บทที่ 1 ความรพู้ ืน้ ฐานเก่ยี วกับศาสนา 1. ความหมายของศาสนา คาวา่ \"ศาสนา\" นักปราชญไ์ ด้นิยามความหมายของศาสนาไวแ้ ตกตา่ งกันอย่มู าก จึงขอนาเสนอ ความหมายท่ีควรทราบ ดงั นี้ 1.1 ความหมายตามรูปศัพทเ์ ดมิ ในภาษาสันสกฤต คือ ศาสน และตรงกบั ในภาษาบาลวี ่า สาสน แปลว่า คาส่งั สอน คาสอน หรอื การปกครอง ซ่ึงมีความหมายเป็นลาดับ ได้แก่ 1) คาสัง่ สอน แยกได้เปน็ คาสง่ั หมายถึง ขอ้ หา้ มทาความช่วั เรยี กวา่ ศีล หรือ วนิ ัย คาสอน หมายถงึ คาแนะนาให้ทาความดี ทเี่ รียกว่า ธรรม เมอื่ รวมคาสั่งและคาสอน จงึ หมายถงึ ศลี ธรรม หรือศีล กบั ธรรม น่นั คอื มีทัง้ ข้อห้ามทาความชว่ั และแนะนาให้ทาความดี ซง่ึ คาสั่งสอน ต้องมีองค์ประกอบ คือ 1. กล่าวถงึ ความเช่ือในอานาจของสง่ิ ท่ีมิอาจมองเห็นไดด้ ้วยตา เช่น ก. ศาสนาอิสลามและศาสนาครสิ ต์ เชื่อในอานาจแห่งพระเจ้า ข. ศาสนาพทุ ธ เชื่ออานาจแห่งกรรม ค. ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู เชอื่ อานาจแห่งเทพเจา้ 2. มีหลักศลี ธรรม เช่น สอนใหล้ ะความชั่ว สร้างความดี และทาจิตใจให้บริสทุ ธิ์ เปน็ ตน้ 3. มีจุดหมายสูงสุดในชวี ิต เช่น นิพพานในศาสนาพุทธ ชวี ิตนริ ันดรในศาสนาครสิ ตแ์ ละ ศาสนาอสิ ลาม 4. มพี ิธกี รรม เช่น ก. พธิ ีบรรพชาและพธิ ีอุปสมบท ในศาสนาพุทธ ข. พธิ รี บั ศลี ลา้ งบาป ศีลมหาสนิทและศีลพลงั ในศาสนาครสิ ต์ ค. พธิ ีละหมาด พธิ ีเคารพพระเจ้า ในศาสนาอิสลาม 5. มีความเข้มงวดกวดขันในเร่อื งความจงรักภกั ดี 2) การปกครอง หมายถงึ การปกครองจติ ใจของตนเอง ควบคมุ ดแู ลตนเอง กล่าวตกั เตอื น ตนเองอยเู่ สมอ และรบั ผดิ ชอบการกระทาทกุ อย่างของตน บคุ คลผู้สามารถปกครองจติ ใจของตนได้ ย่อมจะไม่ทาความชวั่ ท้ังในทล่ี ับและทแ่ี จ้ง 1.2 ความหมายตามรูปศพั ทใ์ นภาษาอังกฤษ คอื Religion มาจากภาษาละตินว่า Religare มี ความหมายเปน็ ภาษาอังกฤษวา่ To bind fast (ยดึ ถือ/ผกู พันอยา่ งแน่นแฟ้น) กลา่ วคอื ผกู พันอยา่ ง เหนียวแน่นตอ่ พระผเู้ ป็นเจ้า (God) หรอื พระผสู้ ร้าง (Creator) และอกี ศัพท์หนึง่ ว่า Relegere แปลวา่
การปฏิบตั ติ ่อ หรอื การเก่ียวขอ้ งดว้ ยความระมดั ระวงั เป็นการปฏิบตั ิตนเพือ่ แสดงความเล่ือมใสหรอื เกรง กลัวอานาจเหนอื ตน ซึ่งในความหมายของชาวตะวนั ตก ตลอดทั้งผู้นับถอื ศาสนาประเภทเทวนิยม จะ เข้าใจศาสนาในลักษณะทวี่ ่า 1. มีความเช่อื ว่า พระเจ้าเป็นผสู้ ร้างโลก สร้างสรรพสิ่งและสรรพสัตวท์ ง้ั หลาย 2. มคี วามเชอ่ื ว่า หลักคาสง่ั สอนต่าง ๆ มาจากพระเจา้ ทง้ั ศลี ธรรมจรรยาและกฎหมายใน สังคมเป็นสง่ิ ทพ่ี ระเจ้าทรงกาหนดขน้ึ 3. มหี ลักความเชอื่ บางอย่างเป็นอจนิ ไตย คือ เช่อื ตามคาสอนโดยไม่คานึงถงึ ข้อพสิ จู นต์ าม หลกั วทิ ยาศาสตร์ แต่อาศยั เทวานุภาพของเทพเจ้า ผูอ้ ยเู่ หนือตนเป็นเกณฑ์ 4. มีหลกั การมอบตน คือมอบการกระทาของตนและอืน่ ใดท่ีเกีย่ วขอ้ งกับตนใหพ้ ระเจา้ ด้วย ความจงรกั ภักดี ส่วนคาว่า \"ศาสนา\" ตามความหมายของชาวตะวันออก โดยเฉพาะทางศาสนาพุทธ หมายถึง คาสง่ั สอนของท่านผรู้ ู้ คาสั่ง คือ วนิ ัย คาสอน คอื ธรรมะ รวมเรียกวา่ ธรรมวินัย ซง่ึ มลี กั ษณะตรงกนั ขา้ มกับคาว่า \"Religion\" ของทางสังคมตะวนั ตก คือ 1. ไมม่ หี ลักความเชอื่ วา่ พระเจา้ เปน็ ผู้สร้างโลก แต่มีหลกั ความเชอื่ วา่ กรรมเปน็ ผู้สร้างโลก และสร้างสรรพสิ่ง (กมฺมุนา วตตฺ ตี โลโก - สตั วโลกยอ่ มเปน็ ไปตามกรรม) 2. ไม่มีหลักความเช่ือวา่ คาสอนตา่ ง ๆ มาจากพระเจ้า แตม่ ีหลกั ความเชอื่ ว่า คาสอนต่าง ๆ ผู้รู้ คอื พทุ ธ เป็นผ้สู ่ังสอน (สพพฺ ปาปสสฺ อกรณ กสุ ลสฺสปู สมปฺ ทา สจิตฺต ปริโยทปน เอต พทุ ธฺ านสาสน - การไมท่ าชว่ั ท้ังปวง การทาความดีให้ถงึ พรอ้ ม การทาใจใหผ้ อ่ งแผ้ว นี่คือคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธ เจ้า) 3. ไมม่ ีหลักความเช่ือไปตามคาสอน โดยไม่คานงึ ถงึ ขอ้ พิสูจน์ แต่มหี ลกั ให้พิสูจน์คาสอนนั้น (สนฺทฏิ ฺฐิโก อกาลโิ ก เอหิปสสฺ ิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺต เวทิตพโฺ พ วิํฺํูหิ - อนั ผูป้ ฏิบตั ิจะพงึ เห็นชัดด้วย ตวั เอง ไม่จากัดดว้ ยกาล ควรเรยี กให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวญิ ํูชน พึงรเู้ ฉพาะตน) 4. ไมม่ หี ลกั การยอมมอบตนใหแ้ กพ่ ระเจ้า แตม่ ีหลกั การมอบตนใหแ้ กต่ นเอง (อตตฺ า หิ อตฺต โน นาโถ - ตนแล เป็นทพี่ ่งึ ของตน) ตามท่ไี ด้กลา่ วมาน้ี จะเห็นไดว้ า่ ศาสนา ตามความหมายของทางตะวันออก โดยเฉพาะทาง ศาสนาพุทธ กับคาว่า Religion ตามความหมายของทางตะวันตก ย่อมมลี กั ษณะแตกตา่ งกันไปตาม ธรรมชาติของศาสนาในแต่ละประเภท ศาสนาตามความหมายของทางตะวันออก โดยเฉพาะทางศาสนา พุทธนัน้ มีจุดยนื ตงั้ อยู่บนหลักของเหตุและผล รวมทั้งเปน็ เร่ืองของมนุษยก์ ับธรรมชาติโดยตรง ส่วน ศาสนาของทางตะวันตก มจี ุดยนื อยู่ท่ีศรทั ธาหรอื ความเช่อื ในสิ่งนอกเหนอื ธรรมชาติ ซ่ึงเหตผุ ลตา่ ง ๆ ย่อมถูกนามาสนบั สนนุ ความเชือ่ ต่าง ๆ โดยไมต่ ้องมีการพิสูจน์
1.3 ความหมายตามพจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ศาสนา คอื ลทั ธิ ความเช่ือถอื ของมนษุ ย์ อันมหี ลกั คอื แสดงกาเนิดและความส้ินสุดของโลก เปน็ ต้น อันเป็นไปในฝ่าย ปรมตั ถ์ประการหนึง่ พรอ้ มทั้งลัทธทิ ีจ่ ะกระทาตามความเห็นหรอื ตามคาสงั่ สอนในความเชอ่ื ถอื นัน้ ๆ 1.4 ในทรรศนะของพระยาอนุมานราชธน ให้ความหมายว่า ศาสนา คอื ความเชื่อซง่ึ แสดง ออกมาให้ปรากฏเห็นเป็นกิริยาอาการของผูเ้ ล่ือมใส ว่ามีความเคารพเกรงกลวั ซง่ึ อานาจอนั อยูเ่ หนือโลก หรอื พระเจา้ ซ่งึ บอกใหผ้ ู้เชอ่ื รู้ได้ด้วยปัญญา ความรสู้ กึ เกิดขนึ้ เองโดยสญั ชาตญาณ ว่าตอ้ งมีอยู่เปน็ รปู ร่างอย่างใดอย่างหน่งึ และตอ้ งเปน็ ผสู้ ร้าง และเป็นผู้กาหนดวถิ ชี ีวติ ของมนุษย์ให้มอี ยู่ เป็นอยู่ กล่าว กันงา่ ย ๆ ศาสนา คือ การบูชาพระเจ้า ผูซ้ ง่ึ มีทพิ ยอานาจอยู่เหนอื ธรรมชาตดิ ว้ ยความเคารพกลวั เกรง 1.5 ในทรรศนะของหลวงวิจิตรวาทการ ใหค้ วามหมายวา่ ศาสนาเปน็ เรื่องท่ีถือว่ามีความ ศกั ดิ์สทิ ธ์ิ มคี าสอนทางจรรยา มศี าสดา มคี ณะบคุ คลที่รกั ษาความศกั ด์ิสิทธ์ิและคาสอนไว้ เชน่ พระหรือ นักบวช และมกี ารกวดขันเร่ืองความจงรกั ภักดี 1.6 ในทรรศนะของ Emile Durkheim ใหค้ วามหมายว่า ศาสนา คอื ระบบรวม ว่าด้วยความ เชอ่ื และการปฏบิ ตั เิ พอ่ื ความสมั พันธใ์ นสง่ิ ศกั ด์ิสิทธิ์ 1.7 ในทรรศนะของ A.C Bouget ให้ความหมายว่า ศาสนา หมายถึง ความสมั พันธ์อนั แนบ แน่นระหว่างมนุษยก์ ับสิง่ ท่ีมิใชม่ นุษย์ คือ ส่งิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิเหนือธรรมชาติ สงิ่ ท่สี ามารถดารงอยไู่ ด้ดว้ ย ตนเองหรือพระเจ้า แต่สาหรบั ผ้ทู ่เี กีย่ วข้องกบั ขบวนการมากกวา่ เกี่ยวขอ้ งกบั บคุ คล ศาสนา คอื หนทาง อย่างหนึง่ ซง่ึ แสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งมนษุ ยก์ บั จดุ มุ่งหมาย จุดประสงคค์ วามเชื่อของเขา จากทรรศนะต่าง ๆ ที่กล่าวมาทง้ั หมดในตอนต้นนนั้ สามารถสรุปใหค้ รอบคลุมความหมายของ ศาสนาทง้ั ท่เี ป็นเทวนิยมและอเทวนิยมไดว้ ่า ศาสนา คือ คาสอนทศี่ าสดานามา เผยแผ่ สัง่ สอน แจกแจง แสดงให้มนุษยล์ ะเว้นจากความช่วั กระทาแตค่ วามดี เพ่ือประสบสันติสขุ ในชีวติ ท้ังในระดับธรรมดา สามัญและความสุขสงบนริ ันดร ซ่งึ มนุษย์ยึดถือปฏิบตั ิตามคาสอนน้ันด้วยความเคารพเลือ่ มใสและ ศรทั ธา คาสอนดงั กลา่ วนี้ จะมีลักษณะเป็นสัจธรรมท่ีมอี ยู่ในธรรมชาตแิ ลว้ ศาสดาเป็นผ้คู ้นพบ หรอื จะ เปน็ โองการทศี่ าสดารับมาจากพระเจา้ ก็ได้ 2. ลกั ษณะของศาสนา จากความหมายของศาสนาที่ไดก้ ล่าวมาแล้วในตอนตน้ สรุปลักษณะของ ศาสนาไดด้ ังน้ี 1. ศาสนาเป็นศูนย์รวมของความเคารพนับถอื สูงสดุ ของมนษุ ย์ 2. ศาสนาเป็นที่ยดึ เหน่ยี ว เป็นทพี่ งึ่ ทางใจ 3. ศาสดาเปน็ ผู้นาศาสนามาเผยแผ่ สงั่ สอนแก่มวลมนษุ ย์
4. ศาสนามสี าระสาคญั อยู่ทกี่ ารสอนให้มนุษยล์ ะเวน้ จากความชว่ั กระทาแตค่ วามดี 5. คาสอนในศาสนามที ้งั ระดบั โลกิยะและระดบั โลกตุ ระ 6. มนุษย์ตอ้ งปฏิบัติตามคาสอนในศาสนาด้วยความเคารพเลื่อมใสและศรทั ธา 7. ศาสนาต้องมีพิธกี รรมเพอื่ ความศกั ด์สิ ทิ ธิ์ และมสี ัญลกั ษณอ์ นั เปน็ เคร่ืองหมาย 3. องค์ประกอบของศาสนา ศาสนาที่จะเป็นศาสนาอย่างสมบรู ณไ์ ด้ตอ้ งมอี งค์ประกอบครบถ้วนตามหลักเกณฑท์ างวิชาการที่ นักการศาสนาจัดไว้ โดยจะต้องมอี งค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1. ศาสดา ต้องมีศาสดาเป็นผู้กอ่ ตั้งศาสนาและศาสดาตอ้ งมีชวี ิตอยู่จริงในประวัติศาสตร์ เชน่ ศาสนายิวมโี มเสสเป็นศาสดา ศาสนาพุทธมพี ระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าเป็นศาสดา ศาสนาคริสตม์ ีพระเยซเู ป็น ศาสดา และศาสนาอสิ ลามมีนบีมุฮัมมดั เป็นศาสดา 2. ศาสนธรรม ต้องมศี าสนธรรม คือ คาสอนซ่งึ เปน็ หลกั ของศาสนา ต้องมคี มั ภีร์เป็นที่รวบรวม คาสอน เช่น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีคัมภีรพ์ ระเวท ศาสนาพุทธ มีพระไตรปิฎก ศาสนาอิสลาม มี คัมภีรอ์ ลั กุรอาน 3. ศาสนพิธี ตอ้ งมีพธิ ีกรรมทเ่ี กี่ยวเนอื่ งมาจากคาสอนของศาสนา เชน่ พธิ สี วมสายยชั โญปวีต หรอื สายธุราของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู พธิ ีอปุ สมบทของศาสนาพุทธ พธิ ลี ้างบาปของศาสนายวิ และ ศาสนาครสิ ต์ และพิธีฮัจญข์ องศาสนาอิสลาม 4. ปชู นียวัตถุ หรือปชู นียสถานทางศาสนา เช่น พระพทุ ธรปู และสงั เวชนียสถานในศาสนาพุทธ ไมก้ างเขนและวหิ ารเมืองเยรซู าเลมในศาสนาคริสต์ รปู ของพระครุ แุ ละเมอื งอมฤตสระของศาสนาซกิ ข์ 5. ศาสนบคุ คล ตอ้ งมีคณะบคุ คลสบื ทอดคาสอนของศาสนา ซงึ่ เป็นผ้ปู ฏบิ ัตติ ามหลักคาสอน ของศาสนาโดยตรง เช่น พระ นักบวช นกั พรต บาทหลวง ในศาสนาต่าง ๆ 6. ศาสนสถาน ตอ้ งมีศาสนสถานเพอ่ื ประกอบศาสนกิจและศาสนพธิ ตี า่ ง ๆ ศาสนสถานของ ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ไดแ้ ก่ เทวสถาน หรือเทวาลยั ของศาสนาพทุ ธ ได้แก่ วัด อุโบสถ ศาลาการ เปรยี ญ วหิ าร ของศาสนาครสิ ต์ ได้แก่ โบสถ์ วิหาร ของศาสนาอิสลาม ได้แก่ สเุ หร่า หรอื มสั ยิด เป็นต้น 7. ศาสนิกชน ตอ้ งมศี าสนิกชนผู้นบั ถอื เล่ือมใสศรทั ธาในศาสนานั้น ซง่ึ ศาสนิกชนดงั กลา่ ว มกั เรยี กตามช่ือของศาสนาท่ตี นนบั ถือ เช่น ฮินดูชน พุทธศาสนิกชน ครสิ ตศาสนกิ ชน อิสลามมกิ ชนหรอื มสุ ลมิ เปน็ ต้น 8. การกวดขันเรอ่ื งความภักดี ต้องมีการกวดขันเรือ่ งความภกั ดีในศาสนา เช่น ศาสนา พราหมณ์-ฮินดูกวดขนั เรอ่ื งการดาเนินชีวิตตามหลักอาศรม 4 ศาสนาพทุ ธกวดขันเร่อื งไตรสรณคมน์ ศาสนาคริสต์กวดขนั เรือ่ งการไปสวดมนต์ทีโ่ บสถ์ในวันอาทติ ย์ ศาสนาอสิ ลามกวดขันเรือ่ งหลกั ปฏิบัติ หรือหนา้ ท่ใี นศาสนา องค์ประกอบท้ัง 8 ประการน้ี ในบางศาสนาอาจขาดข้อใดข้อหนงึ่ ไป แต่กย็ งั ถือว่าเป็นศาสนา
เชน่ ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ขาดองคป์ ระกอบขอ้ ที่ 1 คือ ศาสดาไม่ได้มชี ีวิตอยจู่ ริงในประวตั ศิ าสตร์ ศาสนาอสิ ลามขาดองค์ประกอบ ข้อ 5 คือ ศาสนบคุ คล เพราะผู้นับถอื ศาสนาอิสลามไม่มกี ารถอื เพศเปน็ บรรพชิต คงมีแต่เพศฆราวาสเทา่ นั้น 4. ววิ ฒั นาการของศาสนา ไมว่ ่ายคุ สมัยใด มนุษยต์ ่างกต็ ้องการให้ชวี ติ มคี วามสุข ความปลอดภัยและมชี ีวิตยนื ยาว จะทา อะไรทุกอย่างก็เพอื่ จุดหมายดังกล่าว อนั เปน็ ที่มาของการนบั ถอื ศาสนา โดยมวี วิ ัฒนาการ ดงั นี้ วิญญาณนยิ ม มนษุ ยส์ มัยปฐมบรรพ์ ยังมปี ระสบการณ์ชวี ติ น้อย ยังไมเ่ จรญิ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จงึ คดิ และเชอื่ ไปตามความรู้ของตน เมอื่ เหน็ สง่ิ ตา่ ง ๆ เช่น ก้อนหินที่มีลักษณะแปลก ๆ หรอื มีสสี นั พเิ ศษแตกตา่ งกว่าปกติ ก็จะคดิ ว่ามสี ่งิ ลี้ลับอยู่ภายใน จึงทาใหส้ งิ่ นั้นๆ แปลกประหลาดไป สิ่งล้ลี บั น้ี เรยี กวา่ มนะ หรอื อานาจท่ไี มม่ ตี วั ตน แตม่ ชี วี ิตจิตใจ มีพลังวเิ ศษ ที่จะบนั ดาลใหค้ ุณหรือโทษแกม่ นษุ ย์ ได้ จงึ เกดิ การเคารพนบั ถอื มนะข้นึ มา ระยะน้เี รยี กวา่ สมยั มนะ ตอ่ มาจึงเกดิ หมอผี (Shaman) ซึ่งเปน็ บุคคลทีจ่ ะอญั เชญิ พลังวิเศษของมนะออกมาใช้ตามจุดประสงคต์ า่ ง ๆ ยคุ ท่ีหมอผมี ีความสาคัญน้เี รียกว่า สมยั มายา ต่อมามนษุ ยไ์ ด้พยายาม ทาความเข้าใจในเรอื่ งมนะให้มากขึ้น ก็เกิดความเข้าใจว่า มนะกค็ อื วิญญาณน่นั เอง ซึ่งวิญญาณนส้ี ิงสถติ อยู่ในทที่ วั่ ไป ไม่จาเปน็ ตอ้ งมอี ยู่ในสงิ่ แปลกประหลาดเท่าน้ัน อาจ สงิ อยใู่ นตวั สัตว์ ในต้นไม้ ภูเขา และทะเล กไ็ ด้ จึงเกิดการนบั ถือสตั ว์ท่ีตนคิดว่าน่าจะมีวิญญาณสิงสถิต อยู่ เชน่ นบั ถือจระเข้ เตา่ แมว สงิ โต เปน็ ต้น ทง้ั ยังนาสัตวห์ รอื ส่งิ ทตี่ นเคารพมาเป็นทเ่ี คารพของเผ่าจน กลายเป็นสัญลกั ษณป์ ระจาเผา่ ต่าง ๆ ชาวพน้ื เมืองบางเผา่ ของประเทศนิวซแี ลนด์ได้แกะสลักรปู คนน่งั ซ้อนกันหรอื ท่เี รียกวา่ รปู เคารพตกิ ิ การนาสตั วห์ รือรูปแกะสลกั มาเป็นสัญลักษณ์ประจาเผา่ เรียกว่า รูป เคารพประจาเผ่า (Totemism) ธรรมชาติเทวนิยม ต่อมามนษุ ยไ์ ด้พยายามทาความเข้าใจในเรื่องวิญญาณใหช้ ดั เจนข้ึนไปอีก ก็ไดม้ คี วามเขา้ ใจว่า วญิ ญาณมคี วามศกั ดส์ิ ิทธิ์วิเศษเกนิ กวา่ วสิ ยั ของมนุษย์ จงึ เรียกวญิ ญาณวา่ เทวดา หรือเทพเจ้า ซงึ่ เทพ เจา้ เหล่าน้สี ิงสถติ อยู่ในธรรมชาติทวั่ ไป จงึ เกดิ การเรียกว่า พระอาทิตย์ พระจนั ทร์ พระวรุณ พระอคั นี และพระคงคา ฯลฯ เช่นในศาสนากรกี โบราณและศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น นอกจากนีย้ ังนับถือผทู้ ่ตี น เคารพ เชน่ บดิ า มารดา บรรพบรุ ุษ พระมหากษตั ริย์ และวีรบรุ ษุ ฯลฯ วา่ เมอื่ ตายไปแล้วก็จะกลายเปน็ เทพเจา้ สิงสถิตอยใู่ นทที่ ่วั ไป เชน่ บ้านเรือน เปน็ ต้น ท่ีเรียกกันว่า เจ้าท่เี จ้าทาง หรือผบี ้านผเี รือน เทวนิยม ในสมยั ตอ่ มา มนุษย์บางพวกเกิดความคิดว่า เทพเจา้ ต่าง ๆ น่าจะมฐี านะสงู ตา่ ลดหล่นั อย่าง มนุษย์ ทั้งนา่ จะมเี ทพเจ้าสูงสุดเหนอื กว่าเทพเจ้าทั้งหลาย ดุจพระราชาเปน็ ใหญก่ ว่าปวงประชา พระองค์
ทรงมีอานาจสูงสุด เชน่ ทรงสร้างโลกและสรรพสงิ่ ตลอดทงั้ กาหนดชะตากรรมของมนุษย์ ดูแลความ เปน็ ไปของโลก พวกท่ีมคี วามเชอ่ื ดงั กลา่ ว ยังมคี วามคดิ แตกตา่ งกนั ไปอกี บางคนมีความเหน็ ว่าเทพเจ้า สงู สุดมีหลายองค์ เชน่ ศาสนาพราหมณ์ กเ็ รยี กว่า พหเุ ทวนิยม บางคนมีความเห็นว่า เทพเจา้ สงู สดุ มี 2 องค์ คอยทัดทานอานาจกัน ฝ่ายหน่ึงสร้างแตส่ งิ่ ทดี่ ี แตอ่ ีกฝา่ ยหนงึ่ สรา้ งแต่ส่ิงไมด่ ี ดังท่มี สี ิ่งคู่กันอย่ใู น โลก เชน่ ศาสนาโซโรอสั เตอร์ ก็เรยี กว่า ทวเิ ทวนยิ ม และบางคนมีความเห็นว่า เทพเจ้าสูงสุดหรอื พระ เจ้ามเี พียงองคเ์ ดยี วเท่าน้ัน เช่น พระเจา้ ในศาสนาครสิ ต์และศาสนาอสิ ลาม ก็เรียกว่า เอกเทวนิยม อเทวนิยม กาลตอ่ มามนุษยบ์ างคนมีความเหน็ ว่า พระเจ้าสูงสดุ ดังที่เชอื่ กันนัน้ ไม่มี เป็นเพยี งมนุษยค์ ดิ กนั ข้ึนมาเอง เห็นได้จากการที่คุณลกั ษณะตา่ ง ๆ ของเทพเจา้ เปล่ียนแปลงไปเรอ่ื ย ๆ และเพ่ิมมากขึ้นทุกที ท้งั น้กี ็เพราะมนษุ ย์เปน็ ต้นเหตุแลว้ ก็หลงเคารพนบั ถอื ในสิง่ ที่ตนสรา้ งขึ้นมา ความจรงิ ทุกสิ่งทกุ อย่าง เป็นไปตามเหตุปัจจัย จะเกิดข้นึ ไดก้ ็เพราะเหตปุ ัจจยั หลายอยา่ งประกอบกนั ข้ึนมา ดารงอยู่ไมไ่ ดด้ ว้ ย ตวั เอง สาหรบั มนุษยแ์ ล้ว กรรมหรอื การกระทาของมนุษย์ตา่ งหากที่สาคญั ทส่ี ดุ สามารถดลบนั ดาลชีวติ ให้เปน็ ไปอย่างไรกไ็ ด้ ความเชอื่ อยา่ งน้ีเรียกว่า อเทวนิยม 5. มลู เหตุการเกิดของศาสนา มลู เหตุที่ทาให้เกิดศาสนานั้นมีมากมายหลายอย่าง แล้วแต่สภาพแวดล้อมของแตล่ ะกลุม่ ชนและ ยุคสมัย ซึง่ นักการศาสนาได้ตง้ั ขอ้ สันนษิ ฐานเกี่ยวกับมูลเหตุทที่ าให้เกดิ ศาสนา ดงั น้ี 5.1. เกดิ จากอวชิ ชา อวชิ ชาในท่ีน้ี หมายถงึ ความไม่รู้หรอื ความเข้าใจไม่แจม่ แจง้ เช่น ไมเ่ ข้าใจ ในปรากฏการณ์ธรรมชาตริ อบตวั วา่ เหตุใดจึงเกดิ ฟ้าแลบ ฟา้ รอ้ ง ฟา้ ผ่า หรือฝนตก เม่อื ไมร่ ู้ ไมเ่ ข้าใจ จึงหาคาตอบออกมาในลกั ษณะต่าง ๆ เชน่ เขา้ ใจว่าฟา้ แลบเนอื่ งจากนางมณเี มขลาเอาแกว้ มาล่อรามสูร และฟ้าผ่าเพราะรามสูรขวา้ งขวานไปถูกแก้วแตก เป็นต้น และเม่อื ไม่ทราบสาเหตุที่แทจ้ ริงของ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ จึงพากนั คดิ ว่าจะต้องมีส่ิงเหนือธรรมชาตซิ ึ่งอาจเป็นเทพยดา หรอื สิ่งศกั ด์ิสิทธิ์ ที่มีอานาจเหนือมนุษย์ จึงมีการบูชาบวงสรวงอ้อนวอนให้เมตตาปรานี ความคิดเช่นนีจ้ ึงเปน็ มูลเหตุทา ให้เกดิ ศาสนาข้ึน ศาสนาของคนโบราณจึงมีมูลเหตุมาจากอวิชชา หรือความไม่รู้ 5.2. เกดิ จากความกลวั ความกลวั เปน็ มูลเหตทุ ต่ี ่อเน่อื งจากอวิชชา เมอื่ เกิดความไม่ร้หู รอื ไม่ เข้าใจแจ่มแจง้ ขึ้น ส่ิงท่ตี ามมาก็คือ ความกลัว กลวั ในส่ิงทตี่ นไม่รูไ้ ม่เข้าใจ จงึ คดิ หาทางเอาอกเอาใจใน สงิ่ นั้น ในรูปของการเคารพกราบไหว้ เซ่นสรวงบูชา ตลอดจนบนบานศาลกล่าว เพื่อไมใ่ ห้บนั ดาลภยั พบิ ตั แิ กต่ น แต่ให้บนั ดาลความสขุ สวสั ดีมาให้ เป็นตน้ 5.3. เกดิ จากความภกั ดี ความภักดใี นทางศาสนา หมายถึง ความเช่อื และความเล่อื มใส ดว้ ย มนั่ ใจวา่ สงิ่ ท่ีตนเชือ่ และเล่อื มใสนน้ั เป็นสิง่ ศักด์สิ ิทธิ์ทสี่ ามารถอานวยประโยชน์แก่ตนได้ ศาสนาทีม่ ี มูลเหตุเกดิ จากความภกั ดีได้แก่ศาสนาประเภทเทวนยิ ม เชน่ ศาสนายวิ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอสิ ลาม เป็นต้น
5.4. เกดิ จากความต้องการความรูแ้ จ้งความจริงของชวี ิต ความต้องการความรู้แจ้งเป็น มลู เหตใุ หเ้ กดิ ศาสนา โดยเฉพาะพระพทุ ธศาสนาทเี่ นน้ ความรู้ประจกั ษแ์ จ้งความจรงิ เป็นสาคัญ 5.5 เกิดจากความต้องการความสงบสุขของสงั คม กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และกติกา ยังไม่เพียงพอท่ีจะทาให้สงั คมสงบสุขได้ จาเป็นตอ้ งมคี า สอนของศาสนาช่วยขดั เกลาอบรมจติ ใจของคนในสงั คมให้มคี วามละอายตอ่ การทาชั่ว กลัวต่อการทาผิด เมื่อใช้กฎหมายควบคกู่ บั คาสอนทางศาสนาแล้วย่อมทาใหส้ ังคมมีความสงบสุขยิ่งข้ึน 6. ประเภทของศาสนา เนื่องจากมนษุ ยม์ ีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์ สง่ิ แวดล้อม และความเชือ่ ถอื จงึ ทาใหเ้ กิด ศาสนาหลายรูปแบบข้นึ เพ่ือความสะดวกในการศึกษา จาเป็นจะตอ้ งมกี ารแบ่งศาสนาออกเป็นประเภท ต่าง ๆ ตามลักษณะและสภาพการณจ์ รงิ ในปัจจุบันของศาสนาเหล่านั้น ดังนี้ 6.1 แบง่ ตามลักษณะของศาสนา แบ่งออกเปน็ 4 ประเภท 1. เอกเทวนิยม (Monotheism) เชือ่ ในพระเจ้าองคเ์ ดียว เช่น ศาสนายิว ศาสนาครสิ ต์ และ ศาสนาอิสลาม เปน็ ตน้ 2. พหุเทวนยิ ม (Polytheism) เชือ่ ในพระเจ้าหลายองค์ เชน่ ศาสนาฮินดู และศาสนากรีก โบราณ เป็นตน้ 3. สัพพัตถนยิ ม (Pantheism) เชือ่ ว่าพระผ้เู ปน็ เจ้าสถิตอย่ใู นทกุ คน ทุกแห่ง เชน่ ศาสนา พราหมณ์-ฮินดู (บางลทั ธิ) ถอื ว่าพระพรหมสถิตอยทู่ กุ หนทุกแห่ง 4. อเทวนยิ ม (Atheism) ไมเ่ ชอื่ ว่าพระเจ้าเป็นผสู้ ร้าง ไดแ้ ก่ ศาสนาพทุ ธ ศาสนาเชน ทัง้ 4 ประเภทนี้ อาจย่อลงเป็น 2 คอื - เทวนิยม (Theism) เป็นศาสนาทีเ่ ชอ่ื ว่าพระเจา้ สรา้ งโลก ไดแ้ ก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนายวิ (ยดู าย) ศาสนาครสิ ต์ ศาสนาอิสลาม ฯลฯ - อเทวนยิ ม (Atheism) เป็นศาสนาที่ปฏิเสธเร่อื งพระเจา้ สร้างโลก ไดแ้ ก่ ศาสนาพทุ ธ ศาสนาเชน 6.2 แบง่ ตามสภาพการณจ์ รงิ ในปจั จบุ ัน แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื 6.2.1. ศาสนาท่ตี ายแลว้ (Dead Religions) หมายถงึ ศาสนาที่เคยมผี ู้นับถือในอดีตกาล แต่ปจั จุบนั ไมม่ ีผู้นบั ถอื แล้ว คงเหลือแต่ชื่อในประวัติศาสตร์เท่านั้น มี 12 ศาสนา ไดแ้ ก่ 1. ในทวปี แอฟริกา 1 ศาสนา คอื ศาสนาของอยี ิปต์โบราณ 2.ในทวีปอเมริกา มี 2 ศาสนา คอื (1) ศาสนาของเปรูโบราณ (2) ศาสนาของเม็กซกิ ันโบราณ
3. ในทวปี เอเชีย มี 5 ศาสนา คอื (1) ศาสนามถิ รา (Mithraism) ไดแ้ ก่ ศาสนาท่ีนบั ถือพระอาทติ ย์ ของพวกเปอร์เซีย (2) ศาสนามนกี ี (Manichaeism) มผี ู้นบั ถือระหว่างคริสต์ศตวรรษท่ี 3-5 ช่ือศาสนา ต้งั ขนึ้ ตามช่อื ผู้ตงั้ ศาสนาน้ี เรยี กท่วั ไปว่า มนี ศาสนาน้ถี ือว่าพระเจ้ากับซาตาน หรือพญามาร เปน็ ของคู่ กนั ชัว่ นิรนั ดร (3) ศาสนาของชนเผ่าบาบิโลเซยี (4) ศาสนาของชนเผา่ ฟีนิเซีย (5) ศาสนาของพวกฮิตไตต์ (Hittites) ชนพวกน้เี ป็นชนชาติโบราณท่ตี ัง้ ภมู ลิ าเนาอยู่ ในเอเชยี ไมเนอร์ 4. ในทวีปยุโรป มี 4 ศาสนา คอื (1) ศาสนาของพวกกรีกโบราณ (2) ศาสนาของพวกโรมันโบราณ (3) ศาสนาของพวกติวตนั ยคุ แรก (4) ศาสนาของพวกที่อยู่ ณ แหลมสแกนดเิ นเวยี (สวีเดน นอรเ์ วย์ และเดนมารก์ ) 6.2.2. ศาสนาท่ียงั มชี ีวิตอยู่ (Living Religion) หมายถงึ ศาสนาท่ยี ังมผี ้นู ับถอื อยู่ ใน ปัจจบุ ันมี 12 ศาสนา ดงั นี้ 1. ศาสนาท่ีเกดิ ในเอเชียตะวนั ออก 1.1 ศาสนาเต๋า 1.2 ศาสนาขงจ๊ือ 1.3 ศาสนาชินโต 2. ศาสนาท่ีเกดิ ในเอเชยี ใต้ 2.1 ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู 2.2 ศาสนาเชน 2.3 ศาสนาพทุ ธ 2.4 ศาสนาซกิ ข์ 3. ศาสนาท่ีเกิดในเอเชียตะวนั ตก 3.1 ศาสนาโซโรอสั เตอร์ 3.2 ศาสนายูดาย หรอื ยิว 3.3 ศาสนาคริสต์ 3.4 ศาสนาอสิ ลาม 3.5 ศาสนาบาไฮ
6.3 แบ่งตามลาดับแหง่ ววิ ฒั นาการของศาสนา แบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ 6.3.1. ศาสนาธรรมชาติ (Natural Religion) คือศาสนาทน่ี บั ถือธรรมชาติ มีความรสู้ ึกวา่ ใน ธรรมชาติ เช่น แมน่ ้า ภเู ขา ปา่ ไม้ ฯลฯ มวี ญิ ญาณสิงอยู่ จงึ แสดงความเคารพนบั ถอื โดยการเซ่นสรวง สังเวย เป็นต้น การทมี่ นุษยเ์ ห็นปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ทางธรรมชาตแิ ล้วใชค้ วามรสู้ กึ สามัญของมนษุ ย์ตัดสนิ กระทง่ั ทาให้เกดิ ความเชอ่ื ว่าทุกอย่างต้องมผี ้สู ร้าง ธรรมชาตินั้นมสี ง่ิ ศักดิส์ ิทธิ์ ที่อยู่เหนือธรรมชาติคอย ควบคุมอยู่ ซงึ่ เป็นการแสดงออกของศาสนาดง้ั เดิม และเป็นขั้นแรกทม่ี นุษย์แสดงออกเกีย่ วกบั สง่ิ เหนอื ธรรมชาติ 6.3.2. ศาสนาองคก์ ร (Organized Religion) ศาสนาประเภทนี้มวี ิวฒั นาการมาโดยลาดับ มี การจดั รูปแบบ มีการควบคุมเปน็ ระบบ จนถึงกบั กอ่ ตงั้ ในรูปสถาบันขึน้ อาจเรียกวา่ ศาสนาทางสงั คม (Associative Religion) ซงึ่ มกี ารจัดระบบความเช่อื ตอบสนองสังคม โดยคานงึ ถงึ ความเหมาะสมแก่ สภาวะของแตล่ ะสังคมเป็นหลกั และก่อรปู เป็นสถาบนั ทางศาสนาขึ้น เปน็ เหตใุ ห้ศาสนาประเภทน้ีมี ระบบและรูปแบบของตัวเอง มีความม่ันคงถาวรในสังคมสืบมา เชน่ ศาสนายวิ ศาสนาคริสต์ ศาสนา อิสลาม ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู และศาสนาพทุ ธ เปน็ ตน้ 6.4 แบง่ ตามประเภทของผูน้ ับถือศาสนา แบง่ ออกได้ 3 ประเภท คอื 6.4.1. ศาสนาเผ่า (Tribal Religion) คือ ศาสนาของคนในเผ่าใดเผ่าหน่งึ เป็นความเชอื่ ของ กลุ่มชนในเผ่า เช่น ศาสนาของคนโบราณเผา่ ตา่ ง ๆ ซงึ่ ไดพ้ ัฒนาการขึ้นเป็นศาสนาชาติ เช่น ศาสนา เชน และศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู นับถือกันเฉพาะในประเทศอินเดียเป็นสว่ นใหญ่ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ นับถือเฉพาะในหมู่ชนเผา่ เปอรเ์ ซยี ศาสนายดู ายหรอื ศาสนายิว นับถือกันเฉพาะในประเทศอสิ ราเอล หรอื หม่ชู าวยวิ ศาสนาชินโตนบั ถอื เฉพาะในหมู่ชาวญปี่ ุ่น และศาสนาขงจ๊ือกน็ บั ถือเฉพาะในหมูช่ าวจีน 6.4.2. ศาสนาโลก (World Religion) คือ ศาสนาที่มีผู้นบั ถอื กระจายอยู่ทั่วโลก ไมจ่ ากัดอยู่ เฉพาะกลุม่ บุคคลกลมุ่ ใดกลุ่มหนง่ึ และที่ใดท่หี นึง่ เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาครสิ ต์ และศาสนาอสิ ลาม ซงึ่ เรยี กอีกอย่างว่าศาสนาสากล 6.4.3. ศาสนานิกาย (Segmental Religion) คือ ศาสนาท่เี กดิ จากศาสนาใหญ่ หรือนกิ าย ย่อยของศาสนาสากล ซง่ึ เกิดข้นึ จากสาเหตคุ วามกดดันทางสงั คม เช่น การเหยยี ดสีผวิ สิทธิทาง กฎหมาย ความไมเ่ ท่าเทียมกัน ฯลฯ กลุ่มบุคคลทเ่ี สยี เปรียบทางสังคมจงึ หาทางแก้ไขปญั หาเหล่าน้ีและ ธารงไวซ้ งึ่ วัฒนธรรมของตน จงึ ฟนื้ ฟูลทั ธิศาสนาและระบบทางสังคมใหเ้ ป็นของตวั เองข้ึนมาใหม่ โดย รวบรวมผูค้ นท่ีเห็นดว้ ยทาการเผยแผ่ศาสนาและวฒั นธรรมของตนในตา่ งแดน เชน่ กลุ่มชาวพุทธใน อนิ โดนีเซีย กลุม่ มุสลิมดาในอเมรกิ า กล่มุ โซโรอสั เตอรใ์ นอินเดีย กลุม่ ฮินดูในแอฟริกาใต้ เปน็ ต้น โดย อาศัยศาสนาเปน็ พลงั ชี้นา
7 ความสาคัญของศาสนา ศาสนานั้นเปน็ สิง่ ที่สาคญั มาก ไมว่ ่าศาสนาใด ๆ กต็ าม ลว้ นแต่มีลกั ษณะร่วมสาคัญ คอื สอนคน ให้เป็นคนดี มศี ลี ธรรมประจาใจ อยใู่ นสังคมได้อย่างสันติสขุ อกี ท้งั ยังเป็นที่ยึดเหน่ียวทางจิตใจ และมี หลกั ในการดาเนินชีวติ ท่ถี กู ตอ้ งและปลอดภัย ดังนน้ั ศาสนาจึงเป็นเร่ืองท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ชีวิตของมนษุ ย์ทกุ รปู ทกุ นาม ไมว่ า่ มนษุ ยจ์ ะเจริญหรือลา้ หลงั ก็ตาม ก็ย่อมมีศาสนาประจาบา้ นเมอื ง ประจาหมคู่ ณะ หรอื อย่างน้อยก็ประจาตระกูลหรือครอบครวั ความสาคญั ของศาสนานอกจากท่กี ล่าวมาแล้วน้นั ยังมอี ีก นานปั การ ได้แก่ 1. ศาสนาเป็นเครอื่ งสัง่ สอนใหม้ นษุ ย์ประพฤตปิ ฏบิ ัติในทางท่ีถกู ตอ้ งดีงาม เปน็ ประโยชน์ ตอ่ ตนเอง สงั คม และประเทศชาติ 2. ศาสนาเป็นบ่อเกดิ แหง่ ศีลธรรมจรรยาและขนบธรรมเนยี มประเพณีทช่ี อบ อันเป็นเครื่อง ประกอบใหเ้ กิดความสมัครสมานสามัคคี มีเอกลกั ษณ์ อารยธรรม และวฒั นธรรมอันดีงาม เป็นของ ตนเอง 3. ศาสนาเป็นเครือ่ งบาบดั ทุกข์และบารุงสขุ ให้แกม่ นษุ ย์ ท้ังทางด้านร่างกายและจติ ใจ 4. ศาสนาเปรียบเสมือนดวงประทีปโคมไฟทใ่ี ห้ความสว่างไสวแกเ่ สน้ ทางการดาเนินชีวติ ของ มนุษย์ผูอ้ าศัยอยู่ในโลก 5. ศาสนาชว่ ยทาให้ชวี ิตครอบครัวอบอนุ่ เป็นแหลง่ ผลติ ทรพั ยากรมนษุ ย์ท่ีมคี ุณค่าใหแ้ ก่สังคม 6. ศาสนาเป็นพลงั ใจใหม้ นุษยส์ ามารถเผชิญชีวิตด้วยความกล้าหาญ ไม่หว่ันไหวต่อโลกธรรม ทาใหม้ คี วามสงบสุขและผาสกุ ในชีวิต 7. ศาสนาช่วยยกระดับจิตใจ ทาให้เป็นผูค้ วรแก่การเคารพนับถอื อีกท้ังยังช่วยสร้างจิตสานึกใน คุณค่าของความเป็นมนษุ ยใ์ หก้ ับคนในสงั คมอกี ด้วย 8. ศาสนาชว่ ยสร้างมนษุ ยสัมพันธอ์ นั ดีต่อกัน ช่วยขจดั ชอ่ งวา่ งทางสังคม สร้างความไว้วางใจซง่ึ กันและกันให้เกดิ ขึ้น เปน็ รากฐานแหง่ ความสามัคคี การรว่ มแรงร่วมใจกนั พัฒนาชุมชน และสร้างความ สงบสขุ ความมน่ั คงใหแ้ ก่ชมุ ชน 9. ศาสนาช่วยให้มนษุ ยไ์ ดป้ ระสบความสุขสงบและสนั ติสขุ ขั้นสงู จนกระทง่ั บรรลถุ ึงเป้าหมาย สูงสดุ ของชวี ติ คือ หมดทุกข์โดยสน้ิ เชงิ ได้ 10. ศาสนาเป็นมรดกลา้ ค่าแห่งมนุษยชาติ เปน็ ความหวังและวิถที างสุดทา้ ยแหง่ ความอยู่รอด ของมวลมนุษยชาติ 8. คุณคา่ ทางศาสนา ศาสนามีคณุ ค่านานัปการ คุณคา่ ของศาสนาที่มีตอ่ มนษุ ยเ์ ป็นคุณค่าทางจติ ใจ อันถือว่าสงู กวา่ คุณคา่ ทางวัตถุ คณุ คา่ ของศาสนาทพี่ อประมวลได้ เชน่ 1. เปน็ ทยี่ ดึ เหนย่ี วจิตใจของมนษุ ย์ คือ เปน็ ทพ่ี ่งึ ทางใจ ทาใหไ้ ม่รสู้ กึ อ้างว้าง ว้าเหว่จนเกนิ ไป
2. เปน็ บอ่ เกิดแห่งความสามัคคีของหมู่คณะ รวมถงึ ความสามัคคีในหมู่มวลมนุษยชาติ 3. เปน็ บ่อเกดิ แหง่ การศกึ ษาทง้ั ในด้านพุทธศิ กึ ษา จริยศกึ ษา และศลี ธรรมจรรยา 4. เปน็ บอ่ เกดิ แหง่ จรยิ ธรรม ศีลธรรม และคณุ ธรรม 5. เปน็ บอ่ เกดิ แห่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามทั้งหลาย 6. เป็นเครือ่ งดับความเรา่ ร้อนทางใจ ทาใหใ้ จสงบเยน็ 7. เป็นดวงประทีปส่องโลกทม่ี ืดมดิ 8. เปน็ ส่ิงที่แยกมนุษย์ออกจากสตั ว์ เพราะสัตว์ไม่มศี าสนา 9.ประโยชนข์ องศาสนา เมอ่ื มนษุ ยไ์ ด้นาหลักศาสนาไปประพฤติปฏิบตั ใิ นวถิ ชี วี ิตของตนอยา่ งสม่าเสมอแลว้ ยอ่ ม ก่อใหเ้ กดิ ประโยชนอ์ ย่างเอนกอนนั ตต์ อ่ ตนเองอย่างแน่นอน ประโยชน์ของศาสนาโดยภาพรวมมีดงั น้ี 1. ศาสนาช่วยทาให้คนมีจิตใจสูงและประเสรฐิ กว่าสัตว์ 2. ศาสนาชว่ ยทาให้คนมีวนิ ัยในตัวเองสูง 3. ศาสนาช่วยทาให้คนในสังคมอยกู่ ันไดอ้ ย่างสงบสุข 4. ศาสนาช่วยส่งเสรมิ และสรา้ งสรรค์ผลงานอนั มีคุณค่าทางด้านศิลปะ และวัฒนธรรมแก่สังคม 5. ศาสนาช่วยใหค้ นมคี วามอดทน ไม่หว่นั ไหวในโลกธรรม ไมด่ ีใจจนเกินเหตุเม่ือประสบกับ อารมณ์ดี และไมเ่ สียใจจนเสียคนเมือ่ เผชิญกับเหตุร้าย 6. ศาสนาช่วยประสานรอยร้าวในสงั คมมนุษย์ ทาใหส้ ังคมมีเอกภาพในการทา การพดู และการ คดิ 7. ศาสนาทาใหม้ นุษย์ปกครองตนเองได้ในทุกสถานและทุกเวลา 8. ศาสนาสอนให้มนษุ ยม์ ีจิตใจสะอาด ไมก่ ล้าทาความชว่ั ทั้งในท่ีลับและทแี่ จง้ 9. ศาสนาทาให้มนุษย์ผู้ประพฤติตาม พน้ จากความทกุ ข์ ความเดือดรอ้ น และช่วยให้ประสบ ความสงบสขุ ทางจติ ใจอย่างเปน็ ลาดับขั้นตอนจนบรรลเุ ป้าประสงคส์ ูงสุดของชีวติ 10. ศาสนาชว่ ยใหม้ นุษย์มีความสามัคคี ช่วยเหลอื เกอื้ กูลกนั ทาให้อยู่รว่ มกันเป็นหมู่คณะได้ อย่างมีความสุข 11. ศาสนาชว่ ยให้มีหลักในการดาเนินชีวติ ใหช้ ีวิตมีความหมายและความหวัง และชว่ ยใหเ้ กิด เสถียรภาพและความสงบสุขในสังคม
แบบฝึกปฏิบัติ เรอ่ื ง ความร้พู ้ืนฐานเก่ียวกับศาสนา 1.ให้นักเรยี นเขยี นเคร่อื งหมาย / หน้าข้อความท่ีถูกต้อง และเครื่องหมาย X หน้าข้อความท่ไี ม่ ถูกต้อง ..........ศาสนาคอื คาส่งั สอนของศาสดาเพอ่ื ให้มนุษย์บรรลุจดุ มุ่งหมายสูงสดุ ของชวี ิตโดยปฏิบตั ติ ามวิธี หรือพธิ กี รรมความเช่ือทสี่ บื ทอดมา ..........ความเช่ือเรอื่ งผีสางเทวดา เป็นความเชอื่ ในระดับตา่ สุดของมนุษย์ ..........ศาสนาพทุ ธ เชน และพรามณ์-ฮินดู เป็นศาสนาประเภทเดียวกนั ..........ศาสนาทกุ ศาสนามีความคล้ายกันมากทส่ี ดุ คอื มศี าสดาเปน็ ผู้ประกาศศาสนา ..........ดอกไม้ ธูป เทียน จัดเปน็ องค์ประกอบอยา่ งหน่ึงของศาสนา ..........ศาสนาท่ีมีมลู เหตเุ กดิ จากความภกั ดีไดแ้ ก่ ศาสนายิว และศาสนาเชน ..........ศาสนาประเภทอเทวนิยมจะไม่เชอื่ ว่าพระเจ้าเป็นผูส้ รา้ งสรรพสิ่งบนโลก ..........ศาสนาโซโรอัสเตอร์จัดเปน็ ศาสนาทต่ี ายแลว้ ..........บอ่ เกิดแหง่ ขนบธรรมเนยี มประเพณอี ันดงี ามทง้ั หลายมีทมี่ าจากศาสนา ..........ศาสนาชว่ ยใหม้ หี ลักในการดาเนินชีวิตและปกครองตนเองไดท้ กุ สถานทแ่ี ละทกุ เวลา 2. ให้นักเรยี นโยงเส้นจับคู่ขอ้ ความทางดา้ นซ้ายกับดา้ นขวาทีม่ ีความสัมพันธ์กัน 1.ลักษณะของศาสนา ก.เทวนิยม 2.ศาสดา ข.พิธกี รรมสาคัญของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 3.ความเชือ่ ในเทพเจ้า ค.ศาสนสถาน 4.พระไตรปิฎก ง.ศาสนาชินโต 5.สายธุรา จ. ที่ยึดเหนยี่ วและท่พี ึ่งทางใจ 6.สถานท่ีประกอบศาสนพิธีตา่ งๆ ฉ.ศาสนาพุทธ เชน สิกข์ พราหมณ์-ฮนิ ดู 7.พหเุ ทวนยิ ม ช.ศาสนธรรมของพุทธศาสนา 8.ศาสนาเผ่า ซ.ความไมร่ ู้ ไมเ่ ขา้ ใจแจ่มแจ้ง 9.ศาสนาในเอเซยี ใต้ ฎ. ผ้กู ่อตั้งศาสนา 10.อวิชชา ฏ.เช่ือในพระเจ้าหลายองค์ 3.ให้นักเรียนตอบคาถามตอ่ ไปน้ี 3.1 นักเรยี นได้นาเอาศาสนามาใชใ้ นชีวติ ประจาวนั อย่างไรยกมา 1 เรอ่ื ง ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................................
3.2 ให้นักเรียนอธิบายคากลา่ วทีว่ า่ “ศาสนาเปน็ ดวงประทปี ส่องโลกท่ีมืดมดิ ” มาให้เข้าใจ ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... 3.3ให้นกั เรยี นบอกความเช่อื ในท้องถ่นิ ของนกั เรียนมา 1 เร่อื ง พร้อมสรุปวา่ เก่ยี วกับมูลเหตทุ ีท่ าให้ เกิดศาสนาด้านใด ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................... .........................................................................................................................................................
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: