Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore สรุป5บท หน้าบ้านสวยหลังบ้านสวน

สรุป5บท หน้าบ้านสวยหลังบ้านสวน

Published by nuynapitchaya, 2021-12-14 14:20:12

Description: สรุป5บท หน้าบ้านสวยหลังบ้านสวน

Search

Read the Text Version

คำนำ พืชสมุนไพร เป็นสิ่งที่อยู่คู่คนไทยมานับพันปี แต่เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันเร่ิมเข้ามามี บทบาทในบ้านเรา สรรพคุณและคุณค่าของสมุนไพรอันเป็นส่ิงที่เรียกได้ว่าภูมิปัญญาโบราณก็เริ่มถูก บดบังไปเร่ือยๆ และถูกทอดทง้ิ ไปในท่ีสุดความจริงคนส่วนใหญ่ก็พอรู้ๆ กันว่า สมนุ ไพรไทยเป็นส่ิงที่มี คุณค่าใช้ประโยชน์ได้จริง และใช้ได้อย่างกว้างขวาง แต่เป็นเพราะว่าเราใช้วิธีรักษาโรคแผนใหม่มา นานมากจนวิชาแพทย์แผนโบราณท่ีมีสมุนไพรเป็นยาหลักถูกลืมจนต่อไม่ติด เรื่องเหล่านี้เป็นเร่ืองท่ี ผู้เขียนสนใจที่จะศึกษาเรือ่ งสมุนไพรไทยภาครัฐเริ่มกลับมาเห็นคุณคา่ ของสมนุ ไพรไทยอีกครั้งด้วยการ แถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้เมือ่ วนั ท่ี 21 ตลุ าคม 2535 ว่า “ให้มีการผสมผสานการแพทย์แผนไทยและ สมุนไพรเขา้ กับระบบบรกิ ารสาธารณสุขของชุมชนอยา่ งเหมาะสม\" พชื สมุนไพร น้นั ตั้งแต่โบราณก็ทราบกันดีว่ามีคุณคา่ ทางยามากมายซง่ึ เชื่อกันอีกดว้ ยว่า ต้นพืช ต่าง ๆ ก็เป็นพืชท่ีมีสารทีเ่ ป็นตวั ยาด้วยกันทั้งส้นิ เพียงแต่วา่ พชื ชนิดไหนจะมีคุณค่าทางยามากน้อยกว่า กันเท่านั้น คาว่า สมุนไพร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง พืชที่ใช้ ทา เป็นเครื่องยา สมุนไพรกาเนิดมาจากธรรมชาติและมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะ ในทาง สุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาโรค ความหมายของยาสมุนไพรใน พระราชบัญญัตยิ า พ.ศ. 2510 ได้ระบุว่า ยาสมุนไพร หมายความว่า ยาทไ่ี ด้จากพฤกษาชาติสตั ว์หรือ แร่ธาตุ ซ่ึงมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของราก ลาต้น ใบ ดอก ผลฯลฯ ซึ่งมิได้ ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใด ๆ แต่ในทางการคา้ สมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ ถูกห่ัน ให้เป็นชิน้ เล็กลง บดเป็นผงละเอียด หรืออดั เป็นแทง่ แต่ในความรู้สกึ ของคนทัว่ ไปเมอ่ื กล่าวถึงสมุนไพร มกั นกึ ถึงเฉพาะตน้ ไมท้ น่ี ามาใช้เป็นยาเท่านัน้ กศน.อำเภอเขำสวนกวำง

สำรบัญ หนำ้ 1 เร่ือง 3 บทท่ี 1 บทนา 13 บทที่ 2 เอกสารทเ่ี กย่ี วข้อง 17 บทที่ 3 การดาเนินการ 23 บทที่ 4 ผลการดาเนนิ งาน 25 บทท่ี 5 สรปุ ผลและอภปิ รายผลการดาเนนิ งาน ภาคผนวก

1 บทท่ี 1 บทนำ 1. ชื่อโครงการ : โครงการหน้าบ้านสวย หลังบา้ นสวน เพอื่ สง่ เสรมิ กำรเรยี นรู้ศำสตร์พระรำชำ ตำมหลกั ปรัชญำของเศรษฐกจิ พอเพียง 2. สอดคลอ้ งกับยุทธศาสตรท์ ี่ 5 ด้านการสรา้ งการเตบิ โตบนคณุ ภาพชีวิตทเ่ี ปน็ มติ รกบั สง่ิ แวดล้อม 3. หลักการและเหตุผล “เศรษฐกจิ พอเพียง” เป็นแนวพระราชดาริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทาน มานานกว่า 30 ปีเป็นแนวคิดท่ีต้งั อยู่บนรำกฐำนของวฒั นธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาท่ีต้ังบน พื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้าง ภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพ้ืนฐานในการดารงชีวิต ที่สาคัญจะต้อง มี “สติ ปั ญ ญ ำ และค วำมเพี ยร” ซึ่งจะนาไป สู่ “ค วำมสุข ” ใน การดาเนิ นชีวิตอย่าง แท้จริง พระบำทสมเด็จพระเจ้ำอยู่หวั ทรงเข้ำพระราชหฤทัยในความเป็นไปของเมืองไทย และคน ไทยอย่างลึกซ้ึง และกว้างไกล ได้ทรงวางรากฐานในการพัฒนาชนบท และช่วยเหลือประชาชนให้ สามารถพ่ึงตนเองได้มีความ \"พอมีพอกิน\" และมีความอิสระที่จะอยู่ได้โดยไม่ต้องติดยึดอยู่กับ เทคโนโลยี และความเปลยี่ นแปลงของกระแสโลกาภิวฒั น์ ทรงวเิ คราะหว์ า่ หากประชาชนพงึ่ ตนเองได้ แล้วก็จะมีส่วนช่วยเหลือเสริมสร้างประเทศชาติโดยส่วนรวมได้ในที่สุด ดังพระราชดาริ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั “...การพัฒนาประเทศจาเป็นต้องทาตามลาดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลัก วิชาการ เม่ือได้พ้ืนฐานความม่ันคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความ เจรญิ และฐานะทางเศรษฐกิจข้นั ทส่ี ูงข้นึ โดยลาดับตอ่ ไป...” (พระราชดารัส 18 กรกฎาคม 2517) การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การพัฒนาท่ีต้ังอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความ ไม่ประมาท โดยคานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันท่ีดีในตัว ตลอดจนใช้ ความรู้ความรอบคอบและคุณธรรมประกอบการวางแผน การตดั สินใจ และการกระทา การมีชีวิต อยู่อย่างพออยู่ พอกิน มีอาหารมีพืชผักปลอดสารพิษสาหรับบริโภค สุขภาพก็ดีตามตลอดจน คุณภาพชีวิตก็ดีข้ึนด้วย มีรายได้เล้ียงครอบครวั ให้มีสุขและความอบอุ่นในครัวเรือน ไม่ต้องอพยพไป ทางานที่อื่น เรียกได้ว่า พออยู่ พอกินอย่างพอเพียง ด้วยเทคโนโลยีง่ายๆ แบบพ้ืนบ้านเป็น เทคโนโลยีตามแนวพระราชดาริ เพื่อมุ่งช่วยเหลือราษฎรให้พ้นจากความยากไร้ทั้งปวง กล่าวคือเป็น สังคมที่พ่ึงพาตนเองได้ เป็นสังคมเอ้ืออาทร ให้การพ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกันเพ่ือเป็นการเสริมสร้าง สงั คมและครอบครัวในชุมชนใหอ้ บอนุ่ แบบยั่งยนื ครอบครัวจดั เปน็ หน่วยทีเ่ ล็กที่สุดของสังคม ซึ่งเป็น พื้นฐานของสังคมไทยท่ีเป็นจุดกาเนิดของความรักและความเช่ือมั่น ผลักดันให้สมาชิกในครอบครัว เป็นคนที่มีคุณภาพสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ จากหลายๆครอบครัวรวมกันเป็นชุมชน เป็น

2 หมู่บา้ น หากทุกๆครอบครวั มีสว่ นร่วมในการดูแลรกั ษาสภาพแวดล้อมใหเ้ อ้อื อานวยต่อการมีสขุ ภาพ ที่ดี มีความปลอดภัยในสภาพชีวิตและทรัพย์สิน และมีสุขวิทยาส่วนบุคคลท่ีถูกต้อง โดยทุกๆ ครอบครวั ร่วมมือกันปรบั ปรุงบ้านเรือนให้สวยงาม น่าอยู่ การจดั สิ่งแวดล้อมของบ้านตนเองนั้น เป็น พ้ืนฐานการปรับปรุงสิง่ แวดล้อมของชมุ ชนและการมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนซ่ึงเป็นจุดเริม่ ต้นท่ีดี ในการพฒั นาด้านอน่ื ๆในสังคมอย่างตอ่ เน่ืองต่อไป เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครอบครัวในชุมชนตาบลท่าสีดา ให้มีความอบอุ่นและ ดารงชีพอยู่อย่างพอเพียง ลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ให้คนในชุมชน ส่งเสริมกิจกรรมอันดีที่มีอยู่ในชุมชน ให้เข้มแข็งอย่างยั่งยืน เทศบาลตาบลท่าสีดาจึงได้จัดทาโครงการฯ น้ีข้ึน โดยเร่ิมต้นจากกลุ่มผู้นา ชุมชน ที่เป็นครัวเรือนอาสาต้นแบบก่อน เพ่ือเป็นแกนนาในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ขยายผลต่อครวั เรอื นอ่นื ๆ ในชุมชนตอ่ ไป 4. วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพ่อื จัดกระบวนการเรยี นรู้ศาสตร์พระราชา ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ๒. เพอ่ื ฟืน้ ฟูแหล่งเรยี นรู้ให้สะอาดสวยงาม และพร้อมใหบ้ ริการด้วยมิตรไมตรคี วบคู่กับหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ๓. เพื่อส่งเสริมใหช้ มุ ชนมีส่วนรว่ มในการพัฒนา ปรับปรุงสภาพแวดลอ้ มในหมู่บ้านและบ้าน ของตนเอง ให้เกดิ ประโยชน์ทงั้ หน้าบ้านและหลังบา้ น

3 บทท่ี 2 เอกสำรและหลักวิชำกำรทีเ่ กี่ยวข้อง เอกสารและหลักวิชาการที่เก่ียวข้องในการดาเนินโครงการหน้าบ้านสวย หลงั บ้านสวน เพอ่ื ส่งเสริมการเรยี นรศู้ าสตร์พระราชา ตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง เปน็ หลักวชิ าที่ประมวลจากแนวคิดและทฤษฎที ่เี กย่ี วขอ้ ง ซึง่ ไดน้ าเสนอดงั นี้ 1.เทคนิคการบริหารงานแบบ PDCAA 2.งานวชิ าการ/บทความท่ีเก่ียวขอ้ ง เทคนิคกำรบริหำรงำนแบบ PDCAA ควำมหมำยของ PDCA วงจรกำรบรหิ ำรงำนคณุ ภำพ ประกอบด้วย P = Plan คอื การวางแผนงานจากวตั ถุประสงค์ และเป้าหมายท่ีกาหนดข้ึน D = Do คือ การปฏบิ ัตติ ามข้ันตอนในแผนงานทีไ่ ด้เขียนไว้อย่างเป็นระบบและมีความ ต่อเนื่อง C = Check คอื การตรวจสอบผลการดาเนนิ งานที่ได้เขยี นไวอ้ ย่างเปน็ ระบบและมีความ ตอ่ เนือ่ ง A = Action คือ การปรบั ปรุงแก้ไขสว่ นท่ีมีปัญหา หรอื ถา้ ไม่มปี ัญหาใดๆ กย็ อมรับแนวทาง ปฏบิ ัติตามแผนงานท่ีไดผ้ ลสาเร็จเพือ่ นาไปใชใ้ นการทางานครง้ั ต่อไป A = Accountability คือ นาเสนอผลประเมนิ ต่อผู้เกี่ยวข้อง และแลกเปลีย่ นและให้ข้อมูล ป้อนกลับ เม่ือไดว้ างแผนงาน (P) นาไปปฏิบตั ิ (D) ระหว่างปฏบิ ตั งิ านกไ็ ดด้ าเนนิ การตรวจสอบ (C) พบ ปญั หากด็ าเนินการแก้ไขและปรบั ปรงุ (A) การปรับปรุงกเ็ ริ่มจากการวางแผนก่อนวนไปได้เร่อื ยๆ จงึ เรยี กวงจร PDCAA ประโยชนข์ อง PDCA A 1. การวางแผนงานก่อนการปฏบิ ัติงานจะทาให้เกดิ ความพร้อม เม่ือได้ปฏบิ ตั ิงานจรงิ การ วางแผนงานควรวางให้ครบท้ัง 4 ขั้นตอน ดังน้ี - ขัน้ การศึกษา คือ การวางแผนศกึ ษาข้อมลู วธิ กี ารตอ้ งการของตลาด ข้อมูลด้านวตั ถุดิบ ด้านทรัพยากรทม่ี ีอยู่หรอื เงินทุน - ขนั้ เตรยี มงาน คือ การวางแผนการเตรยี มงานดา้ นสถานที่ การออกแบบลติ ภัณฑ์ ความ พรอ้ มของพนักงาน อปุ กรณเ์ ครื่องจักร วัตถุดบิ - ขั้นดาเนินงาน คือ กานวางแนวทางการปฏบิ ัตงิ านของแต่ละสว่ น แตล่ ะฝา่ ย เช่น ฝ่ายผลติ ฝ่ายขาย - ข้นั การประเมินผล คอื การวางแผนหรอื เตรียมการประเมนิ ผลอยา่ งเป็นระบบ เช่นการ ประเมินจากยอดการจาหน่าย ประเมินการตชิ มของลกู ค้า เพือ่ ให้ทีไ่ ดจ้ ากการประเมินการเทยี่ งตรง 2. การปฏิบัติตามแผนงาน ทาให้ทราบข้ันตอน วิธีการ และสามารถเตรียมงานล่วงหน้าหรือ ทราบอุปสรรคล่วงหน้าด้วย ดังน้ัน การปฏิบัติงานก็จะเกิดความราบร่ืน และเรียบร้อย นาไปสู่ เป้าหมายท่ไี ด้กาหนดไว้

4 3. การตรวจสอบ ใหไ้ ดผ้ ลทเ่ี ท่ยี งตรงเชือ่ ถอื ได้ ประกอบด้วย - ตรวจสอบจากเปา้ หมายท่ีได้กาหนดไว้ - มีเครื่องมือที่เชื่อถือได้ - มีเกณฑ์การตรวจสอบที่ชัดเจน - มกี าหนดเวลาการตรวจทแี่ น่นอน - บุคลากรท่ีทาการตรวจสอบตอ้ งได้รบั การยอมรับจากทุกหนว่ ยงานท่ีเก่ียวข้อง เม่ือ การตรวจสอบได้รบั กายอมรบั การปฏบิ ตั งิ านข้นั ต่อไปกด็ าเนนิ ตอ่ ไปได้ 4. การปรบั ปรุงแก้ไข ข้อบกพรอ่ งทเ่ี กิดขน้ึ ไม่วาจะเปน็ ขนั้ ตอนไดก็ตาม เมือ่ มีการปรบั ปรุง แก้ไขคุณภาพก็จะเกิดขึน้ ดงั นน้ั วงจร PDCAA จงึ เรียกวา่ วงจรบรหิ ารงานคณุ ภาพ นโยบำยเร่งดว่ นเพ่ือร่วมขับเคลอ่ื นยทุ ธศำสตร์กำรพัฒนำประเทศ 1.ยทุ ธศำสตรดำนควำมมน่ั คง 1.1 พัฒนาและเสริมสรางความจงรักภักดีตอสถาบันหลักของชาติพรอมท้ังนอมนาและเผย แพรศาสตรพระราชา หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง รวมถงึ แนวทางพระราชดาริตาง ๆ 1.2 เสริมสรางความรูความเขาใจ และการมีสวนรวมอยางถูกตองกับการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริยทรงเปนประมุข ในบริบทของไทย มีความเปนพลเมืองดี ยอมรับ และเคารพความหลากหลายทางความคิดและอดุ มการณ 1.3 สงเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาเพื่อปองกันและแกไขปญหาภัยคุกคามในรปู แบบ ใหมท้ังยาเสพตดิ การคามนษุ ย ภยั จากไซเบอร ภัยพบิ ัติจากธรรมชาติ โรคอบุ ัติใหม ฯลฯ 1.4 ยกระดับคุณภาพการศึกษาและสรางเสริมโอกาสในการเขาถึงบริการการศึกษา ในเขต พัฒนาพเิ ศษเฉพาะกิจจงั หวดั ชายแดนภาคใต และพ้ืนทช่ี ายแดนอ่นื ๆ 1.5 สรางความรู ความเขาใจในขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมของประเทศเพ่ือนบานก ลุมชาติพนั ธุ และชาวตางชาติทม่ี ีความหลากหลาย 2. ยทุ ธศำสตรดำนกำรสรำงควำมสำมำรถในกำรแขงขนั 2.1 ยกระดับการจัดการศึกษาอาชีพ กศน. เพ่ือพัฒนาทักษะอาชีพของประชาชนใหรองรับ อุตสาหกรรมเปาหมายของประเทศ (First S - curve และ New S - curve) โดยเฉพาะในพื้นท่ีเขต ระเบียงเศรษฐกิจ และเขตพัฒนาพิเศษตามภูมิภาคตาง ๆ ของประเทศ สาหรับพื้นท่ีปกติใหพัฒนา อาชพี ทเ่ี นนการตอยอดศกั ยภาพและตามบรบิ ทของพ้ืนท่ี 2.2 จัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาพ้ืนท่ีภาคตะวันออก ยกระดับการศึกษาใหกับประชาชนใหจบ การศึกษาอยางนอยการศึกษาภาคบังคับ สามารถนาคุณวุฒิที่ไดรับไปตอยอดในการประกอบอาชีพ รองรบั การพฒั นาเขตพนื้ ทร่ี ะเบยี บเศรษฐกจิ ภาคตะวันออก (EEC) 2.3 พัฒนาและสงเสริมประชาชนเพื่อตอยอดการผลิตและจาหนายสินคาและผลิตภัณฑ กศน.ออนไลนพรอมทั้งประสานความรวมมือกบั ภาคเอกชนในการเพ่ิมชองทางการจาหนายสินคาและ ผลิตภัณฑใหกวางขวางยงิ่ ข้นึ

5 3. ยุทธศำสตรดำนกำรพฒั นำและเสริมสรำงศกั ยภำพทรพั ยำกรมนุษย 3.1 สรรหา และพัฒนาครูและบุคลากรท่ีเกี่ยวของกับการจัดกิจกรรมและการเรียนรูเปนผู เช่ือมโยงความรูกับผูเรียนและผูรับบริการ มีความเปน “ครูมืออาชีพ” มีจิตบริการ มีความรอบรูและ ทันตอการเปลยี่ นแปลงของสังคม และเปน “ผูอานวยการการเรียนรู” ทสี่ ามารถบริหารจดั การความรู กิจกรรม และการเรยี นรูทด่ี ี 1) เพม่ิ อัตราขาราชการครใู หกับสถานศกึ ษาทุกประเภท 2) พฒั นาขาราชการครใู นรปู แบบครบวงจร ตามหลกั สูตรทเี่ ชอื่ มโยงกบั วทิ ยฐานะ 3) พัฒนาครูใหสามารถปฏิบัติงานไดอยางมีประสิทธิภาพ โดยเนนเรื่องการพัฒนา ทักษะการจัดการเรียนการสอนออนไลน ทักษะภาษาตางประเทศ ทักษะการจัดกระบวนการเรียนรู นโยบายเรงดวนเพ่ือรวมขบั เคลอ่ื นยุทธศาสตรการพัฒนาประเทศ 4) พัฒนาศกึ ษานเิ ทศก ใหสามารถปฏิบัตกิ ารนเิ ทศไดอยางมีประสิทธภิ าพ 5) พัฒนาบุคลากรทุกระดับทุกประเภทใหมีความรูและทักษะเรื่องการใชประโยชน จากดิจิทัลและภาษาตางประเทศที่ จาเปน รวมทั้งความรูเกี่ยวกับอาชีพท่ีรองรับอุตสาหกรรมเปา หมายของประเทศ (First S - Curve และ New S - Curve) 3.2 พัฒนาหลักสูตรการจัดการศึกษาอาชีพระยะส้ัน ใหมีความหลากหลาย ทันสมัย เหมาะสมกับบรบิ ทของพื้นที่ และตอบสนองความตองการของประชาชนผูรับบรกิ าร 3.3 สงเสริมการจัดการเรียนรูท่ีทันสมัยและมีประสิทธิภาพ เอ้ือตอการเรียนรูสาหรับทุกคน สามารถเรยี นไดทกุ ที่ทุกเวลา มกี ิจกรรมท่ีหลากลาย นาสนใจ สนองตอบความตองการของชมุ ชน 3.4 เสริมสรางความรวมมอื กบั ภาคีเครอื ขาย ประสาน สงเสรมิ ความรวมมอื ภาคีเครือขาย ท้ัง ภาครัฐเอกชน ประชาสงั คม และองคกรปกครองสวนทองถ่ิน รวมทงั้ สงเสริมและสนับสนุนการมีสวนร วมของชุมชนเพื่อสรางความเขาใจ และใหเกิดความรวมมือในการสงเสริม สนบั สนุน และจัดการศึกษา และการเรียนรูใหกับประชาชนอยางมคี ุณภาพ 3.5 พัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาเพื่อประโยชนตอการจดั การศึกษาและกลุมเปาหมาย เชน จัดการศึกษาออนไลน กศน. ทั้งในรูปแบบของการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน การพัฒนาทักษะชีวิต ทักษะ อาชีพและการศึกษาตามอัธยาศัย รวมทั้งสงเสริมการใชเทคโนโลยีในการปฏิบัติงาน การบริหาร จัดการ การจัดการเรียนรูและใชการวิจยั อยางงายเพอื่ สรางนวัตกรรมใหม 3.6 พัฒนาศักยภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา และประชาชนท่ัวไป ดานความรูความ เขาใจและทกั ษะในการใชเทคโนโลยดี จิ ิทลั (Digital Literacy) 3.7 ยกระดับการศึกษาใหกับกลุมเปาหมายทหารกองประจาการ รวมท้ังกลุมเปาหมายพิเศษ อ่ืน ๆ อาทิ ผูตองขัง คนพิการ เด็กออกกลางคัน ประชากรวัยเรียนที่อยูนอกระบบการศึกษา ให จบการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน 3.8 พัฒนาทักษะภาษาตางประเทศเพื่อการสื่อสารของประชาชนในรูปแบบตาง ๆ โดยเนนทกั ษะภาษาเพื่ออาชพี ทั้งในภาคธรุ กจิ การบรกิ าร และการทองเทีย่ ว 3.9 เตรยี มความพรอมของประชาชนในการเขาสูสังคมผูสูงอายทุ เี่ หมาะสมและมคี ุณภาพ

6 3.10 จัดกิจกรรมวิทยาศาสตรเชิงรุกใหกับประชาชนในชุมชน โดยใหความรูวิทยาศาสตร์ อยางงายทั้งวิทยาศาสตรในวิถีชีวิต และวิทยาศาสตรในชีวิตประจาวัน รวมท้ังความกาวหนาทาง วิทยาศาสตร เทคโนโลยแี ละนวตั กรรม 3.11 สงเสริมการรูภาษาไทยใหกับประชาชนในรูปแบบตาง ๆ โดยเฉพาะประชาชนในเขต พนื้ ท่สี งู ใหสามารถฟง พูด อาน และเขยี นภาษาไทย เพอ่ื ประโยชนในการใชชวี ิตประจาวนั ได 4. ยทุ ธศำสตรดำนกำรสรำงโอกำสและควำมเสมอภำคทำงสงั คม 4.1 พัฒนาแหลงเรียนรูใหมีบรรยากาศและสภาพแวดลอมที่เอื้อตอการเรียนรูมีความพรอม ในการใหบริการกจิ กรรมการศึกษาและการเรยี นรู 1) เรงยกระดับ กศน.ตาบลนารอง 928 แหง (อาเภอละ 1 แหง) ใหเปน กศน.ตาบล 5 ดี พรีเมียม ที่ประกอบดวย ครูดี สถานท่ีดี (ตามบริบทของพื้นที่) กิจกรรมดี เครือขายดี และมี นวัตกรรมการเรยี นรูท่ดี มี ีประโยชน 2) จัดใหมีศูนยการเรียนรูตนแบบ กศน. เพ่ือยกระดบั การเรยี นรูเปนพื้นท่ีการเรยี นรู (Co - Learning Space)ท่ที นั สมยั สาหรับทุกคน มีความพรอมในการใหบรกิ ารตาง ๆ 3) พัฒนาหองสมดุ ประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” ใหเปน Digital Library 4.2 จดั ต้งั ศนู ยการเรียนรูสาหรับทุกชวงวัยท่ีมกี ิจกรรมทหี่ ลากหลาย ตอบสนองความตองการ ในการเรียนรูในแตละวัย เพอื่ ใหมพี ัฒนาการเรียนรูทีเ่ หมาะสม และมีความสุขกับการเรียนรูตามความ สนใจ 4.3 สงเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาและการเรียนรูสาหรับกลุมเปาหมายผูพิการ โดยเนนรปู แบบการศกึ ษาออนไลน 5. ยทุ ธศำสตรดำนกำรสรำงกำรเตบิ โตบนคุณภำพชีวติ ท่เี ปนมติ รตอสิ่งแวดลอม 5.1 สงเสรมิ ใหมีการใหความรูกับประชาชนในการรับมือและปรับตวั เพื่อลดความเสียหายจาก ภยั ธรรมชาติและผลกระทบที่เก่ยี วของกับการเปลย่ี นแปลงสภาพภูมิอากาศ 5.2 สรางความตระหนักถึงความสาคัญของการสรางสังคมสีเขียว สงเสริมความรูใหกับ ประชาชนเกี่ยวกบั การคัดแยกตง้ั แตตนทาง การกาจดั ขยะ และการนากลบั มาใชํซา้ 5.3 สงเสริมใหหนวยงานและสถานศึกษาใชพลังงานท่ีเปนมติ รกับสิ่งแวดลอม รวมท้ังลดการ ใชทรัพยากรที่สงผลกระทบตอส่ิงแวดลอม เชน รณรงคเรื่องการลดการใชถุงพลาสติก การประหยัด ไฟฟา เปนตน 6. ยทุ ธศำสตรดำนกำรปรับสมดุลและพฒั นำระบบกำรบริหำรจดั กำรภำครัฐ 6.1 พัฒนาและปรับระบบวิธีการปฏิบัติราชการใหทันสมัย มีความโปรงใส ปลอดการทุจริต และประพฤตมิ ชิ อบ บรหิ ารจดั การบนขอมลู และหลักฐานเชิงประจกั ษ มงุ ผลสมั ฤทธม์ิ ีความโปรงใส 6.2 นานวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบการทางานท่ีเปนดิจิทัลมาใชในการบริหารและพัฒนา งาน 6.3 สงเสริมการพัฒนาบุคลากรทุกระดับอยางตอเน่ือง ใหมีความรูและทักษะตามมาตรฐาน ตาแหนงใหตรงกับสายงาน ความชานาญ และความตองการของบุคลากร

7 งำนวจิ ัยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง อรุนา ตาเดอิน (2555) ได้สรุปผลจากรายงานการประเมินโครงการส่งเสริมการเรียนรู้ เศรษฐกิจพอเพยี งของนักเรียน โรงเรยี นบ้านปลกั หว้า สานกั งานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาสตูล การประเมินครั้งน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงของ นักเรียนโรงเรียนบ้านปลักหว้า สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาสตูล โดยการประเมิน โครงการครัง้ น้ี ไดใ้ ช้การประเมินรูปแบบซิปป์ (CIPP Model) ของสตัปเฟิลบมี คือ การประเมินบรบิ ท ของโครงการ ประเมินปัจจัยนาเข้าของโครงการ ประเมินกระบวนการของโครงการ และ ประเมินผลผลิตของโครงการ ประชากรท่ีใช้ในการประเมินคร้ังน้ี จานวน 78 คน ประกอบด้วย ครู จานวน 5 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จานวน 7 คน ผู้ปกครอง จานวน 33 คน และนักเรียน จานวน 33 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการประเมินโครงการ คือ แบบสอบถามประเภท มาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ใช้แบบสอบถาม จานวน 6 ฉบับ ประกอบด้วย ด้าน บริบท จานวน 1 ฉบับ ด้านปัจจัยนาเข้า จานวน 1 ฉบับ ด้านกระบวนการ จานวน 1 ฉบับ และ ด้านผลผลิตของโครงการ จานวน 3 ฉบับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งน้ี ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การประเมินผลโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง พบว่า 1. ผลการประเมินด้านบริบทของโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงของ นักเรียนโรงเรียนบ้านปลักหว้า สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสตูล พบว่า โดยภาพรวม อยู่ในระดับมากท่ีสุด ผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนดไว้ โดยรายการที่มีค่าเฉล่ียสูงสุด คอื หลักการวัตถุประสงคแ์ ละเป้าหมายของโครงการมคี วามเหมาะสมและสอดคล้องกัน 2. ผลการประเมินด้านปัจจัยนาเข้าของโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงของ นักเรียนโรงเรียนบ้านปลักหว้า สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาสตูล พบว่า โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ผลการประเมินผา่ นเกณฑ์การประเมินที่กาหนดไว้ โดยรายการที่มีคา่ เฉลี่ยสูงสุด คือ คณะกรรมการบริหารโครงการเพียงพอ 3. ผลการประเมินด้านกระบวนการของโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงของ นักเรียนโรงเรียนบ้านปลักหว้า สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสตูล พบว่า โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก ผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนดไว้ โดยรายการท่ีมีค่าเฉล่ียสูงสุด คือ จดั ทาปฏิทินการปฏิบัตงิ านแต่ละกจิ กรรมไวอ้ ย่างชดั เจน 4. ผลการประเมินด้านผลผลิตของโครงการส่งเสริมการเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงของ นักเรียนโรงเรียนบา้ นปลกั หว้า สานกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศกึ ษาสตูล เมื่อพิจารณาประเด็น การประเมนิ และรายการ พบว่า

8 4.1 การประเมนิ ผลสาเรจ็ ของโครงการ ผลการประเมิน พบวา่ อยใู่ นระดบั มากทสี่ ดุ ผลการประเมินผา่ นเกณฑก์ ารประเมินทีก่ าหนดไว้ โดยรายการท่มี ีค่ามีคา่ เฉล่ียสูงสุด คือ มีกิจกรรมตาม โครงการทาใหน้ ักเรียนมีความรับผิดชอบ และนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั 4.2 การประเมินผลความพึงพอใจของครู คณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐาน และ ผู้ปกครอง ผลการประเมิน พบวา่ อยู่ในระดับมาก ผลการประเมินผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ทกี่ าหนดไว้ โดยรายการทมี่ คี า่ มีค่าเฉลย่ี สูงสุด คือ กจิ กรรมของโครงการฝึกใหน้ กั เรยี นได้เรยี นร้โู ดยการปฏบิ ตั ิจริง 4.3 การประเมินผลความพึงพอใจของนกั เรียน ผลการประเมิน พบวา่ อย่ใู นระดบั มาก ท่ีสุด ผลการประเมินผ่านเกณฑ์การประเมินท่ีกาหนดไว้ โดยรายการที่มีค่ามีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ การ จดั กิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียนทม่ี ีความรบั ผิดชอบต่อตนเอง ฤทัยรัตน์ สุ่มเข็มทอง (2554) รายงานการประเมินโครงการขับเคล่ือนหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชนของโรงเรียนหันคาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 โดยการ ประเมินคร้ังนี้มีจุดมุ่งหมายเพ่ือ 1) ประเมินด้านสภาพแวดล้อม โครงการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงสูส่ ถานศกึ ษาและชุมชนของ โรงเรยี นหันคาพทิ ยาคมปีการศกึ ษา 2554 2) ประเมิน ด้านปัจจัย โครงการขับเคล่ือนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชนของ โรงเรยี นหันคาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 3) ประเมินด้านกระบวนการดาเนินงานโครงการขับเคล่ือนหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอ เพียงสู่สถานศึกษาและชุมชนของโรงเรียนหันคาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 และ 4) ประเมินด้านผลผลิตโครงการขับเคล่ือนหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชน ของโรงเรียนหนั คาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554ในประเด็นต่อไปนี้คือ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน ประเมินความพึง พอใจที่มีต่อโครงการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สู่สถานศึกษาและชุมชนของ โรงเรียนหนั คาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในเรื่องเก่ียวกับหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียน ก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงสู่สถาน ศึกษาและชุมชนของโรงเรียนหันคาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 โดยใช้รูปแบบ การประเมินแบบซิปป์ (CIPP Model) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินคร้ังนี้ ได้แก่ ครูและบุคลากร ทางการศึกษาที่ปฏิบัติหน้าที่ในปีการศึกษา 2554 จานวน 64 คน นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 6 โรงเรียนหันคาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 จานวน 313 คน ผ้ปู กครองนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 - 6 โรงเรียนหันคาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 จานวน 313 คนและกรรมการสถานศึกษาโรงเรียน หันคาพิทยาคม จานวน 14 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินได้แก่ 1) แบบสอบถามการประเมิน โครงการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชนของโรงเรียนหันคา

9 พิทยาคม ปีการศึกษา 2554 จานวน 4 ฉบับ 2) แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์นักเรียน เรื่อง หลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 - 6 โรงเรียนหันคา พิทยาคม ปีการศึกษา 2554 จานวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉล่ีย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และสถิติทดสอบที (t-test) ผลการประเมินพบวา่ 1. ผลการประเมินด้านสภาพแวดล้อม โครงการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชนของ โรงเรียนหันคาพิทยาคมปีการศึกษา 2554 พบว่า มีความ สอดคล้องอยู่ในระดับมากท่ีสุด โดยมีค่าเฉล่ีย (Mean) เท่ากับ 4.61 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.55 2. ผลการประเมินด้านปัจจยั โครงการขบั เคลื่อนหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงสู่ สถานศึกษาและชมุ ชนของโรงเรยี นหันคาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 พบวา่ มีความเหมาะสมอยู่ใน ระดบั มากท่ีสดุ โดยมีค่าเฉลยี่ (Mean) เทา่ กับ 4.62 ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) เทา่ กบั 0.55 3. ผลการประเมินด้านกระบวนการดาเนินงานโครงการขับเคลื่อนหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจ พอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชนของโรงเรียนหันคาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 พบว่า มีการปฏิบัติ อยใู่ นระดับมากทีส่ ุด โดยมีคา่ เฉล่ีย (Mean) เท่ากบั 4.62 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากบั 0.57 4. ผลการประเมินด้านผลผลิตโครงการขับเคล่ือนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่ สถานศึกษาและชมุ ชนของโรงเรียนหนั คาพทิ ยาคม ปกี ารศึกษา 2554 ปรากฏผลดังน้ี 4.1 ผลการประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน พบว่า มีการปฏิบัติอยู่ใน ระดับมากทีส่ ุด โดยมีคา่ เฉล่ยี (Mean) เทา่ กับ 4.62 สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) เทา่ กบั 0.56 4.2 ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อโครงการขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอ เพียงสู่สถานศึกษาและชุมชนของโรงเรียนหันคาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 พบว่ามีความพึง พอใจอยู่ในระดับมากท่ีสุด โดยมคี ่าเฉล่ีย (Mean) เทา่ กับ 4.63 สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.55 4.3 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเร่ืองเกี่ยวกับหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียนก่อนและหลังเข้าร่วมโครงการขับเคล่ือนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงสู่สถานศึกษาและชุมชนของโรงเรียนหันคาพิทยาคม ปีการศึกษา 2554 พบว่า ผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนในเร่ืองเกี่ยวกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักเรียนหลังเข้าร่วมโครงการสูง กว่ากอ่ นเข้าร่วมโครงการอย่างมนี ัยสาคัญทาง สถิติทร่ี ะดับ 0.05 ดร.จักษวชั ร ศิริวรรณ (2550) กล่าวโดยสรปุ ตวั แบบซปิ (CIPP Model) ให้ความสาคัญกับ องค์ประกอบ 4 ประการ ได้แก่ 1) บริบท (Context) 2) ปัจจัยนาเข้า (Input) 3) กระบวนการ (Process) และ 4) ผลผลิต (Product) ซึ่งในแต่ละองค์ประกอบน้ัน มีมติ ิในการพิจารณาสาหรับการ ประเมนิ ดังน้ี

10 (1) การประเมินด้านบริบท (Context Evaluation) เป็นการศึกษาสภาพแวดล้อมและ ปัจจยั พน้ื ฐานของโครงการ อันได้แก่ นโยบาย วสิ ัยทศั น์ ปญั หา แหล่งทนุ สภาพความผนั ผวนทางดา้ น สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ตลอดจนแนวโน้มการก่อตัวของปัญหาท่ีอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการ ดาเนินโครงการ เป็นต้น (2) การประเมนิ ปัจจยั นาเข้า (Input Evaluation) ซึง่ จาแนกเป็นบุคลากร ส่ิงอานวยความ สะดวก เคร่ืองมือ อุปกรณ์ ครุภัณฑ์ ขีดความสามารถทางการบริหารงาน ซ่ึงแต่ละปัจจัยก็ยังจาแนก ยอ่ ยออกไปอีก เช่น บุคลากร อาจพิจารณาถงึ เพศ อายุ สถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ ความพึง พอใจ ความคาดหวัง ทัศนคติ ความรู้ ความสามารถ ศักยภาพ ประสบการณ์ วุฒิการศึกษา ถิ่นท่ีอยู่ และลกั ษณะของกลุ่มทางสังคม เปน็ ตน้ (3) การประเมินกระบวนการ (Process Evaluation) เป็นการศึกษาการดาเนินการตาม ยุทธวิธหี รือแผนงานนนั้ วา่ เป็นไปตามข้ันตอนทีไ่ ด้ถูกกาหนดไวห้ รือไม่ อย่างไร อีกทั้งยังเปน็ การศึกษา คน้ หาข้อบกพร่องจุดออ่ นหรือจดุ แขง็ ของกระบวนการบริหารจดั การโครงการโดยพิจารณาจุดเนน้ ที่ว่า กระบวนการของโครงการจะทาให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์ท่ีได้ถูกกาหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ มากน้อยเพยี งใด (4) การประเมินผลผลิต (Product Evaluation) เป็นการตรวจสอบประสิทธิผลของ โครงการ โดยเฉพาะความสอดคล้องระหว่างวัตถุประสงค์ที่ได้ถูกาหนดไว้กับผลผลิตที่ได้ออกมา จากนั้นจึงนาเกณฑ์การวัดผลที่ได้กาหนดไว้ไปใช้ตัดสิน อนึ่ง เกณฑ์การวัดผลที่ได้กาหนดไว้ดังกล่าว น้ัน อาจเป็นเกณฑ์มาตรฐานท่ีบุคคลหรือหน่วยงานอ่ืนได้กาหนดไว้ หรืออาจเป็นเกณฑ์การวัดผลที่ กาหนดข้ึนเองกไ็ ด้ นอกจากจะทาการประเมินโครงการโดยพิจารณาองค์ประกอบท้ัง 4 ประการดังกล่าวแล้ว ยังมีความ จาเป็นที่จะต้องนาแนวพระราชดาริปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นหลักคิดในการประเมิน โครงการอีกด้วย โดยนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปทาการประเมินโครงการในทุก ๆ องค์ประกอบ และในทุก ๆ มิติท่ีทาการประเมินโครงการตามตัวแบบซิป (CIPP Model) ดังที่ได้กล่าว ไปแล้ว ท้ังนี้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นประกอบด้วย หลัก 3 ห่วง 2 เงื่อนไข โดยหลัก 3 ห่วงน้นั ประกอบดว้ ย 1) ความพอประมาณ 2) ความมเี หตุ-มีผล และ 3) การมภี ูมคิ ุ้มกันท่ีดี ส่วน 2 เงื่อนไขนั้น ประกอบด้วย 1) เงื่อนไขความรู้ และ 2) เงื่อนไขคุณธรรม ซึ่งจะสามารถทาความ เข้าใจไดง้ า่ ยข้ึน ผู้ประเมินพบว่าการประโมนโครงการได้นาหลักการประเมินแบบ CIPP Model มาใช้อย่าง กว้างขวางและได้พัฒนาหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับการประเมินบางงานวิจัยโดยนา หลกั 3 ห่วง 2 เงื่อนไขดังกล่าว มาใชส้ าหรับการประเมินโครงการตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง ไว้ดังน้ีคือ 1) ความพอประมาณ หมายถึง งบประมาณของรัฐที่หน่วยงานภาครัฐกิจต่าง ๆ ได้รับการ

11 จัดสรรให้ไปใช้จ่ายในการบริหารจัดการ จะต้องไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป พอเหมาะพอสมกับการ บริหารจัดการท่ีมีประสิทธิภาพ ซ่ึงอยู่ในเง่ือนไข “ความรู้” และ เง่ือนไข “คุณธรรม” ตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2) ความมีเหตุ-มีผล หมายถึง ได้รับจัดสรรงบประมาณของรัฐท่ีต้ังอยู่บน พ้ืนฐานของความสมเหตุสมผล ใช้จ่ายในส่ิงท่ีสมควร และไม่ใช้จ่ายในสิ่งท่ีไม่สมควร ซ่ึงอยู่ในเง่ือนไข “ความรู้” ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อีกทั้งยังต้องต้ังอยู่บนความซ่ือสัตย์สุจริต ซึ่งอยู่ใน เง่ือนไข “คุณธรรม” ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง อีกด้วย เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้ เกิดแก่ส่วนรวม และ 3) การมีภมู ิคุ้มกันทด่ี ี หมายถึง การใชจ้ ่ายงบประมาณของรัฐไปเพ่ือการเตรียม ความพร้อม การป้องกัน และการบรรเทาปัญหา ที่จะเกิดข้ึนหรืออาจ จะเกิดข้ึนในอนาคต ซ่ึง ผู้บรหิ ารภาครัฐกจิ แลเหน็ ไดด้ ้วยวิสยั ทัศน์ ทกี่ วา้ งไกล ลึกซึง้ และรอบคอบ โดยไดส้ รปุ การประเมินโครงการมีความสาคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะทาให้หน่วยงานภาครัฐ ได้เห็นภาพสะท้อนของตนเองในการดาเนินโครงการต่าง ๆ ในทุก ๆ ห้วงเวลา ซ่ึงจะส่งผลต่อการ ปรับปรุงพัฒนาการดาเนินโครงการท่ีกาลังดาเนินอยู่ หรือโครงการที่จะดาเนินการต่อไป ให้สามารถ บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการบริหารจัดการ บ้านเมืองที่ดี หรือธรรมาภิบาล (Good Governance) อีกท้ังยังเป็นการดาเนินโครงการที่ต้ังอยู่บน หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อผลของการพัฒนาประเทศท่ยี ั่งยืน

12 บทท่ี 3 วธิ ีกำรประเมนิ โครงกำร รปู แบบกำรประเมินโครงกำร การประเมินโครงการหน้าบ้านสวย หลงั บ้านสวน เพ่ือสง่ เสรมิ การเรียนรูศ้ าสตร์พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ใช้รปู แบบการประเมินโครงการ CIPP MODEL ของสตัฟเฟิล บีม ( D.L. Stufflebeam, 1997 , P. 261-265 ) ดังน้ี ประเมนิ สภาวะแวดลอ้ ม  หลกั การ ( Context Evaluation )  วัตถุประสงค์ของโครงการ  เป้าหมายของโครงการ  การเตรียมการภายในโครงการ ประเมินปัจจัยเบื้องตน้  บุคลากร ( Input Evaluation )  วสั ดุอุปกรณ์  เคร่อื งมือเคร่อื งใช้  งบประมาณ ประเมนิ กระบวนการ  การดาเนินโครงการ ( Process Evaluation )  กิจกรรมการดาเนินงานตามโครงการ  การนิเทศติตามกากบั  การประเมินผล การประเมนิ ผลผลิต  ผลการดาเนินโครงการ ( Product Evaluation )  คุณภาพผเู้ รยี น

13 วธิ กี ำรประเมินโครงกำร ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร : ประชากรทีใ่ ชใ้ นการศกึ ษาครง้ั น้ี คือ นักศึกษา กศน.อาเภอเขาสวนกวาง กลมุ่ ตวั อยา่ ง : กลมุ่ ตัวอยา่ งท่ีใชป้ ระเมนิ คร้งั น้ี ไดจ้ าก นกั ศึกษา กศน.อาเภอเขาสวนกวาง ที่ เขา้ ร่วม จานวน 12 คน รูปแบบและเครอื่ งมอื ทใ่ี ชใ้ นกำรดำเนินงำน เคร่ืองมือในการประเมินผลความพึงพอใจนี้ เป็นแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เข้าร่วม กิจกรรมต่อการจัดกิจกรรมโครงการหน้าบ้านสวย หลังบ้านสวน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ศาสตร์ พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นการรายงานผลตามแบบสอบถามความพึง พอใจของผู้เข้าร่วมกิจกรรม ต่อการจัดกจิ กรรม โครงการหน้าบ้านสวย หลังบ้านสวน เพื่อส่งเสรมิ การ เรียนรูศ้ าสตร์พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อการเขา้ ร่วมกจิ กรรมเสรจ็ สน้ิ แล้ว ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมตอบแบบสอบถามความคิดเห็น ซ่ึงเป็นแบบประเมินผลการจัดกิจกรรมการ เรยี นรู้แบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating Scales) 5 ระดบั คือ มากทสี่ ุด มาก ปานกลาง นอ้ ย และ ปรบั ปรงุ โครงสร้างแบบสอบถามมี 3 ส่วน ดงั น้ี สว่ นท่ี 1 ข้อมลู ทวั่ ไป มี 4 ข้อ สว่ นที่ 2 ความคิดเหน็ /ความพงึ พอใจของผู้เขา้ ร่วมกจิ กรรม มี 14 ข้อ ส่วนท่ี 3 ข้อเสนอแนะเพ่ิมเตมิ เกณฑ์กำรประเมิน มีดังนี้ ผลความพึงพอใจระดบั มากท่ีสดุ 4.50 - 5.00 หมายถึง ผลความพึงพอใจระดบั มาก 3.50 - 4.49 หมายถงึ ผลความพงึ พอใจระดับปานกลาง 2.50 - 3.49 หมายถึง ผลความพึงพอใจระดับน้อย 1.50 - 2.49 หมายถึง ผลความพึงพอใจระดับน้อยท่ีสดุ ควรปรบั ปรุง 1.00 - 1.49 หมายถึง วิธกี ำรสรำ้ งและพัฒนำเครอื่ งมือ ผปู้ ระเมนิ ไดส้ รา้ งและพฒั นาเครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการดาเนินงาน ดังน้ี 1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และเอกสารทเี่ กีย่ วขอ้ ง 2. กาหนดแผนงานและโครงการ 3. กาหนดกจิ กรรมหรอื งานทป่ี ฏิบัตใิ นแต่ละขั้นตอน 4. เขียนแบบประเมินความพึงพอใจฉบับร่าง โดยให้มีข้อถามหรือข้อความครอบคลุม เนอ้ื หา กจิ กรรม หรอื งานท่ปี ฏิบตั ิตลอดโครงการ และจดั ทาแบบบนั ทึกคะแนน

14 กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผปู้ ระเมนิ ได้ทาการเก็บรวบรวมขอ้ มูล โดยดาเนินการในช่วงสิ้นสดุ การจดั กิจกรรม โครงการ หน้าบ้านสวย หลังบ้านสวน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ศาสตร์พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี ง การวิเคราะห์ข้อมลู ผ้ปู ระเมินได้ทาการวเิ คราะห์ข้อมลู จากแบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามความพงึ พอใจ เกณฑ์การให้ คะแนนแบบประเมนิ ความพึงพอใจ เปน็ แบบประเมินกาหนดเป็นมาตราสว่ นประมาณค่าตามแนวคิด ของลิเคริ ์ท (Likert) แสดงระดับความคดิ เหน็ ของผ้เู ข้าร่วมกจิ กรรมโดยมีเกณฑ์การใหค้ ะแนน ดังน้ี 5 หมายถงึ มากทส่ี ุด 4 หมายถงึ มาก 3 หมายถึง ปานกลาง 2 หมายถงึ น้อย 1 หมายถงึ น้อยทสี่ ุด จากนน้ั นาข้อมูลมาหาคา่ เฉล่ีย  รายข้อ โดยกาหนดเกณฑ์ ดังน้ี 4.50 - 5.00 หมายถึง ผลความพึงพอใจระดบั มากที่สุด 3.50 - 4.49 หมายถึง ผลความพึงพอใจระดบั มาก 2.50 - 3.49 หมายถึง ผลความพึงพอใจระดับปานกลาง 1.50 - 2.49 หมายถงึ ผลความพงึ พอใจระดบั น้อย 1.00 - 1.49 หมายถงึ ผลความพงึ พอใจระดับน้อยท่ีสุดควรปรบั ปรงุ สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล นาขอ้ มูลทีไ่ ด้มาหาค่าสถิติทางคณิตศาสตร์ ดงั น้ี ค่าร้อยละ คา่ เฉลีย่ (Mean) การนาเสนอข้อมูล การนาเสนอข้อมลู เปน็ การนาเสนอในรูปความเรยี ง ประกอบรายละเอยี ดในตาราง แจกแจงดว้ ย ค่าความถ่ีและร้อยละ การวเิ คราะหผ์ ลการประเมนิ โครงการ วิเคราะหผ์ ลการประเมนิ โครงการ โดยใช้ X , S.D. และเปรียบเทียบกบั เกณฑ์เฉล่ีย

15 สถิตทิ ่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล  ƒx 1. คา่ เฉลยี่ N ใช้สูตร X = ผลรวมของความถข่ี องคะแนนทั้งหมด X = ค่าเฉลย่ี จานวนประชากรทีเ่ ข้ารว่ มโครงการตาบลเขาสวนกวาง  ƒx = N= nX 2  x2 nn 1 ทงั้ หมด 2. คา่ ความเบีย่ งเบนมาตรฐาน ค่าความเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลรวมของกาลงั สองของคะแนน ใช้สตู ร S.D. = ผลรวมของคะแนนท้ังหมด ยกกาลงั สอง จานวนคนในกลุม่ ตัวอย่าง S.D. = X 2 = x2  = n= เกณฑ์เฉลยี่ การประเมนิ โครงการ(บญุ ชม ศรสี ะอาด,2545:100) คะแนนเฉลย่ี 4.51-5.00 หมายถึง มกี ารดาเนินการในระดับมากท่ีสดุ คะแนนเฉล่ีย 3.51-4.50 หมายถงึ มีการดาเนนิ การในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 2.51-3.50 หมายถงึ มกี ารดาเนนิ การในระดบั ปานกลาง คะแนนเฉลีย่ 1.51-2.50 หมายถงึ มกี ารดาเนินการในระดับน้อย คะแนนเฉล่ีย 1.00-1.50 หมายถึง มกี ารดาเนินการในระดบั น้อยที่สุด

16 บทที่ 4 ผลกำรดำเนนิ งำน 1. สภาพการดาเนนิ งานโครงการหนา้ บา้ นสวย หลังบ้านสวน เพ่อื ส่งเสรมิ การเรยี นรศู้ าสตร์ พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1.1 จานวนผเู้ ขา้ ร่วมโครงการ นกั ศึกษา กศน.อาเภอเขาสวนกวาง จานวน 12 คน 2.2 ความพงึ พอใจผเู้ ข้ารว่ มโครงการ มผี ู้ตอบแบบสอบถามจานวน 12 ชดุ จาแนกตามระดบั ความคิดเหน็ ดังน้ี ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู จากแบบสอบถามความคิดเหน็ /ความพงึ พอใจ แบง่ ออกเป็น 3 สว่ น ดงั นี้ สว่ นท่ี 1 ข้อมูลทัว่ ไป ตาราง 1 จานวนผู้เขา้ ร่วมกิจกรรม ท่ี เพศ จานวน ร้อยละ (คน) 1 ชาย 5 41.66 2 หญงิ 7 58.34 รวม 12 100 จากตาราง 1 พบว่าจานวนผูเ้ ขา้ รว่ มกิจกรรม จานวน 12 คน แบ่งเปน็ เพศชาย 5 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 41.66 และเปน็ เพศหญงิ 7 คน คดิ เป็นร้อยละ 58.34 จานวน 12 คน คิดเป็นร้อย ละ 100.00 ตาราง 2 อายผุ เู้ ข้าร่วมกจิ กรรม อายุ จานวน รอ้ ยละ ท่ี 15 – 30 ปี 6 50.00 1. 31–45 ปี 4 33.33 2. 46–59 ปี 2 16.67 3. 12 100 รวม จากตารางที่ 2 ผู้เข้าร่วมกิจกรรมท่ีมีช่วงอายุระหว่าง 15 – 30 ปี มีจานวน 6 คน คิดเป็น ร้อยละ 50.00 ช่วงอายุระหว่าง 31 - 45 ปีมีจานวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 33.33 ช่วงอายุระหว่าง 46 - 59 ปี มจี านวน 2 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 16.67 จานวน 12 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 100.00

17 ตำรำง 3 ระดบั การศกึ ษาของผูเ้ ขา้ ร่วมกจิ กรรม จำนวน รอ้ ยละ ระดบั กำรศกึ ษำ - - 7 ประถมศึกษา 5 58.34 มธั ยมศึกษาตอนต้น 12 41.66 มัธยมศึกษาตอนปลาย 100.00 รวม จากตาราง 3 พบวา่ ผเู้ ข้าร่วมกิจกรรมมีการศึกษาอยู่ในระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ มากท่สี ุด จานวน 7 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 58.34 รองลงมาคือระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย จานวน 5 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 41.66 สว่ นที่ 2 ควำมพึงพอใจที่มีต่อกำรจัดกจิ กรรม/โครงกำรดงั ตารางท่ี 2.1 ถงึ ตารางท่ี 2.4 ตำรำงที่ 2.1 กระบวนกำร ขน้ั ตอนกำรใหบ้ รกิ ำร ในการจัดกิจกรรมและความพึงพอใจใน การเขา้ ร่วมโครงการ ท่ี ประเด็นคำถำม ระดับควำมคดิ เหน็ X ผลกำร ประเมนิ มำก ดี ปำน น้อ น้อย ท่ีสุด มำก กลำง ย ท่สี ุด 1. การประชาสัมพันธโ์ ครงการฯ 10 2 - - - 4.83 มากที่สุด 2. ความเหมาะสมของสถานท่ี 9 3 - - - 4.75 มากท่สี ุด 3. ความเหมาะสมของระยะเวลา 8 4 - - - 4.67 มากที่สดุ (จานวนช่วั โมง,จานวนวัน) 4. ความเหมาะสมของชว่ งเวลา 8 4 - - - 4.67 มากท่สี ุด (08.30-17.00) 5. การจดั ลาดับขั้นตอนของ 10 2 - - - 4.83 มากท่ีสดุ กจิ กรรม คำ่ เฉล่ีย ( X ) 4.60 มำกท่ีสุด จากตารางที่ 2.1 กระบวนกำร ขน้ั ตอนกำรใหบ้ รกิ ำรอยู่ในระดับ มำกที่สุด คือมีคา่ เฉล่ีย (X ) เทา่ กับ 4.60 หรือ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 92.00 ผลการประเมินพบว่า 2.1 กระบวนกำร ข้ันตอนกำรให้บริกำร ลาดับที่ 1 ข้อท่ี 1และ4 การ ประชาสัมพนั ธ์โครงการฯและการจดั ลาดับข้นั ตอนของกิจกรรมอยใู่ นระดับ มำกทีส่ ุด คือมีคา่ เฉลย่ี ( X ) เทา่ กบั 4.83 หรอื คิดเปน็ รอ้ ยละ 96.60

18 ลาดับท่ี 2 ข้อท่ี 2 ความเหมาะสมของสถานที่ อยู่ในระดับ มำกที่สุด คือมีคา่ เฉลย่ี ( X ) เท่ากับ 4.75 หรือ คิดเปน็ รอ้ ยละ 95.00 ลาดบั ท่ี 3 ข้อที่ 3และ4 ความเหมาะสมของระยะเวลา (จานวนชวั่ โมง, จานวนวัน) และความเหมาะสมของช่วงเวลา (08.30-17.00) อย่ใู นระดับ มำกที่สุด คอื มคี ่าเฉล่ยี ( X ) เท่ากบั 4.67 หรือ คิดเป็นรอ้ ยละ 93.40 ตารางท่ี 2.2 เจา้ หนา้ ทผ่ี ใู้ ห้บรกิ าร/วทิ ยากร/ผปู้ ระสานงาน ในการจัดกิจกรรมและความพงึ พอใจ ในการเข้าร่วมโครงการ ระดับความคิดเหน็ ผลการ ท่ี ประเด็นคาถาม มำก ดี ปาน นอ้ ย น้อย X ประเมนิ ที่สุด มำก กลาง ทสี่ ดุ 4.83 มากทส่ี ดุ 1. ความรอบรู้ ในเนื้อหาของ 10 2 - - - 4.92 มากที่สดุ วทิ ยากร 4.75 มากทสี่ ดุ 4.67 มากท่ีสดุ 2. ความสามารถในการถ่ายทอด 11 1 - - - 4.53 มำกที่สุด ความรู้ 3. การตอบคาถาม 93 --- 4. ความเหมาะสมของวทิ ยากร 8 4 - - - ในภาพรวม คา่ เฉลยี่ ( X ) จากตารางที่ 2.2 เจำ้ หนำ้ ทผ่ี ใู้ หบ้ ริกำร/วิทยำกร/ผปู้ ระสำนงำน อย่ใู นระดบั มากท่สี ุด คอื มีค่าเฉลีย่ ( X ) เทา่ กบั 4.53 หรือ คดิ เปน็ ร้อยละ 90.60 ผลการประเมินพบว่า 2.2 เจ้ำหน้ำที่ผู้ให้บริกำร/วิทยำกร/ผู้ประสำนงำน ลาดับที่ 1 ข้อที่ 2 ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ มำกท่ีสุด คือมีค่าเฉล่ีย ( X) เท่ากับ 4.92 หรือ คิดเป็นร้อยละ 98.40 ลาดับที่ 2 ข้อที่ 1 ความรอบรู้ ในเนื้อหาของวิทยากร อยู่ในระดับ มำกที่สุด คือมีค่าเฉล่ีย ( X ) เท่ากับ 4.83 หรือ คิดเป็นร้อยละ 96.60 ลาดับที่ 3 ข้อท่ี 3 ความการตอบคาถาม อยู่ในระดับ มำกที่สดุ คอื มคี า่ เฉลี่ย ( X ) เท่ากบั 4.75 หรือ คดิ เปน็ ร้อยละ 95.00 และลาดับท่ี 4 ข้อที่ 4 ความเหมาะสมของวิทยากร ในภาพรวม อยใู่ นระดับ ดีมำก คอื มีค่าเฉลี่ย ( X ) เทา่ กบั 4.67 หรือ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 93.40

19 ตำรำงที่ 2.3 กำรอำนวยควำมสะดวก ในการจัดกิจกรรมและความพงึ พอใจในการเขา้ ร่วม โครงการ ที่ ประเดน็ คำถำม ระดับควำมคดิ เห็น X ผลกำร ประเมิน มำก ดี ปำน น้อ น้อย ทีส่ ดุ มำก กลำง ย ที่สุด 1. เอกสาร 8 4 - - - 4.67 มำกที่สุด 2. โสตทศั นปู กรณ์ 10 2 - - - 4.83 มำกทส่ี ุด 3. เจา้ หน้าท่ีสนับสนนุ 9 3 - - - 4.75 มำกที่สดุ 4. อาหาร,เครื่องดืม่ และสถานท่ี 7 5 - - - 4.58 มำกทส่ี ุด ค่ำเฉลี่ย ( X ) 4.71 มำกทสี่ ดุ จากตารางท่ี 2.3 กำรอำนวยควำมสะดวกต่างๆในการจัดกิจกรรม/โครงการ อยู่ในระดบั มำกทส่ี ดุ คือมีค่าเฉล่ยี (X ) เทา่ กับ 4.71 หรือ คิดเป็นร้อยละ 94.20 ผลการประเมินพบวา่ 2.3 กำรอำนวยควำมสะดวก ลาดับที่ 1 ข้อที่ 2 โสตทัศนูปกรณ์ มำกท่ีสุด คือ มคี า่ เฉล่ีย X( ) เทา่ กบั 4.83 หรือ คดิ เป็นรอ้ ยละ 96.60 ลาดับท่ี 2 ขอ้ ท่ี 3 เจา้ หนา้ ที่สนบั สนุน มำก ทระี่สดุดับคมือำมกีคท่า่สีเฉุดล่ียคือ(มXีค่า)เเฉทล่าี่ยกับ( 4.75 หรือ คิดเป็นร้อยละ 95.00 ลาดับท่ี 3 ข้อท่ี 1 เอกสาร อยู่ใน ) เท่ากับ 4.67 หรือ คิดเป็นร้อยละ 93.40 และลาดับที่ 4 ข้อท่ี 4 อาหาร, เครอื่ งดม่ื และสถานที่ อยX่ใู นระดบั มำกทีส่ ดุ คือมีค่าเXฉลย่ี ( X ) เทา่ กบั 4.58 หรือ คิดเป็นร้อยละ 91.60

20 ตำรำงท่ี 2.4 คณุ ภำพกำรให้บริกำรในการจัดกจิ กรรมและความพงึ พอใจในการเขา้ รว่ มโครงการ ระดับควำมคดิ เห็น ผลกำร ประเมิน ท่ี ประเดน็ คำถำม มำก ดี ปำน นอ้ ย น้อย X ทส่ี ดุ มำก กลำง ทสี่ ดุ ท่านไดร้ ับความรู้ แนวคิด มำกท่สี ดุ 1. ทักษะและประสบการณ์ 10 2 - - - 4.83 ใหมๆ่ จากโครงการ/กิจกรรม ท่านสามารถนาสิง่ ทไี่ ดร้ บั จาก มำกทีส่ ุด 2. โครงการ/กจิ กรรมนไี้ ปใชใ้ น 9 3 - - - 4.75 การเรียน/การปฏบิ ตั งิ าน สงิ่ ทีท่ า่ นไดร้ บั จากโครงการ/ มำกทส่ี ุด 3. กจิ กรรมครั้งนี้ตรงตามความ 7 5 - - - 4.58 คาดหวงั ของท่าน สดั ส่วนระหวา่ งการฝกึ อบรม มำกทีส่ ุด 4. ภาคทฤษฎกี ับภาคปฏิบตั ิ (ถ้า 8 4 - - - 4.67 ม)ี มคี วามเหมาะสม 5. ประโยชน์ท่ที ่านไดร้ ับจาก 7 5 - - - 4.58 มำกท่สี ุด โครงการ/กิจกรรม คำ่ เฉลี่ย ( X ) 4.68 มำกท่ีสุด จากตารางท่ี 2.4 คณุ ภำพกำรให้บรกิ ำร ทา่ นได้รบั ความรู้ แนวคดิ ทักษะและประสบการณ์ ใหม่ๆจากโครงการ/กิจกรรม อยใู่ นระดับ มำกทสี่ ุด คือมีค่าเฉล่ยี ( X ) เท่ากบั 4.68 หรอื คดิ เปน็ ร้อยละ 93.6 ผลการประเมินพบวา่ 2.4 คณุ ภำพกำรให้บรกิ ำร ลาดับที่ 1 ข้อที่ 1 ท่านไดร้ ับ ความรู้ แนวคิด ทกั ษะและประสบการณ์ใหม่ๆจากโครงการ/กิจกรรม มำกทีส่ ดุ คือมคี า่ เฉลยี่ ( X) เท่ากบั 4.83 หรือ คดิ เป็นร้อยละ 96.60 ลาดบั ท่ี 2 ข้อท่ี 2 ท่านสามารถนาส่งิ ทไ่ี ดร้ ับจากโครงการ/ กิจกรรมนี้ไปใช้ในการเรียน/การปฏิบัตงิ าน มำกที่สดุ คอื มีคา่ เฉล่ีย (X ) เท่ากบั 4.75 หรือ คิดเปน็ ร้อยละ 95.00 ลาดับท่ี 3 ขอ้ ที่ 4 สง่ิ ที่ท่านไดร้ ับจากโครงการ/กิจกรรมคร้ังนตี้ รงตามความคาดหวงั ของทา่ น อยู่ในระดับ มำกท่ีสุด คอื มีค่าเฉลี่ย ( X) เทา่ กบั 4.67 หรือ คิดเปน็ รอ้ ยละ 93.40 และ ลาดับท่ี 4 ข้อท่ี 3และ5 สง่ิ ท่ีท่านได้รับจากโครXงการ/กจิ กรรมครั้งน้ตี รงตามความคาดหวังของท่าน และประโยชนท์ ่ที า่ นได้รับจากโครงการ/กจิ กรรม อยู่ในระดบั มำกท่ีสุด คอื มีคา่ เฉลี่ย ( X) เท่ากับ 4.58 หรือ คิดเปน็ รอ้ ยละ 91.60

21 บทสรุป ส่วนท่ี 2 ควำมพงึ พอใจทม่ี ีต่อกำรจัดกจิ กรรม/โครงกำร จากตารางที่ 2.1 ถงึ ตารางท่ี 2.4 ผลการประเมินพบวา่ ความพงึ พอใจที่มตี ่อการจดั กจิ กรรม พัฒนาผู้เรียน โครงการหน้าบ้านสวย หลงั บา้ นสวน อย่ใู นระดับ มำกท่สี ุด โดยมีค่าเฉลีย่ ในภาพรวม ( X ) เท่ากับ 4.63 และคิดเปน็ รอ้ ยละ 92.60

22 บทที่ 5 สรปุ ผลกำรดำเนินงำน/ขอ้ เสนอแนะ การประเมนิ ผลโครงการหน้าบา้ นสวย หลงั บา้ นสวน เพื่อสง่ เสรมิ การเรยี นรูศ้ าสตร์พระราชา ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ณ ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอเขาสวนกวาง อาเภอเขาสวนกวาง จงั หวัดขอนแก่น สรปุ ผลการประเมินโครงการ ข้อเสนอแนะ ตารางสรปุ ระดับความคิดเหน็ ของผรู้ บั บรกิ าร 4 ด้าน ดา้ นที่ หัวข้อการประเมนิ ค่าเฉลย่ี ระดบั ความคดิ เห็น 1 ดา้ นระดับความพงึ พอใจของผ้รู ับบรกิ าร 4.60 มากที่สุด 2 ดา้ นครูผ้สู อน/วทิ ยากรผู้จดั กิจกรรมการเรยี นรู้ 4.53 มากที่สดุ 3 ด้านจัดส่ิงอานวยความสะดวกแกผ่ ้เู ข้าร่วมกิจกรรม 4.71 มากที่สดุ 4 ดา้ นคณุ ภาพของการจดั กจิ กรรม 4.68 มากท่สี ุด รวม 4.63 มากที่สดุ พบวา่ ระดบั ความพงึ พอใจของผูร้ ับบรกิ าร โดยภาพรวมทกุ ดา้ นมีค่าเฉลยี่ 4.60 อยู่ในระดับ มากทีส่ ดุ โดยดา้ นระดับความพงึ พอใจของผรู้ ับบริการ มคี า่ เฉล่ีย 4.53 อยูใ่ นระดบั มากท่ีสุด, ดา้ น ครูผสู้ อน/วิทยากรผู้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ มคี ่าเฉลี่ย 4.71 อย่ใู นระดับ มากท่สี ุด, ดา้ นจดั สงิ่ อานวย ความสะดวกแกผ่ ้เู ขา้ รว่ มกิจกรรม มคี ่าเฉลีย่ 4.68 อยใู่ นระดบั มาก, ด้านคณุ ภาพของการจัดกิจกรรม มคี ่าเฉลย่ี 4.63 อยใู่ นระดับ มากที่สดุ

23 จากตาราง 2.4 เปา้ หมาการ ตวั ช้ีวัด เกณฑ์ ผลการ บรรลุ ความพงึ พอใจของผู้รบั บริการ ดาเนินงาน ร้อยละ 80 พึงพอใจ บรรลุ ไม่ กจิ กรรมที่จดั มีประโยชน์ สอดคลอ้ งกับ อยใู่ นระดบั ดี ขึ้นไป รอ้ ยละ บรรลุ ความตอ้ งการของผเู้ ขา้ ร่วมกิจกรรม รอ้ ยละ 80 พึงพอใจ 93.40 ความรู้ ทกั ษะ และประสบการณ์ทไ่ี ด้รบั อยูใ่ นระดับ ดี ขึ้นไป ร้อยละ  สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ใน 93.40 ชวี ิตประจาวนั ได้ ร้อยละ 80 พงึ พอใจ  กจิ กรรมท่จี ดั สามารถส่งผลดีต่อการ อยู่ในระดบั ดี ขึ้นไป พัฒนา คน สงั คม และชุมชน รอ้ ยละ 80 พงึ พอใจ รอ้ ยละ  ความพึงพอใจทม่ี ีตอ่ โครงการ/กจิ กรรม อยู่ในระดบั ดี ขน้ึ ไป 91.61 ภาพรวม ร้อยละ 91.00  ประโยชน์และความพึงพอใจท่ีมตี ่อ ร้อยละ 80 พงึ พอใจ รอ้ ยละ  โครงการ/กจิ กรรมในภาพรวม อยู่ในระดับ ดี ขึน้ ไป 91.60 ข้อคดิ เหน็ และข้อเสนอแนะ 1.ควรใหผ้ ู้เขา้ ร่วมกจิ กรรมได้ฝกึ ปฏบิ ัติมากกว่านี้ 2.ควรนาเรอื่ งใกล้ตวั มาสอนเพม่ิ เติม เพื่อเป็นการเสริมความรแู้ ละเพอ่ื ให้สามารถนาความรู้ มาประยุกต์ใชใ้ นครวั เรือนและในชวี ติ ประจาวัน 3.ควรเพิม่ ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมให้มากกว่าเดิม

24 ภำคผนวก - ภาพกิจกรรม - โครงการ - คาสั่งคณะทางาน - แบบประเมนิ โครงการ - หนงั สือเชญิ วิทยากร - หนงั สือขอใช้สถานที่ - แผนการใชง้ บประมาณ

25


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook