Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

RE

Published by amnart07, 2018-06-16 08:39:47

Description: RE

Search

Read the Text Version

17 มถิ ุนำยน 2561การเขียนเคา้ โครงวจิ ยั อำนำจ อม่ิ สุข วทิ ยำลยั เทคนิคปรำจนี บุรี แผนกวชิ ำช่ำงยนต์

กำรเขยี นเค้ำโครงวจิ ยัควำมหมำยและควำมสำคญั ของเค้ำโครงวจิ ยั เค้ำโครงวทิ ยำนิพนธ์ เค้ำโครงกำรค้นคว้ำอสิ ระ หรือเค้ำโครงวจิ ยั เป็ นเอกสำรแสดงรำยละเอยี ดของกำรวำงแผนกำรวิจัยทผ่ี ู้วิจัยหรือนักศึกษำระดับบัณฑิตศึกษำได้จัดทำขึน้ เพ่ือเป็ นกรอบและแนวทำงกำรทำวิจัยต้ังแต่ต้นจนจบ กำรเขยี นเค้ำโครงกำรวจิ ัย มคี วำมสำคญั และจำเป็ นต่อกำรทำวจิ ัย ดังนี้ 1. ทำให้ผู้วิจัยได้เรียบเรียงจัดลำดับเช่ือมโยงและขัดเกลำควำมคิดอย่ำงเป็ นระเบียบชัดเจนและถูกต้องตำมระเบียบวิธีวิจัยก่อนทจี่ ะดำเนินกำรวจิ ยั จริง 2. ทำให้ผู้วจิ ยั มแี ผนปฏบิ ัตกิ ำรวจิ ยั ทชี่ ัดเจนและสำมำรถควบคุมกำรวจิ ยั ให้บรรลุเป้ำหมำยของกำรวจิ ยั 3. เป็ นเอกสำรสำหรับผู้วจิ ัยเพ่ือเสนอขออนุมัติ และหรือขอรับกำรสนับสนุนกำรดำเนินกำรวจิ ยั หรือกำรทำวทิ ยำนิพนธ์และกำรค้นคว้ำอสิ ระจำกคณะกรรมกำรทปี่ รึกษำหรือผู้เกยี่ วข้อง 4. เป็ นเอกสำรสำหรับคณะกรรมกำรหรือผู้เกยี่ วข้องใช้ตรวจสอบควำมสำคญั ประโยชน์ที่ได้รับ และควำมเหมำะสมกบั ระดับและสำขำวชิ ำที่ศึกษำ ซ่ึงเป็ นกำรยืนยันว่ำผู้เสนอเค้ำโครง มีศักยภำพ ได้ศึกษำค้นคว้ำแนวคดิ ทฤษฎี และงำนวิจัยท่เี ก่ยี วข้องมำกพอท่ีจะดำเนินกำรวิจัยในหัวข้อทเี่ สนอน้ันให้สำเร็จตำมเป้ำหมำยได้ 5. เป็ นเอกสำรสำหรับกำรสื่อสำรสร้ำงควำมเข้ำใจให้ผู้สนใจท่ัวไปได้ทรำบรำยละเอยี ดของลักษณะงำนวิจัยซึ่งจะเป็ นข้อมูลในกำรตัดสินใจศึกษำงำนวิจัยน้ัน ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในโอกำสต่อ ๆ ไป

รูปแบบกำรเขยี นเค้ำโครงวิจัย รูปแบบกำรเขียนเค้ำโครงวจิ ัย เขียนได้หลำยรูปแบบ แต่ท้ังนี้ควรเป็ นไปตำมลำดับเหตุผลของกำรวิจัย กำรนำเสนอรูปแบบกำรเขียนเค้ำโครงวิจัย มีจุดมุ่งหมำยเพ่ือให้ผู้วิจัยเขยี นเค้ำโครงวจิ ัยได้ถูกต้องตำมข้นั ตอนและเข้ำใจกระบวนกำรกำรทำวจิ ัย รูปแบบกำรนำเสนอเค้ำโครงวจิ ยัมคี วำมสำคญั อย่ำงยง่ิ ต่อข้นั ตอนกำรทำวจิ ัย สำหรับมหำวทิ ยำลยั รำชภัฏพระนคร ได้กำหนดรูปแบบเค้ำโครงวจิ ัย ประกอบด้วย 3 บทดังนี้ บทที่ 1 บทนำ ควำมเป็ นมำและควำมสำคญั ของปัญหำกำรวจิ ัย คำถำมวจิ ัย วตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ยั ประโยชน์ของกำรวจิ ยั ขอบเขตของกำรวจิ ัย ตัวแปรทใ่ี ช้ในกำรวจิ ัย นิยำมศัพท์เฉพำะ กรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ัย สมมติฐำนกำรวจิ ยั (ถ้ำม)ี ข้อพจิ ำรณำด้ำนจรรยำบรรณและจริยธรรมในกำรวิจยั (ถ้ำม)ี บทท่ี 2 เอกสำรและงำนวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้อง แนวคดิ และทฤษฎที เี่ กยี่ วข้อง งำนวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้อง บทที่ 3 วธิ ดี ำเนินกำรวจิ ัย แบบของกำรวจิ ัย ประชำกรและหน่วยวเิ ครำะห์ กำรเลือกกล่มุ ตวั อย่ำงและแผนกำรสุ่มตัวอย่ำง

เครื่องมือทใ่ี ช้ในกำรวจิ ัย กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล กำรวเิ ครำะห์ข้อมูล บรรณำนุกรม ภำคผนวก 1. ตวั อย่ำงเคร่ืองมือวจิ ัย 2. ระยะเวลำดำเนินกำรวจิ ัย (Research timeline) 3. แผนกำรจัดกำรทรัพย์สินทำงปัญญำ (ถ้ำม)ี 4. แผนกำรใช้งบประมำณในกำรวจิ ัย 5. อ่ืน ๆ (ถ้ำม)ีแนวทำงกำรเขยี นเค้ำโครงวจิ ัย เค้ำโครงวจิ ยั มคี วำมสำคญั อย่ำงยง่ิ ในกำรดำเนินกำรวิจยั เน่ืองจำกเป็ นข้นั ตอนแรกของงำนวจิ ัย ทแ่ี สดงถงึ กำรศึกษำค้นคว้ำแนวคดิ หลกั กำรทฤษฎเี พื่อบูรณำกำรสู่กรอบควำมคดิ ตวั แปรกำรวจิ ยั และกำรออกแบบวจิ ยั เพ่ือให้คณะกรรมกำรพจิ ำรณำว่ำผู้วจิ ยั มคี วำมสำมำรถและแนวทำงทำกำรวจิ ยั ได้จนประสบผลสำเร็จหรือไม่ และคณะกรรมกำรจะช่วยให้ข้อเสนอแนะเพม่ิ เติมเพ่ือให้ผู้วิจัยมีควำมชัดเจนและได้เค้ำโครงวิจัยท่ีมีควำมสมบูรณ์ ถูกต้องและมคี ุณภำพตำมมำตรฐำนของมหำวทิ ยำลยั กรณีเป็ นวิทยำนิพนธ์หรือกำรค้นคว้ำอสิ ระของนักศึกษำ มหำวิทยำลยั จะจัดให้มีคณะกรรมกำรควบคุมหรือกรรมกำรทปี่ รึกษำวทิ ยำนิพนธ์ให้คำปรึกษำแนะนำ อำจำรย์ทป่ี รึกษำวทิ ยำนิพนธ์และกำรค้นคว้ำอสิ ระมคี วำมสำคญั ต่อนักศึกษำมำกในกำรให้คำแนะนำและกำกบั ดูแลคุณภำพกำรทำวจิ ัยให้แก่นักศึกษำ ดงั น้ันนักศึกษำต้องดำเนินกำรวจิ ัยและพบอำจำรย์อย่ำงต่อเนื่องตำมประกำศมหำวิทยำลยั รำชภัฏพระนคร ต่อไปนีเ้ ป็ นคำแนะนำกำรเขยี นเค้ำโครงวิจัย สำหรับคณำจำรย์ บุคลำกร นักวิจัย รวมท้งันักศึกษำท่ัวไป สำมำรถนำหลกั เกณฑ์กำรเขียนเค้ำโครงวิจัยไปใช้ได้โดยอนุโลม

1. หลกั เกณฑ์กำรกำหนดหวั ข้อวจิ ยั กำรกำหนดหวั ข้อวจิ ยั ผู้วจิ ยั ต้องมปี ัญหำหรือข้อสงสัยอยำกรู้ และต้องกำรแสวงหำคำตอบ โดยมหี ลกั เกณฑ์ดังนี้ 1.1 เรื่องทจี่ ะศึกษำควรเป็ นเร่ืองท่ีผู้วิจัยมีควำมรู้ควำมสนใจและมีควำมเป็ นไปได้ในกำรดำเนินกำรศึกษำ 1.2 ศึกษำและทบทวนวรรณกรรมหรือผลงำนวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้องทอี่ ยู่ในประเด็นหรือขอบเขตทจ่ี ะศึกษำ 1.3 นำหวั ข้อหรือเรื่องทจ่ี ะศึกษำไปปรึกษำทป่ี รึกษำ 1.4 หัวข้อทจี่ ะศึกษำเป็ นหัวข้อทเี่ ป็ นบริบทในสำขำวชิ ำทสี่ นใจหรือศึกษำอยู่ 2. หลกั เกณฑ์กำรต้งั ชื่อเรื่องวจิ ยั ชื่อเรื่องวจิ ยั ทดี่ ีมลี กั ษณะ ดังนี้ 2.1 สอดคล้องและสะท้อนประเดน็ ปัญหำทผ่ี ู้วจิ ัยสนใจ 2.2 ระบุตัวแปรท่ีสำคัญรวมอยู่ด้วย ตัวแปรท่ีสำคัญคือตัวแปรตำมและหำกช่ือเร่ืองสำมำรถระบุได้ถึงประชำกรและพื้นท่ีในกำรศึกษำ กจ็ ะเป็ นชื่อเรื่องกำรวิจัยท่ีสมบูรณ์ยง่ิ 2.3 ส้ันกะทดั รัด ได้ใจควำมและเป็ นภำษำท่ีเข้ำใจง่ำย ไม่ซ้ำซ้อน มคี วำมหมำยเฉพำะและสะท้อนประเดน็ ปัญหำกำรวจิ ัยได้ชัดเจน 3. หลกั เกณฑ์กำรเรียบเรียงและกำรนิพนธ์ กำรเรียบเรียงและกำรนิพนธ์ มหี ลกั เกณฑ์ ดงั นี้ 3.1 หลกั ควำมรับผดิ ชอบในเนื้อหำสำระและสำนวนโวหำร งำนวจิ ัยถือเป็ นกำรนิพนธ์และกำรใช้สำนวนโวหำรของผู้วจิ ยั โดยตรง 3.2 หลักกำรบูรณำกำรและกำรสังเครำะห์ กำรนำเสนอข้อมูลและผลกำรทบทวนเอกสำรที่ผู้วิจัยรวบรวม ควรเรียบเรียงจำกกำรประมวลควำมรู้ โดยกำรบูรณำกำรและสังเครำะห์ผลงำนและแนวคิดทฤษฎีนั้น ไม่ควรตัดต่อข้อควำมจำกเอกสำรหรือตำรำต่ำง ๆ ที่ ผู้วจิ ัยค้นคว้ำมำเรียงเป็ นช้ันๆหรือต่อติดเป็ นท่อน ๆ

3.3 หลกั กำรสรุปผลเน้นสู่ประเด็นกำรศึกษำ ผู้วจิ ัยต้องระวังกำรสรุปประเด็น ต่ำงไปจำกประเด็นที่ผู้วิจัยกำลังสนใจศึกษำอยู่ และระวังไม่ให้หลงทิศทำงไปสู่เร่ืองที่ไม่เก่ียวข้องกับประเด็นทต่ี ้องกำรศึกษำ 3.4 หลกั กำรต้องไม่นำเสนอซ้ำซำก กำรนำเสนอข้อมูลหรือประเดน็ ต่ำง ๆ ต้องกระชับ กะทดั รัด เรียบง่ำย ไม่นำเสนอซำ้ อกี จนเกนิ ควำมจำเป็ น

กำรเขยี นเค้ำโครงวจิ ยั บทท่ี 1ควำมเป็ นมำและควำมสำคญั ของปัญหำกำรวจิ ยั กำรเขียนหัวข้อนีม้ ุ่งตอบคำถำมว่ำ ทำไมจึงศึกษำวิจัยเรื่องนี้ ศึกษำแล้วจะได้อะไร จึงเป็ นกำรเขียนที่แสดงถึงควำมสำคัญของปัญหำหรือเร่ืองที่เสนอจะทำวิจัย โดยจะต้องพยำยำมเขียนให้ทรำบที่มำของปัญหำและเหตุผลควำมจำเป็ นท่ีจะต้องศึกษำวิจัยให้ละเอียดชัดเจน ซ่ึงอำจจะต้องกล่ำวถึงปรำกฏกำรณ์หรือเรื่องรำวที่ผ่ำนมำของปัญหำที่จะวิจัย พร้อมระบุข้อมูลผลงำนวิจัยทมี่ ีผู้อ่ืนได้ศึกษำไว้แล้วทอี่ ำจมจี ุดอ่อนหรือประเด็นข้อสงสัยทค่ี วรจะต้องศึกษำเพม่ิ เติม รูปแบบกำรเขยี นอำจเขยี นได้ 2 ลกั ษณะคือ กำรเขยี นเป็ นข้อควำมทำงบวก โดยระบุเหตุผลว่ำปัญหำน้ันมคี วำมสำคญั หรือถ้ำได้ทำวจิ ัยเร่ืองน้ันแล้วจะมีประโยชน์อย่ำงไร หรือเขียนเป็ นข้อควำมทำงลบ ถ้ำไม่ได้ทำวจิ ยั เร่ืองนี้ จะเกดิ ผลเสียหำยอะไรบ้ำง หลกั เกณฑ์กำรเขยี นควำมเป็ นมำและควำมสำคญั ของปัญหำกำรวจิ ยั 1. ระบุควำมสำคญั ของเรื่องทจี่ ะศึกษำและชี้ให้เหน็ ปรำกฏกำรณ์หรือทมี่ ำของปัญหำให้ชัดเจน ตลอดจนระบุเหตุผลทจ่ี ะต้องศึกษำวจิ ยั อย่ำงสมเหตุสมผล 2. ควรนำทฤษฎแี ละหรือแนวคดิ ของผู้ท่เี ช่ือถือได้เป็ นที่ยอมรับเกย่ี วกบั เรื่องทจี่ ะศึกษำมำกล่ำวเพื่อเป็ นข้อมูลสนับสนุน 3. ชี้ให้เห็นว่ำคำถำมวจิ ยั หรือปัญหำกำรวจิ ัย (Research problem) หรือปัญหำทจี่ ะศึกษำน้ันคืออะไร ระบุปัญหำหรือเรื่องทจ่ี ะวจิ ยั ว่ำมคี วำมสำคญั อย่ำงไร 4. เขยี นให้ตรงประเดน็ ใช้ภำษำทถี่ ูกต้อง กะทดั รัด ได้ใจควำม และสำมำรถเรียบเรียงลำดับควำมคดิ อย่ำงต่อเน่ืองและชัดเจน 5. มกี ำรอ้ำงองิ แหล่งข้อมูลถูกต้องตำมรูปแบบทกี่ ำหนด

คำถำมวจิ ัย คำถำมวจิ ยั คือ ประเดน็ ปัญหำเฉพำะทผ่ี ู้วจิ ยั ต้องกำรแสวงหำคำตอบ ประเดน็ ปัญหำต้องสอดคล้องกบั หวั ข้อวจิ ยั ทกี่ ำหนดไว้ และผู้วจิ ัยต้องมคี วำมชัดเจนว่ำในกำรทำวจิ ัยเรื่องนี้ ผู้วจิ ยัต้องกำรคำตอบเกยี่ วกบั อะไรบ้ำง คำถำมวจิ ยั จะถูกนำไปเขยี นเป็ นวตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ยั คำถำมวจิ ัยอำจกำหนดเป็ นคำถำมรวม (ข้อใหญ่) และอำจมคี ำถำมวจิ ัย (ข้อย่อย ๆ ) กไ็ ด้ หรืออำจจะกำหนดเป็ นคำถำมวจิ ัยข้อย่อย ๆ ซ่ึงสะดวกกบั ผู้วจิ ัยทจี่ ะนำไปกำหนดเป็ นวตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ยั ต่อไป ตวั อย่ำงคำถำมวจิ ยั 1. ปัจจยั อะไรทส่ี ัมพนั ธ์กบั ควำมพงึ พอใจของผู้ใช้บริกำรทำงพเิ ศษเฉลมิ มหำนคร 2. ลูกค้ำของธนำคำรออมสิน สำนักงำนพหลโยธิน มีพฤติกรรมกำรใช้บริกำรด้ำนต่ำง ๆ ของธนำคำรออมสินอย่ำงไร 3. ปัจจัยเกื้อหนุนในกำรทำงำนมีผลต่อประสิทธิภำพในกำรปฏบิ ัติงำนของพนักงำนบริษทั วริ ิยะซัพพลำยจำกดั หรือไม่วตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ัย วตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ัยเป็ นทศิ ทำงของกำรดำเนินกำรวจิ ัยเพ่ือทำให้เกดิ ควำมชัดเจนว่ำกำรวจิ ยั เร่ืองน้ัน ๆ ต้องกำรศึกษำอะไรและด้ำนใดบ้ำง มวี ตั ถุประสงค์หลกั หรือวตั ถุประสงค์ย่อย ๆอะไรบ้ำง โดยปกตวิ ตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ัยเป็ นส่วนหนึ่งทจี่ ะช่วยทำให้ชื่อเรื่องหรือปัญหำกำรวจิ ยัมคี วำมชัดเจนมำกขนึ้ กำรต้ังวตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ยั ควรจดั เรียงตำมลำดับควำมสำคญั โดยข้อแรกๆ ควรเป็ นวัตถุประสงค์ที่ตรงหรือสอดคล้องกับช่ือเร่ืองหรือหัวข้อวิจัย ส่วนข้อต่อ ๆ ไปจึงเป็ นวัตถุประสงค์ทต่ี ้องกำรศึกษำรองลงมำ

หลกั เกณฑ์กำรเขยี นวตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ัย 1. เขยี นให้สอดคล้องหรืออยู่ในขอบข่ำยของประเดน็ ปัญหำกำรวจิ ัย 2. เขยี นเป็ นประโยคบอกเล่ำให้ชัดเจน และใช้ภำษำทเ่ี ข้ำใจง่ำย 3. เขยี นให้ครอบคลมุ เรื่องหรือประเด็นปัญหำทตี่ ้องกำรศึกษำ และชี้เฉพำะเจำะจงว่ำผู้วจิ ัยต้องกำรจะทำอะไร ต้องกำรค้นหำคำตอบอะไร 4. มคี วำมเป็ นไปได้ มขี อบเขตทพ่ี อเหมำะและสำมำรถหำข้อมูลเพ่ือตอบคำถำมหรือทดสอบได้ 5. เป็ นแนวทำงในกำรต้งั สมมติฐำนกำรวจิ ัย กำรพจิ ำรณำเลือกกล่มุ ตวั อย่ำงและกำรเลือกใช้สถิตเิ พ่ือกำรวเิ ครำะห์ข้อมูลได้ ตวั อย่ำง 1. เพื่อศึกษาทศั นคติของผบู้ ริโภค ในเขตกรุงเทพมหานครท่ีมีต่อการใชบ้ ริการศูนยฝ์ ึ กสอนกายบริหารแบบโยคะ 5 ดา้ น ดงั ต่อไปน้ีคือ 1.1 ดา้ นการใชบ้ ริการทวั่ ไป 1.2 ดา้ นบุคลากรผใู้ หบ้ ริการ 1.3 ดา้ นสถานท่ีใหบ้ ริการ 1.4 ดา้ นราคาคา่ บริการ 1.5 ดา้ นการประชาสมั พนั ธ์ 2. เพอื่ เปรียบเทียบทศั นคติของผบู้ ริโภคในเขตกรุงเทพมหานครที่เขา้ มาใชบ้ ริการศูนย์ฝึกสอนกายบริหารแบบโยคะ จาแนกตามตวั แปร เพศ อายุ สถานภาพ อาชีพ ระดบั การศึกษารายได้ ส่วนสูง และน้าหนกั ตวั ปัจจุบนัทมี่ ำ : ชูศรี วงศ์รัตนะ. (2549 : 24)

ประโยชน์ของกำรวจิ ยั กำรเขยี นประโยชน์ของกำรวจิ ยั เป็ นกำรสื่อสำรให้ทรำบว่ำ เมื่อได้ศึกษำเสร็จเรียบร้อยแล้วสำมำรถนำผลกำรวิจัยไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้ำง ประเด็นนี้อำจนับได้ว่ำเป็ นประเด็นท่ีสำคญั มำกประเดน็ หนึง่ ของเค้ำโครงวจิ ยั เพรำะเป็ นประเด็นทใ่ี ช้ประเมนิ ว่ำ งำนวจิ ยั เร่ืองนีจ้ ะมีผลอะไรท่นี ำมำใช้ประโยชน์ได้ และหรือมปี ระโยชน์มำกน้อยเพยี งใด ประโยชน์ท่ีได้รับจำกกำรวิจัยท่ีระบุไว้จะเป็ นส่วนบ่งชี้ถึงควำมสำคัญและควำมจำเป็ นทตี่ ้องทำกำรวจิ ยั ปัญหำน้ัน ๆ กำรวจิ ยั ทใี่ ห้ประโยชน์ในกำรนำไปใช้ได้มำก ถือว่ำเป็ นกำรวจิ ยั ทสี่ ำคญั และควรดำเนินกำรก่อน กำรกล่ำวถึงควำมสำคัญของกำรวิจัย มักจะอยู่ในรูปของกำรคำคคะเนว่ำถ้ำกำรวิจัยน้ันได้ผลตรงตำมวตั ถุประสงค์แล้วจะได้ควำมรู้อะไร และหรือใครหรือส่วนงำนใดจะสำมำรถนำไปใช้ในลกั ษณะใดได้บ้ำง ประโยชน์หรือควำมสำคญั ของกำรวจิ ัยจำแนกเป็ น 2 ประเภทคือ 1. ประโยชน์ทำงวชิ ำกำร หมำยถงึ องค์ควำมรู้ทช่ี ่วยเพมิ่ พนู ควำมรู้ในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง 2. ประโยชน์ทำงนโยบำยหรือกำรนำไปใช้แก้ปัญหำ หมำยถึงควำมรู้หรือข้อค้นพบทไ่ี ด้สำมำรถนำไปสู่กำรแก้ปัญหำ หรือกำรกำหนดนโยบำยของหน่วยงำนหรือองค์กร หลกั เกณฑ์กำรเขยี นประโยชน์ของกำรวจิ ัย 1. เขยี นในแง่ควำมรู้ทจี่ ะได้รับจำกกำรวจิ ัย ว่ำจะให้ข้อเทจ็ จริง หรือช่วยเพมิ่ พูนควำมรู้เรื่องใดได้บ้ำง 2. เขยี นในแง่ของกำรนำผลกำรวจิ ยั ไปประยุกต์ใช้ โดยกำรกล่ำวถงึ ผลทไ่ี ด้จำกกำรวิจัยน้ันว่ำจะเป็ นประโยชน์ต่อใคร เป็ นประโยชน์อย่ำงไร ใครหรือส่วนงำนใดจะนำข้อค้นพบไปใช้ประโยชน์ ในลกั ษณะใดได้บ้ำง 3. ข้อค้นพบ ตำมข้อ 1. และข้อ 2. ต้องสอดคล้องกบั วัตถุประสงค์ของกำรวิจัยกล่ำวคือ ผู้เขียนจะต้องพจิ ำรณำวัตถุประสงค์ของกำรวิจัยแต่ละข้อว่ำก่อให้เกิดควำมรู้อะไร แล้วจงึ พจิ ำรณำต่อไปว่ำ ควำมรู้น้ันเป็ นประโยชน์ต่อใครและสำมำรถนำไปใช้ในเร่ืองใดได้โดยไม่เขยี นจนเกนิ ควำมเป็ นจริง

ตวั อย่ำงประโยชน์ของกำรวจิ ัย การศึกษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบรรยากาศองคก์ ารกบั การมีส่วนร่วมในการประหยดั พลงั งานของพนกั งานธนาคารนครหลวงไทย อาคาสวนมะลิ คร้ังน้ีมีประโยชน์ดงั น้ี 1. นาขอ้ มูลความคิดเห็นต่อบรรยากาศองคก์ ารของพนกั งานธนาคารนครหลวงไทย อาคารสวนมะลิ ไปพฒั นาบรรยากาศองคก์ ารให้ดีข้ึน 2. นาขอ้ มูลการมีส่วนร่วมของพนกั งานธนาคารนครหลวงไทย อาคารสวนมะลิ ไปปรับปรุงกระบวนการใหพ้ นกั งานมีส่วนร่วมมากข้ึน 3. เป็นแนวทางในการวางแผนเกี่ยวกบั บรรยากาศองคก์ ารใหส้ อดคลอ้ งกบั การมีส่วนร่วมของพนกั งาน เพ่ือใหก้ ารดาเนินการในโครงการต่าง ๆ ขององคก์ ารเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพทมี่ ำ : วชั ระ ภริ มย์ไกรภกั ด์ิ. (2551 : 3)ขอบเขตของกำรวจิ ัย เป็ นกำรกำหนดกรอบของกำรดำเนินกำรวจิ ยั โดยกำหนดขอบเขตของกำรวจิ ัยว่ำจะศึกษำประเด็นอะไร กว้ำงขวำงเพยี งใด หลกั เกณฑ์กำรเขยี นขอบเขตของกำรวจิ ัย กำรเขยี นขอบเขตของกำรวจิ ยั ต้องระบุส่ิงต่ำง ๆ ดงั ต่อไปนี้ 1. ขอบเขตของประชำกรท่ีจะใช้ในกำรศึกษำวิจัยให้ชัดเจนว่ำประชำกรคืออะไร มีจำนวนเท่ำไร ถ้ำระบุได้ 2. ขอบเขตของเนื้อหำว่ำจะศึกษำเรื่องอะไร กว้ำงขวำงหรือลกึ ซึง้ มำกน้อยเพยี งใด 3. ขอบเขตของพืน้ ที่หรือสถำนทใี่ นกำรศึกษำ ซึ่งจะสะท้อนถึงแหล่งเกบ็ ข้อมูล

หรือประเด็นสำคัญของปัญหำกำรวิจัย อำจลงลึกถึงลกั ษณะสำคัญของตัวแปรเบื้องต้นได้แต่ไม่จำเป็ นต้องจำแนกรำยละเอยี ด 4. ช่วงระยะเวลำในกำรดำเนินกำรศึกษำวจิ ัย 5. ขอบเขตทจ่ี ำเป็ นอ่ืน ๆ หรือข้อจำกดั ต่ำง ๆ (ถ้ำม)ี ตัวอย่ำงขอบเขตของกำรวจิ ัย การศึกษาเร่ืองความตอ้ งการไดร้ ับสวสั ดิการของผสู้ ูงอายใุ นตาบลเสาธงหิน อาเภอบางใหญ่จงั หวดั นนทบุรี ผวู้ จิ ยั ไดก้ าหนดขอบเขตของการวจิ ยั ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ขอบเขตประชากร การวจิ ยั คร้ังน้ีเป็นการศึกษาความตอ้ งการการไดร้ ับสวสั ดิการของผสู้ ูงอายทุ ่ีมีอายตุ ้งั แต่60 ปี ข้ึนไป ท้งั เพศชายและหญิงท่ีอาศยั และมีทะเบียนบา้ นอยใู่ นเขตตาบลเสาธงหิน อาเภอบางใหญ่จงั หวดั นนทบุรี จานวน 1,810 คน 2. ขอบเขตเน้ือหา การวจิ ยั คร้ังน้ี เป็นการศึกษาความตอ้ งการการไดร้ ับสวสั ดิการของผสู้ ูงอายุ ในดา้ นต่าง ๆ ดงั น้ี 2.1 ดา้ นการแพทยแ์ ละสาธารณสุข 2.2 ดา้ นการศึกษา และขอ้ มูลขา่ วสาร 2.3 ดา้ นอาชีพและรายได้ 2.4 ดา้ นสิ่งอานวยความสะดวก และความปลอดภยั 2.5 ดา้ นท่ีอยูอ่ าศยั อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และสาธารณูปโภค 2.6 ดา้ นกิจกรรมทางสังคม และศาสนา และ 2.7 ดา้ นการสงเคราะห์เบ้ียยงั ชีพและการจดั การศพตามประเพณี 3. ขอบเขตพ้นื ท่ี พ้นื ท่ีในการดาเนินการวจิ ยั คร้ังน้ีคือ ตาบลเสาธงหิน อาเภอบางใหญ่ จงั หวดันนทบุรี 4. ขอบเขตระยะเวลา ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวจิ ยั ต้งั แตเ่ ดือนมีนาคม 2551 ถึงเดือนตุลาคม 2551

ทมี่ ำ : ชำญวทิ ย์ บ่วงรำบ. (2551 : 3-4)ตัวแปรทใี่ ช้ในกำรวจิ ัย ตัวแปร (variable) หมำยถงึ คำหรือ ข้อควำมทแี่ สดงข้อมูลท่แี ปรเปลยี่ นได้ หรือแสดงข้อมูลทมี่ คี ่ำได้มำกกว่ำ 1 ค่ำ เช่น เพศ เป็ นตัวแปร เพรำะมี 2 เพศ คือ เพศหญิงและเพศชำยผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน เป็ นตัวแปร เพรำะนกั เรียนแต่ละคนมผี ลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนต่ำงกนัหรือนักเรียนคนเดียวอำจจะมผี ลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียนเปลยี่ นแปลงได้เมื่อได้รับกำรพฒั นำ ในกำรวจิ ยั ตัวแปร คือ ส่ิงทผ่ี ู้วจิ ยั มุ่งศึกษำ ตัวแปรมหี ลำยประเภท โดยทว่ั ไปตัวแปรทใ่ี ช้ในกำรวจิ ยั แบ่งเป็ น 2 ประเภท ได้แก่ 1. ตัวแปรอสิ ระ หรือตัวแปรต้น (Independent variable) เป็ นตวั แปรต้นเหตุ ทจ่ี ะทำให้เกดิ กำรเปลยี่ นแปลงหรือกำรผนั แปรของตวั แปรอกี ตวั หน่ึงทเ่ี รียกว่ำ ตัวแปรตำม 2. ตัวแปรตำม (Dependent variable) เป็ นตัวแปรทเ่ี ป็ นผลจำกกำรกระทำของตวั แปรอสิ ระ หลกั กำรเขยี นตัวแปร 1. ถ้ำสำมำรถระบุประเภทของตวั แปรได้ ให้ระบุไว้อย่ำงชัดเจตว่ำตัวแปรใดเป็ นตัวแปรอสิ ระตวั แปรใดเป็ นตัวแปรตำม แต่ถ้ำไม่สำมำรถระบุประเภทของตวั แปรได้ ให้ใช้คำว่ำ ตวั แปรทศ่ี ึกษำตัวอย่ำง ช่ือเร่ือง กำรมสี ่วนร่วมของประชำชนในกำรพฒั นำแหล่งนำ้ ของชุมชน….. วตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ัย เพื่อศึกษำกำรมสี ่วนร่วมของประชำชนในกำรพฒั นำแหล่งนำ้ ของชุมชน ตัวแปรทศี่ ึกษำ คือ กำรมสี ่วนร่วมของประชำชน มี 4 ด้ำน ได้แก่ 1. กำรมสี ่วนร่วมในกำรศึกษำและให้ข้อมูล 2. กำรมสี ่วนร่วมในกำรวำงแผน 3. กำรมสี ่วนร่วมในกำรปฏบิ ตั หิ รือดำเนินงำน 4. กำรมสี ่วนร่วมในกำรติดตำมและประเมนิ ผล

จำกตัวอย่ำงถ้ำกำหนดวตั ถุประสงค์เพิ่มเติมว่ำ เพ่ือเปรียบเทยี บกำรมีส่วนร่วมของประชำชน จำแนกตำมเพศ กำรศึกษำ และอำชีพ กำรเขยี นตวั แปรต้องระบุประเภทของตวั แปร เช่น ตัวแปรอสิ ระ ได้แก่ เพศ กำรศึกษำ และอำชีพ ตวั แปรตำม คือ กำรมสี ่วนร่วมของประชำชน มี 4 ด้ำน ได้แก่ 1. กำรมสี ่วนร่วมในกำรศึกษำและให้ข้อมูล 2. กำรมสี ่วนร่วมในกำรวำงแผน 3. กำรมสี ่วนร่วมในกำรปฏบิ ตั หิ รือดำเนินงำน 4. กำรมสี ่วนร่วมในกำรตดิ ตำมและประเมนิ ผล 2. ตวั แปรทเี่ ลือกมำศึกษำต้องมเี หตุผล หรือข้อมูลสนับสนุนเพยี งพอ เช่น ตัวแปรอสิ ระ เพศกำรศึกษำ และอำชีพ จำกตวั อย่ำงข้อ 1 ผู้วจิ ยั ต้องมเี หตุผล หรือข้อมูลสนับสนุนเพยี งพอว่ำทำไมถึงเชื่อว่ำประชำชนทมี่ เี พศ กำรศึกษำ และอำชีพ ต่ำงกนั มคี วำมร่วมมือต่ำงกนั เหตุผล หรือข้อมูลสนับสนุนต้องมำจำกกำรศึกษำมำแล้วอย่ำงละเอยี ด ตวั อย่ำง ตัวแปรทใ่ี ช้ในกำรวจิ ัย การศึกษาปัจจยั ที่ส่งผลตอ่ ประสิทธิภาพในการปฏิบตั ิงานของขา้ ราชการรมควบคุม การปฏิบตั ิทางอากาศ กองทพั อากาศ มีตวั แปร ดงั น้ี 1. ตวั แปรอิสระ (Independent Variables) ไดแ้ ก่ ปัจจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั ประสิทธิภาพ ในการปฏิบตั ิงานไดแ้ ก่ 1.1 ความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การปฏิบตั ิงาน 1.2 ความพึงพอใจในการปฏิบตั ิงาน 1.3 ขวญั ในการปฏิบตั ิงาน 1.4 ความกา้ วหนา้ ในการปฏิบตั ิงาน 1.5 ความมน่ั คงและความปลอดภยั ในการปฏิบตั ิงาน 1.6 ความสมั พนั ธ์กบั เพือ่ นร่วมงาน 1.7 การบริหารงานของผบู้ งั คบั บญั ชา 1.8 นโยบายและกฏ ระเบียบของหน่วยงาน 1.9 สภาพแวดลอ้ มในการปฏิบตั ิงาน 2. ตวั แปรตาม (Dependent Variables) ไดแ้ ก่ ประสิทธิภาพในการปฏิบตั ิงานของ ขา้ ราชการกรมควบคุมการปฏิบตั ิทางอากาศ มี 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ 2.1 ดา้ นความรับผดิ ชอบ 2.2 ดา้ นความสาเร็จ

นิยำมศัพท์เฉพำะ นิยำมศัพท์เฉพำะ เป็ นกำรเขยี นอธิบำยควำมหมำยของคำ กล่มุ คำ ข้อควำม หรือ ตัวแปรทศี่ ึกษำเพ่ือส่ือควำมหมำยให้เข้ำใจตรงกนั ระหว่ำงผู้วจิ ยั กบั ผู้อ่ำน กำรนิยำมศัพท์เฉพำะถือเป็ นส่วนหน่ึงในกำรนิยำมหรือกำรชี้เฉพำะเจำะจงปัญหำกำรวจิ ัย กำรนิยำมศัพท์เฉพำะ มี 2 แบบ คือ 1. นิยำมศัพท์ตำมทฤษฎี (Constitutive definition) หรือนิยำมศัพท์ทวั่ ไป (Generaldefinition) เป็ นกำรอำศัยควำมคดิ เดมิ ท่ีเป็ นทย่ี อมรับกนั ทว่ั ไปหรือใช้ควำมตำมทฤษฎี ตำมผู้เช่ียวชำญ มำให้ควำมหมำยทเ่ี ป็ นกำรบอกคุณลกั ษณะเฉพำะทสี่ ำคญั ของตัวแปร คำศัพท์ หรือข้อควำมเฉพำะน้ัน ๆ ทำนองเดียวกบั กำรให้นิยำมตำมพจนำนุกรม 2. นิยำมศัพท์ปฏบิ ตั กิ ำร (Operational definition) เป็ นกำรให้ควำมหมำยในเชิงรูปธรรม หรืออธิบำยลกั ษณะกจิ กรรมทีส่ ำมำรถวดั ได้ สังเกตได้ของตัวแปรน้ัน กำรให้นิยำมระดับนีถ้ ือว่ำจำเป็ นมำกสำหรับศัพท์เฉพำะของตวั แปรทเ่ี ป็ นนำมธรรม ผู้เสนอเค้ำโครงอำจนำนิยำมทว่ั ไปมำอธิบำยควำมหมำยอย่ำงละเอยี ดอกี คร้ังหน่ึง โดยกำหนดสถำนกำรณ์ เง่ือนไขหรือสิ่งทเี่ ป็ นต้นเหตุทำให้เกดิ คุณลกั ษณะน้ัน พร้อมท้งั ระบุพฤตกิ รรมทส่ี ำมำรถสังเกตและวดั ได้ หลกั เกณฑ์กำรเขยี นนิยำมศัพท์เฉพำะ 1. ตัวแปรทีเ่ ป็ นนำมธรรมจะต้องให้นิยำมท้งั ระดับนิยำมศัพท์ทัว่ ไป และนิยำมศัพท์ปฏบิ ตั กิ ำร 2. กรณที ใ่ี ช้นิยำมของผู้อื่น ให้เขยี นอ้ำงองิ ไว้ด้วย 3. ให้นิยำมศัพท์ คำหรือข้อควำมทต่ี ้องกำรให้ผู้อ่ำนเข้ำใจตรงกบั ผู้วจิ ยั 4. กำรเขยี นนิยำมศัพท์เฉพำะไม่ต้องมตี ัวเลขกำกบั คำ หรือข้อควำมทนี่ ิยำมศัพท์เฉพำะ ตวั อย่ำง

เจตคติต่อวชิ าคอมพวิ เตอร์ หมายถึง ความรู้สึกหรือความคิดเห็นที่มีต่อวชิ าคอมพวิ เตอร์เกี่ยวกบั คุณประโยชน์ ความสาคญั ของเน้ือหาและกิจกรรม โดยวดั ไดจ้ ากแบบวดั เจตคติตอ่ วชิ าคอมพวิ เตอร์ที่ผวู้ จิ ยั สร้างข้ึน ซ่ึงผเู้ รียนอาจมีเจตคติต่อดา้ นต่าง ๆ ในทางบวกหรือทางลบ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ดงั น้ี เจตคติดา้ นคุณประโยชน์ เจตคติดา้ นเน้ือหา เจตคติดา้ นกิจกรรมทม่ี ำ : ชูศรี วงศ์รัตนะ. 2549 : 39กรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ยั กรอบแนวคิดในกำรวิจัยหมำยถึง กำรระบุควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงตัวแปรชุดต่ำง ๆ เป็ นอย่ำงไร กรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ัยจึงแตกต่ำงจำกขอบเขตของกำรวจิ ัย ผู้วจิ ัยจะพบเหน็ กำรวำงกรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ัยไว้หลำยทด่ี ้วยกนั วทิ ยำนิพนธ์บำงเล่มนำเสนอกรอบแนวคดิ ในบทท่ี 1 แต่กำรนำเสนอที่มีเหตุผลควรนำเสนอในบทที่ 2 เพรำะกรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ัยไม่ได้เกดิ ขึน้ จำกสูญญำกำศหรือโดยอตั โนมตั ิ แต่เกดิ จำกกำรศึกษำแนวคิดทฤษฎตี ่ำง ๆ รวมท้ังงำนวิจัยที่มมี ำแล้วหรือที่ใกล้เคียงท้ังในสำขำวชิ ำที่เก่ียวข้องหรือสำขำวิชำอื่น ๆ กรอบแนวคิดในกำรวิจัยที่สมบูรณ์ต้องผ่ำนกระบวนกำรทำควำมชัดเจนในประเด็นคำถำมของกำรวิจัยและกำรทบทวนแนวคิดทฤษฎีและผลงำนวจิ ัยที่เกยี่ วข้องมำแล้ว อย่ำงไรกต็ ำม เพ่ืออำนวยควำมสะดวกในกำรศึกษำกรอบแนวคิดใน กำรวจิ ัยจึงกำหนดให้ผู้วจิ ยั นำเสนอกรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ยั ดังกล่ำวไว้ในบทที่ 2 ซึ่งกำรนำเสนอกรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ยั สำมำรถนำเสนอได้ 4 รูปแบบ ดังต่อไปนี้ 1. กำรนำเสนอเชิงบรรยำย เป็ นกำรพรรณนำด้วยประโยคข้อควำมต่อเน่ืองเพ่ือแสดงควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงตัวแปร 2 ชุดคือ ตัวแปรอสิ ระหรือตวั แปรต้น กบั ตัวแปรตำมหรือตัวแปรผล แต่ในกำรวจิ ยั บำงประเภท เช่น กำรวจิ ัยเชิงสำรวจไม่มีกำรกำหนด ว่ำตัวแปรใดเป็ นตัวแปรอิสระ และตัวแปรใดเป็ นตัวแปรตำม กำรบรรยำยจึงเป็ นกำรอธิบำยควำมสัมพนั ธ์ของตวั แปรทศี่ ึกษำชุดน้ัน 2. กำรนำเสนอเชิงภำพ เป็ นกำรนำเสนอด้วยแผนภำพจำกกำรกลน่ั กรองควำมเข้ำใจของผู้วจิ ยัเกยี่ วกบั ควำมสัมพนั ธ์ของตัวแปรทใ่ี ช้ในกำรศึกษำของผู้วจิ ัยได้อย่ำงชัดเจน ซึ่งผู้อื่นทอี่ ่ำนเรื่องนี้เพยี งแต่เห็นแผนภำพแล้วเข้ำใจ ผู้วจิ ัยควรนำเสนอเฉพำะตวั แปรหลกั ไม่จำเป็ นต้องมรี ำยละเอยี ดของตัวแปรในแผนภำพ

3. กำรนำเสนอแบบจำลองคณิตศำสตร์ เป็ นกำรนำเสนอด้วยสมกำรทำงคณติ ศำสตร์เพื่อให้เห็นควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงตวั แปร 2 ชุดได้ชัดเจนและช่วยให้สำมำรถเลือกใช้เทคนิคกำรวเิ ครำะห์ข้อมูลได้อย่ำงเหมำะสม 4. กำรนำเสนอแบบผสม เป็ นกำรนำเสนอผสมกนั ท้ัง 3 แบบหรือ ผสมกนั 2 แบบ ท่ีกล่ำวมำข้ำงต้น งำนวิจัยบำงประเภทไม่จำเป็ นต้ องนำเสนอกรอบแนวคิดในกำรวิจัยท่ีแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงตัวแปรอิสระและตัวแปรตำม งำนวิจัยประเภทนี้ต้องกำรจัดกลุ่มหรือจัดโครงสร้ำงของตวั แปร เช่นงำนวจิ ยั ทใ่ี ช้เทคนิคกำรวเิ ครำะห์ปัจจัย (Factors analysis) หรืองำนวจิ ยัเชิงคุณภำพ เป็ นต้น กำรนำเสนอกรอบแนวคดิ ในกำรวิจัยต้องยดึ หลกั ว่ำ “นำเสนอแต่น้อย เรียบง่ำยและไม่รกรุงรัง” ดังน้ัน ผู้วิจัยไม่จำเป็ นต้องบอกรำยละเอยี ดของตัวแปรท่ใี ช้ในกำรศึกษำท้งั หมด เพรำะจะต้องนำเสนอในหัวข้อต่อไปอยู่แล้ว ดงั ตวั อย่ำง

กำรวจิ ัยเร่ือง คุณภำพชีวติ กำรทำงำนของพนักงำนขบั รถโดยสำรประจำทำงองค์กำรขนส่งมวลชนกรุงเทพกรอบแนวคดิ ของกำรวจิ ยัองค์ประกอบของคุณภำพชีวติ กำรทำงำนของพนักงำนขับรถโดยสำรประจำทำงองค์กำรขนส่งมวลชนกรุงเทพ ตำมแนวคดิ ของวอลตัน (Wolton. 1973 : 12 – 16) มี 8 ด้ำน ส่วนปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับคุณภำพชีวิตกำรทำงำน จำกกำรศึกษำเอกสำรและงำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง พบว่ำ มี 2ปัจจัย คือ ปัจจัยบุคคล ได้แก่ อำยุ ระดับกำรศึกษำ สถำนภำพสมรส ตำแหน่ง และอำยุกำรทำงำน และปัจจัยกำรปฏบิ ัติงำน ได้แก่ ลกั ษณะงำน กำรปกครองบังคบั ยัญชำ และสัมพันธภำพในกำรทำงำน สรุปดังภำพตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรตำม ปัจจยั ท่ีเกยี่ วข้องกบั คุณภำพชีวติ กำรทำงำนของพนกั งำนคุณภำพชีวติ กำรทำงำน ขบั รถโดยสำรประจำทำง ขององค์กำร มี 2 ปัจจยั คือ ขนส่งมวลชน มี 8 ดา้ น ไดแ้ ก่1. ปัจจยั ส่วนบุคคล ไดแ้ ก่ 1. การไดร้ ับคา่ ตอบแทนท่ีเพียงพอและ 1.1 อายุ ยตุ ิธรรม 1.2 ระดบั การศึกษา 1.3 สถานภาพสมรส 2. สภาพการทางานที่คานึงถึงความ 1.4 ตาแหน่ง ปลอดภยั ถูกสุขลกั ษณะและสุขภาพของ 1.5 อายกุ ารทางาน พนกั งาน2. ปัจจยั การปฏิบตั ิงาน ไดแ้ ก่ 3. ความกา้ วหนา้ และความมน่ั คงในงาน 2.1 ลกั ษณะงาน 4. โอกาสพฒั นาขีดความสามารถของตนเอง 2.2 การปกครองบงั คบั บญั ชา 5. การปฏิบตั ิงานร่วมกนั และความสมั พนั ธ์ 2.3 สมั พนั ธภาพในการทางาน กบั ผอู้ ่ืนภายในองคก์ าร 6. สิทธิส่วนบุคคล 7. การดาเนินชีวิตท่ีสมดุลระหวา่ งชีวิตการ ทางานกบั ชีวติ ส่วนตวั 8. ลกั ษณะงานท่ีมีคุณค่าต่อสงั คม

ที่มา : วริ ัช ณถั ฤทธ์ิ. (2550 : 61 – 62) ตัวอย่ำงท่ี 1 กรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ยั เร่ือง สภำพ ปัญหำและควำมต้องกำรในกำรพฒั นำระบบ เทคโนโลยสี ำรสนเทศเพื่อกำรศึกษำของผู้บริหำรและอำจำรย์ในสถำนศึกษำ สังกดั กรมอำชีวศึกษำ เขตกรุงเทพมหำนครและปริมณฑล ตัวแปรอสิ ระ ตวั แปรตำม1. ตาแหน่งหนา้ ที่การปฏิบตั ิ 1. สภาพการพฒั นาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ งานของบุคลากร คือ 1.1 ดา้ นฮาร์ดแวร์ 1.1 ผบู้ ริหาร 1.2 ดา้ นซอฟทแ์ วร์ 1.2 อาจารย์ 1.3 ดา้ นบุคลากร2. กองสงั กดั ของบุคลากร คือ 2. ปัญหาการพฒั นาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ 2.1 ดา้ นฮาร์ดแวร์ 2.1 กองวทิ ยาลยั เทคนิค 2.2 ดา้ นซอฟทแ์ วร์ 2.2 กองวทิ ยาลยั อาชีวศึกษา 2.3 ดา้ นบุคลากร 2.3 กองการศึกษาอาชีพ 3. ความตอ้ งการในการพฒั นาระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ 3.1 ดา้ นฮาร์ดแวร์ 3.2 ดา้ นซอฟทแ์ วร์ 3.3 ดา้ นบุคลากร

ทม่ี ำ : วรี ะชำติ จริตงำม. 2545 : 5ตวั อย่ำงที่ 2 กรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ัยเรื่อง ปัจจยั ทม่ี อี ทิ ธิพลต่อกำรเกดิ อบุ ัตเิ หตุจำกกำรทำงำน ของพนักงำนระดบั ปฏบิ ัติกำรในอตุ สำหกรรมเซรำมกิ จงั หวดั ปทุมธำนี ตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรตำม ปัจจยั ดา้ นภูมิหลงั การเกิดอบุ ตั ิเหตจุ ากการทางาน ปัจจยั ดา้ นเครื่องจกั ร ของพนกั งานระดบั ปฏิบตั ิการในปัจจยั ดา้ นสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ อตุ สาหกรรมเซรามิก - บุคคลบาดเจ็บทมี่ ำ : สุรำษ คงศิริ. 2544 : 53

ตัวอย่ำงที่ 4 กรอบแนวคดิ เชิงภำพแบบเส้นทำง กรอบแนวคดิ นีใ้ ช้ควบคู่กบั เทคนิคกำรวเิ ครำะห์ เส้นทำง(Path analysis) ซึ่งแสดงควำมสัมพนั ธ์ของตวั แปรตำม (ผล Y) กบั ตวั แปรต้น ( เหตุ X1…X4) b1 X4 b2 b4X1 b3 b6 X2 b7 Y b5X3 กรอบแนวคิดเชิงภำพนี้ เป็ นควำมสัมพนั ธ์เชิงสำเหตุ เรียกว่ำแบบจำลองเชิงสำเหตุ(Causal model) ตัวแปรตำม(Y)เป็ นผล ตัวแปรอสิ ระ(X1…X4) เป็ นตัวแปรสำเหตุ และบำงตวั แปรแม้จะเป็ นเหตุของตัวแปรหน่ึงแต่กเ็ ป็ นผลของอกี ตวั หน่ึงในขณะเดียวกนั ตวั แปรน้ันจงึ เป็ นได้ท้งั ตวั แปรต้นและตวั แปรตำมในสถำนกำรณ์เดยี วกนั เช่น X1…X4 เป็ นตวั แปรเหตุของตัวแปรY แต่ตวั แปร X2เป็ นตัวแปรผลของ X1 ส่วน X4 เป็ นตัวแปรผลของ X1 และ X3 ในภำพมตี ัวแปรท้งั หมด 5 ตวั แปร โดยมเี ส้นทำงควำมสัมพนั ธ์ 7 เส้นทำง คือ b1…b7 จำกเส้นทำงทรี่ ะบุในแผนภำพผู้วจิ ัยสำมำรถแปลงเป็ นสมกำรได้เป็ นช่วง ๆ โดยระบุควำมสัมพนั ธ์ว่ำตัวแปรใดมผี ลต่อตัวแปรใด โดยกำรนำเสนอแบบจำลองคณติ ศำสตร์ ดงั นี้ตัวอย่ำง กำรนำเสนอกรอบแนวคดิ แบบจำลองเชิงคณติ ศำสตร์X4 = a1+b1 X1+b6 X3 (1)X2 = a2+b3 X1 (2)Y = a3+b2 X1+b4 X4+ b7 X2+b5 X3 (3)

กล่ำวโดยสรุป กำรกำหนดกรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ยั ผู้วจิ ยั จะสำมำรถกำหนดได้ชัดเจนต่อเมื่อผู้วจิ ยั ได้ผ่ำนข้นั ตอนทำควำมเข้ำใจอย่ำงชัดเจนในประเด็นของปัญหำ และกำรทบทวนแนวคดิ ทฤษฎีและผลงำนวจิ ัยทเ่ี กย่ี วข้อง ควำมชัดเจนดงั กล่ำวมคี วำมสำคญั อย่ำงยงิ่ ต่อควำมถูกต้องในกำรสร้ำงเคร่ืองมือ กำรกำหนดสมมตฐิ ำนและกำรออกแบบกำรวจิ ัย ซึ่งควำมเทยี่ งตรง (Validity) ขนึ้ อยู่กบั กำรทบทวนวรรณกรรมทดี่ ี (เป็ นกำรทบทวนแนวคดิ ทฤษฎแี ละผลงำนวจิ ยั ทเี่ กย่ี วข้องมำอย่ำงดี)สมมติฐำนกำรวจิ ยั (ถ้ำม)ี สมมตฐิ ำนกำรวจิ ยั เป็ นข้อควำมทคี่ ำดคะเนคำตอบของปัญหำกำรวจิ ยั ไว้ล่วงหน้ำ โดยคำตอบน้ันเป็ นกำรคำดคะเนอย่ำงมเี หตุผลบนพืน้ ฐำนของทฤษฎี ประสบกำรณ์ หรือควำมเช่ือต่ำง ๆของผู้วจิ ัย สมมตฐิ ำนกำรวจิ ัยทดี่ ีต้องประกอบด้วยเกณฑ์ 2 ประกำร คือ เป็ นข้อควำมทแี่ สดงควำมสัมพนั ธ์ระหว่ำงตัวแปรและมคี วำมชัดเจนท่สี ำมำรถทดสอบควำมสัมพนั ธ์ดงั กล่ำวได้ กำรเขยี นสมมติฐำนกำรวิจัยทีด่ ีจะต้องกระทำภำยหลงั ทีไ่ ด้ศึกษำเอกสำรและงำนวจิ ัยที่เกย่ี วข้องแล้ว ผู้วจิ ัยเห็นแนวทำงว่ำในเร่ืองน้ัน ๆ ควรคำดหวังผลกำรวิจัยว่ำน่ำจะเป็ นอย่ำงไร จึงจะเขยี นสมมติฐำนกำรวจิ ยั ได้ หลกั เกณฑ์กำรเขยี นสมมตฐิ ำนกำรวจิ ยั 1. ต้องสอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์ของกำรวจิ ยั และตอบปัญหำกำรวจิ ัยได้ 2. สำมำรถทดสอบด้วยข้อมูลและหลกั ฐำนต่ำง ๆ ได้ 3. มคี วำมชัดเจนและเฉพำะเจำะจง 4. ต้ังสมมตฐิ ำนจำกหลกั ของเหตุผลตำมทฤษฎี ควำมรู้พืน้ ฐำน และหรือผลงำนวจิ ยั ท่ีผ่ำนมำ มใิ ช่กำรต้งั สมมตฐิ ำนขนึ้ มำโดยปรำศจำกหลกั ของเหตุผล 5. เขยี นเป็ นประโยคบอกเล่ำที่ระบุควำมสัมพันธ์ระหว่ำงตัวแปร ระบุทิศทำงของควำมสัมพนั ธ์หรือควำมแตกต่ำงระหว่ำงตวั แปร

ตัวอย่ำง (1) วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย : เพื่อเปรียบเทียบความเขา้ ใจเก่ียวกบั ระเบียบวธิ ีวจิ ยั ระหวา่ ง นิสิตท่ีมีประสบการณ์ทางานแตกต่างกนั สมมติฐำนกำรวจิ ัย : นิสิตท่ีมีประสบการณ์ทางานแตกตา่ งกนั มีความเขา้ ใจเก่ียวกบั ระเบียบวธิ ีวจิ ยั แตกต่างกนั (2) วัตถุประสงค์ของกำรวจิ ัย : เพื่อศึกษาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งความถนดั ทางตวั เลขกบั ผลการเรียนวชิ าสถิติของนิสิตระดบั บณั ฑิตศึกษา สมมติฐำนกำรวจิ ัย : ความถนดั ทางตวั เลขกบั ผลการเรียนวชิ าสถิติของนิสิตระดบั บณั ฑิตศึกษา มีความสมั พนั ธ์กนั ทางบวกทม่ี ำ : ชูศรี วงศ์รัตนะ. 2549 : 53

กำรเขยี นเค้ำโครงวจิ ยั บทที่ 2 ในบทนีก้ ำหนดให้แบ่งเป็ น 2 ส่วน ประกอบด้วย แนวคดิ และทฤษฎที เ่ี กยี่ วข้อง งำนวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้องแนวคดิ ทฤษฎี และงำนวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้อง เป็ นกำรเขยี นรำยงำนผลกำรศึกษำเอกสำรและงำนวจิ ัยทเ่ี กยี่ วข้องโดยมวี ตั ถุประสงค์เพ่ือให้เหน็ ว่ำงำนวจิ ยั เร่ืองนีม้ แี นวคดิ ทฤษฎี หรือผลงำนวจิ ัยอื่น ๆ เป็ นพืน้ ฐำนกำรวำงแผนกำรวจิ ยัอย่ำงไร และเพยี งใด ควำมสำคญั ของกำรนำเสนอเนื้อหำในบทนี้ นอกเหนือจำกจะชี้ให้เห็นแนวคดิทฤษฎีและผลงำนวจิ ัยทเี่ ป็ นพืน้ ฐำนของงำนวจิ ยั เรื่องน้ันแล้ว ยงั จะเป็ นข้อมูลทช่ี ่วยให้คณะกรรมกำรทป่ี รึกษำวิทยำนิพนธ์มคี วำมมนั่ ใจว่ำ ผู้เสนอเค้ำโครงวจิ ยั น้ัน ๆ มขี ้อมูลและแนวทำงเพยี งพอทจ่ี ะดำเนินกำรวจิ ยั ได้ กำรเขียนรำยงำนผลกำรศึกษำเอกสำรและงำนวิจัยทเี่ กยี่ วข้องนี้ ผู้เสนอเค้ำโครงวิจัยต้องคดัสรรสิ่งท่ีจะเขียนให้ดีท้ังส่ิงที่ได้จำกเอกสำรท่ีเป็ นงำนวิจัยและเอกสำรที่ไม่ใช่งำนวิจัย โดยเขียนในลกั ษณะสังเครำะห์สิ่งทคี่ ้นคว้ำมำ ไม่ใช่เป็ นเพยี งกำรนำสิ่งทค่ี ้นคว้ำมำเขยี นเรียงต่อ ๆ กนั ไปเรื่อย ๆก่อนลงมือเขยี นจริงควรเร่ิมด้วยกำรวำงโครงเร่ืองให้สอดคล้อง เหมำะสมกบั ปัญหำวจิ ัยโดยกำหนดโครงเร่ืองเป็ นหัวข้อต่ำง ๆ ซ่ึงมีท้ังหัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง และ หัวข้อย่อย กำรนำเสนอรำยละเอยี ดควรเริ่มต้นด้วยควำมนำหรืออำรัมภบทว่ำ จะนำเสนออย่ำงไร แบ่งเป็ นกี่ตอน แต่ละตอนมีหัวข้อใดบ้ำง เป็ นต้น

หลกั เกณฑ์กำรเขยี นเอกสำรและงำนวจิ ัยทเี่ กยี่ วข้อง 1. บทที่ 2 จะต้องประกอบด้วยอย่ำงน้อย 2 ส่วนคือ แนวคิดทฤษฎีท่ีเกย่ี วข้องกับหัวข้อวิจัยและผลงำนวิจัยที่เกีย่ วข้องกับหัวข้อวิจัย กรณีงำนวิจัยท่ีเสนอเค้ำโครงวิจัยที่ต้องต้ังสมมติฐำนกำรวจิ ยั ให้เขยี นสมมติฐำนกำรวจิ ยั ไว้ในบทที่ 1 ต่อท้ำยกรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ยั 2. กำรเขยี นแนวคดิ ทฤษฎที เ่ี กย่ี วข้อง จะต้องประกอบด้วย 2.1 ควำมหมำยของสิ่งทจ่ี ะวจิ ยั (หรือเรื่องทจ่ี ะวจิ ัย) 2.2 แนวคดิ ทฤษฎี เกยี่ วกบั สิ่งทจี่ ะวจิ ยั 2.3 ระเบียบวธิ ีหรือเทคนิควธิ ีกำรวจิ ยั เฉพำะเร่ือง (ถ้ำม)ี 3. กำรเขยี นผลงำนวจิ ัยทเี่ กย่ี วข้อง จะต้องประกอบด้วยผลงำนวจิ ัยท้งั ในประเทศ และต่ำงประเทศ 4. กำรนำเสนอทดี่ เี ป็ นกำรนำเสนอในลกั ษณะสังเครำะห์เนื้อหำตำมประเดน็ กำรศึกษำท่ีเป็ นวตั ถุประสงค์หรือสมมตฐิ ำนกำรวจิ ยั ไม่ใช่กำรนำเสนอผลเป็ นรำยบุคคลตำมลำดับตวั อกั ษร หรือตำมรำยปี 5. กำรเขยี นสรุปตอนท้ำยของแต่ละประเดน็ ทนี่ ำเสนอ ผู้วจิ ยั ต้องใช้ภำษำของผู้วจิ ัยเอง 6. กำรอ้ำงองิ แหล่งที่มำของเอกสำร และผลงำนวิจัยท่ีเกย่ี วข้องต้องเขียนให้ถูกต้องตำมรูปแบบที่กำหนด

c


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook