแฟเฉลี่ย 158-222 กิโลกรัมต่อไร่ คุณภาพการชิมอยู่ ในระดับดปี านกลาง กาแฟอะราบกิ า พันธเ์ุ ชียงใหม่ 80 กาแฟอะราบิกา พันธ์ุ H420/9 2
ตน้ พนั ธก์ุ าแฟอะราบกิ า ไดจ้ ากการขยายพันธ์ุกาแฟอะราบิกา 2 แบบ คอื 1. การขยายพันธ์ุโดยอาศัยเพศ (Sexual propagation) โดยใช้เมล็ด ต้องเป็นเมล็ดจากต้น พนั ธุค์ ดั ท่ีเปน็ แม่พันธเ์ุ ทา่ นัน้ 1.1 เตรียมเมล็ด จากผลกาแฟที่สุกเต็มที่ แกะเอาเปลือกออกจะได้เมล็ดที่เรียกว่า “เมล็ดกะลา” คัดเฉพาะเมล็ดที่สมบูรณ์ วัสดุเพาะ ได้แก่ ทรายหยาบใหม่ หรือดิน (ต้องเป็นดินใหม่ท่ีปลอดเชื้อโรค) ตะกร้า หรือ อิฐบล็อกพลาสติกดา 70 เปอร์เซ็นต์ ถุงพลาสติกดาขนาด 4 x 6 นิ้ว หรือ 5 x 8 นิ้ว ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ปุ๋ยยูเรีย (46-0-0) ล้างเมลด็ ให้สะอาดเรียงในกระบะเพาะทีม่ วี ัสดปุ ลูกในตะกร้า หรือในอิฐบล็อก ภายใต้หลังคา พรางแสงด้วยพลาสติกดา 70เปอร์เซ็นต์ ให้น้าอยา่ งสม่าเสมอประมาณ 30-45 วัน เมล็ด กาแฟจะเริม่ งอกจนถึงระยะหวั ไมข้ ีด ก. กาแฟกะลา ข. เตรยี มวัสดเุ พาะ ค. กระบะเพาะ (อฐิ บล็อก) คดั เฉพาะเมล็ดท่สี มบรู ณ์ ทรายหยาบใหม่ ง. การเรียงเมลด็ จ. การเรยี งเมลด็ ฉ. การเรียงเมลด็ ในแตล่ ะแถว ช. กลบเมลด็ ด้วยทราย ซ . ใ ห้ น้ า ร ะ บ บ ส ป ริ ง เ ก อ ร์ ภ า ย ใ ต้ ฌ. 30-45 วัน งอกเป็นระยะ หลังคาพรางแสงด้วยพลาสติกดา หัวไมข้ ดี 70% ใหน้ ้าอยา่ งสมา่ เสมอ 1.2 ระยะปีกผเี สื้อ (ใบเล้ียงมีลักษณะคล้ายปีกผีเส้ือ) ขนาด 1-2 คู่ใบ ถอนเพ่ือยา้ ยปลูก ในถุงพลาสติกบรรจุดินขนาด 4x6 นิ้ว หรือ 5x8 น้ิว หรือในแปลงเพาะท่ีเตรียมดินไว้ (ระยะ 30X100 เซนติเมตร) รดน้าให้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้า 200 ลิตร สลับกับปุ๋ยยเู รียอัตรา 1 กโิ ลกรัมต่อนา้ 200 ลติ ร รดทกุ 7-10วัน จนกว่าจะยา้ ยตน้ กลา้ ปลกู 3
ก. กาแฟระยะปีกผเี ส้ือ ข. ถุงพลาสตกิ บรรจุดนิ ผสมขนาด 4x6 นวิ้ หรือ 5x8 นิว้ ค. กาแฟระยะปกี ผเี สือ้ ในถุง ง. กาแฟระยะใบจรงิ คูแ่ รก จ. ตน้ กลา้ พร้อมปลกู ท่ีมใี บจรงิ 5-6 คู่ 2. การขยายพนั ธุโ์ ดยไม่อาศัยเพศ ข้อดี คือ ได้พันธ์ุลักษณะตรงตามพันธุ์ ตน้ กาแฟแข็งแรง ให้ผลผลติ เร็วกว่าตน้ เพาะเมล็ด ข้อเสีย คอื ไมส่ ามารถขยายไดป้ รมิ าณมากๆ 2.1 การปักชา (cutting) คือ การตัดก่ิง ตัดรากหรือตัดใบมาจากต้นแม่แล้วชักนาให้ เกิดรากหรอื ต้นโดยใชส้ ารเคมีหรือใหส้ ภาพแวดล้อมท่เี หมาะสม ข้อดี คือ ขยายพันธุ์เริ่มต้นจากต้นแม่เพียงไม่กี่ต้นในพ้ืนที่จากัดและทาได้เร็ว ง่าย ใช้ต้นทุนต่า ไมต่ ้องใช้เทคนิคพเิ ศษ ไม่มีปัญหาเรื่องการเข้ากันไมไ่ ด้กับต้นตอหรือรอยต่อไม่ แขง็ แรงระหว่างก่งิ พันธ์ุกบั ต้นตอ ต้นมคี วามสม่าเสมอ และมีลกั ษณะตรงตามพันธุ์ ข้อเสีย คอื ไมม่ ีระบบรากแก้ว ปักชานานประมาณ 2-6 เดือน ข้ึนกับชนิดของพันธุ์ ช่วงเวลาที่ดาเนินการ และ เกิดยอดทแ่ี ตกขน้ึ ใหม่เปน็ เวลา 6-7 เดอื น 4
ข้อแนะนา คือ ควรใช้กิ่งยอด (กิ่งตั้ง) ไม่แนะนาให้ใช้ก่ิงที่เป็นกิ่งสร้างดอกหรือก่ิงนอน หรือก่ิงข้าง พบว่ากิ่งนอนหรือก่ิงข้างนั้นแม้ว่าจะมีการเกิดราก แต่เมื่อนาไปปลูกพบว่า ไม่มี การเจรญิ เติบโตหรอื เจริญเติบโตชา้ ก. กระบะท่มี ีทราย:แกลบดา (1:1) ข. ก่ิงที่เหมาะสม ค. การเฉอื นปลายก่งิ ง. แชใ่ นสารชักนารากและ จ. กระบะชาในสภาพปิด ช. ก่งิ ชาทมี่ รี ากทส่ี มบูรณ์ (อายุ 1 ปี) ปักชาในกระบะที่มีระบบน้า 2.2. การเสียบยอด มีหลายแบบ ได้แก่ ฝานบวบ เสียบล่ิม และเสียบล่ิมหัวกลับ เป็นต้น แต่ทเี่ หมาะสม คือ เสยี บลม่ิ ก. ตน้ ตออายุ ข. ตน้ ตออายุ 1.5-2 ปี ค. ก่ิงตั้ง : ตดั ตน้ ตอท่ี 15 ซม. 10-12 เดอื น จากผวิ ดนิ กรณีตน้ ตอทีม่ ีอายมุ าก กิ่งต้งั : ตดั ตน้ ตอท่ี 30-50 ซม. จากผิวดิน กิ่งแขนง : ตดั ตน้ ตอที่ 50-100 ซม. จากผวิ ดิน 5
ง. ผ่ากลางตน้ ตอ 1.5-2 ซม. จ. กิง่ พันธุ์ดี 2 ขอ้ ต่อกงิ่ ฉ. เฉอื นกิง่ ให้แผลเฉยี งลงยาว 1.5-2 ซม. ช. นากง่ิ เสียบบนต้นตอ ซ. พนั ด้วยเทปพนั กิง่ ฌ . นาเ ข้ า กระโจมหรือโรงอบ ค วามช้ื น ประมาณ 30-45 วนั ตน้ กาแฟทไี่ ดจ้ ากการขยายพันธ์ุดว้ ยวิธกี ารเสียบล่ิมอายุ 1 และ 2 ปี เสยี บยอดด้วยก่ิงต้งั เสยี บยอดดว้ ยก่งิ นอน (กิ่งยอด)อายุ 1 ปี (กิ่งแขนง) อายุ 1 ปี เสียบยอดด้วยกง่ิ ต้งั เสยี บยอดดว้ ยกิง่ นอน (กง่ิ ยอด)อายุ 2 ปี (กิ่งแขนง) อายุ 2 ปี 6
การปลูกและการดูแลรักษา การปลูกต้นกล้า ที่มีใบจริง 4 - 5 คู่ อายุไม่น้อยกว่า 8 - 12 เดือน ระยะระหว่างต้น - แถว 2x2 เมตร หรือ 400 ต้นต่อไร่ ขนาดหลุมปลูก ดินดี 30x30x30 เซนติเมตร ดินเลว 50x50x50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยหินฟอสเฟตหลุมละ 100 - 200 กรัม และปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์ 5 กิโลกรัมต่อหลุม ควรปลูกต้นกาแฟช่วงเดือน พฤษภาคม - กรกฎาคม ซ่ึงเป็นช่วงตน้ ฤดูฝน หากปลูกท่ีลาดชัน ควรวางแนวปลูกขวางความลาดชัน หรือปลูกบนข้ันบันไดท่ีทาข้ึน เพ่ือขวางความลาดชันของพ้ืนท่ี เพื่อชะลอการพังทลายของหน้าดิน ความกว้างของ ขัน้ บนั ไดควรกว้างเท่ากบั ความกว้างของทรงพุ่มของต้นกาแฟเมื่อโตเต็มที่ การทาพ้ืนที่ปลูก เป็นข้ันบันไดนอกจากจะช่วยชะลอการพังทลายของหน้าดิน ยังช่วยให้การให้ปูน ปุ๋ย และ น้ามปี ระสทิ ธิภาพดีขน้ึ และการปลูกพชื หมุนเวียนบนขัน้ บนั ไดจะชว่ ยยึดหนา้ ดินไว้ด้วย การจดั การร่มเงา กาแฟพันธ์ุเชียงใหม่ 80 เป็นพันธ์ุที่ตอบสนองต่อแสงแดดและปุ๋ยสูงจึงไม่ควรปลูก กลางแจ้ง โดยเฉพาะพื้นที่ต่ากว่า 1,000 เมตร ควรปลูกไม้บังร่มเงาก่อนการปลูก กาแฟอะราบิกาจะช่วยให้กาแฟอะราบิกามีการเจริญเติบโตได้ดี แนะนาให้ปลูกใต้ร่ม ไม้ยืนต้น ได้แก่ 1. ไม้บังร่มช่ัวคราว ควรเปน็ ไมโ้ ตเร็ว และเปน็ พืชตระกลู ถ่ัว เชน่ ทองหลางไรห้ นาม แคฝร่ัง ขี้เหล็กอเมริกัน ควรใช้ในระยะปลูก 4x6 หรือ 6x6 เมตร และปลูกหลายชนิด สลบั กัน 2. ไม้บงั รม่ ถาวร ควรเปน็ ไม้พุ่มใหญ่ ทรงพุ่มกว้างและให้ร่มเงาในระดับสูง เช่น ซิลเวอร์ โอ๊ค พฤกษ์ ถ่อน กางหลวง ถ่ัวหูช้าง สะตอ เหรียง เป็นต้น ระยะปลูก 8x10 เมตร และ ควรปลูกหลายชนดิ สลับกันกบั ไมบ้ งั ร่มชั่วคราว การให้นา้ ส่วนใหญ่พ้ืนท่ีปลูกกาแฟอาศัยน้าฝนตามธรรมชาติ พื้นท่ีปลูกควรมีปริมาณน้าฝนเฉล่ีย อย่างน้อย 1,200-1,500 มิลลิเมตรต่อปี โดยและต้องมีการกระจายน้าฝนอย่างน้อย 5 - 8 เดอื น หากช่วงแล้งยาวนาน ควรมแี หล่งนา้ สะอาดและมปี รมิ าณเพยี งพอในการใหน้ ้าได้ตลอด ชว่ งแล้ง ใหน้ า้ ในช่วงฤดแู ล้งอย่างน้อยสัปดาหล์ ะ 1 ครั้ง แต่ในกรณีพื้นท่ีปลูกไม่มีแหล่งน้าให้ ใช้เศษวัชพืชหรือฟางข้าวคลุมบริเวณโคนต้นตั้งแต่หมดฤดูฝนโดยเฉพาะพื้นท่ีปลูกกาแฟ กลางแจง้ ซง่ึ ชว่ งที่สาคัญที่ตน้ กาแฟตอ้ งการนา้ ไดแ้ ก่ 7
- ช่วงหลังจากดอกพักตัวสมบูรณ์และจะออกจากการพักตัว หากมีน้าไม่เพียงพอต้องให้น้า เพิ่มเติม มิฉะน้ันดอกและผลพัฒนาได้ไม่เต็มท่ี ดอกจะเหี่ยวและฝุอไป ทาให้ไม่มีการติดผล เกษตรกรควรให้นา้ เพอื่ ช่วยให้ดอกมีการพัฒนาและติดผลได้ดี - ช่วงพัฒนาผล ในช่วงเร่ิมติดผล หลังจากดอกได้รับการผสมเกสรแล้ว เกิดการติดผลขนาด เลก็ มากอยู่เบยี ดกันเปน็ กลุ่ม หากความช้ืนไมเ่ พียงพอ ดอกท่เี รม่ิ ตดิ แลว้ อาจจะฝุอหรือเหลือง ร่วงหลุดไป หากให้น้าแล้วในช่วงดอกบานและดินยังช้ืนอยู่ไม่จาเป็นต้องให้น้า หากไม่ได้ให้ น้ามากอ่ นและฝนทงิ้ ช่วงนานกวา่ 3 สัปดาห์ ควรใหน้ า้ ทุก 3-4 สัปดาห์ - ช่วงที่ผลกาลังขยายตวั อย่างรวดเร็ว และช่วงที่ผลสะสมน้าหนักแห้งเป็นช่วงสาคัญท่ีสุด ต้นกาแฟไม่ควรขาดน้าในช่วงนี้ (อายุ 3 - 4 เดือนหลังดอกบาน) เพราะผลจะขยายตัวอยา่ ง รวดเร็วจากขนาดเมล็ดพริกไทย ขยายขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นเวลา 3 เดือน ผลจะสร้าง เนอื้ เย่อื รอบๆเมล็ดมากกวา่ เน้อื เมลด็ และสรา้ งช่องวา่ งไวใ้ หเ้ มล็ดเตบิ โตมีขนาดเล็ก หากขาด น้าจะทาให้เมล็ดมีขนาดเล็ก ทาให้มีผลผลิตต่า หากฝนไม่ตกในช่วงนี้ควรต้องให้น้าแก่ต้น กาแฟ และช่วงท่ีผลสะสมน้าหนักแห้ง ซ่ึงเป็นช่วงระยะต่อจากช่วงผลขยายตัวอย่างรวดเร็ว และในช่วงที่ผลสร้างเน้ือเมล็ด ในช่วงน้ีดินควรจะมีความช้ืน และหากฝนมีการท้ิงช่วงนาน กวา่ 3 สัปดาห์ควรให้น้าชว่ ย การใส่ปุ๋ย กาแฟเป็นพืชท่ตี ้องการปุย๋ ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะชว่ งเรมิ่ ออกดอก ตดิ ผล ธาตุอาหารทพี่ ชื ต้องการ มี 3 กลุ่มคือ 1) กลมุ่ ธาตุหลัก ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม 2) กลุ่มธาตุรอง แคลเซียม แมกนีเซยี ม ซัลเฟอร์ 3) กลุม่ จุลธาตุ เหล็ก แมงกานสี สังกะสี ทองแดง โบรอน โมลดิ บิ นัม คลอไรด์ การใสป่ ุย๋ ตามคา่ วเิ คราะหด์ นิ และความตอ้ งการของพชื เพอ่ื ลดการใช้ปุย๋ มากเกินความจาเป็น 8
การใส่ป๋ยุ : ปที ่ี ปยุ๋ ปรมิ าณปุย๋ (กรัม/ พ.ค. ส.ค. ต.ค. ตน้ /ป)ี กรมั /ตน้ กรมั /ต้น กรมั /ตน้ 1 15-15-15 100 100 - - - 46-0-0 100 50 50 50 50 2 46-0-0 150 50 50 - 50 3 46-0-0 200 50 100 50 - 18-46-0 60 30 30 50 50 0-0-60 100 - 50 - 100 4 46-0-0 200 50 100 50 - 18-46-0 60 30 30 100 50 0-0-60 100 - 50 - 100 5 46-0-0 200 50 100 50 - 18-46-0 100 50 50 100 0-0-60 150 - 50 6 46-0-0 200 50 100 18-46-0 100 50 50 0-0-60 150 - 50 7 46-0-0 200 50 100 18-46-0 100 50 50 0-0-60 150 - 50 8 46-0-0 200 50 100 18-46-0 100 50 50 0-0-60 150 - 50 โดยใสป่ ุย๋ อนิ ทรยี ์ 3-5 กิโลกรัมตอ่ ตน้ หลงั เกบ็ เกี่ยว แล้วใส่ปุ๋ยเคมีตามอัตราแนะนา หมายเหตุ 1. ในกรณที พ่ี ชื แสดงอาการขาดธาตอุ าหารหลักหรือธาตุอาหารรอง ใหใ้ ส่ปุ๋ยท่ีเป็น ธาตอุ าหารหลักเพ่มิ ข้ึนหรือธาตุอาหารรองเสริมซึ่งมีทั้งในรูปปุ๋ยเม็ด หรือปุ๋ยเกล็ด ท่ีฉีดพ่นทาง ใบ โดยคานึงถึงลกั ษณะของดินและความชน้ื ในดนิ ในขณะที่ใส่ 2. ระยะเวลาในการใส่ปุ๋ยกาแฟอะราบิกา ขึ้นอยู่กับระดับความสูงของสถานท่ี ปลกู ซึ่งจะมีผลต่ออายุการเกบ็ เกี่ยว ระดับความสูง 700-900 เมตร จากระดับน้าทะเล ควรใส่ปุ๋ยช่วงเดือนพฤษภาคม กรกฎาคม และกันยายน อายุการเกบ็ เก่ียว (ตงั้ แตต่ ดิ ผล - ผลสกุ ) ประมาณ 6 เดอื น ระดับความสูง 1000 เมตร จากระดับน้าทะเล ควรใส่ปุ๋ยช่วงเดือนพฤษภาคม สิงหาคม และตุลาคม อายกุ ารเก็บเกยี่ ว (ตัง้ แต่ตดิ ผล - ผลสุก) ประมาณ 9 เดือน 9
การควบคมุ ทรงพมุ่ การตัดแต่งก่ิง ต้นกาแฟปลูกใหม่ : ในช่วงปีแรกควรใช้ระบบกาแฟลาต้นเด่ียว แล้วปล่อยให้ระดับ ความสูงตามตอ้ งการ หลงั จากนัน้ จึงทาการตดั ยอด ตน้ กาแฟอายมุ าก : มี 2 วธิ ที แ่ี นะนาคอื 1. การตัดแตง่ กงิ่ แบบบงั คบั ทรงพุ่ม เป็นการตัดยอดไม่ให้ต้นสูงเกินไป ต้นเก็บเก่ียวง่าย โดยตัดท่ีความสูง 150 - 160 เซนติเมตร มีการตัดแต่งและเล็มก่ิงท่ีแห้งท่ีไม่ให้ผลผลิตออก และเพื่อให้ต้นกาแฟเจริญไป ทางก่ิงแขนง และตัดปลายก่ิงแขนงท่ี 1 เพ่ือกระตุ้นให้เกิดก่ิงแขนงท่ี 2 เป็นการเพ่ิมพื้นที่ติด ผลมากข้ึน และเพ่ิมทรงพุ่มให้แน่นขึ้น ช่วยในการกาจัดส่วนท่ีเป็นโรคและแมลง ช่วยให้ อากาศถ่ายเทสะดวก แสงแดดส่องท่ัวถึง เป็นการรักษาสมดุลระหว่างใบให้เหมาะสมและยัง สรา้ งกิง่ ใหมซ่ ึ่งมคี วามสมบรู ณ์ เหมาะสาหรับต้นกาแฟอะราบิกาที่มีอายุ 8 ปีข้ึนไป แต่ให้ผลผลิตอยู่ พบว่าทาให้ผลผลิต กาแฟอะราบิกาเพิ่มข้ึน ประมาณ 80-95 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นกับการปฎิบัติหลังการตัดแต่ง (การจดั การน้า และปยุ๋ ) การเปรยี บเทยี บผลผลติ กาแฟอะราบกิ าระหว่างการตัดแต่งก่งิ แบบควบคมุ ทรงพมุ่ และไมต่ ัดแตง่ ก่งิ พื้นท่ี กรรมวธิ ี ผลผลิต ผลผลิต ผลผลติ เฉลีย่ ผลผลิตเพิม่ ขนึ้ ปี 2556/57(กก./ไร)่ ปี 2556/58(กก./ (กก./ไร่) (เปอรเ์ ซน็ ต์) จ. ไมต่ ดั แต่ง 143 ไร)่ 145 84.1 เชยี งใหม่ ตดั แต่งกิ่ง 256 147 267 จ.เชียงราย ไมต่ ดั แตง่ 200 278 ตดั แต่งกง่ิ 383 206 203 95.3 จ.น่าน ไมต่ ดั แต่ง 116 410 396.5 ตัดแต่งกิง่ 205 122 222 119 79.4 213.5 ทเทใ2ซห–รเี่ นหเ23มงป.ตพล่็กนกเอิืุม่ ง่ิมแกาทตลราไี่ ะรตเรวมไดตั น้โด่ตฟดัเดรเ้้อลื้ปนตยะงอื รย้ตตนกกยีะ้นดัทากหบลรรง่ิ กา่ ใาทงงวตหพมใี่า่ ้น้เหลุี่กมอท้กทัากาโร่ีษว่ัาอคปพณแอนล1มุฟ่กะ0กูตสอต้นมอใน้เรบพหกใะูร้ลหอื่ดหณาใมบัมตหดแ์ส่ ้น้กขูงอจา็งหยาแแกตูร่รฟืองผรแงเวิ ตกขดไกือ้านิวลบม้ปากหรต3นัะม้0นมด-าขท5กณึ้น0้งงั่ิ
การตดั แตง่ กง่ิ แบบตดั ฟนื้ ต้น เหมาะสาหรับต้นกาแฟอะราบิกาท่ีมีอายุ 15 ปีขึ้นไป ท่ีไม่ให้ผลผลิต หรือมีผลผลิตลดลง พบว่า เริ่มให้ผลผลิตหลังจากตัดแต่ง 2 ปี ข้ึนกับการ ปฏิบตั หิ ลงั การตัดแตง่ (การจดั การนา้ และปยุ๋ ) ศัตรแู ละการป้องกันกาจัด โรคสาคัญของกาแฟอะราบิกา 1. โรคราสนิม (Coffee leaf rust) เช้อื สาเหต:ุ Hemileia vastatrix ลกั ษณะอาการ ใบออ่ นและใบแกด่ า้ น บนใบจะมสี เี หลือง สว่ นดา้ นใต้ใบตรง จุดเดียวกนั มักพบสปอร์ (แผล) สีสม้ เม่อื อาการรนุ แรงจดุ นี้จะขยายไปทั่ว ทัง้ ใบทาใหใ้ บรว่ งผลผลติ กาแฟลดลง การปอ้ งกนั : 1. ใช้พันธุต์ ้านทานโรค 2. ดแู ลรกั ษาให้ต้นกาแฟแข็งแรง เชน่ การใส่ป๋ยุ การตัดแตง่ ใหท้ รงพมุ่ โปร่งเพ่ือลดความชน้ื 2. โรคแอนแทรคโนส (Antracnose) เชอื้ สาเหต:ุ Colletotrichum gloeosporioides อาการบนใบ เรียกว่า “โรคใบใหม้สีนา้ ตาล” ลักษณะอาการ จะเกิดจุดกลมสีน้าตาลแล้ว ขยายใหญ่ข้ึนเนื้อเยื่อกลางแผลจะตายมีสี น้าตาลไหม้เม่ือแผลแต่ละจุดขยายจนติดกันจะ มีอาการเหมือนใบไหม้ทั่วไปในสภาพอากาศ แหง้ ตดิ ตอ่ กันเปน็ ระยะเวลานาน 11
อาการบนผล เรียกว่า “โรคผลเน่า” ลักษณะอาการจะเห็นเป็นจุดกลมสีน้าตาลเข้มด้านใดด้านหนึ่งของผลจุดแผลเหล่านี้ แล้วจะขยายใหญ่ข้ึนและติดกัน มีอาการเนื้อเย่ือยุบต่อมาผลจะหยุดการเจริญเติบโตและ เปล่ยี นเปน็ สดี าแตผ่ ลยงั คงตดิ อยบู่ นกิง่ กาแฟ อาการบนก่ิง เรยี กว่า “โรคกิง่ แห้ง” ลักษณะอาการปรากฏอาการไหม้บน กิ่งสีเขียวข้อและปล้องของต้นมีสีเหลืองซีด และขยายไปตามก่ิงใบเหลืองและร่วงใน เวลาต่อมาก่งิ จะเห่ยี วและแห้ง ตาดอกเหย่ี ว การป้องกัน 1. เกบ็ ผลและตดั แต่งกิง่ ใบ ที่เปน็ โรคไปเผานอกแปลงปลกู 2. ควรรักษาระดับร่มเงาให้เหมาะสม (ควรมีไม้บังร่ม) และคลุมดินใต้ทรงพุ่ม เพ่ือรักษา ระดับความชน้ื และปูองกนั การเกดิ โรค 3. หลังเกบ็ เกีย่ วผลกาแฟควรตดั แตง่ ก่ิงและให้ปุย๋ บารุงต้น เพื่อใหต้ ้นกาแฟมคี วามแข็งแรง แปลงเกษตรอินทรยี ์ ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามข้อ 1-3 แปลง GAP ถ้าพบอาการโรคไม่รนุ แรงในช่วงออกดอกและติดผลอ่อน ควรพ่นด้วยสารปูองกัน กาจัดโรคพืช แมนโคเซบ 80 เปอรเ์ ซน็ ตด์ ับเบ้ิลยูพี อัตรา 50 กรัมต่อน้า 20 ลิตร ถ้าพบอาการ โรครุนแรงควรพ่นด้วยสารปูองกันกาจัดโรคพืช อะซอกซ่ีสโตรบิน + ไดฟีโนโคโซล 20 เปอร์เซ็นต์ + 12.5 เปอรเ์ ซ็นต์ ดับเบิ้ลยู/วี เอสซี อัตรา 10 มล./น้า 20 ลิตร หรือ เบโนมิล 50 เปอร์เซน็ ต์ ดับเบิล้ ยู/พี อัตรา 20 กรัมต่อนา้ 20 ลิตรและปฏบิ ัตติ ามข้อ 1-3 12
3. โรคใบจดุ ตากบ (Brown eye spot) เช้ือสาเหตุ : Cercospora sp. ลักษณะอาการจะเกิดจุดกลมขนาด 3-15 มิลลิเมตร ขอบสีน้าตาลมีวงเหลืองล้อมรอบ กลางแผลมีสีเทา จนถึงสีขาวตรงกลางของแผล อาจจะเห็นจุดเล็กๆ สีดากระจายอยู่ท่วั ไป การป้องกัน 1. ดูแลให้ต้นกาแฟแข็งแรงโดยใส่ปุ๋ยให้ต้นกาแฟสมบูรณ์ไม่ขาดธาตุอาหาร ไม่ควรใส่ปุ๋ย ไนโตรเจนมากเกนิ ไป 2. เกบ็ ใบที่เปน็ โรคท้ิงทาลายนอกแปลงปลูก 4. ใบจุด (Pestalotiopsis Leaf Spot) เชอื้ สาเหตุ : Pestalotiopsis sp. ลักษณะอาการแผลสีน้าตาลขนาดใหญ่ ขอบแผลสีน้าตาลเข้มมีวงสีเหลืองล้อมรอบ ตรงกลางของแผลอาจจะเห็นจุดเล็กๆ สีดา กระจายอยูท่ ่วั ไป การปอ้ งกัน 1. ตดั แตง่ ให้ทรงพุ่มโปร่ง เพ่อื ลดความชืน้ 2. เก็บใบทีเ่ ปน็ โรคทิ้งทาลายนอกแปลงปลูก 13
แมลงศัตรสู าคัญกาแฟอะราบิกา 1. มอดเจาะผลกาแฟ (Coffee Berry Borer) ชอ่ื วิทยาศาสตร์ : Hypothenemus hampei Ferrari อนั ดบั : Coleoptera วงศ์ : Scolytidae มอดเจาะผลกาแฟเป็นแมลงศัตรูที่สาคัญต่อการ ปลูกกาแฟในหลายพื้นที่ สร้างความเสียหายให้กับ ผลผลิตกาแฟได้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ผลกาแฟที่ ถูกเจาะจะเป็นช่องทางให้เช้ือรา และเชื้อแบคทีเรียเข้า ทาลายซ้า ผลผลติ และคุณภาพของกาแฟลดลง มอดเจาะผลกาแฟ เป็นแมลงปกี แขง็ ขนาดเล็ก ขนาด 1.2 - 1.5 มิลลิเมตร ลาตัวสีดา ขยายพนั ธ์ุได้ 8 - 9 รุ่น/ปี เพศเมียวางไข่ได้ 20 - 80 ฟอง วงจรชีวิต 28 - 34 วนั ขนึ้ อย่กู บั สภาพแวดล้อม ลักษณะการเข้าทาลาย - ระยะผลออ่ น ความเสยี หายรุนแรงจะเกดิ กับเน้ือเย่อื ภายในผล - ระยะผลกาลงั สุก ทาให้เมลด็ เปน็ รพู รนุ โรคพชื ตา่ งๆ เขา้ ทาลายซา้ เมล็ดเสียคุณภาพ และ ทาใหผ้ ลรว่ งหลน่ ก่อนกาหนด การปอ้ งกันกาจัด 1. สารวจการระบาดของมอดเจาะผลกาแฟอยา่ งสมา่ เสมอ 2. รักษาความสะอาดแปลง เก็บเกี่ยวผลกาแฟให้หมดต้น และเก็บผลกาแฟที่ถูกมอดเจาะ ทาลายออกไปทาลายนอกแปลง เพื่อลดการระบาดของมอดท่ีอยู่ในผลท่ีค้างบนต้น ซ่ึงภายในผลอาจจะมีส่วนท่ขี ยายพันธ์ทุ พ่ี ร้อมจะเพมิ่ จานวนไปยังร่นุ ต่อๆไป 3. ตดั แตง่ ก่งิ และทรงพุม่ ใหโ้ ปรง่ เพอื่ ลดการเข้าทาลายของมอดเจาะผลกาแฟ 4. วางกับดักและสารล่อมอดเจาะผลกาแฟ (เมทิลแอลกอฮอล์ : เอทิลแอลกอฮอล์ อตั ราส่วน 1 : 1) จานวนกับดกั อตั รา 5-10 จดุ /ไร่ 5. ใชเ้ ชอ้ื ราขาว (Beauveria bassiana) ชนิดทมี่ ีความเฉพาะเจาะจง กับมอดเจาะผลกาแฟ คอื บิวเวอเรีย บาสเซียนา สายพันธ์ุ ดโี อเอ บี 4 (Beauveria bassiana สายพนั ธ์ุ DOA B 4) ฉีดพน่ อัตรา 1 ถงุ (200 กรัม)/นา้ 10 ลิตร 14
2. หนอนเจาะกงิ่ กาแฟ/หนอนกาแฟสแี ดง (Red Coffee Borer) ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Zeuzera coffeae Nietner อนั ดบั : Lepidoptera วงศ์ : Cossidae ลักษณะการเขา้ ทาลาย หนอนเจาะเข้าไปกินเน้ือเย่ือภายในกิ่งและลาต้น ทาให้ ก่ิงและลาต้นแห้งตาย ตัวเต็มวัยเป็นผีเส้ือกลางคืน ปีกสี ขาวมีจุดประทว่ั ทัง้ ปกี วางไขบ่ รเิ วณเปลอื กของลาต้น ไข่มีสีเหลือง ตัวเมีย 1 ตัว วางไข่ได้ 300-500 ฟอง ระยะไข่ 7-10 วัน ตัวหนอนมีลาตัวสีแดง เจาะเข้าไปกัดกิน เน้ือเยื่อภายในก่ิงและลาต้นกาแฟ ระยะหนอน 2-5 เดือน ระยะดักแด้ 2-3 สัปดาห์ ระบาดมากช่วง เดือน เมษายน - มิถุนายน และ เดือน กันยายน การป้องกันกาจัด 1. ทาความสะอาดแปลงและตรวจดตู ามกง่ิ และลาตน้ กาแฟอย่เู สมอ 2. หากพบการเข้าทาลายของหนอน ใหต้ ดั กิง่ และลาตน้ ออกทงิ้ นอกแปลง และเผาทาลาย 3. พ่นยาฆ่าแมลง ได้แก่ เฟนโิ ทรไทออน อัตรา 80 มิลลิลิตร/น้า 20 ลิตร ใช้แปรงทาสีทา บริเวณกิ่งและลาต้นกาแฟให้ท่ัว หรือใช้ เฟนิโทรไทออน อัตรา 40 มิลลิลิตร/น้า 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด อัตรา 30 มิลลิลิตร/น้า 20 ลิตร ใช้เข็มฉีดยาฉีดเข้าตามรูท่ีหนอนเจาะ เข้าไปทาลายแล้วใช้ดนิ นา้ มัน หรือ ปูนปาสเตอร์อดุ รูไว้ 3. ดว้ งหนวดยาวกาแฟ (White Coffee Stem-borer) ช่ือวิทยาศาสตร์ : Xylotrechus quadripes Cherrolat อันดับ : Coleoptera วงศ์ : Cerambycidae ลักษณะการเขา้ ทาลาย ด้วงหนวดยาวกาแฟเปน็ แมลงที่สาคัญและสร้างความเสียหายอยา่ งมาก พ้ืนที่ส่วนใหญ่ที่พบ การระบาดมักเป็นกาแฟปลูกกลางแจ้ง โดยเฉพาะกาแฟท่ีอายมุ ากกว่า 5 ปี ตัวเต็มวัยสีขาวอม ฟูา มีสีขาวคาดท่ีลาตัวและปีก ยาว 15-20 เซนติเมตร ต้นกาแฟท่ีถูกหนอนเจาะทาลายจะ แสดงอาการใบเหลือง เห่ียว และมีอาการยืนต้นตายในท่ีสุด พบร่องรอยการควั่นของหนอน เจาะลาต้นกาแฟต้ังแต่บริเวณโคนต้นขึ้นมาจนถึงกึ่งกลางต้น ตัวเต็มวัยจะกัดกินเนื้อไม้ใน ลกั ษณะการควั่นไปรอบลาต้น และเจาะเขา้ ไปกนิ ในต้น 15
การป้องกนั กาจัด 1. หม่ันสารวจการเข้าทาลายภายในแปลงอยา่ งสม่าเสมอ หากพบการเข้าทาลายใหต้ ัดก่ิง และลาต้นออกท้ิงนอกแปลง และเผาทาลาย 2. ใช้เข็มฉีดยาฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ได้แก่ เฟนิโทรไทออน อัตรา 40 มิลลิลิตร/น้า 20 ลิตร หรือ อิมิดาโคลพริด อัตรา 30 มิลลิลิตร/น้า 20 ลิตร เข้าไปในรูท่ีหนอนเจาะเข้าไปทาลาย แลว้ ใชด้ ินนา้ มนั หรือปนู ปาสเตอร์อุดรูไว้ 4. เพลย้ี หอยเขยี ว (Green Coffee Scale) ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Coccus viridis อนั ดับ : Homoptera วงศ์ : Coccidae ลกั ษณะการเข้าทาลาย เป็นเพลี้ยหอยเกราะอ่อน รูปร่างรี สีเหลืองปนเขียว หลังนูน ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้าเล้ียงบริเวณก่ิง ก้าน และใบ ทาให้ใบร่วง ต้นกาแฟชะงักการเจริญเติบโต และทรุดโทรมลง หากระบาดในระยะติดผลจะทาให้ผลอ่อน มีขนาดเล็กลง เมล็ดลีบและผลร่วง นอกจากน้ีเพล้ียหอย เขียวยังถ่ายน้าหวาน (honey dew) ข้ึนปกคลุมผิวใบ ส่งผลให้พื้นที่ในการสังเคราะห์แสงลดลง และเป็นแหล่ง เพาะราดา การปอ้ งกนั กาจัด 1. ทาความสะอาดแปลงและหมนั่ ตรวจดตู ามยอดอ่อน ใบออ่ น กงิ่ กา้ น ใบ ของกาแฟอยูเ่ สมอ 2. เม่อื พบการเขา้ ทาลาย ใหต้ ดั บริเวณท่ีถกู ทาลายท้งิ นอกแปลง และเผาทาลาย 3. พน่ ไวทอ์ อย อัตรา 200 มลิ ลิลติ ร/น้า 20 ลิตร หรือ พ่นสารฆา่ แมลง ได้แก่ อิมดิ าโคลพรดิ อัตรา 10 มิลลลิ ิตร/นา้ 20 ลิตร, คาร์โบซลั แฟน อตั รา 40 มิลลิลติ ร/น้า 20 ลิตร และเฟนิโทรไทออน อตั รา 20 มลิ ลลิ ิตร/น้า 20 ลติ ร 16
5. เพล้ียแปง้ กาแฟ (Coffee Mealybug) ช่อื วทิ ยาศาสตร์ : Planococcus lilacinus (Cockerell) อนั ดบั : Homoptera วงศ์ : Pseudococcidae ลกั ษณะการเขา้ ทาลาย เป็นเพล้ยี แปูงรูปไข่ สีชมพูปนม่วงอ่อน มไี ขสีขาวปกคลุมอยู่รอบลาตัว มขี นาดสั้น ไขบนหลังบางจนเหน็ เป็นเส้นจางๆ กลางลาตวั และมีขนแข็งค่อนขา้ งยาว ทัง้ ตัวอ่อนและ ตวั เตม็ วยั ดดู กนิ นา้ เลี้ยงบรเิ วณยอดออ่ น กิง่ ก้าน ใบ ทาใหย้ อดหงิกงอผิดรูป ตน้ ชะงกั การเจริญเตบิ โตและทรดุ โทรม ลง มกี ารถา่ ยน้าหวาน (honey dew) ขน้ึ คลุมผวิ ใบ ทาใหพ้ ้ืนทีส่ งั เคราะห์แสงลดลง และเปน็ แหลง่ เพาะราดา การป้องกันกาจัด 1. ทาความสะอาดแปลงและหม่นั ตรวจดตู ามยอดอ่อน ใบอ่อน ก่ิง ก้าน ใบ ของกาแฟอยเู่ สมอ 2. เมื่อพบการเขา้ ทาลาย ใหต้ ัดบรเิ วณทถี่ กู ทาลายท้งิ นอกแปลง และเผาทาลาย 3. พ่น ไวท์ออย อัตรา 100 มิลลิลิตร/น้า 20 ลิตร หรือพ่นสารฆ่าแมลง ได้แก่ ไดโนทีฟูแรน อัตรา 20 กรัม/น้า 20 ลิตร, ไทอะมีโทแซม อัตรา 2 กรัม/น้า 20 ลิตร และ อิมิดาโคลพริด อตั รา 2 กรัม/นา้ 20 ลติ ร 6. เพล้ียออ่ นส้มสีดา (Black Citrus Aphid) ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ : Toxoptera aurantii (Boyer de Fonscolombe) อันดบั : Homoptera วงศ์ : Aphididae ลักษณะการเข้าทาลาย เพล้ียอ่อนมีสีค่อนข้างดา ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยดูดกินน้าเล้ียงบริเวณยอดอ่อน และใบอ่อน ทาให้ยอดอ่อน และใบอ่อนชะงักการเจริญเติบโตและโทรมลง นอกจากนี้เพล้ียอ่อนยังถ่าย น้าหวาน (honey dew) ขึ้นปกคลุมผิวใบ ส่งผลให้พ้ืนท่ีในการสังเคราะห์แสงลดลง และเป็น แหล่งเพาะราดา เพล้ียอ่อนชนดิ นีเ้ ปน็ พาหะนาโรคไวรสั มาสกู่ าแฟอีกด้วย การปอ้ งกันกาจัด 1. ทาความสะอาดแปลงและหมั่นตรวจดูตามยอดอ่อน ใบอ่อน ของกาแฟอยเู่ สมอ 2. เมอื่ พบการเข้าทาลาย ใหต้ ัดบริเวณท่ีถูกทาลายทิง้ นอกแปลง และเผาทาลาย 3. พ่นสารฆ่าแมลง ได้แก่ ไซเพอร์เมทริน อัตรา 20 มิลลิลิตร/น้า 20 ลิตร, อิมิดาโคลพริด อตั รา 10 มิลลิลติ ร/นา้ 20 ลติ ร และ ฟโิ ปรนลิ อตั รา 20 มลิ ลิลิตร/นา้ 20 ลิตร 17
วัชพชื การกาจดั วชั พชื หญ้าขจรจบ วชั พชื วัชพืชใบแคบ มีท้งั อายุปี เดยี วและขา้ มปี เช่น หญ้า ค า ห ญ้ า ข จ ร จ บ ห ญ้ า หญา้ คา ตนี กาและหญา้ เห็บ เป็ นตน้ สาบแร้งสาบกา วชั พชื ใบกว้าง มที ง้ั อายปุ ี เ ดี ย ว แ ล ะ ข้ า ม ปี เ ช่ น สาบเสื อ สาบแร้งสาบกา สาบเสื อ ก•• าใใชรช้สปา้้แรอปรงอู งงกกงนัันากกนาจาแดั จลวัชดั ะพเชื คครวอ่ืรใงชเ้จทกั่าทรจี่ กาเปล็นตเพดั รกใาะบรมใผีะลหดกญรุมะทใ่ บบกเบัเปลร็ นา็กกตขแอ้นงลกาะแกฟเรนะอื่ งดจาุมก กาแฟมรี ากหาอาหารใกลผ้ ิวดนิ เป็นจานวนมาก การเกบ็ เก่ียว การเก็บเกี่ยว ควรเก็บเฉพาะผลสุก 80 เปอร์เซ็นต์ข้ึน ไป ที่มีสีแดง และผลที่มีสีเหลือง-เหลืองเข้ม โดยเก็บทีละข้อ ไม่ควรเก็บแบบรูด ดัชนีการเก็บเกี่ยวกาแฟอะราบิกาท่ี เหมาะสมอาจสุ่มโดยใช้น้าคั้นจากเนื้อผลมาวัด กับเครื่องวัด ปรมิ าณน้าตาล เพ่ือวัดหาปริมาณของแข็งท่ีละลายน้าได้ ควร มีปริมาณของแข็งท่ีละลายน้าได้อย่างน้อย 17 องศาบริกซ์ (สถาบนั วจิ ัยพืชสวน, 2562) ทั้งน้ีหลังเก็บเก่ียวควรแปรรูปทันที ไม่ควรท้ิงผลกองรวมกันมากกว่า 24 ช่ัวโมง เนื่องจากจะเกิดกระบวนการหมักในผลกาแฟท่ีเก็บเกี่ยวกองรวมไว้ จะทาให้เกิดการ ดูดกลืนกล่ินที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นกระสอบ กล่ินเชอร์ร่ีเน่า กลิ่นดิน และเพ่ือให้ กาแฟอะราบิกาท่ีเกบ็ เกย่ี วสามารถคงคณุ ภาพไว้ได้ (สถาบนั วิจัยพชื สวน, 2561) 18
ผลของการเกบ็ เกีย่ วต่อคุณภาพเมลด็ การเกบ็ เกี่ยวกาแฟ ผลลพั ธท์ ไ่ี ด้ เกบ็ ผลเขยี ว มรี สชาติเฉพาะเมลด็ กาแฟออ่ น(เขียว:Green Flavor) เก็บผลสุกงอม มรี สชาติเฉพาะเมล็ดสกุ งอม(หมกั :Fermented) เก็บผลร่วงตามพ้ืน มรี สชาตหิ มกั และเกิดราทาให้มรี สชาตเิ ฉพาะกลิ่นรา (Fermented, Mouldy หรือ Musty) เก็บผลสดไว้นานหลาย มรี สชาตหิ มกั และรสชาติกล่ินรา (Fermented และ Mouldy) วนั กอ่ นนาออกตาก การปฏิบัติการหลังการเกบ็ เกีย่ วและแปรรปู การผลติ สารกาแฟมี 5 วิธี ได้แก่ 1. การแปรรปู โดยวิธีแหง้ โดยท่ัวไปในกาแฟอะราบกิ าไมน่ ยิ มการแปรรปู แบบแห้ง ทาให้คณุ ภาพของกลนิ่ และรสชาติของกาแฟอะราบิกาด้อยลง และมี body ทห่ี นกั เกนิ ไป วิธกี ารแปรรูปโดยแห้ง ดังนี้ (1) ลอยน้าเพ่อื คัดเมลด็ (2) ลอกเปลือกนอกด้วยเครื่องสี (3) ตากบรเิ วณที่มอี ากาศถา่ ยเทได้ดี ลอยนา้ แยก-เมล็ดด-ี เมล็ดเสีย ปอก หรอื ลอกเปลอื กดว้ ยเคร่ืองสี ตากบริเวณที่มีอากาศถา่ ยเทไดด้ ี ยกพื้นสูง มีหลงั คากันฝนและความช้นื ควรห่างไกลจากถนน 19
2. การผลติ สารกาแฟวิธเี ปียก แนะนาคอื (1) ลอยนา้ เพอื่ คัดเมล็ด (2) ลอกเปลอื กนอกดว้ ยเคร่ืองสี (3) ลอยน้าและคดั เลอื กเปลือกผลกาแฟ (เชอรร์ ่)ี ออก (4) หมักจนเมือกหลดุ โดยปกติใช้เวลาประมาณ 24 - 48 ชั่วโมง (ขึ้นกบั สถานท่แี ละสภาพแวดลอ้ ม) (5) ล้างขดั เมอื กให้สะอาด (6) ตากบนแคร่ยกพนื้ สงู อากาศถ่ายเท สะดวก หรอื พืน้ ปนู ปูพื้นดว้ ยแผ่นพลาสตกิ ควรหา่ งไกลจากถนน คาแนะนา นาผลกาแฟท่ีสุกไปลอยนา้ เพื่อคัดแยกเมล็ดไม่สมบูรณ์ที่ลอยนา้ ท้ิง แล้วนาเข้าเคร่ืองลอกเปลือกนอกออก นาไปลอยน้าอีกครั้งเพื่อเอาเปลือกนอกที่ลอยน้าท้ิง จากนั้นนาไปแช่ในน้าที่สะอาด 24-48 ช่ัวโมง (ในสภาพน้าไหล) กรณีน้าน่ิง ให้เปล่ียนน้าทุก 24 ช่ัวโมง ขัดเมือกและล้างด้วยน้าสะอาด แล้วนามาตากในท่ีร่ม หรือแดดราไร ที่มีการ ระบายอากาศดี บนแคร่ไม้ไผ่ หรือชั้นวางท่ีมีความสูงจากพื้นดิน 1.5-2 เมตร ท่ีมีตาข่ายตาถี่ วางข้างบนประมาณ 7-10 วันข้ึนไปจนเมล็ดกาแฟกะลามีความชื้นประมาณ 10-12 เปอรเ์ ซ็นต์ จึงนาไปเกบ็ ในถงุ ตาข่ายหรอื ถุงพลาสติกแล้ววางบนชนั้ ในโรงเกบ็ ที่มอี ากาศถ่ายเท ไดส้ ะดวก ลอยน้าเพ่ือคัดเมลด็ ลอกเปลือกนอกด้วยเครื่องสี ลอยนา้ หมัก 2 คนื (เปลี่ยนนา้ ใหมท่ ุก 24 ชว่ั โมง) ขัดเมือก ลา้ งขดั เมือกให้สะอาด ตากบนแคร่ยกพนื้ สูง อากาศถ่ายเท สะดวก 20
ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเทคนิคการหมักกาแฟเอเอเอฟ (Accelerated Arabica Fermentation : AAF techniques) โดยการใช้จุลนิ ทรีย์ แซคคาโรมัยเซส ซีรีวิเซยี สายพันธุ์ บีเอไวน์ (Saccharomyces cerevisiae strain BAwine) ท่ีเป็นสายพันธ์ุแนะนาของกรม วิชาการเกษตร โดยผสมผสานกับกระบวนการสร้างความเป็นกรด (Acidification) ที่ระดับ ความเป็นกรด-ด่าง (pH) ไม่น้อยกว่า 4.5 และการเติมอากาศ (Aeration) โดยใหอ้ ากาศไม่ น้อยกว่า 6 ลิตรต่อนาที จะสามารถช่วยเร่งการหมักได้ไม่เกิน 18 ช่ัวโมง ซ่ึงจะสามารถผลิต กลิ่นรสที่เหมาะสมในการหมักกาแฟอะราบกิ าได้ (Satayawut et al., 2018) ทัง้ น้ีผลพลอยได้จากการหมักกาแฟอะราบิกา สามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ประโยชน์อนื่ ๆ ได้ (Zero waste; สถาบันวจิ ยั พชื สวน, 2561) เช่น o เปลือกผลกาแฟ (เชอร์รี่กาแฟ) ไปใช้ในการผลิตสารแต่งกล่ินรส สารก่อเจลและสาร ยบั ยงั้ ศตั รูพชื o เมอื กกาแฟ ไปใชใ้ นการผลิตสารกอ่ เจลและสารเคลือบผลติ ภัณฑ์ o นา้ เสยี จากการผลิตกาแฟ สามารถลดปรมิ าณนา้ เสยี และนากลบั มาใช้ใหม่ได้ 3. การผลิตสารกาแฟวิธีการใช้เอนไซม์ (Bio Processing) โดยการประยกุ ต์ใช้เอนไซม์ ชนิด เพคติเนส เซลลูเลส และ เฮมิเซลลูเลส ในการใช้ในการย่อยเมือกกาแฟและการพัฒนา กลิ่นรสโดยปัจจุบันจะใช้ในอัตราส่วน 200 ppm 4. การผลิตสารกาแฟกระบวนการผสมผสาน (Semi- Dry/ Wet/Bio Processing) โดยการประยุกต์ใช้กระบวนการหมักแบบแห้งและเปียก เพื่อการพัฒนากล่ินรสใหม่โดย ปัจจุบันมีการพัฒนากระบวนการหมักที่ชื่อว่า “Honey Process” โดยเป็นการผลิตกาแฟ แบบกง่ึ หมกั โดยใช้เมอื กกาแฟเปน็ การพัฒนากลน่ิ รสและเพิ่มมูลค่าสูงในการผลติ กาแฟ 5. การใช้เครื่องขัดเมือก (Demucilage machine) เป็นการประยุกต์ใช้เครื่องสีเมือก ในการ ขดั เมอื กกาแฟทันทีจากการสีเปลือกผลกาแฟ โดยในปัจจุบันจากงานวิจัยพบว่าเมือก กาแฟที่หลุดลอกจากเคร่ืองจักรจะหลุดเพียงร้อยละ 80 (Turbidity >1,200) ซึ่งต่างกับการ หมักกาแฟที่หลุดมากกว่าร้อยละ 98 (Turbidity > 1,500) โดยคุณภาพเมือกท่ีหลุดมีผลต่อ การผลิตกล่นิ รสของสารกาแฟที่ทาการแปรรูปต่อไป (Satayawut et al., 2018) การผลติ แบบแหง้ (Dry Processing) กระบวนการแบบเปยี ก (Wet Processing) 21
ข้อดีและข้อเสียของการผลิตเมลด็ กาแฟดว้ ยกระบวนการแบบเปียก และแบบแห้ง วธิ กี ารผลติ ขอ้ ดี ข้อเสีย แบบแหง้ 1. เปน็ วธิ ีทีง่ ่าย และต้นทนุ ต่า 1. เมล็ดกาแฟดบิ ท่ีได้มี คณุ ภาพตา่ กว่าวธิ ีเปยี ก 2. ผลกาแฟไมจ่ าเป็นต้องสุกสมา่ เสมอ กัน 2. ใชเ้ วลาในการตากนาน 3. ไมต่ อ้ งใชค้ วามรู้ความชานาญมาก 4. เหมาะสมกบั พ้นื ทีท่ ี่มนี ้าจากดั แบบเปยี ก 1. ใชเ้ วลาและพื้นทใ่ี นการตากน้อยกว่า 1. ตน้ ทนุ สูง ตอ้ งใชค้ วามรู้ ไม่ วธิ แี หง้ สามารถทาไดก้ บั ผลกาแฟดิบ 2. มเี มลด็ แตกหักน้อยกว่าในขั้นตอน 2. ต้องใช้น้าปรมิ าณมาก การคั่ว 3. เมลด็ กาแฟมคี ุณภาพดกี วา่ วิธแี ห้ง การคัดเกรด : นาเมล็ดสีเอากะลาออกโดยใช้เคร่ืองสีกะลาและได้สารกาแฟที่มีสีเขียวอมเทา หรือเขยี วอมฟูา คดั แบง่ เกรดสารกาแฟ ตามมาตรฐาน มกษ. 5701-2561 รหัสขนาด ขนาดของเมล็ดกาแฟอะราบิกา ขนาดของตะแกรงรอ่ น (sieve (มม.) No.) 1 2 ≥7.14 18 3 6.75 - <7.14 17 4 6.35 - <6.75 16 5 5.95 - < 6.35 15 6 5.56 - < 5.95 14 7 4.76 – < 5.56 12 - <4.76 ทมี่ า: สานักมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่ชาติ 22
การบรรจุ บรรจุสารกาแฟในถุงแล้วใส่ในถุงกระสอบป่าน (กระสอบปอ)อีก 1 ชั้นเพื่อ ปูองกันแสง แล้วเก็บไว้บนช้ันไม้ในโรงเก็บที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกและปูองกันการ ปนเป้ือนสารกลุ่มโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons : PAHs) และความชนื้ ไมเ่ กนิ ร้อยละ 12 เพ่อื ลดปริมาณสารออกคราทอกซนิ (Ochratoxin A) ปัจจุบันมีถุงชนิดแอคทีฟ พีเอ แอลดีพีอี (Active Packaging (PA-LDPE)) ที่สามารถเก็บสารกาแฟได้เป็นเวลานาน ทั้งนี้หากการเลือกบรรจุภัณฑ์ไม่เหมาะสมในการ บรรจุสารกาแฟ จะสามารถทาให้ผลการทดสอบทางประสาทสัมผัสลดลงได้ ปีละไม่ต่ากว่า 10 คะแนน (โกเมศและคณะ, 2556 และ Satayawut., 2016) การบรรจุ บรรจสุ ารกาแฟในถุงแลว้ ใส่ในถุง กระสอบป่าน (กระสอบปอ) ข้อบกพร่องและเกณฑก์ ารยอมรับของเมล็ดกาแฟอะราบิกา ข้อบกพร่อง เกณฑ์การยอมรบั ( % โดยมวล ) เมลด็ ดา 0.5 เมลด็ ข้ึนรา 0.5 ช้นิ เมลด็ แตก 2.0 เมล็ดถูกแมลงทาลาย 0.5 ผลกาแฟแหง้ 0.5 ส่งิ แปลกปลอม 0.5 เมลด็ อ่อนและ/หรือเมล็ดไมส่ มบรู ณ์ ข้อบกพรอ่ งรวม ไม่กาหนดเกณฑส์ งู สุด 4 ที่มา : สานกั งานมาตรฐานสินคา้ เกษตรและอาหารแหง่ ชาติ หมายเหตุ: ข้อบกพร่องแต่ละรายการต้องตรวจพบได้สงู สดุ ไม่เกินเกณฑ์ที่กาหนดเฉพาะ และข้อบกพร่องรวม ต้องไมเ่ กินร้อยละ 4 โดยมวล 23
รูปภาพตวั อย่างเมลด็ กาแฟ เมลด็ กาแฟ เมล็ดดา กาแฟกะลา เมล็ดขึน้ รา ชิน้ เมลด็ แตก เมลด็ ไมส่ มบูรณ์ เมลด็ ถูกแมลงทาลาย สงิ่ แปลกปลอม ผลกาแฟแหง้ ท่มี า : ไดร้ บั ความอนุเคราะหภ์ าพจากมลู นธิ โิ ครงการหลวง และศนู ย์วิจยั เกษตรหลวงเชยี งใหม่ กรมวิชาการเกษตร : สานักงานมาตรฐานสินคา้ เกษตรและอาหารแห่งชาติ 24
แนวทางการผลิตกาแฟปลอดภัย อุตสาหกรรมกาแฟของประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมแปรรูปขั้นต้นท่ีนาเอา กาแฟสดมาแปรรูปให้อยู่ในสภาพท่ีเหมาะสมและสะดวกในการนาไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต ผลิตภัณฑ์กาแฟต่อไปซึ่งตลอดกระบวนการผลิตน้ีจะก่อให้เกิดสารในกลุ่มของโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon : PAHs) เป็นต้นเหตุของ ลักษณะทางพิษวิทยาในการเกิดโรคมะเร็งได้ ดังนั้นการประเมินค่าสารกลุ่ม PAHs และการ ควบคุมกระบวนการผลติ จึงเปน็ แนวทางปฏิบตั ิทนี่ กั วิชาการ เกษตรกร ผู้ประกอบการด้านการ แปรรูปกาแฟจะต้องนาไปประยุกต์ใช้ เพื่อให้ได้กาแฟคุณภาพท่ีปลอดภัยต่อผู้บริโภค จึงเป็น การส่งเสริมและเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมกาแฟใหม้ ีความยั่งยืน และสร้างความม่ันคงตลอดหว่ ง โซก่ ารผลิต โดยการวิเคราะหส์ ารกลุ่ม PAHs ในกาแฟค่ัวบดโดยแบ่งเป็น 3 ข้ันตอน ได้แก่ (1) การสกัดโดยใช้วิธีทา Saponification แล้วใช้สารละลายผสมระหว่างเฮกเซนกับอะซีโตน อัตรา 50 : 50 ปริมาตรต่อปริมาตร (v/v) สกัดด้วยวิธี Extraction Liquid-Liquid กับความ ร้อนท่ี 150 องศาเซลเซยี สช่วยสกัดแล้วทิ้งไว้ 48 ชั่วโมงก่อน (2) นามาทาบริสุทธิ์ด้วย Semi- phase extraction ชนิด PS-DVB และ (3) ใช้สารละลายผสมระหว่างเมทานอลและเททรา ไฮโดรฟูราล อัตรา 90 : 10 ปริมาตรต่อปริมาตร (v/v) ในการชะสารสกัดออกมาแล้ว วิเคราะห์ด้วย HPLC-UV DAD โดยใช้โปรแกรมวิเคราะห์ท่ี 30 นาทีและเมื่อต้องการหา ปริมาณทแ่ี ม่นยาด้วย GC-MS สาร PAHs ปรมิ าณท่พี บ (หนว่ ย ng/l) ปรมิ าณแนะนา (หน่วย ng/l) ฟลโู อแรนทีน 0.21 – 10.65 ng/l 2-3 (Fluoranthene) 0.14 – 4.85 ng/l (สหภาพยโุ รป) เบนโซ เอ เพยี วรนี (Benzo[a]pyrene) 0.85 – 1 (สหภาพยุโรปและสหรฐั อเมริกา) ตวั อย่างกาแฟและการสกัดสารกลุ่ม PAHs เพือ่ การทดสอบและการพฒั นาสเกลความขม 25
การเกิดสารกลุ่ม PAHs นั้นสามารถเกิดจากสารประกอบหลายชนิดได้แก่ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต สเตอรอยต์ โพลีฟีนอลหรือกรดอะมิโนโดยใช้ความร้อนสูง อย่างไรก็ตามหาก พิจารณาจากกระบวนการผลิตกาแฟแล้วน้ัน (1) กระบวนการหมักกาแฟไม่ส่งผลต่อการ เกิดข้ึนของสารกลุ่ม PAHs มากนัก (2) แต่กระบวนการหมักกาแฟส่งผลโดยตรงต่อการผลิต สาร โอคลาทอกซนิ เอ (Ochratoxin A : OTA) เป็นสาคัญ (3) ซึง่ พบว่าการหมักแบบเปียกไม่ ส่งผลต่อการเพ่ิมข้ึนของปริมาณ OTA เนื่องจากพบปริมาณของจุลินทรีย์กลุ่ม Aspergillus spp. ที่สามารถสร้างพิษน้อยมากถึงเกือบไม่พบเลยในระหว่างการหมัก (4) ส่วนในกรณีการ ตากแห้งและการเก็บรักษายังพบการปนเป้ือนของสารกลุ่ม PAHs จากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะจากเครื่องจักรที่ใช้ในการทางาน ซ่ึงหากดาเนินการด้วยแรงงานคนทดแทนการ ปนเป้อื นจะลดลง การควบคมุ กระบวนการผลติ กาแฟ : คณุ ภาพสารกาแฟ การเกบ็ รกั ษากาแฟและการคัว่ กาแฟ แนวทางการควบคุมการปนเปอ้ื นสารกลมุ่ PAHs ใหต้ า่ การเก็บรักษาสารกาแฟในกระสอบปุาน ที่มีความถ่วงจาเพาะ 1.48 กรัมต่อลูกบาศก์ เซนติเมตร และควบคุมความชื้นที่สภาวะมาตรฐานได้ไม่เกินร้อยละ 12 แม้ว่าปริมาณสาร OTA จะลดลง แต่หากนาไปค่ัวในความร้อนในการคั่วสูงกว่า 300 องศาเซลเซยี ส สารกลุ่ม PAHs กลับเพิ่มขึ้น โดยหากคั่วกาแฟไม่เกิน 20 นาที ท่ีอุณหภูมิต่ากว่า 260 องศาเซลเซียส จะสามารถควบคุมปรมิ าณสารกลมุ่ PAHs ที่เปน็ พษิ ได้ จึงกาหนดจุดวิกฤตของการค่วั เพื่อลดสาร OTA และการระงบั การเพ่ิมปริมาณสารกลุ่ม PAHs ที่อุณหภูมิ 240 องศาเซลเซยี สในเวลาไมเ่ กนิ 20 นาทีในการผลติ กาแฟที่มคี ณุ ภาพที่มีปริมาณ สาร OTA และ PAHs ที่เหมาะสมและไมเ่ ป็นอันตรายต่อผบู้ ริโภค 26
pinterestpapercup.co.uk 27
เคร่อื งมือสาหรับแปรรปู กรมวิชาการเกษตรโดยสถาบันเกษตรวิศวกรรมได้ร่วมดาเนินการวิจัยและออกแบบ เครือ่ งจกั รกลการเกษตรที่ใชส้ าหรับกาแฟอาราบกิ า ดงั นี้ เคร่อื งมอื เกบ็ เกีย่ วกาแฟ ใช้ในการเก็บเก่ียวผลกาแฟสุก ลักษณะตัวเครื่องเป็นแบบ ตัวเครื่องมีก้านรูดผลกาแฟ 2 ก้าน โดยรอบตัวเคร่ืองติดร้ิวพลาสติกเพื่อปูองกันผลกาแฟกระเด็น ใช้แบตเตอร่ีแห้ง 12 โวลต์ ให้กาลังไฟฟูาผลการทดสอบเคร่ืองในการเก็บเกี่ยวผลกาแฟพันธ์ุอะราบิกา โดยใช้ ตาข่ายไนล่อนขนาด 1.2 x 1.5 เมตร รองรับผลกาแฟขณะเก็บเก่ียว พบว่าเคร่ืองมี ความสามารถในการทางานมากกว่าคนเก็บประมาณ 2 เท่า การใช้งานควรใช้เก็บเกี่ยวใน ช่วงเวลาท่เี หมาะสม คอื ผลกาแฟสุกแก่ท้ังต้นหรือสุกแก่มากกว่า 70 % ของต้นจะทาให้เก็บ เกยี่ วไดร้ วดเร็ว ชว่ ยแกไ้ ขปัญหาขาดแคลนแรงงาน และลดตน้ ทุนการผลติ เคร่ืองคัดแยกกาแฟผลอ่อน ใช้ในการคัดแยกผลกาแฟสุกและผลอ่อน/ผลเขียวออกจากกัน ก่อนเข้าสู่ขั้นตอนการสี เปลือกสด ตัวเครื่องประกอบด้วยลูกกลิ้งรีดผลกาแฟทรงกระบอก ติดริ้วหรือครีบตามความ ยาว ลูกกล้ิงหมุนอยู่ภายใน เสื้อตะแกรงทรงกระบอกทาด้วยเหล็กเส้นกลมจัดเรียงเป็นช่อง ตะแกรง ขนาด 7 มิลลิเมตร มีหลักการทางาน คือ ผลกาแฟสุกที่มีลักษณะนิ่มจะถูกลูกกลิ้งรีด ให้ลอดผ่านช่องตะแกรง โดยผลกาแฟสุกส่วนใหญ่จะถูกรีดจนเมล็ดกะลาเมือกปล้ินออกจาก เปลือก ส่วนผลกาแฟผลอ่อน/ผลเขียว มีลักษณะแข็งไม่สามารถรีดให้ลอดผ่านรูตะแกรงได้ จะ ถูกพาให้แยกออกทางช่องด้านปลายของเครื่อง ซ่ึงเคร่ืองมีความสามารถในการทางานเฉลี่ย 929 กโิ ลกรัม/ช่ัวโมง ประสิทธิภาพในการคดั ผลอ่อน 90.50 เปอรเ์ ซน็ ต์ 28
เคร่อื งคัดแยกเมล็ดกาแฟอะลาเมือก ใช้ในการคัดแยกเมล็ดออกจากผลที่ไม่ถูกลอกเปลือก หรือมีเปลือกปะปนมากับเมล็ดกาแฟกะลาเมือกใน ข้ันตอนการสีเปลือกสด ตัวเครื่องมีลักษณะเป็นตะแกรง ทรงกระบอกหมุนในแนวนอน ขนาดรูตะแกรง 8 x 20 มิลลิเมตร เคร่ืองมีความสามารถในการทางานประมาณ 1,200 กิโลกรัมผลสด/ช่ัวโมง ประสิทธิภาพการคัดแยก 78 เปอร์เซน็ ต์ เครื่องขัดลา้ งเมือกกาแฟอะราบิการะดบั เกษตรกร เครื่องขัดล้างเมือกกาแฟ ช่วยลดข้ันตอน และระยะเวลาในการขัดล้างเมือกกาแฟจากวิธี ปกติตัวเครื่องทางานด้วยแกนขัดหมุนในแนวต้ัง โดยปูอนกาแฟเมือกเข้าทางด้านล่างและไหล ออกทางด้านบน แกนขัดทาด้วยท่อกลมขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 48 มิลลิเมตร ยาว 570 มิลลิเมตร และติดด้วยก้านกวนเมล็ดกาแฟรอบแกน ส่วนล่างของแกนขัดเป็นใบเกลียวทา หน้าที่ลาเลียงเมล็ดกาแฟจากด้านล่างขึ้นสู่ด้านบน แกนขัดหมุนอยู่ภายในเส้ือตะแกรง ทรงกระบอกขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลาง 120 มิลลเิ มตร ทาดว้ ยแผ่นตะแกรงสแตนเลส ขนาดรู 2 x 20 มิลลิเมตร โดยจัดวางรูตะแกรงในแนวตั้ง มีท่อน้าเจาะรูติดกับผนังตะแกรงด้านนอก สาหรับให้น้าช่วยในการขัดลา้ งเมอื กโดยไม่ใชป้ มั๊ น้า ความสูงของช่องทางออกของเมล็ดกะลาท่ี ขัดล้างเมอื กแลว้ สามารถปรับระยะได้ ทาให้สามารถควบคุมระดบั การขดั ลา้ งเมือกได้ ซ่ึงเคร่ือง มีความสามารถในการทางานเฉลี่ย 700 กิโลกรัม/ช่ัวโมง และมีเปอร์เซ็นต์แตกของเมล็ด กาแฟหลังคัดเมอื ก 1.90 เปอร์เซ็นต์ใช้มอเตอร์ 2 แรงม้าเปน็ ต้นกาลงั 29
การเกบ็ เกย่ี วผลกาแฟโดยใช้เครื่องมือ กาแฟผลอ่อน/ผลสีเขยี ว การใชเ้ ครือ่ งคดั แยกเมล็ดกาแฟกะลาเมอื ก การใช้เครอื่ งขดั ลา้ งเมอื กกาแฟอะราบิ การะดบั เกษตรกร สอบถามข้อมูลเพ่ิมเตมิ ได้ทหี่ นว่ ยงานของกรมวิชาการเกษตร ดังนี้ พนั ธ์ุ การใหป้ ุย๋ การใหน้ า้ และการดแู ลรกั ษา สถาบนั วิจยั พืชสวน โทร. 0 2940 5484-5 ศนู ยว์ จิ ยั เกษตรหลวงเชียงใหม่ โทร. 0 5311 4133 โรค แมลงศัตรูและวชั พชื สานกั วจิ ยั พฒั นาการอารกั ขาพืช โทร. 0 2579 8584 วิเคราะห์คณุ ภาพและคณุ สมบัตทิ างเคมี กองวจิ ยั และพฒั นาวิทยาการหลงั การเก็บ โทร. 0 2529 0663 เก่ียวและแปรรูปผลผลติ เคร่อื งมอื เกบ็ เกี่ยวและแปรรูป ศนู ย์วิจัยเกษตรวศิ วกรรมเชียงใหม่ โทร. 0 5311 4119 สถาบันวจิ ยั เกษตรวศิ วกรรม 30
เอกสารอ้างอิง โกเมศ สัตยาวุธ ปิยนุช นาคะ และมานพ หาญเทวี. 2555. ศึกษาสารไพรีนและปัจจัยที่ส่งผล ต่อความขมในกาแฟค่ัวบด ใน การประชุมวิชาการกาแฟ “กาแฟเป็นมิตรกับ ส่ิงแวดล้อม เพื่อเฉลิมพระเกียรติ” วันที่ 15-16 กุมภาพันธ์ 2555 ณ โรงแรมฮอล์ลิเดย์ อนิ น์ อาเภอเมอื ง จังหวดั เชียงใหม่. โกเมศ สตั ยาวุธ วิมลวรรณ วฒั นวจิ ติ ร ปิยนุช นาคะ มานพ หาญเทวี และสรัญญา อุปรักขิตานนท์. 2556. การผลิตกาแฟที่มีสารกลุ่ม Polycyclic Aromatic Hydrocarbon ต่า ใน รายงานการประชุมวิชาการสานักวิทยาการหลังการเก็บเก่ียวและแปรรูปผลิตผลเกษตร ณ โรงแรมชะอาบีสรีสอร์ท จงั หวัดเพชรบุรี. สถาบันวิจัยพืชสวน. 2553. การจัดการความรู้ เทคโนโลยีการผลิตกาแฟครบวงจร. กรมวิชาการเกษตร. 86 หนา้ . สถาบันวิจัยพืชสวน. 2561. รายงานแผนบูรณาการงานวิจัยพืชสวนอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่ม ประสิทธภิ าพการผลิต. กรมวชิ าการเกษตร. สานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ. 2561. มาตรฐานสินคาเกษตร มกษ. 5701-2561 เมล็ดกาแฟอะราบิกา. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์. ISBN 978- 974-403-676-7. ศูนย์วจิ ยั เกษตรหลวงเชียงใหม่. 2549. การผลิตกาแฟอะราบกิ า อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม. กรมวิชาการเกษตร. 40 หน้า. ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่. 2558. คู่มือการขยายพันธุ์กาแฟอะราบิกา ฉบับปรับปรุง คร้ังท่ี 1 ผลงานวิจัยในโครงการวิจัยและปรับปรุงพันธ์ุกาแฟอะราบิกาโดยวิธีการผสม พันธ์ุ ท่ีได้รับทุนจากสานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน). เอกสาร ประกอบการฝึกอบรม เทคโนโลยกี าแฟแบบครบวงจร วนั ที่ 5 –7 มนี าคม 2558 ณ ศนู ยว์ จิ ยั เกษตรหลวงเชยี งใหม่ กรมวชิ าการเกษตร. 9 หน้า. Nasanit R., Satayawut K. 2014. Microbial communities during wet fermentation process of Coffea arabica var. chiangmai 80. Kasetsart University Journal. Satayawut K.. 2016. Production of low-polycyclic aromatic hydrocarbons coffee (Low PAHs Coffee). Proceeding of Food innovation conference 2016. Bangkok, Thailand. Satayawut K.. 2017. Accelerated Arabica Fermentation. Proceeding of Fermentation of Value-addition international conference 2017. Khonkaen, Thailand. Satayawut K., Nitiyon S., Khomarwut C., & Lertwattanakiat S. 2018. Novel Techniques: Accelerated Arabica Fermentation techniques (AAF techniques) for new coffee fermentation approach. Proceeding Re:Co symposium 2019, Boston, USA.
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: