[] สมถกรรมฐาน (สมาธิ) ] ] Ts Ts ]
สมาธิ 1สมถกรรมฐาน (สมาธิ)1.) นวิ รณ์ 5 และวิธีแก้ไข หน้า 22.) หลกั การทําสมาธิเบือ้ งต้น หน้า 73.) สมาธิ 40 วิธี หน้า 114.) พทุ ธานสุ ติ หน้า 145.) อานาปานสติ หน้า 156.) จริต 6 หน้า 157.) กรรมฐานสําหรับแตล่ ะจริต หน้า 178.) นง่ั แล้วตวั สน่ั และขาขยบั ได้เอง หน้า 189.) นงั่ สมาธิแล้วเกิดปิติ หน้า 2010.) นง่ั สมาธิแล้วอยากได้นนู่ ได้น่ี หน้า 2211.) นง่ั สมาธิแล้วฟ้ งุ ซา่ น หน้า 2312.) การออกจากสมาธิกลางคนั หน้า 2413.) นง่ั สมาธิแล้วเหมือนแขนขาหายไป หน้า 2514.) สมาธิและกิเลส หน้า 26
สมาธิ 2นิวรณ์ 5นิวรณ์ คอื สิ่งที่ขวางกนั้ จิตทําให้สมาธิไมอ่ าจเกิดขนึ ้ ได้ มี 5 อยา่ งคือ 1.) กามฉันทะ คือความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคณุ อารมณ์ ได้แก่ ความยนิ ดี พอใจในรูป เสียง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ(ส่ิงสมั ผสั ทางกาย) อนั นา่ ยินดี นา่ รักใคร่พอใจ รวมทงั้ ความคดิ อนั เก่ียวเน่ืองด้วย รูป เสียง กลิน่ รส โผฏฐัพพะนนั้ (คาํ วา่ กามในทางธรรมนนั้ ไมไ่ ด้หมายถงึ เรื่องเพศเทา่ นนั้ ) 2.) พยาปาทะ คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไมพ่ อใจ ขดั เคอื งใจ 3.) ถนี มิทธะ แยกเป็นถีนะคือความหดห่ทู ้อถอย และมทิ ธะคือความง่วงเหงาหาวนอน ถีนะและมทิ ธะนนั้ มีอาการแสดงออกท่ีคล้ายกนั มาก คือทําให้เกิดอาการเซ่ืองซมึ เหมือนกนั แตม่ ีสาเหตทุ ่ีตา่ งกนั คอื ถีนะเป็ นกิเลสชนิดหน่ึง เกิดจากการปรุงแตง่ ของจิต ทําให้เกิดความยอ่ ท้อ เบอ่ื หนา่ ย ไมม่ ี กําลงั ท่ีจะทําความเพียรตอ่ ไป สว่ นมิทธะนนั้ เกิดจากความเม่ือยล้าออ่ นเพลียของร่างกาย หรือจิตใจจริง ๆ เน่ืองจาก ตรากตรํามามาก หรือขาดการพกั ผอ่ นที่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารท่ีมากเกินไป มทิ ธะนีไ้ ม่ จัดเป็ นกิเลส (พระอรหนั ต์ไมม่ ีถีนะแล้ว แตย่ งั มีมทิ ธะได้เป็นบางครัง้ ) 4.) อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคอื ความฟ้ งุ ซา่ นของจติ และกุกกุจจะคือความรําคาญใจ อุทธัจจะนนั้ คือการท่ีจิตไมส่ ามารถยึดอยกู่ บั สิ่งใดสิง่ หนงึ่ ได้เป็นเวลานาน จงึ เกิดอาการ ฟ้ งุ ซา่ น เล่ือนลอยไปเร่ืองนนั้ ที เรื่องนีท้ ี สว่ นกุกกุจจะนนั้ เกิดจากความกงั วลใจ หรือไมส่ บายใจถึงอกศุ ลท่ีได้ทําไปแล้วในอดีต วา่ ไม่ นา่ ทําไปอยา่ งนนั้ เลย หรือบญุ กศุ ลตา่ งๆ ท่ีควรทําแตย่ งั ไมไ่ ด้ทํา วา่ นา่ จะได้ทําอย่างนนั้ อยา่ งนี ้ 5.) วิจิกิจฉา คอื ความลงั เลสงสยั ไมแ่ นใ่ จ หรือไมป่ ักใจเชื่อวา่ ส่งิ ใดถกู สง่ิ ใดผิด หรือควรทําแบบไหนดี จิตจงึ ไมอ่ าจมงุ่ มน่ั ในอารมณ์ใดอารมณ์หนง่ึ ได้อยา่ งเตม็ ท่ี สมาธิจงึ ไมเ่ กิดขนึ ้ นิวรณ์ทงั้ 5 ตวั นี ้มีเฉพาะอุทธัจจะเท่านัน้ ท่เี กิดขนึ้ ตัวเดียวได้ สว่ นนวิ รณ์ตวั อ่ืน ๆ นอกนนั้ เมื่อเกิดจะเกิดขนึ ้ ร่วมกบั อทุ ธจั จะเสมอ นวิ รณ์ทงั้ 5 เป็นอปุ สรรคสําคญั ในการทําสมาธิ ถ้านวิ รณ์ตวั ใดตวั หนงึ่ หรือหลายตวั เกิดขนึ ้ สมาธิก็ไม่อาจเกิดขนึ ้ ได้เลย แต่นิวรณ์ทงั้ 5 นีไ้ ม่เป็ นตวั ขวางกัน้ วปิ ัสสนาเลย ทงั้ ยงั เป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอีกด้วยเพราะวปิ ัสสนานนั้ เป็นการเรียนรู้ธรรมชาตขิ องสรรพสิง่ ไมว่ า่ ขณะนนั้ อะไรจะเกิดขนึ ้ ก็เป็นประโยชน์ให้เรียนรู้ได้เสมอ นิวรณ์ทงั้ 5 นีก้ ็เป็นธรรมชาตอิ ยา่ งหนงึ่ ๆ ของจติ ท่ีเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ให้เห็นถงึ ความไมเ่ ที่ยงเป็นทกุ ข์ ไมอ่ ยใู่ นอํานาจ ของจติ เชน่ กนั
สมาธิ 3วธิ ีแก้ไขนิวรณ์ 5เม่ือนิวรณ์เกิดขนึ ้ มีวธิ ีแก้ดงั นีค้ ือ 1.) กามฉันทะ แก้ได้หลายวธิ ีตามลกั ษณะของกามฉนั ทะท่ีเกิดขนึ ้ ดงั นี ้ o พิจารณาถงึ ความจริงท่ีวา่ กามคุณทงั้ หลายนัน้ มีสุขน้อยมีทกุ ข์มาก คือให้ความสขุ ในชว่ งท่ี ได้มาใหม่ ๆ ซงึ่ เป็นเสมือนเหย่อื ล่อให้ติด ครัน้ เมื่อตดิ ในสิ่งนนั้ ๆ แล้ว ความทกุ ข์ทงั้ หลายก็ จะตามมา ถ้าย่ิงถกู ใจมากเทา่ ใด ก็จะย่ิงนําความทกุ ข์มาให้มากขนึ ้ เทา่ นนั้ ไมว่ า่ จะเป็นทกุ ข์ จากการแสวงหาเพ่ือให้ได้มากย่ิงขนึ ้ ทกุ ข์จากการพยายามรักษาส่งิ นนั้ เอาไว้ ทกุ ข์จากความ หวงแหน ความกลวั วา่ จะต้องสญู เสียสิง่ นนั้ ไป และเม่ือต้องสญู เสียส่ิงนนั้ ไป ก็จะย่งิ เป็นทกุ ข์ ยิง่ ขนึ ้ ไปอีก เพราะเราทงั้ หลายล้วนจะต้องพลดั พรากจากสิง่ ที่เป็นท่ีรักท่ีพอใจ ด้วยกนั ทงั้ หมด ทงั้ สนิ ้ o พิจารณาถงึ ความท่ีส่งิ ทงั้ หลายมีความแปรปรวนไปตลอดเวลา สงิ่ ท่ีให้ความสขุ ในวนั นี ้ ก็ อาจจะนําความทกุ ข์มาให้ได้ในวนั ข้างหน้า เชน่ คนที่ทําดีกบั เราในวนั นี ้ตอ่ ไปถ้าเขาเบื่อ หรือไม่ พอใจอะไรเราขนึ ้ มา เขาก็อาจจะร้ายกบั เราอยา่ งมากก็ได้ o พจิ ารณาถงึ ความเป็นอสุภะ คือเป็นของไมส่ วยไมง่ าม เตม็ ไปด้วยของไมส่ ะอาด ร่างกายที่เหน็ วา่ สวยงามในตอนนี ้ จะคงสภาพอยไู่ ด้นานสกั เทา่ ใด พอแก่ตวั ขนึ ้ ก็ย่อมจะหยอ่ นยาน เหี่ยวยน่ ไมน่ า่ ดู ถงึ แม้ในตอนนีเ้อง ก็เตม็ ไปด้วยของสกปรกไปทงั้ ตัว ตงั้ แตเ่ ส้นผมจรดปลายเท้า (ไม่ เชื่อก็ลองไมอ่ าบนํา้ ดสู กั วนั สองวนั ก็จะรู้เอง) ลองพจิ ารณาดเู ถิด วา่ มีสว่ นไหนที่ไมต่ ้องคอยทํา ความสะอาดบ้าง และถ้าถงึ เวลาที่กลายสภาพเป็นเพียงซากศพแล้วจะขนาดไหน o พจิ ารณาถงึ คุณของการออกจากกาม หรือประโยชน์ของสมาธิ เชน่ เป็นความสขุ ที่ประณีต ละเอียดอ่อน เบาสบายไมห่ นกั องึ ้ เหมือนกาม คนที่ได้สมั ผสั กบั ความสขุ จากสมาธิสกั ครัง้ ก็จะรู้ได้เองวา่ เหนือกวา่ ความสขุ จากกามมากเพียงใด เป็นความสขุ ท่ีไมต่ ้องแสวงหาจากภายนอก เพราะเกิดจากความสงบภายใน จงึ ไมต่ ้องมี การแยง่ ชิง ไมต่ ้องยือ้ แยง่ แข่งขนั ไมต่ ้องกลวั ถกู ลกั ขโมย เป็นความสขุ ท่ีไมต่ ้องมีวตั ถใุ ดๆ มาเป็นเคร่ืองลอ่ จงึ ไมต่ ้องเสียคา่ ใช้จา่ ยใดๆ ทงั้ สนิ ้ 2.) พยาปาทะ มีวิธีแก้ดงั นี ้ o มองโลกในแง่ดีให้เหน็ วา่ คนท่ีทําให้เราไมพ่ อใจนนั้ เขาคงไมไ่ ด้ตงั้ ใจหรอก เขาคงทําไปเพราะ รู้เทา่ ไมถ่ ึงการณ์ หรือเข้าใจผดิ หรือถกู เหตกุ ารณ์บงั คบั ถ้าเขารู้หรือเลือกได้เขาคงไมท่ ําอยา่ ง นนั ้ o คดิ ถงึ หลกั ความจริงท่ีวา่ คนเราเมื่ออยใู่ กล้กนั ก็ยอ่ มมีโอกาสที่จะทําในสงิ่ ที่ไมถ่ กู ใจคนอื่น ได้ เป็นครัง้ คราวอยแู่ ล้ว เพราะคงไมม่ ีใครสามารถทําให้ถกู ใจคนอื่นได้ตลอดเวลา แม้ตวั เราเองก็
สมาธิ 4 ยังเคยทาให้คนอ่ืนไม่พอใจเช่นกัน เพราะฉะนนั้ เม่ือคนอ่ืนทําไมถ่ กู ใจเราบ้าง ก็ย่อมจะเป็น เรื่องธรรมดา ไมค่ วรจะถือโทษโกรธกนั ให้เป็นทกุ ข์กนั ไปเปลา่ ๆ o พจิ ารณาถงึ คุณของการให้อภัย วา่ อภยั ทานนนั้ เป็ นบญุ อนั ยง่ิ ใหญ่ เป็นการทําบญุ โดยไม่ต้อง เสียอะไรเลย o คดิ เสียวา่ เป็ นการฝึ กจติ ของตวั เราเองให้เข้มแข็งขนึ้ โดยการพยายามเอาชนะใจตนเอง เอาชนะความโกรธ และขอบคณุ ผ้ทู ี่ทําให้เราโกรธที่ให้โอกาสในการฝึกจิตแกเ่ รา ให้เราได้สร้าง และเพิม่ พนู ขนั ตบิ ารมี o คดิ ถึงเร่ืองกฎแห่งกรรม วา่ สตั ว์โลกมีกรรมเป็ นของของตน ใครสร้างกรรมอนั ใดไว้ ยอ่ มต้องรับ ผลกรรมนนั้ ๆ สืบไป การท่ีเราเจอเหตกุ ารณ์ท่ีไมด่ ใี นครัง้ นี ้ ก็คงเป็ นเพราะกรรมเก่าที่เราได้ทํา เอาไว้ สําหรับคนที่ทําไม่ดีกบั เราในครัง้ นีน้ นั้ เขาก็จะได้รับผลกรรมนนั้ เองในวนั ข้างหน้าอยา่ ง หลีกเล่ียงไมไ่ ด้ o ให้ความรู้สึกสงสารผู้ท่ีทาไม่ดีกับเราในครัง้ นี ้ วา่ เขาไมน่ า่ ทําอยา่ งนนั้ เลย เพราะเม่ือเขาทํา แล้ว ตอ่ ไปเมื่อกรรมนนั้ สง่ ผล เขาก็จะต้องเป็นทกุ ข์ทรมานเพราะกรรมนนั้ o พจิ ารณาโทษของความโกรธ วา่ คนที่โกรธก็เหมือนกบั จดุ ไฟเผาตวั เอง ทําให้ต้องเป็ นทกุ ข์เร่า ร้อน หน้าตาก็ไมน่ า่ ดู แถมยงั เส่ียงตอ่ การเป็นโรคหวั ใจอีกด้วย เพราะฉะนนั้ ก็มีแตค่ นโง่ กบั คน บ้าเทา่ นนั้ ท่ีผกู โกรธเอาไว้ o แผ่เมตตาให้กับคนท่เี ราโกรธ ถ้าทําได้นอกจากจะดบั ทกุ ข์จากความโกรธได้แล้ว ยงั ทําให้มี ความสขุ จากการแผเ่ มตตานนั้ อีกด้วย และยงั จะเป็นการพฒั นาจติ ให้สงู ขนึ ้ ไปด้วย 3.) ถีนมทิ ธะ แยกเป็นถนี ะคือความหดห่ทู ้อถอยนนั้ แก้โดย o พิจารณาถึงโทษของกามและคุณของสมาธิ เพื่อทําให้เกิดความเพียร ในการปฏิบตั ใิ ห้พ้น จากโทษของกามเหล่านนั ้ o คบหากับคนท่มี ีความเพียร ฝักใฝ่ ยนิ ดีในการทําสมาธิ o หลีกเว้นจากคนท่ไี ม่ชอบทาสมาธิ หรือคนที่เบ่ือหนา่ ยในสมาธิ สว่ นมทิ ธะคือความงว่ งเหงาหาวนอนนนั้ มีวธิ ีแก้หลายวิธี ดงั ที่พระพทุ ธเจ้าตรัสแก่พระโมคคลั ลานะสรุปได้เป็นขนั้ ๆ ดงั นี ้ o ในขณะท่ีเพง่ จิตในส่งิ ใดสิ่งหนงึ่ อยู่ เพ่ือทําสมาธิหรือวิปัสสนาก็ตาม แล้วเกิดความงว่ งขนึ ้ มา ให้ เพ่งส่งิ นัน้ ให้มาก หรือให้หนักแน่นขึน้ ไปอีก ก็จะทําให้หายงว่ งได้ o ถ้ายงั ไมห่ ายงว่ ง ให้ตรึกตรอง พจิ ารณาธรรมท่ีได้อ่านหรือได้ฟังได้เรียนมาแล้ว โดยนึกในใจ o ถ้ายงั ไมห่ ายง่วงให้สาธยายธรรมที่ได้อ่าน ได้ฟัง หรือได้เรียนมาแล้ว คือให้พดู ออกเสียงด้วย o ถ้ายงั ไมห่ ายงว่ งให้ยอนช่องหูทงั้ สองข้าง (เอานวิ ้ ไชเข้าไปในรูห)ู เอามือลูบตัว
สมาธิ 5 o ถ้ายงั ไมห่ ายงว่ ง ให้ลกุ ขนึ ้ ยืน เอานา้ ล้างตา เหลียวดูทศิ ทัง้ หลาย แหงนดดู าวนกั ษัตรฤกษ์ (คอื ให้มองไปทางโน้นทีทางนีท้ ี บดิ คอไปมา) o ถ้ายงั ไมห่ ายงว่ ง ให้ทําในใจถงึ อาโลกสัญญา (นกึ ถงึ แสงสวา่ ง) ตงั้ ความสําคญั ในกลางวนั วา่ กลางวนั อยา่ งไร กลางคืนอยา่ งนนั้ กลางคืนอยา่ งไร กลางวนั อยา่ งนนั้ มีใจเปิดเผยอย่ฉู ะนี ้ ไมม่ ี อะไรห้มุ หอ่ ทําจิตอนั มีแสงสวา่ งให้เกิด (คือให้ทําความรู้สกึ เหมือนกบั วา่ กลางคืนนนั้ สวา่ งราว กบั เป็นกลางวนั ) o ถ้ายงั ไมห่ ายง่วง ให้เดนิ กลับไปกลับมา สํารวมอินทรีย์ มีใจไมค่ ดิ ไปในภายนอก (ควรเดนิ เร็วๆ ให้หายงว่ ง) o ถ้ายงั ไมห่ ายง่วงอีก ให้สําเร็จสีหไสยาสน์ คือ นอนตะแคงเบือ้ งขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า (เหมือนพระพทุ ธรูปนอน) มีสตสิ มั ปชญั ญะ โดยบอกกบั ตวั เองวา่ ทนั ทีท่ีรู้สกึ ตวั ตื่นแล้ว จะรีบ ลกุ ขนึ ้ ทนั ที ด้วยตงั้ ใจวา่ เราจกั ไมป่ ระกอบความสขุ ในการนอน ความสขุ ในการเอนข้าง ความสขุ ในการเคลมิ ้ หลบั4.) อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟ้ งุ ซา่ นของจิต แก้โดย o ใช้เทคนิคกลัน้ ลมหายใจ (เทคนิคนีน้ อกจากจะใช้แก้ความฟ้ งุ ซา่ นได้แล้ว ยงั ใช้ในการแก้ความ งว่ งได้อีกด้วย) โดยการทําตามขนั้ ตอนดงั ตอ่ ไปนี ้ เร่ิมจากการหายใจเข้าออกให้ลกึ ที่สดุ โดยทําเหมือนถอนหายใจแรงๆ สกั 3 รอบ จากนนั้ ทําสิ่งตอ่ ไปนีพ้ ร้อมกนั คอื ใช้ลนิ ้ ดนุ เพดานปากอยา่ งแรง หลบั ตาปี๋ เกร็งกล้ามเนือ้ บริเวณใบหน้า และกล้ามเนือ้ ทวั่ ร่างกายให้มากท่ีสดุ กลนั้ ลมหายใจให้นานท่ีสดุ เทา่ ท่ีจะทําได้ พร้อมกบั ทําสมาธิ โดยกําหนดจิตไว้ท่ีการกลนั้ ลมหายใจนนั ้ o เพ่มิ ความหนักแน่น หรือความถ่ขี องสงิ่ ที่ใช้ยดึ จิตขนึ ้ ไปอีก เพ่ือให้สามารถประคองจิตได้ง่าย ยง่ิ ขนึ ้ หรือลดโอกาสในการฟ้ งุ ให้น้อยลง เชน่ ถ้าตอนแรกใช้กําหนดลมหายใจเข้า/ออก โดยบริกรรมว่าพทุ ธ/โธ หรือ เข้า/ออก ซํา้ ไปซํา้ มา ก็เปลี่ยนเป็นนบั ลมหายใจแทน โดยหายใจเข้านบั 1 ออกนบั 1 เข้า-2 ออก-2 ... จนถงึ เข้า- 10 ออก-10 แล้วเริ่มนบั 1 ใหม่ การนบั นีใ้ ห้ลากเสียง(ในใจ) ให้ยาวตงั้ แตเ่ ร่ิมหายใจเข้า หรือออก จนกระทงั่ สดุ ลมหายใจ เพื่อให้จิตเกาะตดิ กบั เสียงนนั้ ไปตลอด ถ้ายงั ไมห่ ายก็เปลี่ยนเป็น เข้า-1 ออก-2 เข้า-3 ออก-4 ...... เข้า-9 ออก-10 แล้วเริ่มนบั 1 ใหม่
สมาธิ 6 ถ้ายงั ไมห่ ายอีกก็เปล่ียนเป็นรอบแรกนบั จาก 1จนถงึ 10 (เหมือนครัง้ ที่แล้ว) รอบที่สองนบั จาก 1 - 9 ลดลงไปเร่ือยๆ จนเหลือนบั 1 - 5 แล้วคอ่ ยเพมิ่ ขนึ ้ เป็น 1 - 6 ...... จนถึง 1 - 10 แล้วลดลงใหมจ่ นเหลือ 1 - 5 แล้วเพ่มิ ขนึ ้ จนถงึ 1 - 10 กลบั ไปกลบั มาเรื่อยๆ เพ่ือให้ต้องเพม่ิ ความตงั้ ใจขนึ ้ อีก ถ้ายงั ไมห่ ายอีกก็เปล่ียนเป็นนบั เลขอยา่ งเร็ว คือขณะหายใจเข้าแตล่ ะครัง้ ก็นบั เลข 1,2,3,... อยา่ งรวดเร็วจนกวา่ จะสดุ ลมหายใจ พอเร่ิมหายใจออกก็เร่ิมนบั 1,2,3,... ใหมจ่ นสดุ ลม หายใจเชน่ กนั ทงั้ นีไ้ มต่ ้องไปกําหนดวา่ ตอนหายใจเข้า/ออกแตล่ ะครัง้ จะต้องนบั ได้ถึงเลข อะไร เชน่ หายใจเข้าครัง้ แรกอาจจะนบั ได้ถึง 12 พอหายใจออกอาจจะได้แค่ 10 หายใจเข้า ครัง้ ตอ่ ไปอาจจะได้แค่ 9 ก็ได้ ในการหายใจนนั้ ท่ีสําคญั คือให้หายใจให้เป็ นธรรมชาตใิ ห้มากท่สี ุด อยา่ ไปบงั คบั ลมหายใจให้ยาว หรือสนั้ บางขณะอาจหายใจยาว บางขณะอาจสนั้ ก็ปล่อยไปตามธรรมชาตขิ องมนั เรามีหน้าที่เพียงแค่ สงั เกตดเู ทา่ นนั้ ทําใจให้สบาย อย่ามุ่งม่ันมากเกนิ ไปจนเครียด จะทําให้ฟ้ งุ ซา่ นหนกั ขนึ ้ คอ่ ยๆ ฝึกไปเร่ือยๆ แล้วจะดขี นึ ้ เอง อยา่ หวงั อย่ากาหนดกฎเกณฑ์วา่ วนั นีจ้ ะต้องได้อยา่ งนนั้ อย่างนี ้ปล่อยวางให้มากท่สี ุด ทาใจให้ อยู่กับปัจจุบัน คือเพียงแคส่ งั เกตวา่ ตอนนีเ้ป็นอยา่ งไรก็พอแล้ว อยา่ คดิ บงั คบั ให้สมาธิเกิด ยิง่ บีบแนน่ มนั จะยงิ่ ทะลกั ออกมา ย่งิ ฟ้ งุ ไปกนั ใหญ่ ถ้านบั เลขผิดให้เริ่มต้นนบั 1 ใหม่ แล้วดวู า่ วนั นีจ้ ะนบั ได้มากท่ีสดุ ถงึ แคไ่ หน เม่ือนบั ถ่ีท่ีสดุ ถงึ ขนั้ ไหนแล้วเอาจิตให้อยไู่ ด้ก็หยดุ อยแู่ คข่ นั้ นนั้ พอฝึกจิตได้นง่ิ พอสมควรแล้ว ก็ลองลด การนบั ไปใช้ขนั้ ที่เบาลงเร่ือยๆ จิตจะได้ประณีตขนึ ้ เร่ือยๆ สว่ นกุกกุจจะคือความรําคาญใจ นนั้ แก้ได้โดย o พยายามปล่อยวางในส่ิงนัน้ ๆ โดยคดิ วา่ อดีตก็ผา่ นไปแล้ว คิดมากไปก็เทา่ นนั้ อนาคตก็ยงั มาไม่ ถึง เรามาทําปัจจบุ นั ให้ดีที่สดุ ดีกวา่ ตอนนีเ้ป็ นเวลาทํากรรมฐาน เพราะฉะนนั้ อยา่ งอ่ืนพกั ไว้ก่อน ยงั ไมถ่ งึ เวลาคดิ เรื่องเหลา่ นนั้ o ถ้าแก้ไมห่ ายจริงๆ ก็ไปจดั การเร่ืองเหลา่ นนั้ ให้เรียบร้อย แล้วถงึ กลบั มาทํากรรมฐานใหมก่ ็ได้ 5.) วิจกิ ิจฉา แก้ได้โดย o พยายามศกึ ษาหาความรู้ให้มากท่ีสดุ
สมาธิ 7 o ถ้ายงั ไมแ่ นใ่ จก็คดิ วา่ เราจะลองทางนีด้ กู ่อน ถ้าถกู ก็เป็นสิง่ ที่ดี แตถ่ ้าผิดเราก็จะได้รู้วา่ ผิด จะได้ หายสงสยั แล้วจะได้พจิ ารณาหาทางอ่ืนท่ีถกู ได้ ยงั ไงก็ดีกวา่ มวั แตส่ งสยั อยู่ แล้วไมไ่ ด้ลองทําอะไร เลย ซงึ่ จะทําให้ต้องสงสยั ตลอดไป ธมั มโชติ 21 พฤศจกิ ายน 2543 หลักการทาสมาธิเบอื้ งต้น จติ ของคนทว่ั ๆ ไปที่ไมเ่ คยทําสมาธินนั้ ก็มกั จะมีสภาพเหมือนม้าป่ าพยศท่ียงั ไมเ่ คยถกู จบั มาฝึกให้เช่ือง มีการซดั สา่ ยไปในทิศทางตา่ งๆ อยเู่ ป็นประจํา การทําสมาธินนั้ ก็เหมือนการจบั ม้าป่ านนั้ มาล่ามเชือกหรือใสไ่ ว้ในคอกเล็กๆ ไมย่ อมให้มีอิสระตามความเคยชนิ เม่ือตกอยใู่ นสภาพเชน่ นี ้ ม้านนั้ ก็ยอ่ มจะแสดงอาการพยศออกมา มีอาการดนิ้ รน กวัดแกว่ง ไมส่ ามารถอยอู่ ยา่ งน่ิงสงบได้ ถ้าย่ิงพยายามบงั คบั ควบคมุมากขนึ ้ เทา่ ไหร่ ก็จะย่ิงดนิ้ รนมากขนึ้ เทา่ นนั้ การจะฝึกม้าป่ าให้เช่ืองโดยไม่เหน่ือยมากนนั้ ต้องใจเย็นๆ โดยเริ่มจากการใสไ่ ว้ในคอกใหญ่ๆ แล้วปลอ่ ยให้เคยชินกบั คอกขนาดนนั้ ก่อน จากนนั้ จงึ ค่อยๆ ลดขนาดของคอกลงเร่ือยๆ ม้านนั้ ก็จะเช่ืองขนึ ้ เรื่อยๆโดยไมแ่ สดงอาการพยศอยา่ งรุนแรงเหมือนการพยายามบีบบังคับอย่างรีบร้อน เม่ือม้าเชื่องมากพอแล้ว ก็จะสามารถใสบ่ งั เหียนแล้วนําไปฝึกได้โดยง่าย การฝึกจิตก็เชน่ กนั ถ้าใจร้อนคิดจะให้เกิดสมาธิอยา่ งรวดเร็วทงั้ ที่จิตยังไม่เช่ือง จิตจะดนิ้ รนมากและเมื่อพยายามบีบจิตให้นิ่งมากขนึ ้ เทา่ ไหร่ จิตจะย่ิงเกิดอาการเกร็งมากขนึ้ เทา่ นนั้ ซง่ึ นน่ั จะหมายถึงความกระด้างของจิตท่ีเพิม่ ขนึ ้ (จิตที่เกร็งจะเป็นจิตท่ีกระด้าง ซงึ่ ตา่ งจากจิตท่ีผอ่ นคลายจะเป็นจิตท่ีประณีตกวา่ )แล้วยงั จะทําให้เหน่ือยอีกด้วย ถงึ แม้บางครัง้ อาจจะบังคับจติ ไม่ให้ซัดส่ายได้ แตถ่ ้าสงั เกตให้ดีจะเหน็ วา่ จิตมีอาการส่ัน กระเพ่ือมอยู่ภายใน เหมือนการหดั ข่ีจักรยานใหม่ๆ ถงึ แม้จะเร่ิมทรงตวั ได้แล้ว แตก่ ็ข่ีไปด้วยอาการเกร็ง การขี่ในขณะนนั้ นอกจากจะเหนื่อยแล้ว การทรงตวั ก็ยงั ไม่น่ิมนวลราบเรียบอีกด้วย ซง่ึ จะตา่ งกนั มากเมื่อเปรียบเทียบกบั การขบั ข่ีของคนท่ีชํานาญแล้ว ท่ีจะสามารถขี่ไปได้ด้วยความรู้สกึ ที่ผ่อนคลายอยา่ งสบายๆราบเรียบ นุ่มนวล ไมม่ ีอาการสนั่ เกร็ง หลกั ทว่ั ไปในการทําสมาธินนั้ พอจะสรุปเป็นข้อๆ ได้ดงั นี ้ 1.) หาความรู้พนื้ ฐานเกี่ยวกบั การทําสมาธิให้มากท่ีสดุ กอ่ นท่ีจะทําสมาธิ เพ่ือจะได้ประหยัดเวลาไม่ ต้องลองผิดลองถกู และไมห่ ลงทาง ป้ องกนั ปัญหาท่ีอาจจะเกิดขนึ ้ เพราะความไมร่ ู้ หรือเข้าใจผดิ นอกจากนีย้ งั ป้ องกนั ความฟ้ ุงซ่านที่อาจจะเกิดขนึ ้ จากความลังเลสงสัยอีกด้วย
สมาธิ 82.) เลือกวธิ ีที่คดิ วา่ เหมาะสมกบั ตนเองมากที่สดุ แล้วลองทําไปสกั ระยะหน่ึงก่อน ถ้าทําแล้วสมาธิเกิด ได้ยากก็ลองวธิ ีอื่นๆ ดบู ้าง เพราะจติ และลกั ษณะนิสยั ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วธิ ีท่ีเหมาะสม ของแตล่ ะคนจงึ ตา่ งกนั ไป บางคนอาจจะเหมาะกบั การตามดลู มหายใจ ซงึ่ อาจจะใช้คําบริกรรมวา่ พทุ ธ-โธ หรือ เข้า/ ออก ประกอบ บางคนอาจจะเหมาะกบั การแผเ่ มตตา บางคนถนดั การเพง่ กสณิ เช่นเพง่ วงกลมสีขาว ฯลฯ ซง่ึ วธิ ีการทําสมาธินนั้ มีมากถึง 40 ชนิด เพ่ือให้เหมาะกบั คนแตล่ ะประเภท แตท่ ี่ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากท่ีสดุ ก็คอื อานาปานสติ คอื การตามสงั เกต ตามรู้ลมหายใจเข้าออก นน่ั เอง (ดรู ายละเอียดได้ในเรื่องนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ใน หวั ข้อวิธีแก้ไขนิวรณ์ 5/อทุ ธจั จกกุ กจุ จะ และในเร่ืองอานาปานสตสิ ูตร ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ) เพราะทําได้ในทกุ ที่ โดยไมต่ ้องเตรียมอปุ กรณ์ใดๆ เลย ทําแล้วจิตใจเยน็ สบาย ไมเ่ ครียด3.) อยู่ใกล้ผู้รู้ หรือรีบหาคนปรึกษาทันทที ่สี งสัย เพ่ือไมใ่ ห้ความสงสยั มาทําให้จิตฟ้ งุ ซา่ น4.) พยายามตดั ความกังวลทกุ อยา่ งท่ีอาจจะเกิดขนึ ้ ออกไปให้มากท่ีสดุ โดยการทํางานทกุ อย่างท่คี ่ัง ค้างอยใู่ ห้เสร็จเรียบร้อยก่อนท่ีจะทําสมาธิ หรือถ้าทําสมาธิไปแล้ว เกิดความกงั วลถงึ การงานใด ขนึ ้ มา ก็ให้บอกกบั ตวั เองวา่ ตอนนีเ้ ป็ นเวลาทาสมาธิ ยงั ไมถ่ งึ เวลาทํางานอยา่ งอ่ืน เอาไว้ทําสมาธิ เสร็จแล้วถึงไปทํางานเหลา่ นนั้ ก็ไมเ่ หน็ เสียหายอะไร ถ้าแก้ความกังวลไม่หายจริงๆ ก็หยดุ ทําสมาธิ แล้วรีบไปจดั การเรื่องนนั้ ๆ ให้เรียบร้อยก่อนก็ได้ ถ้าคดิ วา่ ขืนนงั่ ตอ่ ไปก็เสียเวลาเปล่า เม่ืองานนนั้ เสร็จแล้วก็รีบกลบั มาทําสมาธิใหม่5.) กอ่ นนง่ั สมาธิถ้าอาบนํา้ ได้ก็ควรอาบนา้ ก่อน หรืออย่างน้อยก็ควรล้างหน้า ล้างมือ ล้างเท้ากอ่ นจะ ทําให้โลง่ สบายตวั เม่ือกายสงบระงบั จติ ก็จะสงบระงบั ได้ง่ายขนึ ้6.) ควรทําสมาธิในที่ท่เี งียบสงบ อากาศเย็นสบาย ไมพ่ ลกุ พลา่ นจอแจ7.) ก่อนนง่ั สมาธิควรเดนิ จงกรม (เดนิ กลบั ไปกลบั มาช้าๆ โดยยึดจติ ไว้ที่จดุ ใดจดุ หนงึ่ ในเท้า ข้างท่ี กําลงั เคล่ือนไหว เชน่ ปลายเท้า หรือส้นเท้า โดยควรมีคําบริกรรมประกอบ เชน่ ขวา/ซ้าย ฯลฯ) หรือ สวดมนต์ก่อน เพ่ือให้จิตเป็ นสมาธิในระดบั หนงึ่ ก่อน จะทําให้น่ังสมาธิได้ง่ายขนึ้8.) การนง่ั สมาธินนั้ ควรน่ังในท่าขัดสมาธิ หลงั ตรง (ไมน่ ง่ั พงิ เพราะจะทําให้ง่วงได้ง่าย) หรือถ้า ร่างกายไมอ่ ํานวย ก็อาจจะนงั่ บนเก้าอีก้ ็ได้ นง่ั บนพืน้ ท่ีออ่ นนมุ่ ตามสมควร ทอดตาลงตาํ่ ทา กล้ามเนือ้ ให้ผ่อนคลาย อยา่ เกร็ง (เพราะการเกร็งจะทําให้ปวดเม่ือย และจะทําให้จติ เกร็งตามไป ด้วย) นงั่ ให้ร่างกายอยใู่ นทา่ ท่ีสมดลุ มนั่ คง ไม่โยกโคลงได้งา่ ย มือทงั้ 2 ข้างประสานกนั ปลาย นวิ ้ หวั แมม่ ือแตะกนั เบาๆ วางไว้บนหน้าตกั หลับตาลงช้าๆ หลงั จากนนั้ สง่ จิตไปสารวจตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้ทวั่ ทงั้ ตวั เพ่ือดู วา่ มีกล้ามเนือ้ สว่ นใดที่เกร็งอยหู่ รือไม่ ถ้าพบก็ให้ผ่อนคลายกล้ามเนือ้ สว่ นนนั้ ให้หายเกร็ง โดยไล่
สมาธิ 9 จากปลายเท้าทีละข้าง คอ่ ยๆ สํารวจเล่ือนขนึ ้ มาเรื่อยๆ จนถึงสะโพก แล้วย้ายไปสํารวจท่ีปลายเท้า อีกข้างหนง่ึ ทําเชน่ เดียวกนั จากนนั้ ก็สํารวจจากสะโพก ไลข่ นึ ้ ไปจนถงึ ยอดอก แล้วสํารวจจากปลาย นวิ ้ มือทีละข้าง ไลม่ าจนถึงไหล่ เมื่อทําครบสองข้างแล้ว ก็สํารวจไลจ่ ากยอดอกขนึ ้ ไปจนถึงปลายเส้น ผม ก็จะเป็นการผอ่ นคลายกล้ามเนือ้ ได้ทว่ั ร่างกาย จากนนั้ หายใจเข้าออกลึกๆ สัก 3 รอบ โดยมีสตอิ ยทู่ ี่ลมหายใจ ตรงจดุ ที่ลมกระทบปลาย จมกู พร้อมกบั ทําจิตใจให้รู้สึกผ่อนคลายลงเร่ือยๆ หลงั จากนนั้ จงึ เริ่มทําสมาธิตามวิธีที่เลือกเอาไว้9.) อย่าตงั้ ใจมากเกนิ ไป อย่าไปกําหนดกฎเกณฑ์วา่ วนั นนั้ วนั นีจ้ ะต้องได้ขนั้ นนั้ ขนั้ นี ้ เพราะจะทําให้ เคร่งเครียด จิตจะหยาบกระด้าง และจิตจะไม่อยู่กับปัจจุบัน เพราะมวั แตไ่ ปจดจอ่ อยกู่ บั ผลสําเร็จ ซง่ึ ยงั ไมเ่ กิดขนึ ้ จิตจะพงุ่ ไปที่อนาคต เมื่อจติ ไมอ่ ยทู่ ่ีปัจจบุ นั สมาธิกไ็ ม่เกดิ ขนึ ้ ให้ทําใจให้สบายๆ ผอ่ นคลาย คดิ วา่ ได้แค่ไหนก็แค่นัน้ แล้วคอ่ ยๆ รวมจิตเข้ามาท่ีจดุ ท่ีใช้ยดึ จติ นนั้ (เชน่ ลมหายใจ และคาํ บริกรรม) แล้วคอยสงั เกตส่ิงที่เกิดขนึ ้ เฉพาะหน้าในขณะนนั้ (เชน่ ความหยาบ/ละเอียด ความยาว ความลกึ ความเย็น/ร้อน ของลมหายใจ) จิตก็จะอยทู่ ่ีปัจจบุ นั แล้ว สมาธิก็จะตามมาเอง ถ้าฟ้ งุ ซา่ นไปบ้างก็คดิ วา่ เป็ นเร่ืองธรรมดาของจติ อยา่ กงั วล อยา่ อารมณ์เสีย (จะทําให้จติ หยาบขนึ ้ ) เพราะคนอื่นๆ ก็เป็นกนั ทงั้ นนั้ เมื่อรู้ตวั วา่ ฟ้ งุ ออกไปแล้ว ก็ใจเยน็ ๆ กลบั มา เร่ิมทําสมาธิใหม่ แล้วจะดีขึน้ เร่ือยๆ เอง10.) ใหมๆ่ ควรน่ังแต่น้อยก่อน เชน่ 5 - 15 นาที แล้วจงึ คอ่ ยๆ เพม่ิ ขนึ ้ เป็น 20, 30, 40, ... นาที ตามลําดบั เพ่ือให้ร่างกายและจติ ใจค่อยๆ ปรับตัว เม่ือนง่ั ไปแล้วหากรู้สกึ ปวดขาหรือเป็ นเหน็บ ก็ขอให้พยายามอดทนให้มากท่ีสุด ถ้าทน ไมไ่ หวจริงๆ จงึ จะขยบั เพราะทกุ ครัง้ ท่ีมีการขยบั ตวั จะทําให้จิตกวัดแกว่ง ทําให้สมาธิเคล่ือนได้ และโดยปรกตแิ ล้วถ้าทนไปได้ถึงจดุ หนงึ่ เมื่ออาการปวดหรือเป็นเหน็บนนั้ เกิดขนึ้ เต็มท่ีแล้ว อาการ ปวดหรือเป็นเหน็บนนั้ ก็จะหายไปเอง และมกั จะเกิดความรู้สกึ เบาสบายขนึ ้ มาแทนท่ี ซง่ึ เป็นอาการ ของปิ ตทิ ี่เกิดจากสมาธิ11.) การทําสมาธินนั้ เม่ือใช้สิ่งไหนเป็นเครื่องยึดจิต ก็ให้ทาความรู้สึกเหมือนกบั วา่ ตวั เราทงั้ หมดไป รวมเป็ นก้อนกลมๆ เล็กๆ อย่ทู ่ีจุดยดึ จิตนัน้ เชน่ ถ้าใช้ลมหายใจ (อานาปานสติ) ก็ทํา ความรู้สกึ วา่ ตวั เราทงั้ หมดย่อสว่ นเป็ นตวั เล็กๆ ไปนง่ั อยทู่ ่ีจดุ ท่ีรู้สกึ วา่ ลมกระทบอยา่ งชดั เจนท่ีสดุ เชน่ ปลายรูจมกู ข้างใดข้างหนง่ึ หรือริมฝี ปากบน เป็นต้น ให้ทําความรู้สึกที่จดุ นนั้ เพียงจดุ เดยี ว ไม่ ต้องเล่ือนตามลมหายใจ เหมือนเวลาเลื่อยไม้ ตาก็มองเฉพาะที่จดุ ที่เลื่อยสมั ผสั กบั ไม้เพียงจดุ เดยี ว ไมต่ ้องมองตามใบเล่ือย ก็จะรู้ได้วา่ ตอนนีก้ ําลงั เล่ือยเข้าหรือเล่ือยออก เม่ือจติ อยทู่ ่ีจดุ ลม กระทบเพียงจดุ เดียว ก็จะรู้ทิศทาง และลกั ษณะของลมได้เชน่ กนั12.) ไมว่ า่ อะไรจะเกิดขนึ ้ ก็อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากังวล เพราะทงั้ หมดเป็ นเพยี งอาการของจติ พยายามตงั้ สตเิ อาไว้ให้มนั่ คง ตราบใดท่ีไมก่ ลวั ไมต่ กใจ ไมข่ าดสติ ก็จะไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขนึ ้
สมาธิ 10 ทําใจให้เป็นปรกติ แล้วคอยสังเกตสิ่งเหลา่ นนั้ เอาไว้ แล้วทกุ อยา่ งจะดีขนึ ้ เอง ถ้าเห็นภาพท่ีน่ากลวั ปรากฏขนึ ้ มา หรือรู้สกึ วา่ ได้สมั ผสั กบั ส่งิ ที่นา่ กลวั ใดๆ ก็ตาม ให้แผ่เมตตาให้สง่ิ เหลา่ นนั้ แล้วคดิ วา่ อยา่ ได้มารบกวนการปฏิบตั ขิ องเราเลย ถ้าไมห่ ายกลวั ก็นกึ ถึงส่ิงศักด์สิ ิทธ์ิเพ่ือให้เป็นที่พงึ่ ทางใจ แล้วพยายามอย่าใส่ใจถงึ สิ่งที่นา่ กลวั นนั้ อีก ถ้าแก้ไมห่ ายจริงๆ ก็ตงั้ สตเิ อาไว้ หายใจยาวๆ แล้วค่อยๆ ถอนจากสมาธิออกมา เม่ือใจ เป็นปรกตแิ ล้วถงึ จะทําสมาธิใหมอ่ ีกครัง้ สําหรับคนที่ตกใจง่าย ก็อาจนงั่ สมาธิหน้าพระพทุ ธรูป หรือนง่ั โดยมีเพื่อนอย่ดู ้วย ก่อนนง่ั ก็ ควรสวดมนต์ไหว้พระก่อน แล้วอธิษฐานให้ส่ิงศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ชว่ ยค้มุ ครอง13.) ถ้าจิตไม่สงบ ก็ลองแก้ไขตามวธิ ีท่ีได้อธิบายเอาไว้ในเร่ืองนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวดสม ถกรรมฐาน (สมาธิ) ซงึ่ ได้อธิบายเอาไว้อยา่ งละเอียดแล้ว14.) เม่ือจะออกจากสมาธิ ควรแผ่เมตตาให้กบั สรรพสตั ว์ทงั้ หลายกอ่ น โดยการระลกึ ถึงความ ปรารถนาให้ผ้อู ่ืน และสตั ว์ทงั้ หลายมีความสขุ ด้วยใจจริง จากนนั้ ก็อุทศิ ส่วนกุศลท่ีได้จากการทํา สมาธินนั้ ให้กบั เจ้ากรรมนายเวร ผ้มู ีพระคณุ และสรรพสตั ว์ทงั้ หลาย (ระลกึ ให้ด้วยใจ) แล้วหายใจ ยาวๆ ลึกๆ สัก 3 รอบ พร้อมกบั ค่อยๆ ถอนความรู้สกึ จากสมาธิช้าๆ เสร็จแล้วคอ่ ยๆ ลืมตา ขนึ ้ บดิ เนือ้ บดิ ตวั คลายความปวดเมื่อย แล้วจงึ คอ่ ยๆ ลกุ ขนึ ้ ยืนช้าๆ15.) เม่ือตงั้ ใจจะทําสมาธิให้จริงจงั ควรงดเว้นจากการพดู คุยให้มากท่ีสดุ เว้นแตเ่ พ่ือให้คลายความ สงสยั ที่ค้างคาอยใู่ นใจ เพราะการคยุ กนั นนั้ จะทาให้จิตฟ้ ุงซ่าน คอื ในขณะคุยกนั ก็มีโอกาสทําให้ เกิดกิเลสขนึ ้ มาได้ ทําให้จิตหยาบกระด้างขนึ ้ และเม่ือทาสมาธิก็จะเก็บมาคิด ทําให้ทําสมาธิได้ยาก ขนึ ้ โดยเฉพาะการคยุ กบั คนที่สมาธิน้อยกวา่ เรา นอกจากนี ้ ควรเว้นจากการร้องรําทําเพลง การฟังเพลง รวมถงึ การดกู ารละเลน่ ทงั้ หลาย เพราะสง่ิ เหลา่ นีจ้ ะเพ่มิ กามฉันทะ ซงึ่ เป็นนวิ รณ์ชนิดหนงึ่ (ดเู ร่ืองนิวรณ์ 5 และวิธีแก้ไข ในหมวด สมถกรรมฐาน (สมาธิ) ประกอบ) อนั เป็นอปุ สรรคตอ่ การทําสมาธิ ธมั มโชติ 17 มกราคม 2544
สมาธิ 11สมาธิ 40 วธิ ี สง่ิ ท่ีใช้ในการยึดจติ ในการทําสมาธิ ท่ีเรียกว่าอารมณ์ของสมาธินนั้ ในทางพระพทุ ธศาสนา อาจารย์ในสมยั โบราณได้รวบรวมไว้ได้ถงึ 40 อย่าง แยกเป็นกล่มุ ได้ดงั นีค้ ือกสณิ 10 ประกอบด้วย 1. กสิณดนิ คือการเพง่ ดนิ ท่ีนํามาปัน้ เป็ นวงกลม(แบน) เส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณเทา่ กบั ความยาว ของใบหน้าของผ้ปู ฏิบตั ิ โดยทําความรู้สกึ ถงึ ความแขง็ ของดนิ ไมใ่ ชเ่ พง่ ท่ีสีของดินนนั้ เพราะจะ กลายเป็ นกสิณสีตา่ งๆ แทน 2. กสิณนา้ คือการเพง่ นํา้ ท่ีบรรจใุ นภาชนะปากกลม เส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณเทา่ กบั ความยาวของ ใบหน้าของผ้ปู ฏิบตั ิ 3. กสิณไฟ คอื การเพง่ เปลวไฟผา่ นชอ่ งที่มีเส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณเทา่ กบั ความยาวของใบหน้าของผู้ ปฏิบตั ิ โดยทําความรู้สึกถงึ ความร้อนของไฟ 4. กสิณลม คือการเพง่ อาการเคล่ือนไหวของใบไม้ กิ่งไม้ท่ีถกู ลมพดั 5. กสณิ สีเขียว คอื การเพง่ วตั ถสุ ีเขียว เชน่ กระดาษสีเขียว ท่ีเป็ นวงกลม เส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณ เทา่ กบั ความยาวของใบหน้าของผ้ปู ฏิบตั ิ โดยทําความรู้สกึ ถงึ สีเขียวที่ปรากฏ 6. กสิณสีเหลือง คือการเพง่ วตั ถสุ ีเหลือง เชน่ กระดาษสีเหลือง ที่เป็นวงกลม เส้นผา่ ศนู ย์กลาง ประมาณเทา่ กบั ความยาวของใบหน้าของผ้ปู ฏิบตั ิ 7. กสณิ สีแดง คอื การเพง่ วตั ถสุ ีแดง เชน่ กระดาษสีแดง ที่เป็นวงกลม เส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณเทา่ กบั ความยาวของใบหน้าของผ้ปู ฏิบตั ิ 8. กสณิ สีขาว คือการเพง่ วตั ถสุ ีขาว เชน่ กระดาษสีขาว ที่เป็นวงกลม เส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณเทา่ กบั ความยาวของใบหน้าของผ้ปู ฏิบตั ิ 9. กสณิ แสงสว่าง คือการเพง่ แสงสวา่ งที่ลอดช่องหลงั คาลงมากระทบพืน้ หรือฝาผนงั เป็นวงกลม หรือ อาจจะประยกุ ต์ใช้แสงอยา่ งอื่นก็ได้ โดยทําความรู้สกึ ถึงความสว่าง ไมใ่ ชเ่ พง่ ท่ีสีของแสงนนั้ 10. อากาสกสิณ (ชอ่ งวา่ ง) คือการเพง่ ช่องว่างตา่ งๆ เชน่ ชอ่ งวา่ งในกรอบหน้าตา่ ง ประตูอสุภะ 10 คือการเพง่ ซากศพชนดิ ตา่ งๆ มีข้อดีคือ ภาพจะตดิ ตาได้ง่ายมาก และจะได้เตือนใจถงึ ความตายที่อาจเกิดขนึ ้ ได้ตลอดเวลา ประกอบด้วย 1. ศพขนึ ้ อืด 2. ศพที่เปล่ียนสภาพเป็นสีเขียวคลํา้ ปนกบั สีอื่นๆ 3. ศพที่มีนํา้ เหลืองไหลเยมิ ้
สมาธิ 124. ศพท่ีขาดเป็น 2 ทอ่ น5. ศพท่ีถกู สตั ว์กดั กินแล้ว6. ศพท่ีขาดกระจยุ กระจาย มือ เท้า ศรี ษะแยกขาดไปอยขู่ ้างๆ7. ศพที่ถกู สบั เป็นทอ่ นๆ กระจดั กระจาย8. ศพท่ีมีเลือดอาบ9. ศพท่ีถกู หนอนชอนไชเตม็ ไปหมด10. ศพท่ีเหลือแตก่ ระดกูอนุสติ 10 ประกอบด้วย 1. พุทธานุสติ คือการระลกึ ถงึ คณุ ของพระพทุ ธเจ้า ด้วยความรู้สกึ เล่ือมใส ศรัทธา 2. ธัมมานุสติ คอื การระลกึ ถงึ คณุ ของพระธรรม ด้วยความรู้สกึ เล่ือมใส ศรัทธา 3. สังฆานุสติ คือการระลกึ ถึงคณุ ของพระอริยสงฆ์ ด้วยความรู้สกึ เล่ือมใส ศรัทธา 4. สีลานุสติ คอื การระลกึ ถึงความบริสทุ ธ์ิของศีลของตนเอง ด้วยความอ่ิมเอิบใจ พร้อมด้วยการ พิจารณาถงึ อานสิ งส์ตา่ งๆ ที่จะได้รับจากความบริสทุ ธิ์ของศีลนนั้ 5. จาคานุสติ คอื การระลกึ ถึงการให้ทานที่ตนได้ทําไปแล้ว ด้วยความอม่ิ เอิบใจ พร้อมด้วยการพิจารณา ถึงอานสิ งส์ตา่ งๆ ที่จะได้รับจากการให้ทานนนั้ 6. เทวตานุสติ คือการพิจารณาถงึ บญุ กศุ ลตา่ งๆ ที่ทําให้เกิดเป็ นเทวดา แล้วระลกึ ถึงบญุ กศุ ลตา่ งๆ ที่ ตนได้ทําไว้แล้ว อนั จะสง่ ผลให้ได้เกิดเป็นเทวดา 7. มรณานุสติ คือการระลกึ ถึงความตายที่ต้องมีขนึ ้ เป็นธรรมดา โดยไมร่ ู้วา่ จะช้าหรือเร็วเทา่ ใด จะได้ไม่ ประมาทในการรีบทําบญุ กศุ ลตา่ งๆ รวมทงั้ มีความเพียรในการทํากรรมฐาน คือสมาธิ และวิปัสสนา เพ่ือให้ พร้ อมสําหรับความตาย 8. กายคตาสติ คอื การพิจารณาถงึ ร่างกายวา่ ประกอบไปด้วยสว่ นตา่ งๆ เชน่ ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนงั , เนือ้ , เอน็ , กระดกู ฯลฯ เตม็ ไปด้วยของไมส่ ะอาด นา่ เกลียด ไมส่ วยงาม เป็นที่เกิดของโรคนานา ชนดิ ไมน่ า่ รักนา่ ใคร่ เพื่อไมใ่ ห้ลมุ่ หลงมวั เมาในกาย 9. อานาปานสติ คอื การเพง่ ลมหายใจเข้าออก 10. อุปสมานุสติ คือการระลกึ ถึงคณุ ของพระนิพพานอัปปมัญญา 4 คอื การแผค่ วามรู้สกึ ออกไปโดยไม่มีประมาณ ประกอบด้วย 1. เมตตา คอื ความปรารถนาให้ผ้อู ่ืนมีความสขุ 2. กรุณา คือความปรารถนาให้ผ้อู ่ืนพ้นจากความทกุ ข์ 3. มุทติ า คือความยินดีที่ผ้อู ่ืนมีความสขุ
สมาธิ 13 4. อุเบกขา คือความรู้สึกที่ไมย่ ดึ มนั่ ถือมนั่ ในความสขุ ความทกุ ข์ของผ้อู ื่น เพราะเห็นวา่ เป็นเร่ืองธรรมดา ของชีวติ สตั ว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม จงึ ทําลายความยนิ ดียินร้าย ความชอบความชงั ลงได้ วางจติ ให้เป็นกลาง ไมฟ่ ไู มแ่ ฟบ ไม่กระเพ่อื มหว่ันไหว สงบนง่ิ อยู่อ่ืนๆ อีก 2 อยา่ งคือ 1. อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือการพจิ ารณาถึงความเป็นปฏิกลู นา่ รังเกียจ ของอาหารที่รับประทานเข้า ไป พจิ ารณาถึงการแปรสภาพของอาหาร ตงั้ แตถ่ กู เคยี ้ ว คลกุ เคล้ากบั นํา้ ลายอยใู่ นปาก ผา่ นไปยงั กระเพาะ ลําไส้เลก็ ลําไส้ใหญ่ จนกระทง่ั ออกมาจากร่างกายอีกครัง้ ด้วยสภาพท่ีบดู เนา่ นา่ รังเกียจ เพ่ือประโยชน์ในการไม่ตดิ ในรสอาหาร รวมถงึ ป้ องกนั กิเลสตวั อื่นๆ ที่จะเกิดจากอาหาร 2. จตุธาตุววัฏฐาน คือการพิจารณาร่างกายของตนวา่ เป็นเพียงธาตุ 4 คือ ดนิ , นํา้ , ไฟ, ลม เทา่ นนั้ ปราศจากความเป็ นสตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เราเขา เพ่ือขจดั ความยดึ มนั่ ถือมน่ัอรูปสมาบัติ 4 คอื การใช้ส่งิ ที่ไมใ่ ชร่ ูปธรรมเป็นเครื่องยดึ จิต เป็นสมาธิขนั้ สูงกว่าขนั้ ท่ีกลา่ วมาแล้วทงั้ หมด(ซงึ่ เป็นรูปสมาบัติ) ประกอบด้วย 1. อากาสานัญจายตนะ คือการเพง่ ช่องว่างที่กว้างใหญ่หาท่ีสดุ ไมไ่ ด้ ซง่ึ เกิดจากการเพกิ รูปธรรม (เชน่ นิมิตตา่ งๆ ที่ใช้ยดึ จิตในรูปสมาบตั ิ) ออกไป ในชนั้ อรูปสมาบตั นิ ี ้ จะพ้นจากความยนิ ดีพอใจใน รูปธรรมทงั้ ปวง ยินดีพอใจเฉพาะในนามธรรมเทา่ นนั้ 2. วญิ ญาณัญจายตนะ คือการเพง่ หรือทําความรู้สึกไปที่วิญญาณหรือจิต ท่ีแผอ่ อกไปรับรู้ความรู้สกึ ในชอ่ งวา่ งท่ีกว้างใหญ่ไพศาลในขนั้ อากาสานญั จายตนะนนั้ จิตจะละเอียด ประณีตกว่าอากาสานญั จายตนะ 3. อากญิ จัญญายตนะ คือการทําความรู้สกึ ถึงความไม่มีอะไรเลย หลงั จากเพิกวิญญาณญั จายตนะ ออกไป จิตจงึ ละเอียดประณีตขนึ ้ ไปอีก 4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ คือความรู้สกึ ที่เหลืออยนู่ ้อยมาก จนแทบไม่รู้สึกตัวเลย หลงั จากเพกิ ความรู้สกึ ในอากิญจญั ญายตนะออกไป เป็ นจิตท่ีละเอียด ประณีตท่สี ุดท่ปี ุถุชน โสดาบัน และ สกทาคามีบุคคลจะทาได้ (อนาคามีบคุ คล และพระอรหนั ตจ์ ะทําได้ถึงขนั้ หมดความรู้สกึ ตวั อยา่ งสิน้ เชิง ท่ีเรียกวา่ นิโรธ สมาบัติ หรือสัญญาเวทยติ นิโรธ) ผ้รู วบรวม ธมั มโชติ 11 ธนั วาคม 2543
สมาธิ 14พุทธานุสติ พทุ ธานุสติ เป็นการทําสมาธิวิธีหนง่ึ โดยการน้อมจิตระลึกถงึ คุณของพระพุทธเจ้า ด้วยความรู้สกึเล่ือมใส ศรัทธา เพื่อให้จิตรวมเป็นหนง่ึ คอื คดิ ถงึ เร่ืองคณุ ของพระพทุ ธเจ้าเพียงอยา่ งเดียว ไมค่ ดิ วอกแวกถงึเรื่องอ่ืน จิตจงึ เป็นสมาธิขนึ ้ มาได้ ผลจากการระลกึ ฯ ท่ีสําคญั อีกอยา่ งหนง่ึ ก็คอื จะเป็นการปรับสภาพจติ ให้ประณีตขนึ้ อย่างรวดเร็วโดยจะทําให้จิตเข้าสรู่ ะดบั มหากุศลขัน้ พนื้ ฐาน อนั เนื่องมาจากความรู้สกึ เลื่อมใส ศรัทธานนั่ เอง (ดเู ร่ืองลาดบั ขัน้ ของจิต ในหมวดบทวิเคราะห์ ประกอบ) อนั จะสง่ ผลให้สมาธิเกิดได้ง่ายขนึ้ การระลกึ ถึงคณุ ของพระพทุ ธเจ้านนั้ เชน่ การระลกึ ตามบทสวดมนตภ์ าษาบาลีท่ีวา่ \" อติ ปิ ิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวทิ ู อะนุตตะโร ปุริสะทมั มะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ \" หรือจะระลกึ ตามคําแปลของบท\"อติ ปิ ิ โส\"นี ้ท่ีแปลวา่ \" เพราะเหตุอย่างนีๆ้ พระผู้มีพระภาคเจ้านัน้ เป็ นผู้ไกลจากกเิ ลส เป็ นผู้ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็ นผู้ถงึ พร้อมด้วยวิชชา และจรณะ* เป็ นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็ นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็ นผู้สามารถฝึ กบุรุษท่ีสมควรฝึ กได้อย่างไม่มีใครย่งิ กว่า เป็ นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทงั้ หลายเป็ นผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็ นผู้มีความจาเริญจาแนกธรรมส่ังสอนสัตว์ ดงั นี้ \" หรืออาจจะระลกึ เพียงสนั้ ๆ ว่า \"พุทโธ\" ซํา้ ไปเรื่อยๆ ก็ได้ การจะระลกึ ว่าอะไรนัน้ ไม่สาคัญนัก ท่สี าคัญคือ จะต้องระลกึ พร้อมด้วยความรู้สึกเล่ือมใสศรัทธาในพระพุทธเจ้าเป็ นหลัก ในทางกลบั กนั ถึงแม้จะระลกึ ด้วยบทที่กลา่ วมาแล้ว หรือด้วยบทใดๆ ก็ตาม แต่ไม่ได้ประกอบด้วยความรู้สึกเล่ือมใส ศรัทธาในพระพุทธเจ้า ก็จะไม่จัดว่าเป็ นพุทธานุสตเิ ลยจรณะ = เคร่ืองดําเนิน ประดจุ เท้า คอื ศลี และวตั รข้อปฏิบตั ิตา่ งๆ อนั หมดจดงดงาม ไมด่ า่ งพร้อย ที่พระพทุ ธเจ้าทรงใช้ในการดําเนนิ ชีวิตประจําวนั นน่ั เอง ธมั มโชติ 26 กมุ ภาพนั ธ์ 2544
สมาธิ 15อานาปานสติ อานาปานสติ ก็เป็นการทําสมาธิอีกวิธีหนงึ่ โดยหลกั การท่ีสําคญั ก็คือการเพ่งลมหายใจเข้าออกคอื จะรวมจิตไว้ที่การรับรู้ลมหายใจเข้าออก เพ่ือไมใ่ ห้จิตซดั สา่ ยคดิ ไปในเรื่องตา่ งๆ โดยปรกตแิ ล้วจะยดึ จิตไว้ที่ปลายจมูกหรือริมฝี ปากด้านบน ตรงจดุ ที่รู้สกึ ถงึ การกระทบ ของลมหายใจ ท่ชี ัดเจนท่สี ุด (อาจารย์บางทา่ นแนะนําวา่ ผู้ชายให้ยดึ จิตไว้ท่ีจดุ กระทบของลมหายใจจากรูจมกู ข้างขวา สว่ นผู้หญิงให้ยดึ จิตไว้ที่จดุ กระทบของลมจากรูจมกู ข้างซ้าย) แล้วคอยสังเกตลักษณะของลมหายใจอยทู่ ่ีจดุ นนั้ โดยไม่ต้องเล่ือนจิตตามลมหายใจ เหมือนเวลาเล่ือยไม้ ตาก็มองเฉพาะที่จดุ ที่เล่ือยสมั ผสั กบั ไม้เพียงจดุ เดียว ไมต่ ้องมองตามใบเล่ือย ก็จะรู้ได้วา่ ตอนนี ้กําลงั เล่ือยเข้าหรือเล่ือยออก เม่ือจติ อยทู่ ่ีจดุ ลมกระทบเพียงจดุ เดยี ว ก็จะรู้ทิศทาง และลกั ษณะของลมได้เชน่ กนั การสงั เกตนนั้ คือสงั เกตวา่ กําลงั หายใจเข้าหรือออก ลมหายใจยาวหรือสัน้ ลมหายใจเยน็ หรือร้อนลมหายใจหยาบหรือละเอียด (ดเู ร่ืองอานาปานสตสิ ูตร ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบ) พร้อมกนั นนั้ ก็มีคาบริกรรมประกอบไปด้วย เชน่ หายใจเข้าบริกรรมวา่ พุท หายใจออกบริกรรมวา่ โธหรืออาจจะบริกรรมตามลกั ษณะของลมหายใจในขณะนนั้ เชน่ เข้า-ออก หรือ ยาว-สัน้ หรือ เยน็ -ร้อนหรืออาจจะใช้วิธีการนับเลข 1 - 10 ก็ได้ ( ดเู ร่ืองนิวรณ์ 5 และวธิ ีแก้ไข ในหมวดสมถกรรมฐาน(สมาธิ) ประกอบ ในตอนกลางๆ คอ่ นไปทางท้าย เก่ียวกบั วธิ ีแก้ไขอทุ ธจั จกกุ กจุ จะ จะมีคําอธิบายวิธีนบั ลมหายใจอธิบายเอาไว้อยา่ งละเอียด ) ธมั มโชติ 26 กมุ ภาพนั ธ์ 2544 จริต 6 คาํ วา่ จริยา หมายถึงลกั ษณะอนั เป็นพืน้ ฐานของจติ หรือนสิ ยั อนั เป็นพืน้ เพของบคุ คลแตล่ ะคน คาํ วา่ จริต ใช้เรียกบคุ คลที่มีจริยาอยา่ งนนั้ ๆ เชน่ คนมีโทสจริยา เรียกวา่ โทสจริตจริตนนั้ แบง่ เป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 6 ประเภท หรือ 6 จริต คอื 1.) ราคจริต คือผ้มู ีปกตนิ สิ ยั หนกั ไปทางราคะ รักสวยรักงาม ละมนุ ละไม ชอบสิ่งท่ีสวยๆ เสียงเพราะๆ กล่นิ หอมๆ รสอร่อยๆ สมั ผสั ที่นมุ่ ละมนุ และจติ ใจจะยึดเกาะกบั ส่งิ เหลา่ นนั้ ได้เป็ นเวลานานๆ
สมาธิ 16 2.) โทสจริต คือผ้มู ีปกตนิ ิสยั หนกั ไปทางโทสะ ใจร้อน ววู่ าม หงดุ หงิดง่าย อารมณ์รุนแรง โผงผาง เจ้า อารมณ์ 3.) โมหจริต คอื ผ้มู ีปกตนิ สิ ยั หนกั ไปทางโมหะ เขลา เซ่ืองซมึ เช่ือคนงา่ ย งมงาย ขาดเหตผุ ล มองอะไร ไมท่ ะลปุ รุโปร่ง 4.) วิตักกจริต หรือวิตกจริต คือผ้มู ีปกตนิ ิสยั หนกั ไปทางฟ้ งุ ซา่ น คดิ เรื่องนีท้ ีเร่ืองนนั้ ที เปล่ียนไปเปลี่ยน มา ไมส่ ามารถยึดเกาะกบั เร่ืองใดเรื่องหนงึ่ ได้นานๆ วติ ก แปลวา่ การยกจิตขนึ ้ สอู่ ารมณ์ หรือการเพง่ จิตสคู่ วามคดิ ในเร่ืองตา่ งๆ ไมไ่ ด้หมายถึง ความกงั วลใจ วติ กจริตจงึ หมายถงึ ผ้ทู ่ีเดี๋ยวยกจิตสเู่ ร่ืองโน้น เดื๋ยวยกจิตสเู่ รื่องนี ้ ไม่ตงั้ มนั่ ไมม่ นั่ คง นนั่ เอง 5.) ศรัทธาจริต หรือสัทธาจริต คือผ้มู ีปกตนิ ิสยั หนกั ไปทางศรัทธา น้อมใจเชื่อ เลื่อมใสได้งา่ ย ซง่ึ ถ้า เลื่อมใสในส่ิงที่ถกู ก็ย่อมเป็นคณุ แตถ่ ้าไปเล่ือมใสในสิ่งที่ผดิ ก็ย่อมเป็นโทษ ตา่ งจากโมหจริตตรงท่ีโมหจริตนนั้ เช่ือแบบเซื่องซมึ สว่ นศรัทธาจริตนนั้ เชื่อด้วยความเลื่อมใส เบกิ บานใจ 6.) ญาณจริต หรือพุทธิจริต คือผ้มู ีปกตนิ สิ ยั หนกั ไปทางชอบคิด พจิ ารณาด้วยเหตผุ ลอยา่ งลกึ ซงึ ้ ชอบ ใช้ปัญญาพิจารณาตามความเป็นจริง ไมเ่ ช่ืออะไรโดยไมม่ ีเหตผุ ล โดยความเป็นจริงแล้ว คนเรามกั มีจริตมากกวา่ 1 อยา่ งผสมกนั เชน่ ราคโทสจริต ราคโมหจริต โทสโมหจริต ราคโทสโมหจริต สทั ธาพทุ ธิจริต สทั ธาวติ กจริต พทุ ธิวติ กจริต สทั ธาพทุ ธิวิตกจริต เป็ นต้น เม่ือรวมกบัจริตหลกั 6 ชนดิ จงึ ได้เป็ นบคุ คล 14 ประเภท หรือ 14 จริต ซงึ่ บุคคลแต่ละจริตกเ็ หมาะท่จี ะทากรรมฐานแต่ละชนิดแตกต่างกันออกไป ธมั มโชติ 1 กนั ยายน 2544
สมาธิ 17 กรรมฐานสาหรับแต่ละจริตยอ่ ความจากพระไตรปิฎก : พระสตุ ตนั ตปิฎก เลม่ 21 ขทุ ทกนิกาย มหานทิ เทส สาริปตุ ตสตุ ตนิทเทสในพระสตู รนี ้ท่านพระสารีบตุ รได้กลา่ วถึงพระพทุ ธเจ้าเอาไว้ ดงั นี ้ [๘๘๑] ... [๘๘๙] ...... พระผ้มู ีพระภาคยอ่ มทรงทราบวา่ บคุ คลนีเ้ป็นราคจริต บคุ คลนีเ้ป็นโทสจริต บคุ คลนี ้เป็นโมหจริต บคุ คลนีเ้ป็นวติ กั กจริต บคุ คลนีเ้ป็นศรัทธาจริต บคุ คลนีเ้ป็นญาณจริต. พระผ้มู ีพระภาคยอ่ มตรัสบอกอสภุ กถาแกบ่ คุ คลผ้เู ป็นราคจริต. ยอ่ มตรัสบอกเมตตาภาวนาแก่บคุ คลผ้เู ป็นโทสจริต. ทรงแนะนําบคุ คลผ้เู ป็นโมหจริตให้ตงั้ อยใู่ นการเรียน ในการไตถ่ าม ในการฟังธรรมตามกาลอนั ควร ในการสนทนาธรรมตามกาลอนั ควร ในการอยรู่ ่วมกบั ครู. ยอ่ มตรัสบอกอานาปานสตแิ ก่บคุ คลผ้เู ป็นวิตักกจริต. ยอ่ มตรัสบอกพระสตู รอนั เป็นนมิ ิตดี ความตรัสรู้ดแี หง่ พระพทุ ธเจ้า ความเป็นธรรมดีแหง่ พระธรรมความปฏิบตั ิดีแหง่ พระสงฆ์ และศีลทงั้ หลายของตน อนั เป็นท่ีตงั้ แหง่ ความเลื่อมใส แก่บคุ คลผ้เู ป็นศรัทธาจริต. ยอ่ มตรัสบอกธรรมอนั เป็นนมิ ิตแหง่ วิปัสสนา ซง่ึ มีอาการไมเ่ ท่ียง มีอาการเป็ นทกุ ข์ มีอาการเป็นอนตั ตาแก่บคุ คลผ้เู ป็นญาณจริต.วิเคราะห์/เพ่มิ เตมิ 1.) การเจริญสมถกรรมฐานนนั้ มีหลายวธิ ี ในพระพทุ ธศาสนานนั้ ได้รวบรวมเอาไว้ได้ถงึ 40 วธิ ี (ขอให้ดู รายละเอียดในเรื่องสมาธิ 40 วิธี ในหมวดสมถกรรมฐาน (สมาธิ) ประกอบ) ซงึ่ กรรมฐานแต่ ละชนิดนนั้ ก็เหมาะสมกบั แตล่ ะบคุ คลแตกตา่ งกนั ไป ทงั้ นีย้ อ่ มขนึ ้ อยกู่ บั จริต พืน้ ฐาน ประสบการณ์ สงิ่ แวดล้อม เวลา โอกาส และบญุ บารมีที่เคยสงั่ สมมาของแตล่ ะคน การเจริญกรรมฐานท่ีเหมาะสม กบั ตน ยอ่ มมีความเจริญก้าวหน้าได้รวดเร็วกวา่ กรรมฐานชนดิ อ่ืน 2.) ผ้เู ป็นราคจริตนนั้ เป็นผ้ทู ี่มีกิเลสหนกั ไปทางด้านราคะ คอื ความเพลิดเพลนิ ยินดี ซงึ่ เป็นโลภะชนิด หนง่ึ พระพทุ ธเจ้าจงึ ทรงให้กรรมฐานที่เป็ นปฏิปักษ์กนั คอื อสภุ กรรมฐาน คือให้พิจารณาถึงความไม่ สวยไมง่ าม เป็นของเนา่ เหม็น นา่ รังเกียจของส่งิ ตา่ งๆ ตลอดไปจนถึงซากศพ ซง่ึ เป็นสภาพท่ีจะต้อง เกิดขนึ ้ กบั สิง่ มีชีวติ ทงั้ หลายในอนาคต อยา่ งหลีกเล่ียงไมไ่ ด้ เพ่ือลดกิเลสด้านนีล้ งไป 3.) ผ้เู ป็นโทสจริตนนั้ เป็นผ้ทู ี่มีจติ ใจเร่าร้อน มกั โกรธ ขดั เคืองใจได้งา่ ย พระพทุ ธเจ้าจงึ ทรงให้เจริญ เมตตาภาวนา คือการแผเ่ มตตา ปรารถนาให้ผ้อู ่ืนมีความสขุ ออกไปในทิศตา่ งๆ อย่างไมม่ ีประมาณ ซง่ึ เป็นสภาวจติ ท่ีตรงข้ามกบั โทสะ เพื่อปรับพืน้ ฐานจิตให้เยน็ ขนึ ้
สมาธิ 18 4.) ผ้เู ป็นวิตกั กจริตนนั้ จิตใจมกั ซดั สา่ ยไปมาอยเู่ สมอ จงึ ทรงให้อานาปานสติ คอื ให้ใช้ลมหายใจเป็น เครื่องยดึ จติ เอาไว้ ไมใ่ ห้ซดั ส่าย 5.) ท่ีกลา่ วถงึ ในพระสตู รนี ้ เป็นการให้กรรมฐานตามจริต แตค่ วามเหมาะสมของกรรมฐานสําหรับแตล่ ะ บคุ คลนนั้ นอกจากเร่ืองของจริตแล้ว ก็ยงั มีเหตปุ ัจจยั ในด้านอ่ืนๆ อีก ดงั ที่กลา่ วแล้วในข้อ 1. ดงั นนั้ ชนิดของกรรมฐานจงึ มีมากกวา่ ที่กลา่ วถึงในพระสตู รนี ้ ผ้รู วบรวม ธมั มโชติ 8 กนั ยายน 2544 น่ังแล้วตวั ส่ันและขาขยับได้เอง ผ้สู นใจทา่ นหนงึ่ ได้ถามปัญหาเกี่ยวกบั เร่ืองนี ้ ทางผ้ดู าํ เนินการเห็นวา่ นา่ จะเป็ นประโยชน์ แกท่ า่ นอื่นๆด้วย จงึ ขออนญุ าตนํามาลงเอาไว้ ณ ท่ีนี ้ดงั นี ้คาถามSent: Sunday, March 03, 2002 8:02 PMSubject: ถามเรื่องการปฏิบตั สิ มาธิสวสั ดคี รับ ผมช่ือ ..... ท่ีเคยเขียนมาถามเรื่องการปฏิบตั สิ มาธิ ครัง้ นีก้ ็เหมือนกนั ครับ เม่ือผมนง่ั สมาธิมนั จะมีอาการที่เกิดขนึ ้ กบั ร่างกายแตล่ ะครัง้ ไมเ่ หมือนกนั เลยครับ ไมท่ ราบวา่ เป็นเพราะอะไร ครัง้ นีท้ ี่ผมทํามนั มีอาการแปลกๆ ครับ คือขณะท่ีนง่ั ไปได้ไมน่ านนกั จะมีอาการสน่ั ของร่างกายเกิดขนึ ้ นานพอสมควรหลงั จากนนั้ จะเกิดอาการเกร็งของกล้ามเนือ้ ขา(คล้ายกบั เป็นตะคริว) หลงั จากนนั้ ขาก็เหยียดออกและหดเข้า จากนงั่ สมาธิขาขวาทบั ขาซ้าย เปล่ียนไปเป็ นนงั่ สมาธิทา่ อ่ืนๆ ซง่ึ มนั เกิดการเปล่ียนแปลงไปหลายทา่ ซง่ึ มนั ทําให้ผมเสียสมาธิพอสมควร แตผ่ มก็พยายามกําหนดพทุ โธไว้ ไมท่ ราบวา่ อาการเหลา่ นีเ้กิดจากอะไร และมีวธิ ีแก้ไขอยา่ งไร สง่ มาท่ี ..... นะครับ ขอบคณุ ครับ
สมาธิ 19ตอบสวสั ดีครับ คณุ .....ขอบคณุ ครับท่ีให้ความสนใจเว็บไซต์ ธมั มโชติ ความจริงอาการที่เลา่ มานนั้ ก็คืออาการที่รูปนามกําลงั แสดงธรรมชาตขิ องมนั ให้เห็นนนั่ แหละครับ คือแสดงให้เหน็ ถงึ ความไมเ่ ท่ียง ความแปรปรวนไป ความไม่อยใู่ นอํานาจของใคร ไมเ่ ป็นไปตามที่ใจปรารถนา ยดึมน่ั ถือมนั่ ไมไ่ ด้ ฯลฯ (ดเู ร่ืองรูปนามกาลังแสดงธรรมชาตใิ ห้เหน็ ในหมวดวปิ ัสสนา (ปัญญา) ประกอบ) ส่ิงท่ีควรทําตอ่ ไปก็คอื *** อย่าตกใจ อย่ากลัว อย่ากังวลใดๆ ทงั้ สนิ้ *** เพราะการทําสมาธิหรือวิปัสสนาก็ตาม จะมีสิง่ แปลกๆ เกิดขนึ ้ ได้เสมอ บางครัง้ อาจจะแปลกอยา่ งไมน่ า่ เป็นไปได้เลยก็ได้ ถ้าไม่หายกลวั จริงๆ ก็หยดุ นงั่ กอ่ น แล้วไหว้พระสวดมนต์ ขอให้ส่งิ ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ค้มุ ครองเพ่ือเป็นกําลงั ใจ เพราะถ้านง่ัด้วยความกลวั อาจเสียสตไิ ด้ (ถ้านงั่ ไมไ่ ด้ก็ใช้วิธีเดนิ จงกรมไปก่อน อยา่ ฝื นนง่ั ด้วยความกลวั หรืออาจนง่ั โดยมีเพ่ือนอยใู่ กล้ๆ ด้วย) เมื่อหายกลวั แล้วจงึ นง่ั ตอ่ ไป แล้วก็รับรู้ตามสภาพที่ปรากฏในขณะนนั้ อาจใช้คาํ บริกรรมประกอบตามอาการท่ีกําลงั เกิดขนึ ้ นนั้ ด้วย (เชน่ สนั่ เหยียดขา ฯลฯ เพื่อเพิ่มความหนกั แนน่ ของจติ และสติ) แล้วก็คอยดูคอยสงั เกตมนั ตอ่ ไปเร่ือยๆ มนั ก็จะแสดงธรรมชาตขิ องมนั ออกมาเรื่อยๆ ตอ่ ไปอีก ที่สําคญั อีกอยา่ งคือต้องมีสตใิ ห้ม่ันคง อยา่ เผลอ ถ้ามีอาการทางกาย วาจา หรือทางใจอยา่ งไรเกิดขนึ ้ (ทงั้ ในขณะทํากรรมฐาน และเวลาอ่ืนๆ) ก็ให้มีสตยิ งั้ คิด พิจารณาวา่ สงิ่ นนั้ สมควรหรือไม่ ถ้าสมควรทําก็ทํา ถ้าไมส่ มควรก็อยา่ เผลอปล่อยกาย ปลอ่ ยใจไปตามนนั้ (เชน่ ถ้าคดิ วา่ ยงั ไมค่ วรเหยียดขาก็อยา่ เหยียดออกไป) ถ้าห้ามไมไ่ ด้จริงๆ ก็หยดุ พกั จากการนงั่ สมาธิในครัง้ นนั้ ก่อน แล้วเดินจงกรมแทน โดยมีสตอิ ยทู่ ี่การเคล่ือนไหวของเท้า ซงึ่ จะเรียกสตไิ ด้ง่ายกว่าการนงั่ สมาธิ (ถ้าเผลอปล่อยให้เป็นไปโดยขาดสติ จะถกู จติ ใต้สํานกึ หรืออะไรก็แล้วแตค่ รอบงําเอาได้ แล้วตอ่ ไปจะแก้ได้ยาก อาจถึงขนั้ เพีย้ นได้ง่ายๆ) อาการสนั่ ของร่างกายนนั้ เมื่อเกิดขนึ ้ ก็ขอให้ทําความรู้สกึ ตวั ไปทวั่ ร่างกาย (มีสมั ปชญั ญะ)โดยเฉพาะจดุ ท่ีสนั่ นนั้ พร้อมกบั มีสติประกอบด้วย แล้วทําความรู้สกึ ผอ่ นคลายท่ีกล้ามเนือ้ สว่ นท่ีสนั่ นนั้ อยา่ ให้กล้ามเนือ้ เกร็ง แล้วประคองสตเิ อาไว้ให้ได้ตลอด อยา่ เผลอปลอ่ ยกายใจไปโดยไมไ่ ด้พิจารณาว่าควรหรือไม่ควร อยา่ ปลอ่ ยให้จิตใต้สํานึก หรือส่ิงใดมาครอบงําจติ ได้ ถ้าไมห่ ายก็ลืมตาสกั พกั หรืออาจต้องเดนิ จงกรมสลบั เป็ นชว่ งๆ (กอ่ นนงั่ ทกุ ครัง้ ควรเดนิ จงกรมเพ่ือฝึกสตกิ อ่ น) ถ้าอาการลกั ษณะนีเ้กิดขนึ ้ อยา่ ได้เสียดายสมาธิครับ ต้องรีบเพมิ่ กําลงั ของสตกิ ่อน กอ่ นที่จะมีปัญหาอ่ืนตามมา เพราะอาการเชน่ นีม้ กั เกิดจากการที่สตมิ ีกาลังอ่อนกว่าสมาธิ จนตามสมาธิไมท่ นั ต้องฝึกสตโิ ดยเดนิ จงกรมให้มากๆ ครับ รวมทงั้ ในชีวติ ประจําวนั ก็ควรกําหนดรู้ในทกุ อิริยาบถที่กระทํา และมีสตยิ งั้ คดิ
สมาธิ 20พจิ ารณาวา่ ควรหรือไมค่ วรก่อนพดู ทํา คดิ ในสิ่งตา่ งๆ และคอยห้ามใจไมใ่ ห้เผลอกระทําในส่งิ ท่ีไมส่ มควร ก็จะเพ่ิมกําลงั ของสตไิ ด้มาก เพ่ือปรับอินทรีย์ให้สมดลุ กนั (อนิ ทรีย์ 5 คือ ศรัทธา วริ ิยะ สติ สมาธิ ปัญญา ถ้าสมดลุ กนั แล้วกรรมฐานก็จะเจริญก้าวหน้าได้ดี) ถ้ายงั ไมก่ ระจา่ ง หรือมีข้อสงสยั อะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหมน่ ะครับ ไมต่ ้องเกรงใจ (ยนิ ดีมากครับท่ีมีคนสนใจทํากรรมฐานกนั มากๆ) ธมั มโชติ 9 มีนาคม 2545 น่ังสมาธิแล้วเกิดปิ ติ ผ้สู นใจทา่ นหนง่ึ ได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกบั เรื่องนี ้ ทางผ้ดู าํ เนนิ การเห็นวา่ นา่ จะเป็ นประโยชน์ แก่ทา่ นอ่ืนๆ ด้วย จงึ ขออนญุ าตนํามาลงเอาไว้ ณ ท่ีนี ้ดงั นี ้คาถาม นงั่ สมาธิแล้วเกิดปิติ โยกนานมากเป็ นสิบนาที สอบอารมณ์อาจารย์ทา่ นท่ีหนงึ่ บอกวา่ ให้กําหนด“โยกหนอ” ตามรู้ แล้วเขาก็จะหยดุ เอง แตก่ ็นานอย่ดู ี อาจารย์ทา่ นที่สอง บอกวา่ ให้กําหนด “หยดุ หนอ” เขาจะได้หยดุ อนั ไหนถกู คะ (กําหนดหยดุ เขาก็หยดุ แตพ่ กั สนั้ ๆก็โยกอีก)ตอบสวสั ดีครับขอบคณุ ครับท่ีให้ความสนใจเวบ็ ไซต์ ธมั มโชติ ปิตนิ นั้ เป็นอาการปกตขิ องสมาธิ ไมต่ ้องกงั วลใจนะครับ คอื เม่ือจิตประณีตถงึ ชว่ งหนง่ึ ปิตกิ ็จะเกิดขนึ ้ มาเองโดยอตั โนมตั ิ ถ้าจติ ประณีตมากหรือน้อยกวา่ นีป้ ิตกิ ็จะไมเ่ กิดขนึ ้ ดงั นนั้ ถ้านง่ั ตอ่ ไปแล้วปิ ตไิ มเ่ กิดขนึ ้ก็แสดงวา่ จิตประณีตมากขนึ ้ หรือน้อยลง จนไมอ่ ยใู่ นชว่ งของปิตแิ ล้ว จิตในขนั้ ที่ประณีตขนึ ้ ไปก็จะเป็นขนั้ ของสขุ สงู ขนึ ้ ไปอีกก็เป็นขนั้ ของอเุ บกขา ส่ิงที่ควรทําตอ่ ไปก็คอื ตามดตู ามรู้อาการท่ีเกิดขนึ ้ เฉพาะหน้า โดยไมค่ วรจะยินดี ยินร้าย หรือกงั วลใจในสิง่ ท่ีเกิดขนึ ้ เชน่ เม่ือปิตเิ กิดขนึ ้ ก็รู้วา่ เกิดขนึ ้ ตงั้ อยกู่ ็รู้วา่ ตงั้ อยู่ ดบั ไปก็รู้วา่ ดบั ไป รู้เหตแุ หง่ การเกิดขนึ ้ ตงั้ อยู่
สมาธิ 21ดบั ไป ของสงิ่ เหลา่ นนั้ ตามสภาพความเป็นจริงท่ีเกิดขนึ ้ คือรับรู้แล้วปลอ่ ยวาง อยา่ ปรุงแตง่ ให้มากนกั แล้วจิตก็จะสงบ ประณีตขนึ ้ ตามเหตปุ ัจจยั เองครับ ถ้าไปกงั วลก็จะเป็นทกุ ข์ และทําให้สมาธิเคลื่อนไปเปล่าๆ ปิตทิ ี่เกิดขนึ ้ นนั้ อยา่ งน้อยก็แสดงให้เห็นวา่ สมาธิเกิดขนึ ้ ตามสมควรแล้วครับ อยา่ คิดอะไรมาก ถ้าไม่ไปตดิ ยดึ กบั มนั ก็ไมม่ ีผลเสียอะไรครับ จะกําหนดอยา่ งไรก็ได้ ที่สําคญั คือการรับรู้ตามสภาพความเป็นจริงที่ปรากฏ แล้วอย่าไปยนิ ดยี ินร้ายกบั มนั พอจติ ประณีตขนึ ้ อาการก็จะหายไปเองครับ ที่ควรระวงั ก็คือ การนง่ั สมาธิแล้วมีอาการโยกนีต้ ้องดใู ห้ดีด้วยวา่ เป็นอาการของปิติ หรือเป็ นเพราะเผลอสติ ถ้าเป็นเพราะปิ ตกิ ็ทําตามที่กลา่ วไปแล้ว แตถ่ ้าเป็นเพราะเผลอ นง่ั แล้วเพลิน สตเิ ล่ือนลอยลืมกําหนดรู้ก็ทําให้ตวั โยกได้เชน่ กนั อย่างนนั้ ก็ต้องแก้ด้วยการกําหนดรู้ให้ตอ่ เนื่อง อยา่ ให้เผลอ ถ้าเผลอเมื่อไหร่ก็อาจจะโยกได้อีก ก็แก้ด้วยการกําหนดรู้ตามอาการที่เกิดขึน้ นนั้ พอรู้ตวั แล้วก็จะหยดุ โยกไปเอง ถ้าเผลอบอ่ ยก็เพม่ิกําลงั ของสตไิ ด้ ด้วยการเดนิ จงกรมแบบกําหนดรู้ตามการเคล่ือนไหวให้ละเอียดๆ ก็ชว่ ยได้ครับ ไมต่ ้องกงั วลนะครับ สิ่งที่ไมอ่ ยใู่ นอํานาจก็เป็นอยา่ งนีห้ ละครับ (ทงั้ ปิติ และการเผลอสติ รวมทงั้ รูปนามอ่ืนๆ ด้วย) ดมู นั ไปเรื่อยๆ อยา่ เผลอแล้วดีเอง เรื่องปิตินนั้ ก็ขอยํา้ อีกนิดนะครับ คือถ้าความประณีตของจิตเปลี่ยนไป คือไมอ่ ยใู่ นชว่ งของความประณีต (ความถ่ีของจิต) ที่เป็นชว่ งของปิ ตแิ ล้ว อาการของปิติก็จะหายไปโดยอตั โนมตั คิ รับ ทํานองเดียวกบั ที่พอความประณีตของจิตอยใู่ นชว่ งของปิ ติ อาการของปิตกิ ็จะเกิดขนึ ้ มาโดยอตั โนมตั คิ รับ ห้ามไมไ่ ด้เพราะธรรมชาตเิ ป็นอย่างนนั้ เหมือนกบั พอโกรธก็จะมีอาการที่เป็นลกั ษณะเฉพาะของความโกรธ ปรากฏขนึ ้ มาโดยอตั โนมตั ิ เชน่ ใจสนั่ ร้อน ฯลฯ ถ้าตราบใดที่ยงั โกรธอยู่ อาการนีก้ ็จะยงั อยู่ บงั คบั ให้หายไมไ่ ด้ แตถ่ ้าหายโกรธเมื่อไหร่อาการก็จะหายไปเองโดยอตั โนมตั ิครับ การท่ีปิ ตเิ กิดขนึ ้ นานก็เพราะความประณีตของจิตอยใู่ นช่วงนนั้ นานครับ ซงึ่ ก็ไมม่ ีผลเสียอะไร เพราะก็เป็นสมาธิระดบั หนง่ึ เหมือนกนั ไมต่ ้องกงั วลนะครับ แคด่ มู นั ไปเรื่อยๆ แล้วดีเองครับ ไมต่ ้องพยายามไปหยดุ มนั หรอกครับ ถ้าจะหยดุ ก็ต้องเปลี่ยนระดบั ความประณีตของจติ ให้พ้นชว่ งปิติ(ผ้ทู ่ีทําสมาธิจนชํานาญแล้วก็จะเปลี่ยนระดบั ความประณีตของจิตได้ตามต้องการ) ก็จะหยดุ ได้ครับ ถ้ายงั ไมก่ ระจา่ ง หรือมีข้อสงสยั อะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหมน่ ะครับ ไมต่ ้องเกรงใจ ธมั มโชติ 6 กรกฎาคม 2545
สมาธิ 22น่ังสมาธิแล้วอยากได้นู่นได้น่ี ผ้สู นใจทา่ นหนง่ึ ได้เมล์มาถามปัญหาเก่ียวกบั เร่ืองนี ้ ทางผ้ดู าํ เนินการเหน็ วา่ นา่ จะเป็ นประโยชน์ แก่ทา่ นอื่นๆ ด้วย จงึ ขออนญุ าตนํามาลงเอาไว้ ณ ท่ีนี ้ดงั นี ้คาถาม ตอนนีก้ มุ บงั เหียนใจตวั เองไมใ่ ห้กระเพ่ือมตามโลกธรรม 8 มากนกั ได้ดีขนึ ้ นง่ั สมาธินิง่ แตเ่ กิดกิเลสเวลานง่ั แล้วไมเ่ อาแคน่ งิ่ แบบเดมิ อยากได้นนู่ น่ี เชน่ อยากไปถึงสขุ อเุ บกขา ปฐมญาณ เข้าออกได้ตามใจ และเวลาเกิดอาการใดๆ ทงั้ เกา่ และใหมก่ ็ดีใจช่ืนชม (จริงๆนะคะ) ไมเ่ ฉยๆ แบบเมื่อก่อน พยายามไมท่ ําให้รู้สกึ แต่ก็รู้สกึ ดีอยากทํา ความรู้สกึ เหลา่ นี ้ดีหรือร้ายคะ ต้องแก้ไขหรือไม่ หากต้องแก้ ให้ทําอยา่ งไรคะตอบสวสั ดคี รับขอบคณุ ครับท่ีให้ความสนใจเวบ็ ไซต์ ธมั มโชติ 1.) การควบคมุ จิตได้ดขี นึ ้ และเข้าสมาธิได้เร็วขนึ ้ เป็นส่งิ ดีครับ แตก่ ารอยากได้นนู่ ได้นี่ จะทําให้จติ ไม่ อยู่กับปัจจุบัน คือไปอยทู่ ี่อนาคต คือส่งิ ท่ีอยากได้ซงึ่ ยงั ไมเ่ กิดขนึ ้ จะทาให้สมาธิไม่ก้าวหน้า และอาจถอยหลงั ได้ครับ ต้องตดั ความรู้สกึ อยากออกไป แล้วดงึ จิตให้อยกู่ บั ปัจจบุ นั คือสิ่งที่กําลงั เกิดขนึ ้ เฉพาะหน้า แล้วสมาธิถงึ จะเกิดและก้าวหน้าไปได้ครับ ต้องคดิ เอาไว้วา่ ถ้าย่งิ อยากก็จะย่งิ ไม่ได้ (สมาธิไม่ เกิด) แต่ถ้าไม่อยากแล้วก็จะได้เองตามเหตปุ ัจจัยครับ (เพราะจติ จะรวมได้งา่ ย) อาการลกั ษณะนีเ้กิดจากวริ ิยินทรีย์ (วริ ิยะ + อินทรีย์ = สงิ่ ท่ีเป็นใหญ่ในความเพียร) คือ วิริยะ หรือความเพียรมีกาลังมากเกนิ ไปครับ จะต้องข่มจติ ลง คือลดความมงุ่ มน่ั หรือความ อยากลง สมาธิถึงจะเกิดได้งา่ ยขนึ ้ ครับ (ไมใ่ ชใ่ ห้ลดการนงั่ สมาธิลงนะครับ แตใ่ ห้ลดความรู้สกึ มงุ่ มนั่ ลง ทําใจให้ผอ่ นคลายขนึ ้ คิดว่าได้แค่ไหนก็แค่นัน้ แล้วดูมันไปเร่ือยๆ ) 2.) เร่ืองการจะได้ฌานนนั้ เวลาทําสมาธิต้องคอยสงั เกตทางไปของสมาธิ หรือทางดําเนนิ ของจติ ให้ดี ครับ คือสงั เกตวา่ เม่ือทําจิตแบบไหน แล้วผลท่ีได้เป็นยงั ไง เม่ือฉลาดในทางดาํ เนนิ ของจติ และมี ความชํานาญในการสร้างเหตปุ ัจจยั ให้จติ เป็นไปในสภาวะท่ีต้องการแล้ว โอกาสได้ฌานก็จะมาก ขนึ ้ ตามลําดบั ครับ
สมาธิ 23 3.) ความรู้สกึ ดใี จชื่นชมเป็ นสงิ่ ท่ีเพิ่มกําลงั ของวริ ิยินทรีย์ครับ ถ้าน้อยเกินไปก็หดหู่ ท้อถอย ไมม่ ีความ เพียร แตถ่ ้ามากเกินไปก็จะสง่ ผลอยา่ งที่อธิบายแล้วในข้อ1.) ต้องประคบั ประคองให้สมดลุ ถึงจะ สง่ ผลดที ่ีสดุ ครับ คือ ต้องยกจิตเม่ือควรยก ข่มจติ เม่ือควรข่ม ประคองจติ เม่ือควรประคอง การแก้ไข คอื การขม่ จิต อธิบายแล้วในข้อ 1. ครับ 4.) ขออธิบายเรื่องญาณ และฌานนดิ นงึ นะครับ ญาณ คอื ปัญญา ความรู้แจ้ง โดยมากใช้กบั ปัญญาท่ีเกิดจากการทําวิปัสสนา คอื ความรู้ ความเข้าใจธรรมชาตขิ องรูปนาม หรือร่างกายและจิตใจตามความเป็นจริง เรียกวา่ วิปัสสนาญาณ ฌาน ตามศพั ท์แปลว่าการเพง่ ใช้กบั การทําสมาธิ ผ้ทู ่ีได้ฌาน จะต้องเข้าออกสมาธิในขนั้ นนั้ ๆ ได้อยา่ งใจต้องการ และสามารถอยใู่ นสมาธิขนั้ นนั้ ได้นานตามต้องการด้วย เรียกวา่ ได้วสี คอื ความชํานาญ ถ้ายงั ไมก่ ระจา่ ง หรือมีข้อสงสยั อะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหมน่ ะครับ ไมต่ ้องเกรงใจ ธมั มโชติ 4 สิงหาคม 2545 น่ังสมาธิแล้วฟ้ ุงซ่าน ผ้สู นใจทา่ นหนง่ึ ได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกบั เรื่องนี ้ ทางผ้ดู ําเนินการเหน็ วา่ นา่ จะเป็ นประโยชน์ แก่ทา่ นอื่นๆ ด้วย จงึ ขออนญุ าตนํามาลงเอาไว้ ณ ท่ีนี ้ดงั นี ้คาถาม ชว่ งนีน้ งั่ แล้วกลบั มาฟ้ งุ แบบเดมิ อีกแล้วคะ่ พยายามคิดวา่ เป็นหนง่ึ สภาพธรรม ไมอ่ ยากหงดุ หงิดกบัมนั หนะ่ คะ่ (แตก่ ็มีบ้าง)ตอบสวสั ดีครับขอบคณุ ครับท่ีให้ความสนใจเวบ็ ไซต์ ธมั มโชติ ไมว่ า่ อะไรจะเกิดขนึ ้ เชน่ ฟ้ งุ ซา่ น กงั วล ตกใจ กลวั หงดุ หงิด ฯลฯ ก็รับรู้และดมู นั ไปครับ เชน่ กําลงั ฟ้ งุก็รับรู้วา่ กําลงั ฟ้ งุ แล้วดจู ติ ที่กําลงั ฟ้ งุ นนั้ ไปเร่ือยๆ ทําใจสบายๆ เป็นกลางๆ ไมต่ ้องเครียด ไมต่ ้องกงั วล ไมต่ ้องต่นื เต้น
สมาธิ 24 พอจติ อยกู่ บั ปัจจบุ นั อยา่ งเป็ นกลางๆ แล้ว (เชน่ จิตอยกู่ บั การดอู าการที่กําลงั ฟ้ งุ ในขณะปัจจบุ นั นนั้ )แล้วสมาธิก็จะคอ่ ยๆ เกิดขนึ ้ เองครับ หรือถึงแม้วา่ สมาธิไมเ่ กิด ก็ดมู นั ไปเพ่ือผลในทางวิปัสสนา คอื การศกึ ษาธรรมชาตขิ องจติ ก็เป็นประโยชน์เชน่ กนั ครับ (แตถ่ ้าสมาธิเกิดด้วย ก็จะได้ประโยชน์ทงั้ ในแงส่ มาธิ และวิปัสสนาพร้อมกนั ) ถ้ายงั ไมก่ ระจา่ ง หรือมีข้อสงสยั อะไรอีก ก็เชญิ ถามมาได้ใหมน่ ะครับ ไมต่ ้องเกรงใจ ธมั มโชติ 24 สิงหาคม 2545 การออกจากสมาธิกลางคนั ผ้สู นใจทา่ นหนงึ่ ได้เมล์มาถามปัญหาเกี่ยวกบั เร่ืองนี ้ ทางผ้ดู ําเนินการเหน็ วา่ นา่ จะเป็ นประโยชน์ แก่ทา่ นอ่ืนๆ ด้วย จงึ ขออนญุ าตนํามาลงเอาไว้ ณ ท่ีนี ้ดงั นี ้คาถาม ถ้าเจออะไรท่ีนา่ ตกใจ ควรลืมตาเลยหรือเปลา่ คะ มีอยวู่ นั นง่ั ๆ อยู่ แผน่ ดนิ ไหว (ตอนนนั้ มีปี ติโยกอยแู่ ล้วนิดหนอ่ ย) อยๆู่ แผน่ ดนิ ก็ไหวมาก แบบเขยา่ ๆแรงๆ สนั้ แตแ่ รงมาก (ปกตทิ ี่น่ีแผน่ ดินไหวถงึ จะแรง แตก่ ็จะไมถ่ งึ ขนาดเขย่าเฉพาะตวั แบบนนั้ ) ดฉิ นั เลยลืมตาเฉยเลย พอลืมตาก็เลิกไหว คืนนนั้ ก็ไมไ่ หวอีก คือไมอ่ ยากคดิ วา่ เป็นอะไรท่ีเกิดจากสมาธิหนะ่ คะ่ แตเ่ หมือนเป็นแบบนนั้ (อาจจะแผน่ ดนิ ไหวจริงๆแรงจริงๆ สนั้ จริงๆ บงั เอิญมาหยดุ ตอนที่เราลืมตาก็ได้ สามบงั เอิญ) แตต่ อนนนั้ มนั กลวั หนอ่ ยๆ ใจดสี ้เู สือเน่ียแว๊บแรก ทําไมท่ นั คะ่ กลวั ไปเสียแล้ว โดยเฉพาะเหตกุ ารณ์ท่ีเจอครัง้ แรก พอสอง สาม สี่ แล้ว ไมก่ ลวั แล้ว ทกุ ทีคะ่ตอบสวสั ดคี รับขอบคณุ ครับที่ให้ความสนใจเว็บไซต์ ธมั มโชติขอตอบเป็นข้อๆ ก็แล้วกนั นะครับ
สมาธิ 25 1.) เวลาเจอส่ิงที่นา่ ตกใจ (ถ้าไมร่ ้ายแรงจนรอไมไ่ ด้นะครับ) ควรปฏิบตั ิตามขนั้ ตอน ดงั นีค้ รับ o ตงั้ สตใิ ห้ดี อยา่ ให้ความกลวั หรือความตกใจเข้าครอบงําจติ เพราะการทําสมาธินนั้ มกั จะมี เหตกุ ารณ์แปลกๆ อยา่ งที่คาดไมถ่ งึ เกิดขนึ ้ ได้เสมอ ถ้าไมห่ ายกลวั ก็พยายามทําใจดสี ้เู สือ เอาไว้ อาจนกึ ถึงพระรัตนตรัย หรือสง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิให้ชว่ ยค้มุ ครอง เป็นกําลงั ใจด้วยก็ได้ (เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ จากการทําสมาธินนั้ ถ้าไมข่ าดสติ ไมก่ ลวั ไมต่ กใจ ก็จะไมม่ ี อนั ตรายอะไรอยแู่ ล้วครับ) o หายใจเข้าออกลกึ ๆ สกั 3 รอบ พร้อมกบั คอ่ ยๆ ถอนจิตจากสมาธิ o เมื่อจิตใจเป็ นปรกติดแี ล้ว (ไมก่ ลวั ไมต่ กใจ และไมอ่ ยใู่ นสมาธิท่ีลกึ มาก) ก็คอ่ ยๆ ลืมตาช้าๆ ถ้าออกจากสมาธิอย่างรวดเร็ว อาจทําให้เวียนหวั เกิดอาการมนึ งง รู้สกึ เหมือนตวั หมนุ ตวิ ้ ได้นะครับ 2.) การท่ีตกใจแล้วลืมตาทนั ที (กําหนดไมท่ นั ) นนั้ คิดวา่ นา่ จะเป็นสญั ชาตญาณในการระวงั ภยั ของ ทกุ คนนะครับ ต้องคอ่ ยๆ ฝึกไปเร่ือยๆ ใจเย็นๆ แล้วจะควบคมุ จิตได้ดีขนึ ้ เรื่อยๆ เองครับ ถ้ายงั ไมก่ ระจา่ ง หรือมีข้อสงสยั อะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหมน่ ะครับ ไมต่ ้องเกรงใจ ธมั มโชติ 24 สงิ หาคม 2545 น่ังสมาธิแล้วเหมือนแขนขาหายไป ผ้สู นใจทา่ นหนง่ึ ได้เมล์มาถามปัญหาเก่ียวกบั เรื่องนี ้ ทางผ้ดู าํ เนนิ การเห็นวา่ นา่ จะเป็ นประโยชน์ แก่ทา่ นอื่นๆ ด้วย จงึ ขออนญุ าตนํามาลงเอาไว้ ณ ท่ีนี ้ดงั นี ้คาถาม เร่ืองความรู้สกึ สบายๆ ไมแ่ นใ่ จวา่ เป็นอะไรแนค่ ะ่ เริ่มจากขาและแขนซ้ายหายไปก่อน ก็กําหนดรู้วา่หาย จากนนั้ ก็รู้สกึ สบายๆ เบาๆ (จําแมน่ ประทบั ใจ) ถ้าจําไมผ่ ดิ ไมซ่ ูซ่ า่ ใดๆ หรือเย็นจนหนาวนะคะ อาจเป็นแคป่ ิ ติตอบสวสั ดีครับขอบคณุ ครับท่ีให้ความสนใจเว็บไซต์ ธมั มโชติ
สมาธิ 26 ความรู้สกึ ที่เกิดขนึ ้ นนั้ เกิดจากการท่ีจิตรวมเข้ามาครับ คือปรกตจิ ิตจะกวาดรับความรู้สกึ ไปทว่ั ตวั(ความจริงแล้วจะรับความรู้สกึ ทีละจดุ ไมพ่ ร้อมกนั แตจ่ ิตเกิดดบั อยา่ งรวดเร็วมาก จนทําให้รู้สกึ เหมือนกบั วา่เกิดขนึ ้ พร้อมๆ กนั ทงั้ ตวั ) แตพ่ อทําสมาธิแล้วจติ รวมเข้ามาท่ีจดุ เดยี ว คือสนใจอย่ทู ่ีจดุ เดียว เชน่ ท่ีลมหายใจหรือที่ท้อง ไมซ่ ดั สา่ ยไปท่ีจดุ อ่ืนๆ ก็จะทําให้ไมร่ ู้สกึ ถึงจดุ อื่นๆ เลยรู้สกึ เหมือนกบั ว่าอวยั วะเหลา่ นนั้ หายไปครับ ถ้ายงั ไมก่ ระจา่ ง หรือมีข้อสงสยั อะไรอีก ก็เชิญถามมาได้ใหมน่ ะครับ ไมต่ ้องเกรงใจ ธมั มโชติ 30 กนั ยายน 2545 สมาธิและกิเลส ผ้สู นใจทา่ นหนง่ึ ได้เมล์มาถามปัญหาเก่ียวกบั เร่ืองนี ้ ทางผ้ดู ําเนนิ การเห็นวา่ นา่ จะเป็ นประโยชน์ แก่ทา่ นอื่นๆ ด้วย จงึ ขออนญุ าตนํามาลงเอาไว้ ณ ท่ีนี ้ดงั นี ้คาถาม คนที่สามารถฝึกแล้วจิตตื่น, รู้สกึ เบกิ บานตลอดเวลา และสามารถคมุ กิริยาของร่างกาย ให้เคล่ือนไหวอยา่ งงดงามได้ และรู้วา่ เวลามีกิเลสเกิดขนึ ้ นนั้ มนั เหมือนมีอะไรมาเกาะใจให้เจบ็ เรียกวา่ อยใู่ นขนั้ สมาธิขนั้ ใด และหลงั จากนนั้ เม่ือไมไ่ ด้บาํ เพญ็ ภาวนาอีก ปรากฏว่าจิตหลบั ไป ไมเ่ บกิ บานเหมือนเดมิ และสามารถคมุ กิริยาการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ และรู้สกึ ร้อนรุ่มเบื่อหนา่ ยตอ่ โลกเป็นประจํา แตใ่ นบางครัง้ ก็รู้สกึ เป็นสขุเหมือนตวั ลอยๆ และรู้สกึ ไม่อยากยดึ ติดกบั อะไรนนั้ เรียกวา่ มีพลงั สมาธิอยใู่ นขนั้ ใดตอบสวสั ดีครับขอบคณุ ครับท่ีให้ความสนใจเวบ็ ไซต์ ธมั มโชติขอตอบคําถามเป็นข้อๆ ดงั นีค้ รับ 1.) จากข้อมลู เทา่ ท่ีให้มานี ้ คงยากที่จะบอกได้นะครับวา่ ทําสมาธิได้ถึงขนั้ ใด เพราะสมาธิในทกุ ๆ ขนั้ ก็ ล้วนทําให้เกิดผลอยา่ งนีไ้ ด้ทงั้ นนั้ เพียงแตค่ วามประณีต เบาสบายของจิต จะมากขนึ ้ เรื่อยๆ ตามขนั้ ที่สงู ขนึ ้ ไป แตอ่ ยา่ งน้อยก็คงไมต่ ํ่ากวา่ ขณิกสมาธิ (สมาธิชวั่ ขณะ) ถ้าจะให้ทราบชดั เจนกว่านี ้ ก็
สมาธิ 27 ต้องทราบข้อมลู อย่างละเอียดครับ เพราะสมาธิเป็นเร่ืองเก่ียวกบั จิตท่ีมีความละเอียดออ่ นมาก ถ้า วเิ คราะห์โดยไมท่ ราบรายละเอียดมากพอ จะผดิ พลาดได้งา่ ยมากครับ อาการที่จติ ตื่น, รู้สกึ เบกิ บานตลอดเวลา เป็นผลจากสมาธิครับ เมื่อสมาธิเกิดขนึ ้ แล้วจะทํา ให้นิวรณ์ทงั้ 5 สงบลงไป (ดรู ายละเอียดได้ในเรื่องนิวรณ์ 5 และวธิ ีแก้ไข ในหมวดสมถกรรม ฐาน (สมาธิ)) ในท่ีนีก้ ็คือถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะคือความหดหทู่ ้อถอย และมทิ ธะคือความงว่ ง เหงาหาวนอนครับ อาการท่ีสามารถคมุ กิริยาของร่างกาย ให้เคลื่อนไหวอยา่ งงดงามได้นนั้ เกิดจากสตทิ ี่มี กําลงั เพิ่มมากขนึ ้ ครับ สว่ นการที่รู้วา่ เวลามีกิเลสเกิดขนึ ้ นนั้ มนั เหมือนมีอะไรมาเกาะใจให้เจบ็ นนั้ เกิดจากการที่ ได้สมั ผสั กบั สภาวะจิตท่ีประณีตขนึ ้ จากการทําสมาธิแล้ว (ดเู ร่ืองลาดับขัน้ ของจติ และเรื่องพุทธ วธิ ีพัฒนาจติ ในหมวดบทวิเคราะห์ ประกอบ) เมื่อมีกิเลสเกิดขนึ ้ (จิตจะเร่าร้อน หยาบกระด้าง ขนึ ้ ) จงึ รู้สกึ ถงึ ความทกุ ข์จากกิเลสนนั้ ได้ชดั เจน เพราะเกิดจากการนําไปเปรียบเทียบกบั จิตที่ ประณีตในระดบั สมาธิ เหมือนคนท่ีเพงิ่ ออกจากห้องแอร์ ยอ่ มจะรู้สกึ ถงึ ความร้อน จากบรรยากาศภายนอกห้อง แอร์ ได้ชดั เจนมากกวา่ คนท่ีไมเ่ คยอย่ใู นท่ีเยน็ ๆ อยา่ งในห้องแอร์มาก่อน คอื คนท่ีไมเ่ คยอยใู่ นท่ี เยน็ ๆ นนั้ จะรู้สกึ เคยชินกบั บรรยากาศภายนอกห้องแอร์ จนรู้สกึ วา่ เป็นเร่ืองปรกติ จงึ ไมร่ ู้สกึ วา่ เป็น ทกุ ข์อะไรนกั2.) เม่ือไมไ่ ด้บาํ เพ็ญภาวนาอีก ปรากฏวา่ จติ หลบั ไป ไมเ่ บกิ บานเหมือนเดมิ นนั้ เกิดจากการท่ีจิตรับ อทิ ธิพลจากสงิ่ แวดล้อมภายนอก (การกระทบกระทงั่ กบั สิง่ ตา่ งๆ รอบตวั ) และอทิ ธิพลจากภายใน คอื กิเลสตา่ งๆ ท่ีเกิดขนึ ้ ทําให้จติ ลดความประณีตลงเรื่อยๆ และนิวรณ์ตา่ งๆ ก็คอ่ ยๆ ครอบงําจิตได้ มากขนึ ้ เร่ือยๆ ครับ การท่ีรู้สกึ ร้อนรุ่ม เบ่ือหนา่ ยตอ่ โลกเป็นประจํา เพราะเกิดจากการเอาสภาวะจติ ปรกตขิ อง โลก ซง่ึ เร่าร้อน ไปเปรียบเทียบกบั จติ ในระดบั สมาธิ ซงึ่ ประณีต เบาสบายครับ การที่ในบางครัง้ ก็รู้สกึ เป็ นสขุ เหมือนตวั ลอยๆ และรู้สกึ ไมอ่ ยากยดึ ตดิ กบั อะไรนนั้ เพราะ ได้สมั ผสั กบั สภาวะจิตทงั้ ในระดบั โลกๆ และในระดบั สมาธิมาแล้ว ทําให้เห็นความแตกตา่ งท่ีชดั เจน และเห็นโทษของการยดึ ติดกบั โลก จงึ อยากจะพ้นจากโลกอนั เร่าร้อนนนั้ และในขณะใดท่ีจิตอยเู่ หนือความยดึ ตดิ กบั โลกได้ เมื่อนนั้ จติ ก็จะประณีตขนึ ้ โดยอตั โนมตั ิ เพราะไมถ่ กู โลกครอบงําเอาไว้ เมื่อจติ ประณีตขนึ ้ ก็จะรู้สึกเป็นสขุ เบาสบายครับ ซง่ึ ในกรณีนีก้ ็เหมือนข้อที่ 1. นะครับ ท่ียากท่ีจะบอกได้วา่ เป็นจิตขนั้ ใด จากข้อมลู ที่ให้มา นี ้ ก็บอกได้แคว่ า่ จิตประณีตกวา่ ระดบั โลกๆ เป็ นระยะๆ
สมาธิ 28 ขอแนะนําเพิ่มเตมิ นะครับ วา่ อยา่ ไปยดึ ติดกบั ระดบั ขนั้ ของสมาธิให้มากนกั ควรจะสงั เกตสภาวะจติ ท่ีกําลงั เกิดขนึ ้ และพฒั นาการที่เป็นไปมากกวา่ เพราะเร่ืองของสภาวะจิตนนั้ ต้องสมั ผสั เองถงึ จะรู้ ยากท่ีจะอธิบายให้คนอื่นรู้ถงึ สภาวะจิตที่เราเป็น ได้อยา่ งชดั เจนด้วยคําพดู หรือตวั หนงั สือ นอกจากการกําหนดรู้ด้วยจติ (สําหรับคนท่ีรู้วาระจติ ของผ้อู ่ืนได้) เทา่ นนั้ เพราะฉะนนั้ จงึ เป็นการยากมาก ที่จะบอกลําดบั ขนั้ ของจติ ของผ้อู ื่นได้ถกู ต้อง ชดั เจน แนน่ อน ถ้ายงั ไมก่ ระจา่ ง หรือมีข้อสงสยั อะไรอีก ก็เชญิ ถามมาได้ใหมน่ ะครับ ไมต่ ้องเกรงใจ ธมั มโชติ 23 พฤศจิกายน 2545
Search
Read the Text Version
- 1 - 29
Pages: