อนั ตัวพ่อ ช่ือว่า พระยาตาก ทนทุกข์ยาก ก้ชู าติ พระศาสนา ถวายแผ่นดนิ ให้เป็ น พทุ ธบูชา แด่ศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม ให้ยนื ยง คงถ้วน ห้าพนั ปี สมณะพราหมณ์ ปฏิบตั ิ ให้พอสม เจริญสมถะ วปิ ัสสนา พ่อชื่นชม ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา คดิ ถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กบั เจ้า ชาตขิ องเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา พระพุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษตั รา พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กนั
กรุงศรีอยุธยาเป็ นอาณาจกั รของคนไทยเป็ นระยะเวลา ยาวนาน 417 ปี (พ.ศ.1893 -2310) พระมหากษตั ริย์ผู้สถาปนา กรุงศรีอยธุ ยา คอื พระเจ้าอู่ทอง หรือสมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี 1 อาณาเขต ของกรุงศรีอยุธยา แผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางมากทส่ี ุดในรัชสมัย ของพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2133-2148) อาณาจกั รกรุงศรีอยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองมากทส่ี ุดท้งั ด้าน ศิลปวฒั นธรรม การค้าขาย และการเจริญไมตรีกบั ต่างประเทศ ในรัช สมัยของพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199 - 2231)
สภาพโดยทว่ั ไปของพระนครศรีอยุธยา
สภาพก่อนเสียกรุงฯ(คร้ังท่ี2)
กรุงศรีอยธุ ยาเสียเอกราชให้แก่พม่า 2 คร้ัง คร้ังแรกในสมัยสมเดจ็ พระมหินทราธิราชเม่อื พ.ศ.2112 และคร้ังที่ 2 ในรัช สมยั สมเดจ็ พระทนี่ ่ังสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทศั ) เม่อื พ.ศ.2310
1. ความเสื่อมอานาจทางการเมืองมีการแก่งแย่งชิงอานาจใหม่ในหมู่ ขุนนางข้าราชการ และพระบรมวงศานุวงศ์อยู่เนืองๆ มกี ารกาจดั ศัตรู ทางการเมอื ง ทา ให้กาลงั ทหารถูกบ่นั ทอนความเขม็ แขง็ ลงไปมาก 2. ความอ่อนแอของพระมหากษตั ริย์ พระเจ้าเอกทัศน์ทรงขาด ความสามารถในด้านการเป็ นผู้นา กองทหารไม่ได้รับการฝึ กฝนให้ เตรียม พร้อมในการทาศึกสงคราม และมปี ัญหาวนิ ัยหย่อนยาน
3.การที่ไทยว่างเว้นจากสงครามมาเป็ นเวลานาน ทำใหเ้ กิดควำม ประมำทในกำรป้ องกนั พระรำชอำณำจกั ร ขำดกำรฝึกปรือกำลงั ทพั และกำรวำงแผนกำรยทุ ธที่ดี ทำใหเ้ กิดควำมไร้ประสิทธิภำพในกำรทำ สงครำมป้ องกนั พระนคร เม่ือพม่ำยกกำลงั มำลอ้ มกรุงศรีอยธุ ยำก่อน จะเสียกรุงใน พ.ศ.2310 4.พม่าเปลย่ี นแผนยทุ ธศาสตร์ไปจากเดมิ คือ ยกทพั กวำดตอ้ นผคู้ น สะสมเสบียงอำหำรลงมำจำกหวั เมืองฝ่ ำยเหนือและข้ึนมำจำกหวั เมือง ฝ่ ำยใต้ ตดั ขำดหวั เมืองรอบนอกมิใหต้ ิดต่อและช่วยเหลือเขตรำชธำนี ได้ และพร้อมท่ีจะรบตลอดท้งั ปี โดยไม่คำนึงวำ่ จะเป็นฤดูฝนหรือฤดู น้ำหลำก ซ่ึงแผนยทุ ธศำสตร์น้ีต่ำงไปจำกเดิมที่มกั จะยกเขำ้ มำทำงด่ำน เจดียส์ ำมองคแ์ ละเขำ้ มำทำงเดียว และเม่ือถึงฤดูน้ำเหนือหลำกลงมำ ท่วมกย็ กทพั กลบั ทำใหไ้ ทยวำงแผนกำรต้งั รับผดิ พลำดหมด
5.กรุงศรีอยธุ ยำถูกปิ ดลอ้ มทำงเศรษฐกิจโดยกองทพั พม่ำ ท้งั จำกทำง เหนือและใต้ รวมท้งั ตอ้ งทำศึกระยะยำวนำนนบั ปี ทำใหก้ รุงศรีอยธุ ยำ เกิดขำดแคลนเสบียงอำหำรอนั นำไปสู่ควำมอ่อนแอต่อกำลงั ทพั และ ผคู้ นของไทย
ในขณะท่ีไทยกบั พม่ำกำลงั ทำสงครำมอยนู่ ้นั พระยำตำก เกิดควำมทอ้ ใจในกำรรบ เพรำะขำดควำมคล่องตวั ในกำรตดั สินใจ และสถำนกำรณ์รบท่ีอยธุ ยำอยใู่ นวกิ ฤตอยำ่ งหนกั ถำ้ หนีไปต้งั หนกั ท่ีอ่ืนกอ็ ำจมีโอกำสกลบั มำกอบกสู้ ถำนกำรณ์ได้ ดงั น้นั พระยำตำก จึงรวบรวมกำลงั พลไดป้ ระมำณ 500 คน ตีฝ่ ำวงลอ้ มของพม่ำไป เส้นทำงตะวนั ออก
เสน้ ทำงดงั กล่ำวปลอดจำกกำรคุกคำมของพม่ำ ทำใหง้ ่ำยต่อกำร สะสมและรวบรวมท้งั ผคู้ น อำวธุ และเสบียงอำหำร สำมำรถคำ้ ขำย บริเวณหวั เมืองชำยทะเลท้งั ดำ้ นอำหำร อำวธุ กบั พอ่ คำ้ ชำวจีนได้
หลงั จำกท่ีพระยำตำกไดต้ ้งั ตนเป็นใหญ่ที่ระยองและจนั ทบุรี และ สะสมเสบียงอำหำร อำวธุ ผคู้ นไดม้ ำกแลว้ จึงตดั สินใจยกทพั เรือจำก จนั ทบุรี สู่อยธุ ยำเพือ่ กอบกเู้ อกรำช โดยยกกองทพั เรือเขำ้ มำถึง สมุทรปรำกำรแลว้ พระยำตำกนำกำลงั กองทพั เรือเขำ้ ยดึ เมืองธนบุรี เมืองหนำ้ ด่ำนที่พม่ำใหน้ ำยทองอิน คนไทยรักษำอยใู่ นเดือนพฤศจิกำยน พ.ศ.2310 ซ่ึงไดร้ ับชยั ชนะโดยง่ำย แลว้ พระยำตำกกย็ กทพั ตำมโจมตีกองทพั พม่ำไปจนถึง คำ่ ยโพธ์ิสำม ตน้ ที่ สุก้ีพระนำยกองของพม่ำรักษำกำรณ์อยู่ และสำมำรถตีคำ่ ยของพม่ำ แตก พร้อมท้งั ขบั ไล่ทหำรพม่ำออกจำกอยธุ ยำ และ ยดึ กรุงศรีอยธุ ยำ คืนได้ ภำยในเดือนเดียวกนั รวมเวลำในกำรกอบกเู้ อกรำชเพียง 7 เดือน
เม่ือขบั ไล่พม่ำออกไปจำกกรุงศรีอยธุ ยำ และกอบกเู้ อกรำช ใหแ้ ก่คนไทยแลว้ พระยำตำกไดเ้ ลือกกรุงธนบุรีเป็นรำชธำนี และ ปรำบดำภิเษกข้ึนเป็นกษตั ริยท์ รงพระนำมวำ่ สมเดจ็ พระบรมรำชำท่ี 4 หรือสมเดจ็ พระเจำ้ กรุงธนบุรี โดยไม่ทรงเลือกกรุงศรีอยธุ ยำเป็นรำช ธำนีหรือเมืองหลวง
1.ความเสียหายย่อยยบั จากสงคราม ยากแก่การบูรณะปฏสิ ังขรณ์ 2.มีอาณาเขตกว้างใหญ่เกนิ กาลงั ไพร่พลของพระเจ้ากรุงธนบุรีทจี่ ะรักษา 3.ข้าศึกรู้เส้นทางเดนิ ทพั รู้สภาพภูมิประเทศของกรุงศรีอยธุ ยาเป็ นอย่างดี 4.ทาเลทต่ี ้งั อยู่ห่างไกลจากทะเลมากเกนิ ไป ไม่สะดวกในการตดิ ต่อค้าขาย กบั ต่างประเทศ
1.กรุงธนบุรีเป็ นเมืองขนาดเลก็ เหมาะกบั ไพร่พลในขณะน้ัน 2.ทาเลทต่ี ้ังอยู่ใกล้ทะเล สะดวกแก่การค้าขายกบั ต่างประเทศ และสามารถเคลอ่ื น ทพั เรือกลบั สู่เมอื งจันทบุรีได้สะดวก เมื่อถงึ คราวคบั ขนั 3.มีป้ อมปราการที่มั่นคงแข็งแรง คอื ป้ อมวไิ ชยประสิทธ์ิและ ป้ อมวไิ ชยเยนทร์ใช้ ป้ องกนั ข้าศึกได้ดี 4.ความอดุ มสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหาร มดี นิ ดี นา้ อดุ มสมบูรณ์ จงึ เป็ นแหล่ง เพาะปลูกทส่ี าคญั 5.ทต่ี ้ังทางยุทธศาสตร์เป็ นเมอื งหน้าด่าน ควบคุมการเดินเรือทะเลทเ่ี ข้าออกปากอ่าว ไทย จงึ เท่ากบั ช่วยควบคุมหัวเมืองเหนือใต้ให้ต้องพง่ึ กรุงธนบุรี ท้งั ทางด้าน เศรษฐกจิ และการซื้ออาวุธจากต่างประเทศ
ภำยหลงั จำกสถำปนำกรุงธนบุรีเป็นรำชธำนี สมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสิน ทรงสร้ำงควำมมนั่ คง เป็นปึ กแผน่ ใหแ้ ก่ประเทศชำติ ดงั น้ี 1. การสร้างขวญั และกาลงั ใจแก่ทหารและประชาชน กำรปูนบำเหน็จแก่แม่ทพั นำยกอง โดยเฉพำะสองพี่นอ้ งผทู้ ่ีเป็น กำลงั สำคญั คือ พระรำชวรินทร์ (ทองดว้ ง และพระมหำมนตรี(บุญมำ) กำรแกป้ ัญหำปำกทอ้ งของประชำชน โดยกำรซ้ือขำ้ วสำรและเส้ือผำ้ เคร่ืองนุ่งห่ม แจกจ่ำยประชำชนท่ีอดอยำกและขำดแคลน กระตุน้ ใหร้ ำ ษฏรที่หลบซ่อนตำมป่ ำเขำใหก้ ลบั สู่มำตุภูมิลำเนำเดิม กำลงั ของ บำ้ นเมืองจึงเพิม่ มำกข้ึน
2. การฟื้ นฟูบ้านเมืองให้กลบั คนื สู่ปกติ กำรรวบรวมกำลงั คนใหเ้ ป็นกลุ่มเป็นกอ้ น สนบั สนุนใหผ้ คู้ นท่ีหลบหนีภยั สงครำมตำมทอ้ งท่ีต่ำงๆ ใหม้ ำรวมกนั ในรำชธำนี เพือ่ ประโยชนใ์ นกำรเกณฑ์ กำลงั คนในยำมศึกสงครำมและกำรก่อสร้ำงรำชธำนีใหม่ กำรฟ้ื นฟทู ำงเศรษฐกิจ ทรงส่งเสริมกำรคำ้ ขำยกบั ต่ำงประเทศ โดยเฉพำะกำรคำ้ ทำงเรือสำเภำกบั จีน มี พอ่ คำ้ ชำวจีนเขำ้ มำคำ้ ขำยในไทยมำกกวำ่ ชำติอ่ืนๆ นอกจำกน้ี ยงั ทรงสนบั สนุนให้ ขนุ นำงคุมกำลงั ไพร่พลไปทำนำรอบๆ พระนคร เพื่อเพม่ิ ผลผลิต กำรฟ้ื นฟทู ำงสงั คม มีกำรฟ้ื นฟรู ะบบไพร่ท่ีเคยมีในสมยั อยธุ ยำข้ึนใหม่ โดยกำรสกั ขอ้ มือไพร่ทุกกรม กองเรียกวำ่ กฏหมำยสกั เลก เพื่อประโยชนใ์ นกำรเกณฑแ์ รงงำนและกำรป้ องกนั ประเทศ และป้ องกนั กำรหลบหนีของไพร่อีกดว้ ย
3. การปราบปรามชุมนุมคนไทย เพอื่ รวบรวมอำณำจกั รคนไทยใหเ้ ป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ภำยหลงั ท่ีทรงสถำปนำกรุงธนบุรีเป็นรำชธำนีแลว้ จึงทรงดำเนินกำร ปรำบปรำมชุมนุมคนไทยท่ีไม่ยอมอ่อนนอ้ มท้งั 4 ชุมนุมในช่วง พ.ศ.2311-2313 ดงั น้ี
ชุมนุมเจ้าพระยาพษิ ณุโลก กองทพั ธนบุรียกกำลงั ไปปรำบเป็นชุมนุมแรกแต่ไม่ประสบ ควำมสำเร็จ ต่อมำถกู ชุมนุมพระฝำงตีแตกและผนวกเขำ้ กบั ชุมนุม ของตน ชุมนุมเจ้าพมิ าย กรมหมื่นเทพพพิ ธิ ผนู้ ำชุมนุมไม่ยอมออ่ นนอ้ ม จึงถกู กองทพั ธนบุรีปรำบ เป็นผลใหด้ ินแดนภำคอีสำนตกอยภู่ ำยใตอ้ ำนำจของ รำชธำนีต้งั แต่น้นั มำ
ชุมนุมเจ้านครศรีธรรมราช เจำ้ นครไม่สำมำรถตำ้ นทำนกำลงั กองทพั บกและกองทพั เรือจำก กรุงธนบุรีได้ อำณำเขตของกรุงธนบุรีจึงแผข่ ยำยไปถึงหวั เมืองปักษใ์ ต้ ชุมนุมเจ้าพระฝาง หวั หนำ้ ชุมนุมเป็นพระสงฆท์ ี่ทรงคุณไสยและเป็นชุมนุมสุดทำ้ ยที่ ปรำบปรำมสำเร็จในปี พ.ศ.2313 ทำใหไ้ ดห้ วั เมืองเหนือไวใ้ นพระรำช อำณำเขต
4. การทาสงครามต่อต้านการรุกรานของพม่า ตลอดสมัยกรุงธนบุรีเป็ นราชธานีไทยต้องทาสงครามกบั พม่า เพอื่ ป้ องกนั เอกราช รวมถงึ 9 คร้ัง คร้ังทส่ี าคญั ทสี่ ุดคอื ศึกอะ แซหว่นุ กตี้ หี ัวเมอื งเหนือ พ.ศ.2318
5. การทาสงครามขยายอาณาเขต ในสมัยกรุงธนบุรี กองทพั ไทยยกไปตกี รุงกมั พชู าเป็ นประเทศ ราชใน พ.ศ.2314 และหัวเมืองล้านนาและลาว ใน พ.ศ.2317
1. ภำวะเศรษฐกิจตอนตน้ รัชกำล สภำพบำ้ นเมืองในตอนตน้ รัชกำลสมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินตอ้ งประสบ ปัญหำควำมตกต่ำทำงเศรษฐกิจอยำ่ งหนกั ขำดแคลนขำ้ วปลำอำหำร กำรทำ ไร่ทำนำตอ้ งหยดุ ชะงกั เพรำะภยั สงครำมซ้ำเกิดกำรแพร่ระบำดของหนูนำ ออกมำกินขำ้ วในยงุ้ ฉำง สมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินทรงแกไ้ ขปัญหำดงั น้ี กำรซ้ือขำ้ วสำรจำกพอ่ คำ้ ชำวต่ำงชำติ นำมำแจกจ่ำยใหร้ ำษฎร กำรเกณฑข์ ำ้ รำชกำรทำนำปรัง (ทำนำนอกฤดูกำล) ประกำศใหร้ ำษฎรช่วยกนั กำจดั หนูในนำ กำรเพิม่ พ้นื ท่ีปลกู ขำ้ วใกลพ้ ระนคร โดยปรับปรุงพ้ืนที่ท่ีเคยเป็นป่ ำใหเ้ ป็น ทอ้ งนำ
2 การวางรากฐานการพฒั นาเศรษฐกจิ ของประเทศ เศรษฐกิจสมยั กรุงธนบุรี เป็นเศรษฐกิจแบบยงั ชีพ กำรทำนำ เป็นอำชีพหลกั ของรำษฎรในสมยั น้นั สมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสิน ทรง วำงรำกฐำนกำรพฒั นำเศรษฐกิจของประเทศดงั น้ี
การพฒั นาทางด้านเกษตรกรรม เพอ่ื เพมิ่ ผลผลติ ให้เพยี งพอแก่การบริโภค ภายในโดยการเกณฑ์แรงงานคนไทย จีน และเชลยศึกสงครามให้ช่วยบุกเบิก พนื้ ทท่ี าไร่ทานามากขนึ้ การสร้างความเขม็ แข็งทางเศรษฐกจิ ในหัวเมอื ง เช่น สนับสนุนให้คนจนี คน ลาวไปประกอบอาชีพต้ังถน่ิ ฐานในหัวเมืองต่างๆ เช่น สระบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ชลบุรีและจันทบุรี เพอ่ื ให้เกดิ การขยายตัวของชุมชน การนาความรู้ใหม่ ๆ จากชาวต่างประเทศ มาใช้พฒั นาความเจริญของ บ้านเมืองโดยเฉพาะความรู้จากชาวจีนทเ่ี ข้ามาค้าขายและต้งั ถนิ่ ฐานในเมอื งไทย สมยั น้ัน เช่น ความรู้ในการค้าขาย การช่าง การต่อเรือ และการแปรรูปสินค้า เกษตรกรรม ท้งั กจิ การโรงสี โรงเลอ่ื ยจกั รและโรงนา้ ตาล เป็ นต้น การส่งเสริมการค้าขายกบั ต่างประเทศ มกี ารส่งเรือสาเภา ไปค้าขายยงั ประเทศจีน อนิ เดยี และประเทศใกล้เคยี ง สินค้าทสี่ ่งออก ได้แก่ ดบี ุก พริกไทย ครั่ง ไม้หอม ซ่ึงเป็ นผลดตี ่อเศรษฐกจิ ของไทย
การจดั ระเบยี บการปกครองของไทยสมัยธนบุรี ยงั คงใช้รูป แบบเดมิ ทเ่ี คยมมี าต้งั แต่สมยั อยุธยา เนื่องจากบ้านเมอื งกาลงั อยู่ใน ระยะเร่ิมฟื้ นตัวใหม่ๆ จงึ ยงั ไม่มีการแก้ไขเปลย่ี นแปลงใดๆ
(ภำยในรำชธำนี) มีอคั รมหำเสนำบดี 2 ฝ่ ำย -ฝ่ ำยทหำร คือ สมุหกลำโหม -ฝ่ ำยพลเรือน คือ สมหุ นำยก นอกจำกน้ียงั มีเสนำบดีจตุสดมภอ์ ีก 4 ฝ่ ำย ไดแ้ ก่ พระนครบำล(กรมเมือง), พระธรรมำธิกรณ์(กรมวงั ), พระโกษำธิบดี(กรมคลงั ) พระเกษตรำธิกำร(กรมนำ)
แบ่งหัวเมืองออกเป็ น 3 ระดบั คอื -หัวเมอื งช้ันใน เป็ นเมืองขนาดเลก็ อยู่รายรอบราชธานี เจ้าเมืองเรียกว่า \"ผู้ร้ัง\" -หัวเมืองช้ันนอก เป็ นเมอื งขนาดใหญ่และอยู่ห่างไกลจากราชธานีออกไป แบ่งออกเป็ นหัวเมืองเอก โท ตรี ตามลาดบั ความสาคญั -หัวเมอื งประเทศราช เป็ นเมอื งต่างชาตติ ่างภาษาให้เจ้านายปกครอง กนั เองแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมาถวาย ได้แก่ ลาว เขมร และ เชียงใหม่
1.พฒั นาการทางด้านศาสนา หลงั จำกเสียกรุงศรีอยธุ ยำ ทรงมีพระรำชดำริที่จะทำนุบำรุง พระพทุ ธศำสนำ ใหเ้ จริญรุ่งเรืองเป็นปกติสุขเช่นที่เคยเป็นมำก่อน จึงไดโ้ ปรดเกลำ้ ฯใหต้ ้งั พระอำจำรยด์ ี วดั ประดู่กรุงเก่ำ ซ่ึงเป็นผทู้ ี่มีควำมรู้ สูงและมีอำยพุ รรษำมำกดว้ ย ข้ึนเป็นพระสังฆรำช และต้งั พระเถระอื่น ๆ ข้ึนเป็น พระรำชำคณะฐำนำนุกรมนอ้ ยใหญ่ เหมือนคร้ังกรุงศรีอยธุ ยำใหส้ ถิตอยใู่ นพระ อำรำมต่ำงๆ ในกรุงธนบุรี ใ หส้ ง่ั สอนคนั ถธุระ และวิปัสสนำธุระ แก่ภิกษุสำมเณร โดยทวั่ ไป นอกจำกน้นั พระองคไ์ ดโ้ ปรดเกลำ้ ฯ ใหส้ ืบหำรวบรวมคมั ภีร์พระไตรปิ ฎกท่ี หลงเหลืออยตู่ ำมหวั เมืองต่ำง ๆ ตลอดไปจนถึงกรุงกมั พชู ำ แลว้ เอำมำคดั ลอกสร้ำง เป็น พระไตรปิ ฎกฉบบั หลวงไว้ แต่ยงั ไม่เสร็จสมบูรณ์กส็ ิ้นรัชกำลเสียก่อน
2. พฒั นำกำรดำ้ นสงั คมและวฒั นธรรม โครงสร้ำงทำงสังคมไทยสมยั ธนบุรีประกอบดว้ ยชนช้นั ต่ำงๆ ไดแ้ ก่ -พระมหำกษตั ริย์ เป็นผทู้ ี่มีพระรำชอำนำจสูงสุดในแผน่ ดิน -พระบรมวงศำนุวงศ์ ไดแ้ ก่รำชวงศช์ ้นั ผใู้ หญ่บรรดำพระรำช โอรสและพระรำชธิดำ -ไพร่ ไดแ้ ก่ คนธรรมดำสำมญั ที่เป็นชำยฉกรรจ์ ส่วนเดก็ ผหู้ ญิงหรือคนชรำถือเป็นบริวำรของไพร่ -ทำส หมำยถึง บุคคลที่มิไดเ้ ป็นไทแก่ตนเองโดยสิ้นเชิง -พระสงฆ์ เป็นผสู้ ืบทอดพระพทุ ธศำสนำ และเป็นผอู้ บรมสงั่ สอนคนในสงั คมใหเ้ ป็นคนดี
2.1 สภาพสังคมสมยั ธนบุรี เนื่องจากบ้านเมอื งตกอยู่ภาวะสงคราม ทางราชการจงึ ต้อง ควบคุมกาลงั คนอย่างเขม็ งวดเพอื่ เตรียมสาหรับต้านภยั พม่า มีการ ลงทะเบียนชายฉกรรจ์เป็ นไพร่หลวง โดยการ สักเลก ทแ่ี ขนเพอ่ื ป้ องกนั การหลบหนี
สมเดจ็ พระเจ้าตากสินทรงมีความเส่ือมใส ศรัทธาใน พระพทุ ธศาสนาอย่างยง่ิ ทรงฟื้ นฟูกจิ การพระพทุ ธศาสนาเพอื่ ให้ เป็ นทยี่ ดึ เหนี่ยวทางจติ ใจแก่ราษฎร ดงั นี้
การจดั ระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ โปรดเกล้าฯ แต่งต้งั พระสังฆราช และพระราชาคณะ ขนึ้ ปกครองคณะสงฆ์ และให้มกี ารชาระความบริสุทธ์ิของพระสงฆ์ ท้งั หมด พระสงฆ์ทม่ี ีการประพฤติ ไม่อยู่ในพระวนิ ัยกใ็ ห้สึกออกเสีย การสร้างและปฏสิ ังขรณ์วดั วาอารามต่างๆ เช่น วดั บางยเี่ รือใต้ วดั แจ้งและวดั บางหว้าใหญ่ เป็ นต้น การตรวจสอบและคดั ลอกพระไตรปิ ฏก เพอ่ื ให้พระธรรมวนิ ัยมี ความบริสุทธ์ิ โดยใช้ต้นฉบับพระไตรปิ ฏกจากวดั พระมหาธาตุ เมอื ง นครศรีธรรมราช
วดั บางยเ่ี รือใต้ (วดั อนิ ทาราม) วดั แจ้ง (วดั อรุณราชวราราม) วดั บางหว้าใหญ่ (วดั ระฆงั โฆสิตาราม)
2.3 งานสร้างสรรค์ศิลปะและวรรณกรรม ควำมเจริญรุ่งเรืองดำ้ นศิลปแขนงต่ำงๆ ในสมยั ธนบุรีไม่ปรำกฏเด่นชดั นกั เน่ืองจำกบำ้ นเมืองตกอยใู่ นภำวะสงครำมตลอดรัชกำล ควำมบีบค้นั ทำงเศรษฐกิจ และบรรดำช่ำงฝีมือถกู พม่ำกวำดตอ้ นไปจำนวนมำก งำนสถำปัตยกรรม ส่วนใหญ่เป็นงำนบูรณะปฏิสงั ขรณ์วดั วำอำรำมต่ำงๆ และงำนก่อสร้ำงพระรำชวงั เดิม งำนวรรณกรรม ไดแ้ ก่ รำมเกียรต์ิ(พระรำชนิพนธบ์ ำงตอนในสมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสิน),ลิลิตเพชรมงกฏุ (หลวงสรวชิ ิต),และโคลงยอพระเกียรติพระเจำ้ กรุงธนบุรี (นำยสวนมหำดเลก็ ) เป็นตน้
แบ่งเป็ น 2 ลกั ษณะคอื ประเทศเพอ่ื นบ้านและประเทศแถบตะวนั ตก
เม่ือเสียกรุงศรีอยธุ ยำแก่พม่ำ ในปี พทุ ธศกั รำช 2310 กมั พชู ำ ซ่ึงถือเป็นเมืองข้ึนของไทยต้งั แต่สมยั อยธุ ยำ ไดต้ ้งั ตวั เป็นอิสระ ส่งผลใหไ้ ทยตอ้ งจดั ทพั ไปตีเมืองเขมรหลำยคร้ังหลำยครำว จนกระทงั่ พทุ ธศกั รำช 2324 สมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินทรงมีพระรำช ประสงคจ์ ะผนวกดินแดนเขมรเขำ้ มำรวมอยใู่ นพระรำชอำณำจกั ร ไทย โดยเดด็ ขำด แต่ยงั มิทนั สำเร็จสมดงั พระรำชประสงคก์ ส็ ิ้นสมยั ธนบุรีลงเสียก่อน
ในช่วงระยะเวลำ 10 ปี แรกของกำรสถำปนำกรุงธนบุรีเป็น รำชธำนี ไทยกบั พม่ำตอ้ งทำสงครำมขบั เค่ียว กนั ถึง 9 คร้ัง ดงั น้นั จึงอำจกล่ำวไดว้ ำ่ ควำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ งไทยกบั พม่ำเป็นไปอยำ่ ง ศตั รูคอู่ ำฆำตตลอดสมยั กรุงธนบุรี
หวั เมืองมลำยซู ่ึงมีแควน้ ท่ีสำคญั ไดแ้ ก่ ปัตตำนี ไทรบุรี เประ กลนั ตนั และตรังกำนู เป็นประเทศรำช ของไทยต้งั แต่สมยั สุโขทยั เม่ือกรุงศรีอยธุ ยำแตก แควน้ เหล่ำน้ีไดต้ ้งั ตวั เป็นอิสระ และ เน่ืองจำกเป็นช่วงเวลำ เดียวกบั ท่ีพระเจำ้ ตำกสินทรงติดพนั ศึกกบั พม่ำและกำรฟ้ื นฟปู ระเทศ หวั เมืองมลำยจู ึงเป็นอิสระจำกไทยจน กระทงั่ สิ้นรัชกำล
ลำวในขณะน้นั แบ่งแยกเป็น 3 แควน้ คือ หลวงพระบำง เวยี งจนั ทน์ และจำปำศกั ด์ิ สมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสิน ไดข้ ยำยอำนำจไปยงั ดินแดนลำว 2 คร้ัง คร้ังแรกในปี พทุ ธศกั รำช 2319 กองทพั ไทยตีไดเ้ มือง จำปำศกั ด์ิ เมืองโขง อตั ปื อ ท้งั ยงั เกล้ียกล่อมไดเ้ ขมรป่ ำดง คือเมืองตะลุง สุรินทร์ สงั ขะ และขขุ นั ธ์ จึงทำใหด้ ินแดนลำว ทำงใตอ้ ยใู่ ตอ้ ิทธิพลของ ไทยท้งั หมด ส่วนคร้ังที่ 2 ในปี พทุ ธศกั รำช 2321 ไทยยกทพั ไปตีเวยี งจนั ทน์ พร้อม ท้งั อญั เชิญพระแกว้ มรกต และพระบำงมำยงั กรุงธนบุรี ฝ่ ำยแควน้ หลวง พระบำง ซ่ึงเป็นศตั รูกบั แควน้ เวยี งจนั ทนไ์ ดเ้ ขำ้ มำสวำมิภกั ด์ิต่อไทย ลำว จึงมีฐำนะเป็ นประเทศรำชของไทยจนสิ้นรัชกำล
หวั เมืองลำ้ นนำที่สำคญั ไดแ้ ก่เชียงใหม่ ลำปำง ลำพนู แพร่ และ น่ำน ซ่ึงเป็นแควน้ อิสระที่ปกครองตนเอง โดยเจำ้ ผคู้ รองนคร มี ควำมสำคญั ในแง่ยทุ ธศำสตร์ ท้งั แก่ไทยและพม่ำ ทำใหท้ ้งั ไทย และพม่ำไดต้ ่อสูก้ นั เพอื่ ที่ จะเขำ้ ไปปกครองดินแดนแห่งน้ีมำต้งั แต่ สมยั อยธุ ยำ
หลงั จากที่สมเดจ็ พระเจ้าตากสินยกทพั ไปตไี ด้เมือง นครศรีธรรมราชในพทุ ธศักราช 2312 ได้คนื อานาจให้แก่กล่มุ ท้องถน่ิ โดย โปรดเกล้า ฯ ให้ยกฐานะของเมืองนครศรีธรรมราชขนึ้ เป็ นเมอื งประเทศ ราช อกี เมืองหนง่ึ ให้เจ้าเมอื งมฐี านะเป็ น \"พระเจ้านครศรีธรรมราช\" ซึ่งเปรียบได้กบั พระเจ้าแผ่นดนิ อกี พระองค์หน่ึง และมีความสัมพนั ธ์อนั ดี ต่อกนั ตลอดรัชกาล
ในสมัยกรุงธนบุรีความสัมพนั ธ์ระหว่างไทยกบั ญวน แบ่งได้ เป็ น 2 ระยะคอื ระยะแรก ญวนเป็ นมิตรกบั ไทยเพราะญวนหวงั พง่ึ ไทยในการ ขจดั ความย่งุ ยากทเ่ี กดิ ขนึ้ ภายในประเทศ ระยะต่อมา ไทยมีเรื่องบาดหมางกบั ญวนในกรณกี มั พูชา ทา ให้ความสัมพนั ธ์ระหว่างไทยกบั ญวน ในตอนปลายรัชกาลตงึ เครียด จนเกอื บต้องทาสงครามกนั
สมั พนั ธภำพระหวำ่ งสมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินและรำชวงศช์ ิง อำจจำแนกไดเ้ ป็น 3 ระยะ ตำมกำลเวลำและ พฒั นำกำรของเหตุกำรณ์ 1. พทุ ธศกั รำช 2310 – 2313 รำชวงศช์ ิงปฏิเสธกำรรับรอง เนื่องจำกในระยะน้นั จีนไดร้ ับรำยงำนที่ไม่เป็นควำมจริงจำก ม่อซ่ือหลิน แห่งพทุ ไธมำศ จึงไม่ยอม รับรองกรุงธนบุรี 2. พทุ ธศกั รำช 2313 – 2314 รำชสำนกั ชิงเร่ิมรู้สึกถึงเบ้ืองหลงั รำยงำนท่ีไม่เป็น ควำมจริงของม่อซ่ือหลิน และไม่ใหค้ วำมเช่ือถือ ดงั น้นั รำชสำนกั ชิงจึงเริ่ม เปลี่ยนแปลงและมีท่ำทีเป็นมิตรต่อสมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสิน 3. พทุ ธศกั รำช 2314 – 2325 รำชสำนกั ชิงใหก้ ำรรับรองอยำ่ งเป็นทำงกำรต่อ สมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสิน รวมท้งั ใหก้ ำรสนบั สนุนเป็นพเิ ศษ
ในสมยั ธนบุรี มีสำเภำของพอ่ คำ้ จีนเขำ้ มำติดต่อคำ้ ขำยดว้ ยตลอดรัชกำล สมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินไดโ้ ปรดเกลำ้ ฯ ใหส้ ่งสำเภำหลวงบรรทุกสินคำ้ ออกไป คำ้ ขำยกบั จีนอยเู่ สมอจึงนบั ไดว้ ำ่ จีนเป็นชำติสำคญั ท่ีสุดท่ีไทย คำ้ ขำยดว้ ย ควำมสมั พนั ธด์ ำ้ นกำรคำ้ ระหวำ่ ง ไทยกบั จีนเริ่มตน้ จำกกำรคำ้ ขำ้ วเป็น สำคญั ต่อมำไดข้ ยำยเพ่ิมข้ึนโดยประเทศจีนไดส้ ่งสินคำ้ พ้นื เมืองจำกแตจ้ ิ๋วมำขำย ท่ี สำคญั คือ เครื่องลำยครำม ผำ้ ไหม ผกั ดอง และเสื่อ เป็นตน้ เที่ยวกลบั กจ็ ะซ้ือ สินคำ้ จำกไทย อำทิ ขำ้ ว เคร่ืองเทศ ไมส้ กั ดีบุก ตะกวั่ กลบั ไปยงั เมืองจีนดว้ ย เช่นกนั นอกจำกน้นั ในปี พทุ ธศกั รำช 2320 ไดม้ ีหนงั สือจีน ฉบบั หน่ึงในสมยั รำชวงศ์ ไตเ้ ชงแห่งแผน่ ดิน เฉียงหลง ปี ท่ี 42 ไดบ้ นั ทึกไวว้ ำ่ \"สินคำ้ ของไทยมี อำพนั ทอง ไมห้ อม งำชำ้ ง กระวำน พริกไทย ทองคำ หินสีต่ำง ๆ ทองคำกอ้ น ทองคำทรำย พลอยหินต่ำงๆ และตะกวั่ แขง็ เป็นตน้ \"
ประเทศที่ไทย ติดต่อซ้ืออำวธุ ท่ีสำคญั ท่ีสุดคือ ประเทศองั กฤษ ซ่ึงมีศูนยก์ ลำงอยทู่ ี่อินเดีย ในปี พทุ ธศกั รำช 2319 ชำวองั กฤษชื่อฟรำนซีส ไลท์ หรือ กปั ตนั เหลก็ ซ่ึงอยทู่ ี่ปี นงั ไดส้ ่งปื นนกสบั เขำ้ มำถวำยสมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินมหำรำช เป็นจำนวนพนั ส่ีร้อยกระบอก พร้อมกบั ส่ิงของเคร่ืองรำชบรรณำกำร ต่ำงๆ ต่อมำไทยจึงสง่ั ซ้ืออำวธุ ปื น จำกองั กฤษโดยฟรำนซีส ไลทเ์ ป็นผู้ ติดต่อมีกำรแลกเปลี่ยนพระรำชสำส์นกนั และเม่ือพทุ ธศกั รำช 2320 นำย ยอร์จ สแตรตนั ผสู้ ำเร็จรำชกำรแห่งมทั รำสในขณะน้นั ไดส้ ่งสำส์นพร้ อม กบั ดำบทองคำประดบั พลอย มำถวำยสมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสิน
Search