Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คำไทย ๗ ชนิด ครูภาคิน บุญมี

คำไทย ๗ ชนิด ครูภาคิน บุญมี

Published by mdagk, 2022-05-13 07:21:31

Description: คำไทย ๗ ชนิด ครูภาคิน บุญมี

Search

Read the Text Version

สรุปเรื่อหงคลำักใภนาภษาษาาไไททยย ครูภาคิน บุญมี ครูผู้สอนรายวิชาภาษาไทย โรงเรียนห้วยกระเจาพิทยาคม จังหวัดกาญจนบุรี ครูผู้สอน

กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรยี นห้วยกระเจาพทิ ยาคม คำไทยแบ่งออกเปน็ ๗ ชนิด แตล่ ะชนิดมีลักษณะและหน้าทีแ่ ตกต่างกนั ออกไป การเรียนรเู้ รอื่ งลกั ษณะของคำเพ่ือสร้างเป็นกลุ่มคำ และประโยคเป็นเรื่องสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่งในการเรียนและการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน คำแต่ละคำ มีความหมาย ความหมายของคำจะปรากฏชดั เมื่ออยู่ในประโยค การสังเกตตำแหนง่ และหน้าของคำในประโยค จะช่วยให้เราทราบชนิดของคำรวมทั้งความหมายด้วย ดังนั้นการศึกษาให้เข้าใจหน้าที่และชนิดของคำ ในประโยคจึงมีความสำคัญมากเพราะจะช่วยให้เราสามารถใช้คำได้ถู กต้องตรงตามความหมายที่ต้องการ ซง่ึ ประเภทของคำในภาษาไทย มดี ังนี้ ๑. คำนาม ความหมายของคำนาม คำนามหมายถึง คำที่ใช้เรียกชื่อ คน สัตว์ พืช สิ่งของ สถานท่ี สภาพ อาการ ลักษณะ ทั้งที่เป็น สิ่งมีชีวิต หรือสิ่งไม่มีชีวิต ทั้งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม เช่นคำว่า คน ปลา ตะกร้า ไก่ ประเทศ ไทย จงั หวัดพจิ ิตร การออกกำลังกาย การศึกษา ความดี ความงาม กอไผ่ กรรมกร ฝงู ตวั เปน็ ตน้ ชนิดของคำนาม คำนามแบง่ ออกเปน็ ๕ ชนดิ ดังน้ี ๑. สามานยนาม หรือเรียกว่า คำนามทั่วไป คือ คำนามที่เป็นชื่อทั่วๆ ไป เป็นคำเรียกสิ่งต่างๆ โดยท่ัวไปไมช่ ้ีเฉพาะเจาะจง เช่น ปลา ผีเส้ือ คน สนุ ขั วดั ต้นไม้ บ้าน หนงั สอื ปากกา เปน็ ต้น ๒. วิสามานยนาม หรือเรียกว่า คำนามเฉพาะ คือ คำนามที่ใช้เรียกชื่อเฉาะของคน สัตว์ หรือ สถานท่ี เป็นคำเรียนเจาะจงลงไปว่า เป็นใครหรือเป็นอะไร เช่น พระพุทธชินราช เด็กชายวิทวัส จังหวัด พจิ ิตร วดั ทา่ หลวง ส้มโอท่าขอ่ ย พระอภัยมณี วันจันทร์ เดอื นมกราคม เปน็ ตน้ ๓. สมหุ นาม คือ คำนามที่ทำหนา้ ท่แี สดงหมวดหมูข่ องคำนามท่ัวไป และคำนามเฉพาะ เชน่ ฝงู ผึ้ง กอไผ่ คณะนกั ทัศนาจร บริษัท พวกกรรมกร เป็นตน้ ๔. ลักษณะนาม คือ เป็นคำนามที่บอกลักษณะของคำนาม เพื่อแสดงรูปลักษณะ ขนาด ปริมาณ ของคำนามน้นั น้ันใหช้ ดั เจน เช่น บ้าน ๑ หลัง โตะ๊ ๕ ตวั คำวา่ หลัง และ ตวั เป็นลกั ษณะนาม ๕. อาการนาม คือ คำนามที่เป็นชื่อกริยาอาการ เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง มักมีคำว่า \"การ\" และ \"ความ\" นำหน้า เช่น การกิน การเดิน การพูด การอ่าน การเขียน ความรัก ความดี ความคิด ความฝนั เป็นตน้ 1

กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย โรงเรยี นหว้ ยกระเจาพิทยาคม หนา้ ท่ีของคำนาม มีดงั นค้ี ือ ๑. ทำหนา้ ทเี่ ป็นประธานของประโยค เชน่ - ประกอบชอบอา่ นหนังสือ - ตำรวจจับผ้รู ้าย ๒. ทำหน้าท่เี ปน็ กรรมหรือผู้ถูกกระทำ เช่น - วารอี ่านจดหมาย - พ่อตีสนุ ัข ๓. ทำหน้าที่ขยายนาม เพอื่ ทำให้นามทีถ่ ูกขยายชัดเจนขึน้ เช่น - สมศรเี ป็นขา้ ราชการครู - นายสมศักดิท์ นายความฟ้องนายปัญญาพอ่ ค้า ๔. ทำหนา้ ทีเ่ ป็นส่วนสมบรู ณห์ รอื สว่ นเติมเตม็ เช่น - ศรรามเป็นทหาร - เขาเป็นตำรวจแตน่ อ้ งสาวเป็นพยาบาล ๕. ใช้ตามหลังคำบุพบทเพื่อทำหน้าที่บอกสถานท่ี หรือขยายกริยาให้มีเนื้อความบอกสถานที่ชัดเจน ข้ีน เชน่ - คุณแม่ของเดก็ หญงิ สายฝนเป็นครู - นกั เรียนไปโรงเรียน ๖. ใช้บอกเวลาโดยขยายคำกรยิ าหรือคำนามอืน่ เชน่ - คุณพอ่ จะไปเชียงใหมว่ ันเสาร์ - เขาชอบมาตอนกลางวัน ๗. ใช้เป็นคำเรียกขานได้ เช่น - นำ้ ฝน ชว่ ยหยิบปากกาใหค้ รทู ซี ิ - ตำรวจ ช่วยฉนั ดว้ ย ๒. คำกริยา ความหมายของคำกริยา คำกรยิ า หมายถึง คำแสดงอาการ การกระทำ หรอื บอกสภาพของคำนามหรือ คำสรรพนาม เพื่อให้ได้ความ เช่นคำว่า กิน เดิน นั่ง นอน เล่น จับ เขียน อ่าน เป็น คือ ถูก คล้าย เปน็ ตน้ ชนิดของคำกริยา คำกริยาแบง่ เป็น ๕ ชนดิ ๑. อกรรมกริยา คือ คำกริยาทไ่ี ม่ตอ้ งมกี รรมมารบั ก็ไดค้ วามสมบรู ณ์ เขา้ ใจได้ เชน่ - เขา\"ยืน\"อยู่ - น้อง\"นอน\" 2

กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย โรงเรียนหว้ ยกระเจาพทิ ยาคม ๒. สกรรมกรยิ า คอื คำกรยิ าท่ตี ้องมีกรรมมารบั เพราะคำกรยิ าน้ีไม่มีความสมบรู ณ์ในตวั เอง เช่น - ฉนั \"กนิ \"ขา้ ว (ข้าวเป็นกรรมทีม่ ารบั คำวา่ กนิ ) - เขา\"เห็น\"นก (นกเปน็ กรรมท่ีมารบั คำว่าเห็น) ๓. วิกตรรถกริยา คือ คำกริยาที่ไม่มีความหมายในตัวเอง ใช้ตามลำพังแล้วไม่ได้ความ ต้องมีคำอ่ืน มาประกอบจึงจะไดค้ วาม คำกรยิ าพวกนค้ี ือ เป็น เหมอื น คล้าย เทา่ คอื เช่น - เขา\"เป็น\"นกั เรียน - เขา\"คอื \"ครูของฉันเอง ๔. กริยานุเคราะห์ คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่ช่วยคำกริยาสำคัญในประโยคให้มีความหมายชัดเจนขึ้น ไดแ้ กค่ ำว่า จง กำลงั จะ ย่อม คง ยัง ถูก นะ เถอะ เทอญ ฯลฯ เชน่ - นายดำ\"จะ\"ไปโรงเรยี น - เขา\"ถูก\"ตี ๕. กริยาสภาวมาลา คือ คำกริยาที่ทำหน้าที่เป็นคำนามจะเป็นประธาน กรรม หรือบทขยายของ ประโยคกไ็ ด้ เชน่ - \"นอน\"หลับเปน็ การพักผ่อนที่ดี (นอน เปน็ คำกริยาทเ่ี ป็นประธานของประโยค) - ฉันชอบไป\"เท่ยี ว\"กบั เธอ (เท่ยี ว เปน็ คำกริยาทเี่ ปน็ กรรมของประโยค) หนา้ ที่ของคำกริยามีดงั นคี้ ือ ๑. ทำหน้าท่เี ป็นตวั แสดงในภาคแสดงของประโยค เช่น - ขนมวางอยู่บนโตะ๊ - นกั เรยี นอ่านหนงั สอื ทกุ วนั ๒. ทำหน้าท่ขี ยายคำนาม เชน่ - วันเดินทางของเขาคอื วันพรงุ่ น้ี (\"เดินทาง\" เปน็ คำกรยิ าท่ีไปขยายคำนาม \"วัน\") ๓. ทำหนา้ ทีข่ ยายกริยา เชน่ - เด็กคนนัน้ นง่ั ดนู ก (\"ด\"ู เป็นคำกริยาทไ่ี ปขยายคำกรยิ า \"น่ัง\") ๔. ทำหน้าทีเ่ หมือนคำนาม เชน่ - ออกกำลังกายทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง (\"ออกกำลังกาย\" เป็นคำกริยา ทำหน้าท่ี เปน็ ประธานของประโยค) 3

กลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย โรงเรยี นห้วยกระเจาพทิ ยาคม ๓. คำสรรพนาม ความหมายของคำสรรพนาม คำสรรพนาม หมายถึง คำที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวถึงมาแล้ว เพื่อจะได้ไม่ ตอ้ งกลา่ วคำนามน้ันซ้ำอีก เช่นคำวา่ ฉัน เรา ดฉิ นั กระผม กู คณุ ทา่ น ใต้เท้า เขา มนั ส่ิงใด ผ้ใู ด น่ี น่นั อะไร ใคร บา้ ง เปน็ ตน้ ชนดิ ของคำสรรพนาม คำสรรพนามแบง่ ออกเป็น ๖ ชนดิ ดังน้ี ๑. บรุ ษสรรพนาม คอื คำ สรรพนามทใ่ี ชแ้ ทนผู้พูด แบง่ เป็นชนดิ ย่อยได้ ๓ ชนิด คือ ๑.๑ สรรพนามบุรุษท่ี ๑ ใช้แทนตัวผู้พูด เช่น ผม ฉัน ดิฉัน กระผม ข้าพเจ้า กู เรา ขา้ พระพุทธเจ้า อาตมา หม่อมฉัน เกล้ากระหมอ่ ม ๑.๒ สรรพนามบุรษุ ท่ี ๒ ใชแ้ ทนผูฟ้ งั หรือผู้ท่ีเราพดู ด้วย เชน่ คุณ เธอ ใตเ้ ทา้ ท่าน ใต้ ฝา่ ละอองธุลพี ระบาท ฝ่าพระบาท พระคุณเจา้ ๑.๓ สรรพนามบุรษุ ที่ ๓ ใช้แทนผทู้ ีก่ ลา่ วถึง เขา มนั ทา่ น พระองค์ ๒. ประพันธสรรพนาม คอื คำสรรพนามทใี่ ชแ้ ทนคำนามและใชเ้ ช่ือมประโยคทำหนา้ ท่ีเช่ือมประโยค ใหม้ คี วามสัมพันธ์กนั ได้แก่คำว่า ท่ี ซง่ึ อัน ผู้ ๓. นยิ มสรรพนาม คอื สรรพนามท่ีใชแ้ ทนนามชีเ้ ฉพาะเจาะจงหรอื บอกกำหนดความใหผ้ ู้พูดกับผู้ฟัง เข้าใจกนั ไดแ้ กค่ ำว่า น่ี นน่ั โน่น ๔. อนิยมสรรนาม คือ สรรพนามใช้แทนนามบอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจงที่แน่นอนลงไป ได้แก่คำ วา่ อะไร ใคร ไหน ได บางครง้ั กเ็ ป็นคำซำ้ ๆ เชน่ ใครๆ อะไรๆ ไหนๆ ๕. วิภาคสรรพนาม คอื สรรพนามทใี่ ช้แทนคำนาม ซงึ่ แสดงให้เห็นวา่ นามนั้นจำแนกออกเป็นหลาย ส่วน ได้แก่คำว่า ตา่ ง บา้ ง กัน เชน่ - นักเรียน\"บา้ ง\"เรยี น\"บ้าง\"เลน่ - นกั เรยี น\"ตา่ ง\"กอ็ า่ นหนงั สอื ๖. ปฤจฉาสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามทีเ่ ปน็ คำถาม ได้แก่คำว่า อะไร ใคร ไหน ผู้ใด สิง่ ใด ผู้ใด ฯลฯ เชน่ - \"ใคร\" ทำแก้วแตก - เขาไปที่ \"ไหน\" หนา้ ท่ขี องคำสรรพนาม มดี งั น้คี อี ๑. เป็นประธานของประโยค เช่น - \"เขา\"ไปโรงเรยี น - \"ใคร\"ทำดนิ สอตกอยู่บนพ้ืน 4

กลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย โรงเรียนห้วยกระเจาพทิ ยาคม ๒. ทำหน้าทเ่ี ปน็ กรรมของประโยค (ผ้ถู กู กระทำ) เช่น - ครูจะต\"ี เธอ\"ถา้ เธอไม่ทำการบา้ น - คุณชว่ ยเอา\"น่ี\"ไปเกบ็ ไดไ้ หม ๓. ทำหนา้ ที่เป็นส่วนเติมเตม็ หรือสว่ นสมบูรณ์ เชน่ - กำนันคนใหมข่ องตำบลนค้ี ือ\"เขา\"นนั่ เอง - เขาเปน็ \"ใคร\" ๔. ใช้เช่อื มประโยคในประโยคความซอ้ น เชน่ - ครชู มเชยนกั เรยี น\"ท\"ี่ ขยนั ๕. ทำหน้าที่ขยายนามที่ทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมของประโยค เพื่อเน้นการแสดงความรู้สึก ของผู้พดู จะวางหลังคำนาม - ไปเยี่ยมคุณปู่ \"ท่าน\" มา ๔. คำบุพบท ความหมายของคำบุพบท คำบุพบท หมายถึง คำที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหรือประโยค เพื่อให้ ทราบว่าคำหรือกลุ่มคำที่ตามหลังคำบุพบทนั้นเกี่ยวข้องกับกลุ่มคำข้างหน้าในประโยคในลักษณะใด เช่น กับ แก่ แต่ ตอ่ ดว้ ย โดย ตาม ขา้ ง ถงึ จาก ใน บน ใต้ สนิ้ สำหรบั นอก เพ่อื ของ เกอื บ ตั้งแต่ แห่ง ที่ เปน็ ตน้ เช่น - เขามาแตเ่ ช้า - บ้านของคณุ นา่ อยู่จรงิ - คุณครใู หร้ างวัลแกฉ่ ัน - เขาใหร้ างวัลเฉพาะคนที่สอบไดท้ ห่ี นงึ่ - ชนดิ ของคำของคำบุพบท คำบพุ บทแบง่ ออกเปน็ ๒ ชนิด ๑. คำบุพบทที่แสดงความสมั พันธ์ระหว่างคำต่อคำ คือ ความสัมพันธร์ ะหว่างคำนามกับคำนาม คำ สรรพนามกับคำนาม คำนามกับคำกรยิ า คำสรรพนามกับคำสรรพนาม คำสรรพนามกับคำกริยา คำกรยิ ากับ คำนาม คำกรยิ ากับคำสรรพนาม คำกรยิ ากับคำกริยา เพือ่ บอกสถานการใหช้ ัดเจน เชน่ ๑.๑ บอกสถานภาพความเป็นเจา้ ของ เช่น - พอ่ ซ้อื สวนของนายทองคำ (นามกับนาม) ๑.๒ บอกความเกี่ยวขอ้ ง เช่น - เขาเหน็ แกก่ ิน (กรยิ ากบั กรยิ า) 5

กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรียนหว้ ยกระเจาพิทยาคม ๑.๓ บอกการให้และบอกความประสงค์ เช่น - คณุ ครใู หร้ างวัลแก่ฉนั (นามกบั สรรพนาม) ๑.๔ บอกเวลา เชน่ - เขามาตัง้ แตเ่ ช้า (กรยิ ากบั นาม) ๑.๕ บอกสถานท่ี เชน่ - เขามาจากต่างจังหวดั (กรยิ ากบั นาม) ๑.๖ บอกความเปรียบเทียบ เชน่ - พหี่ นักกวา่ ฉนั (กรยิ ากบั สรรพนาม) ๒. คำบุพบทท่ีไมม่ ีความสัมพนั ธก์ ับคำอ่ืน สว่ นมากจะอยูต่ ้นประโยค ใช้เป็นการทักทาย มักใช้ในคำ ประพันธ์ เชน่ คำว่า ดกู ่อน ขา้ แต่ ดูกร คำเหลา่ นีใ้ ช้นำหน้าคำสรรพนามหรือคำนาม เชน่ - ดกู ่อน ภิกษทุ ง้ั หลาย - ข้าแต่ทา่ นทัง้ หลายโปรดฟงั ข้าพเจ้า หน้าที่ของคำบุพบท มดี ังนีค้ ือ ๑. ทำหน้าทนี่ ำหน้านาม เช่น - หนังสอื ของพอ่ หาย - เขาไปกับเพ่ือน ๒. ทำหน้าท่ีนำหนา้ สรรพนาม เชน่ - ปากกาของฉันอยทู่ ีเ่ ขา - ฉันชอบอยใู่ กลเ้ ธอ ๓. ทำหนา้ ทน่ี ำหนา้ กริยา เชน่ - เขากนิ เพ่ืออยู่ - เขาทำงานกระทั่งตาย ๔. ทำหนา้ ทน่ี ำหนา้ ประโยค เชน่ - เขามาตัง้ แตฉ่ ันตน่ื นอน - เขาพดู เสยี งดงั กบั คนไข้ ๕. ทำหนา้ ท่ีนำหน้าคำวิเศษณ์ เช่น - เขาต้องมาหาฉันโดยเร็ว - เขาเลวส้นิ ดี 6

กล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรยี นห้วยกระเจาพทิ ยาคม ๕. คำวิเศษณ์ ความหมายของคำวิเศษณ์ คำวิเศษณ์ หมายถึง คำที่ใช้ประกอบหรือขยายคำนาม สรรพนาม คำกริยา หรอื คำวิเศษณ์ เพือ่ ให้ไดใ้ จความชดั เจนและละเอียดมากขน้ึ เชน่ - คนอ้วนกินจุ (\"อ้วน\" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยายคำนาม \"คน\" \"จุ\" เป็นคำวิเศษณ์ที่ขยาย คำกริยา \"กนิ \") - เขารอ้ งเพลงได้ไพเราะ (\"ไพเราะ\" เปน็ คำวิเศษณท์ ีข่ ยายคำกริยา \"รอ้ งเพลง\") - เขารอ้ งเพลงได้ไพเราะมาก (\"มาก\" เป็นคำวเิ ศษณ์ท่ีขยายคำวเิ ศษณ์ \"ไพเราะ\") ชนดิ ของคำวิเศษณ์ คำวิเศษณแ์ บ่งออกเป็น ๑๐ ชนดิ ดงั น้ี ๑. ลักษณะวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกลักษณะต่างๆ เช่น บอกชนิด สี ขนาด สัณฐาน กลิ่น รส บอกความร้สู กึ เช่น ดี ชวั่ ใหญ่ ขาว รอ้ น เย็น หอม หวาน กลม แบน เป็นต้น เชน่ - น้ำร้อนอยใู นกระติกสขี าว - จานใบใหญร่ าคาแพงกว่าจานใบเล็ก ๒. กาลวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกเวลา เช่น เช้า สาย บ่าย เยน็ อดตี อนาคต เป็นต้น เชน่ - พรุง่ น้เี ปน็ วนั เกิดของคุณแม่ - เขามาโรงเรยี นสาย ๓. สถานวเิ ศษณ์ คือ คำวเิ ศษณบ์ อกสถานที่ เช่น ใกล้ ไกล บน ล่าง เหนอื ใต้ ซา้ ย ขวา เปน็ ต้น เชน่ - บา้ นฉนั อยู่ไกลตลาด - นกอยูบ่ นตน้ ไม้ ๔. ประมาณวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์บอกจำนวน หรือปริมาณ เช่น หนึ่ง สอง สาม มาก น้อย บ่อย หลาย บรรดา ตา่ ง บ้าง เปน็ ตน้ เชน่ - เขามีเงินห้าบาท - เขามาหาฉันบอ่ ยๆ ๕. ประติเษธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่แสดงความปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับ เช่น ไม่ ไม่ใช่ มิ มิใช่ ไมไ่ ด้ หามไิ ด้ เป็นต้น เช่น - เขามไิ ด้มาคนเดยี ว - ของนีไ้ ม่ใชข่ องฉัน ฉนั จึงรบั ไว้ไม่ได้ ๖. ประติชญาวิเศษณ์ คือ คำวเิ ศษณ์ท่ีใช้แสดงการขานรับหรือโตต้ อบ เช่น ครบั ขอรับ ค่ะ เป็นต้น เชน่ - คณุ ครับมคี นมาหาขอรับ 7

กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย โรงเรยี นห้วยกระเจาพทิ ยาคม - คุณครขู า สวัสดคี ะ่ ๗. นิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความชี้เฉพาะ เช่น น้ี นั่น โน่น ทั้งนี้ ทั้งนั้น แน่นอน เป็นต้น เชน่ - บา้ นนั้นไม่มีใคราอยู่ - เขาเป็นคนขยันแน่ๆ ๘. อนิยมวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่บอกความไม่ชี้เฉพาะ เช่น ใด อื่น ไหน อะไร ใคร ฉันใด เป็นต้น เชน่ - เธอจะมาเวลาใดกไ็ ด้ - คุณจะนงั่ เก้าอื้ตวั ไหนก็ได้ ๙. ปฤจฉาวิเศษณ์ คือ คำวเิ ศษณ์แสดงคำถาม หรอื แสดงความสงสัย เช่น ใด ไร ไหน อะไร ส่ิงใด ทำไม เปน็ ตน้ เชน่ - เสอ้ื ตวั นรี้ าคาเทา่ ไร - เขาจะมาเมอ่ื ไร ๑๐. ประพันธวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ที่ทำหน้าทีเ่ ชื่อมคำหรอื ประโยคให้มีความเกี่ยวข้องกัน เช่นคำ ว่า ที่ ซง่ึ อนั อยา่ ง ทว่ี ่า เพือ่ ว่า ให้ เปน็ ตน้ เชน่ - เขาทำงานหนักเพือ่ วา่ เขาจะได้มเี งินมาก - เขาทำความดี อนั หาท่ีสดุ มิได้ หน้าท่ีของคำวิเศษณ์ มีดังน้ีคอื ๑. ทำหนา้ ที่ขยายคำนาม เช่น - คนอว้ นกินจุ ( \"อ้วน\" เปน็ คำวิเศษณ์ขยายคำนาม \"คน\") - ตำรวจหลายคนจบั โจรผรู้ ้าย (\"หลาย\" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำนาม \"ตำรวจ\") ๒. ทำหนา้ ทข่ี ยายคำสรรพนาม เช่น - เราท้งั หมดช่วยกันทำงานให้เรยี บร้อย (\"ทงั้ หมด\" เป็นคำวิเศษณ์ขยายคำสรรพนาม \"เรา\") - ฉันเองเป็นคนพดู ( \"เอง\" เปน็ คำวิเศษณข์ ยายคำสรรพนาม \"ฉนั \") ๓. ทำหนา้ ทีข่ ยายกรยิ า เชน่ - เดก็ คนนน้ั นงั่ ดูนก (\"ด\"ู เปน็ คำกรยิ าท่ไี ปขยายคำกรยิ า \"นัง่ \") ๔. ทำหน้าที่เหมอื นคำนาม เช่น - ออกกำลงั กายทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง (\"ออกกำลังกาย\" เป็นคำกรยิ า ทำหน้าที่เป็น ประธานของประโยค) 8

กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย โรงเรยี นหว้ ยกระเจาพทิ ยาคม - เด็กชอบเดนิ เรว็ ๆ (\"เดิน\" เปน็ คำกรยิ า ทำหน้าทเี่ ปน็ กรรมของประโยค) ๕. ทำหน้าทเี่ ป็นตัวแสดงในภาคแสดง เชน่ - เธอสูงกว่าคนอนื่ - ขนมนี้อรอ่ ยดี ๖. คำสนั ธาน ความหมายของคำสันธาน คำสันธาน หมายถึง คำที่ใช้เชื่อมประโยค หรือข้อความกับข้อความ เพื่อทำ ใหป้ ระโยคนน้ั รัดกมุ กระชับและสละสลวย เชน่ คำว่า และ แลว้ จึง แต่ หรอื เพราะ เหตุเพราะ เปน็ ต้น เช่น - เขาอยากเรยี นหนงั สอื เก่งๆ แต่เขาไมช่ อบอ่านหนงั สอื - เขามาโรงเรียนสายเพราะฝนตกหนัก ชนดิ ของคำสนั ธาน คำสันธานแบง่ เปน็ ๔ ชนดิ ดังน้ี ๑. คำสันธานทีเ่ ชื่อมความคล้อยตามกัน ได้แกค่ ำวา่ และ ทงั้ ...และ ทัง้ ...ก็ ครัน้ ...ก็ ครนั้ ...จึง ก็ดี เมื่อ...ก็วา่ พอ...แลว้ เช่น - ทั้งพ่อและแม่ของผมเปน็ คนใต้ - พอทำการบ้านเสร็จแล้วฉันก็นอน ๒. คำสันธานที่เช่อื มความขัดแย้งกนั เชน่ คำวา่ แต่ แต่วา่ กว่า...ก็ ถึง...ก็ เปน็ ต้น เช่น - ผมต้องการพดู กับเขา แต่เขาไมย่ อมพูดกับผม - กวา่ เราจะเรียนจบเพ่ือนๆ กท็ ำงานหมดแล้ว ๓. คำสันธานที่เชื่อมข้อมความให้เลือก ได้แก่คำว่า หรือ หรือไม่ ไม่...ก็ หรือไม่ก็ ไม่เช่นนั้น มิ ฉะนัน้ ...ก็ เป็นต้น เช่น - นกั เรียนชอบเรียนวิชาคณติ ศาสตรห์ รอื ภาษาไทย - เธอคงไปซ้อื ของหรอื ไมก่ ็ไปดูหนัง ๔. คำสันธานที่เชื่อมความที่เป็นเหตุเป็นผล ได้แก่คำว่า เพราะ เพราะว่า ฉะนั้น...จึง ดังนั้น เหตุเพราะ เหตวุ า่ เพราะฉะน้นั ...จึง เป็นต้น เช่น - นักเรยี นมาโรงเรยี นสายเพราะฝนตกหนัก - เพราะวาสนาไม่ออกกำลังกายเธอจงึ อ้วนมาก หนา้ ทข่ี องคำสันธาน มีดงั นีค้ อื ๑. เชอื่ มประโยคกบั ประโยต เชน่ - เขามเี งินมากแตเ่ ขาก็หาความสขุ ไมไ่ ด้ 9

กลมุ่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย โรงเรยี นห้วยกระเจาพิทยาคม - พอ่ ทำงานหนกั เพ่ือสง่ เสียให้ลกู ๆ ไดเ้ รยี นหนังสือ - ฉันอยากได้รองเทา้ ที่ราคาถูกและใชง้ านได้นาน ๒. เชื่อมคำกบั คำหรอื กลมุ่ คำ เชน่ - สมชายลำบากเม่อื แก่ - เธอจะสู้ตอ่ ไปหรอื ยอมแพ้ - ฉันเห็นนายกรฐั มนตรีและภรยิ า ๓. เชื่อมขอ้ ความกบั ขอ้ ความ เชน่ - ชาวตา่ งชาตเิ ข้ามาอยเู่ มืองไทย เขาขยนั หมัน่ เพยี รไม่ยอมให้เวลาผ่านไปโดยเปลา่ ประโยชน์ เขาจึงร่ำรวย จนเกือบจะซื้อแผ่นดินไทยได้ทั้งหมดแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายจงต่ืนเถิด จงพากนั ขยันทำงานทกุ ชนิดเพือ่ จะได้รักษาผืนแผ่นดินของไทยไว้ ๗. คำอทุ าน ความหมายของคำอุทาน คำอุทาน หมายถึง คำที่แสดงอารมณ์ของผู้พูดในขณะที่ตกใจ ดีใจ เสียใจ ประหลาดใจ หรืออาจจะเป็นคำทใี่ ชเ้ สรมิ คำพูด เชน่ คำวา่ อยุ๊ เอะ๊ ว้าย โธ่ อนจิ จา อ๋อ เปน็ ตน้ เชน่ - เฮอ้ ! ค่อยยังช่ัวทเ่ี ขาปลอดภัย - เม่ือไรเธอจะตดั ผมตดั เผา้ เสยี ทจี ะได้ดเู รยี บรอ้ ย ชนิดของคำอทุ าน คำอทุ านแบ่งเปน็ ๒ ชนิด ดังนี้ ๑. คำอุทานบอกอาการ เป็นคำอุทานที่แสดงอารมณ์ และความรสู้ กึ ของผู้พูด เชน่ ตกใจ ใช้คำวา่ วุย้ วา้ ย แหม ตายจรงิ ประหลาดใจ ใชค้ ำวา่ เอะ๊ หอื หา รับรู้ เขา้ ใจ ใช้คำว่า เออ ออ้ ออ๋ เจ็บปวด ใชค้ ำว่า โอย๊ โอย อุ๊ย สงสาร เหน็ ใจ ใชค้ ำว่า โธ๋ โถ พทุ โธ่ อนจิ จา ร้องเรียก ใชค้ ำว่า เฮย้ เฮ้ น่ี โล่งใจ ใช้คำวา่ เฮอ เฮ้อ โกรธเคอื ง ใชค้ ำวา่ ชชิ ะ แหม ๒. คำอุทานเสริมบท เป็นคำอุทานที่ใช้เป็นคำสร้อยหรือคำเสริมบทต่างๆ คำอุทานประเภทนี้บางคำ เสริมคำทไ่ี ม่มคี วามหมายเพอ่ื ยดื เสยี งให้ยาวออกไป บางคำก็เพ่ือเน้นคำใหก้ ระชับหนกั แนน่ เช่น - เดยี๋ วนี้มือไมฉ้ นั มนั สั่นไปหมด - หนังสือหนังหาเดยี๋ วนีร้ าคาแพงมาก - พ่อแมไ่ ม่ใชห่ ัวหลักหัวตอนะ 10

กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย โรงเรียนห้วยกระเจาพทิ ยาคม หนา้ ท่ขี องคำอทุ าน มีดังน้ีคือ ๑. ทำหนา้ ท่แี สดงความรู้สึกของผพู้ ูด เช่น - ตายจรงิ ! ฉันลืมเอากระเปา๋ สตางคม์ า - โธ!่ เธอคงจะหนาวมากละซิ - เอ๊ะ! ใครกนั ท่ีนำดอกไม้มาวางไวท้ โี่ ต๊ะของฉนั ๒. ทำหนา้ ทเ่ี พ่ิมนำ้ หนกั ของคำ ซึง่ ได้แก่คำอทุ านเสริมบท เช่น - ทำเสร็จเสยี ทีจะได้หมดเรื่องหมดราวกันไป - เมอ่ื ไรเธอจะหางงหางานทำเสียที - เธอเห็นฉันเปน็ หวั หลกั หวั ตอหรืออย่างไร ๓. ทำหน้าท่ปี ระกอบขอ้ ความในคำประพนั ธ์ เชน่ - แมวเอ๋ยแมวเหมียว - มดเอย๋ มดแดง - กอ เอ๋ย กอไก่ 11

โรงเรียนห้วยกระเจาพิทยาคม จังหวัดกาญจนบุรี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook