Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ล่องเรือเที่ยววัด รอบเกาะรัตนโกสินทร์

ล่องเรือเที่ยววัด รอบเกาะรัตนโกสินทร์

Published by dul114_2011, 2022-01-07 18:00:13

Description: -

Search

Read the Text Version

ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา เที่ยววัดรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ONE DAY

022-3445555 ปิยพรพาทัวร์ www.piyapornpatour.com ตารางเวลาการเดินทาง 5.30 น. - 6.00 น. เจอกันที่จุดนัดพบ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร และออกเดินทาง 8.00 น. เดินทางถึง วัดพระแม่ลูกประคำ 9.00 น. ถึง วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร 10.00 น. ถึง วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร 11.00 น. ถึง รับประทานอาหารกลางวัน 12.30 น. ถึง วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร 14.00 น. ถึง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม 15.30 น. ถึง วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร 16.30 น. ถึง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ 18.00 น. ถึง ตลาดวังหลัง 20.00 น. เดินทางกลับ

แซอขวยงวตานลิชาด2น้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร วัดแม่พระลูกประคำ หรือ โบสถ์กาลหว่าร์ เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกทรงกอทิก เป็นโบสถ์หลังที่สาม ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทดแทนโบสถ์หลังเดิมที่ถูกเพลิงไหม้ใหญ่ในปี พ.ศ. 2407 โบสถ์มีอายุ 130 ปี ถือเป็นโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ \" กาลหว่าร์ \" น่าจะมาจากคำว่า กัลวารีโอ เนินเขาที่ทำการตรึงพระเยซู ที่กางเขนนั่นเอง บาทหลวงไพทูรย์ หอมจินดา อธิการโบสถ์องค์ปัจจุบัน อาคารยาว : 50.65 เมตร นิกาย : โรมันคาทอลิก อาคารกว้าง : 23.03 เมตร รูปแบบสถาปัตย์ : กอทิก พื้นที่ใช้สอย : 1,166.46 ตร.ม. ปีสร้าง : พ.ศ. 2434

โบสถ์แห่งนี้มีจุดเด่นที่สำคัญ คือ รูปปั้ น 2 รูป ซึ่งเป็นสมบัติเก่าแก่ตั้งแต่ การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง \"รูปแม่พระลูกประคำ\" \"รูปพระศพของพระเยซูเจ้า\" โบสถ์หลังแรก (1787-1837) โบสถ์หลังที่สอง (1838-1890) โบสถ์หลังที่ 3 (1897-ปั จจุบัน) HOLY ROSARY CHURCH

เถขนตนธปนรบะุรชีาธิปก กรุงเทพมหานคร วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร เป็นพระอารามเพียงแห่งเดียวที่ถือเป็น “พุทธสถานประจำสมเด็จเจ้าพระยาฯ” สร้างขึ้นเพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง เป็นที่ตั้งของอุทยานเขามอหรือเขาเต่า ซึ่งเป็นภูเขาจำลองที่มีเต่าและตะพาบน้ำ จำนวนมาก หนึ่งในถาวรวัตถุสำคัญของชาติที่กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนไว้ ชาวบ้านนิยมเรียกว่า \" วัดรั้วเหล็ก \" พระอุโบสถ เป็นสถาปัตยกรรมแบบทรงไทย พระประธานเป็นพระพุทธรูปหล่อด้วยโลหะปาง มารวิชัย นับเป็นพระพุทธรูปองค์แรกของไทยที่ช่างฝีมือปิดทองเป็นชาวต่างชาติจากประเทศญี่ปุ่น เป็นสถาปัตยกรรมแบบทรงไทย หน้าบันสลักลวดลายดอกไม้สวยสดงดงาม พระวิหาร และปิดทองประดับกระจกแพรวพราว มีซุ้มประตู 4 ประตู บานประตูประดับมุก หลวงพ่อ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย พระพุทธนาค

พระบรมธาตุเจดีย์ เป็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ทรงกลมเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุตั้งแต่ พ.ศ. 2450 เป็นภูเขาจำลองขนาดเล็ก ก่อด้วยศิลา ตั้งอยู่กลางสระน้ำบริเวณหน้าวัด อุทยานเขามอ มีศาลาราย 8 หน้า ตั้งอยู่ริมสระน้ำเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป (เขาเต่า) จุดท่องเที่ยวที่สำคัญของวัด พระอุโบสถ พระวิหารหลวงพ่อพระพุทธนาค พระบรมธาตุเจดีย์ เกร็ดความรู้เพิ่มเติม วัดนี้เป็นพระอารามหลวงชั้นโท \" ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2371 \" โดยสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ) ขณะดำรงตำแหน่งเจ้าพระยาพระคลัง ได้อุทิศที่ดินสวนกาแฟ ณ ตำบลกุฎีจีนเพื่อใช้เป็นอารามสำหรับพระภิกษุสงฆ์และฆราวาส ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยและปฏิบัติธรรม วัดแห่งนี้ใช้เวลาในการก่อสร้างนานกว่า 8 ปี จึงเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2379 และฉลองวัดในวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2379 โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานนามว่า \"วัดประยุรวงศาวาส\"

ถนนอรุณอมรินทร์ ธนบุรี , กรุงเทพมหานคร วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ประวัติ เดิมทีเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) ได้อุทิศบ้านและซื้อที่ดินข้าง เคียงเพิ่มเติมเพื่อสร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2368 แล้วน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาท สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระราชทานนามว่า วัดกัลยาณมิตร ต่อมาพระองค์ทรงสร้างพระราชทาน ทั้งพระวิหารหลวงและพระประธานสำหรับ พระวิหารหลวง คือ หลวงพ่อโตหรือพระพุทธไตรรัตนนายก โดยทรงมีพระราช ประสงค์ให้เป็นพระพุทธรูปใหญ่ อยู่ริมแม่น้ำแบบเดียวกันกับที่วัดพนัญเชิงกรุงเก่า ซึ่งหลวงพ่อโตเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงโดยเฉพาะในหมู่ชาวจีนและพากันเรียก ขานท่านว่า ซำปอฮุดกงหรือซำปอกง โดยเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 5 วา 3 ศอกคืบ สูง 7 วา 2 ศอกคืบ 10 นิ้ว ตั้งอยู่ภายในพระ วิหารขนาดใหญ่กลางวัดตรงกลางระหว่างวิหารเล็กและพระอุโบสถหน้าวิหารหลวง

เป็นหอระฆังที่เพิ่งสร้างใหม่ และเก็บระฆังยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดของไทย ภายในพระ อุโบสถ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าพระวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ (ป่าเลไลย์) โดยรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างพระราชทาน ทั้งยังถือเป็นวัดเดียวใน ประเทศไทยที่มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ ภายในมีภาพจิตรกรรม ฝาผนัง แสดงพุทธประวัติและวิถีชีวิตชาวบ้านชาวเมืองในสมัยรัชกาลที่ 3 มีหอ พระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกสมัยรัชกาลที่ 4 อีกด้วย สร้างขึ้นเมื่อ สมัยราชกาลที่ 3 เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต เอกลักษณ์สำคัญของวัด หลวงพ่อโตหรือพระพุทธไตรรัตนนายก พระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ ระฆังยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดของไทย

ถนนวังเดิม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร วัดประจำ รัชกาลที่ 2 ประเภท พระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรมหาวิหาร พระ พระประธาน พุทธ รูป พระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก สำ คัญ พระพุทธชัมพูนุช / พระแจ้ง / พระพุทธนฤมิตร

ประวัติ เป็นวัดโบราณ ที่สร้างในสมัยอยุธยา ที่ชื่อวัดแจ้ง เพราะว่าพระเจ้าตากฯ หลัง จากทำศึกเสร็จ แล้วได้ยกทัพกลับมาเป็นเวลาเช้าพอดีว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอก และกลายเป็นวัดมะกอกนอกใน เพราะได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกัน ชาวบ้านเรียกวัดที่สร้างใหม่ว่าวัดมะกอกในแล้วจึงเรียกวัดมะกอกซึ่งอยู่ปากคลอง บางกอกใหญ่ว่า \"วัดมะกอกนอก\" ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อ เชื่อกันว่าเมื่อสมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรี ในพ.ศ. 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้า วัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่แต่ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้องเพราะเพลงยาวหม่อม ภิมเสนวรรณกรรมสมัยอยุธยาที่บรรยายการเดินทางจากอยุธยาไปยังเพชรบุรีได้ระบุ ชื่อวัดนี้ไว้ว่าชื่อวัดแจ้งตั้งแต่เวลานั้นแล้ว เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับ ทรง เอาป้อมวิชัยประสิทธิ์ เป็นที่ตั้งตัวพระราชวังแล้วขยายเขตพระราชฐานจนวัดแจ้งเป็น วัดภายในพระราชวังและเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรที่ได้อัญเชิญ มาจากเวียงจันทน์ ใน พ.ศ.2322 ก่อนที่จะย้ายมาประดิษฐานที่วัดพระ ศรีรัตนศาสดาราม ในปี พ.ศ.2347 ในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้เสด็จมาประทับที่พระราชวัง เดิมและได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดแจ้งใหม่ทั้งวัด แต่ยังไม่ทันสำเร็จก็สิ้นรัชกาลที่ 1 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทรได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัย พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดแจ้งต่อมาและพระราชทานนาม ใหม่ว่า “วัดอรุณราชธาราม” ต่อมามีพระราชดำริที่จะเสริมสร้าง พระปรางค์หน้าวัด ให้สูงขึ้น แต่สิ้นรัชกาลเสียก่อน จนถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เสริมพระปรางค์ขึ้นและให้ยืมมงกุฎที่หล่อสำหรับพระพุทธรูปทรง เครื่องที่จะเป็นพระประธานวัดนางนองมาติดต่อบนยอดนภศูล ในรัชสมัยพระบาท สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชธาราม หลายรายการและให้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มาบรรจุไว้ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถด้วย เมื่อการปฏิสังขรณ์เสร็จสิ้นลง พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดอรุณราชวราราม”

สิ่งสำคัญภายในวัด พระพุทธรูปในระเบียงคดรอบพระอุโบสถ มณฑปพระพุทธบาท ประติมากรรมยักษ์ทศกัณฐ์ และยักษ์สหัสเดชะ พระปรางค์วัดอรุณฯ พระอุโบสถ

ถพนรนะนสคนรามไชย กรุงเทพมหานคร วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีจำนวนประมาณ 99 องค์ เดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนจารึกวัดโพธิ์จำนวน 1,440 ชิ้น เป็นมรดกความทรงจำโลกในทะเบียนนานาชาติ 16 มิถุนายน 2554 ทางยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน ให้เป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก วัดโพธิ์กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนา ที่ได้รับความนิยมของนักเดินทางเป็นจำนวนมาก จนได้รับรางวัลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ประจำปี 2551 รางวัลดีเด่น ประเภทแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย

ประวัติ วัดนี้ถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 และยังได้รับการประกาศรับรองให้เป็นมรดกความ ทรงจำแห่งโลก ไม่เพียงแต่เป็นวัดคู่บ้านเมืองมาช้านาน วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหารหรือวัดโพธิ์ ยังเป็นวัดประจำรัชกาลในรัชกาลที่ 1 อีกทั้งเปรียบเสมือน มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย โดยเมื่อครั้งอดีต พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ สร้างเป็นสถานที่เล่าเรียน พระปริยัติธรรมของพระภิกษุสงฆ์ เมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดโพธิ์ใหม่ และได้นำเอาตำราวิชาการ ด้านต่าง ๆ มาจารึกไว้โดยรอบ จนกลายเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนง พระพุทธไสยาสน์ สร้างใน สมัยรัชกาลที่ 3 ก่ออิฐถือปูนปิด ทองทั้งองค์ ฝ่าพระบาทแต่ละข้าง มีลวดลายประดับมุกเป็นภาพมงคล 108 ประการ อันเป็นลักษณะหนึ่ง ของมหาบุรุษตามคติของอินเดีย ปิดทองทั่วทั้งองค์ นับเป็นขนาด ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล เป็นมหาเจดีย์ขนาดใหญ่ 4 องค์ ตั้งอยู่ถัดจากพระอุโบสถ ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว สถาปัตยกรรมบริเวณซุ้มประตูมีลักษณะเป็นไทยประยุกต์แบบ จีน โดยจะมีตุ๊กตาหินจีนประดับอยู่ประตูละ 1 คู่ องค์พระเจดีย์ นั้นเป็นแบบเจดีย์ย่อไม้สิบสอง ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ

พระอุโบสถ ภายในพระอุโบสถ ประดิษฐาน พระพุทธเทวปฏิมากร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ซึ่งรัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมาจากวัดศาลาสี่หน้า ด้วยประสงค์ตั้งมั่นแน่วแน่ว่า นี่จะเป็นพระนคร อย่างถาวร (ปางสมาธิ สื่อถึงการตั้งจิตมั่นแน่วแน่) พระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถ ยักษ์วัดโพธิ์ ประติมากรรมรูป ยักษ์ที่ซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑปสร้างขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 3 สถูปเจดีย์หิน ตั้งอยู่ระหว่างพระระเบียงคดชั้นนอกและชั้นใน

ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร ประวัติ เป็นวัดโบราณสร้างในสมัยอยุธยาเดิมชื่อ วัดบางว้าใหญ่ สมัยธนบุรีพระเจ้าตากสิน มหาราช ทรงสร้างพระราชวังใกล้วัดบางว้าใหญ่ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำการ บูรณปฏิสังขรณ์ และขึ้นยกเป็นพระอารามหลวง และเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ในสมัยรัตนโกสินทร์ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ประชุมสังคายนาพระไตรปิฎก ซึ่งอัญเชิญมาจากนครศรีธรรมราชขึ้นที่วัดนี้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช วัดบางว้าใหญ่อยู่ในพระ อุปถัมภ์ของเจ้านายวังหลัง คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระเทพสุดาวดี (สา) พระเชษฐภคินีของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และเป็นพระชนนีของ กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข ทรงมีตำหนักที่ประทับอยู่ติดกับวัด ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัด ร่วมกับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขุดพบระฆังลูกหนึ่ง ซึ่งทรง พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยทรงสร้างระฆังชดเชยให้ วัดบางว้าใหญ่ 5 ลูก

พระปรางค์ เป็นสถาปัตยกรรมสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น นับว่า เป็นพระปรางค์ที่มีรูปทรงที่งดงามและถูกต้องตามแบบ พระปรางค์ในสมัยนั้น ซึ่งรูปแบบของพระปรางค์องค์นี้ ถือเป็นต้นแบบของพระปรางค์ในยุคต่อมาก็ว่าได้ พระอุโบสถ พระอุโบสถมีรูปทรงแบบสมัยรัชกาลที่ 1 หลังคามีลักษณะลด ระดับ 3 ชั้น มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์และคันทวยสลักเสลาอย่าง สวยงาม ที่มุขด้านหน้าและด้านหลังมีการทำปีกนกปกคลุมมุข ไขราหน้าจั่วหรือหน้าบัน มีการจำหลักลายพระนารายณ์ทรงครุฑ และประดับลายกนกปิดทองด้วยช่างผู้ชำนาญงาน ตำหนักแดง เป็นเรือนไม้ที่กรมพระราชวังบวรสถานพิมุขทรงยกถวายวัด ระฆังโฆสิตาราม ฝาไม้ของตัวเรือนเป็นไม้สัก จุดประสงค์ในการ สร้างก็เพื่อใช้เป็นกุฏิสำหรับพระสงฆ์ได้ใช้จำพรรษา

หอพระไตรปิฎก โดยแบ่งเป็น หอใต้ หอกลางและหอเหนือ โดยหอใต้มีลักษณะเป็นหอนอน หอกลางมีลักษณะเป็น ห้องโถง ส่วนหอเหนือมีลักษณะเป็นห้องนอนอีกห้อง พระประธานยิ้มรับฟ้า พระประธานในอุโบสถวัดระฆังโฆสิตารามเป็น พระพุทธรูปทำจากทองสำริด ปางสมาธิ ขนาดหน้า ตักกว้างประมาณ 4 ศอกเศษ พระพักตร์มีลักษณะ อมยิ้ม ที่บริเวณเบื้องพระพักตร์ขององค์พระประธานมี รูปพระสาวกจำนวน 3 องค์ นั่งประนมมือหันหน้า เข้าหาพระประธาน ประดุจกำลังรับพระพุทธโอวาจาก พระประธานองค์ พระประธานองค์นี้มิได้มีการระบุชื่อ หอระฆัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงมีพระราช กระแสรับสั่งให้สืบถามเรื่องระฆังของวัดบางหว้าใหญ่ซึ่งเป็นระฆังที่มี เสียงไพเราะยิ่งนัก ที่ขุดได้ในวัดนั้นว่าขุดได้ ณ ที่ใด ทรงขอระฆังเสียง ดีลูกนั้นไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงสร้างหอระฆังจตุรมุข พร้อมทั้งระฆังอีก 5 ลูก พระราชทานไว้แทน เพราะเหตุแห่งการขุด ระฆังได้ จึงได้ชื่อตามที่ประชาชนเรียกว่า วัดระฆัง ตั้งแต่นั้นมา

แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ประวัติ เป็นพระอารามหลวงฝ่ายมหานิกายชั้นเอก เดิมชื่อ วัดสลัก กรมพระราชวังบวร มหาสุรสิงหนาท โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใหม่พร้อมพระบรมมหาราชวัง พระราชทาน นามว่า วัดนิพพานาราม ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น วัดพระศรีสรรเพชญ์ เคยใช้เป็นที่ สังคายนาพระไตรปิฏก หลังจากกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทรงเปลี่ยนนามพระอารามใหม่ว่า วัด มหาธาตุ ส่วนคำว่า ยุวราชรังสฤษดิ์ มาเพิ่มในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หลังจากที่ทรงปฏิสังขรณ์ ภายในวัดมีสิ่งสำคัญ คือ พระอุโบสถ พระวิหาร พระมณฑป วิหารโพธิ์ลังกา หรือวิหารน้อย ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และมหาวิทยาลัยสงฆ์ชื่อ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

พระวิหาร พระระเบียง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป ๑๐๘ องค์ (มีการสร้างเสริม ๔ องค์ รวม ๑๑๒ องค์) พระปรางค์และพระเจดีย์

พระมณฑปทรงสร้างครอบพระเจดีย์ทองซึ่งเป็นที่ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากนั้นยังมีพระพุทธที่นำ มาจากเมืองเหนือ เมืองสุโขทัย เมืองสวรรคโลก เมือง พิษณุโลก เมืองลพบุรี และที่กรุงเก่า กรมพระราชวังบวร มหาสุรสิงหนาทนำมาประดิษฐานไว้ภายนำพระมณฑปถึง ๒๘ องค์ล้วนแต่องค์งาม ๆ ทั้งนั้น พระมณฑปนี้ทรงสร้างไว้ด้านทิศตะวันออก กึ่งกลางระหว่างพระอุโบสถกับพระวิหาร พระองค์ทรง เอาเครื่องไม้ที่จะทรงสร้างปราสาทในวังหน้า นำมาสร้าง พระมณฑป แต่มณฑปที่สร้างด้วยเครื่องไม้นั้นถูกเพลิง ไหม้ พระอุโบสถและพระวิหารก็ถูกไหม้ในครั้งนั้นด้วย พระองค์ก็ทรงให้สร้างพระมณฑปใหม่ให้เป็นหลังคาทรง โรงอย่างที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน พระมณฑปนี้ได้รับการ บูรณปฏิสังขรณ์มาตามลำดับ พระอุโบสถที่กรมพระราชวังบวรมหา สุรสิงหนาททรงสร้างไว้นั้น ได้ถูกเพลิงไหม้ใน คราวเดียวกับพระมณฑป พระองค์ทรงโปรดให้ บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ โดยขยายตัวอาคาร พระอุโบสถออกถึงแนวเขตสีมาจนเกือบชิดกับ พระมณฑป จึงยกสีมาขึ้นติดกับแนวผนัง ประตูติดตั้งให้เปิดออกด้านข้าง ลักษณะพระ อุโบสถอย่างนี้มีเพียง ๒ แห่งคือวัดมหาธาตุกับ วัดชนะสงคราม เพราะทั้ง ๒ วัดนี้กรม พระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสร้าง

ตลาดวังหลัง เป็นสถานที่เก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่าตายาย นานมาหลายต่อหลายรุ่น ที่มา ของชื่อเรียกติดปากว่า “วังหลัง” นั้น เพราะว่าแต่เดิมแล้วบริเวณที่ตั้งส่วนหนึ่ง ของตลาดในปัจจุบันคือ พระราชวังของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ กรมพระราชวังบวรสถานภิมุข ในสมัยรัชกาลที่ 1 และในปัจจุบันวังเก่าแห่งนี้ เป็นตลาดนัดที่มีของมากมายหลายหลากตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบเลยทีเดียวค่ะ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook