กระบวนการผลิต[อุตสาหกรรมสิ่งทอ][กลา่ วถึงกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม โดยยกตวั อยา่ งอตุ สาหกรรมสิ่งทอ] อานาจ อมิ่ สุข วิชาระบบจดั การพลงั งานในงานอุตสาหกรรม 23/05/2561
อุตสาหกรรมสง่ิ ทอและเครอ่ื งนงุ่ หม่ ของไทย อุตสาหกรรมสิ่งทอและเคร่ืองนุ่งห่มของไทยมีมานานกว่า 40 ปี และเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสาคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อพิจารณาท้ังในด้านการจ้างงาน การส่งออก และมูลค่าเพ่ิมของอุตสาหกรรม อาทิ ในปี 2543 อุตสาหกรรมส่ิงทอและเคร่ืองนงุ่ ห่มได้สร้างมลู ค่าเพ่ิมให้แก่ระบบเศรษฐกจิ เทา่ กับ 270,179 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมร้อยละ 5.51 รวมทั้งมีบทบาทในการสร้างงานมากที่สุดในหมวดอุตสาหกรรมคิดเป็นจานวนการจ้างงานในปี 2543 เท่ากับ 1,083,700 คน หรือคิดเป็นสดั สว่ นร้อยละ 22.6 ของการจา้ งงานในหมวดอตุ สาหกรรมทง้ั หมด อตุ สาหกรรมส่งิ ทอและเครอ่ื งน่งุ ห่มยังเป็นอุตสาหกรรมท่ีสร้างรายได้ให้กับประเทศเปน็ จานวนมาก แม้ว่าในบางช่วงจะเกิดปัญหาคา่ แรงงานข้ันตา่ เช่น ปี 2539 ทาให้รายได้ลดลงค่อนข้างมาก แต่ในระยะต่อมา อุตสาหกรรมส่ิงทอและเครื่องนุ่งห่มไทยก็ได้เริ่มมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและในจานวนที่สูงมากขึ้นอีกครั้ง โดยปี 2543 อุตสาหกรรมส่ิงทอและเคร่ืองนุ่งห่มมีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 223,512 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.0ของมลู ค่าการส่งออกทัง้ ประเทศ อตุ สาหกรรมสิง่ ทอและเคร่อื งนุง่ ห่มไทยมกี ารขยายตัวมาหลายคร้ัง ทาให้มีการเปล่ียนแปลงโครงสร้างการผลิตภายในประเทศ จานวนเครื่องจักรเพื่อการผลติ ของอตุ สาหกรรมสิ่งทอทุกสาขากม็ ีปรมิ าณเพิ่มข้นึ เป็นจานวนมาก เมือ่ วิเคราะห์ถึงสภาพและอายุการใช้งานของเครื่องจักรแล้ว ในช่วงการขยายตัวที่ผ่านมาส่วนใหญ่ใช้เครื่องจักรเก่าที่ผ่านการใช้งานมาหลายปีจากต่างประเทศ ดังนั้นผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเคร่ืองนุ่งห่มไทยในช่วงที่ผ่านมา ส่วนมากจึงได้มาจากการผลิตด้วยเคร่ืองจักรเก่าที่มีเทคโนโลยลี า้ สมัย ผลผลิตและคณุ ภาพต่า ประกอบกับเทคโนโลยีการผลิตในต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทาให้ส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการส่งออกสินค้าของไทยค่อนข้างมาก ท้ังในด้านการพัฒนาประสิทธิภาพ คุณภาพรูปแบบและชนิดของสินค้า โดยเมื่อเปรียบเทียบกับข้อมูลเครื่องจักรของประเทศต่างๆ ที่ผลิตสินค้าสาหรับตลาดระดับบน จะพบว่า อุตสาหกรรมส่ิงทอและเครื่องนุ่งห่มไทยมีศักยภาพการแข่งขันไม่สูงมากนัก เน่ืองจากสาเหตุสภาพเคร่ืองจักรล้าสมัยดังกล่าว และสาหรับสินค้าตลาดระดับล่าง ผู้ผลิตสิ่งทอไทยก็ไม่อาจแข่งขันกับประเทศที่มีโครงสร้างต้นทุนต่ากว่า เช่น อินโดนีเซีย จีน และปากีสถานได้ ดังนั้น การหามาตรการปรับปรุงเพ่ือให้อุตสาหกรรมนี้มีความสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก จึงเป็นภาระกิจเร่งด่วน 61
สาหรับอตุ สาหกรรมนี้ การแก้ปัญหาประการหนึ่งของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเคร่ืองนุ่งห่มไทยให้สามารถแข่งขันได้ จาเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนเคร่ืองจักรและอุปกรณ์ท่ีใช้อยู่เดิมเปน็ เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้าให้ผลผลิตและคุณภาพสูง เพ่ือท่ีจะทาให้สินค้าสิ่งทอและเคร่อื งนุ่งห่มไทยมีคุณภาพไดม้ าตรฐานและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ 62
1. การผลติ อุตสาหกรรมส่ิงทอไทย มีโครงสร้างที่สามารถแบ่งตามข้ันตอนการผลิตออกได้เป็น3 ขั้นตอน คือ (ก) อุตสาหกรรมส่ิงทอต้นน้า หรืออุตสาหกรรมข้ันต้น (Upstream) เป็น อุตสาหกรรมเริ่มแรกของโครงสร้างอุตสาหกรรมส่ิงทอ ได้แก่ การเส้นใย (เส้น ใยธรรมชาติและเส้นใยสังเคราะห์) และอุตสาหกรรมป่ันด้าย มีลักษณะท่ีเน้น การใชท้ ุนและเทคโนโลยี (Capital Intensive) (ข)อุตสาหกรรมส่ิงทอกลางน้า หรืออุตสาหกรรมขั้นกลาง (Middlestream) อาศัยวัตถุดิบจากอุตสาหกรรมขั้นต้นมาทาการผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ การทอผา้ ถกั ผ้า ฟอก ยอ้ ม พมิ พ์และแตง่ สาเร็จ ในการผลิตขั้นนี้สามารถเลือก เทคโนโลยีระดับสงู หรอื เนน้ การใช้แรงงาน (Capital or Labor Intensive) (ค) อุตสาหกรรมสิ่งทอปลายน้า หรืออุตสาหกรรมข้ันปลาย (Downstream) เป็น ขบวนการผลิตขั้นสุดท้ายของอุตสาหกรรมสิ่งทอ เป็นการผลิตเคร่ืองนุ่งห่ม จาพวกเส้ือผ้าสาเร็จรูป ซ่ึงเป็นอุตสาหกรรมท่ีทารายได้ให้กับประเทศมากท่ีสุด ในกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มและเสื้อผ้าสาเร็จรูป มีสัดส่วนจานวนโรงงานสูงถึงร้อยละ 58.2 เน่ืองจากยังเป็นอุตสาหกรรมท่ีใช้ เทคโนโลยีการผลิตโดยใช้แรงงานเป็นหลัก (Labor Intensive) ใช้เงินลงทุน น้อย ซึ่งในระยะทผี่ า่ นมาไทยได้เปรียบในด้านคา่ จ้างแรงงานต่า แต่ปัจจุบันไทย ได้สูญเสียความได้เปรียบนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งท่ีสาคัญ อาทิ จีน อนิ โดนีเซีย อินเดีย และเวยี ดนาม ประเภทอตุ สาหกรรม เมื่อพิจารณาจากข้ันตอนการผลิตข้างต้นแล้ว อาจจาแนกกิจกรรมในอุตสาหกรรมส่งิ ทอของไทยออกเปน็ อตุ สาหกรรมยอ่ ย 5 อุตสาหกรรม ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมเสน้ ใย 2) อุตสาหกรรมปัน่ ดา้ ย 3) อตุ สาหกรรมทอผา้ 63
4) อตุ สาหกรรมฟอก ย้อม พิมพ์และแตง่ สาเรจ็ 5) อตุ สาหกรรมเครอื่ งน่งุ หม่ 1) อุตสาหกรรมเสน้ ใย อุตสาหกรรมเส้นใยเป็นอุตสาหกรรมขั้นต้นในอุตสาหกรรมส่ิงทอ การผลิตจะใช้วตั ถดุ ิบหลกั 2 ชนดิ คือ ใยธรรมชาติ และใยสงั เคราะห์ เส้นใยธรรมชาติ ส่วนใหญ่จะเป็นใยฝ้าย และก็มีลินิน ขนสัตว์ ฯลฯ อุตสาหกรรมเส้นใยฝ้าย โรงงานหีบฝ้ายส่วนใหญ่ใช้เคร่ืองหีบแบบลูกกลิ้ง ซ่ึงเป็นเทคโนโลยีต่าและไม่สลับซับซ้อน วัตถุดิบ เช่น ฝ้าย ต้องพ่ึงพาการนาเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ โดยนาเข้าจาก สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต ใยฝ้ายมีสัดส่วนการผลิตในประเทศร้อยละ 4.8(รวมการผลิตเสน้ ด้าย) เส้นใยสังเคราะห์ ไทยมีการผลิตเส้นใยสังเคราะห์ 4 ประเภทหลักคือ โพลีเอสเตอร์ไนลอน อะครีลิกและเรยอน โดยท่ีเส้นใยโพลีเอสเตอร์เป็นวัตถุดิบสาคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และมีกาลังการผลิตมากท่ีสุด คิดเป็นร้อยละ 79.2 ของกาลังการผลิตเส้นใยสังเคราะห์ทั้งหมด รัฐบาลเร่ิมให้การส่งเสริมอุตสาหกรรมน้ีตั้งแต่ปี 2512 เพื่อทดแทนการนาเข้าเส้นใยสังเคราะหแ์ ละทดแทนเส้นใยธรรมชาติ วตั ถุดิบต่างๆ ที่ใช้ในการผลิตเส้นใยสังเคราะห์น้ัน ในช่วงแรกต้องนาเข้าท้ังหมด แต่หลังจากไทยมีอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแล้ว ก็ได้ใช้วัตถุดิบที่ผลิตขึ้นเอง ปัจจุบันมีผู้ประกอบการผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์ในไทยทง้ั ส้นิ 10 ราย ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเส้นใยสังเคราะห์ ได้แก่ PureTerepthalic Acid (PTA), Dimethyl Terepthalate (DMT) และ Ethylene Glycol(EG) ใช้ในการผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์ คาโปแลคตรัม (Caprolactam) ใช้ในการผลิตเสน้ ใยไนลอ่ น Acrylonitrile ใช้ในการผลิตเส้นใยอะครีลิค Wood Cellulose ใช้ในการผลิตเส้นใยเรยอง อุตสาหกรรมเส้นใยสังเคราะห์เป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เงินลงทุนสูง(Capital Intensive) ส่วนใหญ่เป็นบริษัทร่วมทุนกับต่างประเทศ เช่น ญ่ีปุ่น เกาหลี และไต้หวัน เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมท่ีต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยซึ่งต้องนาเข้าจากตา่ งประเทศ และใช้แรงงานนอ้ ยมากเม่ือเปรยี บเทยี บกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ในอุตสาหกรรมส่ิงทอ นอกจากนี้ วัตถุดิบท่ีใช้บางประเภทต้องนาเข้า เช่น EG, DMT, Wood Celluloseและ Acrylonitrile ในขณะที่วัตถุดิบบางส่วน ประเทศไทยสามารถผลิตได้เอง เช่น PTA, 64
Caprolactam โดยเร่ิมผลิตได้ต้ังแต่ปลายปี 2538 เป็นต้นมา ทาให้สามารถลดการพ่ึงพิงการนาเข้าไปได้ในระดับหน่ึง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปริมาณการผลิตในประเทศไม่เพียงพอกับความตอ้ งการ ทาให้ไทยก็ยังจาเป็นต้องนาเข้าสารเคมีตั้งต้นเพื่อใช้ในการผลิตวั ต ถุ ดิ บ ใ น ป ร ะ เ ท ศ ใ น ป ริ ม า ณ ที่ สู ง เ ช่ น ก ร ด เ ท เ ร ฟ ท า ลิ กบริสุทธิ์ (Terephthalic Acid: TPA) และเอทิลีนไกลคอล (Ethylene Glycol: EG) ใช้สาหรับผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์ และอะครีโลไนไตรส์ (Acrylonitrile) ใช้สาหรับผลิตเส้นใยอะครีลิค เป็นต้น ท้ังนี้ ปริมาณการผลิตเส้นใยสังเคราะห์มีการขยายตัวอย่างต่อเน่ืองโดยเฉพาะเส้นด้ายใยยาว (filament yarn) จึงทาให้ลดการนาเข้าไปได้ค่อนข้างมากอย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการผลิตเส้นใยสังเคราะห์จะสามารถพัฒนาคุณภาพได้ก็โดยการพฒั นาเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งจาเปน็ ต้องใช้เงินทุนสูง แต่หากอุตสาหกรรมขั้นต้นที่ได้มีคุณภาพดกี จ็ ะทาให้อตุ สาหกรรมตอ่ เน่อื งสามารถพฒั นาคณุ ภาพผลติ ภณั ฑ์ไดด้ เี ชน่ กัน ในด้านการส่งออก ส่วนมากแล้วประเทศไทยจะผลิตเส้นใยสังเคราะห์ส่งออกเป็นจานวนน้อยมาก เพราะยังมีปัญหาเร่ืองอัตราภาษีนาเข้า และโดยมากแล้วจะส่งออกไปยังตลาดล่าง ได้แก่ กลุ่มประเทศอาเซียน ซาอุดิอาระเบีย โปแลนด์ ส่วนในด้านการนาเข้าอตุ สาหกรรมเสน้ ใยสงั เคราะห์มีแนวโน้มท่ีจะนาเข้าเส้นใยราคาถูกจากประเทศเกาหลี และไต้หวนั ท่มี คี วามไดเ้ ปรยี บด้านการประหยดั จากขนาดการผลติ 2) อตุ สาหกรรมปัน่ ด้าย อตุ สาหกรรมป่ันดา้ ยเปน็ อตุ สาหกรรมขน้ั กลาง เปน็ การนาเส้นใยมาปั่นเป็นเส้นด้ายส่วนใหญ่จะเป็นด้านผสมระหว่างใยฝ้ายและใยสังเคราะห์ ตามความต้องการของตลาดความต้องการด้ายฝ้ายยังมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่เน่ืองจากปัญหาปริมาณการผลิตด้ายฝ้ายขึ้นอยู่กับสภาพดนิ ฟ้าอากาศและไม่สามารถควบคุมได้ การผลิตด้ายใยสังเคราะห์จึงพัฒนาทั้งปริมาณและคุณภาพข้ึนมาแทน ปัจจุบันสภาพเคร่ืองปั่นด้ายท่ีใช้เป็นเครื่องจักรที่เก่าและลา้ สมัย ทาใหป้ ระสิทธภิ าพการผลิตค่อนข้างต่า และขนาดเส้นด้ายโดยเฉลี่ยที่ประเทศไทยสามารถผลติ ไดอ้ ยู่ในชว่ งเบอร์ 40-50 โดยเส้นดา้ ยท่ีมีขนาดเล็ก เช่น เบอร์ 80 ยังต้องนาเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ใช้วัตถุดิบในประเทศร้อยละ 80 คือเส้นใยสังเคราะห์ เสน้ ใยฝ้าย นอกนน้ั รอ้ ยละ 20 เปน็ การนาเขา้ เส้นใยคณุ ภาพสูงจากต่างประเทศเชน่ ญปี่ ุน่ ไตห้ วัน สหรัฐอเมริกา เนื่องจากประเทศไทยไม่สามารถผลิตเส้นใยคุณภาพดีได้เท่าท่คี วร 65
เทคโนโลยีที่นิยมใช้ในการป่ันด้ายมี 2 ระบบ ระบบแรก คือ การปั่นด้ายระบบวงแหวน (Ring-Spinning) ซึ่งเป็นเคร่ืองจักรท่ีทันสมัยที่สุดซ่ึงไทยมีประมาณ 4 ล้านแกนแต่เป็นเครื่องจักรล้าสมัยถึงร้อยละ 70 ทาให้ด้ายที่ผลิตมีคุณภาพต่า และมีการสูญเสียวัตถุดิบในการผลิตสูง ระบบนี้จะมีข้อดีคือมีความคล่องตัวสูงในการเปล่ียนขนาดของเส้นด้ายท่ีจะทาการผลิต และระบบท่ีสอง คือ ระบบปลายเปิด (open-end Spinning)เป็นระบบที่ป่ันด้ายด้วยความเร็วรอบสูงกว่าระบบวงแหวน แต่มีข้อจากัดคือ เหมาะสาหรับการป่ันด้ายขนาดใหญ่ เน่ืองจากต้นทุนการผลิตสูงและมีความเหนียวของเส้นด้ายต่ากว่าแบบวงแหวน ขณะเดียวกันเม่ือเทียบกับประเทศคู่แข่งที่สาคัญ คือ จีน อินโดนีเซียญ่ีปุ่น ปากีสถาน ไต้หวัน ซ่ึงไม่มีปัญหาเรื่องภาษีนาเข้าวัตถุดิบมากอย่างไทย ทาให้ไทยเสียเปรียบการแข่งขันกับต่างประเทศ และประเทศเหล่านี้มีเคร่ืองจักรท่ีใหม่และทันสมัยกว่ามากในการผลิต 3) อุตสาหกรรมทอผา้ อุตสาหกรรมทอผ้าเป็นอุตสาหกรรมข้ันกลาง ผลิตภัณฑ์ท่ีได้จากอุตสาหกรรมน้ีได้แก่ ผ้าทอ และผา้ ถัก ซง่ึ ในส่วนของผ้าทอสามารถแยกออกเป็น 2 ชนิดตามวัตถุดิบท่ีใช้คือ ผ้าทอจากฝ้าย และผ้าทอจากใยสังเคราะห์ ผ้าทอจากใยสังเคราะห์มีคุณสมบัติใกลเ้ คียงกบั ผา้ ทอฝ้าย และในบางกรณียังมีคุณสมบตั ดิ กี วา่ เช่น มีความยืดหยุ่น ทนทานกว่า น้าหนักเบากว่า และที่สาคัญคือมีราคาต่ากว่าผ้าทอฝ้าย ดังน้ันจึงใช้ในการทอผ้ามากกว่า ส่วนใหญ่ผ้าที่ผลิตได้จะเป็นผ้าทอ ท่ีเหลือจะจาหน่ายในรูปของผ้าผืนอุตสาหกรรมทอผ้า ถักผ้า ฟอก ย้อม พิมพ์และตกแต่งสาเร็จ จึงเป็นอุตสาหกรรมผลิตผ้าผืนเพือ่ ปอ้ นตลาด อุตสาหกรรมผ้าผืน แม้ว่าจะมีการใช้เคร่ืองจักรค่อนข้างมาก ทันสมัยและราคาแพง แต่โดยท่ัวไปก็ยังจัดว่าเป็นอุตสาหกรรมที่ใช้เน้นการใช้แรงงาน (Labor Intensive)แตจ่ านวนแรงงานท่ีใช้ในอุตสาหกรรมน้ียังคงน้อยกว่าจานวนแรงงานที่ใช้ในอุตสาหกรรมเสอื้ ผ้าสาเร็จรปู ซึง่ เป็นอุตสาหกรรมทมี่ กี ารพง่ึ พาแรงงานมากท่ีสุดในอุตสาหกรรมส่ิงทอวัตถุดิบหลักในการผลิตคือ เส้นด้าย ซ่ึงมีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ 35 ของต้นทุนการผลิตโดยรวม เส้นด้ายท่ีใช้ในอุตสาหกรรมนี้มีสัดส่วนของการใช้เส้นด้ายที่ผลิตในประเทศต่อเส้นด้ายนาเข้าคิดเป็นร้อยละ 50 : 50 เส้นด้ายที่นาเข้าเป็นเส้นด้ายคุณภาพดีท่ีอุตสาหกรรมป่นด้ายในไทยไม่สามารถผลิตได้ แหล่งนาเข้าหลักของไทยได้แก่ ได้หวัน 66
ญ่ีปุ่น อินโดนีเซีย และเกาหลี เครื่องจักรท่ีใช้ในอุตสาหกรรมผ้าผืนแบ่งออกเป็น 2ประเภทคือ เครื่องถักผ้า และเครื่องทอผ้า ในส่วนของเครื่องถักผ้านั้น ผู้ประกอบการได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอยู่ตลอดเวลา การพัฒนาประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมการทอและการถัก ขึน้ อยกู่ ับการนาเทคโนโลยีเขา้ มาช่วย เทคโนโลยีที่ใช้ในการทอผ้ามี 2 ประเภท คือ เครื่องทอผ้าแบบใช้กระสวย(Shuttle Loom) เป็นเคร่ืองทอผ้าแบบเก่า มีความเร็ว 200 รอบต่อนาที ไปสู่การใช้เคร่ืองจักรแบบไร้กระสวย (Shuttleless Loom) เป็นเครื่องทอผ้าที่พัฒนาข้ึนใหม่ มีประสิทธิภาพการผลิตสูง ให้ความเร็วรอบในการทอเพิ่มข้ึนถึง 2-3 เท่า (ประมาณ 650รอบต่อนาที) และสามารถทอผ้าได้หน้ากว้างกว่าเดิม คุณภาพผลผลิตดีกว่า แต่สภาพปัจจุบันเครื่องทอในประเทศส่วนใหญ่ยังเป็นแบบใช้กระสวย (ร้อยละ 80) และผู้ประกอบการท่ีใช้เคร่ืองจักรแบบไร้กระสวยมีเพียงร้อยละ 20 เท่าน้ัน ทาให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผ้าผืน ดังนั้น โรงงานถักผ้าในปัจจุบันจึงไม่มีปัญหาในเร่ืองของเทคโนโลยีและเครื่องจักร แต่ในส่วนของโรงงานทอผ้าน้ัน เน่ืองจากเครื่องทอผ้ากว่าร้อยละ 90 ที่โรงงานทอผ้าใช้กันอยู่ในปัจจุบันเป็นเคร่ืองทอผ้าชนิดมีกระสวยซี่งมีอายุการใช้งานมากกวา่ 20 ปี เครอ่ื งทอผา้ ชนิดนี้มเี ทคโนโลยีท่ีล้าสมัย ประสทิ ธิภาพในการผลิตต่า ผ้าผืนท่ีได้มีคุณภาพต่า และเป็นเคร่ืองจักรท่ีต้องพ่ึงพาแรงงานในการคุมเคร่ืองเป็นจานวนมากเพราะเครื่องจักรชนิดนี้ต้องใช้คนงานในการเปลี่ยนหลอดด้ายและใส่กระสวย ดังนั้น ในกรณีท่ีค่าจ้างแรงงานมีการปรับตัวสูงขึ้น ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนการผลิตในส่วนของค่าจ้างแรงงานสูงข้ึนตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม การท่ีผู้ประกอบการต้องพึ่งพาการนาเข้าเส้นด้ายจากตา่ งประเทศนนั้ ส่งผลใหผ้ ้าผืนมตี น้ ทุนการผลิตทส่ี งู 4) อตุ สาหกรรมฟอก ย้อม พมิ พ์และแต่งสาเร็จ อุตสาหกรรมน้ีเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสาคัญในการเพิ่มมูลค่าให้กับผ้าผืนแม้ว่าจะเป็นจุดอ่อนท่ีสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมส่ิงทอของไทย แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง เน่ืองจากการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้จะต้องใช้เงินทุนค่อนข้างมาก ท้ังนี้ ภาครัฐได้มีแนวนโยบายที่จะจัดต้ังนิคมอุตสาหกรรมฟอกย้อมฯขึ้น เพ่ือประโยชน์ในการควบคุมมลภาวะและช่วยลดต้นทุนการดาเนินการให้ผ้ปู ระกอบการ เพราะหากจะปฏิบัติตามมาตรฐานน้าท้ิง กาจัดสารพิษและสีท่ีหลงเหลืออยู่ให้ลดลงถึงขั้นที่ยอมรับได้ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ปัจจุบันผู้ประกอบการก็ยังมีอยู่น้อยไม่ 67
ถึง 500 ราย มีการจ้างแรงงานต่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงได้ ซ่ึงเป็นส่วนหน่ึงในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับส่ิงทอได้ ผู้ประกอบการในประเทศยังขาดเทคนคิ การทาผ้าให้มีสัมผัสที่น่าสวมใส่ และการทาผ้าให้มีความนุ่ม สาเหตุส่วนหนึ่งจากเคร่ืองจักรท่ีใช้มีความล้าสมัย และสารเคมีที่ใช้ต้องนาเข้าจากต่างประเทศสารเคมีท่ีผลิตในประเทศยังไม่ได้คุณภาพท่ีดีพอ ในขณะที่ประเทศอิตาลีซ่ึงเป็นผู้นาในด้านการพิมพ์ ฟอก ย้อมของโลก สามารถผลิตเส้ือผ้าให้ตรงตามรสนิยมของตลาดได้ดังน้ัน การพัฒนาผ้าผืนจาเป็นต้องพัฒนาทั้งระบบเพื่อให้ได้ผ้าผืนคุณภาพดีและเป็นผลต่อเน่ืองไปสู่การพัฒนาเส้ือผ้าสาเร็จรูปได้ วัตถุดิบที่ใช้ในอุตสาหกรรมน้ีคือ สีและสารเคมี(รอ้ ยละ 48 ของตน้ ทนุ การผลิตรวม) ต้องพึ่งพาการนาเขา้ จากต่างประเทศในจานวนท่สี ูง เทคโนโลยีท่ีใช้ในการผลิตแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ เทคโนโลยีการผลิตแบบต่อเน่ือง (Continuous Process) และการผลิตแบบไม่ต่อเน่ือง (Batch Process)ในส่วนของเทคโนโลยีการผลิตแบบต่อเน่ืองมีใช้เฉพาะในโรงงานขนาดใหญ่ที่มีการผลิตครบวงจร คือ มตี ั้งแต่การปน่ั ด้ายจนถึงการผลิตเสื้อผ้าสาเร็จรูป ซึ่งมีเพียงร้อยละ 10 ของจานวนโรงงานท้ังหมด เกิดจากการลงทุนของชาวต่างชาติหรือท่ีมีการร่วมทุนกับต่างชาติเทคโนโลยีแบบต่อเน่ืองเหมาะสาหรับการผลิตในปริมาณมาก พ่ึงพาแรงงานน้อย ต้นทุนการผลิตต่า ได้ผ้าที่มีคุณภาพสม่าเสมอ ในปัจจุบันโรงงานประเภทนี้มีน้อยและกาลังประสบปัญหาเร่ืองค่าใช้จ่ายท่ีเพิ่มสูงข้ึน ระบบบาบัดน้าเสียท่ีมีประสิทธิภาพก็เป็นต้นทุนอกี อย่างหนึง่ ท่สี งู ทั้งยังตอ้ งตรงตามมาตรฐานของ ISO 14000 เพอื่ รักษาสิ่งแวดลอ้ ม และเทคโนโลยีการผลิตแบบไม่ต่อเน่ือง มีใช้ในโรงงานขนาดกลางและเล็ก คิดเป็นร้อยละ 30ของจานวนโรงงานท้ังหมดในอุตสาหกรรมนี้ บางโรงงานอาจมีกระบวนการผลิตที่ครบวงจร ตา่ งกับโรงงานขนาดใหญ่ในสว่ นของกาลังการผลติ เทา่ นั้น การผลติ แบบไมต่ อ่ เนื่องน้ีที่อาจมีเฉพาะบางกระบวนการ นอกนั้นจะเป็นโรงงานขนาดเล็กท่ีรับจ้างฟอก ย้อม พิมพ์หรือแต่งสาเร็จเท่านั้น เทคโนโลยีนี้ต้องพึ่งพาบุคลากรท่ีมีความรู้ความชานาญและประสบการณ์ด้านเคมีสิ่งทอ (Labor Intensive) เนื่องจากการใช้สีและสารเคมีจะขึ้นอยู่กับเส้นใยท่ีใช้ในการผลิตผ้าชนิดนั้นๆ ซ่ึงต้องอาศัยประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง ซ่ึงมีปัญหามากกับเครื่องจักรท่ีมีอายุการใช้งานนานและต้นทุนบุคลากรท่ีมีสูงทาให้ประสิทธิภาพในการผลิตของโรงงานขนาดเล็กมีต่า ทาให้ไม่สามารถพัฒนาระบบการผลิตได้ 68
5) อุตสาหกรรมผลติ เส้ือผา้ สาเร็จรปู อุตสาหกรรมผลิตเส้ือผ้าสาเร็จรูป เป็นอุตสาหกรรมข้ันปลายท่ีเน้นการใช้แรงงาน(Labor Intensive) ไม่จาเป็นต้องลงทุนสูงและใช้เทคโนโลยีการผลิตไม่ซับซ้อนมากนักสามารถสร้างมูลค่าเพ่ิมให้แก่ผลิตภัณฑ์ได้ค่อนข้างสูง แต่การผลิตข้ึนอยู่กับการออกแบบคุณภาพวัตถุดิบ และคุณภาพแรงงาน ท่ีผ่านมาประเทศไทยได้อาศัยความได้เปรียบด้านค่าจ้างแรงงาน โดยผลิตตามคาส่ังซ้ือจากต่างประเทศและส่งออกในชื่อของสินค้าต่างประเทศ แต่ผลของค่าแรงที่สูงขึ้นทาให้ผู้ว่าจ้างในต่างประเทศย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มคี า่ แรงถูกกวา่ เช่น จนี และเวียดนาม ดังนั้น ไทยจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องเร่งให้มีการพัฒนาการออกแบบผลิตภัณฑ์เพ่ือสร้างสินค้าท่ีเป็นตราสินค้า (brand name) ของไทยเอง และการพฒั นาเทคโนโลยีการผลิตให้มีความรวดเร็ว และแม่นยามากขึ้น เช่น การใช้ CAD (Computer Aided Design) และ CAM (Computer AidedManufacturing) เพ่ือชว่ ยในการเตรียมงานและลดการสูญเสียปริมาณวัตถุดิบท่ีใช้ ทาให้การผลติ เสอ้ื ผ้าสาเรจ็ รปู ทาไดง้ า่ ยและรวดเรว็ ข้นึ โครงสรา้ งอตุ สาหกรรม ในปี 2544 อุตสาหกรรมส่ิงทอของไทยมีจานวนโรงงานรวม 4,544 โรงงาน ลดลงจากปี 2539 ท่ีมี 4,864 โรงงาน หรือลดลง 320 โรงงาน คิดเป็นร้อยละ 6.6 โดยส่วนใหญ่เป็นการเลิกกิจการเนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจช่วงปี 2541-2542จานวน 310 โรงงาน และส่งผลให้มีจานวนโรงงานและการจ้างงานในอุตสาหกรรมส่ิงทอไทยที่ลดลงอย่างต่อเน่ืองจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ เม่ือพิจารณาในแต่ละประเภทอุตสาหกรรมจะพบวา่ อุตสาหกรรมเครื่องนงุ่ ห่มมีจานวนโรงงานมากท่ีสุด คือ มีจานวน 2,641 โรงงานในปี 2544 รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทอผ้าและถักผ้า จานวน 1,332 โรงงานอุตสาหกรรมฟอกย้อม พิมพ์และตกแต่งสาเร็จ จานวน 405 โรงงาน อุตสาหกรรมป่ันด้ายจานวน 149 โรงงาน และเส้นใยสงั เคราะห์ จานวน 17 โรงงาน นอกจากน้ี เมื่อพิจารณาตามขนาดการลงทุนและการจ้างงาน1 พบว่า โรงงานส่วนใหญ่ในอุตสาหกรรมส่ิงทอจะเป็นโรงงานขนาดเล็กที่มีเงินลงทุนไม่เกิน 5 ล้านบาทและมี1 กรมโรงงานอตุ สาหกรรม (www.diw.go.th), สงิ หาคม 2545. 69
คนงานไมเ่ กิน 50 คน มีจานวนมากกวา่ 3,000 โรงงาน หรือคิดเปน็ สัดส่วนมากกวา่ รอ้ ยละ60 ของจานวนโรงงานทั้งหมด ด้านการจ้างงาน เมื่อพิจารณาจานวนการจ้างงานของอุตสาหกรรมแต่ละประเภทแล้วจะพบว่า อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มเป็นแหล่งจ้างงานมากที่สุด และสอดคล้องกับข้อมูลของจานวนเคร่อื งจกั ร เนอ่ื งจากอุตสาหกรรมเครือ่ งนงุ่ หม่ แม้วา่ จะมกี ารใชเ้ คร่ืองจักรจานวนมากเข้าช่วยในการผลิต แต่ก็จาเป็นต้องอาศัยทักษะและฝีมือของแรงงานคอ่ นข้างมากในการตัดเยบ็ เสอ้ื ผ้า ทั้งน้ี ประเทศไทยถือได้ว่าเป็นแหล่งผลิตเคร่ืองนุ่งห่มที่มีคุณภาพสงู อกี ประเทศหนง่ึ ของโลก เพราะท่ีผ่านมาอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยมีการลงทุนและสนับสนุนการพัฒนาฝีมือแรงงานในการออกแบบและการตัดเย็บเส้ือผ้าสาเร็จรูปและเครื่องนุ่งห่มมาโดยตลอด ขณะที่อุตสาหกรรมเส้นใยสังเคราะห์เป็นอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้ทุน (Capital Intensive) เป็นหลัก จึงจาเป็นต้องมีการลงทุนเคร่ืองจักรจานวนมากอย่างไรก็ตาม ผลได้จากการท่ีเป็นอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มเป็นอุตสาหกรรมท่ีเน้นการใช้แรงงานเป็นหลัก (Labor Intensive) ประกอบกับมีการพัฒนาฝีมือแรงงานอย่างต่อเน่ืองจึงอาจกล่าวได้ว่า อุตสาหกรรมนี้เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศได้มากท่ีสดุ อุตสาหกรรมหนึง่ตารางท่ี 21 จานวนโรงงานอุตสาหกรรมส่ิงทอและเครอ่ื งน่งุ หม่ ไทย ระหวา่ งปี 2541-25441. เส้นใยสงั เคราะห์ ปี สดั ส่วน (ร้อยละ)2. ปั่นดา้ ย 2541 2542 2543 2544 2542 2543 25443. ทอผา้ และถักผา้4. ฟอกยอ้ ม พมิ พ์ และ ppตกแตง่ สาเรจ็ 18 18 17 17 0.4 0.4 0.45. เคร่ืองนงุ่ ห่มและ 153 150 148 149 3.3 3.2 3.3เสอื้ ผ้าสาเร็จรูป 1,327 1,310 1,308 1,332 28.8 28.8 29.3 414 410 412 405 9.0 9.0 8.9 รวม 2,742 2,666 2,672 2,641 58.5 58.6 58.1 4,654 4,554 4,557 4,544 100.0 100.0 100.0 70
ตารางท่ี 22 จานวนเครื่องจักรในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครอ่ื งนุ่งห่มไทย ระหวา่ งปี2541-2544 หน่วย: 1,000 ปี อตั ราการขยายตัว (รอ้ ย ละ) 2541 2542 2543 2544 2542 2543 2544 pp2. ปน่ั ดา้ ย (แกน) 3,763 3,611 3,581 3,586 -4.0 -0.8 0.1 .43 .91 .86 .833. ทอผ้าและถักผา้ 242.7 242.1 241.8 242.2 0 0 0 71755. เครื่องนุ่งห่มและ 764.6 759.0 759.4 757.3 -0.7 0.1 -0.3เส้ือผ้าสาเร็จรูป 1130หมายเหต:ุ p=ข้อมลู เบอ้ื งต้นท่มี า: ส่วนอตุ สาหกรรมสิ่งทอ สานกั พฒั นาอตุ สาหกรรมรายสาขา กรมสง่ เสริมอุตสาหกรรมตารางท่ี 23 จานวนคนงานในอุตสาหกรรมส่ิงทอและเครื่องนุง่ ห่มไทย ระหวา่ งปี 2541-25441. เสน้ ใยสังเคราะห์ ปี สดั ส่วน (รอ้ ยละ)2. ปัน่ ดา้ ย 2541 2542 2543 2544 2542 2543 25443. ทอผา้ และถักผ้า pp 17,00 15,90 15,40 15,34 1.5 1.4 1.4 0000 63,45 61,80 60,31 60,47 5.7 5.6 5.6 0000 119,6 118,0 117,6 1185 10.9 10.8 11.0 00 20 10 20 71
4. ฟอกยอ้ ม พิมพ์ และ 47,28 47,05 47,18 46,75 4.3 4.4 4.3ตกแตง่ สาเร็จ 00005. เคร่ืองนุง่ ห่มและ 849,5 843,0 843,2 840,4 77.6 77.8 77.7เส้อื ผา้ สาเร็จรูป 70 30 00 60รวม 1,096, 1,085, 1,083, 1,081, 100.0 100.0 100.0 900 800 700 540หมายเหต:ุ p=ขอ้ มลู เบ้อื งต้นท่ีมา: ส่วนอุตสาหกรรมสง่ิ ทอ สานักพฒั นาอตุ สาหกรรมรายสาขา กรมสง่ เสรมิอุตสาหกรรม การผลิตและการบรโิ ภค จากการเปรยี บเทยี บข้อมูลในตารางที่ 24 และ 25 พบว่า เส้นใยเป็นสินค้ารายการเดียวท่ีมีการบริโภคในประเทศสูงกว่าการผลิต ทาให้จาเป็นต้องมีการนาเข้าจากต่างประเทศค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเส้นใยฝ้าย ในปี 2544 ไทยสามารถผลิตเส้นใยฝ้ายเพ่ือรองรับความต้องการในประเทศได้เพียงร้อยละ 3.2 เท่านั้น ส่วนที่เหลือจาเป็นต้องนาเข้าทั้งหมด แหล่งนาเข้าเส้นใยฝ้ายท่ีสาคัญของไทยคือ ออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาในปี 2544 ไทยมีการนาเข้าเส้นใยฝ้ายจากท้ังสองประเทศคิดเป็นสัดส่วนรวมกันมากกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณเส้นใยฝ้ายท่ีไทยนาเข้าทั้งหมด ขณะท่ีเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบสัดสว่ นการบริโภคในประเทศกับการส่งออกของแต่ละกลุ่มสินค้าได้แก่ เส้นใย เส้นด้าย ผ้าผืน และเคร่อื งนุ่งห่ม แล้วจะพบวา่ สนิ คา้ สิ่งทอเกอื บทุกกลุ่มจะมีสดั ส่วนของการบริโภคในประเทศที่ค่อนข้างสูงเม่ือเทียบกับการส่งออก ยกเว้นเครื่องนุ่งห่มท่ีเป็นสินค้าสาเร็จรูปเพยี งรายการเดียว ท่มี ีสดั ส่วนการบรโิ ภคในประเทศและการส่งออกใกล้เคยี งกนั 2 จากข้อมูลดังกล่าวข้างต้น เม่ือพิจารณาประกอบกับปริมาณสิ่งทอที่ผลิตได้ในประเทศแล้ว สามารถสะท้อนให้เห็นนัยท่ีสาคัญ 2 ประการเกี่ยวกับภาพรวมของอตุ สาหกรรมสงิ่ ทอไทยคอื ประการแรก การผลิตสินคา้ สิง่ ทอของไทยส่วนใหญเ่ ป็นการผลิต2 ซงึ่ เป็ นไปตามธรรมชาตขิ องกระบวนการผลิตในอตุ สาหกรรมส่งิ ทอท่เี ร่ิมจากการผลิตวตั ถดุ บิ หรืออตุ สาหกรรมต้นนา้ ผ่านขนั้ ตอนต่างๆจนกระทงั่ ได้เครื่องนงุ่ หม่ ทเี่ ป็ นสนิ ค้าสาเร็จรูปหรืออตุ สาหกรรมปลายนา้ แล้วจงึ ทาการสง่ ออก 72
เพื่อการบริโภคในประเทศเป็นหลัก และประการที่สอง อุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยมีกระบวนการผลติ ท่คี รบวงจรตงั้ แตอ่ ุตสาหกรรมต้นน้าจนถึงปลายน้า แม้ว่าในบางช่วงของการผลิตอาจจาเป็นต้องมีการนาเข้าวัตถุดิบบางส่วนจากต่างประเทศก็ตาม แต่ก็มีปริมาณไม่มากนักเมือ่ เทยี บกบั การผลิตและการบรโิ ภคในประเทศ นอกจากนี้ จะสังเกตได้ว่า ในช่วงปี 2541-2542 การผลิต เส้นใย เส้นด้าย และผ้าผืน ของไทยมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากปริมาณการบริโภคในประเทศลดลง อันเป็นผลกระทบจากภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจของประเทศ แต่หลังจากปี 2542 เป็นต้นมาปริมาณการบริโภคในประเทศก็ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และทาให้การผลิตสินค้าท้ังสามรายการข้างต้นมีการขยายตัวเพ่ิมสูงข้ึนตามไปด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อการดาเนินงานของอุตสาหกรรมสิ่งทอโดยรวมเน่ืองจากทาให้ปริมาณการบริโภคในประเทศลดลง แต่ขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมสิ่งทอของไทยก็ได้รับการชดเชยบางส่วนจากการท่ีเงินบาทมีค่าอ่อนตัวลง ทาให้สินค้าเคร่ืองนุ่งห่มของไทยสามารถส่งออกได้มากข้ึน และทาให้การผลิตเพื่อการส่งออกสินค้าเคร่ืองนุ่งห่มได้รับประโยชน์เพ่ิมข้ึนเช่นกัน สัดส่วนปริมาณการผลิตเพ่ือบริโภคในประเทศของสินคา้ เคร่ืองนงุ่ ห่มในช่วงดงั กลา่ วจงึ มคี า่ ลดลงตารางที่ 24 การผลิตของอตุ สาหกรรมสงิ่ ทอและเครือ่ งน่งุ ห่มไทย ระหว่างปี 2541-2544 ปรมิ าณ อตั ราการขยายตวั (รอ้ ยละ) 2541 2542 2543 2544 2541 2542 2543 2544 ppเสน้ ใย (1,000 720.4 708.0 747.6 754.4 25.0 -1.7 5.6 0.9ตัน)เส้นใยฝ้าย 18.2 14.2 11.5 12.1 -27.2 -22.0 -19.0 5.2เส้นใย 702.2 693.8 736.1 742.3 27.3 -1.2 6.1 0.8สงั เคราะห์- เสน้ ใยสนั้ 387.9 409.1 430.2 431.6 29.0 5.5 5.2 0.3- เส้นใยยาว 314.3 284.7 305.9 310.7 25.3 -9.4 7.4 1.6 73
เสน้ ดา้ ย (1,000 777.1 762.8 838.8 888.2 1.0 -1.8 10.0 5.9ตัน) 0.5 11.4 12.9 -3.1 9.2 2.0เส้นดา้ ยฝา้ ย 267.2 268.5 299.2 337.7 -10.2เส้นด้าย 509.9 494.3 539.6 550.5 8.0สงั เคราะห์ผ้าผืน (1,000 578.8 592.4 705.0 718.8 -6.3 2.3 19.0 2.0ตัน)ผ้าทอ 383.9 392.6 466.2 474.1 -6.7 2.3 18.7 1.7- ผ้าทอฝ้าย 159.2 161.2 190.7 211.4 -7.8 1.3 18.3 10.9- ผ้าทอ 224.7 231.4 275.5 262.7 -5.9 3.0 19.1 -4.6สังเคราะห์ผ้าถัก 194.9 199.8 238.8 244.7 -5.6 2.5 19.5 2.5 74
ตารางท่ี 24 การผลิตของอตุ สาหกรรมสงิ่ ทอและเครอ่ื งนุ่งห่มไทย ระหวา่ งปี 2541-2544(ต่อ) ปรมิ าณ อัตราการขยายตัว (ร้อยละ) 2541 2542 2543 2544 2541 2542 2543 2544 ppเคร่ืองนุ่งหม่ 374.3 387.9 441.4 446.6 -8.4 3.6 13.8 1.2(1,000 ตัน)ผา้ ทอ 223.3 230.1 264.2 264.3 -10.7 3.0 14.8 0.04ผา้ ถัก 151.0 157.8 177.2 182.3 -4.9 4.5 12.3 2.9หมายเหต:ุ p=ข้อมลู เบ้ืองตน้ทมี่ า: สว่ นอุตสาหกรรมสง่ิ ทอ สานกั พฒั นาอุตสาหกรรมรายสาขา กรมสง่ เสรมิอุตสาหกรรมตารางท่ี 25 การบรโิ ภคของอุตสาหกรรมส่ิงทอและเคร่อื งน่งุ ห่มไทย ระหวา่ งปี 2541-2544 ปริมาณ อัตราการขยายตัว (ร้อยละ) 2541 2542 2543 2544 2541 2542 2543 2544 ppเสน้ ใย (1,000 693.6 717.9 795.0 843.6 -9.7 3.5 10.7 6.1ตนั )เสน้ ใยฝ้าย 297.0 298.4 332.6 375.4 -10.2 0.5 11.5 12.9เส้นใย 396.6 419.5 462.4 468.2 -9.3 5.8 10.2 1.3สังเคราะห์- เส้นใยส้นั 200.1 214.5 239.1 245.3 -11.7 7.2 11.5 2.6- เส้นใยยาว 196.5 205.0 223.3 222.9 -6.7 4.3 8.9 -0.2เส้นด้าย (1,000 584.7 598.3 712.1 726.0 -6.3 2.3 19.0 2.0 75
ตัน) 242.5 245.6 291.3 323.7 -7.4 1.3 18.6 11.1เสน้ ดา้ ยฝ้าย 342.2 352.7 420.8 402.3 -5.5 3.1 19.3 -4.4เส้นด้ายสงั เคราะห์ผ้าผนื (1,000 516.9 538.2 659.5 679.6 -8.3 4.1 22.5 3.0ตนั )ผา้ ทอ 310.1 326.4 406.4 426.4 -10.1 5.3 24.5 4.9- ผ้าทอฝ้าย 127.1 134.2 168.5 188.0 -10.5 5.6 25.6 11.6- ผ้าทอ 183.0 192.2 237.9 238.4 -9.8 5.0 23.8 0.2สังเคราะห์ผ้าถกั 206.8 211.8 253.1 253.2 -5.6 2.4 19.5 0.0เครอื่ งนุง่ หม่ 215.1 222.2 262.0 260.7 -18.5 3.3 17.9 -0.5(1,000 ตนั )ผา้ ทอ 153.3 162.0 187.7 183.8 -16.7 5.7 15.9 -2.1ผ้าถกั 61.8 60.2 74.3 76.9 -22.7 -2.6 23.4 3.5หมายเหต:ุ p=ข้อมูลเบอ้ื งตน้ทม่ี า: ส่วนอุตสาหกรรมสิ่งทอ สานกั พฒั นาอตุ สาหกรรมรายสาขา กรมสง่ เสรมิอตุ สาหกรรม ท้งั นี้ จากข้อมูลของสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม3 (สศอ.) ระบุว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของไทยเดือนกรกฎาคม 2545 อยู่ที่ระดับ 189 เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน2545 ประมาณร้อยละ 3 การเพ่ิมข้ึนดังกล่าวเป็นผลมาจากการท่ีประชาชนในประเทศเริ่มมีการบริโภคสิ่งอานวยความสะดวกมากขึ้น อาทิ รถยนต์ เคร่ืองใช้ไฟฟ้า ดัชนีอตุ สาหกรรมส่วนต่างๆ จงึ มกี ารปรบั ตัวสงู ขน้ึ ขณะท่ดี ชั นผี ลผลิตการปั่นเส้นใยส่ิงทอและอุตสาหกรรมสิ่งทอลดลงร้อยละ 4.6 เม่ือเทียบกับเดือนก่อน โดยเป็นการลดลงของการ3 “คนไทยแหเ่ ปล่ียนรถยนต์คนั ใหม,่ ” ไทยรัฐ (6 กนั ยายน 2545): 8. 76
ผลิตด้ายฝ้ายโพลีเอสเตอร์บริสุทธ์ิ เน่ืองจากสินค้ากลุ่มน้ียังมีสินค้าคงคลังจานวนมากสว่ นดชั นีการผลิตผ้าและสิ่งของที่ได้จากการถักนิตต้ิงและโครเชท์ (ผ้าถัก) ลดลงร้อยละ 4เมอ่ื เทียบกบั เดอื นท่ผี ่านมา เนอื่ งจากคาสง่ั ซอื้ จากต่างประเทศลดลงทุกสนิ คา้ ปัญหาและอุปสรรค อุปสรรคท่ีสาคัญด้านการผลิตสาหรับอุตสาหกรรมส่ิงทอและเครื่องนุ่งห่มในประเทศมีอยู่หลายประการ4 อาทิ ระเบียบพิธีการศุลกากรที่ทาให้การส่งออก และการนาเข้าสินค้าจาเป็นต้องผ่านข้ันตอนที่ยุ่งยากล่าช้า หรือการท่ีภาษีนาเข้าวัตถุดิบจาเป็นบางอย่างมีอัตราสูงจนทาให้อุตสาหกรรมสิ่งทอบางข้ันตอนไม่อาจพัฒนาไปได้ทันความต้องการของตลาด ที่เห็นชัดเจนคือ กรณีของอุตสาหกรรมฟอกย้อม ซ่ึงต้องอาศัยสารเคมีจากต่างประเทศหลายชนิด โดยท่ีต้องจ่ายภาษีในอัตราสูงกว่าประเทศคู่แข่งในอาเซียนดว้ ยกัน จะเห็นได้ว่าท่ีผ่านมา การเก็บภาษีนาเข้าวัตถุดิบของไทยอยู่ในระดับสูงมากเม่ือเปรยี บเทยี บกบั ประเทศคูแ่ ขง่ 5 โดยเฉพาะวัตถดุ บิ ในอตุ สาหกรรมเสน้ ใยประดิษฐ์ เนื่องจากการคุ้มครองอุตสาหกรรมปิโตรเคมี มีการจัดเก็บภาษีวัตถุดิบในอัตราร้อยละ 5-7 สูงกว่าประเทศค่แู ข่ง โดยประเทศอินโดนเี ซยี และมาเลเซีย มอี ัตราภาษีรอ้ ยละ 0 ทาให้ต้นทุนการผลิตสิ่งทอและเคร่ืองนุ่งห่มของไทยอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซยี นคอ่ นขา้ งมาก ในส่วนอุตสาหกรรมฟอก ย้อม พิมพ์ และแต่งสาเร็จ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมท่ีต้องพ่ึงพิงการนาเข้าวัตถุดิบจาพวกสารเคมีค่อนข้างสูง ประสบปัญหาจากโครงสร้างภาษีนาเข้าวัตถุดิบเช่นกัน อาทิ ภาษีนาเข้าสีย้อมผ้าท่ีไทยจัดเก็บในอัตราร้อยละ 20 ขณะท่ีประเทศคแู่ ขง่ เชน่ อินโดนีเซีย เก็บภาษีในอัตราร้อยละ 0-5 ส่วนสารเคมีไทยมีการจัดเก็บภาษีนาเขา้ ในอัตรารอ้ ยละ 10-30 ขณะท่ีประเทศอนิ โดนีเซียจัดเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 5-10 โครงสรา้ งภาษดี งั กล่าว จึงเปน็ ส่วนหนงึ่ ที่ทาให้ต้นทุนการผลิตของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง และทาให้ความได้เปรียบทางการแข่งขันของสินค้าสิ่งทอไทยเมื่อเปรียบเทียบกับ4 มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ และบริษัท ทีทไี อเอส จากดั . 2541. หน้า 12.5 สถาบนั พฒั นาอตุ สาหกรรมสิง่ ทอ (www.thaitextile.org), กนั ยายน 2545. 77
ประเทศคแู่ ข่ง อาทิ กลมุ่ ประเทศสมาชิกอาเซียน มีแนวโน้มลดลงค่อนข้างมาก โดยเฉพาะสินค้าคุณภาพระดับล่างถึงปานกลาง เน่ืองจากการแข่งขันส่วนใหญ่จะอยู่บนพ้ืนฐานทางด้านราคาเป็นหลัก นอกจากน้นั ยังมปี ญั หาอนั เน่อื งมาจากเครื่องจกั รและเทคโนโลยกี ารผลิตสิ่งทอของไทยโดยท่ัวไปค่อนข้างล้าสมัย โดยเฉพาะท่ีใช้อยู่ในโรงงานขนาดกลางและเล็กที่ผลิตเพื่อใช้ในประเทศ ซึ่งทาให้ผลิตภัณฑ์ออกมามีคุณภาพบกพร่องหรือมีคุณภาพไม่สม่าเสมอทั้งนี้ ปัญหาทีส่ าคญั ทส่ี ุดทคี่ วรจะไดร้ ับการแก้ไขโดยเร่งด่วนคือ การท่ีผลิตภัณฑ์สิ่งทอของไทยยังไม่ได้รับการพัฒนาในเรื่องของรูปแบบและมูลค่าเพิ่มเท่าท่ีควร ผ้าผืนที่ส่งออกไปนนั้ อยู่ในรปู ของผา้ ดิบเป็นส่วนใหญ่ หลังจากไปผา่ นกระบวนการผอกยอ้ มตกแต่งสาเร็จในประเทศอื่นแล้วก็ถูกขายต่อไป หรืออาจส่งกลับเข้ามาจาหน่ายในไทย นอกจากนี้ จุดอ่อนท่ีสาคญั อกี ประการหนึ่งของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยที่ควรจะได้รับการแก้ไขคือ การขาดการประสานเชื่อมโยงกิจการต่างๆ ของอุตสาหกรรมที่มีอยู่ท้ังหมดเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ6 แม้ว่าอุตสาหกรรมส่ิงทอในไทยจะมีกิจการผลิตในขั้นตอนต่างๆ ครบถ้วนต้ังแต่อุตสาหกรรมต้นน้าจนถึงปลายน้า ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งที่สาคัญของไทยก็ตาม6 วรพล พรหมิกบตุ ร, “สงิ่ ทอไทยในกระแสโลก,” กรุงเทพธุรกิจ (28 สิงหาคม 2545): 12. 78
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: