สอ่ื สรา้ งสรรค์ให้คนไทยรกั การอ่าน ห้องสมุดประชาชนอําเภอท่าบอ่ กศน.อําเภอทา่ บ่อ สํานักงาน กศน.จังหวัดหนองคาย
ความหมายของวันวสิ าขบูชา \"วิสาขบูชา\" หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖ ซง่ึ วสิ าขบูชา ย่อมาจาก \" วสิ าขปุรณมีบูชา \" แปลว่า \" การบูชาในวันเพญ็ เดือนวสิ าขะ \" ถ้าปีใดมอี ธกิ มาส คือ มเี ดือน ๘ สองหน ก็เล่ือนไปเป็นกลางเดือน ๗
ความสาํ คัญของวนั วสิ าขบูชา วสิ าขบูชา เป็นวนั สาํ คัญยง่ิ ทางพระพทุ ธศาสนา เพราะเปน็ วนั ทพ่ี ระพทุ ธเจ้าประสูติ คือเกิด ได้ตรสั รู้ คือสาํ เรจ็ ได้ปรนิ ิพพาน คือ ดับ เกิดข้ึนตรงกันทั้ง ๓ คราว ๑. เมอ่ื เจ้าชายสทิ ธตั ถะ ประสูติที่พระราชอุทยานลมุ พนิ ีวนั ระหว่างกรุงกบลิ พสั ด์กุ ับเทวทหะ เม่อื เชา้ วันศกุ ร์ ขึ้น ๑๕ คา เดือน ๖ ปจี อ ก่อนพทุ ธศกั ราช ๘๐ ปี ๒. เม่ือเจ้าชายสทิ ธตั ถะตรสั รู้ เป็นพระพุทธเจ้าเม่ือ พระชนมายุ ๓๕ พรรษา ณ ใต้รม่ ไม้ศรมี หาโพธิ์ ฝ่ งั แม่นา เนรญั ชรา ตําบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเชา้ มืดวนั พธุ ข้นึ ๑๕ คา เดือน ๖ ปรี ะกา ก่อนพทุ ธศกั ราช ๔๕ ปี หลังจากออกผนวชได้ ๖ ปี ปจั จุบนั สถานท่ีตรสั รูแ้ ห่งนี้ เรยี กว่า พทุ ธคยา เปน็ ตําบลหนึ่งของเมอื งคยา แห่งรฐั พหิ ารของอินเดีย ๓. หลังจากตรสั รูแ้ ล้วได้ประกาศพระศาสนาและ โปรดเวไนยสัตว์ ๔๕ ปี พระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ก็เสด็จ ดับขนั ธปรนิ ิพพาน เมื่อวนั อังคาร ขึ้น ๑๕ คา เดือน ๖ ปมี ะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมลั ลกษัตรยิ ์ เมอื งกุสินารา แคว้นมลั ละ (ปจั จบุ นั อยูใ่ นเมือง กสุ ีนคระ) แคว้นอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย
นับว่าเป็นเรอ่ื งทน่ี ่าอัศจรรย์ยง่ิ ท่เี หตุการณ์ท้งั ๓ เกี่ยวกับวถิ ีชวี ิตของพระสมั มาสมั พุทธเจ้า ซึง่ มชี ว่ ง ระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี บงั เอิญเกิดข้ึน ในวนั เพญ็ เดือน ๖ ดังนั้น เมอ่ื ถึงวันสาํ คัญ เชน่ นี้ ชาว พุทธทง้ั คฤหัสถ์ และบรรพชติ ได้พรอ้ มใจกันประกอบ พิธบี ูชาพระพทุ ธองค์เปน็ การพเิ ศษ เพือ่ น้อมราํ ลึกถึง พระกรุณาธคิ ณุ พระปัญญาธคิ ณุ และพระบรสิ ทุ ธิ คณุ ของพระองค์ทา่ น ผู้เป็นดวงประทีปของโลก
ประสตู ิ พระนางสิรมิ หามายาพระมเหสีของพระเจ้า พระเจ้าสทุ โธทนะศากยราชา ทรงพระครรภ์ได้ ๑๐ เดือน ก็มคี วามประสงค์อยากจะกลับไปประสตู ิ พระราชบุตรทบ่ี า้ นเกิดของพระองค์ยงั เมือง เทวทหะ แต่ระหว่างทางเกิดเจ็บพระครรภ์ ผู้ตามเสด็จจึงจัดทพ่ี กั ใต้รม่ ไม้สาละถวาย พระนางสริ มิ หามายาจึงประสูติโอรส ณ ใต้รม่ ไม้ สาละ โดยท่ีพระหัตถ์จับก่ิงสาละประทับยืน เมื่อประสตู รแล้ว พระโอรสเดินได้ ๗ ก้าว ก็มีดอกบัวมารองรบั พระบาทไว้ ซ่งึ ตรงกับวนั เพญ็ เดือน ๖ู ก่อนพุทธศักราช ๘๐ ปี ครนั้ พระกมุ ารประสตู ิได้ ๕ วัน ก็ได้รบั การถวาย พระนามว่า \"สทิ ธตั ถะ\" แปลว่า \"สมปรารถนา\"
เมื่อข่าวการประสตู ิแพรไ่ ปถึงอสติ ดาบส ๔ ผ้อู าศัยอยูใ่ นอาศรมเชิงเขาหิมาลัยและมีความ คุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไป เขา้ เฝ้า และเมอ่ื เห็นพระราชกมุ ารก็ทํานายได้ทนั ที ว่า น่ีคือผู้จะตรสั รูเ้ ป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า \"พระราชกุมารน้ีจักบรรลุ พระสัพพัญญุตญาณ เหน็ แจ้งพระนิพพาน อันบรสิ ทุ ธอิ์ ยา่ งย่งิ ทรงหวงั ประโยชน์แก่ชน เปน็ อันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ ของพระกุมารนี้จักแพรห่ ลาย\" แล้วกราบลง แทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสทุ โธทนะ ทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรูส้ กึ อัศจรรย์ และเป่ ยี มล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาท พระราชกมุ ารตามอย่างดาบส
ตรสั รู้ หลังจากออกผนวชได้ ๖ ปี จนเม่อื พระชนมายุ ได้ ๓๕ พรรษา เจ้าชายสิทธตั ถะก็ทรงตรสั รู้ เปน็ พระพุทธเจ้า ณ ใต้รม่ ไม้ศรมี หาโพธิ์ ฝ่ ังแม่นาเนรญั ชรา ตําบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามดื ของวนั พธุ ข้นึ ๑๕ คา เดือน ๖ ปรี ะกา ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี ปจั จุบนั สถานทต่ี รสั รูแ้ ห่งน้ีเรยี กวา่ พุทธคยา เป็นตําบลหน่ึงของเมอื งคยา แห่งรฐั พหิ าร ประเทศอินเดีย
สงิ่ ท่ีตรสั รู้ คือ อรยิ สัจสี่ เปน็ ความจรงิ อันประเสรฐิ ๔ ประการของพระพทุ ธเจ้า ซ่งึ พระพทุ ธเจ้าเสด็จไปทต่ี ้นมหาโพธิ์ และทรงเจรญิ สมาธภิ าวนาจนจิตเป็นสมาธิ ได้ฌานท่ี ๔ แล้วบําเพญ็ ภาวนาต่อไป จนได้ฌาน ๓ คือ ยามต้น : ทรงบรรลุ \"ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ\" คือ ทรงระลึกชาติในอดีตทงั้ ของตนเองและผู้อื่นได้ ยามสอง : ทรงบรรลุ \"จุตปู ปาตญาณ\" คือ การรูแ้ จ้งการเกิดและดับของสรรพสตั ว์ ทง้ั หลาย ด้วยการมีตาทพิ ย์สามารถเห็นการจตุ ิ และอุบัติของวิญญาณทัง้ หลาย ยามสาม : ทรงบรรลุ \"อาสวกั ขยญาณ\" คือ รูว้ ิธกี ําจัดกิเลสด้วย อรยิ สจั ๔ (ทุกข์ สมทุ ัย นิโรธ มรรค) ได้ตรสั รูเ้ ปน็ พระสัมมาสมั พุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญ เดือน ๖ ซึ่งขณะน้ันพระพุทธองค์มีพระชนมายุ ได้ ๓๕ พรรษา
ปรนิ ิพพาน เมื่อพระพทุ ธองค์ได้ตรสั รูแ้ ละแสดงธรรม เป็นเวลานานถึง ๔๕ ปี จนมีพระชนมายุได้ ๘๐ พรรษา ได้ประทับจําพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แควน้ วชั ชี ในระหวา่ งนั้น ทรงพระประชวรอย่างหนัก ครน้ั เมอ่ื ถึงวนั เพ็ญ เดือน ๖ พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทง้ั หลาย ก็ไปรบั ภัตตาหารบณิ ฑบาตทบี่ า้ นนายจุนทะ ตามคํากราบทลู นิมนต์ พระองค์เสวยสูกรมัททวะ ท่นี ายจุนทะตั้งใจทําถวายก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกล้ันมุ่งเสด็จไปยังเมืองกสุ นิ ารา ประทบั ณ ป่าสาละ เพ่ือเสด็จดับขนั ธป์ รนิ ิพพาน
เม่ือถึงยามสุดทา้ ยของคืนน้ัน พระพทุ ธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทวา่ \"ดูก่อนภิกษุทง้ั หลายอันวา่ สังขารทัง้ หลาย ย่อมมคี วามเสอื่ มสลายไปเปน็ ธรรมดา ทา่ นทงั้ หลายจงยงั กิจทัง้ ปวงอันเปน็ ประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผ้อู ่ืน ให้บรบิ ูรณ์ด้วยความไมป่ ระมาทเถิด\" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธป์ รนิ ิพพาน ในราตรเี พ็ญ เดือน ๖ นั้น
เม่ือกล่าวโดยสรุปแล้ว วันประสตู ิ และ วันตรสั รูข้ องพระพทุ ธเจ้า เป็นวันนํามาซงึ่ ประโยชน์ซ่ึงความสุข ความเจรญิ ความชน่ื ชม โสมนัสปรดี า และปราโมทยแ์ ก่ชาวโลกทง้ั ปวง เพราะเปน็ วันที่ชาวโลกได้บุคคลท่ีสาํ คัญท่สี ดุ ของโลก ส่วนวนั ดับขนั ธปรนิ ิพพานของพระพุทธเจ้า เป็นวนั ที่นํามาซง่ึ ความทกุ ข์ระทม โศกเศรา้ อาลัยอาวรณ์เดือดรอ้ นใจของชาวโลก เปน็ อย่างยง่ิ เพราะเปน็ วนั ท่ชี าวโลก ต้องสญู เสียเอกอัครมหาบุรุษ ผสู้ ําคัญทีส่ ดุ ของโลก วนั ท้งั ๓ น้ี ตกอยู่ในวาระเดียวกัน คือ วนั เพ็ญ เดือน ๖ (ข้นึ ๑๕ คา เดือน วิสาขะ) วันนี้จึงนับว่าเป็นวนั สาํ คัญอีกวนั หน่ึง ในทางพระพทุ ธศาสนา
วสิ าขบูชาในประเทศไทย วันวิสาขบูชาน้ี ปรากฏตามหลักฐานว่า ได้มมี าตั้งแต่ครงั้ กรุงสโุ ขทัยเปน็ ราชธานี ซึง่ สนั นิษฐานว่าคงจะได้แบบอย่างมาจากลังกา กล่าวคือ เมือ่ ประมาณ พ.ศ. ๔๒๐ พระเจ้าภาติกุราช กษัตรยิ ์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธวี สิ าขบูชาอยา่ งมโหฬารเพอ่ื ถวาย เป็นพทุ ธบูชากษัตรยิ ล์ ังกาในรชั กาลต่อ ๆ มาก็ทรง ดําเนินรอยตาม แม้ปัจจบุ นั ก็ยงั ถือปฏิบตั ิอยู่ สมัยสุโขทัยนั้น ประเทศไทยกับประเทศลังกา มคี วามสัมพันธด์ ้านพระพทุ ธศาสนาใกล้ชดิ กันมาก เพราะพระสงฆช์ าวลังกาได้เดินทางเข้ามาเผยแพร่ พระพุทธศาสนา และเช่ือว่าได้นําการประกอบพธิ ี วิสาขบูชามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย
ในหนังสอื นางนพมาศได้กล่าวบรรยากาศการประกอบ พิธวี ิสาขบูชาสมยั สุโขทัยไว้ พอสรุปใจความได้วา่ \" เม่ือถึงวนั วิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ขา้ ราชบรพิ าร ท้งั ฝ่ายหน้าและฝา่ ยใน ตลอดท้งั ประชาชนชาวสโุ ขทัย ทว่ั ทุกหมู่บา้ นทกุ ตําบล ต่างช่วยกันทําความสะอาด ประดับตกแต่งพระนครสโุ ขทยั เป็นการพเิ ศษ ด้วย ดอกไมข้ องหอม จดุ ประทปี โคมไฟแลดสู วา่ งไสว ไปท่ัวพระนคร เปน็ การอุทิศบูชาพระรตั นตรยั เปน็ เวลา ๓ วนั ๓ คืน พระมหากษัตรยิ ์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีลและทรงบาํ เพ็ญพระราชกศุ ลต่างๆ ครนั้ ตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดําเนิน พรอ้ มด้วยพระ บรมวงศานุวงศแ์ ละนางสนองพระโอษฐต์ ลอดจน ขา้ ราชการทงั้ ฝา่ ยหน้าและฝ่ายในไปยังพระอาราม หลวงเพอ่ื ทรงเวยี นเทยี นรอบพระประธาน ส่วนชาวสุโขทยั ชวนกันรกั ษาศีล ฟังธรรมเทศนา ถวายสลากภัต ถวายสังฆทาน ถวายอาหารบณิ ฑบาต แด่พระภิกษุ สามเณร บรจิ าคทรพั ยแ์ จกเป็นทาน แก่คนยากจน คนกําพรา้ คนอนาถา คนแก่ คนพิการ บางพวกก็ชวนกันสละทรพั ย์ ปล่อยสัตว์ ๔ เท้า ๒ เท้า เพือ่ ชีวิตสตั ว์ให้เป็นอิสระ โดยเชอ่ื วา่ จะทําให้คนอายุ ยนื ยาวต่อไป \"
หลังจากสมัยสโุ ขทัย ประเทศไทยได้รบั อิทธพิ ล ของศาสนาพราหมณ์มากขน้ึ ทาํ ให้ในชว่ งสมยั กรุงศรอี ยุธยา ธนบุรี และรตั นโกสินทรต์ อนต้น ไมป่ รากฏหลักฐานวา่ มีการประกอบพธิ วี ิสาขบูชา จนกระท่งั มาถึง สมัยรชั กาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จ พระพทุ ธเลิศหล้านภาลัย แห่งกรุงรตั นโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๖๐) มีพระราชดํารทิ จี่ ะให้ฟ้ ืนฟพู ธิ ี วิสาขบูชาข้ึนมาใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราช (ม)ี สํานักวัดราชบูรณะ ถวายพระพรให้ทรงทําข้ึนเปน็ ครงั้ แรก ในวันขึน้ ๑๔ คา ๑๕ คา และวันแรม ๑ คา เดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๖๐ และให้จัดทาํ ตามแบบอยา่ ง ประเพณีเดิมทุกประการ เพ่อื ให้ประชาชนได้ทาํ บุญ ทาํ กศุ ลโดยท่ัวหน้ากัน การรอ้ื ฟ้ นื พธิ วี สิ าขบูชาขนึ้ มาในคราน้ี จึงถือเปน็ แบบอย่างถือปฏิบัติในการประกอบพธิ ี วนั วสิ าขบูชา ต่อเนื่องมาจวบจนกระท่ังปัจจุบนั
การจัดงานเฉลิมฉลองในวันวสิ าขบูชาทยี่ ่งิ ใหญก่ วา่ ทุกยุคทุกสมัย คงได้แก่การจัดงานเฉลิมฉลอง วัน วสิ าขบูชา พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งทางราชการเรยี กว่างาน \" ฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ \" ตั้งแต่วนั ที่ ๑๒ ถึง ๑๘ พฤษภาคม รวม ๗ วัน ได้จัดงานส่วนใหญข่ ้ึนที่ท้องสนามหลวง สว่ นสถานท่รี าชการและวัดอารามต่างๆ ประดับ ธงทิวและโคมไฟสวา่ งไสวไปทวั่ พระราชอาณาจักร ประชาชนถือศีล ๕ หรอื ศีล ๘ ตามศรทั ธาตลอด เวลา ๗ วัน มีการอุปสมบทพระภิกษุสงฆร์ วม ๒,๕๐๐ รูป ประชาชนงดฆ่าสตั ว์และงดดื่มสรุ า ต้ังแต่วันที่ ๑๒ ถึง ๑๔ พฤษภาคม รวม ๓ วัน มีการก่อสรา้ ง พุทธมณฑล จัดภัตตาหาร เลี้ยงพระ ภิกษุสงฆว์ ันละ ๒,๕๐๐ รูป ต้ังโรงทานเล้ียงอาหาร แก่ประชาชน วันละ ๒๐๐,๐๐๐ คน เป็นเวลา ๓ วัน ออกกฎหมาย สงวนสตั วป์ า่ ในบรเิ วณน้ัน รวมถึง การฆา่ สตั ว์และจับสัตว์ในบรเิ วณวดั และหน้าวดั และได้มกี ารปฏิบัติธรรมอันยงิ่ ใหญ่อยา่ ง พรอ้ มเพรยี งกัน เป็นกรณีพเิ ศษในวันวิสาขบูชาปี นั้นด้วย
วันวิสาขบูชา: วันสําคัญของโลก ในวนั ที่ 13 ธนั วาคม พ.ศ. 2542 องค์การสหประชาชาติได้ยอมรบั ญัตติทีป่ ระชุม กําหนดให้วนั วสิ าขบูชาเป็นวนั สําคัญของโลก โดย เรยี กว่า Vesak Day ตามคําเรยี กของชาวศรลี ังกา ผ้ทู ย่ี ่ืนเรอื่ งให้สหประชาชาติพจิ ารณา และได้ กําหนดให้วันวสิ าขบูชาน้ีถือเป็นวันหยุดวันหนึ่ง ของสหประชาชาติอีกด้วย ทั้งนี้เพอื่ ให้ชาวพุทธ ทั่วโลกได้มโี อกาสบาํ เพญ็ บุญเน่ืองในวันประสตู ิ ตรสั รู้ และปรนิ ิพพานของพระบรมศาสดา โดยการทีส่ หประชาชาติได้กําหนดให้วนั วิสาขบูชา เปน็ วันสําคัญของโลกน้ัน ได้ให้เหตุผลไวว้ า่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าทรงเป็นมหาบุรุษ ผูใ้ ห้ความเมตตาต่อหมูม่ วลมนุษย์ เปิดโอกาส ให้ทุกศาสนาสามารถเขา้ มาศกึ ษาพทุ ธศาสนา เพอื่ พสิ จู น์หาข้อเท็จจรงิ ได้โดยไมจ่ ําเป็นต้อง เปล่ียนมานับถือศาสนาพทุ ธ และทรงสงั่ สอน ทุกคนโดยใช้ปัญญาธคิ ณุ โดยไมค่ ิดค่าตอบแทน
อรยิ สัจ ๔ ทกุ ข์ คือ ปัญหาของชวี ิต สภาวะท่ที นได้ยาก ซงึ่ ทกุ ขข์ น้ั พ้ืนฐานคือการเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเปน็ สิง่ ทีม่ นุษย์ทุกคน ต้องเผชญิ ส่วนทุกขจ์ ร คือ ทกุ ข์ท่เี กิดขึน้ ในการ ดําเนินชีวติ ประจําวนั เชน่ การพลัดพรากจาก สงิ่ ท่เี ป็นท่รี กั หรอื ความยากจน เป็นต้น สมทุ ยั คือ ต้นเหตขุ องปัญหา เหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญข่ อง ปญั หาเกิดจาก \"ตัณหา\" อันได้แก่ ความอยากได้ ต่าง ๆ อยา่ งไมม่ ที ่ีสนิ้ สดุ นิโรธ คือ ความดับทกุ ข์ เปน็ สภาพทีค่ วามทุกข์หมดไป เพราะสามารถ ดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้ มรรค คือ หนทางท่ีนําไปส่กู ารดับทกุ ข์ เปน็ การปฏิบตั ิเพื่อแก้ปญั หา มี 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ดํารชิ อบ วาจาชอบ กระทาํ ชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ต้ังจิตมัน่ ชอบ
ทุกข์ : ธรรมท่คี วรรู้ โลกธรรม ๘ หมายถึง เรอื่ งธรรมดาของโลกท่เี กิดขน้ึ ในชวี ิต ประจําวันของมนุษย์ไม่มใี ครหลีกเล่ียงได้ หรอื สงิ่ ที่ ครอบงาํ มนุษย์ ๘ ประการ สาระสาํ คัญของโลกธรรม ๘ สรุปดังน้ี โลกธรรมฝา่ ยอิฏฐารมณ์ (มนุษยพ์ อใจ) ๑. ได้ลาภ ๒. ได้ยศ ๓. มสี รรเสรญิ ๔. มีสขุ โลกธรรมฝ่ายอนิฏฐารมณ์ (มนุษย์ไม่พอใจ) ๑. เสอื่ มลาภ ๒. เสอื่ มยศ ๓. มีนินทา ๔. มที กุ ข์
สมุทยั : ธรรมทคี่ วรละ กรรม ๑๒ หมายถึง กรรมท่จี าํ แนกตามผลที่ไดร บั มี ๑๒ ประเภท ดังน้ี ๑. กรรมที่ให้ผลตามกาลเวลา ๔ กรรม ได้แก่ กรรมทใ่ี ห้ผลในชาติน้ี กรรมทีใ่ ห้ผลชาติหน้า กรรมทใ่ี ห้ผลในชาติต่อ ๆ ไป และกรรมทเี่ ลิกผล (อโหสกิ รรม) ๒. กรรมทใ่ี ห้ผลตามหน้าที่ ๔ กรรม ได้แก่ กรรมท่ีชกั นําให้เกิด กรรมสนับสนุน กรรม ตัดรอน และกรรมบีบค้ัน ๓. กรรมทใ่ี ห้ผลตามลําดับความแรง ๔ กรรม ได้แก่ กรรมหนัก กรรมที่ทําบอ่ ย ๆ จนเคยชนิ กรรมทท่ี าํ เมอ่ื ใกล้ตาย และกรรมสักแต่วา่ ทํา (ไมม่ ีเจตนา)
นิโรธ : ธรรมท่คี วรบรรลุ วมิ ุตติ ๕ หมายถึง ภาวะท่ีไรก้ ิเลส หรอื ภาวะท่ีทกุ ขด์ ับ (ความหมายเดียวกับคําว่า นิโรธ ) มี ๕ ประการ (เรยี กย่อ ๆ ว่า สมถะ วปิ ัสสนา มรรค ผล และนิพพาน ตามลําดับ ๑. หลุดพน้ ด้วยการข่มกิเลส เป็นการระงบั กิเลสด้วยการเจรญิ สมาธิ (สมถะ) ๒. หลดุ พน้ ด้วยธรรมทีต่ รงกันขา้ ม เชน่ หลุดพน้ จากความโกรธด้วยการให้อภัย หลุดพน้ จากความเห็นแก่ตัวด้วยการเสยี สละ (วิปสั สนา) ๓. หลุดพน้ อยา่ งเด็ดขาด คือ การทาํ ลาย กิเลสท่ีมีอยู่ให้หมดไปด้วยญาณขั้นสูงสุด (มรรค) ๔. หลดุ พ้นอยา่ งสงบราบคาบ คือ หลดุ พน้ เปน็ อิสระเพราะกําจัดกิเลสทค่ี รอบงําได้อยา่ ง ราบคาบ (ผล) ๕. หลุดพน้ จนเกิดภาวะปลอดโปรง่ คือ การเขา้ สภู่ าวะนิพพาน
มรรค : ธรรมที่ควรบรรลุ อรยิ มรรค ๘ ซึ่งได้รบั การหล่อเล้ียงด้วยการดํารงชวี ิตอย่างมีสติ ความมีสตินําไปสูส่ มาธแิ ละปัญญาซง่ึ จะปลดปล่อย ให้พ้นจากความทุกขแ์ ละความโศกเศรา้ ทัง้ มวล อันจะนําไปสคู่ วามศานติและความเบิกบาน ๑. สัมมาทฏิ ฐิ : เห็นชอบ, เข้าใจถูกต้อง ๒. สัมมาสงั กัปปะ : ดํารชิ อบ นึกคิดในทางท่ถี กู ต้อง ๓. สมั มาวาจา : เจรจาชอบ ๔. สมั มากัมมันตะ : กระทําชอบ ๕. สมั มาอาชีวะ : เล้ียงชีพชอบ ๖. สัมมาวายามะ : เพยี รเพอื่ ละอกศุ ลธรรม และทาํ กศุ ลธรรมให้เจรญิ ข้ึน ๗. สัมมาสติ : การระลึกได้ ๘. สมั มาสมาธิ : สมาธทิ ่ีใช้ถกู ทางเพือ่ จุดหมายใน ทางหลุดพ้น เพอ่ื เปน็ ฐานให้ปัญญารูเ้ ขา้ ใจสิง่ ท้งั หลายตามเป็นจรงิ
คณะผจู้ ัดทํา ท่ปี รกึ ษา นายปุณณรตั น์ ศรที าพุฒ ผอู้ ํานวยการ สํานักงาน กศน. จังหวัดหนองคาย นางสาวปารชิ าติ ไชยสถิตย์ รองผู้อํานวยการสาํ นักงาน กจังหวัดหนองคาย นางจามรี ภูเมฆ ผู้อํานวยการ กศน.อําเภอทา่ บอ่ ผู้จัดทาํ /รวบรวมข้อมูล/ออกแบบ นางสาววรุณยุภา นาเกลือ บรรณารกั ษ์ชํานาญการ กศน.อําเภอทา่ บ่อ หนังสือเล่มน้ีเป็นลิขสทิ ธข์ิ องห้องสมุดประชาชนอําเภอท่าบ่อ ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอทา่ บ่อ สํานักงานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จังหวัดหนองคาย พทุ ธศักราช ๒๕๖๓
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: