บทที่ 2 นโยบายท่ีเกี่ยวข้องกับการจดั การศึกษาพเิ ศษ เยาวชนผู้มีความต้องการพิเศษ มีอยู่ในสังคมของทุกประเทศ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประเทศ ไทยเริ่มมีการมีการจัดการศกึ ษาสาหรบั ผทู้ ่ีมคี วามตอ้ งการพิเศษ โดยกระทรวงศกึ ษาธิการ พ.ศ. 2478 มีการตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาภาคบังคับ ประกาศยกเว้นให้เด็กพิการไม่ต้องเข้าเรียน และ พ.ศ. 2482 เป็นปีแรกท่ีมีการจัดการศึกษาพิเศษของประเทศไทย โดยกระทรวงศึกษาธิการเร่ิม จัดการเรียนการสอนให้แก่เด็กพิการประเภทต่าง ๆ ได้แก่ เด็กเรียนช้า เด็กท่ีมีความบกพร่องทาง สายตา เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและการเคลื่อนไหว รวมทั้งเด็กที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง มีการจัดตั้งโรงเรียนเฉพาะความพิการแห่งแรกสาหรับเด็กที่มี ความบกพร่องทางสายตา หลังจากนั้น เริ่มมีการจัดตั้งโรงเรียนสาหรับสอนผู้ที่มีความต้องการพิเศษ เพิ่มข้ึนอย่างต่อเนื่อง (ขอ้ มูลจากกระทรวงศึกษาธิการ สานักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ,2561) จนถึง ปัจจบุ นั มีโรงเรียนเฉพาะความพิการท้ังสิน้ 48 แหง่ ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ 77 แหง่ กระจายอยใู่ นแต่ละ จังหวัดทั่วประเทศ โรงเรียนเรยี นรว่ มและเรยี นรวม 22,625แห่งและโรงเรยี นศึกษาสงเคราะห์ 51 แหง่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 10 ระบุว่า การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิ และโอกาส เสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพ้ืนฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีท่ีรัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและ มีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซ่ึงมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การส่ือสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพหรือบุคคลซึ่ง ไม่ สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับ การศึกษาข้ันพน้ื ฐานเปน็ พเิ ศษ โดยเฉพาะการศึกษาสาหรับคนพิการ ให้จัดตงั้ แต่แรกเกิดหรือแรกพบ ความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และ ความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดในกฎกระทรวง (กระทรวงศึกษาธิการ สานักบรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ, 2020)
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ทาให้หน่วยงานที่เก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาการต่ืนตัว ในการจดั การศึกษาให้กับบุคคลทมี่ ีความต้องการพิเศษ ในศตวรรษท่ี 21 ซ่งึ เป็นยคุ ทวี่ ิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า มีการปฏิรูปสังคม ตลอดจนมี การคิดค้นวิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยให้คนพิการ ได้รับการพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการศึกษาสาหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษซ่ึงมีการ พัฒนาขึ้นมาตามลาดับจึงถึงปัจจุบนั โดยกรมสง่ เสริมและพฒั นาคุณภาพชวี ติ คนพิการและหนว่ ยงาน ที่เก่ียวข้องร่วมประชุมขับเคลื่อนแนวทางการส่งเสริมการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการนอกระบบ ตามนโยบายประจาปี 2563 เพ่ือเป็นการส่งเสริมจัดการศึกษาสาหรับคนพิการให้เข้าถึงสิทธิขั้น พ้ืนฐานทางการศึกษาอย่างเท่าเทียม โดยมีแนวทางหลักได้แก่ การสารวจสถานการณ์การศึกษาของ เด็กพกิ ารและการพัฒนาระบบแผนพัฒนาเดก็ พกิ ารรายบคุ คล (IEP) เลอื กโมเดลและกิจกรรมมาใช้ให้ เหมาะสม โครงการปรับบา้ นเปน็ หอ้ งเรียน เปลีย่ นพอ่ แม่เป็นครู พจิ ารณาแนวทางจดั จา้ งบุคลากรครู พี่เลี้ยง และการสง่ เสริมการสรา้ งเจตคติของเพือ่ นรว่ มชน้ั เรยี น(กรมสง่ เสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคน พกิ าร, 2563) นอกจากนี้ กระทรวงศึกษาธิการยังมีการขับเคล่ือนการจัดการศึกษาสาหรับผู้ที่มีความตอ้ งการ พิเศษ มาโดยตลอด ตามพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พุทธศักราช 2551 และที่ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พุทธศักราช 2556 กาหนดให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยสานักบริหารงาน การศึกษาพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบในการ จัดทาแผนการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ เพื่อให้ความช่วยเหลือคนพิการและครอบครัว ในการ เตรียมความพร้อมและฟ้ืนฟูสมรรถภาพให้คนพิการ การจัดการศึกษาท่ีหลากหลายทั้งในระบบ นอก ระบบ ตามอัธยาศัย และการศึกษาทางเลือก โดยเฉพาะศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ ส่งเสริม สนับสนุนการจัดการศึกษาสาหรับบุคคลท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษในรูปแบบการเรียนรวม กระจายในทุกสานักงาน เขตพื้นท่ีการศึกษา เพื่อรองรับคนพิการทุกคนให้ได้รับสิทธิและโอกาสใน การศึกษาอย่างเสมอภาคกัน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2564)
2.1 พระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ 2542 พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแหงชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ กาหนดใหบคุ คลมสี ทิ ธิและโอกาส เสมอกันในการรับการศึกษาข้ันพื้นฐานไมนอยกวา สิบสองปและรัฐตองจัดใหอยางท่ัวถึงและมี คุณภาพ โดยไมเก็บคาใชจาย การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซ่ึงมีความบกพรองทางรางกาย จิตใจ สติปญญา อารมณสังคม การสื่อสารและการเรียนรูหรือมีรางกายพิการ หรือ ทุพพลภาพหรือบุคคล ซึ่งไมสามารถพึง่ ตนเองไดหรือไมมีผูดแู ลหรือดอยโอกาสตอ้ งจัดใหบคุ คลดังกลาวมีสิทธิ และโอกาสได รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเปนพิเศษ การศึกษาสาหรับคนพิการในวรรคสอง ใหจัดต้ังแตแรกเกิดหรือ เมื่อพบความพิการ โดยไมเสยี คาใชจาย พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 3 ให้ ยกเลิกความในมาตรา 37 แห่งพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่ง แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และให้ใช้ ความต่อไปนี้ แทน “มาตรา 37 การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ ยึดเขตพ้ืนที่การศึกษา โดย คานึงถึงระดับของการศึกษาข้ันพื้นฐาน จานวนสถานศึกษา จานวนประชากร วัฒนธรรม และความ เหมาะสมด้านอ่ืนดว้ ย เวน้ แตก่ ารจัดการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐานตามกฎหมายว่าด้วยการอาชีวศกึ ษา ในกรณีท่ีเขตพื้นที่การศึกษาไม่อาจบรหิ ารและจัดการได้ ตามวรรคหนงึ่ กระทรวงอาจจดั ให้ มี การศึกษาขนั้ พืน้ ฐานดังตอ่ ไปนี้ เพอ่ื เสรมิ การบริหารและการจดั การของเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาก็ได้ (๑) การจัดการศึกษาข้ันพ้ืนฐานสาหรับบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สงั คม การสื่อสารและการเรยี นรู้ หรือมีร่างกายพกิ ารหรือทพุ พลภาพ
(๒) การจัดการศึกษาข้ันพื้นฐานที่จัดในรูปแบบการศึกษานอกระบบหรือการศึกษา ตาม อธั ยาศยั (๓) การจัดการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานสาหรับบคุ คลทม่ี คี วามสามารถพเิ ศษ (๔) การจดั การศึกษาทางไกล และการจัดการศึกษาท่ใี ห้ บรกิ ารในหลายเขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา นอกจากนัน้ พระราชบัญญัตกิ ารจัดการศกึ ษาสาหรบั คนพิการ พ.ศ. 2551 และท่ีแกไ้ ข เพิม่ เตมิ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2556 ได้ระบุไว้ว่า คนพิการมีสิทธิได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายต้ังแต่ แรกเกิด หรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมท้ังได้รับเทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการและ ความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา นอกจากน้ีก็มีสิทธิที่จะเลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบ และรูปแบบการศึกษา โดยคานึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการ จาเปน็ พเิ ศษของ บุคคลนั้น อีกท้ังยังมีสทิ ธิไดร้ บั การศึกษาที่มีมาตรฐานและประกนั คุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลกั สูตร กระบวนการเรยี นรู้ การทดสอบทางการศึกษา ที่เหมาะสมสอดคลอ้ งกับความ ตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษของ คนพกิ ารแต่ละประเภทและบคุ คลด้วย (ราชกิจจานุเบกษา เลม่ 136/ตอนที่ 57 ก/หน้า 1/1 พฤษภาคม 2562/พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2562) ดังน้ันรัฐและสถาบันการศึกษาจึงต้องจัดการศึกษาให้กับผู้ที่มีความต้องการพิเศษอย่างทั่วถึง และสอดคล้องกับความตอ้ งการจาเป็นของผู้ทมี่ ีความต้องการพเิ ศษ 2.2 พระราชบญั ญตั ิส่งเสรมิ คณุ ภาพชวี ติ คนพกิ าร 2550 ขอยกเฉพาะมาตราท่เี กย่ี วขอ้ งกบั การจดั การศกึ ษาพิเศษสาหรับคนพกิ าร ดังน้ี มาตรา 20 คนพิการมีสิทธิเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จากส่ิงอานวยความสะดวก อันเป็น สาธารณะตลอดจนสวัสดกิ ารและความช่วยเหลอื อ่นื จากรฐั ดงั ต่อไปน้ี
1. การบริการฟื้นฟูสมรรถภาพโดยกระบวนการทางการแพทย์และค่าใช้จ่ายในการ รักษาพยาบาล ค่าอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการ และส่ือส่งเสริมพัฒนาการ เพื่อปรับสภาพทาง ร่างกาย จิตใจ อารมณ์สังคม พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้หรือเสริมสร้างสมรรถภาพให้ดีข้ึน ตามที่รฐั มนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสขุ ประกาศกาหนด 2. การศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติหรือแผนการศึกษาแห่งชาติ ตามความ เหมาะสมในสถานศึกษาเฉพาะหรือในสถานศึกษาทั่วไป หรือการศึกษาทางเลอื ก หรือ การศึกษานอก ระบบ โดยให้หน่วยงานท่ีรับผิดชอบเกี่ยวกับสิ่งอานวยความสะดวกสื่อ บริการ และ ความช่วยเหลือ อื่นใดทางการศึกษาสาหรบั คนพกิ ารใหก้ ารสนับสนุนตามความเหมาะสม 3. การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ การให้บริการท่ีมีมาตรฐาน การคุ้มครอง แรงงาน มาตรการเพ่ือการมีงานทา ตลอดจนได้รับการส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ และบริการ ส่ือ สิ่ง อานวยความสะดวกเทคโนโลยีหรือความช่วยเหลืออ่ืนใด เพ่ือการทางานและประกอบอาชีพ ของคน พกิ าร ตามหลักเกณฑว์ ธิ กี าร และเงื่อนไขทรี่ ฐั มนตรวี ่าการกระทรวงแรงงานประกาศกาหนด 4. การยอมรับและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองอย่าง เต็มท่ีและมี ประสิทธิภาพบนพ้ืนฐานแห่งความเท่าเทียมกับบุคคลท่ัวไป ตลอดจนได้รับสิ่งอานวยความ สะดวก และบริการตา่ ง ๆ ท่จี าเปน็ สาหรบั คนพิการ 5. การช่วยเหลือให้เขา้ ถึงนโยบาย แผนงาน โครงการ กิจกรรม การพฒั นาและ บริการอันเป็น สาธารณะ ผลิตภัณฑ์ที่มีความจาเป็นต่อการดารงชีวิต การช่วยเหลือทางกฎหมายและ การจัดหา ทนายความว่าต่างแกต้ ่างคดีให้เป็นไปตามระเบียบทคี่ ณะกรรมการกาหนด 6. ข้อมูลข่าวสาร การส่ือสาร บริการโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารและ เทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวกเพ่ือการสื่อสารสาหรับคนพิการทุกประเภทตลอดจน บริการสื่อ สาธารณะจากหน่วยงานของรัฐหรอื เอกชนทไ่ี ด้รับงบประมาณสนับสนุนจากรฐั ตาม หลกั เกณฑ์วธิ กี าร และเงอื่ นไขที่รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สารกาหนด ในกฎกระทรวง 7. บริการลา่ มภาษามอื ตามระเบยี บทคี่ ณะกรรมการกาหนด 8. สิทธิที่จะนาสัตว์นาทาง เคร่ืองมือหรืออุปกรณ์นาทาง หรือเครื่องช่วยความ พิการใด ๆ ติด ตัวไปในยานพาหนะหรือสถานที่ใด ๆ เพื่อประโยชน์ในการเดินทาง และการได้รับ สิ่งอานวยความ
สะดวกอันเปน็ สาธารณะ โดยไดร้ ับการยกเว้นคา่ บรกิ าร คา่ ธรรมเนยี ม และค่าเชา่ เพม่ิ เตมิ สาหรบั สัตว์ เคร่ืองมือ อุปกรณห์ รอื เครอ่ื งช่วยความพิการดังกล่าว 9. การจัดสวัสดิการเบ้ียความพิการ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีคณะกรรมการ กาหนดใน ระเบียบ 10. การปรับสภาพแวดล้อมท่ีอยู่อาศัย การมีผู้ช่วยคนพิการ หรือการจัดให้มี สวัสดิการอื่น ตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการที่คณะกรรมการกาหนดในระเบยี บ 11.ผู้ช่วยคนพิการ ให้มีสิทธิได้รับการลดหย่อนหรือยกเว้นค่าบริการ ค่าธรรมเนียมตาม ระเบียบทค่ี ณะกรรมการกาหนด 12.คนพิการที่ไม่มีผู้ดแู ลคนพิการ มีสิทธิได้รับการจัดสวัสดิการดา้ นที่อยู่อาศัยและ การเล้ียงดู จากหน่วยงานของรัฐ ในกรณีท่ีมีสถานสงเคราะห์เอกชนจดั ท่ีอยูอ่ าศัยและสวสั ดิการให้แล้ว รัฐต้องจัด เงินอุดหนุนให้แก่สถานสงเคราะห์เอกชนนั้น ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการ กาหนดใน ระเบียบ 13.ผู้ดูแลคนพิการมีสิทธิได้รับบริการให้คาปรึกษา แนะนา ฝึกอบรมทักษะ การเล้ียงดู การ จัดการศึกษา การส่งเสริมอาชีพและการมีงานทา ตลอดจนความช่วยเหลืออ่ืนใด เพ่ือให้พึ่งตนเองได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่คี ณะกรรมการกาหนดในระเบียบ 14.คนพิการและผู้ดูแลคนพกิ ารมีสิทธิได้รับการลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษีตามที่ กฎหมาย กาหนด 15.องค์กรเอกชนที่จัดให้คนพิการได้รับสิทธิประโยชน์ตามมาตราน้ีมีสิทธิได้รับการ ลดหย่อน ภาษีหรอื ยกเวน้ ภาษเี ป็นรอ้ ยละของจานวนเงนิ คา่ ใช้จ่ายตามที่กฎหมายกาหนด 2.3 พระราชบัญญตั ิการจดั การศกึ ษาสาหรับคนพกิ าร 2551 ประเด็นสาคัญที่ได้จากพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ 2551 และที่แก้ไข เพ่มิ เตมิ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2556 มดี ังตอ่ ไปน้ี หมวด 1 มาตรา 5 กลา่ วถึงสิทธขิ องคนพกิ ารทางการศึกษา ดังนี้
1. ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมท้ัง ได้รบั เทคโนโลยี สง่ิ อานวยความสะดวก สอื่ บรกิ ารและความชว่ ยเหลอื อน่ื ใดทางการศกึ ษา 2. เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคานึงถึง ความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจาเป็นพิเศษของบุคคลนัน้ 3. ได้รับการศึกษาท่ีมีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมท้ังการจัดหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษา ที่เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษ ของคนพิการแตล่ ะประเภทและบคุ คล หมวด 1 มาตรา 6 กล่าวถึงสิทธิและการส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของครูการศึกษาพิเศษเพ่ือ ผูเ้ รยี นท่ีมีความตอ้ งการพิเศษ ดงั น้ี 1.ให้ครูการศกึ ษาพิเศษในทกุ สงั กดั มสี ิทธิได้รบั เงินคา่ ตอบแทนพเิ ศษตามทีก่ ฎหมายกาหนด ให้ครูการศึกษาพิเศษ ครูและคณาจารย์ได้รับการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ องค์ความรู้ การศึกษาต่อเนื่องและทักษะในการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ ทั้งน้ีตามหลักเกณฑ์ ที่ คณะกรรมการกาหนด หมวด 1 มาตรา 8 ได้กล่าวถงึ หน้าที่ของสถานศึกษา ดงั น้ี 1.ให้สถานศึกษาในทุกสงั กัดจดั ทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบคุ คล โดยให้สอดคล้องกับความ ต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการ และต้องมีการปรับปรุงแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลอย่าง น้อยปีละหน่งึ ครง้ั ตามหลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารที่กาหนดในประกาศกระทรวง 2.สถานศึกษาในทุกสังกัดและศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการอาจจัดการศึกษาสาหรับคน พิการทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งการเรียนร่วม การจัดการ ศึกษาเฉพาะความพิการ รวมถึงการให้บริการฟ้ืนฟูสมรรถภาพ การพัฒนาศักยภาพในการดารงชีวิต อสิ ระการพฒั นาทกั ษะพ้นื ฐานท่จี าเป็น การฝึกอาชีพ หรือการบรกิ ารอน่ื ใด 3.ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดสภาพแวดล้อม ระบบสนับสนุนการเรียนการสอน ตลอดจน บริการเทคโนโลยี ส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ที่คน พิการสามารถเขา้ ถงึ และใช้ประโยชนไ์ ด้
4.ให้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในทุกสังกัด มีหน้าที่รับคนพิการเข้าศึกษาในสัดส่วนหรือ จานวนที่เหมาะสม ทั้งนี้ ใหเ้ ป็นไปตามหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารทค่ี ณะกรรมการกาหนด 5.สถานศกึ ษาใดปฏเิ สธไมร่ ับคนพกิ ารเข้าศึกษา ใหถ้ อื เปน็ การเลอื กปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตาม กฎหมาย 6.ให้สถานศึกษาหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนผู้ดูแลคนพิการและประสานความร่วมมือ จากชุมชนหรือนักวิชาชีพเพ่ือให้คนพิการได้รับการศึกษาทุกระดับ หรือบริการทางการศึกษาท่ี สอดคล้องกบั ความต้องการจาเปน็ พิเศษของคนพกิ าร หมวด 1 มาตรา 9 ได้กล่าวถึงการจัดสรรงบประมาณ สาหรับการส่งเสริมการจัดการศึกษา สาหรบั คนพิการทางการศกึ ษา ดังนี้ 1.ให้รัฐจัดเงินอุดหนุนเพื่อส่งเสริมการวิจัยพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีท่ีเกี่ยวข้อง และ การพัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและความสามารถในการจัด การศกึ ษาสาหรบั คนพกิ าร 2.ให้รัฐจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรทางการศึกษาอ่ืนเป็นพิเศษให้เหมาะสม และ สอดคลอ้ งกับความต้องการจาเปน็ พิเศษของคนพิการและสถานศกึ ษาท่จี ดั การศึกษาสาหรับคนพกิ าร หมวด 1 มาตรา 10 ได้กลา่ วถงึ หน้าท่ขี องหน่วยงานทีเ่ กย่ี วขอ้ ง ดังนี้ เพ่อื ประโยชน์ในการจดั การศึกษาสาหรับคนพิการ ให้ราชการส่วนท้องถนิ่ ออกข้อบัญญัติ เทศ บัญญัติ ข้อกาหนด ระเบียบหรอื ประกาศ แล้วแตก่ รณี ให้เป็นไปตามพระราชบัญญตั ินี้ หมวด 2 มาตรา 18 ได้กล่าวถึงหน้าที่ของหน่วยงานที่เก่ียวข้องในการส่งเสริมการศึกษา สาหรับผู้พกิ ารทางการศึกษา ดังนี้ ให้สานักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษในสานักงานคณะกรรมการ การศึกษาข้ันพนื้ ฐานทาหน้าท่ี เกี่ยวกับงานเลขานกุ ารของคณะกรรมการ รวมทงั้ ใหม้ ีหนา้ ทด่ี ังตอ่ ไปนี้ 1. ส่งเสริม สนับสนุน และประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ ใน สถานศึกษา รวมทั้งประเมินและรายงานผลตอ่ คณะกรรมการ
2.สนับสนุนให้สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาจัดการเรียนร่วมแก่คนพิการในเขต พ้ืนที่ รบั ผดิ ชอบอย่างทวั่ ถึงและมีคณุ ภาพ 3.วจิ ัย และพัฒนาคณุ ภาพการเรยี นการสอนและการเรยี นร้ขู องคนพกิ าร 4.ผลิต วิจัย และพัฒนาเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวกเพื่อการจัดการศึกษา สาหรับคน พกิ าร 5. ดาเนนิ การเกีย่ วกับการจดั สรรเทคโนโลยีสิง่ อานวยความสะดวก 6. ดาเนินการเกยี่ วกบั งานธรุ การของกองทุน 7. ส่งเสริมสนับสนุนให้หน่วยงานทางการศึกษาสามารถผลติ และพฒั นาเทคโนโลยี สิ่งอานวย ความสะดวกเพื่อการจดั การศกึ ษาสาหรบั คนพิการ 8. ประสาน ส่งเสริม สนับสนุน การจดั การศึกษาของสถานศึกษาเอกชน องค์กร ปกครองสว่ น ท้องถิ่น รวมท้ังบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถาน ประกอบการ และสถาบันอ่นื ท่จี ดั การศกึ ษาสาหรบั คนพกิ าร 9. ประสานและส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ ให้สามารถจัดการศึกษา สาหรับคนพกิ าร ให้สอดคลอ้ งกับนโยบายและมาตรฐานการศกึ ษา 10.ให้สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานสนับสนุน กากับ ดูแล ให้สานัก บรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษปฏิบัตหิ นา้ ทีใ่ ห้เปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพและประสิทธิผล 11.ให้ผ้อู านวยการสานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ เปน็ ผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบ ในการ ปฏิบัติราชการของสานักบริหารงานการศึกษาพิเศษให้เป็นไปตามนโยบาย แนวทาง และ แผนปฏิบัติ ราชการของกระทรวงและสานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน หมวด 2 มาตรา 19 กลา่ วถงึ บทบาทของสานักงานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษา ดงั นี้ มาตรา 19 ให้สานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา มีหน้าท่ีดาเนินการจัดการศึกษา โดยเฉพาะการ จัดการเรียนร่วม การนิเทศ กากับ ติดตาม เพื่อให้คนพิการได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง และมีคุณภาพ ตามที่กฎหมายกาหนด เพื่อให้การดาเนินการบรรลุวัตถุประสงค์ตามวรรคหนึ่ง ให้สานักงาน คณะกรรมการ การศึกษาขั้นพ้ืนฐานให้การสนับสนุนทรัพยากร องค์ความรู้และบุคลากรท่ีมีความ เช่ยี วชาญเฉพาะดา้ นแกส่ านักงานเขตพื้นที่การศกึ ษา
หมวด 2 มาตรา 20 ให้สถานศึกษาเฉพาะความพกิ ารของรัฐมีหน้าท่ีจัดการศึกษาตาม ภารกิจ แกค่ นพิการ โดยมฐี านะเปน็ นติ ิบคุ ค หมวด 3 มาตรา 21 กล่าวถึง การจัดตั้งกองทุนสาหรับส่งเสริมการศึกษาสาหรับผู้พิการทาง การศกึ ษาดังน้ี มาตรา 21 ให้จัดตั้งกองทุนข้ึน เรียกว่า “กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษา สาหรับคน พิการ” ในสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐานเพื่อใช้จ่ายในการส่งเสริมสนับสนุน และ พฒั นาการศกึ ษาสาหรับคนพิการอยา่ งเป็นธรรมและทัว่ ถงึ โดยกองทนุ ประกอบดว้ ย 1. เงินและทรัพย์สินท่ีโอนมาจากเงินกองทุนการศึกษาสาหรับคนพิการตามระเบียบ กระทรวงศึกษาธิการวา่ ดว้ ยกองทุนการศึกษาสาหรบั คนพิการ พ.ศ. 2546 2. เงินอุดหนนุ จากรฐั บาล 3. เงนิ อดุ หนุนจากองค์กรปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ 4. เงินรายได้ทไี่ ดจ้ ากการออกสลากหรอื การจัดกจิ กรรม 5. ดอกผลและผลประโยชน์ท่เี กดิ จากเงินหรอื ทรพั ย์สนิ ของกองทนุ 6. เงินหรือทรัพยส์ ินทีม่ ผี บู้ ริจาคหรอื มอบให้ 7. รายได้บางส่วนจากภาษีของสินค้าและบริการที่เป็นสาเหตุแห่งความพิการตามท่ี กฎหมาย กาหนด 2.4 มาตรฐานการศกึ ษาพิเศษขั้นพ้ืนฐาน นโยบายการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ (กระทรวงศึกษาธิการ,2564) ตระหนักถงึ ความสาคัญของยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนา และเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต การสร้าง สภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพมนุษย์ทุกช่วงวัย เพ่ือพัฒนาการเรียนรู้ที่ ตอบสนองต่อการเปล่ียนแปลงในศตวรรษท่ี 21 และพหุปัญญาของมนุษย์ท่ีหลากหลาย ซ่ึงผู้เรียนที่มี ความต้องการพิเศษ ต้องได้รับการศึกษาที่จัดโดยเฉพาะ มีหลักสูตรที่ยืดหยุ่น มีสื่อการเรียนการสอน และวธิ กี ารวดั และประเมินท่ีเหมาะสมกับผ้เู รยี น
นโยบายการจดั การศึกษาของกระทรวงศึกษาธกิ าร ปีงบประมาณ พ.ศ.2564-2565 (กระทรวง ศึกษาธกิ า,2564) ที่สอดคล้องและชว่ ยเพม่ิ โอกาสให้กับผเู้ รยี นทมี่ คี วามต้องการพเิ ศษ สามารถเข้าถึง การศึกษาทีม่ คี ุณภาพ ดังนี้ 1.การปรบั ปรงุ หลกั สูตรและกระบวนการเรยี นรใู้ หท้ นั สมยั และทนั การเปลย่ี นแปลงของโลกใน ศตวรรษที่ 21 โดยม่งุ พฒั นาผูเ้ รียนทกุ ระดับการศกึ ษาใหม้ คี วามรู้ ทกั ษะและคุณลักษณะ ท่ีเหมาะสม กบั บริบทสังคมไทย 2.การพัฒนาคณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพครแู ละอาจารย์ ในระดบั การศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานและ อาชวี ศกึ ษาให้มสี มรรถนะทางภาษาและดิจิทลั เพื่อให้ครแู ละอาจารย์ไดร้ บั การพัฒนาใหม้ ีสมรรถนะ ท้งั ด้านการจดั การเรียนรดู้ ้วยภาษาและดิจิทลั สามารถปรบั วิธกี ารเรยี นการสอนและการใชส้ ื่อทันสมัย และมีความรับผิดชอบตอ่ ผลลัพธท์ างการศกึ ษาท่ีเกดิ กบั ผเู้ รยี น 3.การปฏริ ูปการเรยี นรดู้ ว้ ยดจิ ทิ ัล ผ่านแพลตฟอร์มการเรยี นรู้ดว้ ยดิจิทัลแห่งชาติ (NDLP) และ การส่งเสรมิ การฝึกทกั ษะดจิ ทิ ลั ในชวี ิตประจาวัน เพ่ือใหม้ หี นว่ ยงานรบั ผิดชอบพัฒนาแพลตฟอร์มการ เรยี นร้ดู ว้ ยดจิ ิทลั แห่งชาติ ที่สามารถนาไปใช้ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ทท่ี นั สมัย และเขา้ ถงึ แหล่ง เรยี นรไู้ ด้อยา่ งกวา้ งขวางผ่านระบบออนไลน์ และการนาฐานขอ้ มลู กลางทางการศึกษา มาใช้ประโยชน์ ในการพฒั นาประสิทธภิ าพการบริหารและการจัดการศกึ ษา 4.การพัฒนาประสิทธภิ าพการบริหารและการจัดการศึกษา โดยการส่งเสรมิ สนับสนนุ สถานศึกษาให้มีความเปน็ อิสระและคลอ่ งตัว การกระจายอานาจการบริหารและการจัดการศึกษาโดย ใชจ้ ังหวัดเป็นฐาน โดยอาศัยอานาจตามกฎหมายการศึกษาแหง่ ชาตทิ ่ไี ดร้ ับการปรบั ปรงุ เพ่อื กาหนดให้ มีระบบบริหารและการจดั การ รวมถงึ การจัดโครงสร้างหนว่ ยงานให้เอื้อต่อการจัดการเรยี นการสอนให้ มีคุณภาพ สถานศกึ ษาให้มีความเปน็ อสิ ระและคล่องตัว การบรหิ ารและการจดั การศึกษาโดยใช้ จงั หวดั เป็นฐาน มีระบบการบริหารงานบคุ คลโดยยดึ หลักธรรมาภบิ าล 5.การปรบั ระบบการประเมนิ ผลการศึกษาและการประกนั คุณภาพ พรอ้ มจดั ทดสอบวดั ความรู้ และทกั ษะที่จาเปน็ ในการศึกษาตอ่ ระดับอดุ มศึกษาทัง้ สายวิชาการและสายวชิ าชพี เพือ่ ใหร้ ะบบการ
ประเมนิ ผลการศึกษาทกุ ระดบั และระบบการประกันคุณภาพการศึกษา ไดร้ ับการปรบั ปรงุ ให้ทันสมยั ตอบสนองผลลัพธท์ างการศกึ ษาได้อยา่ งเหมาะสม 6.การจัดสรรและการกระจายทรัพยากรใหท้ ่ัวถงึ ทกุ กล่มุ เป้าหมาย รวมถึงการระดมทรพั ยากร ทางการศกึ ษาจากความรว่ มมือทุกภาคส่วน เพอ่ื ใหก้ ารจดั สรรทรพั ยากรทางการศกึ ษามคี วามเปน็ ธรรมและสรา้ งโอกาสให้กล่มุ เปา้ หมายได้เข้าถงึ การศึกษาทม่ี ีคณุ ภาพทดั เทยี มกล่มุ อื่น ๆ กระจาย ทรัพยากรท้งั บุคลากรทางการศกึ ษา งบประมาณและสื่อเทคโนโลยไี ดอ้ ยา่ งทั่วถงึ 7.การนากรอบคุณวุฒแิ ห่งชาติ National Qualifications Framework (NQF) และกรอบ คณุ วฒุ ิอ้างอิงอาเซียน ASEAN Qualification Reference Framework (AQRF) สูก่ าร ปฏบิ ตั ิ เป็นการผลิตและการพัฒนากาลังคนเพอื่ การพฒั นาประเทศ โดยใชก้ รอบคุณวุฒแิ หง่ ชาติ เชือ่ มโยงระบบการศกึ ษาและการอาชพี โดยใช้กลไกการเทียบโอนประสบการณด์ ้วยธนาคารหน่วยกติ และการจัดทามาตรฐานอาชีพในสาขาท่สี ามารถอ้างอิงอาเซยี นได้ 8.การพฒั นาเด็กปฐมวยั ใหไ้ ดร้ ับการดแู ลและพฒั นากอ่ นเขา้ รบั การศกึ ษาเพ่อื พัฒนาร่างกาย จติ ใจ วนิ ัย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ัญญาใหส้ มกับวยั เพื่อเปน็ การขบั เคลอื่ นแผนบรู ณาการ การ พฒั นาเดก็ ปฐมวัยตามพระราชบญั ญัตกิ ารพฒั นาเดก็ ปฐมวยั พ.ศ. 2562 ส่กู ารปฏิบัตเิ ป็นรปู ธรรม โดยหน่วยงานทีเ่ กีย่ วขอ้ งนาไปเปน็ กรอบในการจัดทาแผนปฏิบตั ิการเพอื่ พฒั นาเดก็ ปฐมวัย และมกี าร ตดิ ตามความก้าวหน้าเปน็ ระยะ 9.การศกึ ษาเพื่ออาชพี และสร้างขีดความสามารถในการแขง่ ขนั ของประเทศ เพ่ือให้ผจู้ บ การศกึ ษาระดับปรญิ ญาและอาชวี ศกึ ษามอี าชีพและรายได้ที่เหมาะสมกับการดารงชีพและคุณภาพ ชีวติ ท่ดี ี มสี ว่ นช่วยเพ่มิ ขดี ความสามารถในการแข่งขันในเวทโี ลกได้ 10.การพลกิ โฉมระบบการศึกษาไทย ด้วยการนานวัตกรรมและเทคโนโลยที ี่ทันสมยั มาใช้ในการ จดั การศึกษาทกุ ระดับการศึกษา เพื่อใหส้ ถาบันการศกึ ษาทกุ แห่งนานวัตกรรมและเทคโนโลยที ่ี ทนั สมัยมาใชใ้ นการจัดการศึกษาผ่านระบบดิจทิ ลั
11.การเพมิ่ โอกาสและการเขา้ ถงึ การศกึ ษาท่ีมคี ณุ ภาพของกลุ่มผู้ดอ้ ยโอกาสทาง การศึกษา และผเู้ รยี นทม่ี คี วามตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ เพอ่ื เพิ่มโอกาสและการเขา้ ถึงการศกึ ษาท่ีมี คุณภาพของกลุ่มผดู้ อ้ ยโอกาสทางการศึกษา และผูเ้ รียนทีม่ ีความต้องการจาเป็นพเิ ศษ 12.การจดั การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศยั โดยยึดหลกั การเรียนรตู้ ลอดชีวติ และการมสี ่วนรว่ มของผมู้ สี ่วนเกี่ยวข้อง เพื่อเพ่ิมโอกาสและการเขา้ ถงึ การศึกษาทม่ี คี ุณภาพของกลุม่ ผู้ดอ้ ยโอกาสทางการศกึ ษาและผ้เู รียนที่มีความตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ นโยบายระยะเรง่ ดว่ น (Quick Win) ของกระทรวงศึกษาธิการ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2564) 1.ความปลอดภยั ของผู้เรยี น โดยจัดให้มรี ูปแบบ วธิ กี าร หรือกระบวนการในการดูแลช่วยเหลือ นกั เรยี น เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้อยา่ งมีคุณภาพ มคี วามสขุ และได้รับการปกป้องคุ้มครองความ ปลอดภยั ทงั้ ด้านรา่ งกายและจิตใจ รวมถึงการสร้างทักษะใหผ้ ู้เรียนมคี วามสามารถในการดแู ลตนเอง จากภัยอนั ตรายต่าง ๆ ท่ามกลางสภาพแวดลอ้ มทางสังคม 2.หลักสตู รฐานสมรรถนะ ม่งุ เนน้ การจดั การเรยี นรูท้ ห่ี ลากหลายโดยยดึ ความสามารถของผู้เรียน เปน็ หลัก และพัฒนาผูเ้ รียนใหเ้ กดิ สมรรถนะทต่ี อ้ งการ 3.ฐานขอ้ มลู Big Data ม่งุ พฒั นาการจัดเก็บข้อมูลอย่างเปน็ ระบบและไมซ่ า้ ซอ้ น เพอ่ื ใหไ้ ด้ ข้อมลู ภาพรวมการศกึ ษาของประเทศท่ีมคี วามครบถว้ น สมบรู ณ์ ถูกตอ้ งเปน็ ปัจจุบนั และสามารถ นามาใช้ประโยชนไ์ ดอ้ ย่างแทจ้ รงิ 4.ขับเคลื่อนศนู ยค์ วามเปน็ เลิศทางการอาชวี ศึกษา (Excellent Center) สนับสนนุ การ ดาเนนิ งานของศูนย์ความเป็นเลศิ ทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) ตามความเป็นเลศิ ของแต่ ละสถานศกึ ษาและตามบรบิ ทของพืน้ ที่ สอดคล้องกบั ความตอ้ งการของประเทศทั้งในปัจจบุ ันและ อนาคต ตลอดจนมกี ารจัดการเรียนการสอนดว้ ยเคร่อื งมอื ทท่ี ันสมยั สอดคลอ้ งกับเทคโนโลยีปัจจุบัน 5.พฒั นาทักษะทางอาชีพ ส่งเสริมการจัดการศกึ ษาทีเ่ นน้ พัฒนาทกั ษะอาชพี ของผเู้ รยี น เพื่อ พฒั นาคุณภาพชวี ติ สรา้ งอาชีพและรายไดท้ เ่ี หมาะสม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศ
6.การศึกษาตลอดชีวติ การจัดเรียนรตู้ ลอดชวี ติ สาหรับประชาชนทุกช่วงวยั ใหม้ ีคุณภาพและ มาตรฐาน ประชาชนในแต่ละช่วงวัยไดร้ บั การศึกษาตามความตอ้ งการอยา่ งมมี าตรฐาน เหมาะสมและ เต็มตามศกั ยภาพตงั้ แต่วยั เดก็ จนถึงวัยชรา และพฒั นาหลกั สูตรทีเ่ หมาะสมเพื่อเตรียม ความพร้อมใน การเข้าสู่สงั คมผู้สงู วยั 7.การจัดการศกึ ษาสาหรบั ผู้ทม่ี ีความตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษ สง่ เสริมการจัดการศกึ ษาให้ผูท้ ี่มี ความต้องการจาเปน็ พิเศษไดร้ ับการพัฒนาอย่างเต็มศกั ยภาพ สามารถดารงชวี ิตในสังคมอยา่ งมีเกียรติ ศักด์ิศรีเท่าเทียมกบั ผ้อู ่นื ในสงั คม สามารถช่วยเหลอื ตนเอง และมสี ว่ นรว่ มในการพฒั นาประเทศ จัดทาแผนการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ ฉบับท่ี 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) เพื่อเป็นแผน แม่บท สาหรับหน่วยงานและองค์กรเครือข่ายนาไปใช้เป็นกรอบทิศทางการพัฒนาการจัดการศึกษา สาหรับคนพิการ ตามบทบาทภารกิจ ทั้งด้านปริมาณ จานวนคนพิการได้รับการศึกษาในระดับ การศึกษาท่ีสูงขึ้น โดยเฉพาะระดับอาชีวศึกษาและ อุดมศึกษา ส่งผลให้คนพิการมีงานทาเพิ่มมากขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้ ด้านคุณภาพ คนพิการได้รับการคัดกรอง การฟื้นฟูสมรรถภาพ และได้รับ การให้บริการช่วยเหลือระยะ แรกเริ่ม มีการพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาท่ีหลากหลายทั้งในระบบ นอกระบบ ตามอธั ยาศัย และการศึกษาทางเลอื ก โดยเฉพาะศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ ส่งเสริม สนับสนุนการจัด การศึกษาสาหรับบุคคลท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษในรูปแบบการเรียนรวม กระจายในทุกสานักงาน เขตพื้นที่การศึกษา เพื่อรองรับคนพิการทุกคนให้ได้รับสิทธิและโอกาสใน การศึกษาอย่างเสมอภาคกัน ด้านประสิทธิภาพ หน่วยงานท่ีจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ ส่งเสริม และกากับดูแลการศึกษาทุกระดับและทุกประเภท กาหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา ติดตาม ตรวจสอบ และ ประเมินการจัดการศึกษา เพื่อให้ทุกคน ได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพ สามารถ ประกอบอาชีพ และอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุข รวมทั้งการ จัดการศึกษาสาหรับคนพิการทุกประเภท ครอบคลุมจานวนคนพิการทั้ง 9 ประเภทความพิการ ตาม ประกาศกระทรวงศึกษาธกิ าร (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2564) กระทรวงศึกษาธิการได้กาหนดให้สถานศึกษาจัดการศึกษา โดยยืดถือมาตราฐานการศึกษา พิเศษขั้นพื้นฐานท่ีจัดให้สาหรับบุคคลที่มีความพิการ อุดมการณ์ของการจัดการศึกษาพิเศษขั้น พ้ืนฐาน คือ การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลซ่ึงมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์
สังคม การสื่อสาร และการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่ง ไม่สามารถ พ่ึงตนเองได้ บุคคลดังกล่าวข้างต้นมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานเป็นพิเศษต้ังแต่ แรก เกิดหรือแรกพบความพกิ าร จงึ มุ่งเน้นการจดั การศึกษาให้ผู้ที่มีความต้องการพิเศษ มีคุณลักษณะที่พึง ประสงค์และมีรากฐานท่ีดีในการพัฒนาตนเอง เพ่ือเป็นพลเมืองที่ดีของไทยและของโลก สามารถ ดารงชีวิตไดอ้ ย่างมคี วามสขุ และสามารถประกอบอาชพี ไดต้ ามศกั ยภาพของตน หลกั การสาคัญของการจัดการศกึ ษาพิเศษขน้ั พื้นฐาน ท่กี ระทรวงศกึ ษาได้กาหนดไว้ ไดแ้ ก่ 1.กาหนดแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program: IEP) เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้ครอบคลุมท้ังด้าน ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม ให้เต็มตาม ศกั ยภาพและสอดคล้องกบั ความต้องการจาเป็นพิเศษของูผเ้ รียนแต่ละบคุ คล 2. พัฒนาผู้เรียนให้มีความสานึกในความเป็นไทย มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ มีความรู้และ ทกั ษะท่จี าเป็นตอ่ การดารงชวี ติ 3.ให้ความเสมอภาคทางการศึกษา โดยทุกคนมีสิทธไิ ด้รับการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน ไม่น้อยกว่า 12 ปี 4.สง่ เสริมการมีส่วนร่วมของหน่วยงานตา่ งๆในการบริหารจดั การศึกษาขนั้ พืน้ ฐานสาหรับผูท้ ่ีมี ความต้องการพิเศษ 5.จัดการศึกษาให้สอดคล้องกับนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาตพิ .ศ.2542และท่ีแก้ไขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ท่ี2) พ.ศ. 2545 และ(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 พระราชบัญญัติส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพชวี ติ คนพิการ พ.ศ. 2560
2.5.นโยบายและยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาด้านการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา และการเรียนรู้ของคนไทย กระทรวงศึกษาธิการ โดยสานกั บรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษา ข้ันพื้นฐาน จัดทาแผนการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ ฉบับที่ 3 (พ.ศ. 2560 – 2564) เพื่อใช้เป็น กรอบทิศทางการพัฒนาการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ เป็นเป้าหมายในการให้หน่วยงานและ องค์กรเครือข่ายนาไป ดาเนินงานด้านการศึกษาสาหรับผู้เรียนท่ีมีความต้องการพิเศษ ตามกฎ ระเบยี บและนโยบายท่เี ก่ียวข้อง 1. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ.2553 ได้ระบุตามความในมาตรา 8 (2) ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษา มาตรา 9 (5) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่าง ๆ มาใช้ในการจัดการศึกษา มาตรา 9(6) การมี ส่วนร่วม ของบคุ คล ครอบครัว ชุมชน องค์กรชมุ ชน องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่น และมาตรา 10 วรรคสอง และ วรรคสาม ระบุว่า “การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การส่ือสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพหรือบุคคลซึ่งไม่ สามารถพ่ึงตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับ การศึกษาข้ันพ้ืนฐานเป็นพิเศษ ต้ังแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและให้บุคคล ดังกล่าวมีสิทธิ ได้รับส่ิงอ านวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ตาม หลกั เกณฑ์และวธิ ีการ ที่กาหนดในกฎกระทรวง” 2. พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 มีสาระสาคัญ คอื ให้คนพิการได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายต้ังแตแ่ รกเกดิ หรือพบ ความพิการ จนตลอดชีวิตสามารถได้รับเทคโนโลยี สิ่งอ านวยความสะดวก ส่ือ บริการและความ ช่วยเหลืออ่ืนใด ทางการศึกษา พร้อมทั้ง เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบ การศึกษา โดยคานึงถึง ความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจาเป็นพิเศษของ บุคคลน้ัน ผ่านการศึกษาท่ีมีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา รวมท้ังการจัดหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การทดสอบ ทางการศึกษา ท่ีเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจจาเป็นพิเศษ ของคนพิการแต่ละประเภทและบคุ คล
3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) ได้ก าหนดยุทธศาสตร์ท่ี 2 การสร้างความเป็นธรรมลดความเหล่อื มล้าในสังคม มุ่งเนน้ การลดความเหล่ือมล้าในทุกมิติเพ่ือสร้างความปรองดองในสังคม การสร้างโอกาสให้ทุกคนใน สังคมไทยสามารถเข้าถึงทรัพยากร แหลง่ ทุนในการประกอบอาชีพ เพ่อื ยกระดบั รายได้และขับเคลื่อน เศรษฐกิจฐานราก โดยในส่วนคนพิการ เน้นการสร้างโอกาสการเข้าถึงการศึกษาท่ีมีคุณภาพอย่าง ต่อเน่ือง โดยไม่ถูกจากัดศักยภาพจากสภาพครอบครัว พ้ืนที่ และสภาพร่างกาย ซ่ึงกลไกในการ ขบั เคลอ่ื นยุทธศาสตร์ ดังกลา่ วนั้น คอื รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ทไี่ ด้ระบุ ถึงหน้าท่ีของรัฐ ในการลดความเหล่ือมล้าและกาหนดสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ซึ่งครอบคลุม ถึงการใหค้ นพิการ ไดร้ ับความชว่ ยเหลือให้สามารถด ารงชีวติ ไดอ้ ย่างมีคุณภาพ และคุม้ ครองป้องกนั มิ ให้บุคคลดงั กลา่ ว ถูกใชค้ วามรุนแรงหรือปฏบิ ตั ิอยา่ งไม่เป็นธรรม 4. ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 – 2579) กาหนดวิสัยทัศน์“ประเทศมี ความ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” นาไปสู่การพัฒนาให้คนไทยมีความสุข และตอบสนองต่อการบรรลุซึ่งผลประโยชน์แห่งชาติ ในการที่ จะพัฒนา คุณภาพชีวิต สร้างรายได้ระดับสูง เป็นประเทศพัฒนาแล้ว และสร้างความสุขของคนไทย สงั คมมีความมั่นคง เสมอภาคและเป็นธรรม ประเทศสามารถแขง่ ขันได้ในระบบเศรษฐกิจ โดยอนาคต ประเทศไทย ปี2579 คนไทยในอนาคต มีศักยภาพในการร่วมกันพัฒนาประเทศ สามารถปรับตัว รองรับบริบทการพัฒนาใน อนาคต มีความพร้อมท้งั กาย ใจ สตปิ ัญญา มีทักษะในการวเิ คราะห์อยา่ งมี เหตุผล มีการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง มีจิตสานึกวัฒนธรรมท่ีดีงาม รู้คุณค่า ความเป็นไทย และมีความรับผิดชอบ เป็นรากฐานที่ม่ันคงของชุมชนสังคม รักชาติ และสถาบัน พระมหากษัตริย์ และสังคมไทยเป็นสังคมที่เป็นธรรม มีความเหล่ือมล้าน้อย อัตราความยากจนลดลง มีการกระจายโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรการสร้างฐานอาชีพ บริการทางสังคมที่มีคุณภาพ และ กระบวนการยุติธรรมอย่างทั่วถึง ไม่คอรัปชั่น โดยท่ีประชาชน ทุกช่วงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดี ครอบครัว อย่ดู ีมีสุข 5. ทิศทางแผนการศึกษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2560 – 2579) ที่กาหนดจุดมุ่งหมายของ การจดั การ ศึกษา ให้การศึกษาเป็นเคร่ืองมือ/กลไกในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความเป็นพลเมือง มีทักษะ ความรู้ความสามารถ และสมรรถนะในการปฏิบัติงานท่ีตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงาน และการพัฒนาประเทศ และดารงชีวิตในสังคมอย่างเป็นสุข โดยเน้นการเพ่ิมโอกาสและความเสมอ
ภาค ในการเข้าถึงบริการทางการศึกษาท่ีมีคุณภาพและมาตรฐาน เพ่ือพัฒนาขีดความสามารถให้เต็ม ตาม ศกั ยภาพทม่ี ีอยู่ในตัวตนของแตล่ ะบคุ คล 6. พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2556 และกฎกระทรวงอื่นๆ ที่เก่ียวข้อง ส่งเสริมให้คนพิการได้รับโอกาส สิทธิ การ สงเคราะห์ การพฒั นา การจ้างงานและการฟ้ืนฟสู มรรถภาพคนพกิ าร ฯลฯ 7. กฎกระทรวงกาหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ จาก ข้อมูลข่าวสาร การสือ่ สาร บริการโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เทคโนโลยี ส่ิงอ านวยความสะดวกเพอื่ การส่อื สาร และบริการสอ่ื สาธารณะ สาหรบั คนพิการ พ.ศ.2554 8. กฎกระทรวง กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้คนพิการมีสิทธิได้รับส่ิงอานวยความสะดวก สอื่ บรกิ าร และความชว่ ยเหลืออนื่ ใดทางการศึกษา พ.ศ.2550 9. ปฏญิ ญาสากลว่าดว้ ยสิทธิมนุษยชน เปน็ กฎบัตรท่ีแสดงถงึ ความเชื่อมั่นในสิทธิมนษุ ยชน ขน้ั พ้ืนฐานในศักด์ิศรี คุณค่าตัวบุคคลและในความเสมอภาคแห่งสิทธิของทั้งชายและหญิง ส่งเสริม ความก้าวหน้าทางสงั คม ตลอดจนมาตรฐานแหง่ ชาตใิ ห้ดีขึ้น มีเสรีภาพมากขนึ้ 10. ปฏิญญาว่าดว้ ยสทิ ธิคนพิการไทย พ.ศ.2541 รัฐบาลไทยได้ตระหนักถึงสิทธิของ คนพกิ าร ไทยโดยผู้แทนจากองค์กรท่ีเกี่ยวข้องกับคนพกิ ารทั้งภาครัฐและเอกชน และองค์กรคนพิการได้ร่วมกัน จัดทาปฏิญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการไทย ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 10 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2541 มีสาระทส่ี าคญั เกย่ี วขอ้ งกบั การศึกษาสาหรบั คนพกิ าร ดังนี้ 10.1 คนพิการ มีศักด์ิศรีแห่งความเป็นมนุษย์ มีสิทธิและเสรีภาพแห่งบุคคล ย่อมได้รับ ความคุม้ ครองในฐานะพลเมอื งไทยตามรัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทยและมสี ิทธิตา่ ง ๆ ตามท่ีระบุ ไว้ ภายใต้ปฏิญญาฉบับน้ี โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ และปราศจากการแบ่งแยกเช้ือชาติ ศาสนา การเมอื ง ภาษา ถิน่ ก าเนิด เพศ อายุ หรือสถานะอ่นื ใด 10.2 คนพิการ มีสิทธแิ สดงความคดิ เห็น และมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมทางการเมือง 10.3 คนพิการ มีสิทธิเข้าร่วมในการตัดสินใจกาหนดนโยบายและแผนงานทุกด้าน ที่ เก่ียวกบั คนพิการทั้งในระดบั ชาติและระดับทอ้ งถน่ิ 10.4 คนพิการ มีสิทธิได้รับการดูแลฟ้ืนฟูสมรรถภาพและพัฒนาต้ังแต่แรกเกิด และ แรกเริ่มท่ีพบความพิการ รวมทั้งผู้ปกครองและครอบครัวของคนพิการต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐ
ในทุกด้านเพ่ือให้สามารถฟ้ืนฟูสมรรถภาพและพัฒนาคนพิการอย่างเต็มตามศักยภาพ และสอดคล้อง กบั ความตอ้ งการของแตล่ ะบุคคล 10.5 คนพิการ มีสิทธิได้รับบริการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อให้สามารถด ารงชีวิตอย่างอิสระ ได้ดว้ ยตนเองอย่างเต็มศักยภาพของแต่ละบคุ คล 10.6 คนพิการ มีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาอย่างมีคุณภาพในทุกระดับทุกรูปแบบ ของการจัดการศึกษาตามความต้องการของคนพิการอย่างเท่าเทียมกับบุคคลท่ัวไป ท้ังการศึกษาใน ระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศยั เพ่ือการส่งเสรมิ การศึกษาอย่างตอ่ เน่ืองตลอด ชวี ติ โดยไม่มกี ารจากดั กีดกนั เลอื กปฏบิ ัติ หรอื ข้อยกเว้นใด ๆ 10.7 คนพกิ าร มสี ทิ ธิและโอกาสได้รบั การเตรยี มความพร้อมดา้ นอาชีพ การฝกึ อาชพี การ ประกอบอาชีพ ทุกประเภท ได้รับการจ้างงานหรือว่าจ้างเข้าทางานตามความต้องการและ ความสามารถ โดยไดร้ บั คา่ ตอบแทน และสวัสดิการ ได้รับความก้าวหน้า รวมทั้งได้เข้ารว่ มเปน็ สมาชิก สหภาพแรงงานโดย ไม่มีการกดี กันหรือเลือกปฏบิ ตั ิ 10.8 คนพิการ มสี ิทธิไดร้ บั การปกป้องคมุ้ ครองจากการถกู คุกคามทางเพศ ทาร้ายร่างกาย และจิตใจ กักขัง เอารัดเอาเปรียบ หรือการแสวงหาประโยชน์ใด ๆ จากความพิการ ท้ังนี้ให้ได้รับ ความชว่ ยเหลือทางดา้ นกฎหมายเชน่ เดยี วกบั บคุ คลทว่ั ไป 10.9 คนพิการ มีสิทธิอยู่ร่วมกับครอบครัว ชุมชนของตน และมีส่วนร่วมอย่างเต็มท่ี ใน กิจกรรมของครอบครัว ชมุ ชน และสงั คม 10.10 คนพิการ มีสิทธิได้รับส่ิงอานวยความสะดวก บริการ และความช่วยเหลือจากรัฐ เพื่อใหส้ ามารถดารงชีวติ อยใู่ นสงั คมได้เช่นเดยี วกับบคุ คลท่วั ไป 10.11 คนพิการ มีสิทธิได้รับการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้ครอบครัว ชุมชน และ สงั คมไดร้ ับรแู้ ละเข้าใจคนพิการในทางสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในเร่อื งสิทธิ ศักยภาพ และความสามารถ รวมทง้ั การบาเพ็ญประโยชนข์ องคนพกิ าร 10.12 คนพิการ มีสิทธิได้รับและเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสิทธิ ของคนพิการ ท้ังนี้ ต้องได้รับการสนับสนุนให้มีส่ือทุกประเภทที่เหมาะสมกับความพิการ รวมท้ังต้อง จัดให้มี ลา่ มภาษามอื อกั ษรเบรลล์ สื่ออิเลก็ โทรนกิ ส์ หรอื อปุ กรณ์พเิ ศษอื่น ๆ ที่ใชใ้ นการสอ่ื สาร 10.13 คนพิการ และครอบครัว ชุมชน สังคม มีสิทธิได้รับและเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เพื่อ ทราบถงึ สิทธิอนั ระบุไว้ในปฏญิ ญาฉบบั นโ้ี ดยท่ัวถึง
10.14 รัฐตอ้ งให้ความสาคัญและปฏิบัติตามพันธสัญญาที่เกี่ยวข้องกับคนพกิ าร ซงึ่ ลงนาม หรอื ตกลงร่วมกันในระดบั ประเทศ และระดับนานาชาติ 11. แผนปฏิบตั ิการระดับโลกดา้ นคนพกิ าร มีวาระเพื่อการปฏิบัติและกฎมาตรฐานเกี่ยวกับคน พิการ ซึ่งมีจุดประสงค์เพ่อื พฒั นาคนพิการโดยสง่ เสริมสนับสนุนให้เกิดมาตรการอนั จะเป็นผลดแี กก่ าร ป้องกันความพิการ การรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ ด้วยการตระหนักถึง เป้าหมาย ของการมีโอกาสและการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ของคนพิการในการดารงชีวิตในสังคม ตลอดจนการพัฒนา ความเสมอภาคกับคนทั่วไปให้เป็นจริง จากแนวคิดและแนวทางดังกล่าวจึง กาหนดเปน็ ทศิ ทาง ดังน้ี 11.1 ส่งเสริมให้คนพิการ ครอบครัว ชุมชน และสังคม มีเจตคติเชิงสร้างสรรค์ และมีสว่ น ร่วมในการจดั การศึกษาสาหรับคนพิการทกุ ประเภทในระดับการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน 11.2 เร่งเพิม่ ประสทิ ธิภาพการดาเนินงานการจดั การศกึ ษาพิเศษสาหรบั คนพกิ าร ในระดบั การศึกษาข้ันพืน้ ฐาน และจดั บรกิ ารพฒั นาสมรรถภาพคนพกิ ารในระบบการให้บรกิ ารชว่ ยเหลือ ระยะ แรกเร่ิม (Early Intervention : EI) ตามแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program : IEP) และตามแผนการสอนรายบคุ คล (Individual Implementation Plan : IIP) และให้มีสิทธิได้รับส่ิงอ านวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ตามหลกั เกณฑ์ และวิธกี ารท่กี าหนดในกฎกระทรวง 11.3 ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา รวมท้ังสนับสนุนให้น าผลการวิจัยเป็นเครื่องมือกาหนด แนวทางการดาเนินงานการจดั การศึกษาพเิ ศษสาหรบั คนพิการในทุกระดับ และทุกระบบการศกึ ษา 11.4 เสริมสร้างความเขม้ แขง็ ของสถานศกึ ษาที่จดั การศกึ ษาพิเศษในทกุ ภาคสว่ น พร้อมทงั้ จดั ระบบการสนับสนุนการประสานงานแบบเครอื ขา่ ยขององคก์ รภาครฐั และเอกชนที่เก่ียวขอ้ งกบั คน พกิ ารด้านการศึกษา ด้านการแพทย์ ดา้ นสงั คม และด้านการประกอบอาชีพ เพ่ือให้เกดิ การดาเนนิ งาน การจดั การศึกษาพิเศษสาหรบั คนพกิ ารในทกุ ระดบั และทุกระบบการศกึ ษาอยา่ งบูรณาการ 11.5 พัฒนากองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสาหรับคนพิการเพ่ือสนับสนุนการจัด การศกึ ษาสาหรบั คนพกิ ารในทุกระดับ และทุกระบบการศึกษา
12. ปฏิญญารัฐมนตรีว่าด้วยทศวรรษคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิกพ.ศ. 2556 – 2565 ได้ ให้ความสาคญั กบั ทิศทางนโยบาย ดังตอ่ ไปน้ี 12.1 ลดความยากจนและขยายโอกาสในการทางานและการจา้ งงาน 12.2 สง่ เสรมิ การมีสว่ นรว่ มในกระบวนการทางการเมืองและการตดั สินใจ 12.3 ส่งเสริมการเข้าถึงสภาพแวดล้อมทางกายภาพ การขนส่งสาธารณะ ความรู้ และ การสอื่ สาร 12.4 เสริมสร้างความเข้มแข็งการคุม้ ครองทางสงั คม 12.5 ขยายการชว่ ยเหลือในระยะแรกเริม่ และดา้ นการศึกษาใหก้ บั คนพิการ 12.6 ประกันความเท่าเทยี มทางเพศและการเสริมพลงั สตรี 12.7 ประกนั การจัดการและการลดความเสี่ยงจากภัยพบิ ตั สิ าหรับคนพิการ 12.8 ปรบั ปรุงขอ้ มลู ดา้ นคนพิการใหน้ ่าเชื่อถอื และสามารถเปรียบเทียบได้ 12.9 เร่งให้มีการให้สัตยาบันและดาเนินการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการและ การ ปรับกฎหมายในประเทศให้สอดคล้องกับอนุสญั ญา 12.10 พฒั นาความรว่ มมือในระดบั อนุภูมิภาคและระหว่างภูมภิ าค 13. เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) เป็นกรอบ ทิศทางการพัฒนาของโลกภายหลังปี ค.ศ. 2015 (พ.ศ.2558 ) ท่ีองค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ก า ห น ด ต่ อ เ นื่อ ง จา ก เป้ า หม า ย ก า ร พั ฒ นา แห่ ง ส หัส ว ร ร ษ ( Millennium Development Goals : MDGs) ท่ีสิ้นสุดลงเมื่อเดือนสิงหาคม 2558 โดยประเทศสมาชิกทั่วโลกกว่า 113 ประเทศ ได้รับรองเอกสาร “การเปลี่ยนแปลงโลกเพ่ือการพัฒนาอย่างย่ังยืนในปี 2030” ( Transforming Our World : The 2030 Agenda for Sustainable Development) ซ่ึ ง ถื อ เ ป็ น พันธะสัญญาทาง การเมืองในระดับผู้นาเพื่อกาหนดทิศทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลกในอีก 15 ปี ขา้ งหน้า เพอื่ ยืนยัน เจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิกในการแก้ไขปัญหาความยากจนและ ขจัดความเหลอื่ มล้า ในทุกมิติรวมถึงรูปแบบและการบรรลุวาระการพัฒนาท่ียั่งยืน เพอ่ื สานต่อภารกจิ ท่ียังไม่บรรลุผลสาเร็จ ภายใต้เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ ทั้งได้กาหนด 17 เป้าหมาย และ 169 เปา้ ประสงค์ ครอบคลุม ดา้ นเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซ่งึ เปน็ การกระตนุ้ ให้ประเทศต่าง ๆ พัฒนาประเทศเพื่อขจัด ความยากจนความหิวโหย รวมทั้งส่งเสริมสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม
เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม ดูแลสิ่งแวดล้อม พร้อมรับมือต่อการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ อีก ทั้งจดั ท าเนอื้ หาการพฒั นาท่ียัง่ ยืน ให้ครอบคลุมถึงคนทุกกลุ่มโดยยดึ ถือหลักสาคญั ว่า “No one left behind” หรือ “ไม่ท้ิงใครไว้ขา้ งหลัง” ซ่งึ สะท้อนให้เห็นจากการท่ี SDGs มีการผนวกรวมประเด็นคน พกิ ารไวใ้ น 7เปา้ หมาย 8 เปา้ ประสงค์ และ 11 ตวั ช้วี ดั ด้วยกนั และทผี่ ่านมา “การพัฒนาอยา่ งย่งั ยนื ” ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากในกระแส การพัฒนาของสังคมโลก และถูกนามาใช้ในเชิงวาทกรรมท้ัง นโยบายในระดับประเทศไปจนถึงระดับองค์กร โดยในประเทศไทยได้มีการดาเนินงานท่ีสอดรับกับ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน และถือเป็นประเด็นสาคัญท่ี นามาใช้กาหนดกรอบและนโยบายการ พัฒนาประเทศ อาทิ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560-2564) กรอบ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นต้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมสร้างสังคมทีเ่ ปน็ สุข ลดความเหลือ่ มล้า ขจัดปัญหาความยากจน สง่ เสริมการเปน็ เศรษฐกิจสีเขียว ตลอดจนมีการผลิต และบริโภคที่เป็นมิตรกบั สง่ิ แวดลอ้ ม 2.6 อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ ” (Convention on the Rights of Persons with Disabilities, CRPD) ถือเป็นอนุสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ท่ีให้หลักประกันในสิทธิ เสรีภาพ และ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ต่อคนพิการ อย่างเสมอภาคทัดเทียมกับบุคคลท่ัวไป และเป็นสนธิสัญญา ด้านสิทธิมนุษยชน ขององค์การสหประชาชาติฉบับแรก โดย สาระสาคัญของ “อนุสัญญาว่าดว้ ยสทิ ธิ คนพิการ” (Convention on the Rights of Persons with Disabilities ,CRPD) เน้นไปที่การขจัด อุปสรรค จากภายนอก ซึ่งเป็นสาเหตุสาคัญของความยากลาบากในการดาเนินชีวิตของผู้พิการ ตลอดจนการแก้ไข ความเสียเปรียบทางสังคมของคนพกิ าร ซ่ึงก่อให้เกิดการเลอื กปฏิบตั ิ และขัดขวาง การสง่ เสริมและพฒั นา คุณภาพชีวติ คนพิการเป็นอย่างย่ิง ประกอบด้วยหลักการ 2 ประการ ได้แก่ 1. การพฒั นาสงั คม (Social Development) เป็นการกาหนดมาตรการท่ีมุ่งพัฒนา บริการใน ดา้ นตา่ งๆ เพอ่ื ชว่ ยให้คนพิการไดร้ บั สทิ ธปิ ระโยชน์ต่างๆอยา่ งเทา่ เทียมกับบุคคลท่ัวไป 2. การคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของคนพิการ ซ่ึงรวมถึง การขจัดการ เลือกปฏบิ ตั ิและการสรา้ งหลกั ประกนั ความเสมอภาคในทุกมิติ (Non-Discrimination and Equality)
นอกจากน้ีอนุสัญญาฯ ฉบับนี้ยังมีคุณลักษณะเฉพาะท่ีทาให้อนุสัญญาฉบับน้ีมีความโดดเด่น และชี้ให้เห็นจุดที่อนุสัญญาฉบับอ่ืนๆขาดไป อันได้แก่ หลักการเข้าถึงและใช้ประโยชน์จาก สภาพแวดล้อม และสง่ิ อานวยความสะดวกอนั เปน็ สาธารณะ (Accessibility) โดยมีรายละเอียดดงั น้ี 1. การปรับสภาพแวดลอ้ ม ทางกายภาพ อาคารสถานท่ี รวมถงึ การคมนาคมขนสง่ สารสนเทศ และการสื่อสาร และบริการต่างๆ ฯลฯ ให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่าง เท่าเทียม กับคนทั่วไป โดยการออกแบบท่ีเป็นสากลและเป็นธรรม ต่อคนทุกกลุ่ม เช่น การออกแบบ และ ก่อสร้างสุขาให้คนทุกกลุ่มรวมถึงคนพิการที่ใช้เก้าอ้ีเข็นสามารถใช้ได้อย่างเท่าเทียมกับคนทั่วไป การ ออกแบบบริการข้อมูลผ่านเว็บไซต์หรือส่ืออิเล็กทรอนิกส์อื่นใดให้อยู่ในรูปแบบท่ีทุกคน รวมถึงคน พกิ าร สามารถเขา้ ถึงและใชป้ ระโยชน์ได้ เปน็ ต้น 2. การจัดให้มีเทคโนโลยีส่ิงอ านวยความสะดวก (Assistive Technology) สาหรับ คนพิการ แต่ละประเภท เช่น เคร่ืองช่วยฟงั สาหรับคนหูหนวก โปรแกรมอา่ นจอภาพคอมพิวเตอร์สาหรบั คนตา บอด หรอื ปา้ ยบอกทางซง่ึ ใชภ้ าษาทง่ี า่ ยตอ่ ความเขา้ ใจ เปน็ ต้น 3. การให้ความช่วยเหลืออย่างเหมาะสมหรือสมเหตุผล (Reasonable Accommodation) เพื่อลดความเสียเปรียบทางสังคมของคนพิการแต่ละประเภท เช่น การจัดบริการ ล่ามภาษามือให้แก่ คนหูหนวก การให้มีผู้ช่วยคนพิการสาหรับคนพิการที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ อันไม่ อาจ ตอบสนองได้โดยวิธีการท่ัวไป รวมถึงความช่วยเหลือเพื่อให้สามารถเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เป็น ตน้ สทิ ธิของคนพกิ ารตามอนุสัญญาฉบบั น้ี ไดแ้ ก่ - ความเสมอภาคและการไมเ่ ลือกปฏบิ ตั ิ - สทิ ธิการมีชีวิต เสรีภาพ และความม่ันคงของบุคคล - สิทธทิ ไ่ี ด้รับการยอมรบั วา่ มีความสามารถตามกฎหมายบนพืน้ ฐานอันเทา่ เทยี มกัน - เสรภี าพจากการถกู ทรมาน - เสรีภาพจากการแสวงหาประโยชน์ การใชค้ วามรนุ แรง และการถกู ลว่ งละเมดิ - สทิ ธิทีจ่ ะได้รบั การเคารพตอ่ ศกั ดิ์ศรี ทางรา่ งกายและจติ ใจ - เสรภี าพในการย้ายถ่นิ ฐานและการถือสัญชาติ - สิทธใิ นการอาศัยอยใู่ นชุมชน - เสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคดิ เห็น
- การเคารพการเปน็ สว่ นตวั - การเคารพในการสร้างครอบครวั และสถาบนั ครอบครัว - สทิ ธิด้านสขุ ภาพ - สทิ ธทิ างการศกึ ษา - สิทธดิ ้านการทางาน - สทิ ธิสาหรับมาตรฐานความเปน็ อยู่ที่เพียงพอ - สทิ ธิการมสี ว่ นรว่ มทางการเมอื ง และสาธารณกิจ - สทิ ธกิ ารมสี ว่ นรว่ มดา้ นวัฒนธรรม นันทนาการการผ่อนคลายยามว่าง และกฬี า
แผนภาพที่ 1 แผนการจดั การศึกษาสาหรับคนพกิ าร ฉบบั ท่ี 3 (พ.ศ. 2560-2564)
2.7 นโยบายการศึกษาพิเศษสาหรับคนพกิ าร 1. ด้านการบริการ ให้ผู้พิการได้เรียนตั้งแต่แรกเกิดหรือแรกพบความพิการ โดยเน้นให้ได้รับ การศึกษาข้ันพ้ืนฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี ให้โอกาสเด็กพิการ ได้เรียนท้ังด้านภาษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ในหลักสูตรสายสามัญและให้ฝึกวิชาชีพเพิ่มเติมไปด้วย เพ่ือให้คนพิการสามารถพัฒนา ตนเองใหเ้ พยี งพอทจ่ี ะพง่ึ ตนเองได้ 2. ด้านโอกาสทางการศึกษา ให้ผู้พิการมีโอกาสได้รับการศึกษาทัดเทียมกับเด็กปกติ และให้ คนพกิ ารหญิงและชายมีสิทธเิ ทา่ เทยี มกนั ในโอกาสทางการศกึ ษา 3. ด้านการจัดการศึกษา ต้องจัดให้คนพิการทุกคนท่ีอยากเรียนต้องได้เรียน โดยขยายการ บริการท้ังในระบบและนอกระบบโรงเรียน เน้นการร่วมและการจัดให้สอดคล้องกบั ประเภทและระดบั ของความพกิ าร 4. ด้านการรับนักเรียน ปรับ กฎ ระเบียบให้เอื้อต่อการรับเด็กพิการทุกคน และให้รับต้ังแต่ แรกเกิด หรือแรกพบความพิการ โดยรฐั ควรเพิ่มบริการช่วยเหลือระยะแรกเรมิ่ ใหท้ ั่วถงึ ท้งั ในเขตเมือง และชนบท ต้องทาทะเบียนเพื่อรับรองความพิการที่ต้องได้รับการช่วยเหลือตามกฎกระทรวง ศึกษาธกิ ารวา่ ด้วย ส่ือ ส่งิ อานวยความสะดวกในการศึกษาของคนพกิ าร 5. ด้านหลักสูตร ต้องพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลให้สอดคล้อง กับประเภทและระดับของผู้พิการ โดยให้เด็กเป็นหลักในกระบวนการเรียนรู้เรียนด้วยตนเองจากการ ฝึกปฏิบัติ ให้เด็กพิการทุกประเภทสามารถสื่อความหมายและปรับพฤติกรรมให้อยู่ในสังคมได้อย่าง เป็นสขุ 6. ด้านบริหารการศึกษา ให้มีคณะกรรมการดาเนินงานพฒั นาการจัดการศึกษาเพื่อคนพิการ เป็นหน่วยประสานงานกลาง และกากับการบริหาร, โดยประสานกับกรมและจังหวัด และระดมความ ร่วมมือจากสถานศึกษา และสถานพยาบาลมาร่วมกันจัด, และต้องสารวจจานวนผู้พิการให้ตรงความ เป็นจริง, รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้พ่อแม่ผู้ปกครองเข้าใจถึงการบริการทาง การศึกษา และฝึกอบรม พ่อแม่ให้รู้จักดแู ลลกู พกิ ารตง้ั แต่แรกเกดิ หรอื แรกพบความพิการ 7. ด้านทรัพยากร ให้การสนับสนุนด้านทรัพยากรและวิชาการแก่สถานศึกษาที่จัดการศึกษา เพอื่ คนพิการ และให้ภาคเอกชน ชุมชนเข้ามาร่วมจัดการศึกษาเพื่อให้การดาเนินงานมีคุณภาพ ทั่วถึง
และมีประสทิ ธิภาพ โดยจะพิจารณาให้หน่วยงานการศึกษาเพื่อคนพิการ ซง่ึ อาจพัฒนาไปเป็นองคก์ าร มหาชนในอนาคต หลงั จากมีการเปลีย่ นแปลงโครงสรา้ งของกระทรวงศึกษาธิการ 8. ด้านบุคลากร ให้สถาบันอุดมศึกษาปรับปรุงการผลิตครูการศึกษาพิเศษให้พอเพียงและมี คุณ ภาพ และให้มีรายวิชาการศึกษาพิเศษในหลักสูตรการฝึกหัดครู นอกจากน้ี พัฒนาครูประจาการ ใหม้ ีเทคนคิ การสอนที่ทนั สมัย ตามหลักการของพระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 9. ด้านการประเมินคุณภาพ จัดให้มีเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพสาหรับการศึกษาเพ่ือคนพิการ โดยเฉพาะ และมีระบบประเมินคุณภาพผู้สอนผู้บริหารสถานศึกษา โดยมีคณะกรรมการร่วมประเมิน ประกอบด้วยหน่วยงานทีเ่ ก่ยี วข้อง, องค์กรคนพิการ, และผู้ปกครอง 10. ด้านการส่งเสริมเอกชน ส่งเสริมและสนับสนุนให้เอกชน และองค์กรเอกชนท่ีมีส่วนร่วม ในการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการทุกระดับ ทุกระบบ และทุกรูปแบบ โดยรัฐให้การ สนบั สนุน ดา้ นงบประมาณและบคุ ลากร ใหเ้ ทา่ เทียมกับการจดั การศึกษาของรัฐ รปู แบบการจัดการศกึ ษาสาหรบั คนพิการ การจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ มีท้ังในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย มีรูปแบบที่ สาคญั ดงั นี้ 6.1 การเรียนร่วม 6.2 โรงเรียนศึกษาพิเศษเฉพาะความพิการ 6.3 การจัดในครอบครวั 6.4 การจดั โดยชุมชน 6.5 การจดั ในสถานพยาบาล 6.6 การจดั ในศูนยก์ ารศกึ ษาพิเศษ 6.7 การจดั การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย
ความท้าทายและแนวโน้มสถานการณ์อนาคต ภายใต้อนุสัญญาสากล รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย ยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี(พ.ศ. 2560 - 2579) และ สถานการณ์การ เปล่ียนแปลง ด้านเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศ อนุภูมิภาค และโลกมีผลกระทบ ที่เป็นความท้า ทายและเปา้ หมายความสาเรจ็ ดังน้ี 1. เน้นการขยายโอกาส การเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ จากการจัดการศึกษาและบริการ ทาง การศกึ ษาสาหรบั คนพกิ ารอย่างท่วั ถงึ 2. มีระบบการวินิจฉัย คัดกรองคนพิการ และรูปแบบการจัดกลุ่มประเภทคนพิการและ มี กระบวนการตดิ ตามการช่วยเหลือคนพิการ 3. สร้างความเข้มแข็งในการบริหารจดั การให้แก่หน่วยงานท่ีจัดการศึกษาสาหรับคนพกิ าร ทุก ประเภทอย่างมีคณุ ภาพและมปี ระสทิ ธิภาพ 4. สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และองค์กรภาคีเครือข่ายท่ีเกี่ยวข้อง กับคนพิการ จัดบริการทางการศึกษาให้สาหรับคนพิการได้อย่างมีมาตรฐานและสนับสนุนให้องค์กร ด้านคนพกิ ารและเครือข่ายมบี ทบาทเป็นส่วนหนงึ่ ของคณะกรรมการในทุกมิตขิ องการพฒั นาคนพกิ าร 5. ส่งเสรมิ ใหม้ ีงานวิจัยเพื่อสรา้ งองค์ความรู้ด้านคนพิการ 6. พัฒนาคุณภาพกระบวนการจัดหลักสูตรการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ เพื่อลดข้อจากัด ของคนพิการทีม่ ีความแตกต่างกนั ในแต่ละประเภท 7. พัฒนาครูและบุคลากรด้านการศึกษาสาหรับคนพกิ าร 8. สง่ เสรมิ สนบั สนนุ ให้คนพิการมีงานทาเพ่ือสามารถชว่ ยเหลือตนเองได้ 9. สนับสนุนส่ือ ส่ิงอานวยความสะดวก และการจัดสภาพแวดล้อมให้เอ้ือต่อการจัดการเรียน การสอนให้กบั คนพิการ 10.ส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษา คนพิการ ครอบครัว ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และองค์กรเอกชนด้านคนพิการ ร่วมกันพัฒนาและสร้างองค์ความรู้ในการจัดการศึกษาสาหรับคน พิการ
2.8. นโยบายในการจดั การศึกษาเพื่อผทู้ มี่ ีความตอ้ งการพิเศษ ในหัวข้อนี้ จะขอกล่าวถึงนโยบายในการจัดการศึกษาสาหรับผู้ที่มีความต้องการพิเศษ (ปิยวรรณ วิเศษสุวรรณภูมิ,2553) กล่าวถึง หลักการ The Least Restrictive Environment (LRE)และหลักการ Universal Design (UD) โดยในเอกสารคาสอนฉบับนี้ ผู้สอนยังคงเพ่ิมเติม แนวคิดเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลและการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี21 ที่น่าสนใจ ซึ่งในการ จัดการศึกษาสาหรับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษจาเปน็ จะต้องมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับหลักการ การจัดการศึกษาพเิ ศษ ดงั น้ี หลักการ The Least Restrictive Environment (LRE) หลักการจัดการศึกษาพิเศษของประเทศต่างๆ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ประเทศฟนิ แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศญี่ป่นุ รวมถงึ ประเทศอ่ืนๆในแถบ เอเชีย และประเทศไทยมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การส่งเสริม“ความเสมอภาค” และ “การจัดการให้ เป็นปกติ”ตามหลักการของ “การศึกษาเพ่ือมวลชน” (Education For All : EFA) ได้มีรากฐานมา จากการใหค้ วามเสมอภาคทางการศึกษา เดก็ ทั่วไปหรือเดก็ ท่มี คี วามต้องการพเิ ศษ ตอ้ งไดร้ ับความเทา่ เทียมกันทางการศกึ ษา หลักการการจัดการศึกษาพิเศษ (อรุณรัตน์ เดชสุวรรณ,2564) กล่าวถึง Dettmer,Dyck & Thurston (1996), Deiner (2010),Lewis & Doorlag (1995) การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลท่ีมี ความต้องการพิเศษ มุ่งเน้นสิทธิและเสรีภาพข้ันพื้นฐานของมนุษย์ มีแนวทางปฏิบัติการจัดการศึกษา ให้สอดคล้องกับความแตกต่าง ของบุคคล เพอ่ื เปิดโอกาสและส่งเสริมให้สามารถเรียนรู้และอยรู่ ว่ มกัน ในสังคมได้ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิทางการศึกษา รูปแบบและวิธีการจัดการศึกษา และบริการสนับสนุน ตา่ งๆ รวมถงึ กาหนดระเบียบและ ขอ้ บงั คับต่างๆท่ีให้สถานศึกษาและหน่วยงานท่เี ก่ียวข้องปฏิบัติตาม นาไปสู่การจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมในระบบการศึกษาท่ัวไป เรียกว่า การศึกษาแบบเรียน รวม โดยมีเป้าหมายร่วมกัน คือ การส่งเสริม“ความเสมอภาค” และ “การจัดการให้เป็นปกติ”ตาม หลักการของ “การศึกษาเพ่ือมวลชน” (Education For All : EFA) ดังน้ันจึงเป็นท่ีมาของคาว่า“The Least Restrictive Environment (LRE)” ซึ่งหมายถึง การลดข้อจากัดของสภาพแวดล้อมให้มาก ที่สุด
การจัดการศึกษาพิเศษในประเทศไทย ได้นาหลักการดังกล่าวข้างต้นมาประยุกต์ใช้ในการ บริหารจัด การศึกษาในบริบทของการเรียนร่วม จุดประสงค์เพ่ือจัดการศึกษาที่ เหมาะสมและ สอดคล้อง กับความต้องการจาเป็นพิเศษทุกประเภท ให้จัดการศึกษาท่ีมีรูปแบบ และระบบการ จัดการท่ีหลากหลายและครอบคลุมทุกช่วงวัยตั้งแต่แรกเกิดหรือแรกพบความบกพร่อง/ความพิการ ต่อเน่ืองตลอดชีวิต เช่น เบญจา ชลธาร์นนท์ (2546) ได้นาเสนอองค์ประกอบหลักในการบริหาร จัด การศึกษาโดยนาหลกั การ (Least Restrictive Environment : LRE) และ (Universal Design : UD) มาใช้กับบริบทของประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า “โครงสร้างซีท” (SEAT framework) มีองค์ประกอบ 4 ประการ คอื 1) นักเรียน (Student) - นักเรียนที่มีความบกพร่องหรือความต้องการพิเศษ ควรมีการเตรียม ความพร้อมท้ังในด้านร่างกาย วิชาการ อารมณ์และ สังคม รวมถึงการช่วยเหลือตนเอง - นักเรียน ท่ัวไป ควรมีการเตรียมความพร้อมในด้านความรู้ความเข้าใจพ้ืนฐาน ทัศนคติและการยอมรับเพ่ือนที่ ความบกพรอ่ งหรือความต้องการพเิ ศษ 2) สภาพแวดล้อม (Environment) - ทางกายภาพ หมายถึง สถานศึกษาต้องคานึงถึงการจัด สภาพแวดล้อมให้มีขีดจากัดน้อยที่สุดในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้สาหรับผู้เรียน รวมถึงอาคาร สถานที่ และส่งิ อานวยความสะดวกทัง้ ใน ชนั้ เรยี นและนอกหอ้ งเรียน - บคุ คลทีเ่ ก่ยี วข้อง หมายถึง พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ครู และบุคลากรอ่ืนในโรงเรียน ควรมีส่วน ร่วมในการกาหนดนโยบาย แนวทางการ ดาเนินการจัดการศึกษา และเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ การยอมรับเมื่อมีนักเรียนที่มีความ บกพรอ่ งหรอื ความต้องการพิเศษเข้าสูร่ ะบบการศกึ ษา 3) กิจกรรมการเรียนการสอน (Activities) หมายถึง กิจกรรมภายในและภายนอกห้องเรียนใน สถานศึกษาทมี่ สี ว่ นให้ นกั เรียนท่วั ไปและ นกั เรียนที่มคี วามบกพรอ่ งหรือความตอ้ งการพเิ ศษได้รบั การ พัฒนาทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์และสังคม ประกอบด้วย - การรับนักเรียนท่ีมีความบกพร่อง หรือความต้องการพิเศษเข้าเรียน - การบริหารจัดการหลักสูตร - การจัดตารางเรียน - การประสาน ความร่วมมือ – การจดั ทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบคุ คล – การจดั ทาแผนการสอนเฉพาะบุคคล - กระบวนการตรวจสอบและประเมินผลทางการศึกษา - การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใน สถานศึกษาและชุมชน - การรายงานความก้าวหน้าของนักเรียน - การประกันคุณภาพ - การนิเทศ
ติดตาม ประเมินและปรบั ปรงุ กจิ กรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การสอนและ พฒั นานักเรยี นทค่ี วามบกพรอ่ งหรอื ความตอ้ งการพเิ ศษ 4) เครื่องมือ (Tools) หมายถึง นโยบาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ งบประมาณ ระบบการบริหาร จัดการ กฎกระทรวง เทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการ ตารา ความช่วยเหลืออ่ืนใดทาง การศึกษา รวมถึงครูการศึกษา พิเศษและนักวิชาชีพอ่ืนที่ เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาสาหรับ นักเรียนมีความบกพร่องหรือพิการ ส่ิงที่นามา เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการเรียนร่วม สาหรับ นักเรียนมีความบกพร่องหรือพิการเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้และดารงชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด องค์ประกอบของ โครงสร้างซีท ทุกองค์ประกอบล้วนมีจุดมุ่งหมายเพ่ือตอบสนองความ ต้องการ จาเป็นพิเศษของนักเรียนมีความบกพร่องหรือพิการ นักเรียนทั่วไป และบุคคลท่ีเก่ียวข้อง ซึ่ง สถานศึกษาอาจนาโครงสรา้ งซีทมาประยกุ ตใ์ ช้ในการจดั การศึกษาไดท้ กุ รูปแบบ ซึ่งปัจจุบันกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานในกากับ เห็นถึงความสาคัญของการจัด ส่ิงแวดล้อมท่ีมีข้อจากัดน้อยท่ีสุดสาหรับผู้เรียนท่ีมีความต้องการพิเศษ แต่บางโรงเรียนก็ไม่สามารถท่ี จะตอบสนองนโยบาลและความต้องการของผู้เรียนได้ ในการจัดช้ันเรียนอาจกระทาได้หลากหลายวิธี เพ่ือให้เหมาะสมกับผเู้ รียน บางคนอาจสามารถเขา้ เรียนร่วมในช้ันเรียนปกติได้เตม็ เวลา บางคนอาจ ต้องการการสนบั สนนุ ทางด้านเคร่ืองมือในการเรยี นรู้ บางคนอาจต้องการความชว่ ยเหลอื พเิ ศษจากครู หรือผู้เรียนบางคนอาจยังต้องการชั้นเรียนพิเศษเฉพาะเพ่ือการฝึกพัฒนาการและทักษะในทุกด้านใน ระยะเริ่มแรก ก่อนออกไปสู่การเรียนรวมหรือการเรียนร่วมในชั้นเรียน ดังนั้นการวางแผนการศึกษา เพื่อให้เหมาะสมกับผ้เู รยี นเปน็ รายบุคคลเป็นสิ่งที่จาเป็น หลักการของ Universal Design (UD) Universal Design (UD) มีจุดเริ่มต้นมาจากสถาปนิกที่ออกแบบเครื่องใช้ต่างๆ โดยคานึงถึง รูปร่าง ขนาด ประโยชน์ใช้สอยและคุ้มค่า เมื่อนามาใช้ทางการศึกษา ย่อมเป็นเร่ืองของการออกแบบ เพื่อให้ เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนทุกคน ได้แก่ การสอนที่ใช้ส่ือและวิธีการแบบต่างๆ การทางาน กลุ่ม การสอนโดยใช้อินเตอร์เนต ใช้ห้องปฏิบัติการ การออกฝึกภาคสนาม เป็นต้น รวมทั้งการ ออกแบบหลักสูตรท่ีสนองต่อผู้เรียนหลายระดับตามความสามารถในห้องเรียน (Burgstahler, 2009; Eagleton, 2008) การออกแบบมุ่งที่การใชง้ านให้คุ้มค่า ครอบคลมุ สาหรบั ผเู้ รียนทุกคน โดยคานึงถึง
โอกาสในการใช้งานอย่างเทา่ เทยี มกัน ดงั นนั้ การนาแนวคิดการ ออกแบบการเรยี นรู้สากล (Universal Design for Learning) มาใช้ในจึงสามารถช่วยลดอุปสรรคต่อการเรียนรู้ ของผู้เรียนได้ และสร้าง ความยืดหยุ่นในการจดั การศึกษา เพ่ือสนองต่อผู้เรียนท่ีมีความแตกตา่ งกันสามารถ เรียนรู้ได้อย่างเท่า เทยี มกนั Strangeman, Hitchcock, Hall, Meo, & et al :2006 ได้นาแนวคิดน้ีมาประยุกต์ในการ จัดการเรียนการสอนใน 2 ลักษณะ คือ Universal Design for Instruction (UDI) และ Universal Design for Learning (UDL) โดยท่ี UDI เป็นการ ออกแบบการสอน รวมไปถึงวิธีการสอน การจัด เนื้อหา การประเมินผล และหลักสูตร ส่วน UDL เป็นเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับออกแบบสภาพการเรียนรู้ หรือสง่ิ แวดลอ้ มการเรียนร้ใู ห้แก่ผเู้ รียน จากหลักการ Universal Design (UD) มหาวิทยาลัยนอร์ทเทิร์นโคโรลาโด ได้มีการประยุกต์ Universal Design (UD) ( http://www.csec.ac.th/csec/wp content/uploads/2019/10 Universal-Design-3.pdf) มาใชก้ บั การจดั การเรียนการสอนใน 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ 1. Universal Design for Learning (UDL) หมายถึง การออกแบบเพื่อการเรียนรู้ของ ผูเ้ รียน ให้ผูเ้ รยี นสามารถเรยี นรไู้ ดอ้ ยา่ งเต็มตามศกั ยภาพของตน Universal Design for Learning (UDL) หลักการ UDL มีรากฐานมาจากศาสตร์ทางด้าน สถาปัตยกรรมและประสาทวิทยาศาสตร์ เก่ียวกับการรับรู้ (Cognitive neuroscience) ในวงการ การศึกษาพิเศษได้มีนาแนวคิด UDL มาใช้ โดยเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพ่ือการตอบสนองต่อ ความต้องการของผู้เรียนที่มีความต้อง หลากหลาย โดยมีหลักการว่า UDL นั้นต้องอยู่บนพ้ืนฐานของ ความเขา้ ใจว่า ผเู้ รยี นแต่ละคนมลี ักษณะเฉพาะตวั ท่ีแตกต่างกัน และมีความต้องการที่แตกตา่ งกันด้วย ซงึ่ การนา UDL ไปใช้ในการศึกษาพิเศษก็เพ่อื สร้างสรรค์สภาพแวดลอ้ มทางการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับ ความต้องการของ ผ้เู รยี นในแตล่ ะคน และส่งเสริมให้ผู้เรยี นได้พฒั นาความสามารถของตนเองไดเ้ ตม็ ท่ี ตามศักยภาพ (Eagleton, 2008) UDL เป็นสื่อการสอนและวิธีการสอนท่ีพร้อมใช้สาหรับครูผู้สอนที่ สามารถ นาไปใชก้ บั นกั เรยี นได้เลยการประยุกต์ใช้ UDL ในการเรียนรู้แบ่งเปน็ 3 ระดับ ไดแ้ ก่ ระดับท่ี 1 การนาเสนอ - การใชร้ ปู แบบของขอ้ มลู หลากหลายรูปแบบ เช่น ขอ้ มูลภาพข้อมูลเสยี งหรอื ขอ้ มลู ที่สมั ผัสได้ - การใชภ้ าษาและสญั ลกั ษณท์ ี่หลากหลาย - การสรา้ งโอกาสให้ผู้เรียนไดท้ บทวนความรู้ ความเข้าใจจากการเรียน
ระดับท่ี 2 การสื่อสาร - การใชร้ ่างกาย - การพดู - การใช้การทางานของสมองระดับสงู (Executive Function) ระดับท่ี 3 การมีสว่ นร่วม - การพยายามชกั จูงความสนใจ โดยให้อิสระในการเลือก - สนับสนุนให้ใช้ความพยายามในการทางาน - เสรมิ สร้างทักษะการกากบั ตนเอง (Self-regulation) 2. Universal Design for Instruction (UDI) หมายถึง การออกแบบสาหรับการสอนท่ีมี ความหลากหลาย สอดคล้องหรือคานึงถึงรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียนและเหมาะสมกับผู้เรียนที่มี ความแตกต่างกันในห้องเรียน Universal design for instruction (UDI) เป็นการออกแบบการสอนสาหรับการเรียนร่วม สาหรับผู้เรียนที่มีความหลากหลายอัน รวมไปถึงผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ (Scott, McGuire & Embry, 2002) ซึ่งการออกแบบต้องสอดคล้องหรือคานึงถึงลีลาการเรียนรู้ของผู้เรียน และมีความ เหมาะสมกับ ผู้เรียนที่มีความแตกต่าง กันในห้องเรียน การประยุกต์หลักการของ Universal Design for Instruction (UDI) มาใช้ในการเรยี นการ สอนทาได้ดังนี้ (Burgstahler, 2009) 1. การสร้างบรรยากาศในห้องเรียน ให้เป็นบรรยากาศท่ีเคารพในความ เป็นอัตบุคคลของ ผู้เรียน อาจเขียนไว้ ในแนวการสอนที่ให้ผู้เรียนได้บอก ความต้องการของตนเองในการเรียน เร่ืองนั้น ๆดว้ ยหรอื หากมผี ้เู รียนพกิ ารก็ให้ผเู้ รียนได้มีโอกาสบอกข้อจากัดในการเรยี นรู้ของตนเองดว้ ย 2. การมีปฏิสัมพันธ์ให้มีกิจกรรมการ แลกเปล่ียนความคิดเห็นระหว่างผู้เรียน กับผู้สอน และ ในกลุม่ ผเู้ รียนกนั เอง หรือออกแบบงานกลุ่มทใ่ี หผ้ ู้เรียนได้ ชว่ ยเหลอื ผู้อน่ื ไดเ้ ปล่ยี นบทบาทตา่ ง ๆ 3. คานึงถึงสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ โดยจัดสภาพแวดล้อม สื่อ กิจกรรมให้สะดวก ปลอดภัย สาหรับผเู้ รยี นทกุ คน ทั้งผู้เรียนทีต่ าบอด หรอื นั่งรถเขน็ 4. ใช้วิธีการสอนที่หลากหลายรูปแบบ ออกแบบกิจกรรมหรืองาน ท่ีให้ผู้เรียนเลือกได้ตาม ความถนดั และความสามารถ
5. ข้อมูลสารสนเทศและส่ือเทคโนโลยีเช่น เอกสารประกอบการสอน สื่อการสอนและข้อมูล อ่ืนๆ มี ความยืดหยุ่นสาหรับผู้เรียนทุกคนทุกประเภท เช่น แจกค าอธิบายรายวิชา และเอกสาร ประกอบกอ่ นเริม่ สอน เพ่ือให้ผเู้ รียนท่ีเรยี นร้ไู ด้ช้าไดอ้ ่าน ล่วงหน้า หรอื ปร้ินท์เอกสารเปน็ อกั ษรเบรลล์ เพ่ือผูเ้ รียนตาบอดไดอ้ ่านเชน่ เดียวกนั กับเพือ่ น เปน็ ตน้ 6. มกี ารสะท้อนผลงานของผเู้ รียนเปน็ ระยะๆ สาหรับงานท่ผี ูเ้ รียนท า เพือ่ ใหส้ ามารถปรับปรุง งาน ได้ 7. มีวิธีการประเมินผลการเรียนและใช้เครื่องมือประเมินท่ีหลากหลาย เช่น ในบางกรณีอาจ ประเมินผลงานกลมุ่ งานบางช้ินกป็ ระเมนิ เปน็ รายบุคคล เป็นตน้ 8. ปรับสื่อส่ิงอานวยความสะดวกให้เหมาะสมสาหรับผู้เรียนพิการในห้องเรียน เช่น จัดหรือ แลกเปลี่ยนห้องเรียนที่มีความสะดวกสาหรับผูเ้ รียนที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ปรับตารางสอน ให้ ยืดหยุ่นสาหรับผ้เู รียนท่มี ีความตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ เช่น เจ็บปว่ ยบอ่ ย ๆ ต้องพบแพทย์เสมอใน เวลา ท่ตี ้องเรยี นวชิ าน้ัน ๆ เปน็ ตน้ แ น ว คิ ด ก า ร อ อ ก แ บ บ ก า ร เ รี ย น รู้ ท่ี เ ป็ น ส า ก ล ( Universal design for learning : UDL) เก่ียวข้องกับการ จัดสภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ ในยุคการศึกษา 4.0 จึงมีการประยุกต์ เทคโนโลยีสารสนเทศเพ่ือการ สนองตอบต่อความต้องการของผู้เรียนที่มีความต้องการหลากหลาย และแตกต่างกัน ประกอบไปด้วยหลักการ ที่สาคัญ 3 ประการ (Strangeman, Hitchcock, Hall, Meo, & et. al :2006) ได้แก่ 1. การสนับสนุนการเรยี นรูเ้ พอื่ จดจา โดยการจดั หาวิธกี ารนาเสนอทยี่ ดื หยนุ่ และหลากหลาย 2. เพือ่ สนบั สนนุ การเรียนร้ยู ุทธศาสตร์ โดยจดั หาวิธกี ารอธบิ ายหรือการแสดงออกดว้ ยคาพูดท่ี ยดื หยุ่นและหลากหลายและการเรียนรู้จากผทู้ ่ีมปี ระสบการณม์ ากกวา่ 3. เพ่อื สนบั สนุนการเรียนรูท้ ่ีมปี ระสิทธผิ ล โดยการจดั หาทางเลอื กท่มี คี วามยืดหยนุ่ ให้นกั เรียน มสี ่วนรว่ มในการเรยี นรู้ตามหลักสูตร การออกแบบสากลในการศกึ ษา (Universal Design in Education) ถูกนาไปใชก้ บั ผลิตภัณฑ์ ทางการ ศึกษาต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ ซอฟต์แวร์ ตาราและอุปกรณ์ห้องปฏิบัติการ รวมถึง สภาพแวดล้อม ต่างๆ เชน่ ห้องรับแขก ห้องเรียน อาคารหอ้ งสมุด
การจดั การเรียนรูส้ าหรับผเู้ รยี นท่มี ีความตอ้ งการพเิ ศษ ในศตวรรษที2่ 1 การจัดการเรียนการสอนในศตวรรษท่ี 21 (สทุ ธิวรรณ ตนั ติรจนาวงศ์, 2560) มุ่งหวังให้ผเู้ รียน มีความรู้และทักษะสาหรับการดารงชีวิตใน สังคมได้อย่างมีคุณภาพ ซ่ึงทักษะสาหรับการดารงชีวิตใน ศตวรรษที่ 21 ที่สาคัญท่ีสุด คือ ทักษะการเรียนรู้ (Learning Skill) โดยอา้ งถึงรูปแบบ (Model) ที่มา จากเครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพ่ือทักษะแห่งการเรียนรู้ใน ศตวรรษท่ี 21 (Partnership For 21st Century Skills) ซึ่งวิจารณ์ พานิช(2555: 16) ได้กล่าวถึงการเรียนรู้ใน ศตวรรษที่21 ต้องก้าวข้าม สาระวิชา ไปสู่การเรียนรู้ ทักษะเพ่ือการดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ( 21st Century Skills) ที่ครูต้อง ออกแบบการเรียนรู้ และอานวย ความสะดวก (facilitate) ในการเรียนรู้ ให้นักเรียนเรียนรู้จากการ เรียนแบบลงมือทา แล้วการเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจและสมองของตนเอง การเรียนรู้แบบน้ี เรียกว่า PBL (Project-Based Learning) ครูต้องเรียนรู้ทักษะใน การออกแบบการเรียนรู้แบบ PBL ให้ เหมาะแก่วัยหรือพัฒนาการของผู้เรียน สาระวิชาก็มีความสาคัญ แต่ไม่เพียงพอสาหรับการเรียนรู้ เพ่ือมีชีวิต ในโลกยุคศตวรรษท่ี 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของผู้เรียนโดยครูช่วยแนะนา และช่วยออกแบบกิจกรรม ที่ช่วย ให้ผู้เรียนแต่ละคนสามารถ ประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้ รูปแบบการเรียนรู้ที่ สาคัญ เช่น การเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning : PBL) การเรียนรู้แบบใช้ เทคโนโลยีเป็นฐาน (Technology-Based Learning: TBL) การเรียนรู้แบบใช้สะเต็มศึกษา (STEM Education) การเรยี นรู้โดยใช้ ห้องเรียนกลับด้าน(Flipped Classroom) เป็นต้น ดจิ ทิ ัลกับผูท้ ีม่ ีความต้องการพิเศษ เทคโนโลยีสมัยใหม่มีบทบาทอานวยความสะดวกในการดาเนินชีวิตและการสอื่ สาร ของคนใน สงั คมเท่านน้ั แต่ยงั เขา้ มามี บทบาทใน การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม มุมมอง วิธีคิด ทัศนคตคิ า่ นิยมทาง สังคม และวัฒนธรรมของผู้ใช้อีกด้วย ทาให้เด็กในยุคดิจิทัลจึงมีมุมมองความคิดท่ีแตกต่างออกกันไป (ฐิตินัน บุญภาพ คอมมอน, 2556) ทั้งนี้เด็กมีวิธีการใช้งานสื่อดิจิทัลแตกต่างจาก ผู้ใหญ่ โดยผู้ใหญ่ จะต้องให้คาแนะนาในการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างถูกวิธีและเกิด ประโยชน์นอกจากนี้ผู้ใกล้ชิดกับ เด็กควร ตระหนักถึงความ ฉลาดทางดิจิทัล (digital intelligence) หรือ DQ โดย ความฉลาดทาง ดิจิทัลเป็นชุดของความสามารถทางสังคม อารมณ์และสติปัญญาที่ช่วยให้เด็กเผชิญกับความท้าทาย
กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ดังนั้นในระดับสถานศึกษาหรือระดับประเทศต้องมี การจัดการเรียนรู้ท่ีล้าสมัย สง่ เสริมทกั ษะทางดิจิทัลให้แกผ่ ทู้ ี่มึความตอ้ งการพเิ ศษ สานักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน หรือ สสค. ได้ประมวลข้อมูลจาก สภา เศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) เก่ียวกับ คุณลักษณะและทักษะในโลกยุคดิจิทัล หรือเรียกว่า ‘ความ ฉลาดทางดิจิทัล’ (DQ) ที่จาเป็นสาหรับ เด็กในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย 8 ทักษะท่ีเด็กและเยาวชนยุคใหม่ควร เรียนรู้ในการเป็นพลเมืองโลกยุคดิจิทัล ซ่ึงสามารถอธิบาย รายละเอียดไดด้ งั น(้ี สานักงานส่งเสริมสงั คมแห่งการเรียนรแู้ ละคณุ ภาพเยาวชน (สสค.), 2559) 1) ทักษะการรักษาอัตลักษณ์ท่ีดีของตนเอง (digital citizen identity) คือ ความสามารถใน การสร้างและการ จัดการอัตลักษณ์ที่ดีของตนเองทั้งในโลกออนไลน์และโลกความจริง เช่น เด็กแสดง ความสามารถพเิ ศษของตนเอง ในการรอ้ งเพลงหรือสอนแต่งหนา้ ผ่านเฟสบกุ๊ หรือยูทบู เปน็ ต้น 2) ทักษะการจัดการเวลาหน้าจอ (screen time management) คือ ความสามารถในการ บริหารเวลาการ ใช้อุปกรณ์ ดิจิทัล และความสามารถในใช้งานอุปกรณ์ดิจิทัล ที่หลากหลายในเวลา เดียวกันได้เช่น เดก็ สามารถใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนเพอ่ื การ ชมการ์ตูนในยูทูบ และในขณะเดยี วกันใช้ แทบ็ เลต็ เพอ่ื การคน้ หาขอ้ มลู เปน็ ตน้ 3) ทักษะการจัดการกับการคุกคามบนโลกออนไลน์(cyberbullying management) คือ ความสามารถในการ ป้องกัน จากการคุกคามหรือข่มขู่บนโลกออนไลน์ได้อย่างชาญ ฉลาด เช่น เด็ก สามารถรเู้ ทา่ ทนั ภัยท่มี าจากสื่อออนไลน์โดยไม่บอกขอ้ มูล สว่ นตวั ท่ีสาคัญให้กบั บุคคลท่ีไม่รจู้ กั ใน โลก ออนไลน์ เปน็ ต้น 4) ทักษะการจัดการความปลอดภัยของตนเองใน โลกออนไลน์( cybersecurity management) คือ ความ สามารถใน การป้องกันข้อมูลด้วยการสร้างระบบความปลอดภัยที่เข้มแข็ง และป้องกันการโจรกรรมข้อมูลหรือการโจมตีออนไลน์ได้เช่น เด็กสามารถใช้รหัสผ่านในการเข้า ใช้ งานคอมพวิ เตอรห์ รอื แทบ็ เลต็ เพอ่ื การเข้าถึงขอ้ มลู ใน ส่ือออนไลน์ไดเ้ ปน็ ตน้
5) ทักษะการจัดการความเป็นส่วนตัว (privacy management) คือ ความสามารถในการ บริหารจัดการ ขอ้ มูลส่วนตัว เพอ่ื ป้องกันการถูกรบกวนจากผู้อื่น เช่น เด็กสามารถเลือกรบั และปฎิเสธ ขอ้ มลู หรอื เพอื่ นในสอื่ ออนไลน์ได้เป็นตน้ 6) ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) คือ ความสามารถในการวิเคราะห์ หรือแยกแยะ ระหว่างข้อมูลที่ ถูกต้องและข้อมูลที่ไม่ถูกตอ้ ง รวมถงึ ขอ้ มูล ท่ีมีเน้ือหาท่ีสร้างสรรค์และ ข้อมูลที่เข้าข่ายอันตรายได้เช่น เด็กสามารถบอกประโยชน์ และโทษของการชมการ์ตูน หรือเกม ออนไลน์ไดเ้ ป็นตน้ 7) ทักษะการจัดการข้อมูลท่ีเป็นร่องรอยบนโลก ออนไลน์ ( digital footprints) คือ ความสามารถใน การจัดการข้อมูลท่ี ไม่ท้ิงร่องรอยไว้บนโลกออนไลน์รวมท้ัง การเข้าใจผลลัพธ์หรือ ผลกระทบท่ีอาจเกิดข้ึนจาก การใช้งาน เช่น เด็กสามารถลบข้อมูลทีไ่ ม่ต้องการเปิดเผยให้กับบุคคลอ่นื ในสอ่ื ออนไลน์ได้เป็นตน้ 8) ทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างมีจริยธรรม (digital empathy) คือ ความสามารถใน การใช้งานอย่าง ปลอดภัย และสร้างสรรค์รวมไปถึงการใช้สื่อดิจิทัลอย่างมีจริยธรรมต่อตนเองและ ผู้อนื่ เช่น เดก็ สามารถแสดงความรู้สึกหรือความคิดเห็นใน สอื่ ออนไลน์ โดยใช้ข้อความทมี่ ภี าษาสุภาพ เปน็ ตน้ รูปแบบโมเดลทางการศึกษาดิจทิ ลั (อรุณรตั น์ เดชสวุ รรณและ ชนดิ า มติ รานันท์, 2564) ภาพท่ี 2 โมเดลการศึกษาแบบดจิ ิทัล
ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล พัฒนาการมนุษย์ได้รับอิทธิพลมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม มนุษย์มีลักษณะในตัวเองทั้ง ภายในและภายนอกท่ีมีความแตกต่างกัน ท้ังรหัสพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม ที่แตกต่างกัน มนุษย์เรามี ปัจจัยที่ทาให้เกิดความแตกต่างระหว่างบุคคล ท้ัง ปัจจัยทางส่ิงแวดล้อม ท่ีกระตุ้นให้เกิดความ เปล่ียนแปลงภายในจิตใจและความคิด และปจั จยั ทางธรรมชาติ เช่น พันธุกรรม กลุ่มเลือด โครงสร้าง ร่างกาย แต่ท่ีสาคัญที่สุดคงจะเป็นเรื่องของ ‘สมอง’ ท่ีมักมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ความคิด และ ความรสู้ ึกของคนเราเป็นอย่างมาก นอกจากบุคคลจะแตกต่างกันในด้านต่างๆ ดังท่ีกล่าวมาแล้ว ยังมีความแตกต่างกันด้าน บุคลิกภาพอื่นๆ เช่น ความถนัดตาธรรมชาติ ความสนใจ ทัศนคติ แรงจูงใจ ความคิดสรา้ งสรรค์ ความ รับผิดชอบ วิธีคิดและแบบของการเรียนรู้ ฯลฯ ซ่งึ ลกั ษณะดงั กล่าวมีผลต่อการเรียนท้ังสิน้ โดนเฉพาะ อย่างย่ิงแบบการเรียนรู้ซ่ึงจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เช่น คนบางคนเรียนรู้ได้ดีด้วยการใช้ สายตาหรือการสังเกต (Visual) บางคนเรียนรู้ได้ดีด้วยการฟัง (Auditory) บางคนเรียนรู้ได้ดีด้วยการ พูด (Talking) และบางคนเรียนรู้ได้ดีโดยการใช้มือหรือการสัมผัส (Touching) นอกจากนี้ผู้เรียนบาง คนเรียนรู้ได้ดีถ้ามีการกาหนดเวลาท่ีแน่นอน แต่บางคนจะทาได้ไม่ดี บางคนต้องการให้คอยดูแลสอน ซ้าๆ แตบ่ างคนชอบอิสระ เปน็ ตน้ ในห้องเรยี นหน่ึงๆ ประกอบด้วยผู้เรียนที่มีความแตกตา่ งกนั อยา่ ง หลากหลาย และความแตกตา่ งเหลา่ เปน็ ตวั แปรสาคญั ที่มีอทิ ธิพลต่อประสิทธภิ าพในการจัดการเรยี น การสอน การตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างผู้เรียน ย่อมช่วยให้สามารถจัดการเรียนการสอนเพือ่ ตอบสนองผู้เรียน และพฒั นาศักยภาพผู้เรยี นอยา่ งเต็มท่ี การศึกษาความแตกต่างระหว่างบุคคล นาไปสู่การศึกษาหลักวิธีการสอน กระบวนการสอน และทาความเขา้ ใจธรรมชาติของผู้เรยี นเพอื่ ให้เปน็ ประโยชนใ์ นการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ 1.ช่วยให้ร้จู ักลักษณะนิสัย (Characteristics) ของผู้เรียน รู้เก่ียวกบั พัฒนาการทั้งทางร่างกาย สติปญั ญา อารมณ์ สังคม และบคุ ลิกภาพเป็นส่วนรวม 2.ช่วยให้มีความเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของนักเรียน เช่น อัตมโนทัศน์ (Self concept) เรยี นรถู้ ึงบทบาทของครูในการทีจ่ ะช่วยผ้เู รียนให้มี อตั มโนทัศน์ ทดี่ แี ละถกู ตอ้ ง
3. ชว่ ยให้มคี วามเข้าใจในความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล เพื่อจะไดช้ ว่ ยนักเรยี นเป็นรายบุคคลให้ พฒั นาตามศกั ยภาพของแต่ละบุคคล 4.ช่วยให้รู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก่วัย และข้ันพัฒนาการของ นกั เรียน เพ่อื จงู ใจให้นกั เรียนมคี วามสนใจและอยากจะเรียนรู้ 5.ชว่ ยใหท้ ราบถึงตัวแปร ท่ีมีอิทธิพลตอ่ การเรยี นรู้ของนักเรยี น เชน่ แรงจูงใจ 6.ช่วยในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน เพ่ือทาให้การสอนมีประสิทธิภาพสามารถช่วย ให้นักเรียนทุกคนเรยี นร้ตู ามศักยภาพของแต่ละบุคคล โดยคานึงหัวข้อต่อไปนี้ เลือกวัตถุประสงค์ของ บทเรียน เลือกหลักการสอนและวิธีสอนท่ีเหมาะสมและกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน การวัดและ ประเมนิ ผล 7.ครูทราบหลักการและทฤษฎีของการเรียนรู้ท่ีนักจิตวิทยา ได้พิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี เช่น การ เรียนรจู้ ากการสงั เกตหรอื การเลยี นแบบ (Observational learning หรอื Modeling) 8.ช่วยให้ทราบถึงหลักการสอนและวิธีสอนที่มีประสิทธิภาพ เช่น การใช้คาถาม การให้แรง เสริม และการทาตนเป็นต้นแบบ 9.นักเรียนท่ีมีผลการเรียนดี ไม่ได้เป็นเพราะระดับเชาวน์ปัญญาเพียงอย่างเดียว แต่มี องค์ประกอบอ่ืนๆ เช่น แรงจูงใจ (Motivation) ทัศนคติ ความเข้าใจของนักเรียนและความคาดหวัง ของครทู ี่มีต่อตัวนักเรียน 10.ช่วยให้การดูแลในช้ันเรียนและการสร้างบรรยากาศของห้องเรยี นเอ้อื ต่อการเรยี นรู้ จากส่ิงท่ีกล่าวมาแล้วนั้น สามารถนาไปใช้ในการออกแบบหรือวางแผนการสอนได้อย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะส่ิงน้ีย่อมส่งผลต่อรูปแบบและวิธีการเรียนการสอนท่ีเหมาะสม ซ่ึงจะเกิด ประโยชน์สงู สุดตอ่ ผเู้ รียน 1.การจัดหลกั สูตรการเรยี น (Curriculum) ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างกันท้ังทางร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ควรมีการ ประเมินความต้องการ ความสนใจ ทักษะและความสามารถของผู้เรียน จึงตัดสินใจว่าจะจัดการเรียน การสอนโดยใช้กิจกรรมอะไรกับผู้เรียนและผูส้ อนต้องคานึงถึงเรอื่ งของสภาพแวดล้อม ท้องถ่นิ ที่อาศัย วถิ ชี วี ิต วัฒนธรรมและประเพณี เปน็ ตน้ ควรนามาพจิ ารณาประกอบการจัดการเรียนการสอนดว้ ย
2.วิธกี ารสอน (Method of Teaching) เพื่อให้เหมาะกับหลักสูตรการสอนที่จัด ผู้สอนควรพิจารณาวิธีการสอนท่ีเหมาะสมกับหัวข้อ เรื่องท่ีสอนและเหมาะสมกับผู้เรียน เช่นวิธีการสอนโดยใช้การบรรยาย การสาธิต การทดลอง การ แสดงบทบาทสมมติ การใช้สถานการณ์จาลอง การอภิปรายกลุ่มย่อย ซึ่งในการเลือกวธิ ีการสอน ควร คานึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบคุ คลของผู้เรียนในแตล่ ะระดับชัน้ ทมี่ คี วามแตกตา่ งกนั ด้วย 3.อปุ กรณแ์ ละสิง่ ช่วยสอน (Teaching Aids) ควรมีอุปกรณ์ช่วยสอนอย่างเพียงพอและเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกใช้อย่างเต็มท่ี อุปกรณ์ การสอนต้องเหมาะกับวยั ของผู้เรียน 4.การวัดผล (Evaluation) การวัดผลควรใช้วิธีการท่ีหลากหลาย เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงและให้ความเป็น ธรรมกับผู้เรียน ซ่ึงจะช่วยให้ผู้สอนเข้าใจสภาพปัญหาท่ีเกิดข้ึนกับผู้เรียน จึงสามารถหารูปแบบการ จัดการเรียนการสอนทเี่ หมาะสมกบั ผู้เรยี นได้ 5.การจดั กจิ กรรมพเิ ศษ(Extra Activities) ผู้สอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่ เช่นการเข้าร่วม กิจกรรมนอกชั้นเรียน เพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักการทางานร่วมกัน รู้จักการวางแผน การคิดอย่างมี เหตุผล สามารถแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้จักเป็นผู้นาและผู้ตาม เป็นต้น การสง่ เสรมิ การเรียนร้เู ป็นรายบุคคลหรอื รายกลมุ่ ผสู้ อนควรพจิ ารณาถงึ ความถนดั และความสามารถ ของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ความสามารถพิเศษในด้านอ่ืนๆ เช่น ความถนัดทางด้านดนตรี กีฬา ศิลปะ เปน็ ตน้ เพอื่ เป็นการส่งเสรมิ ความสามารถของผูเ้ รยี นในด้านน้นั ๆอยา่ งเตม็ ตามศักยภาพ ดังน้ันการที่ผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ก็จะสามารถจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคลและบรรลุวัตถุประสงค์ในการจัด การศึกษาให้ผู้เรียนอย่างเสมอภาคกัน รวมถึงการส่งเสริม สนับสนุนผู้เรียนในด้านความสนใจ แรงจูงใจในการเรียน ทัศนคติท่ีดีต่อการเรียน และพัฒนาความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนตาม ศกั ยภาพทแ่ี ตกต่างกันในแตล่ ะบุคคล จะเปน็ ประโยชนใ์ นแนวทางการพัฒนาผู้เรยี นต่อไป
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: