โครงงาน IS (IS30201) เรื่อง การเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของถวั่ เหลือง ระหวา่ งการใชป้ ๋ ุยหมกั และป๋ ุยเคมี จดั ทาโดย 1.นางสาวจิรัชยา ไชยบุญเรือง เลขที่ 9ม.5/6 2.นางสาวจิดาภา มารัด เลขท่ี 25 ม.5/6 3.นางสาวศิริปัญญา ขนั ทะสอน เลขที่ 26ม.5/6 4.นางสาวสิริวมิ ล บุญดว้ ง เลขที่ 29ม.5/6 5.นางสาวณภทั ร สุดใจ เลขที่ 37ม.5/6 เสนอ ครูดารงค์ คนั ธะเรศย์ โรงเรียนปัว อาเภอปัว จงั หวดั น่าน สงั กดั เขตพ้ืนที่การศกึ ษา มธั ยมศกึ ษาน่าน กระทรวงศึกษาธิการ
ก กติ ตกิ รรมประกาศ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง การเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของถวั่ เหลืองระหวา่ งการใชป้ ๋ ุยหมกั และป๋ ุยเคมี ประกอบวชิ าคอมพวิ เตอร์ สามารถดาเนินงานไปอยา่ งมีระบบ ตามข้นั ตอนที่วางไว้ จนทาใหง้ าน สาเร็จลุล่วงไปไดด้ ว้ ยดี เน่ืองจากการเรียนการสอนและการใหค้ าปรึกษาแนะนา จากคุณครูดารงค์ คนั ธะเรศย์ ครูที่ปรึกษาประจาวชิ าคอมพิวเตอร์ ซ่ึงใหค้ วามรู้ทางดา้ นวชิ าการและตลอดจนการใหค้ าแนะนา การทาโครงงาน เรื่อง การเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของถว่ั เหลืองระหวา่ งการใชป้ ๋ ุยหมกั และป๋ ุยเคมี พร้อมท้งั ยงั อธิบายวธิ ีการทาและใชโ้ ปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ คือโปรแกรม Micosoft Word และโปรแกรม PubHTML5 เพือ่ ใชป้ ระกอบกบั โครงงาน จากคาแนะนาของครูท่ีปรึกษา ทาใหก้ ลุ่มขา้ พเจา้ มีแนวทางใน การดาเนินงานและทางานกนั ไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ จนสาเร็จลุล่วงไปไดด้ ว้ ยดี จึงขอขอบพระคุณ มาไว้ ณ ที่น้ี ดว้ ย คณะผจู้ ดั ทา
ข คานา รายงานฉบบั น้ีจดั ทาเพื่อประกอบการเรียนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ โดยมีจุดประสงคเ์ พ่ือใหผ้ จู้ ดั ทาไดเ้ รียนรู้ เกี่ยวการเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของตน้ ถวั่ เหลืองระหวา่ งการใชป้ ๋ ุยหมกั และป๋ ุยเคมี และนาความรู้ที่ได้ ศึกษาคน้ ควา้ และทาการทดลอง เพือ่ เอาไวใ้ ชเ้ ป็ นขอ้ มลู เทียบคุณสมบตั ิของการใชป้ ๋ ุยหมกั และป๋ ุยเคมี ท้งั น้ี เน้ือหา และข้นั ตอนการทดลอง ไดม้ ีการศึกษาและรวบรวมจากการทดลอง ขอขอบพระคุณ อาจารย์ และผเู้ ชี่ยวชาญเป็ นอยา่ งสูง ที่ท่านกรุณาใหค้ าแนะนาเพ่ือแกไ้ ข ใหข้ อ้ เสนอแนะตลอดการทางาน ผจู้ ดั ทาหวงั วา่ รายงานฉบบั น้ีคงมีประโยชน์ตอ่ ผทู้ ่ีนาไปใชใ้ หเ้ กิดผลสมั ฤทธ์ิตามความคาดหวงั คณะผจู้ ดั ทา
ค สารบัญ เรื่อง หน้า กิตติกรรมประกาศ……………………………………………………………………………......ก คานา………………………………………………………………………………………….…..ข สารบญั …………………………………………………………………………………………...ค สารบญั (ต่อ)…………………………………………………………………………………..…..ง บทที่1 บทนา………………………………………………………………………...…1 1.1ท่ีมาและความสาคญั ของโครงงาน………………………………………......1 1.2วตั ถุประสงคข์ องการทาโครงงาน………………………………………...…1 1.3สมมติฐาน………………………………………………………………...…1 1.4ขอบเขตของการทาโครงงาน………………………………………………...1 บทที่2 เอกสารที่เก่ียวขอ้ ง…………………………………………………………........2 2.1ถวั่ เหลือง…………………………………………………………………….2 2.2การปลูกถวั่ เหลือง…………………………………………………………....2-5 2.3ดิน……………………………………………………………………….......5-6 2.4สภาพดินท่ีเหมาะกบั การปลูกถวั่ เหลือง……………………………………..6 2.5ป๋ ุยเคมี……………………………………………………………………….7 2.6การใส่ป๋ ุยเคมี……………………………………………………………......8 2.7ป๋ ุยหมกั …………………………………………………………………...…8-13 2.8วธิ ีการใชป้ ๋ ุยหมกั …………………………………………………………....13-14 บทที่3 วธิ ีการดาเนินการ…………………………………………………………….....15 3.1ข้นั เตรียมการ……………………………………………………………......15
ง สารบัญ(ต่อ) เร่ือง หน้า 3.2วสั ดุอุปกรณ์………………………………………………………………....15 3.3วธิ ีทา………………………………………………………………………...15 บทที่4 ผลการดาเนินงาน…………………………………………………………….....16 บทท่ี5 สรุปผลการดาเนินงาน………………………………………………………......17 บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………...18
1 บทท1่ี บทนา ทมี่ าและความสาคญั ถว่ั เหลืองมีถ่ินกาเนิดในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศจีน ท่ีติดต่อกบั แมนจูเรีย ชาวจีน คุน้ เคยในการเพาะปลูก และใชป้ ระโยชนจ์ ากถว่ั เหลืองมาเป็นเวลากวา่ ๕,๐๐๐ ปี ต่อจากน้นั กไ็ ดข้ ยายออก ไปสู่ประเทศอ่ืนๆ เช่น เกาหลี และญี่ป่ ุน และแพร่หลายไปถึงทวปี ยโุ รป และอเมริกา เมื่อประมาณร้อยกวา่ ปี ปัจจุบนั ประเทศท่ีปลูกถว่ั เหลืองมากที่สุดคือ สหรัฐอเมริกา รองลงมาไดแ้ ก่ บราซิล จีน และอาร์เจนตินา ตามลาดบั ประเทศเหล่าน้ีอยใู่ นเขตอบอุน่ มีสภาพอากาศคอ่ นขา้ งเยน็ เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต และให้ ผลิตผลตอ่ ไร่สูง ถวั่ เหลืองมีชื่อทางวทิ ยาศาสตร์วา่ Glycine max (L.) Merrill อยใู่ นวงศ์ (Family) Legumeminosae เป็นพชื ลม้ ลุก ทรงตน้ เป็ นพมุ่ มีความสูงระหวา่ ง ๕๐ เซนติเมตรถึงสองเมตร บางพนั ธุ์ก็ เล้ือยเป็นเถา ระบบรากประกอบดว้ ยรากแกว้ ซ่ึงอาจหยง่ั ลึกลงไปถึง ๒ เมตร ฯ ดงั น้นั จึงเห็นวา่ การทาวจิ ยั เพอื่ ศึกษา การใชป้ ๋ ุยหมกั และป๋ ุยเคมีมีผลตอ่ การเจริญเติบโตของถวั่ เหลือง มีความจาเป็ นอยา่ งยงิ่ เพอื่ ให้ ไดผ้ ลผลิตทางการเกษตรท่ีมีคุณภาพดีปราศจากการใชส้ ารเคมี วตั ถุประสงค์ของการทาโครงงาน 1.เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตของถวั่ เหลือง 2.เพอื่ ศึกษาเเละเปรียบเทียบการใชป้ ๋ ุยหมกั และป๋ ุยเคมีในการปลูกถว่ั เหลือง สมมติฐาน 1.ถว่ั เหลืองท่ีปลูกโดยใชป้ ๋ ุยหมกั จะเจริญเติบโตไดด้ ีกวา่ ป๋ ุยเคมี ขอบเขตของการทาโครงงาน ทาโครงงานเก่ียวกบั การเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของตน้ ถว่ั เหลืองโดยมีป๋ ุยหมกั กบั ป๋ ุยเคมีเป็น ตวั กาหนดการเจริญเติบโตของโครงงานน้ี ส่วนน้า เเสง เเละปริมาณของป๋ ุยเราจะใหใ้ นปริมาฌที่เทา่ กนั โดยทาการทดลองโครงงานน้ีเป็นเวลา 3 สัปดาห์เเเละทาการจดบนั ทึกเเละถ่ายภาพความเปล่ียนเเปลง
2 บทท2ี่ เอกสารทเี่ กยี่ วข้อง ถว่ั เหลอื ง ถวั่ เหลืองมีถ่ินกาเนิดในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือของประเทศจีน ท่ีติดต่อกบั แมนจูเรีย ชาวจีน คุน้ เคยในการเพาะปลูก และใชป้ ระโยชน์จากถวั่ เหลืองมาเป็นเวลากวา่ ๕,๐๐๐ ปี ต่อจากน้นั ก็ไดข้ ยายออก ไปสู่ประเทศอื่นๆ เช่น เกาหลี และญ่ีป่ ุน และแพร่หลายไปถึงทวปี ยโุ รป และอเมริกา เมื่อประมาณร้อยกวา่ ปี ปัจจุบนั ประเทศที่ปลูกถว่ั เหลืองมากท่ีสุดคือ สหรัฐอเมริกา รองลงมาไดแ้ ก่ บราซิล จีน และอาร์เจนตินา ตามลาดบั ประเทศเหล่าน้ีอยใู่ นเขตอบอุ่น มีสภาพอากาศค่อนขา้ งเยน็ เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต และให้ ผลิตผลต่อไร่สูง ถว่ั เหลืองมีช่ือทางวทิ ยาศาสตร์วา่ Glycine max (L.) Merrill อยใู่ นวงศ์ (Family) Legumeminosae เป็นพชื ลม้ ลุก ทรงตน้ เป็นพมุ่ มีความสูงระหวา่ ง ๕๐ เซนติเมตรถึงสองเมตร บางพนั ธุ์ก็เล้ือยเป็นเถา ระบบ รากประกอบดว้ ยรากแกว้ ซ่ึงอาจหยงั่ ลึกลงไปถึง ๒ เมตร ส่วนรากฝอยเกิดเป็นกระจุกประสานกนั อยใู่ ต้ ระดบั ผวิ ดิน บริเวณผวิ รากมีปมของบคั เตรีเกาะอยเู่ ห็นไดช้ ดั เจน ลาตน้ แตกก่ิงจานวน ๓ - ๘ กิ่ง มีขนสีขาว น้าตาล หรือเทาคลุมอยู่ ใบถวั่ เหลือง เกิดสลบั กนั เป็นใบรวม ประกอบดว้ ย ใบยอ่ ย ๓ ใบ รูปร่างกลมรี ช่อ ดอกเกิดจากมุมใบและ ปลายยอด ดอกมีขนาดเล็กสีขาวหรือม่วง จานวน ๓ - ๑๕ ดอกตอ่ หน่ึงช่อ ดอก สมบรู ณ์เพศมี อบั เกสรตวั ผแู้ ละรังไข่อยใู่ นดอกเดียวกนั การผสม เกสรเกิดข้ึนก่อนดอกบาน รังไขจ่ ะ เจริญเติบโต เป็ นฝักรูปยาวและโคง้ ภายในมีเมลด็ ๒ - ๓ เมล็ด เรียงตวั อยตู่ ามแนวนอน เปลือกหุม้ เมล็ด มี ท้งั สีเหลือง เขียว น้าตาล และดา ภายใน เมล็ดมีใบเล้ียงสีเหลืองหรือเขียวสองใบหุม้ ตน้ ออ่ นอยภู่ ายใน การปลูกถ่วั เหลอื ง 1.พ้ืนท่ีปลูก ถว่ั เหลืองสามารถเจริญเติบโตไดด้ ีในดินร่วน ดินร่วนเหนียว และดินร่วนเหนียวปนทราย คา่ ความเป็นกรด ด่างของดิน 5.5-7.0 พ้นื ที่น้าท่วมขงั ควรมีร่องระบายน้า 2.ฤดูปลูก ฤดูแลง้ เป็นฤดูท่ีเหมาะสม ปลูกไดต้ ้งั แตก่ ลางเดือนพฤศจิกายน-ปลายเดือนธนั วาคม โดยปลูกไดท้ นั ทีหลงั การเกบ็ เกี่ยวขา้ วนาปี แต่ตอ้ งตรวจสอบความช้ืนในดินดว้ ย
3 3.สภาพภมู ิอากาศ อุณหภูมิท่ีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโต 15-35 องศาเซลเซียส แตถ่ า้ อุณหภูมิต่ากวา่ 15 องศาเซลเซียส เมลด็ จะงอกชา้ ลง อาจใชเ้ วลานาน 8-10 วนั 4.พนั ธุ์ พนั ธุ์ถวั่ เหลืองท่ีเกษตรกรนิยมปลูก ไดแ้ ก่ พนั ธุ์เชียงใหม่ 60 และเมลด็ พนั ธุ์ตอ้ งมีความงอกไมต่ ่ากวา่ 75 เปอร์เซ็นต์ 5.การเตรียมดินและปลูก การปลูกถวั่ เหลืองในนาที่มีการชลประทานหลงั การเก็บเก่ียวขา้ วไม่จาเป็นตอ้ งไถพรวนดิน แต่ตอ้ งขดุ ร่องรอยและผา่ นกลางนาเพื่อใชเ้ ป็นร่องระบายน้าออกจากแปลง ระยะห่างร่อง 3-5 เมตร หลีกเล่ียงการปลูก ในสภาพดินทรายจดั โดยใชอ้ ตั รา 12-15 กิโลกรัมตอ่ ไร่ สามารถปลูกแบบหวา่ นและพรวนดินกลบ และ ปลูกเป็นแถวใชร้ ะยะปลูกระหวา่ งแถว 50 ซม. ระหวา่ งตน้ 20 ซม. จานวน 3-5 ตน้ ตอ่ หลุม 6.การใส่ป๋ ุย ใส่ป๋ ุยเกรด 12-24-12 อตั รา 25 กิโลกรัมต่อไร่ หวา่ นพร้อมกบั การเตรียมดิน 7.การใหน้ ้า อยา่ ใหถ้ วั่ เหลือง ขาดน้าช่วงออกดอกติดฝักจะทาใหผ้ ลผลิตลดลง 8.การป้ องกนั กาจดั วชั พชื -วชั พชื ใบแคบ พน่ ฟลูเอซิฟอบ-พ-ี บิวทิล(15% EC) 40 มิลลิลิตรตอ่ น้า 20 ลิตรหรือควซิ าโลฟอบ-พ-ี เทฟิ วริล (6% EC) 50 มิลลิลิตรตอ่ น้า 20 ลิตร หลงั งอก พน่ คลุมไปบนตน้ เหลืองและวชั พืช ระยะที่วชั พชื ส่วนใหญม่ ี ใบ 3-5 ใบ หรือประมาณ 15-20 วนั หลงั งอก -วชั พืชใบกวา้ ง พน่ หลงั งอก พน่ โฟมีซาเฟน(25% EC) 40 มิลลิลิตรตอ่ น้า 20 ลิตร คลุมไปบนตน้ ถว่ั เหลือง และวชั พืช ระยะท่ีวชั พืชส่วนใหญ่มีใบ 3-5 ใบ หรือประมาณ 15-20 วนั หลงั งอก หา้ มเกินอตั ราท่ีกาหนด เพราะอาจเป็นอนั ตรายต่อตน้ ถวั่ เหลือง
4 9.แมลงศตั รูที่สาคญั 1) ระยะตน้ กลา้ -หนอนแมลงวนั เจาะลาตน้ ฉีดพน่ สารเคมีฆา่ แมลง เช่น ไตรอะโซฟอส 40% อีซี อตั รา 40 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร ฉีดพน่ หลงั จากถว่ั เหลืองงอกไม่เกิน 7-10 วนั และพน่ ซ้าอีก 1-2 คร้ัง ห่างกนั 7 วนั 2) ระยะออกดอกและติดฝัก -แมลงหวข่ี าว พน่ ดว้ ยสารเคมีป้ องกาจดั เช่น อะเซทามิพริด 20% เอสพี อตั รา 5 กรัมต่อน้า 20 ลิตร พน่ เมื่อ พบการทาลายใบยอดยน่ และใบหงิกงอ ในระบะถวั่ เหลืองเจริญเติบโตจนถึงระยะติดฝักออ่ นและฝักยาว เตม็ ท่ีอีก 2 คร้ัง พน่ 2-3 คร้ังห่างกนั 7-10 วนั - หนอนเจาะฝัก ใหฉ้ ีดพน่ ดว้ ยสารฆ่าแมลง ไตรอะโซฟอส 40% อีซี (ฮอสตาไธออน 40 อีซี) อตั รา 50 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร 1-2 คร้ังใหห้ ่างกนั 10 วนั 10.โรคที่สาคญั - โรครากและโคนเน่า คลุกเมล็ดพนั ธุ์ก่อนปลูกดว้ ยสารเคมีกาจดั เช้ือรา เช่น เมทาแลกซิล อตั รา 5 กรัมตอ่ เมลด็ พนั ธุ์ 1 กิโลกรัม 11.การเก็บเก่ียว เก็บเก่ียวฝักสดเม่ืออายุ 65-75 วนั เมลด็ แหง้ เก็บเก่ียวเมื่อใบร่วง ฝักแก่เปลี่ยนเป็ นสีน้าตาล ร้อยละ 95 ของ จานวนฝักท้งั หมดโดยใชแ้ รงงานคนหรือเคร่ืองเก็บเกี่ยว การปฏิบตั ิหลงั การเก็บเกี่ยว ตน้ ถว่ั เหลืองท่ีเกบ็ เก่ียวแลว้ ผ่งึ ไวใ้ นแปลง 1-2 วนั จึงนาไปนวดดว้ ยเคร่ืองนวดถว่ั เหลืองที่มีความเร็วรอบ ไมเ่ กิน 500 รอบต่อนาที กะเทาะเมลด็ ออกจากฝักและร่อนทาความสะอาดไปพร้อมกนั นาเมลด็ ท่ีไดไ้ ปผ่งึ แดดเพื่อลดความช้ืนใหเ้ หลือประมาณ 10-12 เปอร์เซ็นต์ บรรจุเมลด็ ถวั่ เหลืองในกระสอบที่สะอาดและเยบ็ ปากกระสอบใหม้ ิดชิดเพื่อเก็บรักษาหรือส่งจาหน่าย การผลิตเมล็ดพนั ธุ์ถว่ั เหลือง เกษตรกรมกั ขาดแคลนเมล็ดพนั ธุ์ถว่ั เหลือง หรือหาเมล็ดพนั ธุ์ไดไ้ ม่ทนั ต่อช่วงเวลาปลูก ดงั น้นั จึงควรหา วธิ ีการผลิตเมล็ดพนั ธุ์ไวใ้ ชเ้ อง โดยเร่ิมจาก 1. ใชเ้ มล็ดพนั ธุ์ดีจากแหล่งท่ีเชื่อถือได้
5 2. ปลูกและปฏิบตั ิดูแลรักษาตามคาแนะนะ 3. เพอ่ื ปราศจากการปนพนั ธุ์ หมนั่ ตรวจสอบแปลงและขจดั พนั ธุ์ปน อยา่ งนอ้ ย 3 คร้ัง คือ ระยะตน้ กลา้ ระยะออกดอกและติดฝัก 4. เกบ็ เก่ียวโดยใชเ้ คี่ยวเกี่ยวตน้ ขณะใบร่วง ฝักแก่เปล่ียนเป็นสีน้าตาล ร้อยละ 95 จะไดเ้ มลด็ พนั ธุ์ท่ีดีกวา่ เครื่องเก่ียวนวด 5. ภายหลงั กะเทาะเมล็ด ทาความสะอาด ตากเมลด็ อีกคร้ังใหแ้ หง้ สนิทเพ่ือลดความช้ืนใหเ้ หลือ 10-12 เปอร์เซ็นต(์ ตาก 1-2 แดด) ทดสอบโดยใชฟ้ ันขบเมลด็ จะมีเสียงดงั กร๊อบและแตกเป็นชิ้นเลก็ ๆ การเก็บรักษาเมลด็ พนั ธุ์ ภาชนะท่ีใชบ้ รรจุตอ้ งสะอาดและสามารถปิ ดไดม้ ิดชิด เช่น ถุงพลาสติกชนิดหนา ป๊ิ บ ถงั พลาสติก หรือ ถงั น้ามนั ที่มีฝาปิ ดไดส้ นิทขนาดต่างๆ วางภาชนะไวใ้ นที่มีอากาศถ่ายเทไดด้ ี ไม่เปี ยกช้ืนจากฝน มีการป้ องกนั แมลง หนู หรือสตั วอ์ ื่นๆ เขา้ รบกวน สามารถเกบ็ เมล็ดไดข้ า้ มปี ถา้ ปฏิบตั ิตามคาแนะนา ดนิ ดิน (soil) หมายถึง เทหวตั ถุธรรมชาติ (natural body) ที่เกิดจากการสลายตวั ของหินและแร่ธาตุตา่ งๆ ผสมคลุกเคลา้ กบั อินทรียวตั ถุ ซ่ึงปกคลุมผวิ ดินโลก อยเู่ ป็ นช้นั บางๆ เป็นวตั ถุท่ีค้าจุนการเจริญเติบโตและ การทรงตวั ของพืช ดินประกอบดว้ ยแร่ธาตุ ที่เป็ นของแขง็ อินทรียวตั ถุ น้า และอากาศ ที่มีสดั ส่วนแตกตา่ ง กนั ข้ึนอยกู่ บั ชนิดของดิน ท่ีดิน (land) หมายถึง ที่ดินที่มีอยตู่ ามธรรมชาติ อนั อาจใชป้ ระโยชน์สนองความตอ้ งการ ของมนุษย์ ในทางต่างๆ โดยคานึงถึงผลตอบแทนจากการใชป้ ระโยชนท์ ี่ดินน้นั เป็นประการสาคญั ความแตกตา่ ง \"ที่ดิน\" และ \"ดิน\" \"ท่ีดิน\" เป็นอสังหาริมทรัพยอ์ ยา่ งหน่ึง หรือเป็นพ้นื ที่บริเวณ หน่ึงบนผวิ โลก ซ่ึงมีการแบ่งอาณาเขตตามที่มนุษยก์ าหนดไว้ โดยท่ีท่ีดินมีลกั ษณะเป็น 2 มิติ (two dimensions) คือ กวา้ งกบั ยาว ส่วน \"ดิน\" เป็นเทหวตั ถุธรรมชาติอยา่ งหน่ึง ประกอบกนั ข้ึน เป็นส่วนหน่ึง ของภูมิประเทศ หรือของที่ดิน มีลกั ษณะเป็น 3 มิติ (three dimensions) คือ กวา้ ง ยาว และลึก ฉะน้นั การศึกษาดิน จึง จาเป็นตอ้ งศึกษาลกั ษณะของดินตาม ความลึก จากผวิ ดิน ลงไปขา้ งล่างดว้ ย หรือที่เราเรียกวา่ หนา้ ตดั ของดิน (soil profile) ดงั น้นั ที่ดินแปลงหน่ึงอาจจะประกอบดว้ ยดินเพยี งชนิดเดียวหรือหลายชนิดกไ็ ด้ การสารวจดิน(soilsurvey)หมายถึงการสารวจหาขอ้ มลู ดา้ นวทิ ยาศาสตร์ของดินชนิดตา่ งๆในบริเวณ พ้นื ท่ีใดพ้นื ที่หน่ึงและนามาบนั ทึกไวใ้ นรูปแบบของแผนที่และรายงานสารวจดิน แผนที่ดินแสดงถึงชนิด
6 และการกระจายของดินแตล่ ะชนิดท่ีพบในบริเวณสารวจ ส่วนรายงานสารวจดินจะใหข้ อ้ มูลเก่ียวกบั ลกั ษณะ ต่างๆ ของดิน และสภาพสิ่งแวดลอ้ มที่เกิดดิน ขอ้ จากดั และขอ้ เสนอแนะในการปรับปรุงแกไ้ ข รวมท้งั ขอ้ เสนอแนะในการใชป้ ระโยชน์ ใหเ้ หมาะสมกบั ศกั ยภาพของดินแต่ละชนิดดว้ ย การจาแนกช้นั สมรรถนะท่ีดิน (land capability classification) หมายถึง การจาแนกที่ดินออกเป็นช้นั ตา่ งๆ ตามความเหมาะสมและขอ้ จากดั ในการใชป้ ระโยชน์โดยอาศยั ลกั ษณะของดินและสภาพส่ิงแวดลอ้ ม ในการเกิดดินเป็ นหลกั ในการจาแนก ขอ้ จากดั ในการใชป้ ระโยชน์ที่นามาใชเ้ ป็นหลกั ไดแ้ ก่ ความลาดเทของพ้ืนท่ี การชะลา้ ง พงั ทลาย สภาพน้าท่วม ความแหง้ แลง้ ของดิน คุณสมบตั ิของดินท่ีมีปัญหาในการใชป้ ระโยชน์ ความลึกของ ดิน ฯลฯ ดินท่ีจาแนกออกแต่ละช้นั จะมีความเหมาะสมและขอ้ จากดั ในการใชป้ ระโยชน์ลดหลนั่ กนั ลงไปคือ ท่ีดินช้นั ท่ีหน่ึง เป็นดินท่ีเหมาะสมมากท่ีสุด ไม่มีขอ้ จากดั ในการใชป้ ระโยชน์หรือมีเพียงเล็กนอ้ ย ส่วนดิน ช้นั ท่ีหา้ หรือช้นั สุดทา้ ย เป็ นดินที่ไมเ่ หมาะสมแก่การเพาะปลูก หรือมีขอ้ จากดั ในการใชป้ ระโยชน์มาก การจาแนกช้นั ความเหมาะสมของดิน (soil suitability classification) หมายถึง การจาแนกช้นั ความ เหมาะสมของดินแตล่ ะชนิดออกเป็ นช้นั ๆ ตามความเหมาะสมและขอ้ จากดั ในการใชป้ ระโยชน์ในการปลูก พืชแต่ละชนิด หรือแต่ละกลุ่มของพชื หรือการใชป้ ระโยชนแ์ ตล่ ะอยา่ ง มีความหมายใกลเ้ คียงกบั การจาแนก สมรรถนะท่ีดิน แต่เป็ นการจดั จาแนกความเหมาะสมของดินแตล่ ะชนิดกบั การใชป้ ระโยชน์แต่ละอยา่ ง นนั่ เอง การพฒั นาที่ดิน (land development) หมายถึง การปฏิบตั ิการใดๆ ในอนั ที่จะทาใหก้ ารใชท้ ี่ดิน บงั เกิดผลดี หรือมีประโยชน์ตอ่ ประชากรและประเทศชาติโดยส่วนรวมท้งั ดา้ นเศรษฐกิจ สงั คมและการเมือง มากท่ีสุดเทา่ ที่อาจจะเป็ นไปได้ ดงั น้นั พอจะแบง่ หลกั การพฒั นาที่ดินออกไดเ้ ป็น 2 อยา่ งดงั น้ี 1. พฒั นาที่ดินท่ียงั ไมเ่ คยใชป้ ระโยชนใ์ หม้ าอยใู่ นรูปที่ใชป้ ระโยชน์ในกิจกรรมตา่ งๆ เช่น ดา้ นเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยก์ รรม และที่อยอู่ าศยั เป็นตน้ 2. พฒั นาที่ดินที่ใชป้ ระโยชน์อยแู่ ลว้ ใหไ้ ดร้ ับประโยชน์หรือผลตอบแทนอยา่ งเตม็ ท่ี โดยวธิ ีการพฒั นาและ ปรับปรุงบารุงดินดว้ ยวธิ ีการตา่ งๆ สภาพดนิ ทเ่ี หมาะกบั การปลูกถ่ัวเหลอื ง สภาพดินท่ีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของถว่ั เหลือง ควรเป็นดินร่วน ดินร่วนเหนียว ดินเหนียว หรือดินร่วนเหนียวปนทราย ดินมีคา่ ความเป็ นกรดด่าง ประมาณ 5.5-5.6 โดยถว่ั เหลืองไมช่ อบดินเป็ นกรด จดั ซ่ึงส่งผลทาใหก้ ารตรึงไนโตรเจนของเช้ือไรโซเบียมมีประสิทธิภาพลดลง
7 ป๋ ุยเคมี เป็นป๋ ุยที่ไดจ้ ากการผลิต สงั เคราะห์จากแร่ธาตุต่างๆ เป็ นผลพลอยไดจ้ ากโรงงานอุตสาหกรรมบาง ชนิด มีธาตุอาหารหลกั จาเป็นต่อการเจริญเติบโตของพชื ไดแ้ ก่ N (ไนโตรเจน) P (ฟอสฟอรัส) K (โพแทสเซียม) สามารถปลดปล่อยใหแ้ ก่พืชไดง้ ่ายและเร็ว ใชป้ รับปรุงธาตุอาหารในดินใหเ้ พียงพอ เหมาะสมกบั ความตอ้ งการของพชื ท่ีปลูก ป๋ ุยเคมีมีอยู่ 2 ประเภท - แม่ป๋ ุยหรือป๋ ุยเดี่ยว เป็นสารประกอบทางเคมี มีธาตุอาหารประกอบทางเคมี คือ ธาตุ N (ไนโตรเจน) P (ฟอสฟอรัส)หรือ K (โพแทสเซียม) ประกอบดว้ ยหน่ึงหรือสองธาตุและมีปริมาณสารที่ประกอบคงที่ - ป๋ ุยผสม คือ ป๋ ุยท่ีเป็นการนาเอาแม่ป๋ ุยหลายๆ ชนิดมาผสมกนั เพือ่ ใหไ้ ดส้ ัดส่วนของธาตุอาหาร N P และ K ตามตอ้ งการ วธิ ีการผลิตมี 2 ลกั ษณะดงั น้ี การผลิตในลกั ษณะเชิงผสม เป็นวธิ ีท่ีใชอ้ ยใู่ นโรงงานส่วนใหญ่ในประเทศ อาจเป็นแบบผสมเป็นเน้ือเดียว โดยการนาแม่ป๋ ุยและส่วนผสมตา่ ง ๆ มาบดใหเ้ ขา้ กนั แลว้ อดั เป็ นเมด็ ในแตล่ ะเมด็ จะมีธาตุอาหารตรงตาม สูตรที่ตอ้ งการ การนาแมป่ ๋ ุยและส่วนผสมต่าง ๆ มาคลุกเคลา้ ใหเ้ ขา้ กนั หรือนาแมป่ ๋ ุยที่มีขนาดเมด็ ใกลเ้ คียงกนั มาผสมกนั เพ่อื ใหไ้ ดส้ ูตรตามตอ้ งการ และอาจมีการบดใหล้ ะเอียดจนเขา้ กนั ดี ทาใหป้ ๋ ุยแตล่ ะเมด็ อาจมีธาตุอาหาร แตกต่างกนั การผลิตในลกั ษณะเชิงประกอบ การนาวตั ถุดิบที่ใชใ้ นการผลิตแม่ป๋ ุยมาผสมและทาใหป้ ฏิกิริยา กนั เกิดเป็นสารประกอบต่าง ๆ เพือ่ ใหไ้ ดป้ ๋ ุยตามสูตรที่ตอ้ งการ สูตรป๋ ุย บางทีเรียก เกรดป๋ ุย หมายถึงตวั เลขท่ีบอกปริมาณธาตุอาหารท่ีมีอยใู่ นป๋ ุยเคมี โดยบอกเป็นร้อยละ โดยมวลของปริมาณ N ท้งั หมด P ท่ีป็นประโยชน์ (P2O5) และ K (K2O) ตามลาดบั ขอ้ ดี เพม่ิ ผลผลิตทางการเกษตร ขอ้ เสีย ใชใ้ นปริมาณมากและต่อเน่ืองเป็นเวลานาน ๆ จะเกิดการสะสมของสารเคมีในดิน ทาใหด้ ินมีสภาพเป็นกรด ดินแขง็ และเสื่อมสภาพจนเป็ นผลเสียตอ่ การเพาะปลูกได้
8 การใส่ป๋ ุยเคมี การใส่ป๋ ุยเคมีกบั ถวั่ เหลืองหลงั ปลูกขา้ วในเขตชลประทาน ดินที่ใชป้ ลูกขา้ วนาปรังมกั จะเป็นดิน เหนียว หรือร่วนเหนียว ร่วนเหนียวปนทราย ซ่ึงมีความอุดมสมบรู ณ์มากกวา่ ดินดอนหรือดินไร่ เกษตรกรท่ี ปลูกขา้ วส่วนใหญ่จะใส่ป๋ ุยเคมีทุกคร้ัง ทาใหม้ ีป๋ ุยเคมีตกคา้ งที่มีประโยชน์กบั ถว่ั เหลืองที่ปลูก หลงั นา แต่ จะมีธาตุอาหารฟอสฟอรัสต่าใหใ้ ส่ป๋ ุยทริปเปิ ลฟอสเฟต สูตร 0-45-0 อตั รา 20 กิโลกรัม ต่อไร่ ก็เพยี งพอกบั การปลูกถว่ั เหลืองหลงั นา และอาจสลบั ดว้ ยป๋ ุยเคมี สูตร 16-16-8 หรือสูตร 16-20-0 ในบางปี อตั รา 30 กิโลกรัม ต่อไร่ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม เพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลตอบแทนสูงสุดจากการใชป้ ๋ ุยเคมี ควรใส่ป๋ ุยอินทรียร์ ่วมดว้ ย เสมอ และควรมีการวเิ คราะห์ดินเป็นระยะ (3-5 ปี ต่อคร้ัง) จะไดม้ ีแนวทางการพิจารณาใส่ป๋ ุยท่ีเหมาะสม การใส่ป๋ ุยเคมีตามชนิดดิน และการวเิ คราะห์ดิน การใชค้ า่ วเิ คราะห์ดินประกอบการพิจารณาการใส่ป๋ ุยเคมี เป็นแนวทางการใชป้ ๋ ุยที่ถูกตอ้ ง มีประสิทธิภาพ และช่วยประหยดั เงิน โดยการใชแ้ ม่ป๋ ุยที่มีขายนามาผสมป๋ ุย ใชเ้ องตามสัดส่วนของธาตุอาหารท่ีตอ้ งการ ป๋ ุยหมกั ป๋ ุยหมกั คือ ป๋ ุยอินทรีย์ หรือป๋ ุยธรรมชาติ ชนิดหน่ึงท่ีไดม้ าจากการนาเอาเศษซากพืช เช่น ฟางขา้ ซงั ขา้ วโพด ตน้ ถวั่ ตา่ ง ๆ หญา้ แหง้ ผกั ตบชวา ของเหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม ตลอดจนขยะมลู ฝอยตาม บา้ นเรือนมาหมกั ร่วมกบั มูลสตั ว์ ป๋ ุยเคมีหรือสารเร่งจุลินทรียเ์ ม่ือหมกั โดยใชร้ ะยะเวลาหน่ึงแลว้ เศษพืชจะ เปลี่ยนสภาพจากของเดิมเป็นผงเป่ื อยยยุ่ สีน้าตาลปนดานาไปใส่ในไร่นาหรือพชื สวน เช่น ไมผ้ ล พืชผกั หรือ ไมด้ อกไมป้ ระดบั ได้ ประโยชน์ของป๋ ุยหมกั 1. ช่วยเพ่มิ ปริมาณอินทรียว์ ตั ถุใหแ้ ก่ดิน ทาใหด้ ินอุดมสมบรู ณ์ 2. ช่วยเปล่ียนสภาพของดินจากดินเหนียวหรือดินทรายใหเ้ ป็นดินร่วนทาใหส้ ะดวกในการไถพรวน 3. ช่วยสงวนรักษาความชุ่มช้ืนในดินไดด้ ีข้ึน 4. ทาใหก้ ารถ่ายเทอากาศในดินไดด้ ี 5. ช่วยเพ่มิ ประสิทธิภาพในการใชป้ ๋ ุยเคมีและสามารถลดการใชป้ ๋ ุยเคมีลงได้ 6. ช่วยกระตุน้ ใหธ้ าตุอาหารพืชบางอยา่ งในดินท่ีละลายน้ายากใหล้ ะลายน้าง่ายเป็นอาหารแก่พืชไดด้ ีข้ึน 7. ไมเ่ ป็นอนั ตรายตอ่ ดินแมจ้ ะใชใ้ นปริมาณมาก ๆ ติดต่อกนั นาน ๆ
9 8. ช่วยปรับสภาพแวดลอ้ ม เช่น กาจดั ขยะมลู ฝอยและวชั พืชน้าท้งั หลายใหห้ มดไป วธิ ีการทาป๋ ุยหมกั ป๋ ุยหมกั โดยทวั่ ไปแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ ป๋ ุยหมกั ในไร่นา ป๋ ุยหมกั เทศบาลและป๋ ุยหมกั อุตสาหกร รม ในท่ีน้ีจะขอกล่าวถึงเฉพาะป๋ ุยหมกั ในไร่นา สาหรับป๋ ุยหมกั ในไร่นาน้ีมีแบบวธิ ีการทา 5 แบบ ซ่ึงสามารถเลือกทาแบบใดแบบหน่ึงกไ็ ด้ หรืออาจจะทา หลาย ๆ แบบกไ็ ด้ ข้ึนอยกู่ บั ความพร้อมของผทู้ า แบบท่ี 1 ป๋ ุยหมกั คา้ งปี ใชเ้ ศษพชื เพียงอยา่ งเดียวนามาหมกั ทิ้งไวค้ า้ งปี กส็ ามารถนามาใชเ้ ป็นป๋ ุยหมกั ได้ แบบน้ีไมต่ อ้ งดูแลรักษา จึงตอ้ งใชร้ ะยะเวลาในการหมกั นาน เหมาะสาหรับผทู้ ี่ไม่มีเวลา แบบท่ี 2 ป๋ ุยหมกั ธรรมดาใชม้ ลู สัตว์ แบบน้ีใชเ้ ศษพืชและมลู สตั วใ์ นอตั รา 100:10 ถา้ เป็นเศษพชื ชิ้นส่วนเลก็ นามาคลุกผสมไดเ้ ลย แต่ถา้ เป็นเศษพืชชิ้นส่วนใหญ่นามากองเป็นช้นั ๆ (แต่ละกองจะทา ประมาณ 3 ช้นั แต่ละช้นั ประกอบดว้ ยเศษพืชท่ียา่ และรดน้า สูงประมาณ 30-40 ซม. แลว้ โรยทบั ดว้ ยมูล สตั ว)์ แบบน้ีจะใชร้ ะยะเวลาหมกั นอ้ ยกวา่ แบบท่ี 1 เช่น ถา้ ใชฟ้ างขา้ วจะใชร้ ะยะเวลาประมาณ 6-8 เดือน ข้ึนอยกู่ บั การดูแลรักษา แบบท่ี 3 ป๋ ุยหมกั ธรรมดาใชป้ ๋ ุยเคมี แบบน้ีใชเ้ ศษพืช มูลสตั ว์ และป๋ ุยเคมีในอตั รา 100:10:1 ถา้ เป็นชิ้นส่วนเลก็ นามาคลุกผสมไดเ้ ลย ถา้ เป็นชิ้นส่วนใหญน่ ามากองเป็นช้นั เหมือนแบบที่ 2 เพยี งแต่ในแต่ ละช้นั จะเพ่ิมป๋ ุยเคมีข้ึนมา โดยโรยทบั มูลสัตว์ แบบน้ีใชร้ ะยะเวลาในการหมกั เร็วกวา่ แบบท่ี 2 กล่าวคือถา้ เป็นฟางขา้ วจะใชเ้ วลาประมาณ4-6 เดือน แบบท่ี 4 ป๋ ุยหมกั แผนใหม่ การทาป๋ ุยหมกั แบบที่ 1-3 น้นั ใชเ้ วลาคอ่ นขา้ งมากต่อมากรมพฒั นาที่ดิน ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ พบวา่ การทาป๋ ุยหมกั โดยใชเ้ วลาส้นั ทาไดโ้ ดยการใชเ้ ช้ือจุลินทรียเ์ ร่งการยอ่ ยสลายของเศษ พชื ทาใหไ้ ดป้ ๋ ุยหมกั เร็วข้ึน นาไปใชไ้ ดท้ นั ฤดูกาลสามารถใชร้ ะยะเวลาหมกั เพียง 30-60 วนั ใชส้ ูตรดงั น้ี เศษพชื 1,000 กก. มูลสัตว์ 100-200 กก. ป๋ ุยเคมี 1-2 กก. เช้ือจุลินทรียต์ วั เร่ง 1 ชุด
10 (เช้ือจุลินทรียต์ วั เร่งในปี 2526-2527 ใชเ้ ช้ือ บี 2 ชุดหน่ึง ประกอบดว้ ยเช้ือจุลินทรียบ์ ี 2 จานวน 2300 กรัม และอาหารเสริม 1 กก.) ถา้ เป็นเศษพืชชิ้นส่วนเลก็ ก็นาเศษพืช มลู สตั ว์ และป๋ ุยเคมีมาคลุกผสมเขา้ กนั แลว้ เจาะหลุมหยอดเช้ือจุลินทรียต์ วั เร่งซ่ึงเตรียมไวก้ ่อนโดยนามาผสมน้า ใชน้ ้าประมาณ 40 ลิตร กวนให้เขา้ กนั อยา่ งดี แต่ถา้ เป็ นเศษพืชชิ้นส่วนใหญก่ ็นามากองเป็นช้นั เหมือนแบบท่ี 3 แต่ละช้นั ประกอบดว้ ยเศษพืชที่ยา่ และรดน้า สูง30-40 ซม.มูลสตั วโ์ รยทบั เศษพืช ป๋ ุยเคมีโรยทบั มูลสัตว์ แลว้ ราดเช้ือจุลินทรียต์ วั เร่ง แบบท่ี 5 ป๋ ุยหมกั ต่อเช้ือ ในการทาป๋ ุยหมกั แบบท่ี 4 น้นั จาเป็นตอ้ งซ้ือสารตวั เร่งเช้ือจุลินทรีย์ 1 ชุด ทุกคร้ังที่ทาป๋ ุยหมกั 1 ตนั ทาใหม้ ีแนวความคิดวา่ หากสามารถนา มาต่อเช้ือไดก้ จ็ ะเป็นการประหยดั และเกิด ประโยชนต์ ่อเกษตรกรและผทู้ าป๋ ุยหมกั ทว่ั ไป กรมพฒั นาท่ีดินจึงไดท้ าการทดลองและพบวา่ สามารถตอ่ เช้ือ ได้ โดยใชป้ ๋ ุยหมกั ที่ทาในแบบท่ี 4 กล่าวคือ หลงั จากไดป้ ๋ ุยหมกั ท่ีใชไ้ ดแ้ ลว้ ในแบบที่ 4 ใหเ้ กบ็ ไว้ 50-100 กก. การเกบ็ ตอ้ งเก็บไวใ้ นโรงเรือนที่ไมถ่ ูกแดดและฝน ป๋ ุยหมกั ท่ีเก็บไว้ 50-100 กก. สามารถนาไปตอ่ เช้ือทา ป๋ ุยหมกั ไดอ้ ีก 1 ตนั การต่อเช้ือน้ีสามารถทาการตอ่ ไดเ้ พียง 3 คร้ัง การดูแลรักษากองป๋ ุยหมกั หลงั จากกองป๋ ุยหมกั เสร็จแลว้ จะตอ้ งหมนั่ ตรวจดูแลกองป๋ ุยหมกั อยเู่ สมอโดยปฏิบตั ิดงั น้ี 1. จะตอ้ งป้ องกนั ไมใ่ หส้ ตั วเ์ ขา้ ไปทาลาย หรือคุย้ เข่ียกองป๋ ุยหมกั ถา้ กองแบบในคอกกไ็ ม่มีปัญหา แตถ่ า้ กองบนพ้ืนดินหรือในหลุมควรหาทางมะพร้าวหรือกิ่งไมว้ างทบั กองป๋ ุยหมกั ไวก้ นั สตั วค์ ุย้ เข่ีย 2. ทาการใหน้ ้ากองป๋ ุยหมกั ใหม้ ีความช้ืนพอเหมาะอยเู่ สมอ คือ ไมใ่ หแ้ หง้ หรือแฉะเกินไป มีวธิ ีการตรวจอยา่ งง่ายๆ คือ เอามือสอดเขา้ ไปในกองป๋ ุยหมกั ใหล้ ึกๆ แลว้ หยบิ เอาชิ้นส่วนภายในกองป๋ ุย หมกั มาบีบดู ถา้ ปรากฏวา่ มีน้าติดฝ่ ามือแสดงวา่ ความช้ืนพอเหมาะไมต่ อ้ งใหน้ ้า ถา้ ไมม่ ีน้าติดฝ่ ามือแสดงวา่ กองป๋ ุยหมกั แหง้ เกินไปตอ้ งใหน้ ้าในระยะน้ี ถา้ บีบดูมีน้าทะลกั ออกมาตามง่ามนิ้วมือ แสดงวา่ แฉะเกินไปไม่ ตอ้ งใหน้ ้า 3. การกลบั กองป๋ ุย นบั เป็นหวั ใจสาคญั ในการทาป๋ ุยหมกั จะละเลยมิได้ เพราะเช้ือจุลินทรียต์ า่ ง ๆ ก็ยอ่ มตอ้ งการอากาศหายใจเหมือนมนุษย์ ดงั น้นั การกลบั กองป๋ ุยหมกั นอกจากจะช่วยใหอ้ อกซิเจนแก่ จุลินทรียแ์ ลว้ ยงั เป็นการระบายความร้อนออกจากกองป๋ ุยอีกดว้ ย ยง่ิ ขยนั กลบั กองป๋ ุยหมกั มากเทา่ ไรกจ็ ะทา ใหไ้ ดป้ ๋ ุยหมกั ใชเ้ ร็วมากข้ึนเท่าน้นั เพราะทาใหเ้ ศษพืชยอ่ ยสลายทวั่ ท้งั กอง และไดป้ ๋ ุยหมกั ท่ีมีคุณภาพดีอีก ดว้ ย ตามปกติควรกลบั กองป๋ ุยหมกั อยา่ งนอ้ ยเดือนละ 1 คร้ัง
11 หลกั ในการพจิ ารณาวา่ กองป๋ ุยหมกั น้นั ใชไ้ ดห้ รือยงั เมื่อกองป๋ ุยหมกั เสร็จเรียบร้อยแลว้ จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีท้งั ท่ีมองเห็นไดแ้ ละท่ีมองเห็นไมไ่ ด้ ที่ มองเห็นไดก้ ็คือ ชิ้นส่วนของพืชจะมีขนาดเล็กลงและยบุ ตวั ลงกวา่ เมื่อเริ่มกอง สีของเศษพืชกจ็ ะเปล่ียนไป ส่วนที่มองเห็นไมไ่ ดก้ ็คือปริมาณของจุลินทรีย์ ทีน้ีจะสงั เกตวา่ ป๋ ุยหมกั สามารถนามาใชไ้ ดห้ รือไม่มี ขอ้ สังเกตง่ายๆ ดงั น้ี 1. สีของกองป๋ ุยหมกั จะเขม้ ข้ึนกวา่ เมื่อเริ่มกอง อาจมีสีน้าตาลเขม้ ถึงดา 2. อุณหภูมิภายในของป๋ ุยหมกั และอุณหภูมิภายนอกใกลเ้ คียงกนั หรือแตกต่างกนั นอ้ ยมาก 3. ใชน้ ิ้วมือบ้ีตวั อยา่ งป๋ ุยหมกั ดูเศษพชื จะยยุ่ และขาดออกจากกนั ไดง้ ่าย ไม่แขง็ กระดา้ ง 4. พบตน้ พืชที่มีระบบรากลึกข้ึนบนกองป๋ ุยหมกั แสดงวา่ ป๋ ุยหมกั สลายตวั ดีแลว้ 5. สงั เกตกลิ่นของป๋ ุยหมกั ถา้ เป็นป๋ ุยหมกั ท่ีใชไ้ ด้ ป๋ ุยหมกั จะมีกล่ินคลา้ ยกล่ินธรรมชาติ ถา้ มีกลิ่นฉุนหรือมีกลิ่นฟางแสดงวา่ ป๋ ุยหมกั ยงั ใชไ้ ม่ได้ เน่ืองจากขบวนการยอ่ ยสลายยงั ดาเนินการไม่แลว้ เสร็จ 6. วเิ คราะห์ในหอ้ งปฏิบตั ิการดูธาตุคาร์บอน และไนโตรเจน ถา้ มีอตั ราส่วนเทา่ กนั หรือต่ากวา่ 20 : 1 กพ็ ิจารณาเป็ นป๋ ุยหมกั ไดแ้ ลว้ ขอ้ ควรคานึงในการกองป๋ ุยหมกั 1. อยา่ กองป๋ ุยหมกั ใหม้ ีขนาดใหญเ่ กินไป เพราะจะทาใหเ้ กิดความร้อนระอุเกิน 70 องศาเซลเซียส ซ่ึงจะเป็นผลทาใหเ้ ช้ือจุลินทรียต์ ายได้ ขนาดกองป๋ ุยหมกั ท่ีเหมาะสมคือ ความกวา้ งไม่ควรเกิน 2-3 เมตร ความยาวไม่จากดั สูงประมาณ 1-1.50 เมตร 2. ถา้ กองป๋ ุยหมกั มีขนาดเลก็ เกินไป จะทาใหเ้ กบ็ รักษาความร้อนและความช้ืนไวไ้ ดน้ อ้ ย ทาใหเ้ ศษพืชสลายตวั เป็นป๋ ุยหมกั ไดช้ า้ 3. อยา่ รดน้าโชกจนเกินไป จะทาใหก้ ารระบายอากาศในกองป๋ ุยไม่ดีอาจทาให้เกิดกรดอินทรียบ์ างอยา่ ง เป็นเหตุใหม้ ีกล่ินเหม็นอบั ไดง้ ่าย 4. ถา้ เกิดความร้อนในกองป๋ ุยหมกั มาก ตอ้ งเพ่มิ น้าใหก้ องป๋ ุย มิฉะน้นั จุลินทรียท์ ี่ยอ่ ยซากพืชจะตายได้
12 5. ถา้ จะมีการใชป้ นู ขาว อยา่ ใชป้ ๋ ุยเคมีพร้อมกบั การใส่ปูนขาวเพราะจะทาใหธ้ าตุไนโตรเจนสลายตวั ไป กรณีใชฟ้ างขา้ วในการกองป๋ ุยหมกั ไมจ่ าเป็นตอ้ งใชป้ นู ขาว 6. เศษวสั ดุที่ใชใ้ นการกองป๋ ุยหมกั มีท้งั ประเภทท่ีสลายตวั เร็ว เช่น ฟางขา้ ว ผกั ตบชวา เปลือกถวั่ และตน้ ถว่ั เศษวชั พืชตา่ ง ๆ และประเภทที่สลายตวั ยาก เช่น แกลบ ข้ีเล่ือย ข้ีลีบขา้ ว กากออ้ ย ขยุ มะพร้าว ซงั ขา้ วโพด ดงั น้นั ในการกองป๋ ุยหมกั ไม่ควรเอาเศษวสั ดุท่ีสลายตวั เร็วและสลายตวั ยากกองปนกนั เพราะจะทา ใหไ้ ดป้ ๋ ุยหมกั ท่ีไม่สม่าเสมอกนั เน่ืองจากเศษพชื บางส่วนยงั สลายตวั ไมห่ มด การใชป้ ระโยชน์กบั พชื ต่าง ๆ วธิ ีการใชป้ ๋ ุยหมกั มีวธิ ีการดงั น้ี (พทิ ยากร และคณะ, 2531: 8-11) ไดร้ ายงานวา่ สาหรับวิธีการใส่ป๋ ุย หมกั สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 3 วธิ ี ตามชนิดของพืชท่ีปลูกโดยมีจุดประสงคเ์ พ่ือความสะดวกในการปฏิบตั ิ และเพื่อใหธ้ าตุอาหารพืชในป๋ ุยหมกั เป็นประโยชน์ต่อพชื มากที่สุดและเกิดการสูญเสียนอ้ ย เน่ืองจากป๋ ุยหมกั ที่ใชม้ ีปริมาณมากยากต่อการขนส่งและเคล่ือนยา้ ย วธิ ีการใส่ป๋ ุยหมกั มีดงั น้ีคือ 1. ใส่แบบหวา่ นทวั่ แปลง การใส่ป๋ ุยหมกั แบบน้ีเป็นวธิ ีการท่ีดีต่อการปรับปรุงบารุงดินเนื่องจากป๋ ุยหมกั จะกระจายอยา่ งสม่าเสมอทว่ั ท้งั แปลงปลูกพชื ท่ีมีขนาดไม่ใหญม่ ากนกั ส่วนมากจะใชก้ บั การปลูกขา้ วหรือ พืชไร่ หรือพืชผกั แต่อาจมีปัญหาในดา้ นจะตอ้ งใชแ้ รงงานในการใส่ป๋ ุยหมกั อตั ราของป๋ ุยหมกั ท่ีใชป้ ระมาณ 2 ตนั ต่อไร่ตอ่ ปี โดยใชร้ ่วมกบั ป๋ ุยเคมีสูตร 16-20-0, 18-22-0, 20-20-0 ถา้ ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่าอาจจะ ใชส้ ูตร16-16-8 ในอตั รา 15-30 กก. ต่อไร่ 2. ใส่แบบเป็นแถว การใส่ป๋ ุยหมกั แบบเป็นแถวตามแนวปลูกพืชมกั ใชก้ บั การ ปลูกพชื ไร่ วธิ ีการใส่ป๋ ุยหมกั แบบเป็นแถวน้ีเหมาะสมที่จะใชร้ ่วมกบั การใส่ป๋ ุยเคมีแบบโรยเป็นแถวสาหรับการปลูกพืช ไร่ทวั่ ไป เน่ืองจากป๋ ุยหมกั จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของป๋ ุยเคมีที่ใส่ใหเ้ ป็นประโยชนต์ ่อการเจริญเติบโตของ พชื อตั ราป๋ ุยหมกั ท่ีใชป้ ระมาณ 3 ตนั ต่อไร่ต่อปี โดยใชร้ ่วมกบั ป๋ ุยเคมีสูตร 16-20-0, 18-22-0 ในอตั รา 25-50 กก. ตอ่ ไร่ สาหรับในเขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่า สูตรป๋ ุยอาจตอ้ งใส่โพแทสเซียม เพ่ิมข้ึนดว้ ย 3.ใส่แบบเป็นหลุม การใส่ป๋ ุยหมกั แบบเป็นหลุมมกั จะใชก้ บั การปลูกไมผ้ ลและไมย้ นื ตน้ โดยสามารถ ใส่ป๋ ุยหมกั ไดส้ องระยะคือ ในช่วงแรกของการเตรียมหลุมเพือ่ ปลูกพืช นาดินดา้ นบนของหลุมคลุกเคลา้ กบั ป๋ ุยหมกั แลว้ ใส่รองกน้ หลุม หรืออาจจะใส่ป๋ ุยเคมีร่วมดว้ ย อีกระยะหน่ึงอาจจะใส่ป๋ ุยหมกั ในช่วงท่ีพชื เจริญ แลว้ โดยการขุดเป็นร่องรอบ ๆ ตน้ ตามแนวทรงพมุ่ ของตน้ พืช แลว้ ใส่ป๋ ุยหมกั ลงในร่องแลว้ กลบดว้ ยดิน
13 หรืออาจจะใส่ป๋ ุยเคมีร่วมกบั ป๋ ุยหมกั ในช่วงน้ีไดเ้ ช่นกนั อตั ราการใชป้ ๋ ุยหมกั ประมาณ 20-50 กก. ตอ่ หลุม ร่วมกบั ป๋ ุยเคมีสูตร 15-15-15, 14-14-14, 12-12-7 ในอตั รา 100-200 กรัม ต่อหลุมในกรณีท่ีใส่ป๋ ุยหมกั กบั ไม้ ผลท่ีเจริญแลว้ อตั ราการใชอ้ าจจะเพม่ิ ข้ึนตามส่วน และมกั จะใส่ป๋ ุยหมกั ปี เวน้ ปี วธิ ีการใช้ป๋ ยุ หมกั การใชป้ ๋ ุยหมกั มีวตั ถุประสงคห์ ลกั กเ็ พ่ือปรับปรุงสภาพของดินให้ เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต ของพชื ถา้ จะใหผ้ ลดีควรตอ้ งใส่ในปริมาณท่ีมาก เพียงพอและใส่อยา่ งสม่าเสมอทุกปี ในเน้ือของป๋ ุยหมกั แมว้ า่ จะมีธาตุอาหารพชื อยแู่ ต่ก็มีไม่มากเหมือนกบั ป๋ ุยเคมี ดงั น้นั ถา้ ตอ้ งการปรับปรุงความอุดม สมบรู ณ์ ของดิน โดยการเพมิ่ เติมธาตุอาหารพืชลงไป จึงควรใส่ป๋ ุยเคมีร่วมไปกบั การใส่ป๋ ุยหมกั ดว้ ยจะใหผ้ ลดีที่สุด ท้งั น้ีป๋ ุยหมกั ไมเ่ พียงแด่จะปลดปล่อยธาตุอาหาร ออกมาจานวนหน่ึงเท่าน้นั ยงั มีบทบาทสาคญั ช่วยใหก้ ารใช้ ป๋ ุยเคมีเป็นไป อยา่ งมีประสิทธิภาพ อตั ราการใส่ป๋ ุยหมกั ในดินแด่ละแห่งกแ็ ตกตา่ งกนั ไป แลว้ แด่สภาพ ของดินและชนิดของพืชท่ีปลูก ถา้ ดิน เป็นดินท่ีเส่ือมโทรม มีความอุดมสมบูรณ์ ต่า หรือดินท่ีมีเน้ือดินเป็นดินทรายจดั ก็ควรตอ้ งใส่ป๋ ุยหมกั ให้ มากกวา่ ปกติ ป๋ ุยหมกั ที่สลายตวั ดีแลว้ จดั เป็ นป๋ ุยที่สามารถใส่ใหก้ บั พืชในปริมาณมากๆ ไดโ้ ดยไมเ่ กิด อนั ตราย ดงั น้นั ถา้ ผลิตป๋ ุยหมกั ไดม้ ากพอแลว้ เราสามารถใส่ลงไป ในดินใหม้ ากเท่าที่ตอ้ งการได้ แด่ก็ไม่ ควรใส่มากเกินอตั ราปี ละ 20 ตนั ต่อไร่ เพราะอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อดินได้ การใชป้ ๋ ุยหมกั กบั พืชผกั พืชผกั ส่วนใหญ่เป็ นพชื ที่มีระบบราก แบบรากฝอย รากส้ันอยตู่ ้ืนๆ ใกลผ้ วิ ดิน การ ใส่ป๋ ุยหมกั จะมีประโยชนม์ าก เพราะช่วยใหด้ ินร่วนซุยข้ึน ทาใหร้ ากของพชื ผกั เจริญเติบโตไดร้ วดเร็ว แตก แขนงแพร่กระจายไปไดม้ าก มีระบบรากที่สมบูรณ์ ทาให้สามารถดูดซบั แร่ธาตุอาหารไดร้ วดเร็ว ทนต่อการ แหง้ แลง้ ไดด้ ีข้ึน วธิ ีการใส่ป๋ ุยหมกั ใน แปลงผกั อาจใชว้ ธิ ีโรยป๋ ุยหมกั ท่ีสลายตวั ดีแลว้ คลุมแปลงใหห้ นา ประมาณ 1-3 นิ้ว ใชจ้ อบสบั ผสมคลุกเคลา้ ลงไปในดินใหล้ ึกประมาณ 4 นิ้ว หรือลึกกวา่ น้ี ถา้ เป็นพชื ที่ลง หวั พชื ผกั เป็นพืชที่มีการเจริญเติบโตรวดเร็ว ตอ้ งการแร่ธาตุอาหารจาก ดินเป็นปริมาณมาก ในช่วง ระยะเวลาส้นั ๆ ถา้ จะใหผ้ ลผลิตท่ีดีควรใส่ป๋ ุยเคมี ร่วมไปกบั การใส่ป๋ ุยหมกั ดว้ ย การใชป้ ๋ ุยหมกั กบั ไมผ้ ลหรือไมย้ นื ตน้ ไมผ้ ลหรือไมย้ นื ตน้ เป็ นพวกที่มีระบบรากลึก การเตรียมดินในหลุมปลูกใหด้ ีจะมีผลต่อระบบราก และการ เจริญต้งั ตวั ของตน้ ไมใ้ นช่วงแรกเป็ นอยา่ งมาก ในการเตรียมหลุมปลูกควร ขุดหลุมใหล้ ึก แลว้ ใช้ ป๋ ุยหมกั ผสมคลุกเคลา้ กบั ดินที่ขดุ จากหลุมในอดั ราส่วน ดิน 2-3 ส่วน กบั ป๋ ุยหมกั 1 ส่วน ใส่กลบั ลงไปใน หลุมเพอ่ื ใชป้ ลูกตน้ ไม้ ต่อไป
14 การใส่ป๋ ุยหมกั สาหรับไมผ้ ลที่เจริญเติบโตแลว้ อาจทาโดยการพรวน ดินรอบๆ ตน้ ห่างจากโคนตน้ ประมาณ 2-3 ฟุต ออกไปจนถึงนอกทรงพมุ่ ของ ตน้ ประมาณ 1 ฟุต พรวนดินใหล้ ึกประมาณ 2 นิ้ว โรยป๋ ุยหมกั ใหห้ นาประมาณ 1 นิ้ว หรือมากกวา่ ใช้ จอบผสมคลุกเคลา้ ใหเ้ ขา้ กบั ดิน แลว้ รดน้าหรือจะใช้ วธิ ีขดุ ร่องรอบๆ ทรงพุม่ ของตน้ ใหล้ ึกประมาณ 30-50 เซนติเมตร แลว้ ใส่ป๋ ุย หมกั ลงไปในร่องประมาณ 40-50 กิโลกรัมต่อตน้ ใชด้ ินกลบแลว้ รดน้า ถา้ จะ ใส่ ป๋ ุยเคมีดว้ ยกผ็ สมป๋ ุยเคมีคลุกเคลา้ กบั ป๋ ุยหมกั ใหด้ ีแลว้ ใส่ลงไปพร้อมกนั การใส่ป๋ ุยหมกั ตามวธิ ีดงั กล่าวมาน้ี เป็นการใส่ปี ละคร้ัง และเมื่อตน้ ไม้ มีขนาดโตข้ึนกค็ วรเพิ่มปริมาณป๋ ุยหมกั ตามขนาดของตน้ ไมด้ ว้ ย การใส่ป๋ ุยหมกั กบั พืชไร่ หรือนาขา้ ว ในดินท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ ปานกลาง แนะนาใหใ้ ส่ป๋ ุยหมกั ในอดั ราอยา่ งนอ้ ยปี ละ 1.5-2.5 ตนั ต่อ ไร่ หวา่ นใหท้ วั่ แปลงแลว้ ไถหรือคราดกลบก่อน การปลูกพชื ในดินที่มีความอุดม- สมบรู ณ์ต่าหรือผนื ดิน เส่ือมโทรม อาจตอ้ งใส่ป๋ ุยหมกั ในอดั ราที่มากกวา่ น้ี เช่นปี ละ 2-3 ตนั ต่อไร่ ซ่ึงกข็ ้ึนอยกู่ บั สภาพของดินและ ปริมาณการผลิตป๋ ุยหมกั พ้ืนท่ีท่ีใชป้ ลูกพืชไร่ หรือทานาเป็นพ้นื ท่ีกวา้ ง ปริมาณป๋ ุยหมกั ท่ีใสiลงไป ในแต่ละ ปี อาจไมเ่ พียงพอ ถา้ ดินน้นั ไมอุดมสมบูรณ์การปรับปรุงความอุดม- สมบูรณ์ของดินควรตอ้ งใชร้ ่วมกบั การ ใส่ป๋ ุยเคมี หรือการจดั การดินวธิ ี อื่นๆ เช่น การใชป้ ๋ ุยพืชสดเป็นตน้ การใชป้ ๋ ุยหมกั กบั พชื อื่นๆ นอกจากจะใชก้ บั พวกพืชไร่ พชื สวน ดงั กล่าวมาแลว้ ป๋ ุยหมกั ยงั สามารถใชก้ บั พวกไมด้ อกไม้ ประดบั ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ถา้ ปลูกเป็นแปลงใชอ้ ตั ราเดียวกนั กบั ท่ีใชใ้ นแปลงผกั คือโรยป๋ ุยหมกั คลุม แปลงให้ หนาประมาณ 1-3 นิ้ว แลว้ ใชจ้ อบสับผสมลงไปในดินใหล้ ึก ประมาณ 4 นิ้ว การใชท้ าวสั ดุปลูกสาหรับไมก้ ระถาง ใชป้ ๋ ุยหมกั 1 ส่วน ผสม กบั ดินร่วนท่ีอุดมสมบูรณ์ 2 ส่วน ถา้ ผสมป๋ ุย หมกั ในอตั ราส่วนมากๆ วสั ดุปลูก มกั จะแหง้ เร็วเกินไป และมีปัญหาเรื่องวสั ดุปลูกยบุ ตวั มาก การเตรียมดินสาหรับเพาะเมลด็ หรือปลูกตน้ กลา้ ใชอ้ ตั ราส่วน ป๋ ุยหมกั 1 ส่วน ทราย 1 ส่วน และดินร่วนท่ี อุดมสมบูรณ์ 2 ส่วน ถา้ ใชเ้ พาะ เมลด็ พชื ที่มีขนาดเล็กๆ กใ็ ชเ้ มล็ดโรยหรือวางบนวสั ดุเพาะดงั กล่าว จากน้นั ใช้ ป๋ ุยหมกั โรยบางๆ ทบั ลงไปแลว้ รดน้า
15 บทท3่ี วธิ ีการดาเนินการ ข้นั เตรียมการ 1.วางแผนการดาเนินงาน ออกแบบ จดั สรรงบประมาณ 2.ร่างโครงงานเสนอครูท่ีปรึกษาโครงงาน 3.จดั เตรียมวสั ดุอุปกรณ์ที่จะใชใ้ นการทดลอง 4.ปฏิบตั ิลงมือทางานตามข้นั ตอน วสั ดุ อปุ กรณ์ 1.ป๋ ุยเคมี,ป๋ ุยหมกั 2.ถวั่ เหลือง 3.ดินที่ใชใ้ นการปลูก 4.กระถาง 5.น้าเปล่า วธิ ีทา 1.การเตรียมป๋ ุยท้งั 2ชนิด 2.กระถางเเยกใส่ดินท้งั สอง 3.หวา่ นเป็ นเเถวเล็กๆในกระถาง(วงกลม) 4ใส่ป๋ ุยท้งั 2ชนิด ในกระถาง 5.รดน้า 6.ทาป้ ายใส่เพอื่ ใหเ้ ห็นความเเตกต่าง 7.สังเกตดูความเเตกต่าง
16 บทท4่ี ผลการดาเนินงาน โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เร่ือง การเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของถวั่ เหลืองระหวา่ งการใชป้ ๋ ุยหมกั และป๋ ุยเคมี ประกอบวชิ าคอมพิวเตอร์ เพื่อศึกษาการเจริญเติบโตของถวั่ เหลือง โดยผลการดาเนินงานคือตน้ ถวั่ เหลืองท่ีใส่ป๋ ุยหมกั มีการเจริญเติบโตดีกวา่ การใส่ป๋ ุยเคมี
17 บทท5ี่ สรุปผลการดาเนินงาน จากการดาเนินงานตามข้นั ตอนพบวา่ การใชป้ ๋ ุยหมกั ทาใหก้ ารเจริญเติบโตของถวั่ เขียวดีกวา่ การใช้ ป๋ ุยเคมี ตรงตามสมมติฐานท่ีกาหนดไว้ ผลท่ีไดร้ ับจากการปฏิบตั ิงานคร้ังน้ี 1.ไดศ้ ึกษาเกี่ยวกบั การปลูกถว่ั เหลือง 2.ไดร้ ู้ถึงสารเคมีทาให้เราลดใชป้ ๋ ุยเคมีมากข้ึน 3.เราสามารถรับประทานนมถว่ั เหลืองอยา่ งปลอดภยั เพราะรู้โทษของสารเคมี 4.สามารถฝึกการทางานตามข้นั ตอนได้ 5.ฝึกการทางานเป็นหมคู่ ณะไดโ้ ดยไม่เกิดปัญหาและทาหนา้ ที่ท่ีไดร้ ับมอบหมายไดเ้ ป็ นอยา่ งดี
18 บรรณานุกรม อา้ งอิง ออนไลน์ ,2564 จาก URL http://www.nan.doae.go.th/genaral/genaral_13.htm www.ldd.go.th/ofsweb/thaisoil/p2.htm https://sites.google.com/site/xutsahkrrmpuy501/home/2-puy-khemi-hrux https://fliphtml5.com/gplzb/ggtr/basic
Search
Read the Text Version
- 1 - 24
Pages: