Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

Description: วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑

Search

Read the Text Version

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 151 พรหมวหิ ารนิเทส เมตตาพรหมวิหาร ก็แลในพรหมวิหาร ๔ น้ี คือ เมตตา กรุณา มทุ ิตา อุเบกขา ที่ทา นยกขึ้นแสดงในลําดบั อนุสตกิ มั มฐาน พระอาทกิ มั มิกโยคาวจร ผูใครจะเจริญเมตตาพรมหมวหิ ารเปนอันดบั แรก พงึ เปน ผตุ ัดปลโิ พธ ถอื เอากรรมฐานแลว ทําภัตกจิ บรรเทาความเมาอาหารแลว นงั่ ให สบลาย (ตามแบบนง่ั กรรมฐาน) ณ อาสนะท่จี ัดไวอยางดีในทีส่ งัด ชั้นแรก พึงพจิ ารณาใหเห็นโทษในโทสะ และอานิสงสใ นขันติกอน ถามวา เพราะเหตุอะไร ? ตอบวา เพราะโทสะจะพึงลงได และขันตจิ ะพึงบรรลไุ ด ก็ดวย ภาวนานี้ และใคร ๆ จะอาจละโทษท่ีตนไมเห็นสักหนอ ย หรอื ได อานิสงสท ่ตี นไมท ราบสกั นดิ หาดไดไม เพราะเหตุนัน้ พระโยคาวจรพึง เหน็ โทษในโทสะ ตามแนวพระสตู ทง้ั หลาย เชน สูตรวา \"ดูกร อาวุโส บคุ คลผเู กิดโทสะแลว อนั โทสะครอบงํา มีจติ อนั โทสะยึดไว รอบแลว ยอ มฆา สัตวบางไ ดังนเี้ ปนอาทิ พึงทราบอานิสงสในขันติ ตามแนวพระบาลีทง้ั หลายเชน บาลีวา ขนฺตี ปรม ตโป ตตี กิ ฺขา นพิ พฺ าน ปรม วทนตฺ ิ พทุ ฺธา* ขนั ติ คอื ความอดกลัน้ เปนบรมตบะ พระพทุ ธทั้งหลาย กลา ว * ท.ี มหา. ๑๐/๕๗

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 152 นิพพานเปนบรมธรรม ขนฺติพล พลานกี  ตนห พรฺ ูมิ พรฺ าหมฺ ณ๑ เรากลาวบุคคลนนั้ ผมู ีขนั ติเปน กาํ ลัง มีกําลงั คอื ขันตเิ ปนกอบทพั วา เปนพราหมณ ขนตฺ ฺยา ภยิ ฺโย น วิชฺชติ ประโยชนย ่งิ กวา ขนั ติหามีไม ดงั นีเ้ ปนตนเถดิ คร้ันแลว พึงเร่มิ เมตตาภาวนา เพือ่ ยงั จิตใหสงัดจากโทสะอนั มี โทษทต่ี นเห็นแลว และเพอ่ื ผกู จิตไวในขันติ อันมอี านิสงสทีต่ นทราบ แลวอยางนี้ (ตอ ไป) [บคุ คลที่เปน โทษแกภาวนา ๖] กแ็ ล เม่ือจะเรม่ิ เบื้องตนทเี ดียว ควรทราบปคุ คลโทส (บคุ คล ทเี่ ปนโทษแกภ าวนา) วา ในบุคคลเหลานไี้ มค วรเจริญเมตตาไปเปน ปฐม ในบคุ คลเหลาน้ไี มควรเจริญเมตตาไปเลยทเี ดียว แทจรงิ เมตตา นี้ไมค วรเจริญเปน ปฐม ในบุคคล ๔ นี้ คอื ในบคุ คลทเี่ กลยี ดกนั ใน บุคคลที่เปน สหายรักกันมาก ในบุคคลทเี่ ปน กลาง ๆ กนั ในบคุ คลท่ี เปน ศตั รูกนั (สวน) ในบคุ คลที่มเี พศเปนขา ศึกกนั ไมควรเจรญิ โดย เจาะจง ในบุคคลท่ีทาํ กาลกิรยิ าแลว ไมควรเจรญิ ทเี ดยี ว ถามวา เพราเหตุไร จงึ ไมควรเจริญไปในบคุ คล ๔ ประเภท มบี ุคคลทีเ่ กลยี ดกันเปน ตน เปน ปฐม ? ๑. ข.ุ ธ. ๒๕/๖๙ ๒. ส. ส. ๑๕/๓๒๕

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 153 เฉลยวา เพราะวา พระโยคาวจร เมือ่ (นึก) ตั้งคนท่ีเกลยี ดกัน ไวในฐานะแหงคนรกั ยอ มลาํ บาก (ใจ) เมื่อ (นกึ ) ต้ังสหายทร่ี ัก กนั มาไวในฐานะแหงคนกลาง ๆ กัน กล็ าํ บาก ดว ยเมอ่ื ทกุ ขแ มเลก็ นอ ยเกิดขน้ึ แกเ ขา เธอจะถึงกับรองไหอ อกมากเ็ ปนได เม่อื (นกึ ) ตั้งคนกลาง ๆ กนั ไวใ นฐานะแหงครูและในฐานะแหง คนรกั กล็ าํ บาก เมอ่ื ระลึกถงึ คนทีเ่ ปนศตั รูกัน ความโกรธยอมเกิดขึ้น เพราะเหตุน้ัน๑ จึงไมควรเจริญไปในบุคคล ๔ ประเภท มีคนเกลียดกันเปนตน เปน ปฐม สวนในบคุ คลที่มเี พศเปน ขา ศกึ กัน เมอ่ื เจรญิ โดยเจาจงถงึ ผมู ี เพศเปนขาศึกกนั นน้ั เขา ความกําหนัดยอมเกดิ ขึ้น ดังมเี รื่องเลาวา บุตรขนุ นางผูใ ดผหู นึ่ง (จะเจริญเมตตา) ถามพระเถระชตี น วา \"ทา น เจาขา เมตตาควรเจริญในบคุ คลไร\" พระเถระบอก (โดยไมมี เง่ือนไข) วา \"ในบุคคลทรี่ ัก\" ก็ภรยิ าของตนยอมเปน ที่รกั ของเขา เขาจึงเจรญิ เมตตาแกหลอน ก็ (ตอง) ทาํ การรบกบั ฝาคนื ยังรุง๒ เพราะฉะน้ัน ในคนที่มีเพศเปน ขาศกึ กัน จึงไมควรเจรญิ โดยเจาะจง สวนในคนทีท่ ํากาลกิรยิ าแลว เจรญิ ไปก็ไมถงึ อัปปนา ไมถงึ อุปจารไดเ ลย มเี รือ่ งเลาวา ภกิ ษหุ นุมรูปใดรูปหนึ่งทาํ เมตตาภาวนา ๑. ปาฐะในวสิ ทุ ธมิ รรค พิมพครง้ั ท่ี ๓ (๒๕๐๓) เปน ตสฺมึ ผดิ ท่ถี กู เปน ตสฺมา ๒. รบกบั ฝา (ภติ ตฺ ยิ ุทฺธ) มหาฎกี าชว ยอธบิ ายวา บุตรขนุ นางผนู นั้ อธษิ ฐานศลี แลว เขานง่ั บน เตียงนอนในหอ ง ปดประตูเจริญเมตตาถึงภรรยา ถกู ราคะซึง่ มาในหนา เมตตาทําใหมืดไป ใครจ ะ ไปหาภรรยา แตคลาํ หาประตไู มเจอ จึงรบกบั ฝา คือทบุ ฝาดวยอยากจะออกไป สว นคาํ วา 'คนื ยงั รุง' (สพพฺ รตตฺ ึ) ซึง่ ฟงดอู ยา งไรอยนู ้ัน ทา นเลยไปเสีย ไมพ ดู ถงึ

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 154 ถึงอาจารย เมตตาของเราหาดําเนินไปไม เธอจึงไปหาพระมหาเถระ (รูปหน่ึง) เรยี นวา \"ทา นผูเ จริญ การเขา เมตตาฌานของขาพเจา คลอ งแคลว ทีเดียว แต (เวลาน้)ี ขา พเจาไมอ าจเขาเมตตาฌานนนั้ ได เหตอุ ะไรเลาหนอ ?\" พระเถระแนะวา \"เธอจงหานมิ ิตดูเถดิ * อาวโุ ส\" ภกิ ษุน้นั หา (นมิ ิต) ดูไปจงึ รูความทีอ่ าจารยถ งึ มรณภาพแลว ก็ทาํ เมตตาถงึ ผูอืน่ ตอไป จึงยงั สมาบัตใิ หแ นวแนได เพราะเหตนุ ้ัน ไมค วรเจริญไปในคนที่ทํากาลกริ ิยาแลว เลยทเี ดยี ว [ใหเจริญเมตตาในตนเองกอ น] แตวากอนอ่ืนหมด ควรเจรญิ ในตนเองบอย ๆ อยางนี้วา 'ขอ เราจงเปน ผูถึงซึ่งความสขุ ไมม ีทกุ ขเถดิ ' หรือวา 'ของเราจงเปนผไู มม ี เวร ไมมีความเบยี ดเบียน ไมมคี วามทุกข มคี วามสขุ บริหารตนไป เถดิ ' ดงั นก้ี ไ็ ด หากมีความแคลงใจวา \"เมือ่ เปนเชนนน้ั คาํ ใดที่ตรสั ไวใ น วิภังคว า \"ดูกรภิกษุทัง้ หลาย ก็ภิกษมุ ใี จไปกบั เมตตาแผไปตลอดทศิ หน่ึงอยอู ยางไร เปรียบเหมือนบคุ คลเหน็ บคุ คลผูหนง่ึ ซึง่ เปน ทร่ี ัก ทเ่ี จริญใจแลว พงึ แสดงความรักออกไปฉันใด ภิกษยุ อมแผเมตตา * นิมติ มหาฎกี าแกว า อารมณ ไมเ ขาใจของทาน นาจะหมายถึงภาพท่ีปรากฏแกใจของผุเ พง ตรวจดู (อยางที่เรยี กกนั วา 'นั่งทางใน') เมอ่ื เหน็ ภาพคนตาย จงึ ไดร วู า อาจารยถ ึง มรณภาพ (?)

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 155 ไปถงึ สตั วท้ังปวงฉันนนั้ นนั่ แล\"๑ ดังนก้ี ็ดี คาํ ใดท่ีกลา วไวในปฏ-ิ สัมภทิ าวา \"เมตตาเจโตวิมตุ ิท่แี ผไ ปโดยไมเจาะจง ดวยอาการ ๕ คอื อะไรบาง ? คือ (ดว ยอาการปรารถนา) วา สตั วท้ังหลายทง้ั ปวง จง เปน ผุไมมเี วร ไมม คี วามเบียดเบียน ไมมคี วามทุกข มคี วามสขุ บรหิ าร ตนไปเถิด ปาณะท้ังหลายทง้ั ปวง . . . ภตู ท้งั หลายทงั้ ปวง . . . บุคคล ทงั้ หลายท้งั ปวง. . . ผูเนื่องอยูในอัตภาพทง้ั หลายทงั้ ปวง จงเปน ผไู มม ี เวร ไมมคี วามเบยี ดเบียน ไมม คี วามทกุ ข มคี วามสุขบริหารตนไป เถดิ \" ดงั น้ีเปนอาทิก็ดี คําใดทต่ี รัสไวในเมตตาสูตรวา \"สตั ว ทัง้ หลายท้งั ปวง จงเปน ผมู ีความสุขความเกษม เปนผมู ตี นถึงแลว ซ่ึงความสําราญ\" ดังน้เี ปน อาทกิ ็ดี คําในวิภังคเ ปน ตนนั้นก็ผิด (นะซ)ิ เพราะในคํานั้น มิไดต รัสการเจริญ (เมตตา) ในตนไว\" ดังนีไ้ ซร พงึ เฉลยวา \"คําในวิภังคเปนตน น้นั ไมผ ดิ ดอก เพราะอะไร เพราะ คาํ น้ันตรัสโดยเปน ภาวนาถึงอัปปนา (สวน) คาํ แผเมตตาในตน มคี าํ วา 'ขอเราจงเปนผถู ึงซึ่งความสุข' เปนตน นี้ ขาพเจากลา วโดย ความ (ทําตน) เปน พยาน จรงิ อยู แมหากบคุ คลจะเจรญิ เมตตาใน ตนโดยนยั วา 'ขอเราจงเปนผูถึงซ่งึ ความสขุ ' เปนตน นี้ ขา พเจากลา วโดย ความ (ทาํ ตน) เปนพยาน จริงอยู แมห ากบุคคลจะเจริญเมตตาใน ตนโดยนยั วา 'ขอเราจงเปนผถู งึ ซึง่ ความสุข' ดังน้เี ปนตน ไป ๑๐๐ ป หรอื ๑,๐๐๐ ป อปั ปนาก็ไมเกดิ ขึน้ แกเ ขาไดเลย แตว าเม่ือเจรญิ (เมตตาในตน) วา 'ขอเราจงเปน ผูถงึ ซ่ึงความสุข' ดงั นเ้ี ปนตนไป ความเปน ผูปรารถนาประโยชนสขุ ในสตั วอ ่ืน ๆ ยอ มเกิดขน้ึ (โดย) ทาํ ตนใหเ ปนพยานวา \"เราเปน ผรู กั สุขเกลียดทุกข และอยากเปนอยู ๑. อภ.ิ วิ. ๓๕/๓๗๐ ๒. ขุ. ปุ. ๓๑/๔๘๓

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 156 ไมอยากตายฉนั ใด แมส ตั วอน่ื ๆ กฉ็ นั นั้น\" อนง่ึ แมพระผมู พี ระ- ภาคเจาท่ีตรัสวา \"บุคคลตามคนไปดวยใจตลอดทุกทศิ กม็ ไิ ด พบผเู ปน ทรี่ กั ย่งิ กวา ตนท่ไี หนเลยฉนั ใด ตน ของคนอนื่ ๆ ก็ยอมเปนทีร่ กั (ของเขา) มาก ฉันนน้ั เพราะฉะน้ัน ผูรกั ตนจงึ ไมค วรเบยี ด เบียนผอู ื่น\" ดงั น้ี ก็ทรงแสดงนยั อนั นี้น่ันเอง เพราะเหตนุ ้นั พระโยคาวจรจึงควร แผเมตตาใหตนเปน ปฐม เพ่ือเปนพยาน แลว ในลําดบั นั้นเพอ่ื ยังเมตตา ภาวนาใหเปนไปโดยสะดวก ทานผูใดเปนทรี่ ักที่เจริญใจ เปนที่ เคารพที่เชิดชู เปน อาจารยหรอื อาจริยมตั (ภิกษขุ นาดอาจารย) เปน อุปชฌายหรอื อุปชฌายมตั (ภกิ ษขุ นาดอุปชฌาย) ของเธอ พึงระลึก ถึงเหตุแหง ความเปนที่รกั ทีเ่ จรญิ ใจ มีการใหป น และการพูดไพเราะ เปนตน และเหตแุ หงความเปนทเี่ คารพและเชดิ ชู มศี ลี และสุตะ เปนอาทแิ หงทา นผนู ัน้ แลว เจริญเมตตาไปโดยนยั วา 'ขอทานสัตบรุ ุษ นน่ั จงเปนผูถงึ ซงึ่ ความสุข ไมมีความทกุ ขเ ถดิ ' ดงั นีเ้ ปน ตน ก็แล (เม่อื เจรญิ ไป) ในบคุ คลเห็นปานนัน้ อัปปนายอมจะสําเรจ็ เปนแท [เจริญเมตตารวมแดน] แต (โยคาวจร) ภิกษนุ ้ี เปนผไู มถ ึงซงึ่ ความพอใจดว ยความ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 157 สาํ เรจ็ แตเพยี งนน้ั ใครจ ะทาํ สีมสมั เภท (การรวมแดน)* ตอ ไป จึง ในลําดับน้ัน พงึ เจรญิ เมตตาไปในบุคคลผูเปน สหายรกั กันมาก ตอ บุคคลผเู ปน สหายรกั กันมาก พึงเจริญไปในบุคคลท่ีกลาง ๆ กนั ตอ บุคคลทก่ี ลาง ๆ กนั พงึ เจรญิ ไปในบุคคลทเี่ ปนศัตรูกนั และเมือ่ เจรญิ ไป พึงจําจิตใหออน ควรแกก ารในแตละสวน นาํ (ภาวนาจิต) ไปในลาํ ดับ ๆ กนั (ใหไ ด) สว นวา โยคาวจรภกิ ษใุ ด บุคคลทีเ่ ปน ศัตรกู นั ไมม กี ็ดี แมเมือ่ ผอู ่ืนทาํ อนตั ถะให ความรุส ึกวา เปนศตั รูก็ไม เกดิ ข้ึน เพราะความที่เธอเปนคนจําพวกมหาบุรษุ กด็ ี โยคาวจรภิกษุ ผูนนั้ ไมตอ งทาํ ความขวนขวายวา 'เมตตาจิตของเรา ในคนทก่ี ลาง ๆ กนั เกิดเปน จิตควรแกก ารแลว บัดน้ีเราจะนาํ เมตตาจิตน้ันเขาไปใน คนเปนศตั รูกัน (ตอไป)' ดังนีเ้ ลย สว นคําท่วี าใหเจริญเมตตาใน บุคคลผเู ปนศัตรูกัน ตอจากคนกลาง ๆ กนั น้ัน ขา พเจากลา วหมายเอา ผทู ่ีมี (คนเปนศตั รกู นั ) ดอก [การสอนตนเมอื่ เกิดปฏิฆะ] [นัยที่ ๑-ระลึกถงึ โทษของความโกรธ] แตถ าเมื่อเธอนําจิตเขาไปในคนเปนศัตรูกนั ปฏฆิ ะเกิดขนึ้ เพราะ ระลกึ ถึงความผิดที่เขาทําใหไ ซร เมอื่ เชน นนั้ เธอพึงเขาเมตตา (ฌาน) ในบุคคลลําดบั หนา ๆ (มีคนท่รี กั เปนตน) ในบคุ คลไร ๆ กไ็ ดบอ ย ๆ ออกแลว ทาํ เมตตาถึงบคุ คลนนั้ ราํ่ ไป บรรเทาปฏฆิ ะใหได ถา แมเมอ่ื เธอพยายามไปอยา งน้ัน มันกไ็ มดบั ไซร ทนี ี้ * หมายความวา ไมตองเปนแดนเปน ตัวเอง คนทรี่ ัก คนกลาง ๆ คนเปน ศตั รูกัน เจรญิ เมตตา ตอ ทกุ ๆ คน โดยลาํ ดบั กัน

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 158 เธอพึงพยายามเพ่ือละปฏฆิ ะ โดยระลึกถงึ พระพทุ ธโอวาท ทง้ั หลาย มีกกจูปมโอวาท (พระโอวาททม่ี ีความอปุ มาดวย เลอื่ ย) เปนตน บอ ย ๆ เถิด๑ กแ็ ลโยคาวจรภกิ ษนุ ั้นเมอ่ื จะสอนตน พึงสอนดว ยอาการ (ตอไป) นแ้ี ลวา ๒ \"อะไรนีเ่ จาบุรุษข้ีโกรธ พระผมู ีพระภาคเจาตรสั ไวมิใชห รือวา (๑) \"ดกู รภกิ ษทุ ้งั หลาย แมห ากพวกโจรปา๓ จะพงึ (จับ ตวั ) ตดั องคอวัยวะดวยเล่ือยทม่ี ดี า ม ๒ ขา ง แมน ผูใ ดยงั ใจใหคอด ๑. ความตอนน้ี ฉบบั ยุโรปเรียงไวเ ปน รูปคาถาวา กกจปู มโอวาท- อาทีน อนุสฺสรโต ปฏฆิ สฺส ปหานาย ฆฎิตพฺพ ปนุ ปปฺ นุ  ขาทที เี ดียว สวนฉบบั ของเราเรยี งเปนความเรียง และ ปุนปปฺ นุ  พลัดไปอยตู นประโยคหลัง อยางไรอยู ในที่นีแ้ ปลตามฉบับยโุ รป ๒. ประโยนม้ี ปี ญ หา มหาฎกี ากแ็ กแตศพั ท และแกไ วน ิดหนอ ย ไมพ อจะเก็บประสมเปนความ ขน้ึ ได ศพั ท ต นั้นแหละขดั นกั มหาฎกี าเหน็ เปนสําคญั แนะไวใ หโยค ฆฏน วายมน แตก แ็ นะ คางไวแ คนน้ั ไมบอกสัมพันธใหตลอด แตใ นท่ีนเี้ หน็ วา ต น้ีเปน ศัพทเกินเขา มา จงึ ตดั เสยี ก็ แปลไดความดี โอวทนฺตเนว เปน วเิ สสนะของโยคาวจเรน ไมม ีปญหา รปู เปนอนภิหิตกตั ตาแน แตไ มม ี กิรยิ าหมายประโยคเรยี งไวท ไ่ี หนเลย จึงตอ งเดมิ โอวทติ พฺพ ใหเปน ประโยคและแปลไดความ เชน นนั้ ๓. โจรา โอจรกา ศพั ท โอจรกา แหง นีท้ า นแกไ ปทางความประพฤติ คือในอรรถกถากกจูปมสตู ร แกวา นีจกมฺมการกา ผูท าํ กรรมอันตํา่ ชา ในมหาฎกี าแหงวสิ ทุ ธิมรรคนแี้ กว า ลามกาจารา ผูมีความ ประพฤติเลวทราม แตใ นท่ีอนื่ ศพั ทน หี้ มายถงึ พวกคนสอดแนม คอื ลอบเขา ไปสืบความลับ เชน ในโกสลสังยุต กลาวถึงพวกราชบุรุษทพ่ี ระเจา ปเสนทโิ กศลโปรดใหป ลอมเปนนกั บวชลัทธิตา ง ๆ ไปสบื ราชการลับในตา งแดน กเ็ รียกวา โอจรา มอี รรถกถาอธบิ ายวา แมพวกนจ้ี ะไปเดินสบื อยู บนภูเขา ก็คงเรียกวา โจรกา ผเุ ท่ยี วไปต่าํ อยนู น่ั เอง เพราะไปดว ยอาการลอบ เปน ความลับ

(ราวกับไปใตด นิ ) ในท่ีนไ้ี มเ ห็นดว ยกบั นยั แรก เพราะแปลอยา งน้นั ไมทาํ ใหความวเิ ศษอะไรข้นึ เลย ข้นึ ชื่อวา

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 159 รายในพวกโจรนั้น เพราะเหตุทใ่ี จรา ยนน้ั ผูนั้นหาไดช ื่อวา สาสนกร (ผูทําตามคําสอน) ของเราไม๑\" และวา (๒) ผใู ดโกรธตอบผูท โี่ กรธเอา (กอ น) เพราะเหตุทโี่ กรธตอบนั้น ผนู ้นั กลับเลวกวาผู ท่โี กรธ (กอน) นนั้ เสยี อกี ผูไมโ กรธตอบ ผูโกรธเอา ช่อื วาชนะสงครามท่ีชนะยาก ผใู ด รวู า ผูอ น่ื ขุนเคอื งข้นึ มาแลวมสี ติระงับใจเสียได (ไมเคืองตอบ) ผูน ัน้ ชือ่ วา ประพฤตเิ ปนประ- โยชนด ว ยกนั ทง้ั ๒ ฝาย คอื ทั้งฝา ยตนและ ฝา ยทา น\"๒ และวา (๓) \"ดกู รภกิ ษุทงั้ หลาย ธรรมทศ่ี ตั รปู รารถนา (ใหม แี กผ ู เปนศัตรูกัน) ท่ศี ัตรูพงึ ทํา (ใหแกผ ูเปน ศตั รูกัน) ๗ ประการน้ยี อม มาถงึ คนมกโกรธ จะเปน สตรีหรอื บุรษุ กต็ าม ธรรม ๗ ประการคอื อะไรบา ง ดกู รภกิ ษุท้งั หลาย ศตั รใู นโลกนี้ ยอ มปรารถนาอยา งนี้ ตอ ผุเปนศตั รกู นั วา เออนะ ขอ (ให) มนั เปนคนมผี ิดพรรณทราม เถิด\" ดังน้ี ขอนน้ั เปน เพราะเหตอุ ะไร ภิกษทุ งั้ หลาย (เพราะ) โจรแลว กย็ อมมีความปะรพฤติเลยทรามทํากรรมอันตาํ่ ชาทง้ั นัน้ ไมจ าํ ตองบอกไว ดวยเหตนุ ้ี จึง เหน็ ดว ยกับนยั หลัง คอื การท่ที า นเรียงศัพท โอจรกา กาํ กบั ไวด วย กเ็ พ่ือแสดงวา โจรนี้ไมใ ชโจร สามญั ตามหมบู า น แตเ ปน พวกโจรทีต่ ้ังชอ งเปนทมี่ ง่ั สมุ ซมุ ซอ นอยูในปา คอยดกั จบั คนเดนิ ทาง หรือลอบเขาปลน เมอื ง เมอื่ ฝา ยปกครองออ นแอหรอื ประมาท เพราะเชนนน้ั จงึ สามารถจับ คนทรมาน ถึงขนาดใชเล่อื ยตัดลําตวั ตามสบายได ในทน่ี ี้จึงแปลเอาความวา 'โจรปา' ๑. ม. มู. ๑๒/๓๕๑ ๒. ส. ส. ๑๕/๓๒๕

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 160 ศัตรยู อมไมย ินดดี ว ยความมผี วิ พรรณ (งาม) แหง ผูเปน ศัตรกู นั ภกิ ษทุ ้งั หลาย บรุ ุษบคุ คลผูมกั โกรธน้ี ถูกความโกรธครอบงาํ แลว โกรธเต็มประดาแลว ถงึ เขาจะเปน ผอู าบนํา้ แลว อยา งดี ลูบไลก าย อยางดี ตัดแตงผมและหนวด นุงหมผาขาวสะอาด ก็ตามเถดิ ถึง กระนน้ั เขาผูถ ูกความโกรธครอบงํา กเ็ ปน คนมผี วิ พรรณทรามอยู นั่นเอง น้ี ภกิ ษุทัง้ หลาย ธรรมทศ่ี ัตรูปรารถนา (ใหม ีแกผ เู ปน ศตั รกู นั ) ทศ่ี ัตรพู ึงทาํ (ใหแกผ เู ปนศัตรูกัน) ประการตน ยอมมาถงึ คนมกั โกรธ จะเปนสตรีหรอื บรุ ุษก็ตาม อกี ขอหนึง่ ภิกษุท้งั หลาย ศตั รูยอมปรารถนานี้ตอ ผเู ปนศัตรูกนั วา \"เออ นะ ขอ (ให) มันนอนเปนทุกขเถิด\" ฯลฯ \"ขอ (ให) มันเปน คนอตั คดั เถิก* ฯลฯ \"ขอ (ให) มนั เปนคนไมมโี ภคะเถดิ \" ฯลฯ \"ขอ (ให) มนั เปน คนไมมี (เกียรติ) ยศเถดิ \" ฯลฯ \"ขอ (ให) มนั เปน คนไมม ีมติ รเถดิ \" ฯลฯ เพราะกายแตกตายไป ขอ (ให) มันอยาไดเขาถึงสคุ ติโลกสวรรคเ ลย\" ดงั น้ี ขอนัน้ เปน เพราะเหตุอะไร ภิกษทุ งั้ หลาย (เพราะ) ศตั รูยอมไมยนิ ดีดวย ความไปสคุ ตแิ หงผูเ ปน ศัตรกู ัน ภกิ ษทุ ั้งหลาย บรุ ุษบุคคลผมู กั โกรธน้ี ถูกความโกรธครอบงาํ แลว โกรธเต็มประดาแลว ยอม ประพฤตชิ ว่ั ดว ยกาย ประพฤตชิ ่ัวดว ยวาจา ประพฤติชวั่ ดวยใจ เขาผูถูกความโกรธครอบงํา ครั้นประพฤตชิ ัว่ ดวยกายวาจาใจแลว * น ปจรุ ตโฺ ถ อสสฺ แปลโดยพยัญชนะวา 'ขอมัน ไมพึงเปน ผมู ีผลประโยชนม ากเถดิ \"

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 161 เพราะกายแตกตายไป ยอมเขา ถึงอบายทคุ ตวิ นิ ิบาตนรก\"๑ และวา (๔) \"ดกู รภกิ ษทุ ัง้ หลาย ดนุ ฟนเผาศพ ไฟไหมท ้งั ๒ ขา ง ตรงกลางกเ็ ปอ นคถู ใชป ระโยชนเ ปนเครอื่ งไมในบา นกไ็ มไ ด เปน ฟนในปาก็ไมไ ด ฉันใดกด็ ี เรากลา วบุรุษบคุ คลผูน้วี า มอี ปุ มา ฉนั นั้น\"๒ ดงั นี้ บัดน้ี ตวั เจานนั้ มัวโกรธอยอู ยางน้ี กจ็ ะไมช อ่ื วาเปนสาสนกร (ผู ทําตามคําสอน) ของพระผูมีพระภาคเจา ดวย มัวโกรธตอบ (เขา) กลบั เปนคนเลวกวาคนที่โกรธ (กอน) แลว ก็จักไมช ื่อวา ชนะสงคราม ทีช่ นะยากดว ย จกั ไดช ื่อวาทาํ สปต ตกรณธรรม (สิ่งทศ่ี ัตรูทาํ ใหแกผู ทเ่ี ปน ศัตรูกัน) แกตนดว ยตนเองดว ย จักเปน คนเหมอื นดุน ฟนเผาศพ ดว ยละซ\"ิ [สอนตนนัยที่ ๒ - ระลกึ ถงึ ความดขี องเขา] เม่อื เธอเพยี รพยายาม (สอนตน) อยูอยา งนี้ ถาปฏิฆะนน้ั ระงับ ลงไดไซร ระงบั ไดด ังนี้นน่ั เปน การดี หากไมระงับ ทนี ีธ้ รรมใด ๆ ของบุคคลนัน้ เปน สว นทเ่ี รียบรอ ยหมดจด ระลกึ ถึงเขา จะนํามาซง่ึ ความเลอ่ื มใสได ก็พึงระลึกถึงธรรมนนั้ ๆ (ของเขา) ขจัดความ อาฆาตเสียใหไ ดเถิด จริงอยู สําหรบั บุคคลลางคน กายสมาจารอยางเดยี วเปน สวนที่ ๑. องฺ. สตตฺ ก. ๒๓/๙๘ ๒. อง.ฺ จตุกกฺ . ๒๑/๑๒๔

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 162 เรียบรอย และความทีก่ ายสมาจารของเขาเรียบรอ ย (นน้ั ) เมื่อเขา ทาํ วัตรปฏบิ ัติเปน อันมาก (ใหเห็น) อยู ชนท้งั ปวงก็รูไ ด สวนวจี- สมาจารและมโนสมาจารไมเ รียบรอย พระโยคาวจรกอ็ ยา คดิ ถึงวจี- สมาจารและมโนสมาจารท่ีไมเ รยี บรอยของเขาน้นั ระลกึ ถงึ แตความ เรียบรอยแหงกายสมาจาร (ของเขา) อยา งเดียว สําหรบั ลางคน วจีสมาจารอยางเดียวเปน สว นทเี่ รียบรอย และ ความเรยี บรอยแหงวจสี มาจารของบุคคลนั้น ชนทั้งปวงรูไ ด เพราะ ตามปรกติเขาเปนคนฉลาดในการปฏสิ ันถาร ออ นหวาน พูดดวยงาย (พดู ) ใหค นอนื่ บันเทงิ ใจ มหี นา ช่ืนบาน ทกั กอ น สวดธรรมดว ยเสียง อันไพเราะ กลาวธรรมกถาดวยบทพยญั ชนะอันกลมกลอม สว นกาย- สมาจารและมโนสมาจารไมเรยี บรอ ย พระโยคาวจรกอ็ ยา งคิดถงึ กาย- สมาจารและมโนสมาจารนั้น ระลึกถึงแตค วามเรียบรอ ย แหง วจี- สมาจารของเขาอยา งเดียว สาํ หรบั ลางคน มโนสมาจารอยางเดียวเรยี บรอ ย และความ เรียบรอยแหงมโนสมาจาร (ของเขา) น้ัน ปรากฏแกชนทงั้ ปวงใน การ (ทําวัตร) ตาง ๆ มีการไหวพ ระเจดยี เ ปนตน จรงิ อยู ผูใดเปน คนมใี จไมเ รียบรอ ย ผูนนั้ จะไหวพระเจดียก ต็ าม ตน โพธกิ ต็ าม พระ เถระท้งั หลายก็ตาม ยอ มไหวโดยไมเ คารพ นงั่ ใจลอยบาง โงกบาง อยูในมณฑปท่ฟี ง ธรรม สว นผูท ม่ี ีใจเรยี บรอ ย ยอ มปลงใจลงไหว โดยเคารพ (เมอื่ ฟงธรรมก)็ เงี่ยโสต ทาํ (ธรรม) ใหเปน ของมี

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 163 ความสําคัญ๑ ทาํ ความเลอ่ื มใสแหง จิตใหแจงออกมาทางกายบาง ทาง วาจาบาง ฟง ธรรม สาํ หรบั ลางคน มโนสมาจารอยา งเดียวเปนสวน ท่ีเรียบรอ ยดังน้ี (แต) กายสมาจารและวจีสมาจารไมเ รียบรอ ย พระ โยคาวจรก็อยา คดิ ถงึ กายสมาจารและวจีสมาจารของเขานน้ั ระลึกถึง ความเรยี บรอยแหง มโนสมาจาร (ของเขา) แตอ ยา งเดียวเถดิ สวนสาํ หรบั ลางคน ในธรรม ๓ ประการนี้ ธรรมแมป ระการ เดียวก็ไมเรยี บรอ ย พระโยคาวจรพึงเจาไปต้ังความกรณุ าในบคุ คลน้ัน ดวยคดิ (สงสาร) วา \"เวลานเ้ี ขาเทย่ี วอยูในโลกมนุษยแ ท ๆ แตว า ลวงไปไมก ว่ี ัน เขากจ็ ะตอง (ไป) เพม่ิ ใหม หานรกทัง้ ๘ และอสุ สท- นรก ๑๖ เตม็ ขึ้นละ๒\" ดวยวา ความอาฆาตยอมระงบั ลงเพราะอาศยั ความกรณุ าก็ได สาํ หรบั ลางคน ธรรมท้ัง ๓ นเ้ี รยี บรอย (หมด) พระโยคาวจร ๑. อฏ ีกตฺวา (เปนอฏ .ิ ..กม็ ี) มหาฏกี าแกเ ปน ๒ นัย คอื นยั หน่ึงวา อตฺถ กตฺวา (ทําใหเ ปน ประโยชน) อกี นยั หน่ึงวา อตฺถิโก หุตฺวา (เปนผใู ครประโยชน ?) ที่แปลวา 'ทําใหเปน ประโยชน' นัน้ ไดกับพยญั ชนะ แตดทู ีจะเปน คํามีสาํ นวน จะถอื เอา ความตรง ๆ ไมไ ด เพราะ 'ธรรม' เปน ของมปี ระโยชนอยแู ลว จะไปทําใหเปน ของมีประโยชน อะไรขึ้นอีก จงึ เหน็ ความในภาษาไทยวา 'ประโยชน' น้ี ไดแ ก 'มีความสําคัญ' 'ความสาํ คัญ' น้นั ตอ ง 'ทํา' คอื ตอง 'ให' จึงจะ 'สําคัญ' ข้นึ ถา 'ไมให' ถึงจะมีประโยชนส ักเพยี งไร ก็กลายเปน ของ 'ไมส ําคัญ' โดยนยั นี้ อฏ กึ ตฺวา หมายความวา 'ใหความสําคัญในธรรมที่ฟงน้นั ' อันแสดงออกโดยอาการตาง ๆ เชน น่ังในทา เคารพ ประณมมือสาํ รวม ไมนง่ั ใจลอย หรอื ปลอยให โงก ไมพ ูดคยุ ... ๒. มหาฎกี าวา มหานรก ๘ มีสญั ชีวนรกเปนตน สว นนรกสาขาของอเวจมี หานรก มกี ุกกฬุ นรก เปน ตน ซึง่ ตงั้ อยูขางประตทุ งั้ ๔ ของอเวจี ประตูละ ๔ ขมุ รวมเปน ๑๖ ขมุ เรยี กวา อุสสทนรก (นรกเพิ่ม ?)

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 164 ตอ งการธรรมสว นใด ๆ ของเขา กพ็ ึงระลึกเอาธรรมสว นนั้น ๆ เถิด อน่ึง เพอ่ื จะยังความขอ นี้วา \"การเจรญิ เมตตา (นัน้ ) มใิ ชเปนการที่บุคคลทง้ั หลายเชน นนั้ จะทําไดยาก\" ดังน้ี ใหกระจาง อาฆาตปฏิวินัยสตู ร ในปญ จกนบิ าต (ดงั ) น้ีวา \"ดูกรอาวโุ ส อาฆาตปฏิวนิ ยั ๕ นี้ ซง่ึ เปนที่ ๆ ความอาฆาตอันเกดิ ข้นึ แกภิกษุแลว พงึ ถกู ขจดั เสียได โดยประการทั้งปวง๑\" ดังน้เี ปนตน บณั ฑติ พึง (นํามากลา ว) ใหพ ิสดารเถดิ [สอนตนนยั ท่ี ๓ - โกรธคอื ทาํ ทกุ ขใหตนเอง] แตถาเมอื่ พระโยคาวจรนั้นพยายามอยูถึงอยางน้นั ความอาฆาต ก็ยังเกดิ ขึน้ อยูน่ันไซร ทนี ี้เธอพึงโอวาทตนดงั นวี้ า \"(๑) ถาศตั รูทาํ ทุกขใหแ กเ จาใจส่งิ อันเปนวสิ ัย (คอื กาย) ของตนไซร ไฉนเจา จงึ ปรารถนาจะทํา ทุกขไวในใจของตัว ซึง่ มใิ ชว สิ ัย (คอื ไมใ ชก าย) ของเขาเลา ๒ (๒) ตัวเจา (เม่ือออกบวช) ยงั ละ (มารดาบดิ า) ผมู ีอุปการคณุ มาก (และ) หมญู าตผิ ูรองใหน ้าํ ตา ๑. องฺ. ปฺจก. ๒๒/๒๐๗ ๒. ทอนหลงั นี้อธิบายวา \"โกรธแลว คดิ อาฆาตจะทําทกุ ขใ หเขา ทานน้ั ทานี้ใหกลมุ ไป แตเ ขาไมร ู และไมทุกขสกั หนอย ที่แทก ็ทาํ ทุกขไ วใ นใจตวั คอื วาทาํ ทุกขใ หต วั น่นั เอง\" เชน นีก้ ระมัง วิสัย นน้ั มหาฎกี าแกวา กาย

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 165 นองหนา (ออกมาได) แลว ทําไมจงึ ละความโกรธ อนั เปน ศตั รทู าํ ความฉิบหายใหญใหเ สยี ไมไดเ ลา (๓) เจาไปพะนอความโกรธ อนั เปนตวั ตัดมูลราก ของศลี ทง้ั หลายท่ีเจา รกั ษาเสยี ขอถามหนอย ใคร โงเหมือนเจาบางเลา (๔) เจา โกรธวา คนอ่ืนทํากรรมปาเถื่อนให อยาง ไรหนอ เจา จึงปรารถนาจะทาํ กรรมเชนเดียวกัน น้ันเสยี เองเลา (๕) ถาคนอ่ืน อยากใหเ จา โกรธ จงึ ทาํ ความไม พอใจให ไฉนเจาจงึ จะชว ยทาํ มโนรถของเขาให สาํ เร็จ โดย (ปลอย) ใหความโกรธเกิดขนึ้ เลา นน่ั (๖) อนงึ่ นา ตาํ หนิ เจา โกรธแลวจักไดทําทุกข ใหแกเขาหรือหาไมก ต็ าม แตเดี๋ยวนี้เจาก็ไดเบียด เบยี นตนเอง ดว ยโกธทกุ ข (ความทกุ ขใจพระ โกรธ) อยแู ท ๆ (๗) อนึ่ง ถา (เหน็ วา ) พวกศตั รขู ึน้ (คอื เดนิ ไป) สูท างอาํ มหิต* คอื ความโกรธแลว ไซร เหตไุ ฉน * คํานี้เขา ใจวามาจากศพั ท อหิต น่เี อง ความหมายกไ็ ปกนั ได คือดุรา ย เดิมกจ็ ะเพยี งแผลง อะเปน อาํ เปน อาํ หิต เชน เดียวกับอนรรฆ เปน อํานรรฆ อนนต เปน อํานนต อมาตย เปน อํามาตย นานมาจงึ แถม ม เขา ไปใหเ ขา แถวกับ อํามฤต อํามรินทร ตามคลองปาก และไดสมั ผสั ในบทกลอน

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 166 เจา จงึ โกรธเลยี นแบบเขาดว ยเลา ๘) ศัตรูอาศยั ความโกรธอันใดของเจา (เปน ชนวน) จึงทาํ ส่งิ ไมพ ึงใจให (เจา ) ได เจา จง ตตั ความโกรธอันนน้ั เสียใหไ ดเถิด เจาจะมาเดอื ด รอนในฐานะอันไมค วร (จะเดอื ดรอน) ทําไมกัน (๙) อนงึ่ ศัตรทู าํ สิ่งไมพอใจแกเ จา ดว ยขันธ เหลา ใด ขันธเหลานน้ั กด็ ับไปแลว เพราะธรรม ทง้ั หลายเปน ไปชวั่ ขณะ แลวทนี เี้ จามาโกรธให ใครกนั ในที่น๑ี้ (๑๐) ศตั รูใดจะทําทุกขใ หแ กบุคคลใด เวน (คอื ไมม ตี วั ) บุคคลน้นั เสยี ศัตรูน้นั จะทําทกุ ขใหใ คร ได ตัวเจา เปน เหตขุ องทุกขอ ยูเ องฉะน้ี ทําไมเจา จงึ (ไป) โกรธเขาเลา๒\" [สอนตนนัยท่ี ๔ - พิจารณากัมมสั สกตา] แตถ า เม่ือเธอแมสอนตนอยอู ยางนี้ ปฏิฆะก็ยังไมระงับอยูนั่นไซร ๑. นี่วา โดยปรมตั ถ ขันธท ่เี ปน เครือ่ งมือทาํ ทกุ ขใ ห ดบั ไปหมดแลว ในขณะนนั้ ๆ ท่ีต้ังอยใู นเวลา โกรธอยูนี้เปนขันธอ่ืน ทสี่ ืบตอ มาโดยสนั ตติ นับเปน ขนั ธท ไ่ี มไ ดท าํ ผดิ เมือ่ โกรธ ก็กลายเปน โกรธ ผไู มผดิ นะซิ จะชอบหรอื ? ๒. นก่ี ป็ รมตั ถ ถาตวั ผูรบั ทกุ ขไมมอี ยู ศัตรมู ันจะทาํ ทุกขใหแ กใครเลา เพราะตวั เรามีอยูเปนเหตุ ของทุกข เขาจงึ ทําทุกขใหไ ด เมือ่ ตัวเปน เหตุของทกุ ขอยูเองแลว จะไปโกรธคนอื่นจะถูกหรอื ถา จะโกรธก็ควรจะโกรธตวั เองซิ

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 167 ทีนี้ เธอพึงพิจารณาใหเหน็ ความทตี่ นและคนอืน่ มกี รรมเปน ของ ๆ ตนตอไป ใน ๒ ฝายน้ัน พงึ พจิ ารณาฝายตนกอนดงั น้ี \"น่แี นะ พอเอย เจาโกรธเขาแลว เจา จกั ทําอะไร กรรมอนั มโี ทสะเปน เหตุ นน่ั มนั จักเปนไปเพอ่ื ความเสือ่ มเสียแกต วั เจาเองมิใชห รอื เพราะวา เจาเปนผมู กี รรมเปน ของ ๆ ตน เปน ผูรบั มรดกของกรรม เปน ผมู ี กรรมเปน กําเนดิ มกี รรมเปน เผาพนั ธุ มกี รรมเปน ทีอ่ าศยั ไป เจา จัก ทํากรรมใดไว เจา จะตองเปน ผูร บั ผลของกรรมนนั้ อนง่ึ กรรมอันน้ี จะไดสามารถยงั พระสมั มาสมั โพธิ (ญาณ) ใหสาํ เร็จแกเ จากห็ ามิได ยงั พระปจเจกโพธิ (ญาณ) ใหสําเรจ็ แกเ จาก็หามไิ ด ยงั สาวกภูมิ (ญาณ) ใหส าํ เร็จแกเ จาก็หามไิ ด ยงั สมบัติทั้งหลายมคี วามเปนพระ พรหม เปน พระอนิ ทร เปนพระเจาจักรพรรดิ และเปนพระราชา เฉพาะในประเทศหนึ่งเปนตน สมบตั ิอยางใดอยา งหนึง่ ใหสําเร็จแก เจา ก็หามไิ ดเลย ที่แทก รรมนีม้ แี ตจะยังเจาใหเคล่ือนจากพระศาสนาแลว ยังภาวะแหงคนเขญ็ ใจมีความเปนวิฆาสาท (คนกินเดน) เปนอาทิ และยงั ทกุ ขช้นั วิเศษท้ังหลาย มที ุกขในนรกเปนตน ใหเปน ไปแกเจา ตัวเจาน้ันเมื่อทาํ กรรมอนั นี้ (ลงไป) กเ็ ทา กบั เผาตวั เองกอน และทาํ ตวั เองใหเหมน็ กอน ดงั บุรุษผูจบั ถานอัน (ไฟตดิ ทวั่ แลว จน) ปราศ- จากเปลวกด็ ี คถู ก็ดี ดวยมอื ทัง้ ๒ (มา) หวงั จะประหารคนอ่ืน ก็ เทา กับเผา (มอื ) ตัวเองกอน หรอื ทาํ (มือ) ตัวใหเ หม็นกอนฉะนน้ั \" คร้นั เธอพิจารณากมั มสั สกตาฝายตนอยางน้ีแลว จงึ พิจารณา ฝา ยผอู ืน่ บางดงั นวี้ า \"แมเ ขาโกรธเจาแลวจกั ทาํ อะไร กรรมอนั มี

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 168 โทสะเปนเหตนุ ้ัน จกั เปน ไปเพื่อความเสอื่ มเสยี แกเ ขาเองมิใชหรอื เพราะวาทา นผูน้กี เ็ ปนผูมีกรรมเปน ของ ๆ ตน เปน ผรู บั มรดกของ กรรม ฯลฯ เขาจักทํากรรมอันใดไว เขาก็จะตองเปนผูรบั ผลของ กรรมน้ัน และกรรมอนั นจ้ี ะไดสามารถยังพระสมั มาสัมโพธิ (ญาณ) ใหส ําเรจ็ แกเ ขาก็หามไิ ด ยงั พระปจ เจกโพธิ (ญาณ) ใหส าํ เรจ็ แกเขา ก็หามิได ยงั สาวกภมิ (ญาณ) ใหสาํ เรจ็ แกเขากห็ ามไิ ด ยงั สมบตั ิ ทัง้ หลายมคี วามเปน พระพรหม เปนพระอินทร เปนพระเจาจักรพรรดิ และเปน พระราชาเฉพาะในประเทสหน่งึ เปนตน อยางใดอยางหนึ่ง ใหสําเร็จแกเ ขากห็ ามไิ ดเลย ท่แี ทก รรมนี้มแี ตจ ะยังเขาใหเ คล่ือนจาก พระศาสนาแลว ยงั ภาวะแหงคนเข็ญใจ มคี วามเปนวฆิ าสาทเปนอาทิ และยงั ทกุ ขชน้ั วเิ ศษท้ังหลายมที ุกขใ นนรกเปน ตน ใหเ ปน ไปแกเขา ตวั เขานัน้ เมื่อทาํ กรรมน้ี (ลงไป) ก็เทา กบั โปรย (โทษ) ใสต นเอง ดังบุรุษผยู นื ทวนลมอยู หวงั จะโปรยฝนุ ใสคนอื่น (ทวนลม) กเ็ ทากบั โปรยใสต นน่นั เองฉะน้ัน*\" จรงิ อยู ขอน้ีพระผมู ีพระเจากไ็ ดตรสั ไววา \"คนพาลผูใดทํารายตอคนผมู ิไดประทุษราย ซ่งึ เปนคนบรสิ ทุ ธ์ิ มไิ ดมคี วามคิดชัว่ ผลรายก็ยอม กลบั ไปถึงคนพาลผูน้นั เอง ดงั ฝนุ ละเอยี ดที่คนชัด ไปทวนลม ก็ยอ มกลับมาถงึ ผูซัดนนั่ เองฉะนั้น\" * ความพจิ ารณากมั มสั สกตาทอนน้ี นาจะไปสุดทีพ่ ระคาถาทัฬหกี รณ ความจะไดร บั กนั สนทิ แต ในฉบบั วสิ ทุ ธมิ รรค ลงอติ ิท่ีโอกีรติ แสดงวาสุดทีน่ นั่ อยางไรอยู

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 169 [สอนตนนัยท่ี ๕ - พิจารณาถึงบุพจริยาของพระศาสดา] แตถ า เมื่อพระโยคาวจรนัน้ แมพจิ ารณากัมมัสสกตาอยูอยา งน้ี ปฏฆิ ะก็ยังไมระงับอยูอีกไซร ทีน้ีเธอพงึ พิจารณาถงึ พระคุณสว นบพุ - จริยาของพระศาสดา๑ (ตอ ไป) (ตอ ไป) นีเ้ ปน นยั แหง การ พจิ ารณาในบพุ จรยิ คุณของพระศาสดาน้นั (คอื สอนตน) วา \"น่ี แนะพอ นักบวช พระศาสดาของเจาในกาลกอนแกส ัมโพธิสมยั แม เปนพระโพธสิ ัตวย งั มิไดตรสั รู ทรงบําเพญ็ พระบารมีอยูตลอด ๔ อสงไขย กบั แสนกปั กม็ ิไดทรงยงั พระจิตให (คิด) ประทษุ รายในบุคคลทัง้ หลาย ผเู ปน ศัตรู แม (ถึงกับ) เปนผปู ลงพระชนมเ อาในชาตนิ น้ั ๆ มิใช หรอื ขอนี้มเี รอื่ งอยางไรบาง ? [สีลวชาดก] พึงทราบเรอื่ งในสลี วชาดกกอน พระเจาสีสวะโพธสิ ัตว เม่อื พระราชาผเู ปนปฏปิ กษ ท่อี าํ มาตยช่วั ผปู ระทุษรายในพระเทวขี อง พระองค นาํ มายดึ เอาราชอาณาเขต๒ อนั มเี น้อื ทถ่ี ึง ๓๐๐ โยชน ก็ มิไดโ ปรดใหห มูอํามาตยผ ูลุกขนึ้ จะปองกัน แตะตอ ง (อะไร) แมแ ต อาวธุ ซํ้าเม่ือถูกปฏิปก ษข ุดดนิ (ลึก) แคคอ (จบั พระองค) ฝงไว ในปาชาดิบ กบั พวกอาํ มาตย ๑,๐๐๐ คนเลา ก็มไิ ดท รงทาํ พระวกิ าร ๑. มหาฎีกาชว ยไขความวา พจิ ารณาพระคณุ สวนบพุ จริยาไป ปฏฆิ ะอาจระงับไดด ว ยความเคารพ ตอ พระศาสดา ๒. รชชฺ  ถาจะแปลวา 'ราชสมบัติ' ดงั ท่แี ปลดนั อยโู ดยมาก ความไปขัดกบั คําแสดงเนื้อที่ จงึ เยอ้ื งแปลวา ราชอาณาเขต จะแปลวา รัชสีมา ก็ได

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 170 แมแ ตเพยี งยังพระจติ ให (คดิ ) ประทษุ รา ย (เขา) (แต) อาศยั การคุย ดนิ ของฝงู สุนัขจิ้งจองซ่ึงมาจะ (หา) กนิ ซากศพ (ทาํ ใหด ิน หลวม) จงึ ทรงทําบุรุษการ (คอื ใชก าํ ลงั แรงของลูกผชู าย ชว ยพระ องคเองข้นึ จากหลุม) รอดมาได (ลอบ) เสด็จเขาไปถึงหอ งพระ บรรทมของพระองคไ ดดวยอานุภาพของยักษ (ซ่งึ สวามิภักด์ใิ นพระ องค) ทอดพระเนตรเห็นศตั รนู อนอยบู นพระแทนบรรทม กม็ ไิ ด กริว้ (กลับทรงปลุกขนึ้ ป ทรงทําสบถใหก นั และกนั แลว โปรดสถาปนา พระราชาปฏิปก ษองคน ้นั ไวใ นตําแหนง พระสหาย (ในท่ีสดุ ) ตรสั (อทุ าน) วา คนฉลาดพงึ มุง หวังอยูน ั่น ไมพ งึ เบอ่ื หนายเสีย เรา ไดเห็นตัวเรา (เปนพยานอย)ู วา เราไดเ ปน ตามที่ เรามุง (จริง ๆ) [ขันติวาทชี าดก] เรอื่ งในขันติวาทชี าดก ขนั ตวิ าทดี าบสโพธสิ ตั ว เมือ่ พระราชา (กลาพ)ุ แควนกาสีผโู วเขลา (ตะคอก) ถามวา \"สมณะ แกเปน วาทีอะไร\" ตอบวา \"อาตมาชื่อวา ขันติวาที\" ถกู โบยดว ยหวาย ท้งั หนามแลว ตัดมือและเทา เสยี ก็มไิ ดท าํ แมแตอาการขนุ เคือง ขอ ทขี่ นั ตวิ าทดี าบสเปนผูใ หญถ งึ ไดบวชแลว พึงทาํ ไดอ ยางนั้น นบั วาไมอ ัศจรรย (เทา ไร)

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 171 [จฬู ธัมมปาลชาดก] แตใ นจฬู ธมั มปาลชาดก พระธรรมปาลกุมารโพธิสตั ว แมยงั เปนเด็กออ นนอนแบอยู เม่อื (ทัง้ ๆ ท)่ี พระมารดาทรงพระพิลาป อยวู า โอพ ระทลู กระหมอ ม (แมน) พาหาท้งั ๒ อนั ลูบ ไลด วยจันทนรส (นา้ํ อบแกน จนั ทน) ของพอ ธรรมบาล ผูเปน ทายาท (แหงราชสมบตั ิ) ใน ปฐพีขาดไป ชวี ิตของเกลา กระหมอ มฉันก็จะดบั (ดว ย) ดงั นี้ กถ็ ูกพระราชาทรงนามมหาปตาปนะผูเปน พระบิดา สงั่ ใหตดั มอื และเทา ท้ัง ๔ ขางอัน (เรยี วสลวย) ราวกะหนอไมเ สีย (จะได) แลว เทาน้ันยังไมพอพระหฤทัย ตรัสสงั่ วา \"พวกเจาจงตดั หวั มนั เสีย\" ดงั นี้อีกเลา จึงเตอื นตนวา \"กาลบัดนน้ี ีเ่ ปน กาลที่เจา จะขม จิตของเจา ไวใ หด ี เอาละเจา ธรรมบาล คราวนี้ เจาจงเปน ผูมจี ิตเสมอในบุคคล ทงั้ ๔ คอื ในพระบิดาผทู รงสงั่ ใหตัดศีรษะ ในเจา หนาที่ผูตดั ศรี ษะ ในพระมารดาผกู าํ ลงั ทรงคร่าํ ครวญ และในตวั เองเถิด ดังนี้แลวทรง อธิษฐานทัฬหสมาทาน (ถือการทาํ ใจเสมอใหมนั่ ) มไิ ดท รงกระทาํ แมแตอ าการรา ย (ใหป รากฏ) แมการที่พระธรรมปาลกมุ ารผูเปน มนุษยทําไดอยา งนี้เลา ก็นบั วา ยังไมอศั จรรยแ ท

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 172 [ฉทั ทนั ตชาดก] แต (ในฉทั ทันตชาดก) พระโพธิสตั วผ ูแมเปนดริ จั ฉาน (คอื ) เปน ชางช่อื ฉัททนั ต แมถ ูกพรานยงิ เขาทนี่ าภีดว ยลูกศรกําซาบยาพษิ แลว มไิ ดย งั จติ ให (คดิ ) ประทุษรายในพรานผูทาํ ความพนิ าศให ถึงเพยี งนั้น ดงั พระอรรถกถาจารยกลาวไวว า ชา งมอี าการหนักดว ย (ถกู ) ศรใหญ ก็ไมม ีจติ คดิ ราย กลาว (ถาม) พราน (โดยด)ี วา ดกู รพรานผสู หาย ทานยิงขาพเจา เพอ่ื ประโยชนอะไร หรือวาเพราะเหตุ อะไร หรอื มฉิ ะน้ัน ประโยค (คอื การกระทํา) อนั นี้ (ทา นทาํ ) เพ่ือใคร กแ็ ละคร้นั กลาว (ถาม) อยางนีแ้ ลว เมอื่ พานบอกวา \"พอผเู จรญิ ขา พเจา เปน ผูอันพระมเหสขี องพระเจากาสี ทรงสัง่ มาเพอื่ ตองการงา ทงั้ ๒ ของพอ\" ดงั นี้ ยงั ชวยใหมโนรถของเขาสาํ เร็จ จึง (ให) ตัด งาท้ัง ๒ ของตน อนั แผฉัพพัณณรงั สเี ปน งางามนา รัก* ใหไ ปเสียดวย [มหากปชาดก] (ในมหากปชาดก) พระโพธิสตั วเ ปนกระบี่ใหญ เม่อื ถกู บุรุษผู ที่ตนเอง (ชวย) ฉุดข้ึนจากเหว (รอดชีวิต) แลว ยังคดิ (ราย) วา * มหาฎกี าวา ท่ีไดช ือ่ วา \"ฉทั ทนั ต\" นัน้ กเ็ พราะงามรี ังสี ๖ นนั่ เอง มใิ ชเ พราะมี งา ๖ งา

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 173 \"ลงิ นกี่ เ็ ปน อาหารของพวกมนษุ ย เหมือนสตั วปา อ่ืน ๆ ในปา นั่นเอง อยากระนั้นเลยเรากห็ ิวแลว ฆาลงิ ตวั นกี้ ินเสยี เถิดนะ ๑ เรากนิ อิม่ แลว กจ็ ะตอ ง ถอื เอาเน้ือมนั เปนเสบยี งไปดวย (เม่อื เปนเชน นน้ั ) เราก็จกั ขา มทางกนั ดารไปได เสบยี งกจ็ ักมแี ก เรา (ดว ย)\" ดังนีแ้ ลวยกกอ นหินทุมหวั เอา ก็ยังมองบรุ ษุ น้ัน ดวยดวงตาอันนอง ดว ยน้าํ ตา กลา ว (กะเขาโดยดี) วา \"นายจา นายอยา ทํากะขา ซิ นาติ ! ทา นทาํ กรรม เชนน้ไี ด (ลงคอ) ทานก็ไดช อ่ื วาเปน ผมู ีอายุยืน ควรแตจ ะหามคนอนื่ (มิใหทํารา ยกัน แตน ท่ี าน กลบั ทํารายเสยี เอง)\"๒ ไมยงั จิตใหคิดรา ยในบุรษุ นัน้ ไมค ิดถงึ ความทกุ ขของตนเลย ยังพาบุรุษ นน้ั (ไปสง) ใหถึงท่ี ๆ ปลอดภัยเสียดวย ๑. ขาเทยยฺ นี้ คือ ขาเทยยฺ  ลบนิคคหติ ดวยอาํ นาจฉันท ๒. คาถานี้แปลยา อรรถกถาทานกท็ งิ้ เสีย เปดดใู นอรรถกถามหากปช าดก ตึสตินิบาต ทา น เรียงไวด ังนี้ มายฺโย ม กริ ภทฺทนเฺ ต ตวฺ จฺ นาเมทิส กริ ตฺวจฺ โข นาม ทีฆ่ าวุ อเฺ  วาเตุมรหสิ เหน็ วา พอแปลได จึงแปลตามน้ี

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 174 [ภรู ิทัตตชาดก] (ในภูริทัตตชาดก) พระโพธสิ ัตวเ ปน นาคราช ชื่อภูริทตั อธษิ ฐาน องคอุโบสถแลวนอน (ขด) อยบู นยอดจอมปลวก แมเ ม่อื ถูกพราหมณ อาลัมพานใชย าอัน (รอน) เชนดังไฟประลัยกัลป ราดเอาตลอดตัว (จับ) ใสห ีบ (นําไป) ใหเ ลน (ระบํางู) ไปจนทวั่ ชมพทู วปี ก็มไิ ดทํา วกิ าร แมความคิดรา ยในพราหมณน ั้น ดังทา นเองกลาวา \"แมเ มอ่ื อาลมั พาน (จบั เรา) ใสก ระสอบ และแม อาลมั พานกระทบื (เรา) ดวยซน เทา เราก็มไิ ด โกรธอาลมั พาน๑ เพราะกลวั ศีลของเราขาด\" [จบั เปยยชาดก] แม (ครง้ั ) เปน นาคราช ชอื่ จับเปยยะ ถูกหมองงูเบยี ดเบียนเอา ก็มิไดยังวกิ ารแมแ ตเพียงความคิดรายใหเกิดขึ้น ดงั ทา นกลา ววา \"หมองงูจบั เราผปู ระพฤติธรรม จําศลี อโุ บสถอยู (นาํ ไปให) เลน (ระบํางู) ทีประตวู ัง เมือ่ ครง้ั นนั้ เขาคิด (ใหต ัวเราเปน) สีใด เขียว เหลอื ง หรอื แดง๒ กด็ ี เราเม่ือตามใจเขา ก็เปลงรศั มี (ให เปนสี) ท่ีเขาคิด เรา (มอี านุภาพป จะพงึ ทาํ ท่ี ๑. บางแหง เปน อลัมพายน ซงึ่ นกั เทศนของเราออกเสยี งเปนไทยวา 'อาลาํ พาย' ๒. ปต จฺ นัน้ มหาฎกี าลขิ ติ ไวเ ปน ปต ว และวา ว น้ันคือ วา เปนไปใน อวตฺ ตฺ ตถฺ วกิ ปั สงเคราะหเอาสี่ท่ีมไิ ดกลาวในคาถาเขา ดวย เชน สขี าว สีฝาง เปนตน เหน็ วา ปาฐะในมหาฎีกาเขา ทีกวา จึงแกแ ละแปลตามนนั้

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 175 บกใหเ ปน นาํ้ ก็ได ทําน้ําใหเปน บกกไ็ ด หากเรา โกรธเขาขึน้ มา จะทาํ (รางกาย) เขาให (ไหม) เปนเถาไปโดยทนั ทีกไ็ ด (แต) ถาเราจักเปนผู ตามใจตัว (ทาํ รายเขาดงั กลาวมานัน้ ไซร เรากจ็ กั เสอื มจากศีล เมื่อเราเสอื่ มจากศลี เสียแลว ประโยชนส งู สุด (ท่เี รามงุ คอื พระโพธิญาณ) กจ็ ะไมส ําเรจ็ \" [สงั ขปาลชาดก] แม (ครงั้ ) เปนสงั ขปาลนาคราช ถกู ลกู พราน ๑๖ คน ปกเอา ดวยหอกอนั คม ๘ แหง (๘ แผล) แลว สอดเครอื เถามีหนามเขาทาง ปากแผล สนเชือกอยางเหนียวเขา ที่จมูก (ยก) ใสก ระชลุ ากไป ตัว ครูดพื้นดนิ ไดรบั ทกุ ขม าก แมเ ปน ผูสามารถจะทําลูกพรานทัง้ หมดให (ไหม) เปน เถา ไปได ดว ยเพยี งแตโกรธขนึ้ มาแลวจอ งดูเทานนั้ (แต) ก็มไิ ดท ําแมเ พียงอาการที่จะลมื ตาขน้ึ ทํารายเขา ดงั ทา นกลา ว (กะนายกองเกวียนผชู วยทา นใหพ นจากมือพราน) วา \"ดกู ร (นายกองเกวยี น) อฬุ าระ ขา พเจาจําศลี อุโบสถในวันจาตุทสี และวนั ปญ จทสอี ยเู ปนนิตย อยมู าลกู พราน ๑๖ คน ไดมา (พบเขา) พวกพราน (เหลา น้นั ) ถือเชอื กและบวงอันมัน่ * สนเขา จมูก * ทฬ ไมพ บคาํ แปล เขาใจวา เปน ทฬหฺ  แปลไดค วาม

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 176 (ของขาพเจา) แลวชกั เชอื ก (ที่รอ ยจมูก) รมุ กนั จับขาพเจานําไป ขาพเจาสูอ ดกลั้นความทกุ ขเหน็ ปานนน้ั ไมท ําอโุ บสถศีลใหก าํ เรบิ \" และพระบรมศาสดานน้ั ไดท รงทําคุณนา อัศจรรย มีประการดังกลาวมา นเ้ี ทานั้นกห็ าไม ยังไดท รงทําคุณนาอัศจรรยอ ยางอนื่ ๆ อกี เปนอเนก (ดงั กลาว) ในชาดกทัง้ หลายมมี าตุโปสกชาดกเปน ตน อนั การยงั ปฏฆิ จติ ใหเกดิ ข้ึน เปน การไมชอบไมควรเหลือเกินแกต ัวเจาผูอ างเอา พระผูมพี ระภาคเจา ผซู ง่ึ บดั นี้บรรลพุ ระสพั พญั ุตญาณแลว ทรงมีพระ ขันตคิ ณุ อนั ใคร ๆ ในโลก (นี)้ กบั ท้งั เทวโลกไมมเี สมอเหมือน๑ น้นั วา เปนพระศาสดา (ของตน) ดงั นี้ [สอนตนนยั ที่ ๖ - พจิ ารณาถงึ ความท่เี คยเกย่ี วของกันในสังสารวฏั ] แตถ าเม่ือเธอแมพิจารณาถึงพระคณุ อนั เปนสวนบพุ จรยิ าของ พระศาสดาดังกลา วมาน้ีอยู ปฏิฆะของเธอผุตกเปนทาสของกิเลสทัง้ หลายมาชา นานน้ัน ก็ยงั ไมร ะงับอยูน่ันไซร ทีนเ้ี ธอพึงพิจารณาถึงบท พระสูตรทงั้ หลาย ท่ีมีความเนอื่ งดวยศัพทอ นมตัคคะ (สงสารทีไ่ ม ปรากฏตน ปลาย) กใ็ นสตุ ตบทเหลา น้ัน สุตตบท (ตอ ไป) น้ี พระผู มพี ระภาคเจาตรัสไววา \"ดกุ รภิกษุทั้งหลาย สตั วผูทไ่ี มเคยเปน มารดา ไมเ คยเปน บิดา ไมเ คยเปนพน่ี อ งชาย ไมเคยเปน พ่ีนอ งหญิง ไม เคยเปน บตุ ร ไมเ คยเปนธิดา (ของเรา) มใิ ชห าไดง าย\"๒ ดังนี้ ๑. อปฺปฏิสม ขนฺติคุณ ปาฐะในมหาฎีกาเปนบทสมาสวา อปปฺ ฏสิ มกขฺ นฺติคุณ---- เขา ทกี วา ๒. ส. นิทาน. ๑๗/๒๒๓-๒๒๔

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 177 เพราะเหตนุ ้ัน พระโยคาวจรพึงยังจติ อยางนี้ ใหเกิดขึน้ ในบุคคลนนั้ วา \"นยั วา บุคคลผนู เี้ ปน มารดาในอดตี ของเรา รักษา (เรา) อยูในทอ ง ถุ ว นทศมาส (คลอดแลว) ไม (แสดงอาการ) เกลยี ดส่ิงปฏิกูลท้งั หลาย มีเย่ียว ข้ี นํา้ ลาย และนํ้ามกู เปนตน เช็ดไดราวกะจนั ทนแดง ให (เรา) นอนแนบบอก อุม (เรา) ไปรอบ เลีย้ ง (เรา) มา . . . เปนบิดาเดินทางลําบากตาง ๆ มีอชบถ (ทางแพะเดิน) และสังกบุ ถ (ทางท่ีคนใชไมข อเหนย่ี วตัวขึน้ ไป) เปนตน ประกอบการคา ขาย สละแมแ ตชีวิตเขาสงคราม อันจัดกระบวมแลวทั้ง ๒ ฝา ยบาง แลน เรือไปในมหาสมทุ รบา ง ทํางานทยี่ ากอื่น ๆ บาง เพอื่ ประโยชนแกตวั เรา คิดวาจกั เลยี้ งลกู นอ ย (อตุ สาห) รวบรวมทรัพยด วยอุบายน้ัน ๆ เลีย้ งเรามา . . .แมเปนพนี่ องชาย พนี่ องหญงิ บตุ ร และธดิ าเลา ก็ไดท ําอุปการะสิง่ นี้ ๆ (แกเ รา) เพราะฉะนน้ั อนั การทําใจรา ยใน บคุ คลน้ัน หาควรแกเราไม\" [สอนตนนัยที่ ๗ - พิจารณาอานิสงสเมตตา] แตถา แมอ ยางน้ี เธอกย็ งั ไมอ าจดบั จิต (รา ย) ลงไดไซร ทีนี้ เธอพึงพิจารณาถงึ อานิสงสเมตตา (ตอ ไป) อยางนว้ี า \"นี่แนะพอ บรรพชิต พระผมู พี ระภาคเจาตรสั ไวมิใชหรือวา 'ดูกรภิกษทุ ั้งหลาย เมอื่ เจโตวมิ ุติ คอื เมตตา ภิกษุเสพโดยเออ้ื เฟอ เจริญทําใหมาก ทาํ ให เปน ดุจยาน ทําใหเปนดุจวัตถ*ุ กอตง้ั สั่งสมทาํ ใหสําเรจ็ อยางดีแลว * ทาํ ใหเ ปนดจุ ยาน หมายความวา ทําใหเ ขา ไดว องไว ทาํ ใหเปน ดุจวตั ถุ หมายความ วา ทาํ ใหคลอ ง ดจุ ของใชประจาํ หยบิ ใชเ ม่ือใดกไ็ ดเ มอ่ื น้ัน (?)

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 178 อานิสงส ๑๑ เปนหวังได อานิสงส ๑๑ คอื อะไรบาง อานิสงส ๑๑ คอื ผเู จรญิ เมตตา ยอ ม หลบั เปน สุข ต่นื เปน สขุ ไมฝ นรา ย เปนทรี่ กั ของมนุษยท ้ังหลาย เปน ทร่ี กั ของมนษุ ยท ้งั หลาย เทวดารกั ษา ไฟก็ดี พษิ ก็ดี ศัสตราก็ดี ไมแผว พานเขา จิตตัง้ มน่ั เรว็ สหี นา ผอ งใส ไมห ลงทํากาลกิริยา เมือ่ ยังไมบ รรลุคณุ อนั ยง่ิ กวา ยอมเขา ถึงพรหมโลก\" ดงั นี้ ถาเจาจักไมย ังจิต (ราย) น้ีใหด บั ไซร เจา ก็จักเปน ผเู ริดรา ง จากอนสิ งสเหลานไ้ี ป\" [สอนตนนัยท่ี ๘ - ใชว ธิ แี ยกธาตุ] แตพระโยคาวจรผูไมอาจยังจติ (ราย) ใหดับไป แมโ ดยอบุ าย อยางน้ี พึงทําธาตวุ ินิพโภค (แยกธาตุ) ตอไป ถามวา ทําอยางไร แกวา พึงสอนตนโดยวิธแี ยกอยางนีว้ า 'นี่แนะพอ บรรพชิต กต็ วั เจา เมอื่ โกรธบคุ คลน้ัน โกรธอะไร โกรธผมหรือ หรือวา โกระขน

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 179 โกรธเล็บ ฯลฯ โกรธมตู ร หรอื มิฉะนั้น โกรธธาตดุ ิน โกรธธาตุนํ้า โกรธธาตไุ ฟ โกรธธาตุลม ในโกฏฐาสทั้งหลายมผี มเปนตน หรอื วา ทา นผนู ไ้ี ดช่อื อยา งนี้ เพราะอาศัยขันธ ๕ เหลาใด เพราะอาศัย อายตนะ ๑๒ เหลา ใด เพราะอาศัยธาตุ ๑๘ เหลา ใด ในธรรม ท้ังหลายมขี ันธเปนตน เหลานัน้ เจา โกรธรปู ขันธห รือ* หรอื วาโกรธ เวทนาขันธ...สัญญาขันธ...สังขารขันธ. ..วญิ ญาณขันธ มฉิ ะน้ัน เจา โกรธจกั ขวายตนะหรือ โกรธรปู ายตนะหรือ ฯลฯ โกรธมนายตนะหรอื โกรธธมั มายตนะหรอื มิฉะนัน้ เจา โกรธจกั ขุธาตุหรือ โกรธรปู ธาตุ หรือ โกรธจกั ขุวญิ ญาณธาตุหรอื ฯลฯ โกรธมโนธาตหุ รือ โกรธ ธัมมธาตหุ รอื โกรธมโนวญิ ญาณธาตุหรือ\" ก็เมอื่ เธอทาํ ธาตุวินิพโภค อยอู ยางนี้ ฐานทีต่ งั้ แหงความโกรธกไ็ มมี ดุจฐานทต่ี งั้ แหงเมล็ด พนั ธุผักกาดบนปลายเหล็กแหลมไมม ี และฐานทีต่ ้งั แหงจติ รกรรมใน อากาศก็ไมมี ฉะน้ี [วธิ ีสุดทาย - ทําทานสังวิภาค] แตพระโยคาวจรผูไมอ าจทําธาตุวินพิ โภค กพ็ ึงทาํ ทานสังวภิ าค (การใหและการแบง) เถดิ (คอื ) พึงใหข อง ๆ ตนแกปรปก ษ รบั ของ ๆ ปรปก ษมาเพอ่ื ตน แตถาปรปกษเ ปนภินนาชวี ะ (มอี าชวี ะ แตก คอื ไมบริสุทธิ)์ มบี รขิ ารไมเปนของควรแกก ารบรโิ ภคไซร กพ็ ึง ใหแตข อง ๆ ตน (ไปฝา ยเดียว อยารับของ ๆ เขาเลย) เมื่อเธอทํา * รูปกฺขนฺเธสุ ผดิ ที่ถูกเปน รปู กฺขนธฺ สฺส เพราะบทหลัง ๆ เปน รปู จตุตถวี ิภัติท้งั นน้ั

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 180 ไปอยา งนั้น ความอาฆาตในบุคคลนน้ั จะระงับไปโดยสวนเดียวเปนแท และความโกรธของอกี ฝายหนงึ่ แมจ ะติดตามมาต้ังแตอ ดตี ชาติ กจ็ ะ ระงับไปในทันทีเหมือนกนั ดังความโกรธของพระมหาเถระผูไดบ าตร ท่ีพระปณฑปาตเิ ถระผถู กู ไลเ สาสนะ ในจติ ตลบรรพตวหิ ารถงึ ๓ คร้ัง (นําบาตรเขาไป) กราบเรยี นวา \"ขา แตพระมหาเถระ ผูเจริญ บาตรใบนรี้ าคา ๘ กหาปณะ อุบาสิกาโยมผูห ญงิ ของกระผม ถวาย จงึ เปนภาพอนั ชอบธรรม ขอพระคุณเจา ไดโ ปรดชว ยมหาอุบาสิกา (ของกระผม) ใหไดบญุ ดวยเถดิ \" ดงั นแี้ ลว (นอม) ถวาย ระงับ ไปฉะนน้ั ๑ อนั ชอ่ื วาการใหน ี่ มอี านุภาพมากอยางน้ี สมคาํ (โบราณ) วา การให ปราบคนท่ีใคร ๆ ปราบไมไ ด (ก็ได) การให ยังสงิ่ ประสงคท ั้งปวงใหสําเร็จ (ก็ได) ดว ย การใหก ับการเจรจาไพเราะ (ประกอบกนั ทาํ ให) คนทั้งหลายเงยกม็ ี กม กม็ ี๒ เมอ่ื พระโยคาวจรน้นั มปี ฏฆิ ะในบุคคลผูเปนศตั รรู ะงับไปดว ยการสอน ตนท่ปี ระการตาง ๆ ดังกลาวมาแลว จติ (ของเธอ) ก็ยอมจะเปน ไป โดยทําเมตตาใหม ีขน้ึ แมในบุคคลผูเปน ศตั รนู ้นั ได ดจุ ในบคุ คลผเู ปน ทีร่ กั บคุ คลผูเ ปนสหายรักกนั มาก และบคุ คลท่ีเปน กลาง ๆ ฉะนนั้ ๑. นา จะเลา สักนิดวา โกรธกนั เรือ่ งอะไร มหาฎกี ากไ็ มเลาในเรื่องนี้ ๒. มหาฎกี าวา ฝายเงย คอื ฝายผใู ห ฝายกม คอื ฝายผรู บั

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 181 [สมี สัมเภท - รวมแดน] ตอนพ้ี ระโยคาวจรนั้นผทู าํ เมตตาใหมีขึน้ ไดบ อย ๆ (จน) ยัง สมจติ ตา (ความมจี ติ เสมอ) ในชนท้งั ๔ คอื ในตนเอง ใน บุคคลทร่ี ัก ในคนกลาง ๆ ในคนเปน ศัตรกู ัน ใหสาํ เร็จไดอ ยู พึง ทาํ สีมสัมเภท (การรวมแดน) ตอไป นีเ้ ปนลกั ษณะแหง สีมสัมเภท นั้น (คือ) ถา เมื่อบุคคล (โยคาวจร) นี้ พรอ มดว ยภิกษทุ ่ีรักและท่กี ลาง ๆ ท่ีเปน ขาศกึ กัน เปน ๔ รปู ทง้ั ตนเอง น่งั กนั อยใู นที่แหง หนงึ่ ตา งวา พวกโจรมาบอกวา \"ทานใหภกิ ษุรปู หนึง่ แกพวกขาพเจา\" เมื่อเธอ ถามวา \"เพราะเหตไุ ร\" กต็ อบวา \"เพ่ือฆาภกิ ษรุ ปู น้ันแลว เอาเลอื ดคอทําพลีกรรม\" ดังน้ไี ซร หากวาภกิ ษุ (โยคาวจร) นนั้ คดิ วา ในภิกษุเหลา น้ัน พวกโจรจงจับภกิ ษรุ ูปโนน ๆ เถดิ ดงั นี้ละก็ เปนอนั ไมไดทาํ สมี สัมเภทเลย แมห ากเธอคิดวา \"พวกโจรจงจบั เรา เถิด อยางจบั ภกิ ษุ ๓ รูปนี้เลย\" ดังนี้ ก็เปน การยงั มไิ ดทําสมี สมั เภท ถามวา เพราะอะไร ตอบวา เพราะเธอตอ งการ (ใหโจร) จับภกิ ษุ รูปใด ๆ กช็ อ่ื วาเธอหาความพินาศใหแกภ ิกษรุ ูปนน้ั ๆ หาประโยชน ใหแกภ ิกษนุ อกนข้ี า งเดียว ตอ เม่ือใดเธอไมเ ห็น (ใคร) สกั คนใน ระหวาง ๔ คน จะควรใหแ กพวกโจร จติ เปนไปเสมอแทท งั้ ในตนเอง และคนทั้ง ๓ น้นั เมือ่ นัน้ จงึ ชอ่ื วาเปน อันไดทาํ สีมสัมเภทแล เหตนุ ้ัน พระโบราณาจารยท ัง้ หลายจึงกลาวไววา

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 182 เมื่อใด พระโยคาวจรผมู ีจิตคิดเกอ้ื กูลแกส ตั ว ท้ังหลาย ยงั เห็นความตางกนั ในคน ๔ คน คอื ใน ตน ในคนทีเ่ กอ้ื กลู (คอื รกั ) กนั ในคนกลาง ๆ กัน และในคนไมเ กอ้ื กลู (คอื เกลียด) กันอยู เม่ือนั้นยงั ไมเ รยี กวาเปน ผูฉลาดไดเมตตา (ฌาน) อยา งทตี่ อ งการ ตอ เมือ่ ใด แดนทงั้ ๔ ภิกษุ (โยคาวจร) รวมเขาดวยกนั แลว แผเ มตตาไปยัง สัตวโลกทั้งปวง กบั ท้ังเทวดาดวย เสมอกันหมด เมอื่ น้นั เธอผมู เี มตตาไมปรากฏแดน จงึ ไดช อื่ วา เปนผูยง่ิ ใหญ (ในเมตตาภาวนา) กวาพระโยคา- วจรรูปกอน [เมตตาฌาน] ในกาลเสมอกับกาลทร่ี วมแดนไดอ ยา งน้นี ั่นแล ภิกษุ (โยคา- จวร) นี้ กเ็ ปนอันไดน ิมิต และอุปจารดว ย* กแ็ ลครัน้ ทําการรวม แดนแลว เธอเสพยิ่งขึ้นไป เจริญทําใหมากขึ้นไปซ่งึ นิมิตนัน้ แหละ ก็จะบรรลอุ ปั ปนา ตามนยั ท่ีกลา วแลว ในปฐวีกสณิ โดยไมย ากเลย ดวยภาวนานุโยคเพียงนี้ ปฐมฌานทสี่ หรคตกบั เมตตาอันละองค ๕ ประกอบดว ยองค ๕ มคี วามงาม ๓ ประการ ถงึ พรอมดว ยลักษณะ * มหาฎกี าวา นิมติ ในทนี่ ้ี กค็ ือสีมสมั เภทนน่ั เอง (ไมใ ชน ิมติ อยา งนมิ ิตในกสณิ ) เพราะเมอ่ื ไดสีมสัมเภทแลว นวิ รณจ งึ ระงบั กเิ ลสจึงชมไป จติ จงึ ต้ังม่ันเปนอุปจารสมาธิ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 183 ๑๐ กเ็ ปนอนั ภิกษุ (โยคาวจร) น้นั ไดบรรลแุ ลว และคร้นั ไดบ รรลุ ปฐมฌานนั้นแลว เธอเสพย่ิงขึ้นไป เจริญทําใหม ากขน้ึ ไปซึ่งนมิ ติ นั้นแหละ กจ็ ะบรรลทุ ุตยฌานและตตยิ ฌานในจตกุ นัย และ (หรอื ) ทุตยิ ฌาน ตตยิ ฌาน และจตตุ ถฌาน ในปญจกนยั ตามลาํ ดับ๑ แท จริง พระโยคาวจรน้นั จะชื่อวา มใี จสหรคตกบั เมตตาแผไปตลอดทิศ หนง่ึ อยู ทิศท่ี ๒ ก็อยางนั้น ทิศที่ ๓ กอ็ ยางนนั้ ทิศที่ ๔ ก็อยางนัน้ ทิศเบ้อื งบน ทิศเบอ้ื งลา ง ทิศขวาง ก็โดยนยั น้ันแล เธอมใี จสหรคต กับเมตตา เปนใจกวา งใหญไ มมปี ระมาณ เปนใจไมมเี วร ไมม ีความ บบี ค้นั แผไปในทิศทง้ั ปวงตลอดโลกที่มสี รรพสตั วโ ดยความเปนตน (เสมอกัน) ในสตั วท ้งั ปวงอยู (ไดด งั นี้) ก็ดวยอาํ นาจฌาน มี ปฐมฌานเปนตน ฌานใดฌานหน่งึ เพราะวา วกิ ุพพนา (การทํา [เมตตา] ไดตางๆ ) น้ี ยอ มสําเรจ็ แกพระโยคาวจรผูมีจิตถึงอัปปนา ดว ยอํานาจฌาน มีปฐมฌานเปนตนเทาน้ัน๒ (มิใชส าํ เรจ็ แกผูไดเ พียง อปุ จาร) ๑. พรหมวหิ าร ๓ ขางตนใหส าํ เรจ็ ไดเพียง ๓ ฌาน ในจตุกนยั หรือ ๔ ฌานในปญ จกนยั ไมถ ึงจตุตถฌาน หรือปญ จมฌาน เพราะจติ ยงั ไมเปน อเุ บกขา ๒. ปาฐะในฉบับวิสุทธิมรรคพิมพค รง้ั ท่ี ๓ วา ปฐมชฌฺ านาทิวเสน. . . อย วกิ ุพฺพนา อปฺปนา ปมปฺ ชชิ ติ เหน็ วา บทอปปฺ นานนั้ เกิน เพราะไมมคี วามจะจอด และในแกอรรถ กลา วถึงความตอนนี้ (หนา ๑๐๙ บรรทัดที่ ๘ นบั ลง) ก็มีแตว กิ ุพพฺ นา ไมม ีอปฺปนา คือ ยถา จาย อปฺปนาปปฺ ตฺตจิตตฺ สฺเสว วิกพุ ฺพนา สมปฺ ชชฺ ติ วิกพุ พฺ นา มหาฎกี าแกเ ปน วิวธิ า กริ ยิ า

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 184 [แกบ าลอี ปั ปมญั ญา] กใ็ นบาลนี ี้ บทวา เมตตฺ าสหคเตน (สหรคตกบั เมตตา) ความวา ประกอบไปดว ยเมตตา บทวา เจตสา (มใี จ) กค็ ือ จิตฺเตน (มจี ิต) คาํ วา เอก ทิส (ตลอกทศิ หน่งึ ) ตรัสโดย เปน การแผไปถึงสัตวท ่เี น่ืองอยูในทิศหนงึ่ มุงเอาสัตวท ี่พระโยคาวจร กาํ หนดคร้งั แรกในทิศอนั หนง่ึ ๑ บทวา ผริตฺวา (แผ) คือสัมผัส (ดว ยใจ) ไดแ กท าํ ใหเ ปน อารมณ บทวา วหิ รติ (อยู) หมาย ความวา ยงั อริ ิยาบถวหิ าร (การเปลี่ยนอรริ ิยาบถอยู) ทอ่ี ธิษฐานเพือ่ พรหมวิหารใหเ ปนไป คาํ วา ตถา ทุติย (ทศิ ที่ ๒ ก็อยางนน้ั ) เปน ตน ความวา ในทศิ ทง้ั หลาย มที ิศตะวนั ออกเปน ตน เธอแผ ไปตลอดทิศใด ๆ ก็ตาม ทิศหนึ่งอยู อยางใด ก็แผไ ปตลอดทศิ ท่ี ๒ ท่ี ๓ และที่ ๔ ในลําดับกนั ๒อยา งนั้นแล คาํ วา อติ ิ อทุ ฺธ ไขความ วา และโดยนยั เดียวกนั น้ัน (แผไป) ในทิศเบ้อื งบน สองบทวา อโธ ติริย คือแมในทิศเบอื้ งลา ง แมในทิศขวาง ก็อยา งน้นั เหมือน กนั กแ็ ลใน ๒ บทนนั้ บทวา อโธ (ทศิ ลา ง) ไดแ กทศิ ใต (ตัวเรา) ลงไป บทวา ติริย (ทิสขวาง) ไดแ กใ นทิศเฉียง ท้ังหลาย ๑. หมายความวา พูดวาทิศ แตท ี่จริงหมายถึงสตั วท่ีอยใู นทศิ น้นั ๒. มหาฎีกาวา ลําดับการแผ ไมใ ชลําดับทศิ เพราะทิศเปนสงิ่ ทม่ี องไมเ หน็ เม่อื แผไ ปทศิ ใด ทศิ หนึ่งเปนการประเดมิ แลว แผไ ปทิศใดตอไป ทศิ นัน้ ก็นับเปน ทศิ ท่ี ๒ แผตอ ไปกเ็ ปนที่ ๓ ท่ี ๔ ทีละทิศ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 185 โดยนยั ดงั น้ี พระโยคาวจรช่ือวา ยังจติ อันประกอบไปดวยเมตตา ใหแ ลนไปบา ง ใหแ ลนกลบั มาบา ง ในทิศท้ังปวง ดจุ สารถียังมา ให แลน ไปมาอยใู นสนามมา วงกลม ฉะนัน้ แล การกําหนดเอาทิศหน่ึง ๆ แผเ มตตาไปเปนแถบ ๆ พระผมู พี ระ ภาคเจาทรงแสดงดว ยบทพระบาลีเพยี งนี้ (คอื เพียง อุทฺธมโธ ติริย) สว นบทพระบาลมี ีบทวา สพพฺ ธิ เปนตนไป ตรสั เพ่อื แสดง (การ แผ) โดยไมเ ปนแถบ (คอื รวมหมด) ในบทเหลา นนั้ บทวา สพพฺ ธิ ก็คือ สพฺพตถฺ (ในทิศ ทง้ั ปวง) บทวา สพพฺ ตฺตตาย ความวา โดยความเปนตนในสตั ว ท้ังปวง อันมีประเภทตาง ๆ เชนสตั วช ้ันเลย ชน้ั กลาง และชนั้ สูง ทเ่ี ปน มิตรกัน เปน ศัตรกู นั และกลาง ๆ เปน ตน มอี ธิบายวา โดย ความเสมอกบั ตน ไมแ บง แยกวา เราวาสัตวอ ื่น* อกี นัยหน่ึง บทวา สพพฺ ตฺตตาย น้ัน หมายความวา โดยจิตตภาพ (กําลงั จติ ?) ทัง้ หมด อธิบายวา ไม (ปลอ ยให) เขย้ือนไปภายนอก (กรรมฐาน) แม แตน ิดเดยี ว บทวา สพพฺ าวนฺต ความวาท่มี สี รรพสตั ว คอื ประกอบ ดวยสรรพสตั ว บทวา โลก หมายเอาสตั วโลก สวนคาํ วา เมตตฺ าสหคเตน ตรสั ซํา้ อกี ในตอนอโนธโิ สผรณะ (แผร วม) น้ี เพราะ (เพ่ือ) แสดงปรยิ าย (คอื ไวพจนแหง เมตตา- * ปาฐะวิสทุ ธิมรรคฉบบั พมิ พครงั้ ท่ี ๓ พมิ พไ วว า อย ปรสตฺโตติ วภิ าค อกตวฺ า อตฺตสมตาย เห็นวา อย ผิด ทถ่ี ูกเปน อห เพราะความเลขนอกยันอยู ในทนี่ ี้แปลตาม ทีเ่ หน็ วาถกู

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 186 สหคตจิต) มีคําวา วิปเุ ลน ดังนเ้ี ปน อาทิ หรือวา เพราะในตอน อโนธิโสผรณะนี้ มิไดใ ชตถาศัพทหรอื อติ ศิ ัพท๑ อีก ดังในตอนโอธโิ ส- ผรณะ (แผเปนแถบ ๆ) เพราะเหตนุ ั้นจึงตรสั คําวา เมตตฺ าสหคเตน เจตสา ซา้ํ อกี หรือมฉิ ะนนั้ คําวา เมตตฺ าสหคเตน เจตสา (ใน ตอนน้ี) น้ัน (พงึ ทราบวา ) ตรัสโดยเปน คาํ นิยม (ก็ได) [อรรถแหง วิกุพพนา] กใ็ นบทวา วิปุเลน เปนตนนน้ั (พงึ ทราบวินิจฉัย ดังน)ี้ ความทเี่ มตตาสหคตจติ เปนจติ กวาง บณั ฑิตพึงเห็น (วาเปน ) ดว ย อาํ นาจการแผ และอน่งึ จติ นั้นเปนจิตใหญดว ยอาํ นาจภมู ิ (คือเปน รปู าวจร) เปน จิตไมม ปี ระมาณ ดวยอํานาจความคลองแคลว และ ดวยอํานาจความทีม่ ีสตั วหาประมาณมิไดเ ปนอารมณ ช่ือวาเปน จติ ไมม เี วร เพราะละขาศกึ คือพยาบาทเสียได ช่อื วาเปนจิตไมมคี วาม บบี คั้น อธบิ ายวา ไมมีทุกข เพราะละโทมนัสได นีเ้ ปนความหมายแหง วิกุพพนา อนั กลาวโดยนยั วา เมตฺตา สหคเตน เจตสา เปน ตน๒ และวิกุพพนานี้ ยอ มสําเร็จแกพ ระ โยคาวจรผมู ีจติ ถงึ อัปปนาเทานน้ั ฉันใด แมล ักษณะ (ท่ีนบั วา วกิ พุ พนา) อันใด ทที่ านกลาวไวใ นปฏสิ ัมภทิ าวา \"เมตตาเจโตวมิ ุติ ๑. หมายถงึ ตถา และ อติ ิ ที่เพงความขางหนา ดงั ตถา ทุติย ตถา ตติย ตถา จตุตฺถ และ อิติ อุทธฺ มโธ ตริ ิย ๒. หมายความวา เมตตาสหคตจิต มอี าการไดตา ง ๆ คอื กวางใหญไ มม ีประมาณ ไมม ีเวร ไมม ี ความบบี ค้นั นแ่ี หละเรียกวา วิกพุ พฺ นา

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 187 เปนอโนธิโสผรณาดว ยอาการ ๕ เมตตาเจโตวิมุติ เปนโอธิโสผรณา ดวยอาการ ๗ เมตตาเจโตวิมตุ ิ เปน ทิสาผรณาดวยอาการ ๑๐\"* ดงั นี้ แมลักษณะ (ที่นบั วา วิกุพพนา) นั้น บณั ฑิตกพ็ งึ ทราบวา ยอ มสําเรจ็ แกพ ระโยคาวจรผมู ีจิตถงึ อัปปนา ฉนั น้ันเหมอื นกนั [อโนธโิ สผรณา ๕] ก็แลในลักษณะเหลา นน้ั เมตตเจโตวมิ ตุ ิ บัณฑติ พึงทราบวา เปนอโนธโิ สผรณาดว ยอาการ ๕ น้ี คอื (๑) สพเฺ พ สตตฺ า อเวรา อพฺยาปชฺฌา อนฆี า สุขี อตฺตาน ปริหรนตฺ ุ ขอสตั วท้ังหลายทั้งปวง จงเปน ผไู มมีเวร ไมมี ความบีบคั้น ไมม ที ุกข มคี วามสุข รกั ษาตนอยเู ถิด (๒) สพฺเพ ปาณา---- ขอปาณะ (ผูเ นือ่ งดวยลมหายใจ) ทัง้ หลายทั้งปวง---- (๓) สพฺเพ ภูตา---- ขอภตู (ผูเปนแลวป ทงั้ หลายทั้งปวง---- (๔) สพฺเพ ปุคคฺ ลา---- ขอบคุ คลทั้งหลายทง้ั ปวง---- (๕) สพเฺ พ อตตฺ ภาวปริยาปนนฺ า อเวรา ฯ เป ฯ ปริหรนฺตุ ขอผเู น่อื งอยูในอตั ภาพท้ังหลายท้ังปวง จงเปนผูไมม ีเวร ฯลฯ รกั ษา ตนอยูเ ถิด [โอธิโสผรณา ๗] เมตตาเจโตวิมุติ บณั ฑิตพึงทราบวา เปน โอธิโสผรณาดว ยอาการ * ขุ. ป. ๓๑/๔๓๘๓

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 188 ๗ นี้ คือ (๑) สพพฺ า อติ ฺถโิ ย อเวรา ฯ เป ฯ อตตฺ าน ปรหิ รนตฺ ุ ขอสตรีทัง้ หลายท้ังปวง จงเปน ผูไ มมีเวร ฯ ล ฯ รกั ษาตนอยเู ถิด (๒) สพฺเพ ปุรสิ า---- ขอบุรษุ ทั้งหลายทง้ั ปวง---- (๓) สพเฺ พ อริยา---- ขออรยิ ชนทัง้ หลายท้งั ปวง---- (๔) สพเฺ พ อนริยา---- ขออนรยิ ชนทง้ั หลายท้ังปวง---- (๕) สพฺเพ เทวา---- ขอเทพทง้ั หลายท้ังปวง---- (๖) สพฺเพ มนสุ ฺสา---- ขอมนุษยท ั้งหลายทง้ั ปวง---- (๗) สพเฺ พ วนิ ิปาติกา อเวรา ฯ เป ฯ อตฺตาน ปริหรนตฺ ุ ขอวนิ ิปาติกะ (ผูตกอยใู นอบาย) ทงั้ หลายท้งั ปวง จงเปน ผไู มมเี วร ฯ ล ฯ รักษาตนอยูเถดิ [ทสิ ผรณา ๑๐] เมตตาเจโตวิมตุ ิ บัณฑติ พึงทราบวาเปนทสิ าผรณา (แผเ ปน ทิศ ๆ ดว ยอาการ ๑๐ นี้ คือ (๑) สพเฺ พ ปุรตฺถิมาย ทิสาย สตฺตา อเวรา ฯ เป ฯ อตฺตาน ปรหิ รนฺตุ ขอสตั วท้ังหลายท้งั ปวง ในทศิ ตะวนั ออก จงเปน ผไู มมเี วร ฯลฯ รักษาตนอยเู ถดิ (๒) สพเฺ พ ปจฺฉมิ าย ทสิ าย สตตฺ า---- ขอสัตวท ั้งหลาบ ทงั้ ปวง ในทิศตะวนั ตก---- (๓) สพเฺ พ อุตฺตราย ทสิ าย สตฺตา---- ขอสัตวท ง้ั หลาย ทั้งปวง ในทศิ เหนอื ----

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 189 (๔) สพเฺ พ ทกขฺ ิณาย ทิสาย สตฺตา---- ขอสตั วทงั้ หลาย ทงั้ ปวง ในทศิ ใต---- (๕) สพเฺ พ ปรุ ตถฺ ิมาย อนทุ สิ าย สตตฺ า---- ขอสตั วท ง้ั หลาย ท้ังปวง ในทศิ เฉยี งตะวันออก (คือตะวันออกเฉียงเหนือ)---- (๖) สพฺเพ ปจฺฉมิ าย อนุทิสาย สตฺตา---- ขอสตั วท้ังหลาย ท้งั ปวง ในทศิ เฉียงตะวันตก (คือตะวันตกเฉยี งใต)---- (๗) สพฺเพ อุตฺตราย อนทุ ิสาย สตตฺ า---- ขอสัตวท้ังหลาย ทง้ั ปวง ในทิศเฉยี งเหนือ (คือตะวนั ตกเฉียงเหนอื )---- (๘) สพเฺ พ ทกขฺ ณิ าย อนทุ ิสาย สตฺตา---- ขอสัตวท ้ังหลาย ท้ังปวง ในทิศเฉียงใต----(คอื ตะวันออกเฉียงใต)---- (๙) สพเฺ พ เหฏีมาย ทิสาย สตฺตา---- ขอสตั วท้ังหลาย ทั้งปวง ในทศิ เบ้อื งลา ง---- (๑๐) สพเฺ พ อปุ ริมาย ทสิ าย สตฺตา อเวรา ฯ เป ฯ ปรหิ รนฺตุ ขอสตั วทง้ั หลายทง้ั ปวง ในทศิ เบอื้ งบน จงเปน ผไู มม เี วร ฯ ลฯ รกั ษาตนอยเู ถดิ (น้แี สดงบท สตตฺ า เปนตัวอยา ง บทตอ ไปมบี ท ปาณา เปนตน ก็พึง ประกอบความอยา งเดยี วกนั ตอไปน้ี ทานเปยยาลไว) สพเฺ พ ปุรตฺถมิ าย ทิสาย ปาณา---- ภตู า---- ปคุ คฺ ลา---- อตฺตภาวปริยาปนฺนา---- สพพฺ า ปรุ ตฺถมิ าย ทสิ าย อติ ถฺ ิโย---- ปรุ ิสา---- อริยา---- อนรยิ า---- เทวา---- มนุสสฺ า---- วินปิ าติกา อเวรา ฯ เป ฯ ปรหิ รนตฺ ุ ขอปาณะท้ัง---- ภูตทง้ั หลาย----

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 190 บุคคลทง้ั หลาย---- ผูเนือ่ งอยูในอตั ภาพท้งั หลายทั้งปวงในทศิ ตะวนั ออก ---- ขอสตรีทั้งหลาย---- บุรุษทงั้ หลาย---- อริยชนทงั้ หลาย---- อนริย- ชนทงั้ หลาย---- เทพทั้งหลาย---- มนษุ ยท ง้ั หลาย---- วินิปาติกะทง้ั หลาย ท้งั ปวงในทิศตะวันออก จงเปน ผูไมมีเวร ฯลฯ รกั ษาตนอยเู ถิด สพฺเพ ปจฺฉมิ าย ทสิ าย---- อุตตฺ ราย---- ทกขฺ ิณาย---- อนุ- ทสิ าย---- เหฏิมาย ทสิ าย---- อุปริมาย ทสิ าย ปาณา ฯ เป ฯ อติ ถฺ ิโย ฯ เป ฯ วนิ ปิ าตกิ า อเวรา อพยฺ าปชฺฌา อนีฆา สขุ ี อตตฺ าน ปริหรนตฺ ุ ขอปาณะทั้งหลาย ฯ ล ฯ สตรที ้ังหลาย ฯ ล ฯ วนิ ปิ าตกิ ะทั้งหลายทั้งปวง ในทศิ ตะวนั ตก---- ทิศเหนือ---- ทิศใต- --- ทศิ เฉยี งตะวนั ออก ตะวนั ตก เหนือ ใต---- ทศิ เบ้อื งลาง---- ทศิ เบ้ืองบน จงเปนผไู มมีเวร ไมม คี วามบีบคนั้ ไมม ที กุ ข มีความสุข รักษาตนอยเู ถดิ \" [แกอ รรถ สพฺเพ สตตฺ า เปนตน ] ในบทเหลา นัน้ บทวา 'ทงั้ ปวง' นั้น เปนคําถอื เอาหมด ไมม ีเหลอื ชนผูขอ งอยู ติดอยดู วยฉันทราคะ ในขนั ธท ั้งหลายมีรปู เปน อาทิ ช่ือวา สตั ว จรงิ อยู พระผมู พี ระภาคเจากไ็ ดตรัสคําน้ี (แก พระราธะ) วา \"ดกู รราธะ ผูใ ดมีความพอใจ ความกาํ หนัด ความ ยนิ ดี ความปรารถนาในรูป ผูนัน้ ชอื่ วาขอ งอยูใ นรูปนนั้ ตดิ อยใู น รูปนั้น เหตนุ ั้นแลจึงไดชอื่ วา สัตว ผใู ดมีความพอใจ ความกําหนัด ความยินดี ความปรารถนาใน เวทนา----สัญญา----สงั ขาร----วญิ ญาณ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 191 ผูนนั้ ช่อื วาของอยใู นเวทนา----สัญญา----สงั ขาร----วิญญาณน้นั ติดอยูใ น เวทนา ฯ ล ฯ วญิ ญาณน้ัน เหตุนัน้ แล จึงไดช ือ่ วา สัตว๑\" ดงั น้ี แตดว ยรุฬหศิ ัพท (ศพั ทง อก) โวหาร (วาสตั ว) น้ี ใชในทา นผู ปราศจากระคะแลว กไ็ ดเหมือนกนั ดงั คํา ตาลวัณฏะ (พดั กานตาล) ใชในพัดชนดิ หนงึ่ ซ่งึ ทาํ ดวยไมไ ผ (สาน) ก็ได ฉะนัน้ สวนพวก อักขรจนิ ตกะ (ผคู ิดเลนอกั ขระ) ไมวิจารความ ลงเอาวา น่ันเปน คาํ นามเทาน้ัน ขางพวกทา นผูวิจารความ ประสงคค วามวา ช่ือวา สัตว เพราะประกอบดว ยสตั ตะ๒ก็มี สตั วท ั้งหลายชอื่ วา ปาณะ เพราะภาวะคอื การหายใจ หมาย ความวา เพราะมีความเปนไปเนอื่ งดว ยลมหายใจออกหายใจเขา ช่ือวา ภูต เพราะเปนแลว หมายความวา เพราะเปน ขนึ้ พรอม คอื เกดิ ใหญข น้ึ นริ ยะ ทานเรียกวา ปุ สตั วท งั้ หลายยอ มเล่ือน หมายคามวา ยอ มไปในนริ ิยะทีเ่ รียกปนุ นั้ เหตนุ ้ันจงึ ชอื่ ปุคคฺ ล\"๓ ๑. ส. ขนธฺ วาร. ๑๗/๒๓๒ ๒. มหาฎีกาวา คําวา สตั ตะ ในทนี่ ้ี ไดแ กพ ทุ ธิ หรอื วริ ิยะ หรือ เดช เพราะฉะนน้ั สตฺโตก็ แปลวา ผปู ระกอบดว ยพทุ ธิ (คอื ความรู) หรือผปู ระกอบดว ยวิริยะ หรอื ผูมีเดช (คืออํานาจ) ก็ได ทา นชางคิดเสียจรงิ ๆ แมแตบาลอี ธบิ ายไวช ดั เจนแลวกย็ ังอตุ สา หค ิดอยอู กี นา สนุก ๓. ตามน้ี ปุคคฺ ล แปลวา ผเู ล่อื นไปนรก ไมน าโมทนาเลย มหาฎกี ากท็ จี ะไมโมทนาเหมือนกนั จึงไมช วยขยายความอะไรเลย กลบั ไปนาํ เอาอรรถาธบิ ายของอาจารยท างนิรุติศาสตรม ากกลา วไวแ ทน วา ทางนริ ตุ แิ กว า \"ชือ่ วา ปคุ คฺ ล เพราะเพม่ิ จาํ นวน และเพราะเล่ือนไป\" ตามน้ี ปุ ออกเปน ปรู ณ สว น คล ก็ คลธาตุ ในความเล่อื นไป แลวก็มอี ธิบายวา แทจ รงิ สตั วทั้งหลายเกิดมา ก็ เปน ดุจมาเพมิ่ จาํ นวนหมสู ตั วนน้ั ๆ ขนึ้ และเลื่อน คือเล่อื นไปตามรนุ ตามคราวนนั้ ๆ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 192 รา งกาย เรียกอตั ภาพ อกี นัยหนง่ึ อตั ภาพ กค็ อื ขนั ธ ๕ นนั่ เอง คําวาอตั ภาพนี้ ก็เปนแตค ําทห่ี มายเอาขันธ ๕ บญั ญัตขิ ึน้ โดยสภาวะ๑ สัตวท งั้ หลายนบั เน่อื งอยูในอัตภาพนั้น เหตนุ นั้ จึงช่อื อตตฺ ภาวปริยา- ปนฺน คํา ปริยาปนนฺ - นบั เน่อื ง หมายความวากําหนดไว (ในนนั้ ) อยูภายใน (นนั้ ) กแ็ ล คําวา สตตฺ า - สัตวท้งั หลาย (มีความหมาย) ฉนั ใจ แมคําท่เี หลือ (มีคําวา ปาณาเปน ตน กม็ ีความหมาย) ฉันนั้น บณั ฑิต พงึ ทราบวา คาํ เหลา น้นั เปน ไวพจนของคําวา 'สรรพสตั ว' ท้ังนั้น แหละ เพราะยกข้ึนดว ยอาํ นาจรฬุ หศิ ัพท ไวพจนของคําสรรพสัตวอ ่นื ๆ เชน วา สพฺเพ ชนฺตู สพเฺ พ ชวี า ยังมีอยอู กี กจ็ รงิ แตท วา (ในปฏสิ มั ภิทา) ทานถือเอาคํา ๕ คํานี้ เทานั้น กลาวไววา \"เมตตาเจโตวมิ ตุ ิ เปน อโนธโิ สผรณาดวย อาการ ๕\" ดังน้ี ก็โดยที่ (คาํ ทั้ง ๕ นน้ั ) เปน คาํ ปรากฏ (คอื เดน) สวนเกจอิ าจารยเ หลาใดไมตอ งการ (ใหเปน) เพยี งความที่คําท้งั หลาย มี สตฺตา ปาณา เปน ตน เปน ไวพจนกนั เทา น้ัน แตหากตอ งการถงึ ความท่ีคําเหลา นั้นตา งกันโดยอรรถดวย ความตองการของเกจอิ าจารย เหลา นัน้ ผดิ จากอโนธิโสผรณา๒ เพราะฉะน้ัน พระโยคาวจรไมค วร ๑. คอื โดยลกั ษณะทีม่ ันเปนของมันได มิใชโ ดยปรมัตถ เพราะวาโดยปรมัตถแลว ตวั ตนบุคคล หามีไม ? ๒. เววจนมตโฺ ต นัน้ ในมหาฎกี าเปน เววจนตามตตฺ  เห็นวา ของทา นถูก เพราะมี สตตฺ า ปาณาตอิ าทนี  เปน ภาวาทิสมั พันธอยูขางหนา และเปนอวุตตกรรม ใน อจิ เฺ ฉยยฺ ุ เสมอกบั บท นานตฺต ขา งหลัง

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 193 ถือเอาความหมายอยา ง (เกจอิ าจารย) นนั้ พึงแผอ โนธโิ สเมตตา ใน อาการ ๕ เหลานีโ้ ดยอาการใดอาการหนงึ่ ไปเถิด [อัปปนา ๕๒๘] กแ็ ลในเมตตาภาวนาน้ี ภาวนาวา \"สพเฺ พ สตฺตา อเวรา โหนตฺ ุ ขอสตั วทัง้ หลายทั้งปวงจงเปนผูไ มม ีเวรเถิด\" นก้ี ็เปนอัปปนา อันหนงึ่ ได ภาวนาวา \"(สพฺเพ สตฺตา) อพยฺ าปชฌฺ า ดหนตฺ -ุ ขอสตั วท ้ังหลายทง้ั ปวงจงเปนผมู ีความไมบีบค้ันเถิด\" นกี้ เ็ ปน อปั ปนา อันหน่ึงได คาํ วา 'อพยฺ าปชฺฌา - ไมมีความบบี คัน้ ' น้ัน คอื พยฺ าปาทรหิตา ปราศจากพยาบาท ภาวนาวา \"(สพเฺ พ สตตฺ า) อนฆี า โหนตฺ ุ - ขอสัตว ทงั้ หลายท้ังปวงจงเปนผูไมม ที กุ ขเ ถดิ \" น้กี เ็ ปนอปั ปนาอนั หน่ึงได คาํ วา อนฆี า ไดแก นิทฺทุกฺขา - ไมม ที กุ ข ภาวนาวา \"(สพเฺ พ สตฺตา) สขุ ี อตตฺ าน ปริหรนฺตุ - ขอ สัตวทัง้ หลายทัง้ ปวงจงเปนผูมคี วามสขุ รกั ษาตนอยูเถดิ \" นก้ี ็เปน อัปปนาอันหน่ึงได อโนธโิ ส ผรณาติ วุจจฺ ติ ในมหาฎกี าเปน ...ผรณา ววิ ุชฌฺ ติ เหน็ วาของทานถกู เพราะ แปลไดความดี ในทน่ี ไี้ ดแ กและแปลตามทีเ่ ห็นวาถกู ที่วาผดิ จาอโนธโิ สผรณานนั้ หมายความวา ถา ถือตามมติเกจอิ าจารยวา คําทงั้ ๕ มีความ หมายตางกันแลว ก็จะกลางเปนวา สตตฺ ากอ็ ยา ง ๑ ปาณากอ็ ยาง ๑ ภตู ากอ็ ยา ง ๑ ปคุ คฺ ลากอ็ ยา ง ๑ ...แยกแดนกันไป ไมส มกบั พระบาลีทก่ี ลาวความตอนเปน อโนธโิ สผรณา (แผร วมแดน)

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 194 เพราะเหตนุ นั้ ในบทเหลา นี้ แมน บทใด ๆ ปรากฏ (เหน็ ชัด ข้ึน) พระโยคาวจรก็พึงแผเมตตาไปตามกําลงั ของบทนัน้ ๆ เถิด โดยนัยทก่ี ลา วมาดงั นี้ อัปปนาในอโนธโิ สผรณะจึงเปน ๒๐ เน่อื งดว ยอปั ปนา ๔ ๆ ในอาการ ๕ สว นในโอธโิ สผรณะเปน ๒๘ เน่อื งดว ยอปั ปนา ๔ ๆ ในอาการ ๗ กแ็ ลในอาการ ๗ นน้ั คาํ วา อติ ถฺ โิ ย ปุริสา - สตรี บุรษุ ทา นกลาวโดยเพศ คาํ วา อรยิ า อนรยิ า - อริยชน อนริยชน กลา ว โดย (แยก) เปน พระอรยิ ะ และปถุ ชุ น คาํ วา เทวา มนสุ สฺ า วนิ ปิ าติกา - เทวดา มนุษย วนิ ปิ าติกะ กลาวโดยอปุ บตั ิ (กาํ เนิด) สวนในทิสาผรณะ อปั ปนาเปน ๔๘๐ คอื ตามนัย (ตอน อาการ ๕) มี สพเฺ พ ปรุ ตฺถมิ าย ทสิ าย สตตฺ า----เปน ขอ ตน ทํา เปน ทศิ ละ ๒๐ (๑๐ ทศิ รวม) เปน ๒๐๐ ตามนัย (ตอนอาการ ๗) มี สพพฺ า ปตุ ฺถมิ าย ทสิ าย อิตฺถโิ ย---- เปน ขอ ตน ทําเปน ทศิ ละ ๒๘ (๑๐ ทิศรวม) เปน ๒๘๐ ทัง้ หมดตามทวี่ า มานี้เปนอัปปนา ๕๒๘ ทีท่ า นกลา วไวใ นปฏ-ิ สัมภิทาแล [แกอ รรถเมตตานสิ งส] พระโยคาวจรนี้ครงั้ เจริญเมตตาเจโตวมิ ตุ ิตามทางอัปปนาเหลา นน้ั ทางใดทางหนึ่งดังกลา วมาฉะน้ีแลว ยอมไดอ านิสงส ๑๑ ประการ ที่ พระผมู พี ระภาคเจาตรัสไวโ ดยนยั วา \"ผเู จริญเมตตาเจโตวมิ ุติ ยอม หลับเปน สขุ \" ดังนเี้ ปน อาทิ

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ท่ี 195 ในอานสิ งส ๑๑ นนั้ ขอวา หลับเปนสขุ มีอธิบายวา ชน ท้ังหลายนอกน้ัน (ทไี่ มไ ดเ มตตาเจโตวมิ ตุ )ิ ยอมหลับพลกิ กายไปมา (และ) กรนอยู ดเู ปนทกุ ขอ ยา งใด ทา นผไู ดเมตตาเจโตวมิ ุตหิ าหลับ อยา งน้นั ไม ยอมหลับสบาย แมหลบั สนิทแลว ก็เปนดจุ เขาสมาบัติ ขอ วา ต่นื เปนสุข มีอธบิ ายวา ชนทง้ั หลายอ่ืนต่นื ข้นึ ทาํ เสยี ง คราง บิดกายพลิกไปมาอยู ดูเปน ทกุ ขอยางใด ทานผไู ดเ มตตา- เจโตวิมตุ ิหาตื่นอยางน้นั ไม ยอ มตน่ื สบาย คอื ไมม กี าร (อาการผิด แปลก) ดจุ ดอกปทุมแยมอยูฉะน้ัน ขอวา ไมฝ น ราย อธบิ ายวา ทานผไู ดเ มตตาเจโตวิมตุ ิน้ัน แมนฝนเห็น กฝ็ นเหน็ แตนิมติ ทดี่ ีงาม เปน เหมอื นวา กําลังไหวพระ เจดยี  เหมอื นวา กาํ ลังทาํ การบูชา และเหมอื นวากําลังฟงธรรม สว น ชนท้ังหลายอ่นื (ฝน ) เห็นตนเหมือนวา ถูกพวกโจรลอ ม เหมอื นวา ถกู ฝูงสัตวรายทําอนั ตรายเอา และเหมือนวา กําลงั ตกเหว อยา งใด ทาน ผูไ ดเ มตตาเจโตวิมตุ ิหาฝนรายอยา งน้ันไม ขอ วา เปน ท่รี กั ของมนุษยท้งั หลาย คอื วาเปนที่รักทพ่ี อใจของ มนุษยท ง้ั หลาย ราวกะสรอยไขม กุ ทส่ี วมไวแ นบอก และราวกะพวง ดอกไมอ นั ประดับไวท ี่ศีรษะฉะน้นั ขอวา เปน ที่รักของอมนษุ ยท งั้ หลาย คือวา ผเู จริญเมตตา- เจโตวิมุตินนั้ เปนทร่ี ักของมนุษยท ั้งหลายฉนั ใด กย็ อมเปนท่รี กั ของ อมนุษยทง้ั หลายฉนั นนั้ เหมอื นดังทานวิสาขเถระ

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 196 [เรอื่ งพระวิสาขเถระ] ไดย นิ วา พระวิสาขเถระน้นั (เมอื่ เปนคฤหัสถ) เปน กุฎมพี อยใู นกรงุ ปาฏลบิ ตุ ร ทานอยูในกรุงนั้นแหละไดย นิ ขาววา ตมั พ- ปณ ณิทวปี (คือเกาะลงั กา) ประดบั ประดาไปดวยถองแถวพระเจดยี  รุงเรืองดวยกาสาวพัสตร ในทวปี นน้ั ใคร ๆ อาจจะน่ังหรอื นอนได ในทีท่ ุกแหงท่ตี นปรารถนา๑ สัปปายะทง้ั ปวง คือ อตุ ุสปั ปายะ เสนาสนสัปปายะ ปุคคลสปั ปายะ ธมั มสวนสปั ปายะ หาไดงายใน ทวีปนน้ั ดงั นี้ ทา นจึงมอบกองโภคทรพั ยของตนใหแ กบ ตุ รและภรยิ า มีเงินกหาปณะเดยี วอนั ผูก (ขอด) ไวท ี่ชายผาเทาน้ัน ออกจากเรอื น ไป คอยเรือทรี่ ิมฝงทะเลอยถู ึงเดอื นหนง่ึ และเพราะความท่ีเปน ผฉู ลาดในเชงิ พูด ทา นซื้อของ (สินคา) ที่ชอ งนี้ไปขายท่ีชอ งโนน ๒ โดยกาลในระหวาง (ที่คอยเรอื ) เดือนหนง่ึ นัน่ เอง (สามารถ) รวบ รวมทรัพยไ ดถ งึ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ดว ยการคา ขายอันชอบธรรม ทา น มาถึงมหาวิหาร (ในลงั กา) โดยลาํ ดับ แลวขอบรรพชา (เมอ่ื ) ภิกษทุ ้ังหลายนําทานไปสูสีมาเพื่อใหบรรพชา ทา นทาํ ถุงเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะน้ันตกลงท่พี ้ืนทางชอ งชายผา และเมื่อภกิ ษุท้งั หลายทักวา น่ันอะไร กบ็ อกวา \"กหาปณะ ๑,๐๐๐ เจาขา\" ภิกษทุ ง้ั หลายเตือน ๑. มหาฎกี าวา ที่นง่ั นอนไดท กุ แหง เพราะเปนประเทศเกษม คอื ปลอดภยั น้ันอยา งหน่ึง เพราะมี ที่ ๆ รื่นรมยน า นัง่ นาชมอยทู ว่ั ๆ ไปอกี อยา งหนึ่ง (มาถึงตอนนี้ แมแ ตต ัมพปณณิทวปี ก็วเิ ศษกวา มัชฌิมประเทศในชมพูทวีปเสียแลว ) ๒. ทฺวาร ในท่นี ี้จะแปลวา 'ประต'ู ความไมผ ุด สูแ ปลวา 'ชอง' ไมไดเ พราะมตี วั อยา งอยใู น บา นเมืองเราน้ี คอื ทาจอดเรอื สนิ คา ยอ ม ๆ รมิ ทะเล มีทางข้นึ บกติดตอ ไปทีอ่ ่นื ได เขาเรยี กวา 'ชอ ง' เชน ชอ งแสมสาร ทสี่ ัตหีบ จังหวัดชลบรุ ี

ประโยค๘ - วสิ ุทธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนา ที่ 197 วา \"แนะ อุบาสก ตงั้ แตก าลทบ่ี รรพชาแลวไป ทานจะจดั การไมไ ด ทา นจงจดั การมนั เสยี บดั นี้แหละ\" ดงั นี้ ทา นจงึ ประกาศวา \"คน ทั้งหลายผูมาสสู ถานทีน่ ายวิสาขะบรรพชา อยา งไดม อื เปลา (กลบั ) ไป เลย\" แลว แก (ถงุ ) โปรย (ทานกหาปณะ)๑ ในวงสีมาแลว จึง บรรพชาอุปสมบท ทาน (อยมู า) มพี รรษาครบ ๕ แลว (เรยี น ทํามาตกิ า ๒ มาตกิ าใหค ลอ งแลว ปวารณา (ออกพรรษา) แลว เรยี นเอากรรมฐานที่เปน สปั ปายะแกแลว เที่ยวอยูบ ําเพญ็ วัตรสมํ่า เสมอกันไปในวหิ ารหนึ่ง ๆ วหิ ารละ ๔ เดอื น ๆ๒ และ พระเถระวิสาขะ (นน้ั ) เทย่ี ว (บําเพญ็ วตั ร) ไปอยา งน้ันอยู (วนั หนง่ึ ) ยนื อยูใ นกลางปา (พจิ ารณา) ตรวจคน ดคู ุณธรรมของตนไป จะ บันลอื เสียง (ใหป รากฏไว) จึงไดก ลา วความขอ นวี้ า \"ขา พเจา อปุ สมบทมาโดยกาลเทาใด (และ) มาในทนี่ ้ีโดยกาลเทาใด ในระหวา งกาลเทาน้ันน้ี (ความผดิ ) ของขาพเจา ไมมเี ลย โอ เปนลาภแท นะทา นผนู ริ ทุกขท้งั หลาย\" ๑. จะเปน เยยี่ งทค่ี นไทยเรา (ผูม ีเงิน) จดั ใหเ จา นาคโปรยทานท่หี นา โบสถ กอ นจะเขาไปขอ อปุ สมบท (ซ่ึงบดั น้ไี มใ ครน ิยมกนั แลว ) หรอื เปลา ๒. สมวตฺตวาส มหาฎกี าใหอ รรถาธิบายวา กลาวกันวาพระเถระองคน เี้ ขาไปสูว หิ ารใด ๆทา น ไมค ดิ วา 'ฉันเปน อาคนั ตุกะ' ทา นจะบําเพญ็ วัตรตา ง ๆ ที่ควรบําเพ็ญ เยยี่ งภิกษปุ ระจําในวหิ า น้นั ๆ เสมอกนั ทุกแหง ที่ทานไปอยู แตลางอาจารยป ระสงคความวา อยดู วยวิหารธรรมคอื เมตตา อนั เปน ไปเสมอในสตั วท้ังปวง เพราะพระเถระองคน้เี ปน ผูมีเมตตาเปน วหิ ารธรรม ทั้งในเวลากอ และหลังบรรลุพระอรหัต

ประโยค๘ - วสิ ทุ ธมิ รรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาที่ 198 ทา นกาํ ลงั เดินไปจติ ตลบรรพตวิหาร ถึงทางสอบแพร ก็หยดุ คิดอยูวา ทางนี้หรือทางน้หี นอ ครนั้ น้ันเทวดาผลู ิงอยูท ่ีภูเขาย่นื มือช้ใี หท านวา นน่ั ทาง ทา นอยทู ีจ่ ติ ตลบรรพต ๔ เดอื นแลว คดิ วาจักไปในเวลา เชาตรูแ ลว (เขา) จาํ วดั เทวดาผสู งิ อยูทต่ี นมณิละทางหวั ท่ีจงกรม (มา) น่งั รองไหอยทู ี่ข้ันบันได พระเถระทักวา ใครนนั่ \"ขาพเจาชือ่ มณลิ ิยา๑ เจาขา\" \"รองไหท ําไม\" \"เก่ยี วกบั การจะไปของทา น\" \"เมื่ออาตมาอยูที่นี่ มคี ุณอะไรแกทา นทง้ั หลาย\" \"ทา นเจาขา เมอ่ื ทานอยทู ีน่ ี่ พวกอมนษุ ย มีเมตตากันและกัน ทนี ้ี คร้นั ทานไปเสีย เขาท้งั หลายก็จักกอนการทะเลาะกนั พูดคําหยาบ กัน\"๒ พระเถระจงึ วา \"ถา เมื่ออาตมาอยูที่นี่ ความอยูผาสกุ (เกดิ ) มีแกท านทงั้ หลายไซร กน็ บั เปน การดีอยู\" แลวอยทู จี่ ติ ตลบรรพต นน้ั ตอ อกี ๔ เดอื น แลวยงั คมนจิต (ความคดิ จะไป) ใหเ กดิ ขนึ้ เชนเดิมอกี ขางเทวดาก็ (มา) รอ งไหเ ชนน้ันอีก โดยอบุ ายน้นั พระเถระอยูที่น่ัน (จน) ปรนิ พิ พานไปในทีน่ ้ันเองแล ภิกษุผมู เี มตตา เปน วิหารธรรม ยอมเปน ทร่ี กั ของอมนษุ ยท ั้งหลาย ดังนี้๓ ๑. มหาฎีกาวา รุกขเทวดามกั ไดช ่อื ตามตน ไมท ีอ่ าศยั เทวดาผนู ้ีอยูทต่ี น มณิละ จงึ ไดช ่ือเชน นน้ั ๒. พวกอมนษุ ยนห้ี มายถึงอะไร หมายถงึ จําพวกอสรุ กายกระมงั ๓. ฟง จนจบแลว ก็ไมท ราบวา พระวสิ าขะทา นบาํ เพญ็ เมตตาอยา งไร อมนุษยถ ึงไดร ักนกั ทานเลา แตผล เหตไุ มเ ลา

ประโยค๘ - วสิ ุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หนาท่ี 199 ขอ วา 'เทวดารกั ษา' คือเทวดาทง้ั หลายยอ มรักษา (ผมู เี มตตา เปน วหิ ารธรรม) ดุจมารดาบิดาทง้ั หลายรักษาบุตรฉะนัน้ ขอวา 'ไฟก็ดี พิษกด็ ี ศสั ตราก็ดี ไมแผวพานเขา' อธิบายวา ไฟเลา ก็ไมแผวพาน คอื ไมเ ขาในรา งกายของผูมเี มตตาเปน วิหารธรรม ดุจไฟไมเขาในรางกายของอตุ ตราอบุ าสิกา* ฉะนน้ั พิษเลาก็ไมแ ผว พาน คอื ไมเขา ในรางกายของผูม เี มตตาเปนวิหารธรรม ดจุ พษิ ไมเ ขาในรา ง กายของพระจฬุ สิวเถระผูสวดสงั ยตุ นิกายฉะนั้น ศสั ตราเลา ก็ไมแ ผวพาน คือไมเขาในรางกายของผูมีเมตตาเปนวหิ ารธรรม ดจุ ศสั ตราไมเ ขา ใน รางกายของสงั กิจจสามเณรฉะนัน้ มีอธิบายวา ไฟกด็ ี พษิ ก็ดี ศสั ตราก็ดี ยอมไมท ํารางกายของทา นผมู เี มตตาเปนวิหารธรรมนนั้ ใหกําเริบไดและ ในขอ น้ี บัณฑติ ท้ังหลายกลา วเรื่องแมโคนม (เปน นิทัสนะ) บา งก็ได มเี ร่ืองเลา วา แมโคนมตวั หนึ่ง ยืนปลอ ยกษรี ธารา (สายนา้ํ นม) ใหแกลูกโคอยู พรานผูหน่ึง คิดจะแทงมนั จงึ ควงหอกดามยาวพุงไป หอกน้ัน (ไป) ถงึ รางมันเขากป็ ลวิ ไปดังใบตาล (ไมเขา) (ทงั้ น้ี) ดว ย กําลังแหง อุปจารสมาธิก็หามไิ ด ดว ยกาํ ลงั แหง อปั ปนาสมาธกิ ็หามไิ ด เลย (แต) ดว ยความที่แมโคนน้ั มีจิตรักใครเ ปน กาํ ลงั ในลูกโคเทา นนั้ เมตตามีอานุภาพมากดังนีแ้ ล ตกลงจะบวช เดนิ ไปโบสถ ยังพกเงนิ อยอู ีก ถาถงุ เงนิ ไมหลน เสียกอน มพิ กเขา ไปถงึ ในโบสถห รือ ฟงดูราวกะเปน คนไมรูเ หนอื รใู ต ทา นเลาเลอะเลอื นหรือเปลา สําเรจ็ อรหัตดวยกรรมฐานอะไร สําเร็จเมื่อไร ทานกไ็ มเ ลา ไปโผลเอาตอนจบวา ปร-ิ นิพพานอยูท่จี ติ ตบรรพตนั้นเอง * อุตตราอบาสกิ าถกู นางสริ ิมารดดว ยน้าํ มันเดอื ด ๆ ทีว่ า ไฟไมเ ขา หมายความวา ไมรอ นกระมงั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook