Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เคืรื่องมือทางภูมิศาสตร์

เคืรื่องมือทางภูมิศาสตร์

Published by suraudron.su, 2019-10-19 11:14:23

Description: เคืรื่องมือทางภูมิศาสตร์

Search

Read the Text Version

หนังสือเรยี นสงั คมศกึ ษา ม.1 การใช้เครื่องมอื 1 ทางภูมิศาสตร์ การใช้ เครอ่ื งมอื ทาง ภูมิศาสตร์ เสน้ แบง่ เวลาของประเทศไทย ความแตกตา่ งของ กับทวปี ต่างๆ เวลามาตรฐานกับเวลาท้องถ่ิน เครือ่ งมอื ทางภมู ิศาสตร์ แผนที่ ภาพถ่ายดาวเทยี ม ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร ์ ตวั ช้วี ัดช้ันป ี 1. เลือกใช้เคร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ (ลูกโลก แผนที่ กราฟ แผนภูมิ) ในการสืบค้น ข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ลักษณะทางกายภาพและสังคมของประเทศไทยและทวีป เอเชยี ออสเตรเลียและโอเชียเนีย (ส 5.1 ม.1/1) 2. อธิบายเส้นแบ่งเวลาและเปรียบเทียบ วัน เวลาของประเทศไทยกับทวีปต่างๆ (ส 5.1 ม.1/2)

หนงั สอื เรยี นสงั คมศึกษา ม.1 การใช้ข้อมลู และเครื่องมือทางภูมศิ าสตร์ สิ่งที่ปรากฏบนพ้ืนผิวโลกมีท้ังสิ่งที่เป็นธรรมชาติและสิ่งท่ีมนุษย์สร้างขึ้น มีท้ังสิ่งท่ีมีชีวิตและ ส่งิ ท่ีไม่มีชีวิต ดังนัน้ ในการศึกษาเร่อื งราวตา่ งๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั โลกและสิ่งแวดล้อม จงึ มีความจำเปน็ อย่างย่ิงที่ต้องมีข้อมูลที่มีคุณภาพและเหมาะสมในการนำไปใช้ ในปัจจุบันได้มีการสร้างเคร่ืองมือ ทางภูมิศาสตร์และนำเทคโนโลยีทางภูมิศาสตร์มาใช้บันทึกและแปลความหมายปรากฏการณ์ทาง ภูมิศาสตร์ท่ีเกิดขึ้น ช่วยให้มนุษย์เข้าใจส่ิงต่างๆ ท่ีปรากฏและนำความรู้ความเข้าใจนั้นมาใช้ ประโยชน์ในการพัฒนาสังคมต่อไป แผนที่ แผนท่ี คือ การจำลองลักษณะของพื้นที่ผิวโลกและสิ่งท่ีปรากฏบนพื้นผิวโลก ท้ังสิ่งที่เกิดข้ึน ตามธรรมชาติและส่ิงที่มนุษย์สร้างข้ึนลงบนแผ่นแบนราบ โดยย่อขนาดให้เล็กลงตามอัตราส่วนท่ี ต้องการและมีการใช้สัญลักษณ์แทนส่งิ ต่างๆ บนพ้ืนผวิ โลก ประโยชนข์ องแผนที่ แผนท่ีมคี วามสำคญั ต่อกจิ กรรมตา่ งๆ ของมนุษย์ และมนุษย์ก็รูจ้ กั การใชแ้ ผนทีม่ าต้งั แตส่ มยั โบราณ ประโยชน์ของแผนทมี่ ดี ังน้ี 1. ด้านการเมืองการปกครอง การวางแผนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการ รักษาความมั่นคงของประเทศชาติ มีความจำเป็นท่ีจะต้องศึกษาสภาพทางภูมิศาสตร์เพ่ือเตรียมรับ หรือแก้ไขสถานการณ์ท่ีอาจเกิดข้ึนได้อย่างถูกต้อง เช่น แผนที่แนวพรมแดนระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยงั ต้องเก่ียวขอ้ งกบั แผนท่ีต่างๆ อีกมาก 2. ด้านการทหาร แผนท่ีมีความจำเป็นอย่างมากเพ่ือใช้ในการพิจารณาวางแผนทาง ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และจะต้องเป็นแผนที่ท่ีให้ข้อมูลหรือข่าวสารท่ีทันสมัยเกี่ยวกับสภาพทาง ภูมิศาสตร์และตำแหนง่ ทางส่ิงแวดล้อมท่ถี ูกต้องแนน่ อน เพื่อไมใ่ ห้เกิดข้อผิดพลาดตา่ งๆ 3. ด้านเศรษฐกิจ เพื่อให้การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมี ความจำเป็นที่ต้องอาศัยแผนท่ีเป็นข้อมูลเพื่อให้ทราบปัจจัยการผลิต ทำเลท่ีตั้ง สภาพทางกายภาพ แหลง่ ทรัพยากร

หนังสือเรียนสังคมศกึ ษา ม.1 4. ด้านสังคม ลักษณะทางสังคมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ซ่ึงมีผลทำให้สภาพแวดล้อม ทางสังคมเปล่ียนแปลงไปด้วย การศึกษาสภาพความเปล่ียนแปลงดังกล่าวย่อมต้องอาศัยการอ่าน รายละเอียดในแผนที่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน เพื่อดำเนินการและวางแผนพัฒนาสังคมไปในแนวทาง ทถ่ี ูกต้อง ประเภทของแผนที ่ แผนท่ีท่ใี ช้กันในปัจจบุ ัน สามารถแบง่ ได้ 3 ลกั ษณะ ดังน้ี 1. แบ่งตามรายละเอียดที่ปรากฏบนแผนท่ี จำแนกได้ ดังน้ ี 1.1 แผนทลี่ ายเส้น เป็นแผนทีท่ ่แี สดงรายละเอียดทเี่ ปน็ ลายเสน้ เชน่ เสน้ ตรง เสน้ โคง้ หรือเส้นใดๆ ทปี่ ระกอบขนึ้ เปน็ เส้น เช่น แผนทีแ่ สดงเสน้ ทางคมนาคมทางบก โดยเป็นเสน้ เด่ียวหรือ เสน้ คู่ขนาน เปน็ ต้น 1.2 แผนท่ีรูปถ่าย เป็นแผนท่ีท่ีรายละเอียดได้จากการถ่ายภาพภูมิประเทศด้วย กล้องถา่ ยรูป โดยมกี ารตัดแก้รูปถ่ายแล้วนำมาประกอบเปน็ แผ่นแผนที่ 1.3 แผนที่แบบผสม เป็นแผนที่แบบผสมระหว่างแผนที่ลายเส้นกับแผนที่รูปถ่าย เป็นแผนท่ีท่ีสะดวกต่อการอ่าน เพราะมีการพิมพ์แยกสี รายละเอียดที่เป็นลายเส้นจึงชัดเจนกว่า รูปภาพจากกลอ้ งถา่ ยรปู เช่น แมน่ ำ้ บา้ นเรือน ถนน เปน็ ต้น 2. แบ่งตามขนาดของมาตราสว่ น จำแนกได้ ดังน ี้ 2.1 แ ผนที่มาตราส่วนเล็กเป็นแผนที่ซึ่งมีมาตราส่วนเล็กกว่า 1 : 1,000,000 โดยใช้ เขียนแผนท่ีของพ้ืนท่ีท่ีมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ทำให้สามารถแสดงข้อมูลเฉพาะที่สำคัญเท่าน้ัน ส่วน รายละเอียดปลีกย่อยไม่สามารถเขียนลงในแผนท่ีชนิดนี้ได้ แผนท่ีมาตราส่วนเล็ก เช่น แผนที่ ภูมภิ าคต่างๆ ของประเทศไทย แผนทโี่ ลก แผนทท่ี วีปตา่ งๆ เปน็ ต้น 2.2 แผนที่มาตราส่วนกลาง เป็นแผนที่ที่มีมาตราส่วนใหญ่กว่า 1 : 50,000 ถึง 1 : 250,000 ใช้เขียนครอบคลุมพื้นที่ได้มากว่ามาตราส่วนเล็ก ทำให้สามารถแสดงข้อมูลท่ีมีราย ละเอียดท่ีสำคญั ได้มากขึ้น แผนทมี่ าตราส่วนกลาง เชน่ แผนที่ประเทศไทย แผนทจ่ี งั หวดั เปน็ ตน้ 2.3 แผนท่ีมาตราส่วนใหญ่ เป็นแผนท่ีท่ีมีมาตราส่วนใหญ่กว่า 1 : 50,000 ใช้เขียน แผนท่ีของพ้ืนที่ขนาดเล็ก สามารถแสดงรายละเอียดท่ีสำคัญในแผนที่ได้มากข้ึน แผนที่มาตรา ส่วนใหญ่ เชน่ แผนท่ีอำเภอ แผนท่ตี ำบล เปน็ ต้น 3. แบง่ ตามลกั ษณะการใช้งาน จำแนกได้ ดงั น้ี 3.1 แผนท่ีภูมิประเทศ เป็นแผนท่ีแสดงความสูงต่ำของพื้นผิวโลก ทั้งพื้นท่ีขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ โดยใช้เส้นชั้นความสูง เส้นลายขวานสับ หรือสี เป็นสัญลักษณ์ นอกจากนี้ยังนำ

หนงั สอื เรียนสงั คมศึกษา ม.1 สิ่งที่ปรากฏบนพื้นผิวโลกมาแสดงในแผนท่ีด้วย เช่น แม่น้ำ ลำคลอง มหาสมุทร ทะเล ภูเขา สงิ่ กอ่ สร้าง เป็นตน้ 3.2 แ ผนทร่ี ัฐกิจ เป็นแผนทีท่ แี่ สดงลกั ษณะทางการเมอื งการปกครองของประเทศตา่ งๆ มีช่ือและที่ต้ังแสดงไว้ในแผนท่ี เช่น ประเทศ เมืองหลวง เมืองสำคัญ เป็นต้น โดยมีสัญลักษณ์ อธบิ ายส่งิ ต่างๆ ไวด้ ว้ ย 3.3 แผนที่เฉพาะกรณี เป็น แผนท่ีท่ีสร้างข้ึนเพื่อแสดงรายละเอียดเฉพาะ เรื่อง เช่น แผนที่แสดงเขตภูมิประเทศ แหล่ง แร่ธาตุ เสน้ ทางคมนาคมขนสง่ เป็นตน้ 3.4 แผนที่เล่ม เป็นการรวม แผนที่หลายฉบับไว้ในเล่มเดียวกัน ไม่ว่าจะ เป็นแผนที่ภูมิประเทศ ลักษณะพืชพรรณ ธรรมชาติ เขตการปกครอง ความหนาแน่น ของประชากร เป็นตน้ แผนที่ทวีปแอฟริกามาตราส่วนเล็ก แผนทจี่ ังหวัดนราธวิ าส แผนท่เี มืองปายจังหวดั แมฮ่ อ่ งสอน มาตราส่วนกลาง มาตราส่วนใหญ่

หนังสือเรยี นสังคมศกึ ษา ม.1 องคป์ ระกอบของแผนท่ี องค์ประกอบของแผนที่ คือ ส่ิงต่างๆ ท่ีปรากฏอยู่บนแผนที่เพื่อให้ผู้ท่ีใช้แผนที่ได้รับทราบ ข้อมูลข่าวสารและรายละเอียดเพียงพอสำหรับการใช้แผนที่นั้นๆ แผนท่ีที่สมบูรณ์จะต้องประกอบ ดว้ ยองค์ประกอบใหญ่ๆ ดังน ี้ 1. ขอบระวางแผนที่ โดยปกติแผนทที่ ัว่ ไปจะเปน็ รูปสี่เหลีย่ มผืนผา้ หรือรูปสเี่ หลี่ยมจัตุรัส ซ่ึง มสี ว่ นตา่ งๆ ดงั นี ้ 1.1 พื้นที่บริเวณที่เป็นแผนท่ี แสดงรายละเอียดท่ีปรากฏในพ้ืนท่ีภูมิประเทศจริงหรือ สิง่ ท่ีมนษุ ย์สรา้ งขึ้นตามขนาดทก่ี ำหนดของแผนทีแ่ ตล่ ะประเภท 1.2 เสน้ ขอบระวางแผนที่ เปน็ เสน้ ท่กี ั้นขอบเขตรายละเอยี ดบริเวณแผนทกี่ ับพืน้ ที่นอก ขอบระวางแผนที่ ห่างจากริมทั้งสี่ด้านของแผนที่ เส้นขอบระวางแต่ละด้านจะมีตัวเลขบอกค่า พิกัดกรดิ และคา่ พิกัดภมู ศิ าสตร์ (ค่าของละติจดู และลองจจิ ดู ) หรอื อยา่ งใดอยา่ งหนึง่ 1.3 เส้นขอบระวางแผนท่ีเสริม เพ่ือให้เกิดความสวยงาม อาจทำเป็นเส้นขอบหนา ขอบบางสองช้นั ห่างกันพอสมควร 1.4 พื้นที่ขอบระวาง เป็นส่วนที่อยู่นอกเส้นขอบระวางแผนที่สำหรับแสดงรายละเอียด ขององค์ประกอบภายนอกขอบระวางแผนที่ ซง่ึ จะมีขอบจำกัดการแสดงรายละเอียด 1.5 ขอบแผนท่ี เป็นสิ่งท่ีกำหนดขนาดของแผนที่ทั้งหมด โดยตัดตามขนาดท่ีต้องการ หลังจากการพิมพเ์ สร็จเรยี บรอ้ ยแลว้ เส้นขอบระวางแผนที่เสริม พน้ื ทข่ี อบระวาง เส้นขอบระวางแผนท ่ี พ้ืนที่บรเิ วณทเ่ี ปน็ แผนที่ ภาพแสดงรูปแบบขอบระวางแผนท่ี

หนงั สือเรยี นสังคมศึกษา ม.1 2. องค์ประกอบภายในขอบระวางแผนท่ี เป็นรายละเอียดต่างๆ ที่อยู่ภายในกรอบของ เสน้ ขอบระวางแผนท่ี ซ่ึงเปน็ ส่วนทเ่ี รียกวา่ แผนที่ โดยมีองค์ประกอบต่างๆ ดงั นี ้ 2.1 สัญลักษณ์ คือ เครื่องหมายหรือส่ิงท่ีใช้แทนรายละเอียดที่ปรากฏอยู่บนพื้นผิว ภมู ิประเทศหรือใหข้ อ้ มูลอ่ืนใดที่ตอ้ งการแสดงไวใ้ นแผนทนี่ ั้น อาจจะเป็นรูปทรง ลายเส้นตา่ งๆ โดย มีคำอธิบายความหมายเพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจความหมายของสัญลักษณ์และอ่านความหมายในแผนท่ีได้ อย่างถกู ต้องและชดั เจน สัญลักษณท์ ใ่ี ชแ้ ทนลกั ษณะทีป่ รากฏในภูมปิ ระเทศจรงิ ในแผนท่ีน้ันจำแนก ได้ 3 ประเภทใหญๆ่ ดังน้ ี 1) ลักษณะทางกายภาพ ใช้แสดงรายละเอียดของสิ่งที่เกดิ ขึ้นตามธรรมชาติ 2) ลกั ษณะทางวฒั นธรรม ใชแ้ สดงสงิ่ ต่างๆ ท่ีเกดิ จากกจิ กรรมของมนษุ ย ์ 3) ข้อมูลเฉพาะเร่ือง เป็นสัญลักษณ์ท่ีคิดข้ึนมาแทนข้อมูลเฉพาะเร่ืองที่ผู้ผลิต ตอ้ งการแสดงเปน็ พิเศษ เช่น สญั ลกั ษณท์ ใี่ ช้แสดงลกั ษณะของหิน ธรณสี ณั ฐาน ดนิ หรือลักษณะ ทางด้านปรมิ าณและคณุ ภาพ เป็นตน้ 2.2 สี สีที่ใช้บริเวณขอบระวางแผนที่จะเป็นสีของสัญลักษณ์ที่ใช้แทนรายละเอียดหรือ ข้อมูลต่างๆ ของแผนที่ การเลือกสีในสัญลักษณ์ต่างๆ มักจะเลือกให้สอดคล้องกับรายละเอียดที่ใช้ สญั ลักษณ์นน้ั ๆ แทน เชน่ สแี ดง ใชแ้ สดง ถนนและเสน้ ทางคมนาคม สีเขยี ว ใชแ้ สดง บรเิ วณพืน้ ทปี่ ่าไมแ้ ละพื้นที่ราบ สนี ้ำเงิน ใช้แสดง บริเวณท่ีเป็นน้ำ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง มหาสมุทร เป็นต้น สนี ้ำตาล ใชแ้ สดง ท่สี ูงและเทือกเขา สีดำ ใช้แสดง สถานทีท่ ี่มนษุ ย์สร้าง สอี ่นื ๆ ใช้แสดง รายละเอียดพิเศษโดยกำหนดไว้ในขอบระวาง แผนท ี่ 2.3 ช่ือภมู ศิ าสตร์ เปน็ ตวั อักษรกำกับรายละเอยี ดต่างๆ เพ่ือบอกใหท้ ราบว่าสถานทน่ี ้นั หรอื ส่งิ นัน้ มีช่อื ว่าอะไร 2.4 ระบบอ้างอิงตำแหน่ง เป็นเส้นหรือตารางท่ีแสดงไว้ในขอบระวางแผนที่ เพื่อใช้ กำหนดค่าพิกัดของตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่นั้น ระบบอ้างอิงในการกำหนดตำแหน่งมีหลายชนิด ท่นี ยิ มใชท้ ว่ั ไปมี 2 ชนดิ คือ 1) พกิ ดั ภมู ิศาสตร์ ไดแ้ ก่ เส้นขนานและเสน้ เมรเิ ดียนทีบ่ อกคา่ ละติจดู และลองจิจูด อาจแสดงเป็นเส้นยาวจรดขอบระวางแผนที่ หรืออาจแสดงเฉพาะส่วนที่ตัดกันเป็นกากบาท หรือ อาจแสดงเปน็ เส้นส้ันๆ เฉพาะทข่ี อบ

หนงั สือเรยี นสังคมศึกษา ม.1 2) พิกัดกริด ได้แก่ เส้นขนานสองชุดท่ีมีระยะห่างๆ เท่ากัน ตัดกันเป็นรูปส่ีเหลี่ยม มุมฉาก เส้นขนานท้ังสองชุดดังกล่าวอาจแสดงไว้เป็นแนวเส้นตรงยาวจรดขอบระวางหรืออาจแสดง เฉพาะส่วนทตี่ ัดกนั กไ็ ด้แลว้ แต่ความเหมาะสม พกิ ัดภูมิศาสตร์ พิกดั กรดิ 3. องค์ประกอบภายนอกขอบระวาง เป็นพื้นท่ีตั้งแต่เส้นขอบระวางไปถึงริมแผ่นแผนท่ีทั้ง ส่ีด้าน บริเวณพื้นที่ดังกล่าวผู้ผลิตแผนท่ีจะแสดงรายละเอียดอันเป็นข้อมูลท่ีผู้ใช้แผนที่ควรทราบ และใช้แผนท่ีนั้นได้อย่างถูกต้องตรงตามความมุ่งหมายของผู้ผลิตแผนที่ รายละเอียดภายนอกขอบ ระวางจะข้ึนกับชนิดของแผนที่ สำหรับแผนท่ีภมู ปิ ระเทศท่ผี ลิตข้นึ ใช้โดยทั่วไปมีรายละเอยี ด ดังนี้ 3.1 ระบบบ่งระวาง เปน็ หลักเกณฑข์ องระบบเรียกชือ่ และเลขหมายของแผนทแี่ ต่ละชุด แตล่ ะวาง ประกอบดว้ ย 1) ช่อื ชดุ เช่น “ประเทศไทย 1 : 50,000” เป็นชอ่ื ชดุ แผนที่มลู ฐานมาตราสว่ น 1 : 50,000 ของประเทศไทย 2) เลขลำดับชดุ ตัวอย่างเชน่ “L 7018 มาตราส่วนประเทศไทย 1 : 50,000 ขนาด 15 15 ลปิ ดา” ซง่ึ มรี ายละเอียด ดงั น้ ี องค์ประกอบที่ 3 องคป์ ระกอบท่ี 1 L 7 0 18 องค์ประกอบท่ี 4 องค์ประกอบท่ี 2 องค์ประกอบท่ี 1 L คอื ภูมิภาคในเอเชียส่วนใหญ่ เช่น อินเดีย จีน ไทย ลาว พม่า เวียดนาม กัมพชู า เป็นต้น องค์ประกอบที่ 2 7 คอื หมู่มาตราส่วนซ่ึงเป็นตัวกำหนดขนาดมาตราส่วน ระหว่าง 1 : 70,000 ถงึ 1 : 35,000

หนงั สอื เรียนสงั คมศกึ ษา ม.1 องค์ประกอบท่ี 3 0 คอื ภูมิภาคย่อยในเอเชยี ได้แก่ ไทย ลาว เวยี ดนาม กมั พชู า และมาเลเซยี องคป์ ระกอบท่ี 4 18 คือ แผนทมี่ าตราสว่ น 1 : 50,000 ในภูมิภาค L ชอ่ื ชุด ประเทศไทย 1 : 50,000 ชดุ L7017 เลขลำดบั ชุด ชอ่ื ระวาง แหลง่ โบราณคดบี า้ นเมืองดงละคร 5237 III เลขหมายระวาง แผนที่แสดงแหล่งโบราณคดีบา้ นเมืองดงละคร อำเภอเมือง จงั หวัดนครนายก โดยกรมแผนท่ีทหาร 3) ชื่อระวาง เป็นช่ือของระวางแผนที่ โดยท่ัวไปจะเอารายช่ือของรายละเอียดท่ี สำคญั และเดน่ ท่สี ุดในแผนที่ระวางนน้ั 4) เลขหมายระวาง เป็นเลขหมายประจำของแผนท่ีตามระบบดัชนี แผนที่เพื่อ สะดวกในการอ้างอิงหรือค้นหาแผนท่ี เลขหมายระวางจะประกอบด้วยเลข 4 ตัวและต่อท้ายด้วย เลขโรมนั (I, II, III, และ IV) เปน็ ตวั ที่ 5 จะปรากฏอยู่มุมบนขวาและมมุ ซ้ายลา่ งของแผ่นแผนที ่ เครอ่ื งมือทางภูมิศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี ่ืนๆ นอกจากการใช้แผนท่ีเพื่อศึกษาพื้นที่ในแต่ละบริเวณแล้ว ยังมีเคร่ืองมือสารสนเทศและ เทคโนโลยีเพอ่ื การศกึ ษาทางภมู ิศาสตรอ์ กี หลายรูปแบบ ท่สี ามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ เชน่ ภาพถา่ ย ทางอากาศ (Aerial Photophy) ภาพถ่ายจากดาวเทียม (Satellite Imagery) ระบบกำหนด

หนังสือเรียนสงั คมศึกษา ม.1 ตำแหน่งบนพื้นโลก (Global Positioning System : GPS) และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic System : GIS) ภาพถา่ ยทางอากาศ ภาพถ่ายทางอากาศ หมายถึง รูปถ่ายของภูมิประเทศท่ีปรากฏอยู่บนผิวโลก ซึ่งได้จากการ ถ่ายภาพจากท่ีสูงในอากาศเหนือพ้ืนโลก โดยใช้เคร่ืองบินหรือบอลลูนที่มีการติดกล้องถ่ายภาพแล้ว บินเหนือบริเวณทีต่ ้องการถ่ายภาพ เม่ือกล้องถ่ายภาพบนั ทึกภาพนน้ั ไว้แล้ว จึงนำมาเรียงตอ่ กันกจ็ ะ เห็นรายละเอียดของสิ่งตา่ งๆ ที่ปรากฏอยูจ่ รงิ บนผวิ โลก ภาพถา่ ยทางอากาศแสดงเขอ่ื นเก็บกักนำ้ การนำภาพถา่ ยทางอากาศไปใช้ ภาพถ่ายทางอากาศมีประโยชน์ในการศึกษา วิเคราะห์ และตีความข้อมูลเกี่ยวกับ ทรัพยากรธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของส่ิงต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนในแต่ละช่วงเวลา งานด้านต่างๆ ท่ี ใช้ภาพถ่ายทางอากาศ เช่น การทำแผนท่ี การวางผังเมือง การศึกษาพ้ืนที่ป่าไม้ การศึกษาการ เปล่ียนแปลงการใช้ที่ดิน เปน็ ตน้ ภาพถ่ายดาวเทียม ภาพถ่ายดาวเทียม หมายถึง ภาพถ่ายท่ีได้จากการบันทึกข้อมูลของดาวเทียมด้วย กระบวนการสำรวจระยะไกลหรือ รีโมตเซนซิง (Remote Sensing : RS) ด้วยอุปกรณ์บันทึก ขอ้ มูล โดยใช้หลกั การของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสอื่ บันทึกข้อมลู ในลักษณะของชว่ งคล่นื

10 หนงั สอื เรียนสังคมศกึ ษา ม.1 ภาพถ่ายดาวเทียม แสดงการก่อตวั ของพาย ุ รีโมตเซนซงิ รีโมตเซนซิง เป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่แขนงหน่ึงที่ใช้ในการบ่งบอก จำแนก หรือวิเคราะห์คุณลักษณะของวัตถุต่างๆ โดยปราศจากการสัมผัสโดยตรง ท้ังนี้โดยการบันทึก คุณลักษณะของวัตถุต่างๆ ท่ีอยู่บนพื้นโลกจากการสะท้อนหรือการแผ่รังสีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ผ่านอุปกรณ์ท่ีติดอยู่บนเคร่ืองบินหรือดาวเทียม ทั้งน้ีการบันทึกข้อมูลหรือรูปภาพจากเครื่องบินและ จากดาวเทียมจะมีลักษณะแตกต่างกันไป เน่ืองจากเครื่องบินมีข้อจำกัดด้านการบินระหว่างประเทศ และสามารถถา่ ยเฉพาะชว่ งท่ีไม่มเี มฆฝนมาบดบงั ทศั นยี ภาพ แตด่ าวเทียมสามารถบนั ทึกขอ้ มลู ของ บริเวณต่างๆ ของโลกได้ทั้งหมด เพราะดาวเทียมโคจรรอบโลกอยู่ในอวกาศและมีอุปกรณ์บันทึก ข้อมูลท่ีมปี ระสิทธิภาพ การนำขอ้ มูลภาพถา่ ยดาวเทยี มไปใช้ ปัจจุบันนี้ได้มีการนำข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมไปศึกษา แปลความหมาย ตีความ และ วเิ คราะห์กนั อยา่ งกวา้ งขวางในหลายสาขา ไดแ้ ก่ - ด้านป่าไม้ เช่น การติดตามตรวจสอบพื้นที่ป่าเส่ือมโทรม การศึกษาพ้ืนท่ีป่าชายเลน การศกึ ษาไฟป่า เป็นตน้ - ด้านเกษตรกรรม เช่น การศึกษาพื้นที่เหมาะสมในการปลูกพืช การสำรวจสภาพของ พืชทป่ี ลกู การกำหนดเขตศักยภาพในการเพาะปลูก เป็นต้น

11 หนงั สอื เรยี นสงั คมศกึ ษา ม.1 - ด้านส่ิงแวดล้อม เช่น การศึกษาภาวะโลกร้อน การตรวจสอบคุณภาพน้ำและตะกอน ในอา่ วไทย การติดตามตรวจสอบมลพษิ ทางอากาศ เปน็ ต้น - ด้านอุทกวิทยา เช่น การวิเคราะห์และประเมินพื้นท่ีเสี่ยงอุทกภัย การศึกษาปริมาณ และคุณภาพนำ้ ตามธรรมชาติ การวางแผนการชลประทาน เปน็ ต้น ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลกหรือจีพีเอส เป็นเครื่องมือสมัยใหม่ ที่มีท้ังขนาดใหญ่และขนาด เล็กที่พกพาได้สะดวก สามารถใช้กำหนดพิกัดของผิวโลกได้อย่างแม่นยำ ค่าที่อ่านได้จะเป็นค่า ละตจิ ูดและลองจจิ ูดหรอื คา่ ยูทเี อ็ม (Universal Transuerse Mercator : UTM) ทง้ั น้ีระบบกำหนด ตำแหนง่ บนโลกมอี งค์ประกอบท่สี ำคญั ดงั น้ ี 1. ส่วนอวกาศ เป็นส่วนของดาวเทียมท่ีโคจรรอบโลกในอวกาศ ซึ่งมีจำนวน 24 ดวง แบ่ง ออกเปน็ 6 วงโคจร โดยใช้ระยะทางและเวลาของดาวเทยี มแตล่ ะดวง โดย 21 ดวงจะทำหนา้ ที่ส่ง สัญญาณคล่ืนวิทยุจากอวกาศมายังสถานีรับสัญญาณ รับสัญญาณจากสถานีควบคุม ส่วนท่ีเหลือ จะเป็นดาวเทยี มเสริมปฏบิ ัติการ 2. สว่ นควบคมุ จะประกอบดว้ ยสถานีควบคุมพน้ื ดนิ ที่คอยตรวจสอบการโคจรของดาวเทียม แตล่ ะดวง โดยการสอื่ สารผา่ นวทิ ยุทม่ี คี วามเรว็ คลน่ื ประมาณ 186,000 ไมล์ตอ่ วนิ าที 3. ส่วนผู้ใช้ จะประกอบด้วยเคร่ืองระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก ซ่ึงทำหน้าท่ีแปลง สัญญาณท่ีได้รับจากดาวเทียมมาคำนวณหาพิกัดตำแหน่งบนผิวโลกและหาความสูงเฉล่ียจากระดับ พ้นื ดิน การนำระบบกำหนดตำแหนง่ บนโลกไปใช้ ปัจจุบันได้มีการนำระบบกำหนดตำแหน่งบนโลกมาใช้ประโยชน์ในงานด้านต่างๆ เช่น ใช้ใน การติดต้ังระบบโทรศัพท์เคล่ือนที่ ใช้ในการจราจรและขนส่ง ใช้ในการทำรังวัดและการทำแผนที่ เปน็ ตน้ ระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตร์ ระบบสารสนเทศภมู ศิ าสตรห์ รอื จีไอเอส หมายถึง ระบบฐานข้อมลู สารสนเทศภูมศิ าสตร์ที่ ช่วยในการจัดเก็บ จัดการ จัดทำ วิเคราะห์ ทำแบบจำลองและการแสดงข้อมูลเชิงพื้นที่ด้วยระบบ คอมพิวเตอร ์

12 หนงั สอื เรยี นสงั คมศึกษา ม.1 การจดั การขอ้ มลู ทีส่ ำคัญของระบบจีไอเอส ปัจจุบันเทคโนโลยีระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทในการวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือ ประกอบการตัดสินใจในระดับต่างกัน ท้ังในภาครัฐบาลและเอกชน ซ่ึงในการจัดการข้อมูล ภูมศิ าสตร์ที่สำคญั มอี ยู่ 4 ประการ คอื 1. การนำเข้าข้อมูล เป็นการป้อนข้อมูลต่างๆ ทางภูมิศาสตร์ให้อยู่ในรูปแบบท่ีสามารถใช้ กับระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ได้ เช่น แผนท่ี ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทียม เข้าระบบ คอมพิวเตอร์ ข้อมูลที่จัดเก็บแล้วสามารถเก็บไว้ในฐานข้อมูลซ่ึงสามารถแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่ เสมอ 2. การจดั เก็บข้อมูล เปน็ การจดั เกบ็ และแก้ไขข้อมูลจากฐานขอ้ มลู ซ่ึงมีหลายวิธกี ารในการ จัดเก็บข้อมูลให้อยู่ในรูปของแฟ้มของข้อมูลท่ีคอมพิวเตอร์สามารถอ่านค่าได้และจัดการข้อมูล รวม ท้ังการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ข้อมูลที่จัดเก็บในคอมพิวเตอร์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ขอ้ มูลเชงิ พื้นท่ีและข้อมลู เชงิ ลกั ษณะประจำ 3. การวิเคราะห์ข้อมูล เปน็ กระบวนการเพอ่ื ให้ไดผ้ ลของข้อมลู ตามวัตถุประสงค์ทกี่ ำหนดไว้ โดยอาจวิเคราะห์ข้อมลู จากฐานขอ้ มูลชน้ั เดยี วหรอื วเิ คราะห์จากข้อมลู หลายช้ัน 4. การแสดงผล เป็นการแสดงผลข้อมูลต่อผู้ใช้ในรูปของตัวเลข ข้อมูลภาพ หรือแผนที่ ตาราง คำบรรยาย การนำระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ไปใช้ ประเทศไทยได้มกี ารนำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ไปใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นตา่ งๆ ไดแ้ ก่ - ด้านปา่ ไม้ เช่น การจดั การพนื้ ท่ปี ่า การวเิ คราะหแ์ ละฟืน้ ฟูพน้ื ที่ป่าเส่อื มโทรม เปน็ ตน้ - ด้านสาธารณสุข เช่น การติดตามตรวจสอบไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก การวิเคราะห์การ แพรก่ ระจายของโรคระบาด เปน็ ต้น - ดา้ นผังเมือง เช่น การวางผัง การวางแผนโครงการพัฒนาท่ีอย่อู าศยั เปน็ ตน้ - ด้านส่ิงแวดล้อมและภัยธรรมชาติ เช่น การวิเคราะห์พ้ืนท่ีที่ได้รับผลกระทบจากภัย สนึ ามิ การวิเคราะหพ์ ืน้ ท่ีท่ีเสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้ง เปน็ ต้น - ด้านการเกษตร เช่น การศึกษาพื้นท่ีท่ีมีศักยภาพในการเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจ การ ประเมนิ ทรัพยากรน้ำเพอ่ื ใช้ในการเพาะปลูก เป็นต้น

13 หนังสอื เรียนสงั คมศกึ ษา ม.1 การแบ่งเขตวันและเวลา การแบง่ เขตวนั และเวลาของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะอาศยั เส้นลองจิจดู ในการคำนวณหาวัน และเวลาในแต่ละพื้นที่ ท้ังนี้โลกมีเส้นลองจิจูดหรือเส้นเมริเดียน 360 เส้น โดยกำหนดให้เส้น ลองจจิ ดู ทล่ี ากผา่ นเมอื งกรนี ชิ ประเทศองั กฤษ เปน็ เสน้ ลองจจิ ดู ท่ี 0 องศา ทเ่ี รยี กวา่ เมรเิ ดยี นแรก หรอื เมริเดียนปฐม และเนื่องจากเวลาทโี่ ลกหมนุ รอบตวั เอง 1 รอบ จะใชเ้ วลา 24 ชวั่ โมง นนั่ คอื โลกหมุนรอบแกนเปน็ มุม 360 องศา ดังนัน้ โลกจะหมนุ ไป 15 องศาลองจิจูดทกุ ๆ 1 ชว่ั โมง หรือ หมนุ ไป 1 องศาลองจจิ ูดทกุ ๆ 4 นาที เวลามาตรฐานกรีนิช หมายถึง เวลาสากล ตามข้อตกลงใน ค.ศ. 1884 กำหนดใหเ้ สน้ เมรเิ ดยี นทลี่ ากผา่ นหอดูดาวแหง่ ราชสำนักองั กฤษ ทีเ่ มอื งกรนี ิช ใกลก้ รุงลอนดอน ประเทศ สหราชอาณาจกั ร เป็นมาตรฐานในการเทยี บเวลาทกุ แหง่ ของประเทศตา่ งๆ เวลามาตรฐานกบั เวลาทอ้ งถิน่ ในอดีต เมอื งแตล่ ะเมืองจะกำหนดเวลาตามเส้นเมริเดยี นท่ลี ากผ่านเมืองนั้นๆ เวลาดงั กลา่ วน้ี เรียกว่า เวลาท้องถิ่น แต่เนื่องจากเวลาท้องถิ่นจะแตกต่างกันไปตามลองจิจูด ดังน้ันเวลาของ ตำบลต่างๆ ในเขตการปกครองเดียวกันแต่อยู่ต่างลองจิจูดกันจึงไม่เท่ากัน เช่น เวลาท้องถิ่นของ กรุงเทพฯ กับจังหวัดอบุ ลราชธานยี อ่ มไมเ่ ท่ากนั เป็นตน้ เม่ือมนุษย์ได้เดินทางติดต่อกันและกันอย่างกว้างขวางการใช้เวลาท้องถ่ินก่อให้เกิดความ ยุ่งยากและสับสนมากข้ึน จากความยุ่งยากนี้จึงมีความพยายามที่จะกำหนดเวลามาตรฐานข้ึน ซึ่ง ไดก้ ลายมาเปน็ ระบบเวลาท่ีใช้กนั อยูใ่ นปัจจบุ นั เวลาทอ้ งถิ่น (local time) หมายถงึ เวลากำหนดขน้ึ ในชมุ ชนเลก็ ๆ ซงึ่ ถือตามลองจิจดู ที่ เป็นศูนย์กลางของชุมชนนั้นๆ ตำบลท่ีต้ังอยู่บนเส้นเมริเดียนต่างกันจะมีเวลาท้องถ่ิน แ ต ก ต า่ ง ก นั ไ ป โ ด ย ค ำ น ว ณ ร ะ ย ะ ห า่ ง 1 อ ง ศ า ม เี ว ล า แ ต ก ต า่ ง ก นั 4 น า ท ี ( 2 43x606 0 = 4) เวลามาตรฐาน (standard time) คอื เวลาทก่ี ำหนดขึ้นใชใ้ นบรเิ วณหนง่ึ ๆ เพ่อื ใหเ้ ปน็ เวลา เดียวกันท้ังหมด ในทางทฤษฎีแล้ว ระบบเวลามาตรฐานจะแบ่งออกเป็นเขต เป็นแนวจากข้ัวโลก เหนือถงึ ขัว้ โลกใต้ โดยแบง่ ออกเป็นเขตละ 15 องศาลองจจิ ูด ซึ่งเทยี บคา่ ได้ 1 ชัว่ โมง และถอื เอา

14 หนงั สอื เรียนสงั คมศกึ ษา ม.1 เส้นลองจิจูดของเมริเดียนกลางของเขตน้ันๆ เป็นเวลาของเขตทั้งเขต เมริเดียนย่านกลางนี้ถือเอา เมริเดยี นทกุ 15 องศาลองจจิ ูด เช่น 0 องศา 15 องศา 30 องศา เป็นต้น อาณาเขตของแตล่ ะเขต ของเวลามาตรฐานจะคลุมบริเวณไปทางตะวันตกและตะวันออกของเมริเดียนย่านกลางข้างละ 7 องศา 30 ลปิ ดา ซึง่ เม่ือรวมแลว้ แต่ละเขตจะครอบคลุมพน้ื ที่ 15 องศาลองจิจูด การเปล่ียนเวลาจะเปลี่ยนไปต่อเม่ือส้ินสุดอาณาเขตของเขตนั้นๆ และเปล่ียนไปทีละ 1 ช่วั โมง เช่น ถา้ เขตหน่งึ เป็นเวลา 3.00 นาฬิกา เขตที่อยู่ถดั ไปทางตะวนั ออก 1 เขต จะเปน็ เวลา 4.00 นาฬิกา และในทำนองเดียวกัน เขตท่ีอยู่ถัดไปทางตะวันตก 1 เขต จะเป็นเวลา 2.00 นาฬิกา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ เวลามาตรฐานท่ีใช้กันอยู่จริงๆ น้ัน ขอบเขตของเขต ต่างๆ เหล่าน้ีไม่ได้ใช้แนวเมริเดียนเป็นขอบเขตของเขตโดยตลอด แต่ละเส้นขอบเขตของเขตจะเป็น เสน้ คดโค้งไปตามเขตของภมู ภิ าคทางการปกครอง ประเทศต่างๆ อาจกำหนดให้เวลาท่ีใช้ในประเทศของตนเป็นไปตามเวลามาตรฐานในเขตที่ ครอบคลุมประเทศน้ันๆ บางประเทศอาจกำหนดเวลาของตนเองตามเวลามาตรฐานเขตใดเขตหน่ึง เพียงเขตเดียว เช่น ประเทศไทยกำหนดเวลามาตรฐานตามเวลาในเขตท่ี 19 หรือประเทศญี่ปุ่น กำหนดเวลาในเขตท่ี 21 เปน็ ตน้ แตบ่ างประเทศมอี าณาเขตกวา้ งขวาง โดยทางตะวนั ตกและตะวนั - ออกของประเทศอยหู่ ่างไกลกนั มาก ได้แก่ สหรฐั อเมริกา รสั เซยี และออสเตรเลยี จงึ ต้องกำหนดให้ เวลาท่ใี ช้ในประเทศของตนเป็นไปตามเวลามาตรฐานหลายเขต เขตเวลามาตรฐานโลกเทยี บจากเสน้ เมรเิ ดียนแรกทีล่ ากผา่ นตำบลกรนี ชิ

15 หนังสอื เรยี นสงั คมศกึ ษา ม.1 ด้วยเหตุที่การแบ่งเขตของเวลามาตรฐานไม่ได้ใช้เส้นลองจิจูดเป็นเส้นแบ่งขอบเขตของแต่ละ เขตอย่างแท้จริง ทำให้ไม่สามารถคำนวณหาเวลามาตรฐานของประเทศต่างๆ โดยอาศัยเส้น ลองจิจูดได้ ยกเว้นจะรู้ว่าประเทศนั้นๆ อยู่ในเขตเวลามาตรฐานใด ใช้เส้นลองจิจูดท่ีเท่าไรในการ กำหนดเวลามาตรฐานประเทศของตน จึงจะหาเวลามาตรฐานของประเทศนั้นๆ ได้ การใช้เส้น ลองจิจูดเพอ่ื คำนวณหาเวลาของตำบลตา่ งๆ น้นั จะเปน็ เวลาท้องถิ่นไม่ใช่เวลามาตรฐาน เวลามาตรฐานของโลกกำหนดให้ต่างกันเขตละ 1 ชั่วโมง ได้ 24 เขต เน่ืองจากโลกหมุน รอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 24 ช่ัวโมง ผ่านลองจิจูดบนพื้นโลก 360 องศาหรือผ่าน เมริเดียน 360 เส้น ดังน้ันทุกๆ 15 องศาของเส้นเมริเดียนจะเปล่ียนไป 1 ช่ัวโมง ( 2 4 x36600 x 15 = 60 นาท)ี เสน้ วันท่ีสากล เส้นวันท่ีสากล เป็นเขตกำหนดการเปลี่ยนวัน โดยจะใช้เส้นเมริเดียนแรกเร่ิมวัดไปทางทิศ ตะวันตกและทิศตะวันออกข้างละ 180 องศา โดยเส้นเมริเดียนที่ 180 องศาตะวันตกและ 180 องศาตะวันออกจะทับกันพอดี ถ้าเอาลูกโลกมาดูจะเห็นว่าเส้นเมริเดียนที่ 180 องศาน้ีอยู่ตรงข้าม กับเส้นเมริเดียนเร่ิมแรกพอดี เช่น ตำบลกรีนิชตั้งอยู่เส้นเมริเดียนแรกเป็นเวลา 12.00 น.หรือ เที่ยงวันของวันอาทิตย์ เวลาของตำบลที่อยู่ทางทิศตะวันตกของเส้นน้ีจะช้ากว่าตำบลกรีนิช เช่น ท่ีลองจิจูด 90 องศาตะวันออกเป็นเวลา 6.00 น. ของวันอาทิตย์และเส้นเมริเดียนท่ี 180 องศา ตะวันตก จะเปน็ เวลา 24.00 น. วันเสารห์ รือ 0.00 น. ของวนั อาทิตย์ กลา่ วคอื ส้ินสุดวันเสารแ์ ละ เร่ิมข้ึนวันอาทิตย์ ขณะเดียวกันตำบลที่ตั้งอยู่บนเส้นเมริเดียนท่ี 90 องศาตะวันออก จะมีเวลา มาตรฐานตรงกับ 18.00 น. ของวันอาทิตย์และตำบลท่ีต้ังอยู่บนเส้นเมริเดียนท่ี 180 องศา ตะวันออก จะเป็นเวลา 24.00 น. ของวันอาทิตย์หรือ 0.00 น. ของวันจันทร์ กล่าวคือ สิ้นสุดวัน อาทิตย์และเริม่ ขึ้นวนั จันทร์

16 หนังสอื เรียนสงั คมศกึ ษา ม.1 24.00 น. วันเสาร ์ 18 0o 24.00 น. วันอาทิตย์ หรือ กลางคืน หรอื 0.00 น. วันอาทติ ย์ 0.00 น. วนั จันทร ์ เวลากอ่ นเที่ยง เวลาหลังเท่ียง ของวนั อาทติ ย์ ของวันอาทิตย์ 9ต0ตo 6.00 น. วนั อาทติ ย ์ 18.00 น. วันอาทติ ย์ 9ต0อo กลางวัน 12.00 น. วันอาทิตย ์ แสดงเวลาทเ่ี ส้นเมริเดยี น 180 องศาตะวนั ออกและตะวันตกทับกับเสน้ เดยี วกันและ อย่ตู รงกันข้ามหรืออยคู่ นละซกี โลกกับเส้นเมรเิ ดยี น 0 องศา เส้นวันท่ีสากลน้ีไม่ได้ลากตามแนวเมริเดียนท่ี 180 องศาตลอดขั้วโลกเหนือถึงขั้วโลกใต้ แต่ อนุโลมให้ลากเบนออกไปทางซ้ายหรือขวาของเมริเดียนท่ี 180 องศา ในกรณีท่ีผ่านพ้ืนที่ที่เป็นพื้น ดินหรือหมู่เกาะตา่ งๆ ของประเทศใดประเทศหน่งึ เพ่ือใหบ้ รเิ วณน้ันมีเวลาอย่ใู นวนั เดยี วกนั กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ 1 1. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มศึกษารายละเอียดแผนท่ีภูมิประเทศของท้องถิ่นท่ีนักเรียนสนใจ โดยศึกษาองค์ประกอบของแผนทวี่ ่ามอี ะไรบ้าง แล้วนำเสนอหน้าชน้ั เรียน 2. ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มสืบค้นข้อมูลภูมิศาสตร์จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ แล้วนำเสนอราย ละเอยี ดข้อมูลภมู ศิ าสตร์ทีส่ บื ค้นได ้

17 หนังสือเรยี นสงั คมศึกษา ม.1 คำถามทา้ ยหนว่ ย 1. เหตุใดแผนที่จึงมีความสำคญั และมีประโยชนใ์ นทางภูมิศาสตร์ จงอธิบาย 2. ในทางภูมศิ าสตร์ เส้นละติจูดและลองจจิ ูดมคี วามสำคญั อยา่ งไร 3. ภาพถ่ายทางอากาศมคี วามแตกต่างกบั รปู ภาพทว่ั ไปหรอื ไม่ อยา่ งไร 4. เหตุใดจึงตอ้ งนำข้อมูลที่ไดจ้ ากภาพถ่ายดาวเทยี มมาแปลความหมาย 5. ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก แตกต่างจากระบบสารสนเทศภูมศิ าสตร์อยา่ งไร 6. การกำหนดเวลามาตรฐานของโลกจะยึดตามแนวเสน้ เมริเดยี นท่ีลากผ่านบรเิ วณใด


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook