เอกสารประกอบการเรยี น เร่อื ง ระบบรา่ งกาย สาหรับนักเรียนระดับช้ัน มัธยมศึกษาปีท่ี2 ฉบับได้จัดทาข้ึนเพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนประกอบการจัด กิจกรรมการเรียนรู้สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ซ่ึงมีเนื้อหาเก่ียวข้องกับการ จัดระบบในร่างกายมนุษย์ โครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของร่างกาย มนุษย์ โดยเอกสารประกอบการเรียนฉบับน้ี ประกอบไปด้วยเนื้อหาสาระ ใบ กิจกรรม แบบทดสอบ และมีภาพประกอบที่ชัดเจน ตรงตามเนื้อหาเอกสาร ประกอบการเรียน โดยแบ่งเน้ือหาออกเป็น 5 ระบบ ได้แก่ ระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจระบบหมนุ เวียนเลือด ระบบสืบพนั ธ์ุ ระบบประสาท ระบบย่อย อาหาร และระบขบั ถ่าย ผู้จัดทาหวังว่าเอกสารประกอบการเรียน เรื่อง ระบบร่างกาย ฉบับนี้จะ เปน็ ประโยชน์ต่อผู้เรียนในการเรียนรู้ และสามารถนาผู้เรียนไปสู่จุดหมายตาม ศักยภาพเป็นผู้ท่ีมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ นาความรู้ไปประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจาวันได้ ผ้จู ัดทา
เร่ือง หน้า มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ชว้ี ัด 1 จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3 สาระการเรียนรู้ 3 แบบทดสอบกอ่ นเรียน 4 ระบบยอ่ ยอาหาร 6 ระบบหมนุ เวียนเลือด 10 ระบบสบื พันธ์ุ 15 ระบบหายใจ 20 ระบบประสาท 26 ระบบขับถ่าย 27 ใบงาน1-7 34 แบบทดสอบหลงั เรียน 41 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น 43 เฉลยใบงาน1-7 45 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น 52 บรรณานุกรม 54
1 มาตรฐาน ว ๑.๒ เขา้ ใจสมบตั ิของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การ ลาเลียงสารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทางานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของ โครงสรา้ งและหนา้ ที่ ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ีทางานสัมพันธ์กัน รวมท้ัง นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตัวช้ีวัด ตัวชี้วัด ม.2/1 ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของอวัยวะที่เกี่ยวข้องใน ระบบหายใจ ตัวชีว้ ดั ม.2/2 อธิบายกลไกการหายใจเขา้ และออก โดยใชแ้ บบจาลอง รวมทั้งอธบิ ายกระบวนการแลกเปลีย่ นแก๊ส ตัวชว้ี ัด ม.2/3 ตระหนักถงึ ความสาคัญของระบบหายใจโดยการบอก แนวทางในการดแู ลรักษาอวัยวะในระบบหายใจให้ทางานเปน็ ปกติ ตวั ชี้วดั ม.2/4 ระบุอวัยวะและบรรยายหนา้ ที่ของอวัยวะในระบบขบั ถา่ ย ในการกาจัดของเสยี ทางไต ตวั ชวี้ ดั ม.2/5 ตระหนักถึงความสาคัญของระบบขบั ถ่ายในการกาจัด ของเสยี ทางไต โดยการบอกแนวทางในการปฏบิ ตั ติ นท่ชี ่วยใหร้ ะบบขบั ถา่ ยทา หนา้ ท่ีได้อยา่ งปกติ ตวั ชว้ี ัด ม.2/6 บรรยายโครงสร้างและหนา้ ที่ของหวั ใจหลอดเลอื ด ตัวชว้ี ัดม.2/7 อธิบายการทางานของระบบหมุนเวียนเลือดโดยใช้ แบบจาลอง
2 ตัวชี้วัด ม.2/8 ออกแบบการทดลองและทดลอง ในการเปรียบเทียบ อัตราการเต้นของหวั ใจ ขณะปกตแิ ละหลงั ทากจิ กรรม ตัวช้ีวัด ม.2/9 ตระหนักถึงความสาคัญของระบบหมุนเวียนเลือดโดย การบอกแนวทางในการดแู ลรักษาอวัยวะในระบบหมนุ เวียนเลอื ดใหท้ างานเป็น ปกติ ตัวชวี้ ัด ม.2/10ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของอวยั วะในระบบประสาท สว่ นกลางในการควบคุมการทางานตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย ตวั ช้ีวดั ม.2/11 ตระหนักถึงความสาคญั ของระบบประสาทโดยการบอก แนวทางในการดูแลรักษา รวมถึงการป้องกันการกระทบกระเทือนและ อันตรายตอ่ สมองและไขสันหลงั ตัวชี้วัด ม.2/12 ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ีของอวัยวะในระบบ สบื พนั ธขุ์ องเพศชายและเพศหญิงโดยใชแ้ บบจาลอง ตัวช้ีวัด ม.2/13 อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชายและเพศหญิงท่ีควบคุม การเปล่ียนแปลงของร่างกาย เมอ่ื เขา้ สู่วยั หนุ่มสาว ตัวช้ีวัด ม.2/14 ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัย หนุ่มสาว โดยการดูแลรักษาร่างกายและจิตใจของตนเองในช่วงท่ีมีการ เปลยี่ นแปลง
3 1. อธิบายหน้าท่ี ความสาคัญ และอวัยวะท่ีเก่ียวข้องกับระบบร่างกายของ มนษุ ยไ์ ด้ 2. รู้และเขา้ ใจระบบการทางานสามารถสร้างเสริมและดารงประสทิ ธภิ าพการ ทางาน ของระบบรา่ งกายของมนษุ ยไ์ ด้ 1. ระบบยอ่ ยอาหาร 2. ระบบหมุนเวียนเลือด 3. ระบบสืบพนั ธ์ุ 4. ระบบหายใจ 5. ระบบประสาท 6. ระบบขับถา่ ย
4 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรอื่ ง ระบบต่างๆของรา่ งกาย จานวน 10 ขอ้ คาชแี้ จง เลอื กคาตอบทถี่ กู ตอ้ งทสี่ ดุ เพยี งขอ้ เดยี ว 1. การเค้ียวอาหารทเี่ ป็นชิ้นใหญ่ใหม้ ขี นาดเล็กลง คือขอ้ ใด ก. การย่อยทางเคมี ข. การย่อยทางกล ค. การกลนื อาหาร ง. การหายใจ 2. ระดับน้าตาลในเลือดจะต้องใช้อนิ ซูลนิ ท่ีสรา้ งจากอวยั วะใด ก. ตับ ข.ตับออ่ น ค. มา้ ม ง. ตับอ่อน 3. การกาจัดของเสียทางปอดมคี วามสาพนั ธก์ ับกระบวนการใดมากท่สี ุด ก. กระบวนการย่อยอาหาร ข. กระบวนการแลกเปลย่ี นแก๊ส ค. กระบวนการกรองของเสยี ท่ีไต ง. กระบวนการสบู ฉดี เลือดการควบคมุ 4. เมื่อเรารบั ประทานอาหารเขา้ สรู่ า่ งกาย มรี ะบบใดบ้างทตี่ อ้ งทางาน ประสานกนั เพือ่ เปลยี่ นอาหารเป็นพลงั งานให้รา่ งกายนาไปใชใ้ นการ เจริญเติบโต ก. ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบหมุนเวยี นเลือด ระบบหายใจ ข. ระบบย่อยอาหาร ระบบหมนุ เวียนเลอื ด ระบบประสาท ค. ระบบหมุนเวยี นเลอื ด ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบขบั ถ่าย ง. ระบบย่อยอาหาร ระบบสบื พนั ธุ์ ระบบหมุนเวียนเลือด 5. ถา้ ระบบหายใจมคี วามผดิ ปกติเน่อื งจากการสูบบุหรี่จะส่งผลกระทบต่อ ระบบใดมากทสี่ ดุ ก. ระบบไหลเวียนเลือด ข. ระบบย่อยอาหาร ค. ระบบประสาท ง. ระบบนา้ เหลอื ง
5 6. ในขณะทคี่ นเราหายใจเขา้ ขอ้ ความใดกลา่ วถงึ ความสมั พันธ์ระหว่างกะบงั ลมกบั กระดูกซ่โี ครงไดถ้ ูกตอ้ ง ก. ทงั้ กะบังลมและกระดกู ซ่ีโครงเล่ือนต่าลง ข. ท้งั กะบังลมและกระดกู ซโี่ ครงเลอ่ื นสงู ขน้ึ ค. กะบังลมเลือ่ นต่าลง กระดูกซี่โครงเลอื่ นสงู ข้นึ ง. กะบงั ลมเล่ือนสงู ขึน้ กระดูกซี่โครงเลอ่ื นต่าลง 7. ฮอร์โมนจากต่อมใดทีห่ ลัง่ มากระตุน้ ใหก้ ลา้ มเนอื้ มดลูกบบี ตวั ในชว่ งคลอด ก. รังไข่ ข. มดลกู ค. ต่อมใต้สมอง ง. ทั้ง ก, ข,ค 8. ขอ้ ใดคือหนา้ ทีข่ องเกลด็ เลอื ด ก. ขนส่งแก๊สออกซิเจนและแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ข. ทาลายเชอ้ื โรคหรือสิง่ แปลกปลอมทเี่ ข้าสรู่ ่างกาย ค. นาเลอื ดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของรา่ งกาย ง. ช่วยให้เลือดแขง็ ตัวเวลาเกดิ บาดแผล 9. หวั ใจมหี น้าทีอ่ ย่างไร ก. แลกเปลี่ยนแก๊สในเลอื ด ข. ควบคุมการทางานของปอด ค. สบู ฉีดเลือดไปส่เู ซลลท์ ว่ั ร่างกาย ง. ควบคุมการทางานของอวัยวะตา่ งๆ ทวั่ รา่ งกาย 10. โปรตนี ทท่ี าหน้าทเ่ี รง่ ปฏิกิรยิ าทางเคมีของร่างกาย เรยี กว่า ก. นํ้าดี ข. น้ําลาย ค. เอนไซม์ ง. น้ําเกลือ
6 อาหารประเภทต่าง ๆ ท่ีเราบริโภคเขาํ ไปในร่างกายโดยเฉพาะอาหารท่ีให้พลงังาน ลว้นแต่มีโมเลกุลขนาดใหญ่เกินกวาํ ท่ี ร่างกายจะลา เลียงเขาํสู่เซลลส์ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ จาเป็นต้องแปรสภาพให้มี ขนาดเล็กลง การแปรสภาพของอาหาร ดังกล่าวเกิดจากปฏิกิริยาเคมีที่อาศัยการ ทางานของเอนไซมย์ย่อยอาหารโดยทั่วไป เรียกว่า น้าย่อย จากนั้น โมเลกุลของ ส า ร อ า ห า ร จ ะ ถู ก ดู ด ซึ ม เ ข าํ สู่ เ ซ ล ล์ กระบวนการแปรสภาพอาหารที่มีโมเลกุล ใหญ่ให้มีโมเลกุลเล็กลงเรียกว่าํ การย่อย อาหาร (Digestion) การยอ่ ยอาหาร กระบวนการที่ทาให้อาหารท่ีมีขนาดใหญ่มีขนาดเล็กลงจนสามารถดูด ซึม เขา้ เซลล์นาไปใช้ประโยชนไ์ ด้ การยอ่ ยภายนอกเซลล์ มี 2วธิ ีคือ 1. การย่อยแบบเชิงกล (mechanical digestion) โดยการบดเค้ํยว ของฟันและการบีบรัดตัว ของท่อทางเดินอาหารเป็ นการเปล่ียนขนาด โมเลกุลทาใหอ้ าหารมีขนาดเล็กลง 2. การย่อยแบบเชิงเคมี(chemical digestion) โดยการใช้น้าย่อย ซึง่ น้าย่อยหรอื เอนไซม์ (enzyme) มคี ุณสมบัติดังนี้
7 อาหาร ปาก คอหอย หลอดอาหาร ลาไสใ้ หญ่ ลาไสเ้ ลก็ กระเพาะอาหาร ลาไสต้ รง ทวารหนกั กากอาหาร
8 ช่องปาก (Mouth cavity) กระบวนการยอ่ ยเรมิ่ ต้นท่ีช่องปาก เม่ือคณุ เร่ิมเคยี้ ว อาหาร ฟันทาหน้าท่บี ดอาหารใหเ้ ป็นชิ้นเล็ก ต่อม นา้ ลายจะผลิตนา้ ลายออกมาคลกุ เคลา้ กับอาหาร เพอื่ ใหง้ า่ ยตอ่ การกลนื และเคลอ่ื นผา่ นไปยังสว่ น ต่อไป นอกจากนี้ ในน้าลายยงั มเี อนไซมอ์ ะไมเลส ทาหน้าทย่ี ่อยอาหารจาพวกแป้งด้วย หลังจากทเ่ี รากลืนอาหารผ่านลาคอลงไป อาหารจะเคลอ่ื นผา่ นหลอดอาหารดว้ ยวิธีท่ี เรียกวา่ Peritalsis ซง่ึ เปน็ การเคลื่อนไหว ของหลอดอาหารให้กอ้ นอาหารทีก่ ลืนลงไป ตกลงสู่กระเพาะอาหาหาร กระเพาะอาหาร (Stomach) เมอื่ อาหารเคลอ่ื นมายังกระเพาะอาหาร กอ้ นอาหารจะ กระตนุ้ ให้กระเพาะอาหารเกิดการเคล่ือนไหว เพื่อเป็น การคลกุ เคลา้ อาหารให้ทาผสมกับนา้ ย่อยที่หลั่งออกม จากต่อมไรท้ ่อ ซึ่งเอ้อื ตอ่ การทางานของเอนไซมห์ รือ นา้ ย่อย โดยอาหารจาพวกโปรตนี จะถกู ย่อยท่กี ระเพาะ อาหารมากท่สี ดุ ดว้ ยเอนไซมม์เพปซนิ (Pepsin) ถงุ นา้ ดี (Gallbladder) ทาหนา้ ท่ีเก็บน้าดี (Bile) ทผ่ี ลติ มาจาก ตับ และปลอ่ ยน้าดเี ขา้ สทู่ างเดนิ อาหาร ผ่านทอ่ น้าดี เมื่อมอี าหารเคล่อื นผ่าน มายังลาไส้เลก็ สว่ นตน้
9 ตับ (Liver) บทบาทของตับในระบบทางเดินอาหารคือทาหนา้ ที่ ผลิตน้าดี เพอื่ ช่วยการยอ่ ยไขมนั และวติ ามินบางชนดิ โดยน้าดที ่ีสรา้ งจากตับจะเกบ็ ไวท้ ถ่ี งุ น้าดแี ละ ลาเลียงเข้าสทู่ างเดินอาหารบรเิ วณลาไส้เล็กส่วนตน้ ตบั ออ่ นทาหนา้ ทใี่ นการผลิตน้าย่อยซ่งึ เปน็ ตบั ออ่ น (Pancreas) เอนไซม์หลายชนดิ และมีบทบาทในการย่อย อาหารจาพวกโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมนั น้ายอ่ ยท่ีผลติ โดยดบั อ่อนจะลาเลยี งผ่านท่อมา สทู่ างเดินอาหารทลี่ าไสเ้ ลก็ สว่ นตน้ ลาไสเ้ ลก็ (Small intestine) ลาไสเ้ ล็กทาหน้าท่ผี ลิตน้ายอ่ ย, คลุกเคล้าอาหารที่ ให้เขา้ กบั นา้ ยอ่ ยจากตับอ่อน, และดูดซมึ สารอาหาร ทย่ี ่อยแลว้ สารอาหารทั้งโปรตนี น คาร์โบไฮเดรต และไขมนั จะถูกยอ่ ยอย่างสมบรู ณ์ภายในลาไส้เลก็ แบคทีเรียบางชนิดท่อี ยใู่ นลาไส้เล็กมบี ทบาทในการ ผลติ เอนไซมเ์ พอ่ื ชว่ ยย่อยคาร์โบไฮเดรต ลาไสใ้ หญ่ (Large intestine) ภายในลาไสใ้ หญ่ นา้ และเกลอื แร่ รวมถงึ วติ ามนิ จะถูก ดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตผ่านทางผนงั ลาไส้ และ ไมพ่ บกระบวนการยอ่ ยอาหารเกดิ ข้ึนในลาไส่ใหญ่ กาก อาหารตา่ งๆ ท่ีเหลอื จากการย่อยจะถกู ขับออกจาก รา่ งกายทางทวารหนกั (Anus)
10 วิลเลย่ี ม ฮารว์ ีย์(William Harvey) นกั วทิ ยาศาสตร์ชาวองกั ฤษ เปน็ ผู้ค้นพบ ระบบการหมุนเวียนเลือดของคน ว่าํ มีระบบ ปดิ คือมกี ารไหลของเลอื ดภายในหลอด เลือดเป็นทิศทางเดียวกนั ซึ่งระบบจะทา หน้าท่ลี า เลยี งสารอาหารตา่ ง ๆ ไปยงั เซลลแ์ ละกา จดขั องเสยี ทเ่ี ซลล์ ไมํ ่ตอ้ง การออกจากร่างกาย หวั ใจ (Heart) เสน้ เลอื ด (Blood vessels) เลอื ด (Blood)
11 อยรู่ ะหว่างปอดท้ัง 2 ข้าง คอ่ นไปทางซา้ ย เล็กนอ้ ย ประกอบดว้ ยกลา้ มเนือ้ พิเศษที่เยกวา่ กลา้ มเนื้อหัวใจ แบง่ ออกเปน็ ห้องบน 2 หอ้ ง เรยี กว่า Atrium (เอเตรยี ม) และหอ้ งล้างซา้ ย เรียนกว่า Ventricle (เวนตริเคิล) หวั ใจหอ้ งบนมขี นาดเลก็ กว่าหอ้ งล่าง และระหว่างหัวใจหอ้ งบนกบั หอ้ งล่างจะมีล้นิ หวั ใจทก่ี นั้ อยู่เพ่ือไม่ให้เลอื ดไหลย้อนกลับ ได้แก่ ลนิ้ ไตรคัสพดิ (Tricuspid Valve) อยรู่ ะหวา่ งห้องบนขวากับล่างขวา และลนิ้ ไบคัสปดิ (Bicuspid Valve) ลิ้นระหวา่ งห้องหวั ใจเปน็ ลน้ิ ปดิ -เปิดทาง เดยี ว เม่ือเลือดไหลมาจะมแี รงดนั ใบลนิ้ ทาให้ ล้นิ เปดิ ออก และปดิ กลับอยา่ งรวดเรว็ เพ่อื ป้องกันมใิ ห้เลอื ดไหลย้อนกลบั การปิด กระแทกของลิ้นจะทาใหเ้ กิด “เสียงเต้นของหวั ใจ(heart beat)”
12 การหมนุ เวียนของเลอื ดจากหวั ใจไปและกลับจากสว่ นต่าง ๆ ของร่างกายน้นั ต้อง อาศยั หลอดเลอื ด ซ่ึงมอี ยู่ ท่ัวรา่ งกาย หลอดเลือดในรา่ งกายคนเราแบ่ง ออกเป็น 3 ชนดิ คือ 1.หลอดเลือดอาร์เทอรี ( Arteries) เป็นหลอดเลือดท่ีนาเลือดออกจากหัวใจ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เลือดที่อยู่ ในหลอดเลือดนีเ้ ป็นเลือดท่ีมีปริมาณแก๊ส ออกซิเจนมาก ยกเว้นเลือดท่ีส่งไปยัง ป อ ด ซึ่ ง เ ป็ น เ ลื อ ด ที่ มี ป ริ ม า ณ แ ก๊ ส คาร์บอนไดออกไซด์มาก หลอดเลือดอาร์ เ ท อ รี มี ผ นั ง ห น า ไ ม่ มี ล้ิ น กั้ น มี ค ว า ม แขง็ แรง 2.หลอดเลือดเวน ( Vein ) เป็นหลอด เลือดที่นาเลือดจากส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายเข้าสู่หัวใจ เลือดที่อยู่ในหลอด เ ลื อ ด นี้ เ ป็ น เ ลื อ ด ที่ มี ป ริ ม า ณ แ ก๊ ส คาร์บอนไดออกไซด์สูง ยกเว้นเลือดที่ นาจากปอดมายังหัวใจ จะเป็นเลือดที่มี ปริมาณแก๊สออกซิเจนสูง ภายใน หลอดเลือดน้ีจะมีล้ินป้องกันไม่ให้เลือด ไหลย้อนกลบั 3.หลอดเลือดฝอย ( Capillaries ) เป็นหลอดเลือด ท่ีมีขนาดเล็กละเอียดเป็นฝอยติดต่ออยู่ระหว่างแขนง เล็ก ๆ ของหลอดเลือดอาร์เทอรีและหลอดเลือดเวน หลอดเลือดฝอยมีผนังบางมาก เป็นบริเวณที่มีการ แลกเปลี่ยนสารอาหาร แก๊ส และส่ิงต่าง ๆ ระหว่าง เลอื ดกับเซลลข์ องร่างกาย
13 1 . ส่ ว น ท่ี เ ป็ น ข อ ง เ ห ล ว 3.เลอื ด ( Blood ) ซ่ึงเรียกว่า น้าเลือด หรือ พลาสมา ( Plasma ) มี 2.ส่วนที่เป็นของแขง็ ได้แก่ อ ยู่ป ระ มาณร้อ ยล ะ 5 5 เซลลเ์ มด็ เลือด และเกลด็ เลือด ของปริมาณเลือดท่ีไหล ซงึ่ มีอยู่ประมาณรอ้ ยละ 45 อยใู่ นรา่ งกาย ของปริมาณเลอื ดท้ังหมด เซลลเ์ มด็ เลอื ดแดง (Red Blood Cell) เซลลเ์ มด็ เลอื ดขาว (White Blood cell) มีรูปร่างค่อนข้างกลมแบน ตรงกลาง มีรูปร่างกลม ขนาดใหญ่กว่าเซลล์เม็ด บุ๋มเข้าหากัน เมื่อโตเต็มที่ไม่มีนิวเคลียส เลือดแดง ไม่มีนิวเคลียส ทาหน้าที่ ส่วนประกอบส่วนใหญ่เป็นสารประเภท ต่อต้านและทาลาย เชื้อโรคหรือส่ิง โปรตนี ทเี่ รยี กวา่ ฮีโมโกลบิน ซึ่งมีเหล็ก แปลกปลอม ท่ีเข้าสู่ร่างกาย แหล่งที่ เ ป็ น อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ท่ี ส า คั ญ สร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวได้แก่ ม้าม ไข ฮีโมโกลบิน แดงมีหน้าท่ีลาเลียงแก๊ส กระดูก และต่อมน้าเหลือง เซลล์เม็ด อ อ ก ซิ เ จ น ไ ป ยั ง เ ซ ล ล์ ต่ า ง ๆ ทั่ ว เลือดขาวมีอายุประมาณ 7-14 วัน ก็จะ รา่ งกาย ถูกทาลาย เกลด็ เลอื ด ( Blood Platelet ) เปน็ ส่วนประกอบของเลอื ดที่ไมใ่ ชเ่ ซลล์ มขี นาดเล็ก มาก ไมม่ สี ี ไม่มีนิวเคลยี ส ทาหนา้ ท่ชี ่วยทาให้เลือดแขง็ ตวั เมื่อเลือดออกสู้ภายนอก รา่ งกาย และช่วยห้ามเลือดในกรณีทีเ่ กดิ บาดแผล แหล่งทีส่ รา้ งเกลด็ เลือดได้แก่ ไข กระดูก เกล็ดเลือดมีอายุ 4 วันเทา่ นนั้ กจ็ ะถกู ทาลาย
14 การหมนุ เวยี นเลอื ดไปยงั สว่ นตา่ งของรา่ งกาย 1.เลอื ดจากส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกายซึ่งเปน็ เลอื ดท่มี ีปริมาณแก๊ส ออกซเิ จนตา่ จะไหลกลบั เขา้ สหู่ วั ใจห้องบนขวา (Right Atrium ) 2.เม่ือหัวใจบบี ตวั เลือดจะไหลจากหวั ใจหอ้ งบนขวาผา่ นลิ้น หวั ใจลงสู่หัวใจห้องล่างขวา ( Right Ventricle ) 3.เมอ่ื หัวใจหอ้ งลา่ งขวาบบี ตัว เลอื ดจะไหลเข้าสู่หลอดเลือดไปยงั ปอด เม่อื มีการ แลกเปล่ยี นแกส๊ ระหวา่ งแก๊สคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละแกส๊ ออกซเิ จน เลอื ดท่มี ี ปรมิ าณแก๊สออกซเิ จนสูงจะไหลกลับเขา้ สู่หัวใจหอ้ งบนซา้ ย ( Left Atrium ) 4.เม่อื หัวใจหอ้ งบนซ้ายบบี ตวั เลอื ดจะไหลผา่ นลนิ้ หัวใจลงสูห่ วั ใจห้องล่าง ซ้าย(Left Ventricle ) 5.เม่อื หวั ใจหอ้ งล่างซ้ายบีบตวั เลือดจะไหลเข้าสูห่ ลอดเลอื ดไปเลีย้ งส่วนตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย และเมื่อเลอื ดมีปรมิ าณแก๊สออกซเิ จนต่ากจ็ ะไหลกลบั เข้าสหู่ วั ใจ ห้องบนชวาเปน็ เชน่ นเ้ี รอื่ ย ๆ ไป
ระบบสบื พนั ธ์ุ 15 ระบบสบื พนั ธ์ุ คือ กระบวนการผลติ ส่งิ มีชวี ติ เพือ่ ดารงเผ่าพันธ์ุ ซึง่ หมายถงึ การผลิตส่ิงมชี ีวติ ชนิดเดยี วกัน เพ่อื ใหส้ ง่ิ มีชีวิตนัน้ ๆ ดารงเผ่าพนั ธต์ุ ่อไป มี 2 แบบ คอื การสืบพนั ธุแ์ บบไม่อาศยั เพศ คือ การ สืบพันธุท์ ีไ่ ม่มกี ารผสมกันระหว่างเซลล์ สบื พนั ธ์ุเพศผู้กบั เพศเมยี การสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศ คือ การสืบพันธ์ุท่มี ีการผสมกนั ระหวา่ ง เซลล์สบื พันธเ์ุ พศผูก้ บั เพศเมีย การสืบพันธ์ขุ องคนเปน็ การสืบพนั ธ์แุ บบอาศยั เพศ โดยวิธีการปฏิสนธิภายใน เมือ่ ชายและหญงิ ยา่ งเข้าสู่ วยั รนุ่ ตอ่ มใตส้ มองจะหลง่ั ฮอร์โมนกระตนุ้ ต่อมเพศ (ชายคอื อณั ฑะ หญิงคือรงั ไข่) ให้ผลติ ฮอร์โมนเพศ และผลิตเซลล์สืบพันธุ์
17 หลอดนาตวั อสจุ ิ อยตู่ อ่ จากหลอดเกบ็ อสจุ ิ ทาหน้าที่ลาเลียง อสจุ ิไปเก็บไวท้ ต่ี อ่ มสรา้ งนา้ เล้ียงอสจุ ิ ตอ่ มสรา้ งนา้ เลย้ี งอสจุ ิ(seminal vesicle) อยตู่ ่อจากหลอดนาตัวอสจุ ิ ทาหน้าทส่ี รา้ ง อาหารใหแ้ กต่ ัวอสุจิ สว่ นมากเปน็ นา้ ตาลฟรัก โตส และสารประกอบอ่ืนๆทที่ าใหเ้ กดิ สภาพท่ี เหมาะกบั ตวั อสุจิ ต่อมลกู หมาก(prostate gland) อยบู่ ริเวณตอนต้นของทอ่ ปัสสาวะ ทา หน้าที่หลั่งสารบางชนดิ ที่เปน็ เบสอย่างออ่ น เขา้ ไปในท่อปัสสาวะปนกับน้าเลี้ยงอสจุ ิ และ สารที่ทาให้ตัวอสจุ ิแข็งแรงและว่องไว ตอ่ มคาวเปอร์(cowper gland) มีหปนัส้าสทาีห่ วละใง่ั นสขาณรขะอเกงิดเหกลารวใกสรๆะไตปุ้นหทลา่องลเพ่ืนศทอ่ อวยั วะเพศชาย(pennis) เป็นกล้ามเน้อื ทหี่ ดและพองตวั ไดค้ ลา้ ยฟองนา้ ในวลา ปกติจะอ่อนและงอตัวอยู่ แต่เมอื่ ถกู กระตนุ้ จะเเขง็ ตัว เพราะมเี ลอื ดมาค่งั มาก ภายในจะมที อ่ ปสั สาวะทาหน้าที่ เปน็ ทางผ่านของตัวอสุจแิ ละนา้ ปสั สาวะ
18 ระบบสบื พนั ธเ์ุ พศหญิง ระบบสบื พนั ธเ์ุ พศหญงิ ประกอบดว้ ยอวยั วะตา่ งๆ ดงั น้ี รงั ไข่ ทาหน้าท่ผี ลิตไขแ่ ละฮอร์โมนเพศหญิง ซ่ึงจะ กาหนดลกั ษณะตา่ งๆในเพศหญิง เช่น ตะโพก ผาย เสียงแหลม สาหรบั รงั ไข่จะมี 2 อัน ซึ่ง จะอยูค่ นละข้างของมดลกู จะมลี ักษณะคล้าย เม็ดมะมว่ งหมิ พานต์ยาวประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร หนา 1 เซนตเิ มตร ท่อนาไข่ เรยี กอกี ชอ่ื หนึง่ วา่ ปกี มดลกู เปน็ ทางเช่อื มตอ่ ระหวา่ งรังไขท่ ้ังสองข้างกบั มดลูก ทาหน้าท่เี ป็น ทางผา่ นของไข่ทีอ่ อกจากรงั ไขเ่ ขา้ ส่มู ดลกู และ เปน็ บรเิ วณท่ีอสุจิจะเขา้ ปฏสิ นธิกับไข่ ทอ่ นาไข่ มเี ส้นผา่ นศูนย์กลางประมาณ 2 มลิ ลเิ มตร และยาวประมาณ 6 - 7 เซนติเมตร
19 มดลกู มีรปู รา่ งคล้ายผลชมพู่หวั กลบั ลง กว้างประมาณ 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 6 - 8 เซนตเิ มตร หนา ประมาณ 2 เซนติเมตร อยูใ่ นบริเวณอ้งุ กระดูกเชิง กรานระหว่างกระเพาะปสั สาวะกับทวารหนกั ทา หน้าทเ่ี ปน็ ท่ฝี ังตวั ของไขท่ ่ีไดร้ บั การผสมแลว้ และเปน็ ทเ่ี จรญิ เติบโตของทารกในครรภ์ ชอ่ งคลอด อยตู่ อ่ จากมดลูกลงมา ทาหนา้ ทเี่ ป็น ทางผ่านของตัวอสจุ เิ ขา้ สูม่ ดลกู และเป็น ทางออกของทารกเม่อื ครบกาหนดคลอด ประจาเดอื น เมอ่ื ไขต่ ก ร่างกายจะผลิตฮอรโ์ มนเพือ่ เตรยี มเย่อื บโุ พรงมดลูกสาหรับการฝงั ตัว ของไขท่ ไ่ี ด้รับการปฏิสนธิ แตเ่ มอ่ื ไมม่ ีการปฏิสนธิ เยอ่ื บโุ พรงมดลูกและหลอด เลอื ดก็จะสลาย กลายเปน็ ประจาเดือน เพศหญงิ จะมปี ระจาเดือนตงั้ แต่อายุ 12 ปี รอบเดือนประมาณ 28 วัน เมอื่ อายุ 50 ปีก็หมดประจาเดือน
ระบบหายใจ 20 (Respiration) เป็นการแลกเปล่ียนกา๊ ชคารบ์ อนไดออกไซด์ ท่ีร่างกายของเราไม่ตอ้ งการกบั ก๊าช ออกซเิ จนทอ่ี ยนู่ อกรา่ งกายของเรา ซึง่ มคี วามสาคัญและจาเปน็ ตอ่ เรามาก ระบบ หายใจประกอบด้วยจมูก หลอดลม ปอด ถงุ ลม กะบังลมและซโี่ ครง การหายใจแบ่งเปน็ 2แบบ 1. การหายใจแบบตอง้ อาศยั ออกซเิ จน เปน็ การสลายโมเลกุลอาหารอย่าง สมบูรณ์ ได้พลงั งานเตม็ ที่ ผลทีไ่ ด้คือ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และน้า 2. หายใจแบบไมใ่ ช้ออกซเิ จน เป็น การสลายโมเลกุลอาหารอยา่ งไม่ สมบูรณไ์ ดพํ้ ลงั งานออกมาเพียง 1 ใน 9 ของการหายใจแบบใช้ออกซิเจน สารอาหาร + ออกซเิ จน คาร์บอนไดออกไซด์ + นา้ + พลงั งาน
21 กลไกลการหายใจของมนษุ ย์ 1.) การหายใจเขา้ (Inspiration) กะบังลมจะเล่ือนต่าลง กระดูกซ่ีโครงจะเล่ือนสูงขึ้น ทาให้ปริมาตร ของช่องอกเพ่ิมข้ึน ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดลดต่าลงกว่า อากาศภายนอก อากาศภายนอกจึงเคลื่อนเข้าสู่จมูก หลอดลม และไป ยงั ถงุ ลมปอด 2.) การหายใจออก (Expiration) กะบังลมจะเลื่อนสูง กระดูกซี่โครงจะเล่ือนต่าลง ทาให้ปริมาตรของ ช่องอกลดน้อยลง ความดันอากาศในบริเวณรอบ ๆ ปอดสูงกว่าอากาศ ภายนอก อากาศภายในถุงลมปอดจึงเคลื่อนท่ีจากถุงลมปอดไปสู่ หลอดลมและออกทางจมกู
22 อวัยวะท่เี กย่ี วขอ้ งกบั ระบบหายใจ ช่องจมกู (Nasal cavity) ชว่ ยในการกรองอากาศ มเี มือกเหนียว ๆ ทาหน้าทีด่ กั จับ ฝุ่นละอองและจุลินทรีย์ มีขนเลก็ ๆ หรอื ซเี ลยี (Cilia) อยบู่ นเซลล์ที่ชว่ ยในการพดั พา เมือกขนึ้ มาที่จมกู และคอหอย คอหอย (Pharynx) คอหอยสว่ นจมกู เป็นทางผา่ น ของอากาศอยา่ งเดียว คอหอยสว่ นปาก เป็นทางผ่านของอาหาร และอากาศ คอหอยสว่ นกลอ่ งเสียง เปน็ ทางผา่ นของอากาศอย่างเดยี ว คอหอย (Pharynx)
23 กล่องเสยี ง (Larynx) และฝาปดิ กลอ่ งเสยี ง (Epiglottis) ประกอบดว้ ยอวยั วะท่เี ปน็ กระดกู ออ่ นมี ลักษณะเป็นสันนูนออกมาตรงแนวกลาง เรียกวา่ ลกู กระเดือก และจะมีเสน้ เสียง (Vocal cords) เปน็ แหลง่ กาเนดิ เสยี งและ เปน็ ทางผ่านของอากาศ กลอ่ งเสยี ง (Larynx) ฝาปิดกล่องเสียง (Epiglottis) ซึง่ ทาหนา้ ที่ เปิดปดิ กลอ่ งเสียง เพื่อ ป้องกนั ไมใ่ ห้อาหารเขา้ ไปใน กล่องเสียงและหลอดลม เป็นหลอดกลมๆประกอบดว้ ยกระดกู ออ่ นรูปวงแหวน หรือรูปตัว U เพื่อป้องกนั ไม่ใหห้ ลอดลมแฟบ ได้ง่าย และทาให้อากาศผ่านเขา้ ออกได้สะดวก
ขั้วปอด (Bronchus) 24 เป็นส่วนที่ต่อจากหลอดลมโดย จะแยกเปน็ 2 ข้างแลว้ แตก แขนงย่อยออกไปยงั ปอด เรียกว่า แขนงขว้ั ปอด ขั้วปอด (Bronchus) ขว้ั ปอดข้างขวาจะลาดกวา่ ดังนัน้ เวลาสาลักสิ่ง แปลกปลอมจะทาใหส้ ่งิ แปลกปลอม มโี อกาสตก ลงทางด้านขวาได้ ปอดมี 2 ขา้ งมลี กั ษณะคล้ายฟองน้าลอยนา้ ได้ ปอด ลอ้ มรอบด้วยเยื่อหมุ้ ปอด ซ่ึงสรา้ งของเหลวลน่ื ๆ (Lungs) เพ่ือช่วยปอ้ งกนั การเสยี ดสรี ะหวา่ งปอดกบั ซโ่ี ครง ในระหวา่ งการหายใจ ในเดก็ มีสีชมพู ในผู้ใหญอ่ าจจะมสี ีคล้า และมจี ุดดาเป็นหยอ่ มทีเ่ กดิ การสะสม ของฝุน่ ละออง เชน่ จาก ควันบหุ รี่ หรอื ท่อไอเสียรถยนต์เปน็ ต้น เปน็ อวยั วะทท่ี าหนา้ ท่ใี นการแลกเปลยี่ นกา๊ ซ โดยนาก๊าซ CO2 ออกจากเลอื ด และนา ออกซิเจนเข้าสู่เลือด
ถงุ ลม (Alveolus) 25 มีลกั ษณะเปน็ ถงุ ขนาด เลก็ นบั ลา้ น ๆ ถุง โดยมี ร่างแหเส้นเลอื ดฝอย ลอ้ มรอบแต่ละถุงไว้และ ผนงั ของถุงลมมีความบาง และชุ่มชน้ื เกิดการแลกเปลีย่ นกา๊ ซโดย กระบวนการแพร่ โดยแพร่ จากความเข้มข้น มากไปหาความเขม้ ข้นนอ้ ย กระบวนการทางานของระบบการหายใจ การแลกเปลยี่ นแกส๊ ทถ่ี งุ ลม อากาศเมื่อเข้าสปู่ อดจะไปอยูใ่ นถงุ ลม ซงึ่ มลี กั ษณะกลมคล้ายลูกองนุ่ ซึง่ ปอดต่ ละข้างจะมถี งุ ลมข้างละ 150 ลา้ นถงุ แต่ะถงุ มีขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางไมถ่ งึ 0.1 มลิ ลิเมตร ถุงลมทุกอนั จะมหี ลอดเลือดฝอยมาหอ่ หุ้มไว้ การแลกเปล่ียนแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ออกซเิ จน ไนโตรเจน และไอน้า ผ่านเข้าออกถงุ ลมโดยผ่าน เยอื่ บางๆของถงุ ลม เลือดจากหวั ใจมาสู่ปอด เป็นเลือดทมี่ ี ออกซิเจนต่า คาร์บอนไดออกไซด์สงู เมอ่ื มาสถู่ ุงลมจะมกี ารแลกเปลยี่ นแกส๊ โดยออกซิเจนในถงุ ลมจะแพร่เขา้ สเู่ สน้ เลอื ด ขณะเดียวกันคาร์บอนไดออกไซด์ ในเสน้ เลอื ดจะแพร่เข้าสถู่ ุงลม แล้วขบั ออกทางลมหายใจออก
26 ระบบประสาท (Nervous System) ระบบประสาท (Nervous System) ทาหน้าที่ ควบคมุ การทางานของทุกระบบ ทางานได้อยา่ งรวดเรว็ ร่วมกับระบบตอ่ ม ไรท้ ่อ นอกจากน้ยี ังทาหนา้ ทีร่ บั และ ตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ ภายนอก โดยระบบประสาทของมนษุ ยแ์ บง่ เป็น 2 ส่วน 1.ระบบประสาทสว่ นกลาง (Central Nervous System : CNS ) เ ป็ น ร ะ บ บ ป ร ะ ส า ท ท่ี ท า ห น้ า ท่ี เ ป็ น ศูนย์กลางหรือควบคุมการทางานของ ระบบอ่ืนๆของร่างกาย เช่น ควบคุมการ เคลื่อนไ หวของกล้ามเนื้อ ลายแล ะ ก ร ะ ดู ก เ พ่ื อ ใ ห้ ส า ม า ร ถ ป รั บ ตั ว เ ข้ า กั บ สภาพแวดลอ้ ม 2. ระบบประสาทรอบนอก (Peripheral Nervous System : PNS ) ประกอบดว้ ย 2.1 เส้นประสาทสมอง (cranial nerve) 12 คู่ - สมองทกุ ส่วนจะมีเสน้ ประสาทสมองแยกออกมาเปน็ คๆู่ เพ่ือรับสญั ญาณความรู้สึก และออกคาสง่ั ควบคมุ หนว่ ยปฏบิ ัติงานให้ ตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ 2.2เสน้ ประสาทไขสนั หลัง (spinal nerve) - เปน็ เส้นประสาททีแ่ ยกออกจากไขสนั หลงั 31 คู่ เพอ่ื ทา หน้าที่รับความรู้สกึ และสงั่ การไปยังหนว่ ยปฏิบตั งิ าน (effectors) เชน่ กลา้ มเนื้อหรอื ต่อมต่างๆ
27 ระบบประสาทของมนุษย์ประกอบดว้ ย สมอง ไขสนั หลงั และเสน้ ประสาท สมองและไขสันหลัง ประกอบด้วยเซลล์ ประสาท หรือ นิวรอน (Neuron) อยู่ มากมายแต่ละเซลล์ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1. ตัวเซลล์ (Cell body) มีนิวเคลียส ขนาดใหญ่อยใํ นไซโทพลาซึม 2. เส้นใยประสาท (Nerve fiber) คือส่วนของไซโทพลาซึมที่แตกแขนงย่ืน ออกไปจากตวเั ซลลแ์ บ่งออกเปน็ ● เดนไดรต์ (Dendrite) ทาหน้าทน่ี าสัญญาณประสาทเขาสํ ู่ตวัเซลล์ ● แอกซอน (Axon) ทาหน้าทน่ี าสัญญาณประสาทออกจากตัวเซลล์
28 สมอง ( brain ) 1. สมองสว่ นหนา้ 1.1 ซรี ีบรัม (Cerebrum) มีขนาดใหญส่ ดุ รอยหยักมาก ทาหนา้ ทเี่ กี่ยวกับ การเรียนรู้ ควบคมุ การเคล่ือนไหว ความรสู้ ึก และประสาทสมั ผัส 1.2 ทาลามัส (Thalamus) เป็นตวั กลางถา่ ยทอดกระแสประสาทในสมอง 1.3 ไฮโปทาลามสั (Hypothalamus) ทาหนา้ ทค่ี วบคุมสมดุลรา่ งกายและ การทางานของระบบประสาทอัตโนมตั ิ เช่น ควบคมุ อุณหภมู ขิ องร่างกาย การ หายใจ การหลับ การเต้นของหวั ใจ เป็นตน้ 2.สมองสว่ นกลาง มเี ซลลเ์ ช่ือมระหว่างสมองส่วนหนา้ กับสว่ นท้าย และสว่ นหน้ากับตา ทาให้ลกู ตากลอกไปมา และมา่ นตาหดขยายได้ 3.สมองสว่ นทา้ ย 3.1 ซีรีเบลลมั (Cerebellum) อยู่ใต้ซรี บี รมั ควบคุมระบบกลา้ มเนอ้ื และ การทรงตวั 3.2 พอนส์ (Pons) อย่ดู า้ นหนา้ ของซรี เี บลลมั มีใยประสาทเช่ือมระหว่าง ซีรีบรมั และซรี ีเบลลมั ช่วยใหร้ า่ งกายเคล่ือนไหวพร้อมกบั ทรงตัวได้ 3.3 เมดลั ลาออบลองกาตา (medulla oblongata) เปน็ ศูนย์กลางการ ควบคุมการทางานเหนอื อานาจจิตใจ สมองสว่ นกลาง พอนส์ และเมดลั ลา ออบลองกาตา รวมกนั เรียกวา่ \"ก้านสมอง (brain stem)\"
29 ไขสันหลงั (spinal cord) ไขสันหลัง ทาหน้าทเ่ี ชอื่ มกระแส ประสาทจากหนว่ ยรับความรู้สกึ ท่ัว รา่ งกายกบั สมอง เซลลป์ ระสาท (neuron) เป็นกลมุ่ ของใยประสาทหลายอันทมี่ ารวมกัน ใยประสาทรับความรสู้ กี เรียกว่า เดนไดรท์ (dendrite) สว่ นใยประสาทท่ีสง่ ความรู้สกึ เรยี กว่า แอกซอน (axon) เซลล์ประสาทมี 3 สว่ น ได้แก่ 1.เซลลป์ ระสาทรบั ความรู้สึก รับกระแส ประสาทจากอวยั วะรบั สมั ผสั เขา้ สูส่ มองและ ไขสันหลงั 2.เซลล์ประสาทนาคาสงั่ เชอื่ มเซลล์ ประสาทรับความรู้สกึ กับสมอง ไขสันหลัง และเซลลป์ ระสาทส่ังการ 3.เซลลป์ ระสาทส่ังการ รบั คาส่งั จากสมอง หรือไขสนั หลังให้ควบคมุ การทางานของ อวัยวะต่างๆ
30 การขบั ถา่ ยเป็นระบบกาจัดของเสยี จากรา่ งกาย และช่วยควบคุมปรมิ าณของนา้ ในร่างกายให้สมบูรณ์ประกอบด้วย ไต ตับ และลาไส้ เปน็ ตน้ ไต มีหนา้ ที่ขับสงิ่ ท่ีรา่ งกาย ไม่ไดใ้ ช้ออกจากรา่ งกาย อยูด่ า้ นหลังของช่องท้อง ลาไสใ้ หญ่ มีหนา้ ท่ขี บั กากอาหาร ทเี่ หลือจากการยอ่ ยของระบบย่อย อาหารออกมาเปน็ อจุ จาระ
31 ไต เป็นอวัยวะที่ลักษณะคล้ายถ่ัว มี ขนาดประมาณ 10 กวา้ ง 6 เซนตเิ มตร และหนาประมาณ 3 เซนติเมตร มีสแี ดงแกมน้าตาลมีเยื่อ หุ้มบางๆ ไตมี 2 ข้างซ้ายและขวา บรเิ วณดา้ นหลงั ของช่องทอ้ ง ใกล้ กระดูกสนั หลงั บรเิ วณเอว บริเวณสว่ น ที่เวา้ เปน็ กรวยไต มีหลอดไตตอ่ ไป ยังมกี ระเพาะปสั สาวะ โครงสร้างไต ประกอบด้วยเนอื้ เยอ่ื 2 ชั้น หนว่ ยไต ชัน้ นอก เรียกว่า คอร์ดเทกซ์ ช้ันในเรียกวา่ เมดลั ลา ภายในไตประกอบดว้ ย หน่วยไต มี ลักษณะเปน็ ทอ่ ขดอยหู่ ลอดเลือดฝอย เปน็ กระจุกอยเู่ ตม็ ไปหมด ไตเปน็ อวยั วะทที่ างานหนกั เลือดทหี่ มนุ เวียนในรา่ งกายต้องผ่านมายงั ไต ประมาณ ในแตล่ ะนาทจี ะมีเลือดมายังไตท่ี 1200 มิลลลิ ติ ร หรอื วันละ 180 ลิตร ไตจะ ขบั ของเสียมาในรปู ของนา้ ปสั สาวะ แล้วสง่ ตอ่ ไปยังกระเพาะปสั สาวะ มคี วามจุ ประมาณ 500 ลูกบาศก์เซนติเมตร ร่างกายจะรสู้ ึกปวดปสั สาวะเมื่อนา้ ปัสสาวะ ไหลสกู่ ระเพาะปสั สาวะประมาณ 250 ลูกบาศก์เซนติเมตร ใน 1 วนั คนเราจะ ขบั ปัสสาวะออกมาประมาณ 1 – 1.5 ลิตร
32 ในรปู ของเหงือ่ เหงอ่ื ประกอบไปดว้ ยนา้ เป็น สว่ นใหญ่ เหง่ือจะถูกขับออกจากร่างกายทาง ผวิ หนงั โดยผา่ นตอ่ มเหงอ่ื ซึง่ อยูใ่ ตผ้ วิ หนัง ตอ่ มเหงอื่ มี 2 ชนดิ คอื 1. ต่อมเหง่อื ขนาดเล็ก มอี ยู่ทัว่ ผวิ หนังในรา่ งกาย ยกเวน้ ทา่ ริมฝีปากและอวยั วะสบื พันธุ์ ต่อมเหง่ือขนาด เลก็ มีการขับเหง่ือออกมาตลอดเวลา เหงอื่ ทอ่ี อกจาก ต่อมขนาดเลก็ น้ีประกอบด้วยน้ารอ้ ยละ 99 สารอ่ืนๆ ร้อยละ 1 ไดแ้ ก่ เกลอื โซเดยี ม และยเู รีย 2. ต่อมเหงอื่ ขนาดใหญ่ จะอยทู่ บ่ี ริเวณ รักแร้ รอบหัวนม รอบสะดือ ชอ่ งหสู ว่ นนอก อวัยวะเพศบางส่วน ต่อมนีม้ ที อ่ ขบั ถ่ายใหญ่กว่าชนิดแรก ตอ่ มน้จี ะตอบสนองทางจิตใจ สารทข่ี ับถา่ ยมักมกี ลิน่ ซ่ึงก็คอื กลน่ิ ตวั เหง่ือ จะถกู ลาเลยี งไปตามทอ่ ท่ีเปดิ อยู่ ท่ีเรยี กวา่ รเู หงื่อ
33 กากอาหารทเี่ หลือกจากการยอ่ ย จะถูกลาเลียงผ่านมาทีล่ าไสใ้ หญ่ โดยลาไส้ ใหญจ่ ะทาหนา้ ทีส่ ะสมกากอาหารและจะดูดซมึ สารอาหารที่มปี ระโยชน์ ต่อ รา่ งกายได้แก่ นา้ แร่ธาตุ วติ ามนิ และกลูโคส ออกจากกากอาหาร ทาให้ กากอาหารเหนียวและข้นจนเปน็ ก้อนแขง็ จากนั้นลาไส้จะบบี ตวั เพอ่ื ใหก้ าก อาหารเคลื่อนท่ีไปรวมกนั ที่ลาไส้ตรง และขับถา่ ยสภู่ ายนอกรา่ งกายทางทวาร หนกั ทเ่ี รียกว่า อจุ จาระ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซและน้าซึ่งเกิดจากการเผา ผลาญอาหารภายในเซลล์จะถูก ส่งเข้าสู่เลือด จากน้ันหัวใจจะ สู บ เ ลื อ ด ท่ี มี ก๊ า ซ คาร์บอนไดออกไซด์ไปไว้ที่ปอด จากน้ันปอดจะทาการกรองก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์เก็บไว้ แล้ว ขั บ อ อ ก จ า ก ร่ า ง ก า ย โ ด ย ก า ร หายใจออก
34 ใบงานที่ 1 การจดั ระบบในรา่ งกาย คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นพจิ ารณาภาพรา่ งกายมนษุ ย์ แล้วตอบคาถามใหถ้ กู ตอ้ ง 1. นักเรียนสามารถจาแนกระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้เป็นกีร่ ะบบ อะไรบ้าง 2. ใหน้ ักเรียนเลือกระบบในร่างกายมา 1 ระบบ แลว้ แยกอวัยวะต่าง ๆ ในระบบนนั้ วา่ มอี วยั วะใดบา้ ง 3. ใหน้ ักเรียนเลือกอวยั วะมา 1 อวยั วะ แล้วแยกสว่ นประกอบภายในอวยั วะน้นั ๆ 4. ส่วนประกอบของอวัยวะแตล่ ะสว่ นนน้ั มี หนว่ ยทเ่ี ล็กที่สุดเป็นส่วนประกอบ เรียกวา่ อะไร
35 ใบงานที่ 2 ระบบยอ่ ยอาหาร คาชแ้ี จง จงเตมิ ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง 1………………………. 4..………………………. 2..………………………. 5..………………………. 3………………………. 6…………………..……. 4..………………………. 7..………………………. จงเขยี นอธิบายหนา้ ที่ของอวัยวะต่าง ๆ ในแตล่ ะหมายเลข 1......................................................................................................................................... 2......................................................................................................................................... 3......................................................................................................................................... 4......................................................................................................................................... 5......................................................................................................................................... 6......................................................................................................................................... 7.........................................................................................................................................
36 ใบงานที่ 3 ระบบไหลเวยี นโลหติ คาชแ้ี จง จากรปู ภาพทก่ี าหนดใหจ้ งเขยี นลกู ศรแสดงโครงสรา้ งของหวั ใจให้ ถูกต้องพรอ้ มทงั้ อธบิ ายกลไกการทางานของระบบไหลเวยี นโลหติ
37 ใบงานท่ี 4 ระบบสบื พนั ธ์ุ คาชแี้ จง ให้นกั เรยี นตอบคาถามจากรปู ภาพทก่ี าหนดใหต้ อ่ ไปน้ี 1. จากรูปอวยั วะท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั การสืบพันธ์ขุ องเพศชายมีอะไรบา้ ง .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... 2. จากรปู อวยั วะท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การสบื พนั ธ์ขุ องเพศหญิงมีอะไรบ้าง .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... 3. เพศหญิงจะเริม่ มีประจาเดอื นเมือ่ อายุเท่าใด .......................................................................................................................................... .......................................................................................................................................... 4. เพศชายจะผลติ เซลล์สบื พนั ธเ์ุ พศชายเม่ืออายเุ ทา่ ใด .......................................................................................................................................... ..........................................................................................................................................
ใบงานที่ 5 38 ระบบหายใจ คาชแ้ี จง จงเขยี นเครอื่ งหมาย / หนา้ ขอ้ ความทถี่ กู และเขยี นเครอื่ งหมาย x หน้าขอ้ ความทผ่ี ดิ ......... 1. กระบวนการหายใจเกิดข้นึ กับทุกเซลลแ์ ละเกดิ ตลอดเวลา ......... 2. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ทาปฏกิ ริ ิยากบั สารอาหาร เกิด พลังงาน นา้ และแกส๊ ออกซเิ จน ......... 3. อัตราเรว็ ของการหายใจขนึ้ อยกู่ บั ความเขม้ ขน้ ของแกส๊ ออกซเิ จนในเลือด ......... 4. การแลกเปล่ียนแก๊สออกซิเจนและแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ เกิดขน้ึ ท่ีถุงลมภายในปอด ......... 5. เมอ่ื เปา่ ลมหายใจลงในนา้ ปนู ใส น้าปูนใสข่นุ แสดงวา่ ลมหายใจ ออกมแี ก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ......... 6. การหมนุ เวยี นของแก๊สจะเกิดควบคไู่ ปกับการหมนุ เวยี นของ เลือด ......... 7. พลังงานทรี่ า่ งกายนามาใชใ้ นการทากิจกรรมตา่ งๆ ไดม้ าจาก กระบวนการหายใจ ......... 8. อวยั วะท่ีชว่ ยในการหายใจ คอื กระดกู ซี่โครงและกล้ามเนือ้ ......... 9. แกส๊ ทส่ี าคญั ซึ่งเก่ยี วขอ้ งกบั การดารงชีวิตของมนษุ ย์ คือ แก๊ส ออกซเิ จน แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ ......... 10. ปรมิ าณแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ในเลือดสงู จะทาใหม้ ีการ
ใบงานที่ 6 39 ระบบประสาท คาช้ีแจง ให้นักเรยี นเขียนอธบิ ายสว่ นประกอบและหน้าทขี่ องระบบประสาท ช่ือ……………………… ช่อื ……………………… หน้าท…่ี ……………… หนา้ ท…่ี ……………… …………………………… …………………………… …………………………… …………………………… …………………………… …………………………… …………………………… …………………………… …………………………… …………………………… ช่ือ…………………… ช่อื ……………………… ชื่อ……………………… หน้าท…ี่ …………… หนา้ ท…ี่ ……………… หนา้ ท…่ี ……………… ………………………… …………………………… …………………………… ………………………… …………………………… …………………………… ………………………… …………………………… …………………………… ………………………… …………………………… …………………………… ………………………… ………………………… …………………………… ………………………… ช่อื ………………………… ช่อื …………………… หน้าท…่ี ………………… หน้าท…ี่ …………… …………………………… ………………………… …………………………… ………………………… …………………………… ………………………… …………………………… ………………………… …………………………… ………………………… ……………………………
ใบงานที่ 7 40 ระบบขบั ถา่ ย คาชแ้ี จง จงเตมิ ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง คาถาม 1. มนษุ ยข์ ับถา่ ยของเสยี ออกจากร่างกายไดก้ ท่ี าง อะไรบา้ ง .................................................................................................................... 2. มนุษย์ขับถา่ ยของเสียในรปู ของเหลว เรยี กวา่ อะไร .................................................................................................................... 3.อวยั วะทีเ่ กี่ยวข้องกบั การขบั ถา่ ยของเสยี ในรปู ของเหลวมอี ะไรบา้ ง .................................................................................................................... 4. ร่างกายขับเหงื่ออกทางใด ....................................................................................................................
41 แบบทดสอบหลงั เรยี น เรือ่ ง ระบบต่างๆของรา่ งกาย จานวน 10 ขอ้ คาชแ้ี จง เลือกคาตอบทถี่ กู ตอ้ งทสี่ ดุ เพยี งขอ้ เดยี ว 1. ถา้ ระบบหายใจมคี วามผดิ ปกติเนื่องจากการสูบบุหรจ่ี ะสง่ ผลกระทบต่อ ระบบใดมากท่สี ดุ ก. ระบบไหลเวียนเลอื ด ข. ระบบย่อยอาหาร ค. ระบบประสาท ง. ระบบน้าเหลอื ง 2. การกาจัดของเสียทางปอดมคี วามสาพนั ธก์ ับกระบวนการใดมากที่สดุ ก. กระบวนการย่อยอาหาร ข. กระบวนการแลกเปลยี่ นแก๊ส ค. กระบวนการกรองของเสียทไี่ ต ง. กระบวนการสบู ฉดี เลือด 3. การควบคุมระดบั นา้ ตาลในเลือดจะตอ้ งใช้อนิ ซลู นิ ท่สี รา้ งจากอวัยวะใด ก. ตบั ข. ตับอ่อน ค. มา้ ม ง. ไส้เลก็ 4. เมือ่ เรารบั ประทานอาหารเข้าส่รู า่ งกาย มีระบบใดบ้างท่ีตอ้ งทางาน ประสานกนั เพื่อเปลย่ี นอาหารเปน็ พลงั งานใหร้ า่ งกายนาไปใช้ในการ เจรญิ เติบโต ก. ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบหมนุ เวียนเลือด ระบบหายใจ ข. ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบหมนุ เวียนเลอื ด ระบบประสาท ค. ระบบหมนุ เวยี นเลอื ด ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถา่ ย ง. ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพันธ์ุ ระบบหมุนเวียนเลือด 5. ฮอรโ์ มนจากตอ่ มใดที่หล่ังมากระตุ้นให้กล้ามเนอ้ื มดลูกบบี ตวั ในชว่ งคลอด ก. รังไข่ ข. มดลกู ค. ตอ่ มใตส้ มอง ง. ทง้ั ก, ข,ค
42 6. หวั ใจมีหนา้ ทอี่ ยา่ งไร ก. แลกเปลี่ยนแกส๊ ในเลอื ด ข. ควบคุมการทางานของปอด ค. สบู ฉีดเลอื ดไปสเู่ ซลล์ทวั่ ร่างกาย ง. ควบคมุ การทางานของอวยั วะตา่ งๆ ท่ัวรา่ งกาย 7. การเคีย้ วอาหารท่ีเป็นชิ้นใหญใ่ ห้มขี นาดเล็กลง คือข้อใด ก. การย่อยทางเคมี ข. การย่อยทางกล ค. การกลนื อาหาร ง. การหายใจ 8. ข้อใดคือหนา้ ทีข่ องเกล็ดเลอื ด ก. ขนส่งแก๊สออกซเิ จนและแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ข. ทาลายเชอ้ื โรคหรอื สงิ่ แปลกปลอมทเ่ี ข้าสรู่ ่างกาย ค. นาเลอื ดไปเลยี้ งสว่ นต่างๆ ของร่างกาย ง. ช่วยใหเ้ ลือดแข็งตัวเวลาเกิดบาดแผล 9. ในขณะทค่ี นเราหายใจเข้า ข้อความใดกล่าวถงึ ความสัมพนั ธ์ระหว่างกะบงั ลมกบั กระดูกซโ่ี ครงได้ถกู ตอ้ ง ก. ทัง้ กะบังลมและกระดกู ซโี่ ครงเล่ือนต่าลง ข. ทงั้ กะบงั ลมและกระดูกซโี่ ครงเลื่อนสูงขน้ึ ค. กะบงั ลมเลื่อนตา่ ลง กระดกู ซ่โี ครงเลื่อนสูงขน้ึ ง. กะบงั ลมเลอ่ื นสงู ขึน้ กระดูกซโ่ี ครงเลือ่ นตา่ ลง 10. โปรตีนท่ีทาหน้าที่เรง่ ปฏิกิริยาทางเคมีของร่างกาย เรียกวา่ ก. นํา้ ดี ข. นํา้ ลาย ค. เอนไซม์ ง. นํ้าเกลอื
43 แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรอ่ื ง ระบบตา่ งๆของรา่ งกาย จานวน 10 ขอ้ คาชแี้ จง เลอื กคาตอบทถ่ี กู ตอ้ งทส่ี ดุ เพยี งขอ้ เดยี ว 1. การเคีย้ วอาหารท่เี ป็นชิน้ ใหญใ่ ห้มีขนาดเลก็ ลง คือขอ้ ใด ก. การย่อยทางเคมี ข. การยอ่ ยทางกล ค. การกลนื อาหาร ง. การหายใจ 2. ระดบั นา้ ตาลในเลอื ดจะต้องใช้อินซูลนิ ท่ีสรา้ งจากอวัยวะใด ก. ตับ ข. ตับอ่อน ค. มา้ ม ง. ลาไส้เล็ก 3. การกาจดั ของเสียทางปอดมีความสาพนั ธ์กบั กระบวนการใดมากท่สี ุด ก. กระบวนการยอ่ ยอาหาร ข. กระบวนการแลกเปลี่ยนแกส๊ ค. กระบวนการกรองของเสียท่ีไต ง. กระบวนการสูบฉดี เลอื ดการควบคมุ 4. เมอ่ื เรารับประทานอาหารเข้าสู่ร่างกาย มรี ะบบใดบา้ งที่ตอ้ งทางาน ประสานกันเพ่อื เปล่ียนอาหารเป็นพลงั งานใหร้ ่างกายนาไปใช้ในการ เจริญเติบโต ก. ระบบยอ่ ยอาหาร ระบบหมนุ เวยี นเลือด ระบบหายใจ ข. ระบบย่อยอาหาร ระบบหมุนเวยี นเลือด ระบบประสาท ค. ระบบหมนุ เวยี นเลือด ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ง. ระบบย่อยอาหาร ระบบสืบพนั ธ์ุ ระบบหมุนเวียนเลือด 5. ถา้ ระบบหายใจมคี วามผดิ ปกตเิ น่ืองจากการสบู บุหรีจ่ ะส่งผลกระทบต่อ ระบบใดมากทีส่ ดุ ก. ระบบไหลเวียนเลือด ข. ระบบย่อยอาหาร ค. ระบบประสาท ง. ระบบนา้ เหลอื ง
44 6. ในขณะที่คนเราหายใจเข้า ข้อความใดกล่าวถึงความสัมพันธร์ ะหว่างกะบงั ลมกับกระดูกซ่ีโครงได้ถูกต้อง ก. ทัง้ กะบงั ลมและกระดกู ซโี่ ครงเล่อื นต่าลง ข. ทงั้ กะบงั ลมและกระดกู ซโ่ี ครงเลอ่ื นสงู ข้ึน ค. กะบงั ลมเล่ือนต่าลง กระดกู ซ่ีโครงเลอื่ นสูงขึน้ ง. กะบงั ลมเล่อื นสูงข้ึน กระดกู ซโี่ ครงเลอ่ื นตา่ ลง 7. ฮอรโ์ มนจากต่อมใดทีห่ ลงั่ มากระตนุ้ ใหก้ ลา้ มเน้อื มดลูกบบี ตัวในช่วงคลอด ก. รงั ไข่ ข. มดลูก ค. ต่อมใตส้ มอง ง. ทั้ง ก, ข,ค 8. ข้อใดคือหนา้ ทขี่ องเกลด็ เลือด ก. ขนสง่ แกส๊ ออกซิเจนและแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ ข. ทาลายเชอื้ โรคหรอื สง่ิ แปลกปลอมทเี่ ข้าสู่รา่ งกาย ค. นาเลือดไปเลี้ยงสว่ นต่างๆ ของรา่ งกาย ง. ชว่ ยให้เลือดแข็งตวั เวลาเกิดบาดแผล 9. หวั ใจมหี น้าทอี่ ยา่ งไร ก. แลกเปลี่ยนแก๊สในเลอื ด ข. ควบคุมการทางานของปอด ค. สูบฉีดเลอื ดไปสูเ่ ซลลท์ ว่ั ร่างกาย ง. ควบคมุ การทางานของอวัยวะต่างๆ ทวั่ ร่างกาย 10. โปรตนี ที่ทาหน้าทเ่ี รง่ ปฏิกิริยาทางเคมขี องร่างกาย เรียกวา่ ก. นา้ํ ดี ข. น้ําลาย ค. เอนไซม์ ง. นา้ เกลือ
45 ใบงานที่ 1 การจดั ระบบในรา่ งกาย คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาภาพรา่ งกายมนษุ ย์ แลว้ ตอบคาถามใหถ้ กู ตอ้ ง 1. นกั เรยี นสามารถจาแนกระบบต่าง ๆ ในรา่ งกายไดเ้ ปน็ กร่ี ะบบ อะไรบา้ ง ตอบ 5 ระบบ ได้แก่ ระบบหายใจ ระบบ ยอ่ ยอาหาร ระบบประสาท ระบบขบั ถา่ ย ระบบสืบพนั ธ์ุ 2. ใหน้ กั เรียนเลอื กระบบในร่างกายมา 1 ระบบ แล้วแยกอวัยวะตา่ ง ๆ ในระบบนนั้ วา่ มอี วัยวะใดบา้ ง ตอบ ระบบไหลเวยี นโลหิต ไดแ้ ก่ หัวใจ เสน้ เลอื ด เลอื ด 3. ให้นกั เรียนเลอื กอวัยวะมา 1 อวยั วะ แล้วแยกส่วนประกอบภายในอวยั วะน้ัน ๆ ตอบ ปาก ประกอบดว้ ย ตอ่ มนา้ ลาย เย่ือ บุชอ่ งปาก ฟนั ลนิ้ 4. สว่ นประกอบของอวยั วะแตล่ ะสว่ นนน้ั มี หนว่ ยทเ่ี ลก็ ทีส่ ุดเป็นส่วนประกอบ เรยี กวา่ อะไร ตอบ เนือ้ เย่ือ
ใบงานที่ 2 46 ระบบยอ่ ยอาหาร คาชแ้ี จง จงเตมิ ขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ กู ตอ้ ง 1.ต่อมน้าลาย 4.ฟนั 2.หลอดอาหาร 5.กระเพาะอาหาร 3.ตับ 6.ลาไส้เล็ก 4.ลาไส้ใหญ่ 7.ทวารหนัก จงเขยี นอธบิ ายหน้าทีข่ องอวยั วะตา่ ง ๆ ในแต่ละหมายเลข 1.ต่อมน้าลาย ทาหนา้ ท่ี สร้างน้าลายออกมา ประกอบด้วย นา้ กับนา้ ย่อยอะไมเลส 2.หลอดอาหาร ทาหนา้ ท่ี บบี ตัวเป็นจงั หวะขณะที่อาหารไหลผา่ นลงมา เพือ่ ใหอ้ าหารมีขนาด เล็กลงและเคลื่อนทีล่ งส่กู ระเพาะอาหาร 3.ตับ ทาหนา้ ท่ี สรา้ งน้าดีสง่ ไปเก็บท่ถี ุงน้าดี น้าดีมีสว่ นชว่ ยให้ไขมันแตกตวั และมีขนาดเล็กลง 4.ลาไส้ใหญ่ ทาหน้าท่ี เกบ็ กากอาหารและดดู ซึมน้าออกจากกากอาหาร 5.ฟัน ทาหน้าที่ เคี้ยวอาหารใหม้ ขี นาดเล็กลง 6.ลาไส้เลก็ ทาหนา้ ท่ี ย่อยคารบ์ ไฮเดรต โปรตีน และไขมนั จะยอ่ ยใหเ้ ปน็ โมเลกุลเลก็ ทส่ี ุด 7.ทวารหนกั ทาหนา้ ท่ี ปดิ กกั กากอาหารไว้
47 เฉลย ใบงานท่ี 3 ระบบไหลเวยี นโลหติ คาชแ้ี จง จากรปู ภาพทก่ี าหนดใหจ้ งเขยี นลกู ศรแสดงโครงสรา้ งของหวั ใจให้ ถกู ต้องพรอ้ มทง้ั อธบิ ายกลไกการทางานของระบบไหลเวยี นโลหติ เลอื ดเขา้ สหู่ วั ใจหอ้ งบนขวา จากนน้ั หวั ใจห้องบนขวาจะบบี ตัวสง่ เลือดไปยังหัวใจห้องลา่ งขวา แล้วจะถูกสูบฉีดออกจากหัวใจ หอ้ งลา่ งขวาไปยงั ปอด เพอ่ื ไปทาการฟอกหรอื แลกเปลย่ี นแก๊ส เมอื่ เลอื ดมีปริมาณออกซิเจนสงู เพยี งพอแลว้ เลือดก็จะกลับมา ยงั หัวใจหอ้ งบนซา้ ยอกี คร้ัง และไหลลงสู่หวั ใจห้องลา่ งซ้าย จากน้ันหัวใจหอ้ งล่างซา้ ยจะบีบตวั เพอื่ ส่งเลือดไปยงั สว่ นต่างๆ ของรา่ งกาย
48 เฉลย ใบงานท่ี 4 ระบบสบื พนั ธุ์ คาชแี้ จง ใหน้ กั เรยี นตอบคาถามจากรปู ภาพทกี่ าหนดใหต้ อ่ ไปน้ี 1. จากรูปอวยั วะท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั การสบื พันธ์ขุ องเพศชายมอี ะไรบา้ ง อณั ฑะ ถุงอณั ฑะ องคชาต หลอดสร้างตวั อสุจิ หลอดเกบ็ ตวั อสจุ ิ หลอดนาตวั อสจุ ิ ต่อมสรา้ งนา้ เลยี้ งอสุจิ ต่อมลูกหมาก ต่อมคาวเปอร์ 2. จากรูปอวัยวะทเี่ กย่ี วขอ้ งกับการสบื พนั ธุ์ของเพศหญงิ มีอะไรบ้าง ท่อนาไข่ รงั ไข่ มดลูก ปากมดลกู ชอ่ งคลอด 3. เพศหญิงจะเร่มิ มีประจาเดอื นเม่ืออายุเท่าใด 11-12 ปี 4. เพศชายจะผลติ เซลลส์ ืบพันธเ์ุ พศชายเมอื่ อายุเทา่ ใด 12-13 ปี
Search