บทท่ี 6 การออกแบบการเรยี นการสอนสําหรบั ผ้เู รยี นที่มีความตอ้ งการพิเศษ การออกแบบการเรียนการสอนสาหรับผูเ้ รียนท่มี ีความต้องการพเิ ศษเปน็ ส่ิงสาคญั เพราะ วิธกี ารสอนแตล่ ะวธิ มี ีความเหมาะสมสาหรับผ้เู รียนแต่ละคน เนือ่ งจากผ้เู รียนทม่ี คี วามต้องการพเิ ศษ มีลักษณะทีแ่ ตกต่างกัน รูปแบบการจดั การศกึ ษาสาหรบั ผเู้ รยี นทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษจึงมีความ หลากหลาย เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นท่ีมคี วามต้องการพิเศษไดเ้ รยี นและใช้ทรัพยากรได้เหมือนหรือใกล้เคียงกับ ผู้เรียนทัว่ ไป Integration เปน็ การจดั การศึกษาโดยใหผ้ ู้เรียนเรยี นอยู่ในโรงเรียนปกติ และเรียนอยูใ่ นชัน้ เรยี นพิเศษ หรือเรียกวา่ Integrated class ถึงแม้ว่าผเู้ รยี นจะอย่ใู นชน้ั เรียนพิเศษ แต่ก็มีโอกาสทีจ่ ะมี ปฏิสัมพันธ์กบั ผเู้ รียนคนอื่นในโรงเรยี น ดีกวา่ การถูกแยกไปอย่ใู นโรงเรยี นเฉพาะ โรงเรียนท่มี ีช้นั เรยี นพเิ ศษมกี ารจัดโปรแกรมเฉพาะเพอ่ื สง่ เสริมการปฏิสัมพนั ธ์ ระหวา่ ง ผู้เรยี นปกตแิ ละผเู้ รียนทม่ี ี ความตอ้ งการพิเศษ Mainstreaming เป็นการจดั ใหผ้ เู้ รียนท่ีมีความตอ้ งการพเิ ศษอยใู่ นชน้ั เรียนปกติ โดยมีการ ร่วมมือกนั เพ่อื การจัดการศึกษาให้เหมาะสมทส่ี ุดสาหรับผู้เรียนแต่ละคนในสง่ิ แวดลอ้ มที่ไม่ถูกจากัด พจิ ารณาถงึ ความตอ้ งการทางด้านการศกึ ษาของผู้เรียนเป็นส่ิงแรก แทนการเน้นด้านการแยกประเภท ผู้เรียนท่ีมคี วามตอ้ งการพิเศษ แสวงหาและสร้างสรรค์วิธีการตา่ งๆเพอ่ื ชว่ ยผเู้ รียนที่มีปัญหาทางการ เรยี นและการปรบั ตวั ในโรงเรียนปกติ เพ่ือให้ได้รบั โอกาสทางการศึกษาตามศกั ยภาพของตน Inclusion เปน็ การจดั การศกึ ษาทต่ี อบสนองตอ่ ความตอ้ งการของผู้เรียนท่มี ีลกั ษณะและ ความสามารถทแ่ี ตกต่างกนั แนวคิดของการจดั การศกึ ษาแบบ inclusive เนน้ ใหผ้ ู้เรยี นอยูใ่ นช้ันเรยี น ปกติ โดยไมไ่ ดจ้ ัดหรือแบง่ ประเภทความบกพร่องแบบใด
2 6.1 แนวคดิ ในการจดั การเรียนรว่ ม ในการจดั การเรยี นร่วม มแี นวคิดสาหรับการจดั ดังน้ี (ปยิ วรรณ วิเศษสวุ รรณภูม,ิ 2554) 1. แนวคิดการนาผู้เรยี นเขา้ สภู่ าวะปกตมิ ากทีส่ ดุ ( Normalization ) เปน็ การช่วยเหลือ ผเู้ รยี นทม่ี ี ความต้องการพเิ ศษให้สามารถปฏิบตั ิกจิ วตั รประจาวนั ทว่ั ไปได้ดขี ้ึน โดยให้ไดร้ บั สทิ ธิตา่ งๆ และ การปฏบิ ัตติ า่ งๆ จากคนในสงั คมเท่าเทียมกับคนปกติ 2. แนวคดิ การเรยี นการสอนเป็นรายบคุ คล ( Individualization) เป็นการจดั การสอนท่ีมี ลักษณะเหมาะสมและสอดคลอ้ งกับความตอ้ งการของเดก็ พเิ ศษแต่ละคน เพอ่ื ใหไ้ ด้รับการพฒั นาอยา่ ง เต็มท่ีตามศักยภาพ 3. แนวคิดการจดั การเรยี นการสอนแบบไม่แยกประเภทตามความพกิ าร ( Noncategorical approach ) เป็นการจดั การศึกษาโดยไม่แบ่งระบุความบกพรอ่ งของเด็กในด้านใดด้านหนึ่ง 4. แนวคดิ การเนน้ ส่งิ ทป่ี ฏิบตั ิจรงิ ในชวี ติ ประจาวนั ( Functional approach ) เป็นการ ส่งเสริมให้ เดก็ มีพฒั นาการ และมีความสามารถทจี่ ะปฏิบัติสง่ิ ตา่ งๆ ในชวี ิตประจาวัน 5. แนวคดิ การประสานงานระหว่างงานวชิ าชีพสาขาต่างๆ ( Multi/Inter-Disciplinary approach ) เป็นการจดั การศกึ ษาพเิ ศษโดยมกี ารประสานงานรว่ มกันระหว่างครอบครวั และนกั วิชาชีพจากหลาย สาขา เรมิ่ ตง้ั แตก่ ระบวนการวางแผนการศึกษา จนถงึ การดาเนนิ การจัดการศึกษา 6. แนวคิดทางพฤติกรรมนิยม ( Behavioral approach ) เปน็ การจัดการศกึ ษาพเิ ศษ โดยมี เป้าหมายเพ่อื ควบคุม และเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมท่สี ามารถสังเกตได้ โดยใช้การวางเงื่อนไข หรือการ เสรมิ แรง 7. แนวคดิ ทางนิเวศวทิ ยา ( Ecological approach ) เป็นการจดั การเรยี นการสอนโดยเนน้ การ ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สงิ่ แวดล้อม เพ่ือใหเ้ กิดความสอดคล้องทางนิเวศวิทยา
3 6.2 รูปแบบการจัดชั้นเรยี นสาํ หรับผูเ้ รียนทมี่ คี วามต้องการพิเศษ การจดั ช้นั เรียนสาหรับผู้เรยี นที่มีความต้องการพิเศษทีน่ ิยมกันในปัจจบุ ันมรี ูปแบบการจัดชน้ั เรียนดงั น้ี (ปยิ วรรณ วิเศษสวุ รรณภมู ิ 2554 อ้างถึง Smith และคณะ, 2008) 1. ชนั้ เรยี นพเิ ศษ (The special education classroom approach) 2. ห้องเสริมวชิ าการ (The resource room model) 3. ชัน้ เรียนรว่ ม (Inclusive education programs) 1.ช้ันเรยี นพเิ ศษ (The special education classroom approach) การจัดชน้ั เรยี นพเิ ศษ เป็นการจัดชั้นเรยี นเฉพาะสาหรับผูเ้ รยี นทม่ี คี วามต้องการพเิ ศษ โดยผเู้ รียนทม่ี ี ความตอ้ งการพิเศษ จะใชเ้ วลาเรยี นอยใู่ นชั้นเรียนพิเศษเตม็ เวลา และมผี สู้ อนดแู ล อย่างใกล้ชิด และ สอนผเู้ รียนเต็มเวลาขณะอยูท่ ี่โรงเรยี น ภาพที่ 6.1 บรรยากาศในชั้นเรียนพเิ ศษ (ภาพจาก www.google.co.th) https://www.glassdoor.co.in/Photos/Washington-Saratoga-Warren-Hamilton-Essex-BOCES-Office-Photos-IMG3358061.htm
4 ภาพท่ี 6.2 บรรยากาศในช้นั เรยี นพเิ ศษ (ภาพจาก www.google.co.th) ภาพที่ 6.3 บรรยากาศในชัน้ เรยี นพเิ ศษ (ภาพจาก www.google.co.th) https://www.wuft.org/news/2014/04/18/school-known-for-inclusion-uses-technology-in-special-education/
5 2. หอ้ งเสริมวชิ าการ (The resource room model) ห้องเสริมวชิ าการเป็นหอ้ งทม่ี ขี นาดเท่ากับ ห้องเรียน หรอื มขี นาดใหญ่ หรือเลก็ กว่า ห้องเรียน ก็ได้ ในห้องน้ี มีอปุ กรณ์ เครอ่ื งมือ ตลอดจนเอกสาร และหนงั สอื ที่จาเป็น ตอ้ งใช้ในการสอนผเู้ รียนที่มี ความบกพร่องทางการเรยี นรู้ หากห้องน้ี มีขนาดใหญ่ มเี คร่อื งมือ และอปุ กรณ์ มาก ใหบ้ รกิ ารแก่ ผู้เรยี นอย่างกว้างขวาง อาจเรียกเป็น ศนู ยว์ ิชาการ (resource center) ภาพท่ี 6.4 บรรยากาศหอ้ งเสริมวชิ าการ (ภาพจาก www.google.co.th)
6 3. ชั้นเรยี นรว่ ม (Inclusive education programs) การนาผเู้ รียนท่ีมีความตอ้ งการพเิ ศษเขา้ ไปเรยี นอยู่ใน โรงเรยี นและห้องเรียนเดยี วกับนักเรยี น ปกติทว่ั ๆ ไป แทนทีจ่ ะเรียนอยู่ในโรงเรยี นเฉพาะความพิการ เชน่ โรงเรียนสอนคนตาบอด โรงเรยี น สอนคนหูหนวก หรือโรงเรียนศกึ ษาพเิ ศษ ฯลฯ ภาพที่ 6.5 บรรยากาศชน้ั เรยี นร่วม (ภาพจาก www.google.co.th) (ภาพจาก www.google.co.th) https://www.noodlepros.com/blog/2017/12/12/inclusive-education/ ภาพที่ 6.6 บรรยากาศชนั้ เรยี นรว่ ม (ภาพจาก www.google.co.th)
7 การจดั การเรียนรว่ ม หมายถึง ลาดับของการจัดผู้เรียนท่ีมีความตอ้ งการความช่วยเหลอื พิเศษ เข้าเรยี นร่วมกับเด็กปกติ ตามขน้ั ตอนดังน้ี หอ้ งเรยี น ห้องเรียนปกติ + ครสู อนพเิ ศษ หอ้ งเรยี นปกติ + หอ้ งซ่อมเสริม หอ้ งเรียนพเิ ศษบางเวลา หอ้ งเรียนพิเศษเตม็ เวลา โรงเรยี นการศึกษาพิเศษ เชา้ – เยน็ การศึกษาพิเศษแบบ อยปู่ ระจาํ อืน่ ๆ แผนภาพท่ี 6.7 ลาดับของการจดั ผูเ้ รียนท่มี คี วามต้องการพิเศษ เข้าเรียนรว่ มกับผเู้ รียนในชั้นเรียน 6.3 การจดั การเรียนการสอนสําหรบั ผเู้ รยี นที่มคี วามต้องการพเิ ศษ ในการการเรียนการสอนสาหรับผู้เรียนท่ีมีความตอ้ งการพเิ ศษควรคานึงถงึ ปัจจยั ตอ่ ไปน้ี ไดแ้ ก่ ปัจจยั ด้านครู ปัจจัยดา้ นนกั เรียน ปัจจัยด้านหลักสูตร และปัจจยั ดา้ นกายภาพ
8 1) ปจั จัยทางดา้ นครู ปัจจัยทางดา้ นครูเกีย่ วข้องกับการเตรยี มการสอนของครู ความรเู้ ดมิ ทัศนคตทิ ีม่ ตี อ่ ชน้ั เรียนทม่ี ี ผูเ้ รยี นที่มคี วามต้องการพิเศษ และการเป็นตวั แบบต่อนักเรยี นคนอนื่ ในการปฏบิ ตั ติ อ่ ผู้เรียน ที่มีความ ตอ้ งการพิเศษ นอกจากเตรยี มการสอนปกตแิ ล้ว ครูควรเพ่ิมเติมการสอนสาหรบั ผูเ้ รียนที่มี ความต้องการ พเิ ศษด้วย 2) ปจั จยั ทางดา้ นนกั เรียน ปจั จัยทางดา้ นนี้เกีย่ วขอ้ งกับความสามารถของนักเรยี นทม่ี คี วามต้องการพิเศษ และเดก็ คนอ่นื ในชั้นเรียน ทัศนคตแิ ละความเต็มใจท่จี ะมเี พ่ือนรว่ มช้นั ทเ่ี ปน็ เด็กที่มีความต้องพเิ ศษ ในการน้ี Metacognitive skills และการเนน้ การเรียนร่วมมือกันทางการเรยี น เปน็ สิ่งสาคัญตอ่ การจัดการ เรยี น การสอน 3) ปัจจัยทางดา้ นหลกั สตู รและทรัพยากร เกย่ี วข้องกับการเลือกสรรเน้อื หา วิธกี ารสอนและทรพั ยากรสาหรับสอนผ้เู รียนทม่ี คี วาม ต้องการพิเศษ ผู้เรยี นทม่ี ีความตอ้ งการพิเศษอาจไม่สามารถเรยี นตามหลกั สูตรปกติได้ทั้งหมด ดงั นนั้ จงึ ควรมกี ารปรบั หลักสตู ร เน้อื หา และทรพั ยากรทเ่ี หมาะสมตอ่ ความต้องการของเดก็ 4) ปจั จัยทางกายภาพ เก่ียวข้องกบั การจดั สภาพหอ้ งเรียนให้เออ้ื ต่อการเรียนรขู้ องผูเ้ รียนท่มี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ เชน่ สภาพหอ้ งเรยี น สิง่ อานวยความสะดวกต่างๆ แสง เสยี ง กลิ่น ปัจจัยดา้ นทสี่ ง่ ผลต่อการจัดการศึกษาสาํ หรับผเู้ รยี นท่มี คี วามต้องการพิเศษ ดงั น้ี 1) ครู มกั มรี ายงานจากครผู ู้สอนในชน้ั เรยี นปกตเิ ก่ียวกบั การเรยี นร่วมของผู้เรียนท่มี ีความ ต้องการพิเศษว่าเมอื่ อยู่ในชัน้ เรียนจะสร้างความยุ่งยากให้กบั ครู โดยเฉพาะบางคนที่มีประสบการณ์ และความรู้จากัดเก่ียวกบั ผูเ้ รยี นทมี่ ีความตอ้ งการพเิ ศษ เช่น ไม่รจู้ ะทาอย่างไรเมอ่ื ตอ้ งมกี ารปรบั
9 แผนการสอนสาหรบั ผเู้ รียนท่มี ีความตอ้ งการพิเศษทเ่ี รยี นร่วมดว้ ย หรอื ไม่สามารถควบคุมช้นั เรียน หรอื จัดการชัน้ เรียนได้เม่ือมีผเู้ รยี นทมี่ ีความตอ้ งการพิเศษเรียนรว่ ม ไม่รู้เทคนคิ การสอนผูเ้ รยี นทีม่ ี ความตอ้ งการพิเศษ ไม่สามารถส่ือสารพดู คุยกบั ผู้เรยี นทีม่ คี วามบกพร่องดา้ นการสอ่ื สาร ไมส่ ามารถ ดงึ ความสนใจจากเด็กทมี่ ีปัญหาดา้ นสมาธิ จึงทาให้ครรู ูส้ ึกท้าทายเมือ่ ต้องจดั การเรยี นการสอนให้กบั ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ จงึ แนะนาสิง่ ท่คี รคู วรทาดังน้ี 1.1)จัดทาแผนการศกึ ษารายบุคคล (IEP) สาหรับผู้เรียนที่มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ โดยท่ี แผนการศึกษานัน้ มเี นื้อหาทสี่ อดคลอ้ งกับเนอื้ หาสาหรบั ผู้เรียนปกติ 1.2) ปรบั วตั ถุประสงค์ และเน้อื หาของหลักสตู รให้มีความสอดคล้องกับความตอ้ งการของ ผู้เรียนท่ีมคี วามต้องการพเิ ศษ 1.3) เตรียมส่ือการสอนให้มีความเหมาะสม ท่ีสามารถสง่ เสริมการเรยี นรู้ของผเู้ รียนท่ีมี ความต้องการพเิ ศษได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ 1.4) สอนทักษะการช่วยเหลอื ตวั เอง การอยู่รว่ มกบั ผ้อู ืน่ และการแก้ปญั หาตา่ งๆ 1.5) ประเมินผลและรายงานความกา้ วหน้าของนกั เรียน 2) พอ่ แม่ ผูป้ กครอง พอ่ แมม่ คี วามหวงั ว่าการสง่ ลูกเขา้ มาโรงเรยี นรว่ มจะทาให้ลกู พฒั นาไดม้ ากข้ึน แต่ลมื ไปว่า สภาพแวดลอ้ มก็มคี วามแตกต่างจากโรงเรียนเฉพาะ เชน่ กนั ในมมุ มองของพ่อแม่ อยากให้โรงเรยี น สนใจในสงิ่ ทน่ี ักเรียนสามารถทาไดม้ ากกวา่ สิง่ ทน่ี กั เรยี นทาไมไ่ ด้ ควรสง่ เสรมิ ความสามารถพิเศษของ ผเู้ รยี นที่มคี วามต้องการพิเศษ และพฒั นาสิ่งทผ่ี ู้เรียนสนใจเพอ่ื เติมเต็มศกั ยภาพที่มี 3)นกั เรยี น ผ้เู รียนทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษตอ้ งการการชว่ ยเหลอื อยา่ งเป็นพิเศษ แตก่ ็ไมต่ ้องการเปน็ ตัว ประหลาดท่ีแปลกแยกจากเพ่ือนในช้นั เรียน ดงั น้ันครูควรใหค้ วามระมดั ระวังในการเรียกชอื่ นักเรยี น
10 ไม่ ควรใชค้ าท่ไี มส่ ภุ าพหรือคาสรรพนามในเชงิ ลบท่เี ปน็ การตตี รานกั เรยี น เชน่ เด็กโง่ เด็กใบ้ หรือเดก็ บ้าเปน็ ต้น 4)หนังสอื ประกอบการสอน เน่อื งจากผเู้ รยี นท่ีมคี วามตอ้ งการพเิ ศษมลี กั ษณะที่แตกต่างกนั มขี ้อจากัดและความต้องการท่ี แตกต่างดังนั้นหนังสือเรียนสาหรับผู้เรยี นปกติอาจใช้ได้เพียงบางส่วน และหรอื อาจเป็นอุปสรรคตอ่ การเรยี นร้สู าหรับผเู้ รยี นทีม่ ีความตอ้ งการพเิ ศษบางประเภท 6.4 การออกแบบการเรยี นการสอนสาํ หรบั ผเู้ รยี นทม่ี คี วามตอ้ งการพิเศษ การออกแบบการเรียนการสอนสาหรับผ้เู รียนทีม่ ีความตอ้ งการพิเศษเปน็ สง่ิ สาคัญ เพราะผู้เรยี นที่ มคี วามตอ้ งการพิเศษมีลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งกนั วธิ ีการสอนแต่ละวิธมี ีความเหมาะสมสาหรบั ผ้เู รียนแต่ ละคน การออกแบบการเรยี นการสอนเปน็ กระบวนการวางแผนการเรยี นการสอนอย่างมรี ะบบ โดย มีการวเิ คราะห์องค์ประกอบการเรยี นรู้ ทฤษฎกี ารเรยี นการสอน สอื่ กจิ กรรมการเรยี นร้ตู ่างๆ รวมถึง การประเมินผล เพ่ือให้ผูส้ อนสามารถถา่ ยทอดความรู้ สู้ผู้เรียนให้เกดิ การเรยี นรู้ไดอ้ ย่างมี ประสิทธภิ าพและการจัดการเรยี นการสอนบรรลุจุดมงุ่ หมาย โดยพจิ ารณาหลกั การในการออกแบบ การเรียนการสอน ดงั นี้ 1.การออกแบบและพฒั นาการเรียนการสอนนเ้ี พือ่ ใคร ใครเป็นผู้เรยี นหรอื กลมุ่ เป้าหมาย ผ้อู อกแบบควรมีความเข้าใจและร้จู กั ลกั ษณะของผเู้ รียน 2. ผูส้ อนควรกาหนดจุดมงุ่ หมายของการเรียนการสอนให้ชดั เจน เช่น ตอ้ งการให้ผู้เรียน เรยี นรอู้ ะไร มีความรู้ ความเข้าใจ หรอื ใหส้ ามารถทาอะไรได้ 3. วิธีการและกิจกรรมการเรียนรแู้ บบใด ท่ีจะชว่ ยให้ผูเ้ รยี นรู้ไดด้ ี และมีส่ิงใดท่ีตอ้ งคานึงถงึ บา้ ง 4.วธิ กี ารประเมนิ ผลสาหรับผู้เรยี น เพือ่ ใหท้ ราบวา่ ผูเ้ รยี นเกดิ การเรยี นรแู้ ละประสบผลสาเรจ็ ในการเรียน
11 การออกแบบการเรยี นการสอน จึงควรมกี ารวางแผนเพอื่ พจิ ารณาผ้เู รยี น คณุ ลกั ษณะพื้นฐาน ของผูเ้ รยี น กาหนดจมุ ุ่งหมายการสอนอยา่ งไร ใชว้ ธิ กี ารเรยี นการสอนและกจิ กรรมการเรยี นรู้ วิธกี ารประเมนิ ผลการเรยี นอะไรบ้าง จึงจะสามารถทาใหก้ ารสอนนน้ั บรรลุเปา้ หมาย ทาใหผ้ ู้เรียนมี ความรูค้ วามเข้าใจ จดจา นาไปใช้ ทาไดด้ ว้ ยตนเอง เปน็ ตน้ เนอื่ งจากเด็กทีค่ วามต้องการพิเศษแตล่ ะคนมีลักษณะความตอ้ งการและศกั ยภาพท่แี ตกตา่ ง กัน ดังนั้นผู้เรียนที่มีความต้องการพเิ ศษจึงจาเป็นต้องได้รับการจดั การศกึ ษาที่มีความเหมาะสมกบั ความ ตอ้ งการและความสามารถของตนเอง ดังน้ันก่อนท่ีจะวางแผนการศึกษาให้กับผเู้ รียนที่มีความ ตอ้ งการพิเศษ ผู้ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งควรคานึงถึงสิ่งตา่ งๆ เหลา่ นี้ 1. กาหนดความตอ้ งการของเดก็ 2. กาหนดเปา้ หมายในการเรยี นลาดับแรกของเดก็ 3. กาหนดขนั้ ตอนทจ่ี ะทาใหเ้ ดก็ ไดบ้ รรลเุ ป้าหมายในการเรยี น 4. กาหนดประเด็นสาคญั ท่ีควรคานงึ 5. กาหนดสิ่งอานวยความสะดวกตา่ งๆ เมอ่ื เด็กเรยี นอยใู่ นชน้ั เรียน 6.4.1 การปรบั หลกั สตู รสําหรบั ผเู้ รียนทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ ผู้เรียนทม่ี คี วามตอ้ งการพิเศษบางคนอาจสามารถเรยี นตามหลักสูตรปกติ หรอื หลกั สูตรทีม่ ี การปรบั เล็กนอ้ ย แต่บางคนอาจไม่สามารถทาได้ ซึง่ ทั้งนข้ี ึ้นอยกู่ บั ระดับความต้องการของผเู้ รยี น เนอ่ื งจากหลักสูตรปกติอาจไม่สอดคลอ้ งกับการนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวันของผเู้ รียนท่มี คี วามต้องการ พิเศษ จึงตอ้ งการหลักสตู รท่เี หมาะสมกับผู้เรียนเป็นรายบคุ คล และควรมีวธิ ปี ระเมินผลแบบท่ี หลากหลาย ดังนัน้ บทบาทของครคู วรเป็น mediator กล่าวคอื เปน็ ผู้ปรบั วิธกี ารเรยี นการสอนให้ เหมาะสมสาหรับผู้เรยี นตามสถานการณ์ต่างๆ มากกวา่ deliverer ซ่ึงหมายถึง การเป็นผู้สอนตาม แผนการจดั การเรยี นการสอนเพียงอยา่ งเดยี ว
12 หลักการปรบั หลกั สตู ร เนื้อหาหลักสตู ร • เรยี งลาดบั เน้ือหา • ระบุทกั ษะทตี่ ้องใช้ในกิจกรรมน้ัน • ใช้รปู แบบการนาเสนอท่ีหลากหลาย • กิจกรรมมคี วามเหมาะสมกับความสามารถของเดก็ รปู แบบการสอน • ใชส้ ่อื การสอนท่แี ปลกใหม่และเหมาะสมกบั ความต้องการของผเู้ รยี น • เน้นการเรยี นรู้โดยให้ผู้เรยี นเป็นสาคัญ • พยายามเช่ือมโยงสง่ิ ท่สี อนใหเ้ ข้ากับประสบการณท์ ี่นาไปใช้ • ขยายเวลาในการเรยี นรู้ • ชว่ ยให้ผเู้ รียนสามารถจดจาสงิ่ ท่เี รยี นรูไ้ ดง้ ่ายขึ้นด้วยการใช้สอื่ ช่วย เชน่ ภาพและเสยี ง ภาพยนตร์ • ช่วยใหผ้ เู้ รียนเรียนรไู้ ด้ง่ายด้วยการใชอ้ ุปกรณ์ เสรมิ ช่วย เช่น เครือ่ งคดิ เลข • ฝกึ ให้ผู้เรียนรจู้ กั ทางานรว่ มกับผ้อู น่ื ดว้ ยการใหท้ างานเปน็ กล่มุ • พยายามเน้นใหเ้ ดก็ ฝึกการใช้ภาษา • มีใบงานทเ่ี ขา้ ใจง่าย และชดั เจน
13 ทักษะทจี่ ําเป็นเพอ่ื ชว่ ยให้เดก็ เรยี นรไู้ ดด้ ขี นึ้ • ฝกึ ทักษะทางปัญญาใหก้ บั เดก็ เช่น ฝกึ ให้สงั เกตและประเมนิ ตนเอง ฝึกการแก้ปัญหา • ฝึกทักษะการเขียนอยา่ งงา่ ยๆ • ฝกึ ทักษะการทาขอ้ สอบ และทกั ษะการเรยี นทัว่ ไป 6.4.2 การจดั ทาํ แผนการศึกษาเฉพาะบคุ คล แผนการศกึ ษาเฉพาะบุคคล (Individualized Educational Program) เปน็ แผนกาหนดแนว ทางการจดั การศกึ ษาแกน่ ักเรยี น / ผเู้ รียน( ผู้พกิ าร / ผู้มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ) ใหไ้ ด้รับการพัฒนาตาม เปา้ หมายทีก่ าหนด รวมทั้งการกาหนดสอ่ื สิ่งอานวยความสะดวก บริการ และความชว่ ยเหลอื อ่นื ใด ทางการศึกษา ทส่ี อดคล*องเหมาะสมกบั การเรยี นรู้ และกับความตอ้ งการจาเป็นพิเศษ (special needs) ของผเู้ รียนแต่ละคน โดยมีคณะบุคคลท่ีเกย่ี วข้องกบั ผู้เรยี นจัดทา IEP สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐานไดก้ าหนดส่วนประกอบในแผนการศกึ ษาเฉพาะ บคุ คล ดงั นี้ 1. ขอ้ มลู ทว่ั ไป อันประกอบไปด้วย ชอ่ื -สกุล ของนักเรยี น เลขประจาตัวประชาชน การจด ทะเบยี นคนพกิ าร ประเภทและลกั ษณะของความพกิ าร ชื่อ-สกลุ ของบิดาและมารดา และช่ือ-สกุล ของผู้ปกครอง ทอี่ ยแู่ ละเบอร์ โทรศพั ท์ ของผ้ปู กครอง 2.ขอ้ มูลด้านการศึกษา ประกอบดว้ ยประวตั เิ กย่ี วกับการรบั บรกิ ารด้านการศึกษาท่เี คยไดร้ ับ 3. การวางแผนการศกึ ษา ประกอบดว้ ย ระดับความสามารถในปัจจบุ ัน เป้าหมายระยะเวลา 1 ปี เป้าหมายระยะสัน้ การประเมนิ ผล และผรู้ ับผดิ ชอบการจัดการเรยี นการสอน ในสว่ นท่ี3 น้ี เป็น การระบุแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบคุ คลของผ*ู เรยี นโดยพิจารณาจากระดบั ความสามารถใน
14 ปัจจุบัน ซ่ึงประเมินโดยนกั วชิ าชีพ หรือผู้ชานาญในแตล่ ะทักษะเพ่ือกาหนดเป้าหมายในการจดั การศึกษาระยะ ยาว 1 ปี พร้อมท้งั กาหนดจดุ ประสงค์ เชงิ พฤตกิ รรม เกณฑ์ และวิธีประเมนิ ผล รวมท้ังผรู้ ับผดิ ชอบ ดาเนินการให้บรรลุแตล่ ะเป้าหมาย ระดบั ความสามารถในปจั จุบัน ประกอบดว้ ย จดุ เด่นและจดุ ด้อยของระดับความสามารถ ในการ พัฒนาทกั ษะด้านต่างๆ หรือความสามารถในการ เรียนรู้ ในแตล่ ะกลุ่มสาระการเรยี นรู้ โดยต้อง ครอบคลมุ เร่อื ง ระบบโครงสร้างของร่างกาย (body structure) ความสามารถพ้นื ฐานในการใชก้ ลไกลกล้ามเนอ้ื ต่างๆ (body function) ความสามารถ พื้นฐานในการปฏิบตั ิกจิ กรรม (body activity) และ ความสามารถพ้นื ฐานในการมปี ฏิสมั พันธ์ ทาง สงั คม (body participation) เปา้ หมายระยะยาว 1 ปี เป็นแผนที่จะพัฒนาจดุ ด้อย หรอื ทักษะด้าน ตา่ งๆ เชน่ ทกั ษะทาง วชิ าการ ทกั ษะการดารงชวี ิต ภายในระยะเวลา 1 ปี นับจากวนั ทีเ่ ร่มิ ใชแ้ ผนการ จัดการศกึ ษาเฉพาะ บคุ คล เป้าหมายระยะส้นั ประกอบด้วยความสามารถของผเู้ รียนในการพฒั นา ทักษะด้านตา่ งๆ ที่ ต้องการให้เกดิ ข้นึ ตามเปา้ หมายทก่ี าหนด ในชว่ งระยะเวลาสน้ั เช่น 3 เดอื น พร้อมทั้งเกณฑ์ การ ประเมนิ ผล การประเมนิ ผล ประกอบดว้ ยวธิ กี ารประเมนิ ผลความสามารถในการ พฒั นาทกั ษะแตล่ ะด้าน ตามท่ีระบใุ นจุดประสงค์ เชิงพฤตกิ รรม พร้อมกับการใชว้ ิธกี ารอานวยความ สะดวกและส่อื ท่ีสอดคล้อง กับความต้องการจาเปน็ พเิ ศษของผู้เรยี น และส่วนสดุ ทา้ ย ผรู้ บั ผิดชอบ ประกอบดว้ ยรายช่ือผูร้ ับผิดชอบท่ีเป็นผู้ดาเนนิ การใหบ้ รรลุ วตั ถปุ ระสงค ของแต่ละเป้าหมาย 4. ความตอ้ งการสง่ิ อานวยความสะดวก ส่อื บรกิ ารและความชว่ ยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา ตามทกี่ าหนดในกฎกระทรวงศกึ ษาธกิ าร 5. คณะกรรมการจัดทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคล ประกอบด้วยชอื่ คณะกรรมการ ตาแหนง่ และลายมือช่ือ 6. ความเห็นและลายมือช่ือของบดิ า มารดา หรอื ผปู้ กครอง
15 ตัวอยา่ ง แผนการศึกษาเฉพาะบคุ คล (Individualized Educational Program) IEP ช่ือโรงเรยี น............................................................ ชือ่ หนว่ ยงาน/ โครงการ......................................... แผนการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล ปีการศกึ ษา .................... นักเรยี น ...............................................วนั / เดือน / ปี เกิด ............. อายุ .............. ปี ........... เดอื น ผปู้ กครอง(บดิ า) ............................................................สถานท่ีติดตอ่ ..................... โทร. ........................... (มารดา) ......................................................สถานท่ีตดิ ตอ่ ......................... โทร. .......................... แผนนเ้ี ร่มิ ใช้ต้ังแต่ ..............................................สน้ิ สดุ ............................................................................... 1. ความสามารถของนักเรยี นในปัจจุบัน 1. ทกั ษะการชว่ ยเหลอื ตนเอง 2. ทักษะกล้ามเน้ือ 3. พฤตกิ รรมอารมณ์ สงั คม 4. ภาษา การสือ่ สาร 5. ด้านการเรียนรู้ 2. จดุ มงุ่ หมายการศึกษาของนกั เรยี นตลอดปีการศกึ ษา …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ............................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................................. 3. รูปแบบการจดั การศกึ ษา ............................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................................. 4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรายวิชาต่าง ๆ รายวชิ า/จุดประสงค์ การประเมินผล 5. การรบั บรกิ ารพเิ ศษอน่ื ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการพัฒนานักเรียนท้ังในและนอกเวลา (ประเภท/สถานทข่ี องการรบั บริการและจานวนวัน/เวลา) ................................................................................................................................................................................................ .............................................................................................................................................................................................. ผจู้ ัดทาแผน อาจารยท์ ่ปี รึกษาประจาตวั นักเรยี น................................................................................ อาจารย์ประจาชน้ั เรยี นปกติหรอื ผูแ้ ทน.......................................................................... หัวหน้าหนว่ ยงาน/หรือผอู้ านวยการ............................................................................... บิดา มารดา หรอื ผปู้ กครอง.............................................................................................
16 แผนการสอนเฉพาะบุคคล (Individual Implementation Plan) IIP แผนการสอนเฉพาะบคุ คล (IIP) เป็นแผนการสอนจดั ขึ้นเฉพาะเจาะจงสาหรับผเู้ รยี นทม่ี คี วาม ตอ้ งการพิเศษ เพ่ือชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นบรรลจุ ุดประสงค์ และเปา้ หมายท่ีกาหนดไวใ้ น IEP ตวั อยา่ ง แผนการสอนเฉพาะบคุ คล (Individual Implementation Plan) แผนการสอนเฉพาะบุคคล ( Individual Implementation Plan: IIP) ชอื่ นกั เรียน : ประเภทความพิการ............สตปิ ัญญา................... .................................................................................................................................................................................................................................. ประเภทความพิการ............ออทิสตกิ ................... ................................................................................................................................................................................................................................... ภาคเรียนที่ …………… ปีการศกึ ษา …………………… ทกั ษะการเรียนรู้ …………………………………........................................... เร่ือง ...................................................................................................................... เวลา ......................................... ช่วั โมง ใชแ้ ผนวนั ที่ ........................................... เดอื น ............................................................... พ.ศ. .......................................... เป้าหมายระยะยาว ๑ ปี .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................................................. จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม .................................................................................................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................................................................................................. สาระการเรียนรู้ ..................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................................................. การบรู ณาการหลักคดิ ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เงอ่ื นไขความรู้ เงอื่ นไขคุณธรรม ความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล ภมู ิคุ้มกันในตวั ท่ดี ี กจิ กรรมการเรียนการสอน ข้นั นาํ เข้าสู่บทเรียน ............................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................................................. ข้ันสอนและปฏิบัตกิ จิ กรรม ............................................................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................................................................. ขน้ั สรปุ ................................................................................................................................................................................................................................ .................................................................................................................................................................................................................................. สือ่ /แหลง่ เรียนรู้ .......................................................................................................................................................................................................................................... .........................................................................................................................................................................................................................
17 การวดั และประเมินผล (2) วธิ ีการวดั และประเมินผล เคร่ืองมือการวดั และประเมินผล เกณฑก์ ารผ่านการประเมนิ ความคิดเหน็ .............................................................................................................................................................................................. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ไดท้ าการตรวจแผนการสอนเฉพาะบคุ คล มคี วามคิดเห็นดงั น้ี ๑. เปน็ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ดีมาก ดี พอใช้ ควรปรับปรุง ๒. การจัดกิจกรรมได้นาเอากระบวนการเรยี นรู้ ทเ่ี น้นผเู้ รียนเปน็ สาคญั มาใชใ้ นการจัดกิจกรรมได้อยา่ งเหมาะสม ทีย่ ังไมเ่ น้นผ้เู รียนเป็นสาคัญควรปรบั ปรุงพัฒนาต่อไป ๓. เปน็ แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี นาไปใช้ได้จรงิ ควรปรับปรงุ ก่อนนาไปใช้ ๔. ขอ้ เสนอแนะอ่ืนๆ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………................ ลงชือ่ ........................................................... (.......................................) รองผอู้ านวยการ............................... วันที่..........เดอื น...........................พ.ศ. ................ ความคดิ เหน็ ของผอู้ ํานวยการโรงเรียน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ........................................................... (..............................................) ผูอ้ านวยการโรงเรียน..................................... วนั ที่..........เดือน...........................พ.ศ. ................ บนั ทึกหลงั การสอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….….… ................................................................................................................................................................................................................................ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….….…… ลงชือ่ ............................................ ( .......................................................... ) ครผู สู้ อน
18 6.4.3 การทาํ งานแบบสหสาขาวิชา ในการจัดการศึกษาให้กบั ผูเ้ รียนท่ีมคี วามต้องการพเิ ศษนนั้ จาเปน็ จะตอ้ งอาศยั ความรว่ มมือ กนั ระหวา่ งสายอาชีพตา่ งๆ ท่ีเกี่ยวข้อง เชน่ บุคลากรทางการศึกษา ทางการแพทย์ และบุคคลากรที่ ทางานเก่ียวขอ้ งกบั เทคโนโลยีต่างๆ เป็นต้น เพ่ือเสรมิ สรา้ งพฒั นาการในดา้ นตา่ งๆ ของผู้เรียนทีม่ ี ความต้องการพิเศษได้อยา่ งเต็มที่ ดังนั้นบุคลากรเหล่านเี้ รยี กว่าทมี สหวทิ ยาการ จงึ ต้องมสี ว่ นรว่ ม ตัง้ แตก่ าร วางแผนการจัดการศึกษาใหก้ ับเดก็ การประเมนิ ความต้องการพิเศษของผู้เรียน และการจดั กจิ กรรมเพอื่ เสรมิ สรา้ งพฒั นาการให้กบั เดก็ 6.5 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนสําหรับผ้เู รยี นทม่ี คี วามต้องการพเิ ศษ 6.5.1 กระบวนการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน กระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นกระบวนการพัฒนากิจกรรมการเรยี นการสอน สาหรับผเู้ รยี นทม่ี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ 1. กาหนดหลกั สตู รสาหรบั เดก็ กลยุทธ์ : การประชมุ คณะทางานที่เกี่ยวขอ้ ง การวเิ คราะหแ์ ผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบุคคล (IEP) และการวิเคราะห์ หลักสูตร คาถามทต่ี อ้ งตอบ : ขอบเขตเนอ้ื หาที่เหมาะสมสาหรบั นักเรียนคืออะไร 2. กาหนดจดุ ม่งุ หมายระยะยาว กลยทุ ธ์ : การประชุมคณะทางานทีเ่ กี่ยวขอ้ ง การวิเคราะห์ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบคุ คล (IEP) และการวิเคราะห์ หลกั สตู ร คาถามทต่ี ้องตอบ : เปา้ หมายระยะยาวสาหรับ 1 ปsของนักเรยี นคืออะไร 3. วิเคราะห์ เนื้อหา กลยทุ ธ์ : จัดทาลาดบั ข้ันตอน และการวิเคราะห์ งาน คาถามท่ตี อ้ งตอบ : เนื้อหาเป้าหมายมลี าดบั ขั้นตอนในการสอนอยา่ งไรบ้าง 4. ประเมนิ ความสามารถของนกั เรยี น กลยทุ ธ์ : การประเมนิ ความสามารถของนักเรียนในระดับช้นั เรยี น คาถามทต่ี ้องตอบ : นักเรยี นมกี ารเรยี นรู้เป็นอยา่ งไรเมื่อเทียบกบั เปา้ หมายระยะยาว
19 5. กาหนดจุดมุ่งหมายระยะสั้น กลยทุ ธ์ : การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ การเรียนรู้ คาถามท่ีต้องตอบ : เปา้ หมายการเรยี นรู*ท่ีเราคาดหวงั แก่ผู้เรียนคืออะไร 6. ออกแบบการสอน กลยุทธ์ : การเลือกใช้กลวธิ ที ่ีมีประสทิ ธภิ าพในการสอน คาถามท่ตี อ้ งตอบ : กลวิธีทเ่ี หมาะสมสาหรับนักเรยี นคอื อะไร 7. การสังเกตความก้าวหนา้ กลยทุ ธ์ : การสงั เกตพฒั นาการของนักเรียนในระดบั ชน้ั เรียน คาถามที่ต้องตอบ : นักเรียนมพี ัฒนาการในการเรยี นรู้ เมอื่ เทยี บกับวัตถปุ ระสงค์การเรยี นรู้ 8. ประเมินผลโปรแกรม กลยทุ ธ์ : การประเมินเพ่ือพัฒนาปรบั ปรงุ คาถามท่ีตอ้ งตอบ : จะปรับปรงุ กจิ กรรมการเรียนการสอนอยา่ งไรเพือ่ ให้ผเู้ รยี นมพี ัฒนาการ ที่ ดียง่ิ ข้นึ กว่าเดิม ดังนัน้ ในกระบวนการนี้เปน็ กระบวนการทีม่ กี ารปรบั ปรุงเปลี่ยนแปลงเพอ่ื ใหก้ ารจดั การเรยี น การสอนเปน็ ประโยชน มากทีส่ ุดสาหรบั นกั เรียนที่มคี วามต้องการพิเศษ ดังแสดงไวใ้ นแผนภาพตอ่ ไปน้ี ประเมนิ ประเมนิ พฒั นาการ วางแผนการจดั การเรียนรู้ ดําเนนิ การตามแผนการจดั การ ทบทวนระดบั ตามความสามารถในระดับที่สงู ขน้ึ สอนส่งิ ใหม่ ผสู้ อน สาธิต แนะนาํ และสอน ใหผ้ ้เู รยี นทาํ ดว้ ยตนเอง เช่อื มต่อการพัฒนา แผนภาพที่ 6.8 โมเดลการออกแบบการเรียนการสอน (Foreman,2008)
20 6.5.2 การวางแผนการสอนสําหรบั ผูเ้ รียนทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษ ในการวางแผนการสอนสิง่ ทตี่ ้องคานงึ ถงึ ไดแ้ ก่ หลกั สตู รการสอน วธิ ีการสอนของครแู ละ บริบทในการเรียนรู้ นอกจากน้ีในการวางแผนการสอนสาหรับผูเ้ รียนทม่ี ีความต้องการพิเศษ มีขนั้ ตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี ขั้นตอนที่ 1 กาหนดขอบเขตของเนือ้ หาและข้นั ตอนการสอน เชน่ การวเิ คราะห์ งาน (Task analysis) การวเิ คราะห์ งานจะใช้เม่ือพบวา่ แผนการสอนทใ่ี ช้อยไู่ มส่ ามารถทาให้นกั เรยี น เรยี นรไู้ ด้ โดยทว่ั ไปนยิ มใช้กบั การจัดการเรยี นการสอนสาหรับผเู้ รยี นทมี่ ีความตอ้ งการพเิ ศษ เพือ่ จัดการเรยี น การสอนให้มีประสทิ ธภิ าพและส่งเสริมการเรยี นร้สู าหรับผเู้ รียนทม่ี ีความตอ้ งการพเิ ศษ การวิเคราะห์ งานเป็นการ วิเคราะห์ วา่ ในการเรยี นรเู้ รอื่ งนั้นจะต้องมที กั ษะยอ่ ยอะไรบ้าง และผเู้ รียน จาเป็นตอ้ ง เรยี นร้ใู นทักษะพน้ื ฐานในเรอื่ งท่ีสอนกอ่ น ขน้ั ตอนการวิเคราะห์งาน 1. กาหนดงานเป้าหมาย และจุดประสงค์ เชิงพฤตกิ รรม 2. วิเคราะห์ ออกเปน็ ขัน้ ตอนย่อย หรอื งานย่อย 3. จดั ลาดับของงานย่อย 4. วเิ คราะห์ โดยกาหนด และจดั ลาดบั ทักษะบงั คบั เบ้อื งตน้ 5. สอนโดยอธิบายไปตามขนั้ ตอน แตบ่ างครั้งตอ้ งสอนโดยบรู ณาการข้นั ตอนย่อยเข้าด้วยกัน ข้นั ตอนท่ี 2 ประเมินความสามารถในปจั จุบนั ของเดก็ ท่เี ก่ยี วข้องกบั เน้อื หาที่จะสอนการ ประเมินผลการจัดการเรียนการสอนสาหรบั ผเู้ รยี นท่มี ีความตอ้ งการพเิ ศษ ควรมีการประเมนิ ความสามารถเป็น 3 ระดับ ได้แก่
21 ระดับท่ี 1 นักเรียนเรยี นรแู้ ละสามารถทางานได้ตามทคี่ รูสอน ระดับท่ี 2 นกั เรยี นมีทกั ษะทีไ่ ด้จากการเรียนรู้อย่างต่อเนอ่ื ง ระดบั ท่ี 3 นักเรียนสามารถแผข่ ยายทักษะท่ไี ด้ จากการเรยี นร้เู พื่อเป็นประโยชน ต่อทักษะใน ด้านอื่นๆ ขน้ั ตอนที่ 3 กาหนดจุดม่งุ หมายการสอนระยะสัน้ ซึ่งเป็นการกาหนดวัตถปุ ระสงค์ การเรยี นรู้ที่ คาดหวังสาหรับนกั เรยี นในการสอนแต่ละครั้ง ข้นั ตอนท่ี 4 ดาเนินการสอนอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ เปน็ การเลอื กเทคนคิ การจัดการ เรยี นการสอน ที่มปี ระสิทธิภาพเพ่อื ชว่ ยสง่ เสรมิ การเรียนรู้สาหรับนกั เรยี น เช่น การเรียนแบบร่วมมอื กัน (cooperative learning) การสอนแบบเพื่อนช่วยเพอ่ื น (peer tutoring) การใชเ้ ทคโนโลยีชว่ ยใน การสอน การใช้บดั ดี้ และการใช้กจิ กรรมทีพ่ ฒั นาความสมั พนั ธ์ท่ดี รี ะหว่างนกั เรียน การเตรยี มการสอนสาหรับผ้เู รยี นทม่ี ีความต้องการพเิ ศษ ผู้สอนควรจะต้องเตรยี มตัวดงั ต่อไปน้ี 1. ปรับหรอื สรา้ งเน้อื หาที่เหมาะสม 2. ตรวจสอบเนอื้ หาและคาศพั ท์ 3. จดั ทาใบงานท่สี อดคลอ้ งกบั ความสนใจของผเู้ รยี น 4. สอนกลวธิ ีในการเรยี น เช่น การสอนทักษะการคดิ การบริหารเวลา 5. สอนให้นกั เรียนนากลวธิ ีการเรียนไปใชก้ ับวิชาอ่ืนดว้ ย 6. บนั ทึกพัฒนาการของผ้เู รยี น และแจง้ ใหผ้ ู้เรียนทราบถงึ พฒั นาการของตนเอง 7. เลอื กวิธกี ารประเมินผเู้ รยี นท่เี หมาะสมกับเนือ้ หาการสอนและลกั ษณะของผู้เรยี น
22 ขัน้ ตอนท่ี 5 การประเมนิ ความกา้ วหน้าและการปรับปรุงแกไ้ ขกระบวนการสอน โดยในการ ประเมินนน้ั ตอ้ งนาขอ้ มลู ท่ไี ด้ มาวิเคราะห์ และวางแผนปรบั ปรงุ และแก้ไขจุดออ่ นของ แผนการสอน 6.6 การสง่ เสริมให้มีการทาํ กิจกรรมร่วมกับบุคคลอืน่ ผู้เรียนทีม่ คี วามตอ้ งการพิเศษบางคนอาจไมส่ ามารถจะทากิจกรรมมีปฏสิ มั พนั ธ์ กับนักเรยี น คน อืน่ บคุ คลอื่นไดต้ ลอดเวลา แต่สามารถกจิ กรรมปฏสิ มั พนั ธ์ กบั นกั เรยี นคนอื่นไดบ้ ้าง หรอื ในการ ทากิจกรรมบางอย่าง อาจอานวยความสะดวกใหก้ ับผเู้ รียนทม่ี ีความตอ้ งการพเิ ศษให้สามารถทา กิจกรรม ไดส้ ะดวกยิง่ ข้นึ 6.7 การปรบั สภาพแวดล้อมเพ่ืออํานวยความสะดวกตอ่ ผ้เู รยี นที่มคี วามต้องการพเิ ศษ สภาพแวดล้อมมีความสาคัญอย่างมากต่อผ้เู รยี นทีม่ ีความต้องการพิเศษ เพราะถา้ สภาพแวดลอ้ มเป็นอุปสรรคตอ่ การเรียนรู้ เดก็ ก็จะเรียนรไู้ ด้ยากลาบากขึ้น สภาพแวดลอ้ มในหอ้ งเรยี น อาจแบง่ ได้เป็น สภาพแวดลอ้ มทางสังคม สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ และสภาพแวดลอ้ มทางการ ศกึ ษา สภาพแวดล้อม 3 ประเภทนี้ สภาพแวดล้อมทางสังคมถอื วา่ มีความสาคญั มากทีส่ ุด เป้าหมาย ในการจดั สภาพแวดลอ้ มทางสงั คมคอื จะทาอย่างไรใหผ้ เู้ รียนทม่ี ีความตอ้ งการพเิ ศษมคี ณุ คา่ เทยี บเท่า กบั เด็กคนอื่นๆ สภาพแวดล้อมทางกายภาพ ควรจะจดั ให้เหมาะสมกับความตอ้ งการของเด็ก เช่น สาหรับเดก็ ทีม่ กี ารมองเหน็ ไม่ดี ควรจดั แสงไฟให้สวา่ งและจดั ท่ีน่ังใหเ้ ด็กน่งั ในตาแหน่งทเ่ี หมาะสม สามารถเรยี นไดอ้ ยา่ งสะดวก สดุ ท้ายสภาพแวดล้อมทางการศึกษา คอื พยายามเสริมสรา้ ง ประสบกา รณ ในการประสบความสาเร็จให้ของเดก็ ตัวอย่างการจัดสภาพแวดลอ้ มทเี่ อ้อื ต่อการพฒั นาการเรยี นรูข้ องผเู้ รยี นที่มคี วามตอ้ งการพเิ ศษ มดี ังน้ี o การปรับปรงุ ทางเข้าอาคารเรยี นเพอ่ื ให้ผเู้ รยี นท่ีมคี วามบกพรอ่ งทางร่างกายเข้า-ออก ได้ สะดวก
23 o การปรับตารางเวลา และสถานทีเ่ พ่ืออานวยความสะดวก o การจัดเพอ่ื นช่วยเหลือผเู้ รยี นที่มีความต้องการพเิ ศษ o การจัดสนามเดก็ เล็กทเ่ี หมาะสมสาหรับผู้เรียนท่ีมคี วามต้องการพิเศษ o การจดั ผ้รู บั ผิดชอบคอยให้ความช่วยเหลอื ในดา้ นการปรับตัว o การปรับปรงุ ส่อื การจัดการเรยี นการสอนท่เี หมาะสม o การจดั ทน่ี ัง่ ที่เหมาะสม o การใชเ้ ทคโนโลยีช่วย o การใชเ้ ทคนิคการสอนเพอ่ื ชว่ ยเสริมสร้างการเรียนรู้ o การเลอื กใช้วิธีการประเมินผลทมี่ คี วามเหมาะสม o การปรบั หลกั สูตร และกจิ กรรมการเรยี นรู้ 6.8 ความเชื่อทีผ่ ิดในการสอนผู้เรียนทม่ี ีความต้องการพิเศษ ปจั จุบนั มผี คู้ นจานวนมากทเี่ ขา้ ใจผดิ เกีย่ วกบั การจดั การศึกษาให้กับผู้เรียนทม่ี คี วามต้องการ พเิ ศษ เช่น ครูท่สี อนผ้เู รียนทีม่ ีความต้องการพิเศษได้ จะตอ้ งรู้จักลกั ษณะต่างๆ ของผ้เู รียนท่ีมีความ ต้องการพิเศษเป็นอย่างดี หรอื ครทู ่สี อนผเู้ รียนทม่ี ีความตอ้ งการพิเศษจะตอ้ งมคี วามอดทนและมี ความสามารถพิเศษในการสอนผู้เรียนท่มี ีความต้องการพเิ ศษ ความเชือ่ เหล่านีอ้ าจจะเปน็ จริงอยบู่ า้ ง แต่อย่างไรกต็ าม ส่งิ ทสี่ าคัญที่สุดคือ ทักษะและเทคนคิ ในการสอน มงี านวจิ ยั พบว่า การสอนผู้เรียนทม่ี ี ความต้องการพิเศษ ทักษะและเทคนคิ การสอนท่ีดีและมีประสิทธภิ าพเป็นสง่ิ ท่จี าเปน็ ท่ีสดุ สาหรบั การ สอนผ้เู รียนทมี่ คี วามตอ้ งการพเิ ศษ (Foreman, 2008)
24 6.9 ปจั จยั ทสี่ ง่ ผลต่อความสําเร็จในการเรียนรว่ ม ปจั จยั ที่จะทาใหก้ ารจดั การเรยี นการสอนสาหรับผูเ้ รยี นที่มีความตอ้ งการพิเศษได้อยา่ งประสบ ความสาเร็จ คอื ทัศนคตแิ ละความรู้ของผู้สอน ทัศนคติของผเู้ รยี น ลกั ษณะทางกายภาพของโรงเรียน และชน้ั เรยี น ช่วงเวลาในโรงเรยี น หลกั สูตร ทรัพยากรของโรงเรยี น และการออกแบบการจัดการ เรยี นการสอน นอกจากนี้ Centre for Studies on Inclusive Education (2006) ไดร้ ะบปุ จั จยั ท่จี ะ ทาให้ การจดั การเรียนร่วมประสบความสาเร็จ ดงั น้ี 1. การสร้างวฒั นธรรมการเรียนร่วม ปัจจยั ด้านการสรา้ งบรรยากาศที่เอื้อประโยชน ต่อการเรยี นร่วม ประกอบดว้ ย การสร้าง สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศในโรงเรยี น และการเสรมิ สร้างคา่ นยิ มที่ดี การจัดสภาพแวดล้อมและ บรรยากาศในโรงเรยี นทส่ี ง่ ผลดีตอ่ การเรียนรว่ ม ไดแ้ ก่ การส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนรู้สึกว่าตนเองเปน็ ส่วน หน่ึงของสังคมโรงเรียน ผูเ้ รียนรูจ้ กั ชว่ ยเหลอื กันและกนั ครูชว่ ยเหลอื กันและกนั และใหค้ วามร่วมมอื กัน ครูและนกั เรยี นเคารพในสทิ ธิซง่ึ กนั และกนั และดึงชุมชนเข้ามามี สว่ นรว่ ม การเสริมสร้างค่านิยม ทีด่ ี เป็นการใหค้ วามคาดหวังแกน่ กั เรยี นที่มคี วามต้องการพิเศษ สรา้ งการยอมรบั วา่ นักเรยี นทกุ คนมี คุณค่าเท่ากัน ครูและนักเรยี นต่างเคารพในบทบาทของตนเองและผู้อื่น ครูพยายามขจดั อปุ สรรค ทง้ั หลายที่มีต่อการจัดการเรยี นร่วม และลดการแบ่งแยก 2.การกาหนดนโยบายการเรยี นรว่ ม การกาหนดนโยบายประกอบดว้ ย การสร้างนโยบายในการเสรมิ สรา้ งการร้สู กึ เปน็ สว่ นหนงึ่ ของโรงเรยี น และการสร้างความเข้าใจเร่อื งความแตกตา่ งระหว่างบุคคล การสร้างนโยบายในการ เสริมสร้างการรู้สึกเปน็ ส่วนหนึง่ ของโรงเรยี น ประกอบดว้ ย การให้สวัสดิการทยี่ ตุ ธิ รรมและท่ัวถึงแกค่ รู ทกุ คนในโรงเรยี น การให้ความช่วยเหลอื ซึ่ง กนั และกนั การใหค้ วามชว่ ยเหลอื นักเรียนท่ีอยใู่ นชุมชน การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เชน่ ตกึ เรียน ห้องเรยี น ให้เอ้ือต่อนกั เรยี นทมี่ ีความตอ้ งการพเิ ศษ การให้ความชว่ ยเหลอื แกน่ ักเรยี นใหม่ และ การชว่ ยเหลือทางด้านต่างๆ ทีจ่ าเป็นสาหรบั ผู้เรยี นท่มี ี ความตอ้ งการพิเศษ
25 การสรา้ งความเข้าใจเรื่องความแตกตา่ งระหว่างบุคคล ประกอบดว้ ย การใหก้ าร ชว่ ยเหลือแก่ นักเรยี นทุกคน การจัดกิจกรรมหรือการอบรมสาหรับครเู พ่อื ใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกบั การสอน เดก็ ทมี่ คี วามแตกตา่ งและหลากหลาย มกี ารดาเนินงานแกไ้ ขพฤตกิ รรมที่ไมพ่ งึ ประสงค์ ต่างๆ ของ นักเรยี น 3. การพัฒนาการดาเนนิ งานจัดการเรยี นร่วม เปน็ การออกแบบการจัดการเรยี นการสอน การปรับหลักสูตร เน้อื หา การเลอื กวธิ กี าร ประเมินผล ทเี่ หมาะสมสาหรบั ผู้เรียนทกุ คนโดยคานงึ ถึงความแตกตา่ งระหว่างบุคคล และผ้เู รียนมี สว่ น รว่ มในการวางแผนการจดั การเรยี นการสอนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน นอกจากนยี้ งั ต้อง คานงึ ถงึ การจดั หาทรัพยากรสาหรับการจดั การเรียนการสอน และทรัพยากรบุคคลทสี่ ง่ เสริมการ จดั การเรียน ร่วมใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพย่งิ ข้ึน 6.10. TPACK (Technological Pedagogical Content Knowledge) Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) หมายถงึ การบูรณาการ (interaction and incorporation) ความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ การผสมผสานในการใช้ส่ือ นวตั กรรมเทคโนโลยี กับวธิ ีสอน เน้อื หา ในการออกแบบการเรยี นรอู้ ย่างสอดคลอ้ ง และเปน็ ระบบ ซ่งึ ประกอบไปดว้ ยองคป์ ระกอบสาคญั ท่ี สัมพนั ธ์กนั คือ เน้อื หา (Content: CK), วิธีสอน (Pedagogy: PK) และเทคโนโลยี (Technology: TK) ท่ีสามารถทาให้ผู้เรยี นมที ักษะ มีความร้คู วามเข้าใจในสง่ิ ท่ี เรยี น Technological Pedagogical Content Knowledge หรือ TPACK Model ถกู พฒั นาโดย Misha and Koehler (Koehler, 2016) ซึง่ พฒั นาต่อยอดขน้ึ มากจาก Pedagogical Content Knowledge หรอื PCK โดย Shuman ซึ่งใหค้ วามสาคัญกับความรู้ ในการสอน รปู แบบ แนวทาง กระบวนทัศน์ในการสอนทเ่ี หมาะสมกบั เน้อื หาเฉพาะเจาะจง จากนน้ั Misha และ Koehler เสนอให้ มกี ารเพ่ิมเทคโนโลยีเพอ่ื การเรยี นการสอนเขา้ ไปกับโมเดลน้ี เนื่องจากแนวโนม้ การเรยี นการสอนที่ เปลีย่ นแปลงไป รวมถงึ เทคโนโลยีอื่น ๆ มี บทบาทสูงมากยง่ิ ขึน้ ในการเรียนการสอน โมเดล PCK
26 จงึ พฒั นาเปน็ TPCK (Technological Pedagogical Content Knowledge) และตอ่ มา Thomson และ Misha (Thomson & Misha, 2008) ไดเ้ สนอใหเ้ รยี กว่า TPACK ซึง่ สอดคล้องกบั ความหมาย องค์รวมในการบูรณาการความร้ทู ้งั สามมิตเิ ขา้ ดว้ ยกนั เปน็ Total Package ของการใช้เนือ้ หา การ สอน และ เทคโนโลยใี นการเรียนการสอน TPACK มวี ตั ถุประสงคห์ ลักคือ การทีจ่ ะทาใหค้ รผู ูส้ อนสามารถบรู ณาการเลือกใช้ และผลิตสอ่ื นวัตกรรมทางเทคโนโลยี เพ่อื ให้มีความสอดคล้องกันกบั หลักทฤษฎีการสอน และ เนื้อหาวชิ าทสี่ อน (Koehler, 2016; Lu, 2016, Mishra & Koehler, 2006) TPACK แสดง ใหเ้ หน็ ถึงความสัมพนั ธ์ท่ี สาคญั ขององค์ประกอบ 3 ด้านใหญ่ ท่ีมคี วามสัมพันธก์ นั 7 ประการ ตามโมเดลทส่ี าคญั คอื 1. Content Knowledge (CK) คอื สาระ ความรู้เนอ้ื หาองคป์ ระกอบสาคัญท้ังหมด ท่ีจะทา ให้ผ้เู รียนสามารถสื่อสารทางภาษาไดท้ ้ังโดย วธิ วี จนภาษา และอวจั นภาษา (verbal and non- verbal language) โดยครผู ูส้ อนต้องมคี วามร้ตู ามหลกั สตู รทร่ี ะบบการศกึ ษากาหนด 2. Pedagogical Knowledge (PK) คอื ความรู้ดา้ นกระบวนทศั นก์ ารสอน หมายถึง ครผู สู้ อนที่รูถ้ งึ กลยทุ ธแ์ ละวธิ ีในการจดั การเรยี นรูท้ ี่หลากหลาย และมกี ารฝึกฝนตามแนวทางการเรยี น การสอนเพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นพฒั นาสมรรถนะไดอ้ ย่างเหมาะสม 3. Technological Knowledge (TK) คือ ความรู้ ในการใช้เทคโนโลยีตา่ ง ๆ เชน่ โปรแกรม Microsoft พ้ืนฐาน หรอื เขา้ ใจและรถู้ ึงการใชง้ านของเครอื่ งมือทาง เทคโนโลยีต่าง ๆ 4. Pedagogical Content Knowledge (PCK) คือ ความรใู้ นกระบวนทัศน์การ สอนภาษา รูปแบบ แนวทางการสอนท่ีเหมาะสมกับเนือ้ หาเฉพาะเจาะจงนั้น ๆ โดย สามารถปรับใช้เทคนคิ ในการ เรียนการสอนให้เหมาะสมกับลกั ษณะของเนื้อหานั้น ๆ 5. Technological Content Knowledge (TCK) คือ ความรู้ ความเข้าใจการใช้ เทคโนโลยีท่ี หลากหลายนา่ สนใจและเหมาะสมกบั การสอนเนอื้ หาและสามารถพิจารณาวา่ เทคโนโลยีสารสนเทศใด
27 ท่ีช่วยให้ ผู้เรียนไดค้ วามรใู้ นเน้อื หาตามวัตถปุ ระสงคท์ ไ่ี ด้ตัง้ ไว้ โดยหมายรวมถงึ ความเขา้ ใจใน การใช้ เทคโนโลยีเพื่อให้ผเู้ รยี นได้รู้จักและเขา้ ใจ มองเห็นภาพเสมือนจริง 6. Technological Pedagogical Knowledge (TPK) คอื ความรู้ ความเขา้ ใจว่า การสอน และการเรียนรู้สามารถทจ่ี ะเปล่ยี นแปลงไปได้ เม่ือเทคโนโลยสี ารสนเทศท่ี ใช้เปลี่ยนแปลงไป รวมถงึ ความรู้ เทคนคิ วิธีการในการสอนน้ันสามารถ เปล่ียนแปลงไปตามความสามารถ หรอื ข้อจากดั ต่าง ๆ ของเทคโนโลยสี ารสนเทศที่ ใชใ้ นการเรยี นการสอน 7. Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) คือ การบูรณาการ (interaction and incorporation) ความรู้ ความสามารถ ทกั ษะ การผสมผสานในการใช้สื่อ นวตั กรรมเทคโนโลยี กับวิธสี อน เน้อื หา ในการออกแบบ การเรยี นรูอ้ ย่างสอดคลอ้ ง และเป็นระบบ ซ่ึงประกอบไปด้วยองคป์ ระกอบสาคัญทีส่ ัมพนั ธ์กนั คอื เนอ้ื หา (Content: CK), วธิ สี อน (Pedagogy: PK) และเทคโนโลยี (Technology: TK) ที่สามารถทาใหผ้ เู้ รียนมีทกั ษะ มคี วามร้คู วามเข้าใจ ในสง่ิ ที่ เรยี น ภาพท่ี 6.9 ความสมั พนั ธแ์ ละการบูรณาการตามโมเดล TPACK (Koehler, 2016) ชัยวัฒน์ แก้วพนั งาม, 2561
28 ทงั้ นจ้ี ะเห็นไดว้ า่ ความรูเ้ ฉพาะในแต่ละดา้ นนั้นเรยี กว่า CK, PK, TK และความรทู้ ี่มี ลักษณะ บรู ณาการมากยิง่ ขนึ้ จะพบไดต้ ้ังแต่ PCK, TCK, TPK, และ TPACK ฉะนน้ั TPACK จึงเป็นการบรู ณา การความรู้ ความเข้าใจ และทกั ษะ ทง้ั สามส่วนเขา้ ดว้ ยกนั เพื่อการเรียนการสอนที่ดี มีประสิทธภิ าพ โดยมีส่ิงทส่ี าคญั ได้แก่ ประการแรก คือ ความรใู้ นเนือ้ หาสาระ แนวคดิ หลกั การ รวมทัง้ ดา้ นเจตคตทิ ่ีดีของ ขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ท่ีจะเรยี บเรียงพรอ้ มทจ่ี ะถ่ายทอดไปยงั ผเู้ รียนไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ ประการทส่ี อง คือ ความรู้ ความสามารถและทกั ษะของการถา่ ยทอดความรดู้ า้ น เนือ้ หา รวมถงึ การวดั ผลประเมนิ ผลในการจดั การเรยี นการสอน ท่ีสามารถให้ผเู้ รยี นมีความรู้ ความเข้าใจใน เน้อื หาน้ัน ๆ ตามความเหมาะสมกบั หลักสูตรการศึกษาที่ได้กาหนดเอาไว้ ให้กบั ผ้เู รยี นอยา่ งมี ประสิทธภิ าพทจี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ประสิทธิผลสงู สุดของผูเ้ รียน และสิง่ ต่าง ๆ เหล่านัน้ อาจเรียกไดว้ า่ วธิ ีการ สอน เทคนคิ การสอนตา่ ง ๆ ท่ีผสู้ อนจะนามาประยุกตใ์ ช้ให้ เหมาะสมกบั เนื้อหาและผู้เรยี นตาม สภาพแวดล้อมการเรยี นรู้ ประการทีส่ าม คอื ความสามารถในการใชป้ ระโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ มา เป็น เครื่องมือทีส่ าคัญ รว่ มกันกบั วธิ ีการสอน ในการนาเสนอเนอ้ื หาตอ่ ผ้เู รียน การจัดการเรียนสอนท่ีมีการ ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดทแี พค นบั วา่ เป็นการสนบั สนนุ แนวทางการจดั การเรียนสอนทมี่ ีคณุ ภาพ เพราะการจัดการเรียนการสอนตามกรอบแนวคดิ ทแี พคไมเ่ พียงการเน้นประโยชน์จากการใช้ เทคโนโลยีทีท่ นั สมยั ในการสอน แตย่ ังครอบคลมุ และคานงึ ถงึ คุณภาพในการจดั เตรยี มเน้ือหาสาระของ การสอน และการเลือกใชว้ ธิ กี ารสอน ใหส้ อดคลอ้ งกบั เทคโนโลยีเพื่อให้เกดิ ประโยชน์สูงสุดตอ่ ผเู้ รียน TPACK (Technological Pedagogical Content Knowledge) เปน็ มากกวา่ การเรยี นการ สอนเนอื้ หาและเทคโนโลยแี ละความเขา้ ใจทีเ่ กิดจากปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งส่ิงเหลา่ น้ี เปน็ พ้นื ฐานของ การสอนทม่ี ีประสิทธภิ าพดว้ ยเทคโนโลยี การเพิม่ ประสิทธิ์ภาพ TPACK กบั เทคโนโลยอี านวยความ สะดวก:การสง่ เสริม Inclusive Practices ในการให้คาปรึกษาด้านการศกึ ษาของครูผสู้ อน (Enhancing TPACK With Assistive Technology: Promoting Inclusive Practices in
29 Preservice Teacher Education) เทคโนโลยอี านวยความสะดวก ถือเปน็ ศกั ยภาพในการเพ่ิม โอกาสทางการศกึ ษาสาหรับบคุ คลที่มีความตอ้ งการพิเศษในหอ้ งเรียนรวม โดยการส่งเสรมิ การเขา้ ถงึ การมสี ่วนร่วมและผลการเรยี นรู้ (Alper & Raharinirina, 2006; Michaels, Prezant, Morabito, & Jackson, 2002; Rose, Meyer, & Hitchcock, 2548). เทคโนโลยี สามารถนาเสนอข้อมูลที่ยดื หย่นุ และไม่เปน็ เชิงเสน้ ชว่ ยให้นักเรยี นทีม่ คี วามบกพรอ่ งทางการเรยี นรู้สามารถเข้าถงึ ขอ้ มลู ทไี่ มส่ ามารถ หาได้ โดยใชข้ อ้ ความแสดงขอ้ มลู แบบดง้ั เดิม (Twyman & Tindal, 2006) การศึกษาสรปุ ได้วา่ การปรบั ปรงุ เทคโนโลยใี หก้ ับสอ่ื การเรียนการสอน มผี ลในเชิงบวกต่อผล การเรยี นรู้ด้านเนอ้ื หา (Lange, McPhillips, Mulhern, & Wylie, 2006; Okolo, 2005) ทักษะการ คิดวิเคราะห์ (เช่นการพูดย้า การสรุปภาพประกอบการทานาย คาอธบิ าย และการประเมนิ ผล Twyman & Tindal, 2006), แรงจงู ใจ (Glaser, Rieth, Kinzer, Colburn, & Peter, 1999), การ สนับสนนุ ตนเอง (Lancaster, Schumaker, & Deshler, 2002) และกลยทุ ธก์ ารทาข้อสอบ (Lancaster, Lancaster, Schumaker, & Deshler, 2549) ความร้ดู า้ นเทคโนโลยี (Technological Knowledge) หรือ TK ความรคู้ วามสามารถ ของผู้สอนท่ีเกี่ยวข้องกับการประยกุ ตใ์ ช้สอื่ อปุ กรณด์ า้ นเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา เพ่ือใช้ ประกอบการเรียนการสอนทีม่ คี วามสอดคล้องและมีความเหมาะสมกับเนอ้ื หาวิชาและผ้เู รียน เช่น ผู้สอนมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจในเรอ่ื งของการจดั การเรยี นการสอนโดยใช้เทคโนโลยีจากเว็บ 2.0 (Web 2.0 tools) ต่าง ๆ เชน่ Wiki, Blogs, Facebook เป็นตน้ ความร้ดู า้ นวิธกี ารสอน (Pedagogical Knowledge) หรอื PK กลยทุ ธ์ หรอื กระบวนการ การปฏิบตั ิ หรอื วิธกี ารสอนทั้งในและนอกช้นั เรยี น ในสว่ นน้ไี มร่ ว่ มถึงทฤษฎกี ารศกึ ษา (Educational theories) และวธิ กี ารประเมิน (Assessment methods) เช่น • การเรียนการสอนโดยใช้วิธกี ารเรียนรูโ้ ดยใช้ปญั หาเปน็ หลัก (Problem – based Learning: PBL) • วิธีการเรียนรู้โดยใชป้ ญั หาเป็นหลัก (Problem – based Learning: PBL) • การเรยี นร้ทู ี่ใชส้ มองเป็นหลัก (Brain – Based Learning)
30 • วธิ สี อนแบบโครงงาน (Project Method) • การจัดการเรยี นร้แู บบค้นพบ (Discovery Method) • วธิ ีสอนแบบศกึ ษาดว้ ยตนเอง (Self-Study Method) เปน็ ต้น ความรู้ดา้ นเน้อื หา (Content Knowledge) หรือ CK หมายถึง สาระ, ขอ้ มลู , แนวคิด,หลกั การ ท่ีเก่ียวข้องกบั เนอ้ื หาวิชาการในหลักสตู รทีต่ ้องการทจ่ี ะถา่ ยทอด จากสง่ิ ท่ีกลา่ วมา สอดคล้องกบั การจัดการเรยี นการสอนสาหรบั ผู้เรยี นทีม่ ีความต้องการพเิ ศษ ในการใชป้ ระโยชนจ์ ากเทคโนโลยีสารสนเทศมาเป็นเคร่อื งมือท่สี าคัญร่วมกันกบั วิธกี ารสอน เพอ่ื ให้ การจดั การเรยี นการสอนมคี ณุ ภาพ ในการจดั เตรียมเนอ้ื หาสาระของการสอน การนาเสนอเนื้อหาตอ่ ผู้เรียนและการเลือกใช้วธิ กี ารสอน ใหส้ อดคลอ้ งกับเทคโนโลยีเพือ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สุดต่อผูเ้ รียนทีม่ ี ความต้องการพเิ ศษ และเพอ่ื ให้ผ้สู อนเกิดการเรยี นรู้ เข้าใจ ถึงหลกั ของการออกแบบการจดั การ เรียนร้ตู ามแนวคดิ TPACK เพอ่ื ส่งเสรมิ ทกั ษะชวี ติ ในศตวรรษท2่ี 1 สาหรับผเู้ รียนทมี่ ีความต้องการ พเิ ศษ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั รปู แบบโมเดลทางการศึกษาดจิ ทิ ัล จากบทความเร่ืองการจดั การเรียนรใู้ นโลก ยุคดิจทิ ัลสาหรบั ผูท้ ่ีมคี วามตอ้ งกรพเิ ศษ (อรุณรตั น์ เดชสุวรรณและชนดิ า มิตรานนั ท,์ 2564) รูปแบบโมเดลทางการศึกษาดิจิทัล (อรุณรัตน์ เดชสุวรรณและ ชนิดา มิตรานันท์, 2564) ภาพท่ี 6.10 โมเดลการศึกษาแบบดจิ ทิ ลั
31 บรรณานุกรม ภาษาไทย กระทรวงศึกษาธิการ. (2559) สานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. แผนพัฒนาการศกึ ษา ของ กระทรวงศกึ ษาธิการ ฉบบั ที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564). กรุงเทพฯ : ปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักดิ์. (2560). อนาคตใหม่ของการศึกษาไทยในยุค Thiland 4.0. , (ออนไลน์). เข้าถงึ ได้จาก : http://www.li.mahidol.ac.th/conference2016/thailand4.pdf ดารุณี บุญครอง.(2560) บทความวิจัย วเิ คราะห์แนวทางการจัดการศึกษาไทยกบั การขับเคลอ่ื น การศึกษา สูย่ ุคไทยแลนด์ 4.0 วารสารสารอาศรมวัฒนธรรมวลยั ลักษณ์ ปยิ วรรณ วิเศษสวุ รรณภูม.ิ (2554). จติ วทิ ยาการสอนเดก็ ท่ีมีความตอ้ งการพิเศษ. กรุงเทพ: โรงพมิ พ์ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลัย. อนศุ ร หงสข์ นุ ทด.(2559). แนวทางการจัดการเรยี นการสอนแบบSTEM ตามแนวคดิ TPACK Model ภาษาอังกฤษ 4 Special education laws and policies every teacher should know, 2020 by University of Massachusetts Global เวป็ ไซด์ https://www.glassdoor.co.in/Photos/Washington-Saratoga-Warren-Hamilton-Essex- BOCES-Office-Photos-IMG3358061.htm https://www.google.co.th https://larastock.com/photo-66084-children-in-school-with-inclusive-education/ https://www.understood.org/articles/en/understanding-special-education https://vizagclassifiedsonline.com/role-of-technology-in-education/
32
Search
Read the Text Version
- 1 - 32
Pages: