การละเลน่ พ้นื บา้ น 4 ภาคของไทย
การละเล่นพน้ื บา้ น การละเลน่ พนื้ บ้าน หมายถงึ กจิ กรรมการเลน่ ของสงั คม เป็นกจิ กรรมนนั ทนาการหนงึ่ ซง่ึ ไดร้ บั การยอมรบั ร่วมกนั ในสงั คม โดยมรี ากฐานมาจากความเปน็ จรงิ แหง่ วิถชี วี ติ ของชมุ ชนทม่ี กี ารประพฤตปิ ฏบิ ตั สิ ืบทอดกนั มาจากอดตี สู่ ปจั จบุ นั การละเลน่ แสดงออกด้วยการเคล่อื นไหวกรยิ าอาการเปน็ หลกั อาจมดี นตรี การขบั รอ้ งหรอื การฟอ้ นราประกอบการ เล่น มีจุดมงุ่ หมาย เพอื่ ความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ ในโอกาสตา่ ง ๆ การละเลน่ บางชนดิ ได้รบั การถา่ ยทอดสบื สานตอ่ กนั มา และปรับปรงุ เปลย่ี นแปลงเพอื่ พฒั นารูปแบบอยา่ งตอ่ เนอ่ื งจนมลี กั ษณะเฉพาะถน่ิ ดงั นก้ี ารละเลน่ พน้ื บา้ นจึงเปน็ ผลติ ผลอนั เกดิ จากความคดิ และจนิ ตนาการของมนษุ ย์ ย่อมสะทอ้ นถงึ โลกทศั น์ ภมู ธิ รรม และจิตวญิ ญาณของบรรพชนในทอ้ งถนิ่ ทไี่ ดถ้ กู หล่อหลอมจนตกผลกึ เปน็ ภมู ปิ ญั ญาอนั ทรงคณุ คา่ และได้กลายเปน็ มรดกวฒั นธรรมของทอ้ งถนิ่ และของประเทศชาติ
การละเลน่ นบั วา่ มีความสมั พนั ธก์ ับชวี ติ มนษุ ยม์ าโดยตลอด ไม่วา่ จะเปน็ การละเล่นของเดก็ และของผใู้ หญล่ ว้ นแสดงออกถงึ สภาพชวี ติ ความเปน็ อยู่ ขนบธรรมเนยี มประเพณคี า่ นยิ มและความเช่อื ของสงั คมน้นั ๆ ทัง้ ยงั กอ่ คณุ คา่ แกผ่ เู้ ลน่ และผเู้ ฝา้ ดู ในด้านการผอ่ นคลายอารมณ์ ความเครยี ด เสรมิ สรา้ ง พลงั กายให้แขง็ แรง ฝกึ ความคดิ ความเขา้ ใจ การแกป้ ญั หานอกจากนย้ี งั กอ่ ใหเ้ กดิ ระเบียบวนิ ัย เกิดดาร ยอมรบั กฎเกณฑข์ องสงั คม สรรคส์ รา้ งความเปน็ กัลยาณมติ รขน้ึ ในชมุ ชน ทาให้สงั คมเกดิ ความเขม้ แขง็ จนกอ่ เปน็ ความดงี ามอนั เป็นเป้าหมายสงู สดุ แหง่ ชวี ติ
ประวตั แิ ละความเปน็ มา ของการละเล่นพื้นบ้าน เป็นการละเล่นทม่ี ใี นกลมุ่ สงั คมทอ้ งถนิ่ ในอดตี มกี ฬี าพืน้ บา้ นตา่ งๆให้เล่นมากมายตงั้ แตร่ นุ่ ก่อนๆจนกระทง่ั ถงึ รนุ่ ปจั จุบนั กย็ งั มใี ห้เหน็ อยซู่ ง่ึ แตก่ น็ อ้ ยกวา่ ในสมยั ก่อนมากเพราะสมยั ปจั จุบนั มี เทคโนโลยเี ขา้ มามากจงึ ทาใหค้ นรนุ่ ใหมไ่ มค่ อ่ ยไดเ้ ลน่ กันนัก กจิ กรรม การเลน่ ของสงั คม เปน็ กิจกรรม นนั ทนาการหนง่ึ ซง่ึ ไดร้ บั การยอมรบั รว่ มกันในสงั คม โดยมรี ากฐานมาจากความเป็นจรงิ แหง่ วถิ ชี วี ติ ของ ชมุ ชนท่มี ีการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ สืบทอดกันมาจากอดตี สปู่ ัจจบุ นั การละเลน่ แสดงออกดว้ ยการเคล่ือนไหว กริยาอาการเปน็ หลกั อาจมดี นตรี การขบั รอ้ งหรอื การฟอ้ นราประกอบการเลน่ มีจดุ ม่งุ หมาย เพ่อื ความ สนกุ สนานเพลดิ เพลนิ ในโอกาสตา่ ง ๆ การละเลน่ บางชนดิ ไดร้ บั การถา่ ยทอดสืบสานตอ่ กันมา และ ปรับปรงุ เปลยี่ นแปลงเพือ่ พฒั นารปู แบบอยา่ งตอ่ เนือ่ งจนมลี กั ษณะเฉพาะถนิ่ ดังนก้ี ารละเล่นพ้ืนบา้ นจงึ เปน็ ผลติ ผลอนั เกิดจากความคดิ และจินตนาการของ มนุษยย์ อ่ มสะทอ้ นถงึ โลกทศั น์ ภมู ิธรรม และจติ วญิ ญาณของบรรพชนในทอ้ งถนิ่ ทไี่ ดถ้ กู หลอ่ หลอมจนตกผลกึ เป็นภมู ิปญั ญาอนั ทรงคณุ คา่ และได้ กลายเปน็ มรดาวฒั นธรรมของทอ้ งถน่ิ และของประเทศชาตกิ ารละเล่น นับว่ามีความสมั พนั ธ์กบั ชวี ติ มนุษยม์ าโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการละเลน่ ของเดก็ และของผใู้ หญล่ ว้ นแสดงออกถงึ สภาพชวี ติ ความ เป็นอยู่
ขนบธรรมเนยี มประเพณคี า่ นิยมและความเชอ่ื ของสังคมนนั้ ๆ ทั้งยงั กอ่ คณุ คา่ แก่ผเู้ ล่นและผู้ เฝ้าดู ในดา้ นการผอ่ นคลายอารมณ์ ความเครยี ด เสรมิ สรา้ งพลงั กายใหแ้ ขง็ แรง ฝกึ ความคดิ ความเขา้ ใจ การแก้ปัญหานอกจากนยี้ งั กอ่ ใหเ้ กิดระเบยี บวนิ ยั เกดิ ดารยอมรบั กฎเกณฑข์ องสังคม สรรค์สรา้ งความ เป็นกับญาตมิ ิตรขน้ึ ในชุมชน ทาใหส้ งั คมเกดิ ความเขม้ แขง็ จนกอ่ เปน็ ความดงี ามอนั เปน็ เปา้ หมายสูงสุด แห่ง ชีวติ ความแตกตา่ งของการละเลน่ จะปรากฏใน ลกั ษณะ ท่าทางการรา่ ยรา คารอ้ ง ดนตรี และ การแตง่ กาย การละเลน่ เปน็ กจิ กรรมบนั เทงิ ทแ่ี ฝงไวด้ ว้ ยสญั ลกั ษณ์ อนั เนือ่ งดว้ ยวฒั นธรรมและ ประเพณี สะทอ้ นวถิ ชี วี ติ และความเชอ่ื ของสงั คมทส่ี ืบทอดมาแตโ่ บราณ การละเลน่ บางอยา่ งของแตล่ ะ ภาคอาจไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากประเทศเพื่อนบา้ นทอี่ ยู่ ใกลเ้ คียงทมี่ ีพรมแดนตดิ ตอ่ หรอื ใกลเ้ คยี งกนั กนั เช่น ประเทศลาว กัมพูชา พม่า จีน อินโดนีเซยี มาเลเซีย เปน็ ตน้
ประวตั ศิ าสตร์ไดม้ ีการบนั ทึกวา่ คนไทยมกี ารละเล่นมาตงั้ แตส่ มยั สโุ ขทยั จากความในศลิ า จารกึ สมยั สุโขทยั หลกั ที่ 1 กลา่ ววา่ “…ใครใครจ่ กั มกั เลน่ เล่น ใครจักมกั หวั หวั ใครจกั มกั เลอ่ื น เลื่อน…” และในสมยั อยธุ ยา กไ็ ด้กล่าวถงึ การแสดงเรอื่ ง มโนห์รา ไว้ในบทละครครงั้ กรุงเกา่ ได้ กลา่ วถงึ การละเลน่ น้นั บทละครนนั้ ไดแ้ ก่ ลิงชงิ หลกั และปลาลง อวน ประเพณแี ละวฒั นธรรมสมยั ก่อน มกั สอดแทรกความสนุกสนานบนั เทงิ ควบคกู่ นั ไปกบั การทางาน ทัง้ ในชวี ติ ประจาวนั และเทศกาลงาน บุญ ตามระยะเวลาแหง่ ฤดกู าล
ลกั ษณะของกจิ กรรมบนั เทงิ ทจี่ ดั อยูใ่ นการละเล่น การแสดง หมายถงึ การละเล่นทรี่ วมทงั้ ทเี่ ป็นแบบแผนและการแสดงทวั่ ไปของชาวบ้านใน รูปแบบการรอ้ งการบรรเลงการฟอ้ นราซึ่งประกอบดว้ ยดนตรี เพลงและนาฏศลิ ป์ มหรสพ หมายถงึ การแสดงทฝี่ า่ ยบ้านเมอื งจะเรยี กเก็บคา่ แสดงเปน็ เงนิ ภาษแี ผน่ ดนิ ตาม พระราชบัญญตั ทิ ่ี กาหนดไวต้ ง้ั แตพ่ ุทธศกั ราช 2404 เป็นต้นมา ประกาศมหรสพวา่ ดว้ ยการละเลน่ หลายประเภทดงั นี้ ละคร ง้ิวหนุ่ หนงั ตา่ งๆ สกั วา เสภา ลิเก กลองยาว ลาวแพน มอญราและทวายรา พณิ พาทย์ มโหรี กลองแขก คฤหสั ถ์สวดศพ และจาอวด กีฬาและนันทนาการ คอื การละเล่นเพ่อื ความสนุกสนานตามเทศกาลและเลน่ ตามฤดกู าล และ การละเลน่ เพือ่ แข่งขนั หรอื กจิ กรรมทที่ าตามความสมคั รใจในยามวา่ ง เพื่อใหเ้ กดิ ความสนกุ สนาน เพลดิ เพลนิ และ ผอ่ นคลายความตงึ เครยี ด
การละเลน่ ของไทยไม่สามารถลาดับใหเ้ หน็ พฒั นาการตามกาลเวลาไดอ้ ยา่ งชดั เจนทงั้ น้ี เนือ่ งจากการละเลน่ สว่ นใหญเ่ ปน็ กระบวนการถา่ ยทอดดว้ ยการปฏบิ ตั ิ มิใชต่ ารา จงึ ขาดการบันทึกเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรทจ่ี ะใชเ้ ป็นข้อมลู ในการสรา้ งลาดบั อายสุ มยั ของการละเลน่ แตล่ ะอย่างไดย้ งิ่ ไปกวา่ นนั้ การละเลน่ ของไทยสว่ นใหญม่ ีลกั ษณะของการพฒั นาตนเองและคอ่ ยเปน็ ค่อยไปเพราะจดจาสืบตอ่ กันมา จากคนรนุ่ หนงึ่ ไปส่อู กี รนุ่ หนงึ่ (ร.อ.หญิงปรยี า หริ ญั ประดษิ ฐ์ ๒๕๓๓ : ๑๕) และโดยเหตทุ กี่ ารละเลน่ เกิดข้ึนมายาวนานและปรากฏอยทู่ วั่ ไปในทอ้ งถน่ิ ตา่ ง ๆ โดยท่วั ไป เชน่ น้ีทาให้เกดิ ความหลากหลาย ของการละเลน่ พืน้ บ้าน มที งั้ ลกั ษณะรว่ ม และลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งกนั ไปในแตล่ ะทอ้ งถน่ิ อยา่ งไรก็ดสี ิง่ ที่ ตรงกันในทกุ ทอ้ งถน่ิ ก็คอื มกี ารละเลน่ พนื้ บ้านทงั้ ทเ่ี ป็นของเดก็ และของผใู้ หญ่
ดงั น้นั เรอื่ ง การละเลน่ พื้นบา้ นของเรา ท่เี ป็นทน่ี ิยมเลน่ กันกับเพื่อน ๆ ในสมยั เดก็ ๆ ใน หมบู่ า้ นเรา ซ่งึ เป็นเรอื่ งใกลต้ วั เรามาก และเราก็ไดผ้ า่ นชว่ งนมี้ าแลว้ ดว้ ยเหมอื นกนั ซ่ึงเชือ่ วา่ ทกุ คน จะต้องผา่ นวยั เดก็ มาแลว้ กันทงั้ น้นั หรอื บางคนอาจจะกาลงั อยใู่ นชว่ งน้กี ็ได้ ในช่วงวยั เดก็ เป็นชว่ งทสี่ นกุ มากจนไม่อยากผา่ นชว่ งนีม้ าเลย กล่มุ ผ้ศู ึกษาจงึ เลอื กศกึ ษา เรื่องการละเลน่ พ้นื บ้านของเรา เพ่ือเป็น อนรุ กั ษว์ ฒั นธรรมการละเลน่ ของหม่บู า้ นและการละเลน่ ของไทยทก่ี าลงั จะสญู หายใหเ้ ปน็ ทรี่ จู้ กั เพอื่ ชน รุ่นหลงั สบื ไป
การละเลน่ พน้ื บา้ นภาคเหนอื เตย หรอื หล่นิ โพงพาง
โพงพาง อปุ กรณ์ : ผา้ ปดิ ตา จานวนผเู้ ลน่ : ไม่จากดั จานวน วธิ ีเลน่ : ยิ้งฉุบกนั วา่ ใครจะเปน็ ผแู้ พต้ อ้ งปดิ ตาเปน็ โพงพางตาบอด ผเู้ ลน่ คนอน่ื ๆจบั มอื เปน็ วงกลมร้องเพลง \"โพงพางเอย๋ โพงพางตาบอด รอดเขา้ รอดออก โพงพางตาบอด ปลอ่ ยลกู ชา้ งเขา้ ในวง\" ขณะเดนิ วนรอบๆโพงพางตาบอด รอ้ งเพลง1-3จบ แลว้ นง่ั ลงโพงพางจะเดนิ มาคลาคนอนื่ ๆ ซึง่ ตอ้ งพยายามหนี และจะตอ้ งเงยี บสนทิ หากโพงพางจาเสยี ง หัวเราะ รูปลักษณะไดจ้ ะเรยี กชอื่ ถ้าเรยี กคนถกู ตอ้ งออกมาปดิ ตาเปน็ โพงพางตอ่ ไป ถ้าไม่ถกู กต็ อ้ งเปน็ โพงพางตอ่ ไปอกี เร่อื ยๆ โอกาส : เป็นการละเลน่ พืน้ บา้ นทเี่ ดก็ ๆเลน่ กนั โดยทวั่ ไป
เตย หรือ หลนิ่ อปุ กรณ์ :ไม่มี จานวนผู้เลน่ :๖-๑๒ คน วิธีเลน่ ขีด เสน้ เปน็ ตารางจานวนเทา่ กบั ผเู้ ลน่ (สมมตวิ ่ามี ๖ คน) แล้วแบง่ ผเู้ ลน่ ออกเปน็ ๒ ฝา่ ย ฝา่ ยหนง่ึ ยนื ประจาเสน้ (ตาม ขวาง) อีกฝ่ายจะวงิ่ ผ่านแตล่ ะเสน้ ไปโดยไมใ่ หเ้ จา้ ของเสน้ แตะได้ เม่ือเรม่ิ เลน่ คนทย่ี นื ประจาเสน้ แรก พดู ว่า ไหล หรอื หล่นิ ฝ่ายตรงขา้ มกเ็ รมิ่ วง่ิ ผ่านเสน้ แรกไปจนถงึ เสน้ สดุ ทา้ ยแลว้ ว่งิ กลบั ถ้าวิ่งกลบั ถงึ เส้นแรกโดยไมถ่ กู ฝา่ ยตรงขา้ มแตะไดก้ พ็ ูดวา่ เตย กจ็ ะเปน็ ฝา่ ยชนะ โอกาสเปน็ การละเลน่ พน้ื บา้ นทเี่ ดก็ ๆ เลน่ กนั โดยทว่ั ไป
การละเลน่ พนื้ บ้านภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื งกู นิ หาง แข่งเรอื บก
แข่งเรอื บก อปุ กรณ์ :ไม้กระดาน ๒ แผ่น ยาวประมาณ ๑ วาเศษ พร้อมเชอื กทจ่ี ะใชร้ ัดหลงั เทา้ ตดิ กบั ไม้ วิธีการเลน่ :ผู้เลน่ แบง่ เปน็ กลมุ่ ๆ ละ ๒-๕ คน โดยจะรัดเทา้ ทง้ั ๒ ข้าง ไว้กบั กระดาน ๒ แผน่ มอื จบั เอวหรือจบั ไหล่ ของผู้ทอ่ี ยขู่ า้ งหนา้ อาศยั ความพร้อมเพรยี งจะยกเทา้ ซา้ ยพรอ้ ม ๆ กนั ดนั ไมก้ ระดานไปขา้ งหนา้ กลมุ่ ใดถงึ เส้นชยั กอ่ นถอื วา่ ชนะ โอกาสหรือเวลาที่เล่นสว่ นใหญจ่ ะเลน่ ในเทศกาลสงกรานต์ คุณคา่ / แนวคดิ / สาระ :นอกจากจะเปน็ การออกกาลงั ขาแลว้ ยงั สรา้ งความสามคั คใี นหมคู่ ณะ สร้างความสนกุ สนาน การแขง่ เรอื บกจะเลน่ กนั ในพน้ื ที่ ๆ ไมม่ แี มน่ า้ ไหลผ่าน
งูกินหาง วิธกี ารเลน่ งูกนิ หางเรมิ่ จากเสี่ยงทาย ใครแพ้ตอ้ งไปเปน็ พ่องู สว่ นผู้ชนะทรี่ า่ งกายแขง็ แรงตวั ใหญจ่ ะเปน็ แมง่ ู ไว้คอยปกปอ้ งเพอ่ื นๆ คนอ่นื ๆ ท่เี ปน็ ลกู งู จะเกาะเอวแมง่ ู แล้วยนื ตอ่ แถวกันไว้ เผชญิ หนา้ กบั พอ่ งู จากนน้ั จะเขา้ สบู่ ทรอ้ ง พอ่ งูจะพูดวา่ “กนิ หัวกินหางกินกลางตลอดตวั ” แล้ววงิ่ ไลจ่ บั ลกู งทู เี่ กาะเอวอยู่ ส่วนแม่งจู ะปอ้ งกนั ไมใ่ หพ้ อ่ งจู บั ลกู งไู ปได้ เมอ่ื ลูกงคู นไหนถกู จับจะออกมายนื นอกแถว เพอ่ื รอเลน่ รอบ ต่อไป หากพอ่ งแู ยง่ ลกู ไดห้ มด จะถอื วา่ จบเกมแล้วเรม่ิ เลน่ ใหม่ โดยพอ่ งจู ะกลบั ไปเปน็ แมง่ ตู อ่ ในรอบ ต่อไป
การละเลน่ พน้ื บ้านภาคกลาง รรี ีขา้ วสาร มอญซ่อนผา้
มอญซ่อนผา้ วธิ ีการเลน่ ใหผ้ ู้เลน่ เสี่ยงทายดว้ ยการจบั ไทส้ ้นั ไม้ยาว ใครแพ้คนนน้ั ตอ้ งเปน็ “มอญ” สว่ นคนอน่ื ๆ มาน่งั ลอ้ มวงกนั คนทเ่ี ปน็ มอญจะตอ้ งถอื ผา้ ไวใ้ นมอื แลว้ เดนิ อยนู่ อกวง จากนั้นคนนง่ั ในวงจะรอ้ งเพลงทใ่ี ชป้ ระกอบการ เล่น ระหวา่ งการรอ้ งเพลง คนที่เปน็ มอญจะแอบเอาผ้าทไ่ี วข้ า้ งหลงั ผเู้ ลน่ คนใดคนหน่งึ แต่เม่อื ทง้ิ ผา้ แลว้ จะแกลง้ ทาเปน็ ยงั ไมท่ งิ้ แล้วเดนิ วนอกี รอบ หากผทู้ ี่ถกู ทง้ิ ผา้ ไมร่ ตู้ วั มอญจะหยบิ ผา้ มาตผี เู้ ล่นคนนั้น แล้วตอ้ งมาเปน็ มอญแทน หากผู้เลน่ รตู้ วั วา่ มีผา้ อยู่ขา้ งหลงั ก็จะหยิบผา้ มาวงิ่ ไลต่ มี อญรอบวง มอญ จะต้องรบี กลบั มานง่ั แทนทผ่ี เู้ ลน่ คนน้ัน แล้วผทู้ ว่ี งิ่ ไลต่ อ้ งเปลย่ี นเปน็ มอญแทน
รรี ขี า้ วสาร วิธเี ลน่ 1. ผเู้ ล่น 2 คนยนื หนั หนา้ เขา้ หากนั โนม้ ตวั ประสานมอื กนั เปน็ รปู ซมุ้ 2. สว่ นผู้อนื่ เกาะเอวตอ่ ๆ กันตามลาดบั 3. หัวแถวจะพาลอดใตซ้ มุ้ มอื พร้อมกบั รอ้ งบทรอ้ งประกอบการเลน่ 4. เมอื่ รอ้ งถงึ ประโยคทว่ี า่ “คอยพานคนขา้ งหลงั ไว้” ผทู้ ี่ประสานมอื เปน็ ซมุ้ จะลดมอื ลงกนั คนสุดทา้ ยไว้ ซึง่ คน สดุ ท้ายจะถกู คดั ออกไปจากแถว แล้วจึงเรม่ิ ตน้ เลน่ ใหมท่ าเชน่ นนั้ จนหมดคน คุณค่า/แนวคดิ /สาระ 1. ออกกาลังกายพฒั นากลา้ มเนอ้ื สว่ นตา่ ง ๆ ของร่างกายใหแ้ ขง็ แรง 2. เพลดิ เพลิน จิตใจรา่ เรงิ แจ่มใส ยอมรบั ในกฎเกณฑก์ ตกิ าในการเล่น 3. หัดให้เดก็ มไี หวพริบ ปฏิภาณ และรู้จักใชก้ ลยทุ ธท์ จ่ี ะใหต้ นรอดจากการถูกคลอ้ งตวั ไว้ 4. หดั ใหเ้ ดก็ รู้จกั ทางานเปน็ กลมุ่ โดยหวั แถวตอ้ งพยายามพาแถว โดยเฉพาะคนสดุ ทา้ ยใหร้ อดพน้ จากการถกู กกั ตวั ให้ได้
การละเลน่ พนื้ บา้ นภาคใต้ ชกั กะเยอ่ อฉี ดุ
ชักกะเย่อ อุปกรณ์ :เชอื ก วิธกี ารเลน่ จัดคนเลน่ ออกเปน็ 2 พวกใหม้ กี าลงั พอๆกนั เมือ่ แบง่ เสรจ็ แลว้ ให้ไปอยคู่ นละขา้ งของเชอื กนน้ั ใหค้ นหวั แถวจบั กอ่ นขา้ งละคน เมื่อใหส้ ัญญาณแลว้ ตา่ งฝา่ ยตา่ งดงึ ไปขา้ งหลงั ทกุ คน ใหม้ ผี ตู้ ดั สนิ 1 คน ยนื ตรง กลางแลว้ ตดั สนิ เพือ่ ใหร้ วู้ า่ ฝา่ ยใดแพ้ชนะและปกั ธงไวต้ รงกลางได้ ฝา่ ยใดถกู ดงึ เลยจากเขตธงทป่ี ัก นับวา่ เปน็ ฝา่ ยแพ้
อีฉุด อปุ กรณ์ :ก้อนหิน วธิ กี ารเลน่ ผูเ้ ล่นตกลงกันวา่ ใครจะเลน่ กอ่ นหลงั โดยผู้เลน่ มลี กู เกยคนละลกู หลังจากนนั้ กข็ ดี ตารางเปน็ ชอ่ งสีเ่ หลีย่ ม จานวน 6 ช่อง เรียกวา่ 6 เมอื ง โดยแบ่งเป็นซกี ซา้ ย 3 เมือง ซกี ขวา 3 เมือง ผู้เล่นคนที่ 1 เริม่ เลน่ โดยการทอยลกู เกยไปในเขตเมืองที่ 1 แลว้ กระโดดเหยยี บเขตเมอื งที่ 1 โดยใช้เทา้ เดยี ว แลว้ ใชป้ ลาย เทา้ ฉดุ ลกู เกยให้ไปในเขตเมอื งที่ 2 3 4 5 6 ตามลาดบั แลว้ ก็ฉดุ ลกู เกยออกจากเขตเมอื งที่ 6 หลังจากนัน้ ก็เลน่ เหมอื นเดมิ ไปเรอ่ื ยๆทกุ เมอื ง หา้ มกระโดดหลายครง้ั ไม่เชน่ นน้ั จะถือวา่ ตาย จะให้ ผู้อ่ืนเลน่ ตอ่ ถา้ เลน่ ท่านี้แลว้ ไมต่ าย ใหเ้ ล่นในทา่ ตอ่ ไป
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: