Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Ebook เทคนิคและแนวทางปฏิบัติในการช่วยเหลือผู้เรียน กระบวนการดูแล ช่วยเหลือ

Ebook เทคนิคและแนวทางปฏิบัติในการช่วยเหลือผู้เรียน กระบวนการดูแล ช่วยเหลือ

Published by navarat282515, 2021-09-17 03:19:34

Description: Ebook เทคนิคและแนวทางปฏิบัติในการช่วยเหลือผู้เรียน กระบวนการดูแล ช่วยเหลือ

Keywords: เทคนิค แนวทางปฏิบัติในการช่วยเหลือ กระบวนการ

Search

Read the Text Version

เทคนิคและแนวทางปฏิบัตใิ นการชว่ ยเหลอื ผู้เรียน วิชาการดแู ลและชว่ ยเหลือผเู้ รยี น (Car Support Student) ผู้สอน ผู้ช่วยศาตราจารยน์ วรัตน์ หสั ดี

2 เทคนิคและแนวทางปฏบิ ัติในการชว่ ยเหลอื ผู้เรยี นกลมุ่ ต่างๆ บทบาทในการดูแล ชว่ ยเหลอื ผู้เรียน การเปน็ ครู มิใช่เพียงต้องมีความรทู้ างวชิ าการหรอื เพียงศาสตร์ท่เี รยี นมา เพอื่ จะสอนเท่าน้ัน แต่ยังตอ้ งช่วยเหลอื และพัฒนาผ้เู รียนทงั้ ทางด้านสตปิ ญั ญา บุคลกิ ภาพ อารมณ์ สงั คม ครตู อ้ งเป็นผู้ให้ ความรัก ความอบอุน่ แกผ่ ู้เรยี น เพ่อื ใหม้ คี วามเชือ่ มน่ั และไว้ใจ เปน็ ทีป่ รกึ ษาที่ดี ครมู อี ทิ ธิพลตอ่ ความคิดและการเรยี นรู้ของผเู้ รียนเปน็ อย่างมาก ดังน้ันครูควรมีความเข้าใจในความต่างของผู้เรียน ศกึ ษาแนวทางการดแู ล ช่วยเหลอื และคน้ หาความสามารถท่ีผเู้ รียนมี เชน่ ความสามารถพิเศษเฉพาะ ดา้ น นามาออกแบบวางแผนสาหรบั ผเู้ รียน เพอ่ื เปน็ แนวทางในการชว่ ยเหลือ สนับสนุนสง่ เสริมให้ ผเู้ รยี นมีความพร้อมและเรียนรู้ตามความสามารถอย่างเต็มศกั ยภาพ บทบาทในการดแู ลช่วยเหลือผู้เรียน บรรยากาศของหอ้ งเรียนและความสมั พันธร์ ะหว่างครแู ละผเู้ รยี น มีความสาคัญมาก ผ้เู รยี น และครตู อ้ งมีความไวว้ างใจซึง่ กันและกนั ห้องเรยี นต้องมีความอบอุน่ ปราศจากการทาโทษทางดา้ น จิตใจ (สุรางค์ โคว้ ตระกลู 2544) กล่าวว่า ครเู ปน็ ผ้เู อื้อใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ ยอมรับและเข้าใจ ความรู้สึกของผ้เู รียน เปน็ ทพี่ ง่ึ ของผู้เรียนทุกโอกาส โดยพัฒนาผ้เู รียนตามทัศนะของนกั การศกึ ษา มานษุ ยนยิ ม ดงั ต่อไปน้ี 1.ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเห็นคณุ คา่ ในตนเอง มีความภูมิใจในความสามารถที่มี เขา้ ใจและยอมรบั ความรู้สกึ ของตน มีความเชอ่ื ม่ันในตนเอง 2.ช่วยให้ผเู้ รยี นมีวุฒภิ าวะ สามารถทราบถึงข้อดขี องเสยี ของตน 3.ชว่ ยให้ผูเ้ รยี นมจี ุดมุง่ หมายของชวี ติ 4.ช่วยให้ผู้เรยี นมคี วามรับผดิ ชอบในการกระทาหรอื พฤติกรรมของตน 5.ช่วยใหผ้ ู้เรยี นเปน็ ผูก้ ล้าทีจ่ ะเผชิญกบั ปญั หา

3 6.ช่วยให้ผเู้ รยี นมีโอกาสทีจ่ ะใชจ้ นิ ตนาการ (Imagination) ความคดิ ความฝัน(Fantasy)และ ความคิดสร้างสรรค์(Creativity) 7.ช่วยใหผ้ เู้ รยี นมีโอกาสที่จะแสดงออกทั้งทางด้านความคิด ความรสู้ ึกอารมณ์อยา่ งเปิดเผย 8.ช่วยใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ใจกระบวนการเรียนรู้ รู้วา่ จะเรยี นรอู้ ยา่ งไร เพ่ือจะเปน็ ผู้ท่ีใฝ่ร้อู ยู่เสมอ 9.ชว่ ยให้ผู้เรยี นรู้จกั การประเมินผลการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง 10.ชว่ ยให้ผู้เรียนเป็นผูท้ ต่ี ระหนกั ร้(ู Aware)และไวตอ่ ความรู้สกึ ของผอู้ ืน่ และยอมรับวา่ บุคคล แต่ละคน มอี สิ ระท่ีจะมคี วามคดิ เห็นของตนเอง ลกั ษณะของผูส้ อน 1.จดั ประสบการณใ์ หม้ ีความต่ืนเต้นทา้ ทายสติปัญญาของผ้เู รยี น 2.เปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนได้สารวจ ค้นพบ เรียนรู้ และมคี วามสนุกในการเรยี นรู้ ซึง่ เป็นแรง เสรมิ ภายในทจ่ี ะทาให้ผู้เรียนใฝห่ าความรไู้ ปตลอดชีวิต 3.มีลักษณะเป็น “กลั ยาณมติ ร”ของนกั เรยี น 4.มีความยืดหยุ่นสงู 5 คานึงถึงวธิ กี ารเรียนรู้ของผูเ้ รียนเปน็ สาคญั 6 มีเจตคติท่ดี ตี อ่ ผเู้ รียน 7 มีความเมตตาตอ่ ผู้เรียนทุกคนอยา่ งทั่วถงึ 8. ใช้คาพดู ในเชิงบวก 9.ใชค้ าสั่งเปน็ ขน้ั ตอน เขา้ ใจงา่ ย ชดั เจน ไดใ้ จความ 10.ควบคมุ น้าเสียง ไม่ใชอ้ ารมณล์ งไปในการพดู

4 เทคนิคและแนวทางปฏบิ ตั ิในการชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี นกลมุ่ ตา่ งๆ คุณภาพของผูเ้ รยี นนั้นเก่ียวข้องกบั องคป์ ระกอบในตวั ผู้เรียนเอง เชน่ ความพร้อม สติปัญญา เจตคติ และสภาพแวดลอ้ มอ่นื ๆ เทคนคิ วิธกี ารที่ครจู ดั ให้ ถือว่าเปน็ สิ่งสาคญั ตอ่ ผลสัมฤทธท์ิ างการ เรยี นของผเู้ รียน และเพอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์โดยตรงตอ่ การส่งเสรมิ ให้ผสู้ อนได้เห็นแนวทางในการสอน ใหม้ ปี ระสิทธิภาพดยี ง่ิ ขน้ึ ความรู้เรอื่ งเทคนิค วธิ ีการชว่ ยเหลือผู้เรยี นจงึ มีความจาเป็นทค่ี วรจะศึกษา เพื่อเปน็ ประโยชนส์ าหรับการพฒั นาผู้เรียนต่อไป โดยมเี ทคนิควิธกี ารท่ใี ชใ้ นการสอนซ่ึงมหี ลากหลาย จงึ นามาเป็นตัวอยา่ งดังน้ี 1.การให้แรงเสรมิ (Reinforcment) การเลือกแรงเสริมเปน็ ส่ิงทค่ี วรพจิ ารณาอยา่ งรอบคอบ การ เลือกใชแ้ รงเสรมิ ควรคานึงถงึ ความเหมาะสมกบั ผเู้ รยี นแต่ละคน เชน่ 1.การใหค้ วามสนใจและคาชมเปน็ แรงเสรมิ 2.การใช้กจิ กรรมทผ่ี ู้เรยี นชอบทาเปน็ แรงเสริม (The Premack Principle) เช่น การอนญุ าต ใหน้ ักเรยี นทากจิ กรรมท่ีชอบหรอื ต้องการ 3.การให้รางวัล เชน่ ของเล่น ขนม หรืออาจจะใหเ้ ปน็ ดาวหรือเบ้ยี (Tokens) โดยนักเรยี น อาจจะใช้เบย้ี แลกของใช้ ของเลน่ หรอื ขนมได้ 2. การสังเกต (Observational Learning) หรอื การเลียนแบบจากตวั แบบ (Modeling) 1.การแบ่งหนว่ ยการเรียนออกเปน็ ขน้ั ๆ เพือ่ ใหน้ กั เรยี นเลยี นแบบหรอื ปฏิบตั ิตามได้ 2.หลักการเรยี นรโู้ ดยการเลยี นแบบ มี 2 ข้นั 2.1ข้นั การรับมาเพ่ือเรยี นร(ู้ Acquisition) ต้ังใจหรอื ใส่ใจ(Attention) รับรูส้ ่งิ ท่ี สังเกตและประมวลผลเขา้ รหสั (Coding ) จดจา(Retention) 2.2.ขั้นปฏิบตั ิ (Performance)

5 3.ข้นั สอนหรอื ขั้นแสดง (Demonstration) มีหลกั ดังน้ี 3.1.ใช้ตวั อยา่ งสิง่ ท่ีตอ้ งการใหร้ ับรู้ ทาตวั อย่างใหด้ ู 3.2.ใชต้ วั อย่างทแี่ ตกต่างกนั เพ่อื เสริมใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ 3.3อธบิ ายขณะแสดงตัวอย่าง 3.4 ใช้ภาษาพดู ให้ชดั เจน 3.5 การแสดงสหี นา้ ทา่ ทางของผสู้ อน 3.6 ขออาสาสมัครเพื่อนในห้องออกมาแสดงตวั อย่างเปน็ วิธกี ารหน่งึ ที่ชว่ ยใหเ้ รียนรไู้ ด้ดี 4.ข้นั ปฏบิ ตั ิ 5ข้ันประเมนิ ผล 3. เทคนคิ ในการชว่ ยจา ความหมายของการจา เปน็ คาอธิบายวิธกี ารทข่ี ้อมลู หรือสิง่ ท่ีเรยี นรู้ถกู บันทึก และเกบ็ ไวถ้ าวร ในความจาระยะยาวและสามารถท่ีจะค้นคืนหรือเรียกมาใช้ (Retrieve) ในเวลาที่ต้องการได้ เรา ค้นพบวิธีชว่ ยจา(Memonic Device)มานานนบั เปน็ พันปี สุรางค์ โคว้ ตระกลู 2537อา้ งถึง (Yates,1966. Luria,1968. Hunt and Love,1972) ผลการวจิ ยั ของนักจติ วิทยา พบวา่ การสอน เทคนคิ ในการช่วยความจาให้แกน่ ักเรยี น ทาให้นักเรยี นสามารถทจ่ี ะระลึก (Recall) สง่ิ ท่ีเรียนรไู้ ด้ ดกี ว่าการท่องซ้าๆโดยไม่รคู้ วามหมาย จงึ มกี ารแนะนาให้ครูมเี ทคนคิ ในการช่วยจาให้แกผ่ ูเ้ รียน เพือ่ จะ ได้เกบ็ ส่งิ ท่ีเรียนรูไ้ วใ้ นความทรงจาไดน้ านๆ โดยเทคนิคช่วยจาทใี่ ชก้ นั ทัง้ หมดมี 6วธิ ีคือ 1.การสร้างเสียงสมั ผัส (Rhymes) เปน็ วิธีทใ่ี ชไ้ ดผ้ ลดีมาก สง่ิ ทีจ่ ดจาจะอยใู่ นความทรง จาเปน็ เวลานาน มผี คู้ ดิ แต่งกลอนทม่ี ีสัมผสั และมคี วามหมายเพ่ือใหจ้ าไดง้ า่ ย เช่น ย่สี ิบไม้ม้วน “ผู้ใหญ่ หาผา้ ใหม่ ใหส้ ะใภใ้ ช้คลอ้ งคอ” หรือขึ้นต้นดว้ ย “บัน” บนั ดาลลงบนั ได บันทกึ ไวใ้ ห้จงดี เปน็ ต้น

6 2.การสรา้ งคาเพ่อื ช่วยความจาจากอักษรตัวแรกของแต่ละคา (Acronym) การสร้างคาเพอื่ ช่วยความจา เช่น “ อ-ุ อิ-บ-ุ อา-ทัก-หอ-ประ-พา” 3.การสร้างประโยคทม่ี คี วามหมายจากอักษรตวั แรกของกล่มุ ของท่ีจะจา (Acrostic) การใช้ ประโยคทม่ี ีความหมายสรา้ งจากอักษรตวั แรก ของการจา เช่น ศาสตราจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ ไดค้ ดิ ถอดคาออกมาเปน็ ชอ่ื จังหวดั ท้ัง 9จังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย วา่ “ชดิ ชยั มลิ ังเลเพยี งพบ อนงค”์ คอื เชยี งใหม่ เชยี งราย แมฮ่ อ่ งสอน ลาพนู ลาปาง แพร่ พะเยา อุตรดิตถ์ นา่ น หรอื การฝกึ จาอักษรสูง อกั ษรกลางเช่น “ไข่ ขวด ฉ่งิ ถงุ ฐาน ผึง้ ฝา ศาล ฤาษี เสือ หบี ” เป็นต้น 4.วธิ ี Pegword การใช้จนิ ตนาการในการชว่ ยจา เช่น ต้องไปซื้อของ7-8 อย่าง อยา่ งท่ี หนง่ึ คอื สี ดอกกหุ ลาบ ซื้อรองเทา้ และอืน่ กส็ รา้ งจินตนาการ “ดอกกหุ ลาบโผ่ลออกมาจากรองเท้าท่ี เปอ้ื นส”ี เปน็ ต้น ช่วยใหร้ ะลกึ ไดง้ ่าย(Recall) และระลกึ ไดเ้ ป็นลาดบั คือหน้าไปหลงั ( Forward)หรือ ยอ้ นจากข้างหลังไปหน้า(Backwards) 5.วธิ ีไซโล Loci คือ การสรา้ งมโนภาพและจดั ระเบียบข้อมลู เชอ่ื มโยงสง่ิ ทจี่ ะจากบั สถานท่ี หรอื สิง่ ของท่ีให้หมายเลขไว้ เพือ่ ง่ายต่อการจดจา แต่เราสามารถลาดบั ภาพในหวั เพ่ือจดจาตาแหน่ง ของสถานการณห์ รือสถานที่นนั้ ได้ เชน่ นึกย้อนไปถงึ ภาพที่เกิดข้ึนก่อนหนา้ และเรยี งลาดบั บคุ คลทน่ี ั่ง เรียงกัน เป็นต้น กฎของวธิ ีชว่ ยความจาของ โลไซ มีดังนี้ 1.สถานที่หรือตาแหนง่ ที่อยู่ใกล้กนั 2. จานวนหรือสถานท่ีทใี่ ช้ไมค่ วรเกนิ 10 แหง่ 3. กาหนดหมายเลขใหแ้ ต่ละสถานที่ตามลาดบั และระลกึ ไดท้ ัง้ หน้าไปหลังและหลงั ไปหนา้ 4.ควรเป็นสถานทคี่ ้นุ เคยเพ่อื ใหน้ ึกภาพไดช้ ัดเจน 5.ควรนึกถึงสิ่งท่ี เปน้ จุดเดน่ ของสถานท่ีนัน้ 6.สรา้ งจินตนาการภาพถึงลักษณะพเิ ศษ 6.วิธี Keyword สุรางค์ โคว้ ตระกลู 2537 อา้ งถงึ (Atkinson, 1975 : Atkinson and Raugh, 1975) ใชใ้ นการเรียนภาษาต่างประเทศ โดยแยกคาภาษาตา่ งประเทศทีจ่ ะเรยี น เวลาออก เสียงแลว้ คล้ายคาภาษาไทย และหาคาสัมผัสของความหมาย เชน่ คาภาษาองั กฤษ Potato แปลวา่ มนั ฝร่งั อ่านว่า โพเทโท โดยนกึ ถึงคาวา่ โพธิ์ ในคาภาษาไทย และคดิ ว่า มันฝรั่งตามตา มีใบโพธโ์ิ ผล่ ขน้ึ มา เปน็ ตน้

7 4.หลกั 3 R’s 2.1 Repetition คือ การสอนซ้ าๆ ทบทวนบอ่ ยๆ สอนงา่ ยๆ สั้นๆ และสอนจาก งา่ ยไปหา ยาก 2.2.Relaxation คือ การสอนจะตอ้ งไม่เครง่ เครียด ใหบ้ รรยากาศผ่อนคลาย ดัดแปลง การ สอนเป็นการเล่น การรอ้ งเพลง การเล่านทิ าน 2.3.Routine คอื การสอนจะต้องสมา่ เสมอเปน็ ประจา 5.การสอนแบบกลุม่ สมั พนั ธ์ เปน็ เทคนคิ วธิ ีการทใ่ี ช้ในการสอนแบบกลมุ่ สัมพันธ์ การสอนแบบน้ี จะเน้นการใช้กลุม่ เปน็ แหล่งความร้สู าคญั และเนน้ กระบวนการกล่มุ เพื่อให้เกิดความเขา้ ใจใน กระบวนการท่ดี ใี นการทางานร่วมกัน วธิ กี ารนี้เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรียนไดท้ างานร่วมกัน โดยผูส้ อนมี บทบาทในการให้ความรูแ้ ละแนวทางแกผ่ ้เู รียนเกยี่ วกับบทบาทหน้าที่และวิธกี ารทผี่ ู้เรยี นใชใ้ นการ ทางานร่วมกัน เพือ่ ใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพ และฝกึ ปฏิบัติอยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม 1.1.เกม Game การสอนโดยใช้เกม คือกระบวนการทผ่ี ู้สอนใชใ้ นการชว่ ยให้ผู้เรียนเกดิ การเรยี นรูต้ าม วตั ถุประสงค์ท่ีกาหนด โดยการใหผ้ เู้ รียนเล่นเกมตามกติกา และนาเนื้อหาและขอ้ มูลของพฤติกรรม การเลน่ วธิ กี ารเล่นและผลการเล่นเกมของผเู้ รยี นมาใชใ้ นการอภปิ รายเพื่อสรุปการเรียนรู้ โดยมี วัตถุประสงค์ เพอ่ื ชว่ ยให้ผู้เรยี นไดเ้ รยี นรู้เร่อื งต่างๆอยา่ งสนกุ สนานและท้าทายความสามารถ โดย ผ้เู รียนเปน็ ผู้เลน่ เอง ทาให้ได้รับประสบการณ์ตรง เปน็ วิธกี ารเปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นมีส่วนรว่ มสูง 1.2.บทบาทสมมติ Role Play การแสดงบทบาทสมมติ Role playing การสอนโดยใชบ้ ทบาทสมมติ เป็นการสอนท่ใี ชต้ วั ละครทสี่ มมติขึ้น จากสถานการณ์ใดสถานการณห์ น่ึงที่ใกล้เคียงกบั ความเปน็ จริงมาเป็นเครอ่ื งมือใน การสอน โดยการให้ผู้เรียนสวมบทบาทน้ันและได้แสดงความรสู้ กึ นกึ คดิ ของตนเกยี่ วกบั บทบาทน้ัน ออกมา เปน็ เทคนิคทช่ี ว่ ยให้ผเู้ รียนเรยี นรูค้ วามร้สู กึ และพฤตกิ รรมของตนและของผู้อ่นื ได้อยา่ งลกึ ซง้ึ และชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเข้าใจในบทบาทและแง่มุมท่แี ตกตา่ งไปจากตน มีความเข้าใจและสามารถ เลยี นแบบสง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ งไดใ้ นท่สี ุด

8 1.3.สถานการณจ์ าลอง Simulation การใชส้ ถานการณ์จาลอง Simulation หมายถงึ วธิ สี อนทจ่ี าลองสถานการณ์จรงิ มาไว้ใน ชั้น เรยี น โดยพยายามทาใหเ้ หมือนจรงิ ท่ีสุด มีการกาหนดกติกาหรอื เงือ่ นไข แลว้ แบง่ ผเู้ รียนเปน็ กล่มุ ให้ เขา้ ไปเล่นในสถานการณจ์ าลองนนั้ ๆ ด้วยกจิ กรรมน้ีผเู้ รียนจะเกิดการเรียนร้จู ากการเผชิญกับปญั หา จะตอ้ งมกี ารตัดสนิ ใจและใช้ไหวพริบ เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนไดเ้ ขา้ ไปมปี ฏิสัมพนั ธ์กบั สถานการณ์จนเกดิ ความ เขา้ ใจลกั ษณะสาคญั สถานการณ์ทจ่ี าลองขน้ึ ซ่งึ ใกลเ้ คียงกบั ความเป็นจรงิ 1.4.กรณตี วั อยา่ ง Case การสอนโดยใช้กรณีตวั อยา่ ง เปน็ วิธีการท่มี งุ่ ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นฝกึ ฝนการเผชิญและ แก้ปัญหาโดย ไมต่ อ้ งรอใหเ้ กดิ ปญั หาจรงิ เปน็ วิธกี ารทีเ่ ปิดโอกาสให้ผ้เู รียนคิดวเิ คราะหแ์ ละเรยี นรู้ ช่วยใหผ้ ้เู รยี นได้ พฒั นาทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ การคดิ อยา่ งมี วิจารณญาณ และการคิดแกป้ ญั หา และความคดิ ขอผู้อ่นื ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นมีมมุ มองทก่ี ว้างขึน้ ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรูแ้ ละมีลกั ษณะใกล้เคยี งกบั ความเป็นจรงิ กระตุ้นความคดิ ของผเู้ รียน ใชเ้ รือ่ งจากหนังสือพิมพ์ ขา่ ว และเหตกุ ารณ์ รวมทัง้ จากสอื่ ต่าง ๆ เชน่ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ขอ้ ดี เป็นวิธสี อนทีช่ ว่ ยให้ผเู้ รยี นได้เผชิญปัญหาทเี่ กิดขนึ้ ในสถานการณจ์ รงิ ส่งเสรมิ ปฏสิ มั พนั ธ์ระหวา่ งผเู้ รียน และส่งเสรมิ การเรียนรจู้ าก กันและกัน 1.5.การสอนแบบทางานรับผิดชอบร่วมกัน Co–operative Leanning การสอนแบบทางานรับผดิ ชอบร่วมกัน Co-operative Leanning ความหมาย เป็นการจดั ประสบการณเ์ รยี นรทู้ ผ่ี ู้เรยี นทางานรว่ มกันและช่วยเหลอื กนั ในช้นั เรยี น ซึ่งจะสร้างบรรยากาศทดี่ ใี น ชน้ั เรยี น และยงั เพิ่มปฏิสมั พันธท์ ่ียอมรบั ซึง่ กันและกนั สรา้ งความภาคภูมใิ จใหผ้ ู้เรยี นทกุ คน นอกจากน้ียังเพม่ิ ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนอกี ด้วย เพราะใน ชัน้ เรยี นมคี วามรว่ มมอื ผ้เู รียนจะไดฟ้ งั เขียน อ่าน ทวนความ อธบิ าย และปฏสิ ัมพนั ธ์ ผู้เรยี น จะเรียนดว้ ยการลงมอื กระทา ผเู้ รยี นที่มี จุดบกพร่องจะไดร้ ับการชว่ ยเหลอื จากเพอ่ื นในกลุม่ ความม่งุ หมายของการเรียนแบบทางาน รบั ผดิ ชอบ รว่ มกัน คือ การให้สมาชิกทกุ คนใช้ความสามารถอยา่ งเต็มท่ีในการทางานกลมุ่ โดยยงั คง รักษา สมั พันธภาพทด่ี ตี อ่ สมาชิกกลมุ่ ในการเรียนเปน็ กลุ่มแบบเดิมนั้น จดุ ม่งุ หมายอยู่ทีก่ ารทางานให้ สาเรจ็

9 1.6.เรยี นร้โู ดยการค้นพบ ของบรูนเนอร์ (Bruner) กล่าวถึง John Dewey ท่กี ล่าวไวว้ า่ การ เรียนร้จู ะเกิดขน้ึ ได้เม่อื ผู้เรยี นลงมอื กระทา Learning by Doing ชว่ ยเพิม่ พนู สตปิ ัญญา .ชว่ ยใหจ้ า ไดด้ ี .ชว่ ยในการนาความรไู้ ปประยกุ ตใ์ ช้ ในสถานการณ์ใหม่ .ผเู้ รียนอยากเรยี นรเู้ พมิ่ มากขน้ึ . เกิด ความภาคภูมใิ จในการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง เทคนิควิธีการปรบั เปลีย่ นพฤตกิ รรมและการชว่ ยเหลือผ้เู รียน 1) ท่าทีของผ้สู อนตอ้ งมีความสงบ เปน็ ผฟู้ ังทีด่ ี 2) ตรวจดูพฤตกิ รรมท่ดี ีและชืน่ ชมบอ่ ย ๆ มกี ารเตือนถงึ ผลที่จะตามมาหลงั พฤติกรรมท่ีไม่ดี 3) การใหแ้ รงเสรมิ ทางบวก 4) กฎระเบยี บภายในหอ้ งเรียนควรมีความชัดเจนและปฏิบัติสม่าเสมอ 5) การลงโทษ ตอ้ งอย่ใู นเกณฑท์ พ่ี อเหมาะ และลงโทษโดยตดั รางวลั 6) การสนบั สนนุ และสง่ เสริม (สรา้ งพฤตกิ รรมใหม่) 1.ครูชว่ ยเหลอื ให้ทาพฤตกิ รรมท่ตี ้องการแลว้ ลดการช่วยเหลือลง 2.ครใู หก้ าลงั ใจด้วยการให้รางวลั เช่น การสะสมดาว เพือ่ นาไปแลกเป็นรางวัล -.รางวัลควรมากกวา่ การลงโทษ เพอื่ ส่งเสรมิ ความร้สู ึกทีด่ ีของตวั ผู้เรยี น -รางวัลควรไดร้ บั หลงั จากทีเ่ ด็กมพี ฤตกิ รรมทด่ี ี -ถา้ รางวัลไมไ่ ด้ผล อาจเปล่ยี นลักษณะของรางวลั เพ่อื เพมิ่ แรงจงู ใจ

10 3.ครแู สดงให้ดเู ปน็ ตวั อยา่ ง 4.กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรยี นค้นพบความสามารถของตนเองและส่งิ ท่ที าได้ดี เพื่อให้มคี วามรู้สกึ ชนื่ ชม ตนเอง เห็นคุณค่าในตนเอง แนวทางปฏบิ ัตใิ นการช่วยเหลือผู้เรยี น 1.จัดใหเ้ ด็กนงั่ หนา้ ช้นั หรือใกล้ครูให้มากทส่ี ุดในขณะสอน 2.จัดใหเ้ ดก็ น่ังอยกู่ ลางห้อง หรอื ให้ไกลจากประตู หน้าตา่ ง 3.เขยี นการบ้าน หรืองานทเี่ ด็กต้องทาในช้ันเรียนใหช้ ดั เจนบนกระดานด า 4.ตรวจสมุดจดงานของเดก็ เพ่อื ใหแ้ น่ใจว่าเด็กจดงานไดค้ รบ 5.อย่าสง่ั งานใหเ้ ด็กทา (ดว้ ยวาจา) พร้อมกนั ทีเดียวหลาย ๆ คาส่ัง ควรให้เวลาให้เดก็ ทาเสร็จ ทลี ะอย่าง ก่อนให้คาส่ังตอ่ ไป 6.คิดรูปแบบวิธเี ตือน หรอื เรยี กให้เด็กกลับมาสนใจบทเรยี น โดยไม่ให้เด็กเสียหน้า 7.จดั ให้เด็กท่อี ยไู่ มส่ ขุ มโี อกาสใชพ้ ลงั งานในทางสรา้ งสรรค์ เชน่ มอบหมายหนา้ ทีใ่ ห้ช่วยครู เดนิ แจก สมุดใหเ้ พอื่ น ๆ ในหอ้ ง เปน็ ต้น 8.ใหค้ าชมเชย หรือรางวลั เมอื่ เดก็ ปฏบิ ัติตัวดี หรอื ทาสิง่ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ 9.หลีกเล่ยี งการใชว้ าจาตาหนิ ว่ากล่าวรนุ แรง หรือทาให้เด็กอบั อายขายหนา้ 10.หลีกเลย่ี งการตี หรอื การลงโทษทางรา่ งกาย เม่ือเดก็ กระทาผิด 11.ใช้การตดั คะแนน งดเวลาพัก ทาเวร หรอื อยู่ต่อหลังเลิกเรียน (เพื่อทางานทค่ี า้ งอยใู่ หเ้ สรจ็ ) เม่ือเดก็ ทาความผดิ 12.ให้เวลากบั เด็กนานขนึ้ กว่าเด็กปกติระหว่างการสอน ขอ้ แนะนาสาหรบั สงิ่ แวดลอ้ มภายใน โรงเรยี น

11 13.น่ังใกล้โต๊ะคณุ ครู พยายามให้น่ังข้างหนา้ 14.น่งั อยใู่ นวงของเด็กทต่ี ง้ั ใจเรียน 15.พยายามให้เดก็ ห่างจากบรเิ วณประตู หน้าตา่ ง ฯลฯ 16. กฎ ระเบยี บ ตารางสอน ความสมา่ เสมอ เพราะเด็กปรับตัวยาก 17.มุมสงบ ของหอ้ งเปน็ ท่ีที่เด็กทกุ คนมสี ิทธใิ ช้ ซึง่ จะช่วยทาใหเ้ ด็กไม่รูส้ ึกวา่ ตัวเองแตกต่าง จากผู้อน่ื 18.ชี้ชวนใหผ้ ู้ปกครองหาที่ทส่ี งบในการทางานของเด็ก โดยตงั้ เวลาสาหรับทางาน เวลาสาหรับ พอ่ แม่ ตรวจการบ้าน เวลาจดั กระเปา๋ ทบทวนบทเรยี นโดยสมา่ เสมอ เทคนคิ ในการชว่ ยเหลอื ผเู้ รียนกลุม่ ตา่ งๆ 1) ใช้ส่ือการสอนใหเ้ หมาะสมกบั ระดบั พฒั นาการของเดก็ 2) สอนในชว่ งระยะเวลาสนั้ ๆ เพอื่ ให้เหมาะสมกบั ชว่ งความสนใจของเดก็ 3) สอนตามขั้นตอนของงานท่แี ยกย่อยตามลาดบั จากงา่ ยไปหายาก และไม่ซบั ซอ้ น 4) ในการสอนแตล่ ะครั้ง ควรสอนเนอ้ื หาวชิ าให้น้อย 5) สอนบทเรียนให้เหมาะกับสภาพของชีวิตจริงและปฏิบัติไดจ้ ริง 6) ใชค้ าพดู ทชี่ ัดเจนและประโยคสน้ั ๆ ไมส่ บั สน 7) ใหก้ ารเสรมิ แรงตามความเหมาะสม 8) สงั เกต บนั ทกึ ความก้าวหนา้ ของนักเรียนเปน็ รายบคุ คลเปน็ ระยะ 9) ใหค้ วามรว่ มมือในการแก้ไขปญั หาต่าง ๆ ร่วมกบั ผปู้ กครองและนักวชิ าชีพทีเ่ ก่ยี วข้อง 10.ร่วมมือกบั ผ้ปู กครองและนักวิชาชพี ทเี่ กย่ี วขอ้ ง

12 การสรา้ งวนิ ยั เชิงบวก(Positive Discipline) การสรา้ งวินยั หมายถึง การสอนหรือการฝกึ ผเู้ รียนให้ เชื่อฟังกฎระเบยี บหรือแนวทางการปฏบิ ัติตนทงั้ ใน ระยะสนั้ หรือระยะยาว การสร้างวินยั เชิงบวกใน หอ้ งเรียน จาเป็นต้องได้รบั อบรมสง่ั สอนเพ่ือใหเ้ ขา้ ใจและปฏิบตั ิตาม ระเบียบของสังคม หลักฐานจาก การวจิ ยั แสดงให้เหน็ วา่ ทั้งผหู้ ญิงและผูช้ ายจะตอบสนองตอ่ วธิ ีการเชิงบวกได้ดกี วา่ ซ่ึงหมายรวมถงึ การ ต่อรอง และการสร้างระบบการให้รางวัลมากกว่าการลงโทษด้วยการทารา้ ยหรือใช้วาจาทาร้าย จิตใจ หลกั 7 ประการของ การสรา้ งวนิ ัยเชิงบวก 1. เคารพศักดิศรีของเด็ก 2. พยายามพฒั นาพฤตกิ รมท่ีพึงประสงค์ การมีวนิ ยั ในตนเองและบุคลกิ ลักษณะทดี ี 3. พยายามใหเ้ ดก็ มสี ่วนร่วมมากทสี ุด 4. คานงึ ถงึ ความต้องการทางพัฒนาการและคุณภาพชีวติ ของเดก็ 5. คานึงถงึ แรงจงู ใจและโลกทศั นข์ องเด็ก 6. พยายามให้เกิดความยตุ ิธรรม เทา่ เทียมกนั และไม่เลอื กการปฏิบัติ 7. เสริมสรา้ งความสามัคคีกลมเกลยี วในกลมุ่ ในการสรา้ งวินยั เชิงบวก ควรพยายาม“จับถกู ” ให้ไดส้ มากกวา่ “จบั ผดิ ”

13 กระบวนการดูแล ช่วยเหลอื ผูเ้ รยี น กระทรวงศกึ ษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข ได้ตระหนกั ถึงความสาคัญของการพฒั นา คุณภาพชวี ิตของนักเรยี นทุกคน โดยมุ่งหวงั วา่ นักเรยี นจะได้เตบิ โตอยา่ งมคี ณุ ภาพรอบด้าน ท้งั ดา้ น สตปิ ญั ญา ความสามารถ ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และด้านการดารงชีวิตอย่างเป็นสขุ ในสงั คม พรอ้ ม ด้วยสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจติ ที่ดี ซง่ึ ความมงุ่ หวงั นัน้ จาเป็นต้องอาศยั ความร่วมมือและความพรอ้ ม ของบุคลากรทุกคนในโรงเรยี น อกี ทัง้ มกี ารประสานงานกับพอ่ แม่ ผู้ปกครองอย่างใกล้ชดิ รวมถงึ หน่วยงานภายนอกทเ่ี ก่ยี วข้องเพอ่ื ประสทิ ธิภาพในการดาเนนิ งาน และจากการทส่ี งั คมปัจจุบันประสบ กบั ปญั หาตา่ งๆ และการมีเทคโนโลยีการส่อื สารทท่ี นั สมัย รวดเร็ว ได้ส่งผลกระทบต่อวถิ กี ารดารงชวี ิต และจติ ใจของผคู้ นอยา่ งมาก กอ่ เกดิ ปญั หาตา่ งๆตามมามากมาย แม้แต่เยาวชนก็ไดร้ บั ผลกระทบ เช่นกัน ซงึ่ เยาวชนเหลา่ นั้นยังเป็นเด็กวัยเรียนทตี่ ้องการความดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ต้องการ คาแนะนาปรกึ ษาอยา่ งมเี ทคนิควธิ ี บางครั้งก็ตอ้ งการความชว่ ยเหลือในการแก้ไขปัญหาทีผ่ า่ นมาใน ชีวติ อย่างเร่งดว่ น เชน่ ตอ้ งการความรัก ความเขา้ ใจจากผ้ใู หญ่ โดยมีพอ่ แมเ่ ป็นบคุ คลสาคญั ที่สุดของ สถาบนั ครอบครัวในการดแู ลช่วยเหลือนักเรยี น และมีครูทุกคน ซ่งึ จะเป็นบุคคลท่มี ีความใกล้ชดิ กับ นักเรยี นมาก เป็นผทู้ าหน้าทีด่ ังกลา่ วแทนพอ่ แม่ ผู้ปกครองเม่ือเด็กๆอยูท่ โี่ รงเรียน https://th.rajanukul.go.th/preview-4765.html จึงสรปุ ได้วา่ การดแู ลชว่ ยเหลือผเู้ รยี น เปน็ การส่งเสริมพัฒนาการ ป้องกนั และหา แนวทางช่วยเหลือใหแ้ กผ่ ู้เรยี น เพือ่ ให้มคี ุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์ มีภูมคิ ุ้มกันทางจิตใจ มคี ณุ ภาพชีวิต ทดี่ ี มีทักษะในการดารงชวี ิตและรอดพน้ จากสภาวะวกิ ฤติตา่ งๆไดอ้ ย่าง ปลอดภัย ระบบการดแู ล ชว่ ยเหลือผู้เรียน หมายถงึ กระบวนการการดาเนนิ งานดแู ลช่วยเหลือผเู้ รยี นอยา่ งเป็นระบบ มีข้ันตอน โดยการมีสว่ นรว่ มของบุคลากรทุกฝ่าย

14 วตั ถุประสงคข์ องกระบวนการดแู ล ช่วยเหลือผเู้ รยี น 1. เพ่ือให้การดูแล ชว่ ยเหลือผเู้ รียนเปน็ ไปอย่างมรี ะบบ มีประสทิ ธภิ าพ 2. เพื่อให้ผูท้ มี่ ีส่วนเก่ยี วขอ้ งทุกฝ่ายสามารถทางานร่วมกนั เพ่อื พฒั นาผู้เรยี น ประโยชนข์ องระบบการดแู ล ช่วยเหลอื นกั เรยี น 1. ผู้เรยี นได้รบั การดแู ลชว่ ยเหลืออย่างทว่ั ถึงและตรงสภาพปัญหา 2. สัมพันธภาพระหวา่ งครกู บั ผเู้ รยี นเปน็ ไปดว้ ยดีและอบอนุ่ 3. ผู้เรยี นรู้จกั ตนเอง ควบคุมตนเองได้ มีการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์(EQ) ซ่งึ เปน็ พ้ืนฐานในการพัฒนาความเกง่ (IQ) คณุ ธรรม จรยิ ธรรม (MQ) และความมุ่งมั่นทจ่ี ะ เอาชนะอุปสรรค (AQ) 4. ผู้เรยี น เรียนร้อู ย่างมคี วามสขุ และไดร้ ับการส่งเสริมพฒั นาเตม็ ตามศักยภาพอย่างรอบด้าน 5. ผู้ทเี่ กยี่ วขอ้ งภายในโรงเรียน มีส่วนรว่ มในการพัฒนาคณุ ภาพผเู้ รยี น กระบวนการและขัน้ ตอนการดูแล ชว่ ยเหลือผู้เรยี น 1) การรจู้ กั ผเู้ รียนเปน็ รายบคุ คล การรขู้ อ้ มูลทจี่ าเป็นเกี่ยวกับตัวผเู้ รียนเปน็ สง่ิ สาคญั ทจี่ ะทาให้ครเู ข้าใจผเู้ รียนมากย่ิงขนึ้ ชว่ ย ให้มคี วามเขา้ ใจในความแตกต่างระหว่างบคุ คลของผเู้ รียน ซง่ึ ข้อมลู ที่ได้เปน็ ข้อมูลเชงิ ประจักษ์ทไ่ี ด้ จากเครื่องมอื และวธิ กี ารที่หลากหลายตามหลักวิชาการ เพ่อื การชว่ ยเหลอื สามารถนาข้อมลู มา วิเคราะหเ์ พ่อื คดั กรองผู้เรยี น เป็นประโยชน์ในการส่งเสริม ปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาของผู้เรยี นได้ 2) การคดั กรอง (Screening) การคน้ หาเพอ่ื ช่วยเหลือผเู้ รยี นไดอ้ ย่างทันท่วงที เปน็ สิ่งท่ีควรลงมือปฏิบตั ิ เพอื่ นาขอ้ มูล เก่ยี วกบั ตัวผู้เรียนมาพิจารณา ศกึ ษาหาแนวทาง วางแผนการดูแลช่วยเหลือทีเ่ หมาะสมกบั ผ้เู รียนแต่ ละกล่มุ

15 2.1.กลุ่มปกติ ควรได้รับการสร้างเสรมิ ภมู คิ มุ้ กนั และการสง่ เสรมิ พัฒนาศกั ยภาพตาม ความสามารถ 2.2.กลมุ่ เส่ียง คอื ผเู้ รยี นกล่มุ น้เี น้นการดแู ลช่วยเหลือแตเ่ ริ่มแรก สอนเสริมความรู้ และทักษะด้านทเี่ ป็นปญั หา 2.3.กลมุ่ ทม่ี ีความตอ้ งการชว่ ยเหลอื พเิ ศษ ผู้เรียนกลมุ่ นเ้ี น้นการดแู ลชว่ ยเหลอื ที่ เหมาะสมกับสภาพปญั หาและอาการของโรค เชน่ ผ้เู รยี นที่ต้องการความชว่ ยเหลอื พิเศษและผ้เู รยี นที่ มีความสามารถพิเศษ (อจั ฉรยิ ะ) ซง่ึ ต้องใหก้ ารสง่ เสรมิ ใหไ้ ดร้ ับการพฒั นาตามความสามารถอย่างเต็ม ตามศกั ยภาพ การคัดกรองสามารถทาไดท้ ง้ั ท่ีไมเ่ ปน็ รปู แบบ และเป็นรูปแบบ หรอื ทาควบคู่กนั การคดั กรองทไ่ี ม่เป็นรูปแบบ คือ ใหค้ รสู งั เกตพฤติกรรมเดก็ ในหอ้ งเรียน วา่ มีความยากลาบากในการเรยี น อยา่ งไรบา้ งเมื่อเทยี บกบั เพ่อื นในหอ้ งเดยี วกัน เชน่ จดงานไมเ่ สรจ็ เขยี นสะกดผดิ มาก ลายมืออ่านไม่ ออก น่ังคยุ ไมส่ นใจเรยี น อา่ นหนงั สือไม่คลอ่ ง ไมส่ ง่ งาน และดูวา่ ผลการเรียนตา่ กวา่ ความสามารถท่ี แท้จริงท่สี งั เกตเห็นหรอื ไม่ เชน่ เวลาพดู คุยดฉู ลาดคล่องแคลว่ มีไหวพริบแกป้ ัญหาดี แตผ่ ลการเรยี น ต่า การคดั กรองทเี่ ป็นรูปแบบ คือ การใช้แบบคดั กรองที่เปน็ มาตราฐาน โดยนักจิตวทิ ยาหรือ ผูเ้ ชย่ี วชาญเฉพาะ 3) การส่งเสริมและพัฒนาผเู้ รยี น การจดั กจิ กรรมเพ่อื ชว่ ยสง่ เสรมิ ผู้เรยี นใหม้ ีพฒั นาการในดา้ นตา่ งๆดีข้ึน เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นมี พฒั นาการตามวยั ทเ่ี หมาะสม เช่น กิจกรรมโฮมรูม การจัดประชุมผปู้ กครองหรอื กิจกรรมคยุ กับ คณุ ครู (Classroom Meeting) การจดั กจิ กรรมเสรมิ สรา้ งทักษะการดารงชวี ติ และกจิ กรรมพัฒนา ผเู้ รียน กจิ กรรมพฒั นานักเรียนเพอ่ื นท่ีปรึกษา เป็นตน้ ส่งเสรมิ และพฒั นาศักยภาพนกั เรยี นตาม ความสนใจ ความถนัดและความสามารถ 4) การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหา 4.1)ศึกษา สังเกต รวบรวมขอ้ มลู ประชมุ วางแผนหารือร่วมกันกบั ผ้ทู ี่เกีย่ วขอ้ ง เพื่อ วางแนวทางในการช่วยเหลือลดพฤติกรรม

16 4.2การดูแล ช่วยเหลือ และส่งเสรมิ ความสามารถท่มี ี 5) การสง่ ตอ่ แบ่งออกเปน็ 2 แบบ 5.1 การส่งต่อภายใน ครทู ี่ปรึกษาส่งตอ่ ครแู นะแนว ครูพยาบาล ครูประจาวิชา และฝ่าย ปกครอง 5.2 การส่งตอ่ ภายนอก ในบางกรณีทม่ี คี วามยากตอ่ การชว่ ยเหลือ ควรสง่ ตอ่ ไปยังผเู้ ช่ยี วชาญ เฉพาะดา้ น เพ่ือให้ปัญหาของนกั เรียนไดร้ บั การชว่ ยเหลอื อย่างถกู ทางและรวดเร็ว การจดั การเรยี นการสอนใหเ้ หมาะกับผเู้ รยี นและสภาพการณต์ ่างๆ เพือ่ ชว่ ยใหก้ ารเรียนบรรลุ เปา้ หมาย จงึ นาทฤษฎรี บั เบอรแ์ บรนด์ (The Rubber – Band Theory) ซง่ึ พัฒนาจากแนวคดิ ของ อิชวาร์ เดชาย (Ishwar Desai, 2007 อา้ งถึงใน กิ่งเพชร ส่งเสริม, 2550) ทฤษฎนี ้ีเน้นการชว่ ยเหลอื (Accommodation) การปรับเปลยี่ น (Modification) และการดัดแปลง (Adaptation) เพ่ือนาไปสู่ การจัดหลกั สตู รและการสอนผู้เรียนท่มี คี วามสามารถแตกต่างกนั แต่เรียนไปดว้ ยกัน ตามระบบของการ เรยี นรวม ซ่งึ มีรายละเอยี ดดงั นี้ (สานักบริหารงานการศึกษาพเิ ศษ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษา ขน้ั พืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, 2557) 1. การช่วยเหลือ (Accommodation) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่กระทาตอ่ สิง่ แวดล้อมใน ห้องเรียน เพื่อที่จะสอนนักเรียนท่ีมีทักษะและความสามารถท่ีแตกต่างกันในห้องเรียนเดียวกัน เป็น การช่วยเหลือนักเรียนให้สามารถเข้าถึงห้องเรียนหรือหลักสูตรปกติ เป็นการช่วยเหลือเด็กที่มีความ ตอ้ งการพิเศษให้มีความสามารถเขา้ ร่วมโปรแกรมการศึกษา ในระดบั ปกติได้ ทางานหรอื เรียนในระดับ ท่ีใกล้เคียงกับระดับปกติมากขึ้นได้ดีกว่าไม่ได้รับการช่วยเหลือใด ๆ เม่ือทาการช่วยเหลือแต่ยังคงใช้ เกณฑ์มาตรฐานของผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนไว้เหมือนเดิม การช่วยเหลือแบบนี้ไม่ได้ลดระดับความ ยากหรือลดความคาดหวังต่อผลสัมฤทธ์ิของนักเรียนลง ถึงแม้อาจมีการเปล่ียนแปลงวัสดุอุปกรณ์การ สอนท่ีใช้ อปุ กรณท์ ่ใี ชท้ ดสอบหรือแม้กระท่ังสงิ่ แวดล้อมทางการเรยี นการสอน ยกตัวอย่างเชน่ เดก็ คน หนึ่งเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้อาจไม่สามารถอ่านหนังสือที่ครูมอบหมายให้อ่านได้ แต่ การช่วยเหลือเพิ่มเติมช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนรู้เน้ือหานั้นได้จากการฟังเทป เม่ือนักเรียนฟัง

17 เร่ืองราวน้ันแล้ว เขาจะต้องได้ทางานที่ถูกมอบหมายและได้รับการทดสอบเหมือนคนอื่น ๆ การ ช่วยเหลือ ได้แก่ การจัดสถานท่ีท่ีสงบในการเรียนหรือการทดสอบ การได้รับความช่วยเหลือจากครู บางเวลาหรือเต็มเวลา การได้รับอนุญาตให้พักได้บ้าง การได้รับอนุญาตในการใช้เวลาในการทดสอบ มากกว่าเด็กอน่ื การจดั ท่ีนั่งให้นักเรียนนั่งใกลก้ ระดานดา การอนุญาตให้นักเรียนใช้เครื่องคิดเลขแทน การคดิ เองหรอื นับนิ้ว การช่วยเหลือในหอ้ งเรยี น เป็นการใหก้ ารชว่ ยเหลือในด้านตา่ ง ๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับ รายละเอียดของการจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้นักเรียนบรรลุเป้าหมายของการเรียนรู้ ซึ่งมี รายละเอยี ดของการชว่ ยเหลอื ดังน้ี 1.1 การช่วยเหลือในด้านเวลา ได้แก่ การปรับเปลี่ยนเวลาให้ยืดหยุ่นเหมาะสมกับ กิจกรรมการปรับความยาวของเวลาในการทางาน การให้เวลาพักในระหว่างการทางาน คานึงถึงช่วง ความสนใจของเด็ก การให้เวลาในการทางานมากขึ้นเพ่ือให้เด็กทางานได้สาเร็จ การให้เวลานักเรียน อย่างเพียงพอในการใช้ห้องน้าระหว่าง เวลาเรียน การพูดคุยกับนักเรียนบ่อย ๆ เพื่อเป็นการ ตรวจสอบความเข้าใจ 1.2 การช่วยเหลือด้านสถานท่ี ได้แก่ การจัดสถานที่ให้ทางานเป็นกลุ่มเล็ก ๆ การจัด สถานท่ีให้ทางานในมุมเล็ก ๆ ที่สงบ การกาหนดบริเวณท่ีเด็กจะเรียนหนังสือหรือทางานส่วนตัว การ นาส่งิ ท่ีเรียนรู้ไปเช่ือมโยงกับชีวิตในบ้านของนักเรียนการจัดท่ีน่ังให้นั่งแถวหน้า และอยู่ใกลค้ รู การจัด ให้นัง่ ใหเ้ ด็กไดน้ ง่ั ใกล้ผใู้ หญ่ทีเ่ ปน็ ครพู ่เี ลยี้ ง 1.3 การช่วยเหลือด้านอุปกรณ์ ได้แก่ การจัดหาเคร่ืองมือบันทึกเสียงให้ การจัดหาเคร่ือง คิดเลขให้ การจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ การใช้วีดิโอหรือภาพยนตร์ การจัดให้เด็กคัดลอกจากสมุด ของครหู รือเพือ่ น 1.4 การช่วยเหลือด้านการตอบสนอง ได้แก่ การให้เด็กทาเคร่ืองหมายคาตอบลงใน ข้อสอบได้เลย โดยไม่ต้องแยกทาในกระดาษคาตอบ การให้รายงานเป็นการตอบปากเปล่าแทนการ เขียนการอนุญาตให้ใช้เวลาในการตอบมากข้ึน การตอบสนองเพียงเล็กน้อยเพื่อแสดงให้เห็นว่าเด็กมี ผลสัมฤทธ์ิ การอนญุ าตให้ใช้การตอบโดยการบนั ทึกเทป การจัดหาคนชว่ ยเขยี นในการเขยี นคาตอบ 1.5 การช่วยด้านเน้ือหาสาระ ได้แก่ การใช้คาง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน การแจกใบกิจกรรมหรือ ใบความรู้คร้ังละแผ่น การลดระดับของการอ่าน การย่อยงานให้เป็นส่วนเล็ก ๆ การลดปริมาณของ การบา้ นลง

18 1.6 การช่วยเหลือด้านการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ การยกตัวอย่างท่ีเป็นรูปภาพการ ลดความคิดรวบยอดลงในการสอนแต่ละคร้ัง การสอนคาศัพท์ก่อนสอนเนื้อเร่ือง การบอกนักเรียนให้ ทราบความคาดหวงั ของการเรียน การทบทวนสงิ่ ทไี่ ดเ้ รยี นไปแลว้ ก่อนทจ่ี ะสอนเรอ่ื งใหม่ 1.7 การช่วยเหลือด้านการทาข้อสอบ ได้แก่ การอนุญาตให้สอบแบบเปิดตารา การ อนุญาตให้สอบแบบปากเปล่า การอนุญาตให้สอบแบบเอากลับไปทาที่บ้าน การใช้คาถามแบบปรนัย เพ่มิ ข้นึ และลดคาถามแบบอัตนัย การอนญุ าตให้ตอบดว้ ยการอดั เทปในเคร่ืองบันทึกเสียง 1.8 การช่วยเหลือด้านการจัดระบบการเรียน ได้แก่ การมอบหมายให้มีเพ่ือนคู่หูในการ ช่วยทาการบ้าน การให้เด็กมีหนังสืออีกชุดหน่ึงท่ีบ้าน การส่งรายงานความก้าวหน้า ให้ผู้ปกครอง ทราบทุกวันหรือทุกสัปดาห์ การให้นักเรียนมีสมุดจดการบ้านท่ีได้รับมอบหมายในแต่ละวัน การจัด แฟ้ม ใหน้ กั เรียนเก็บผลงานเมอื่ ทาเสร็จแลว้ 1.9 การช่วยเหลือด้านพฤติกรรม ได้แก่ การจัดตารางกิจวัตรประจาวันในช้ันเรียนการ จดั เตรียมเด็กเมื่อทากิจกรรมไม่เป็นไปตามกิจวัตรประจาวัน การมีกฎระเบียบของชั้นเรียนชัดเจนและ เข้าใจง่าย การพยายามให้มีการปฏิบัติตามกของช้ันเรียน การอนุญาตให้มีการพักระหว่างการทางาน ที่มอบหมายการกาหนดให้มีเวลาลุกออกจากที่เพื่อทางานท่ีถูกมอบหมาย การทาพันธะสัญญากับ นักเรียน การใช้อวัจนภาษาเพ่อื บอกพฤตกิ รรมท่ีพงึ ประสงค์ การให้มีความรับผิดชอบของท้ังกลมุ่ และ บุคคล การจดั ทาแผนภมู แิ สดงความสามารถของนักเรียน 1.10 การช่วยเหลือด้านการใช้กลุ่มเพื่อนหรือเพื่อนช่วยสอน ได้แก่ การใช้ ประโยชน์จากกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ การใช้ประโยชน์จากการช่วยเหลือจากเพ่ือน การใช้ ประโยชน์จากการใช้เพ่ือนช่วยสอน การใช้เพ่ือนจดตามคาบอกของนักเรียน การใช้เพ่ือนเป็นตัวแบบ ในการแสดงพฤติกรรมทีเ่ หมาะสมการมอบหมายใหเ้ พ่ือนคหู่ ูช่วยทาการบา้ น 1.11 การช่วยเหลือด้านการประเมินผล ได้แก่ การใช้ประโยชน์จากการประเมิน ตนเอง การใชป้ ระโยชนจ์ ากการประเมนิ จากเพ่อื น การใช้คะแนนรายบุคคลโดยไมอ่ ิงกบั กลุ่ม 2. การปรับเปล่ียน (Modification) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ระดับความยากง่าย และ ปริมาณเนื้อหาที่เดก็ ต้องเรียนรู้ รวมถงึ การปรับเปลี่ยนวิธีการนาเสนอเน้ือหาและลกั ษณะการทดสอบ การปรับเปล่ียนจะสร้างมาตรฐานที่แตกต่างกันเพ่ือ ให้เข้ากับเด็กท่ีมีความบกพร่องและการ ปรับเปล่ียนนี้ มักกาหนดไว้ในแผนการศึกษาเฉพาะบคุ คลด้วย ตัวอย่างของการปรับเปล่ียน ได้แก่ ครู

19 ลดจานวนคาศพั ทล์ งสาหรบั เดก็ ทมี่ ีความบกพร่อง เม่อื ทาการทดสอบการสะกดคาหรือสาหรบั เด็กที่มี ความบกพร่องด้านการคานวณ ครูควรปรับเปล่ียนเนื้อหาเร่ืองเศษส่วนและร้อยละที่สอนนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี 5 เป็นคณติ ศาสตรพ์ น้ื ฐาน เชน่ การบวกและการลบแทน เป็นตน้ 3. การดัดแปลง (Adaptation) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงภาระงานของนักเรียน รวมถึง การเปล่ียนแปลงเน้ือหา วิธีการสอนและส่อื วัสดุอุปกรณ์ กระบวนการประเมินผลหรือส่ิงแวดล้อมทาง กายภาพ การดัดแปลงเก่ียวข้องกับการใช้เน้ือหาของหลักสูตรและปรับให้เหมาะสมกับความต้องการ ของเด็กที่แตกต่างกัน การดัดแปลงอาจนามาใช้เมื่อจาเป็น และอาจลดลงเม่ือนักเรียนมีทักษะเพม่ิ ขึ้น ตัวอย่างของการดัดแปลง เช่น การสอนนักเรียนให้ใช้เคร่ืองคิดเลขในการแก้โจทย์เลขง่าย ๆ หรือใน การซื้อของการปรับบทเรียนให้เหมาะสมกับระดับความสามารถของเด็ก โดยการให้ฟังเทปมากกว่า การอ่านจากหนังสือ การสะกดคาท่ายกว่าและจานวนน้อยกว่าที่เพ่ือนเรียน ให้นักเรียนใช้ทักษะท่ี แตกต่างไปจากเพื่อน เช่น การจาชื่อเพื่อนและรู้จักส่งงานแทนการเขียน เป็นต้น การดัดแปลงมี 8 ประเภท ไดแ้ ก่ 3.1 การดัดแปลงด้านขนาด (Size) เป็นการปรับจานวนเรื่องท่ีนักเรียนจะต้องเรียนหรือ ต้องทาให้สาเร็จ เช่น การลดจานวนคาศัพท์ที่นักเรียนต้องเรียนในแต่ละครั้งให้น้อยลง เป็นต้น นอกจากนี้มีการปรับความยาวหรือสัดส่วนของการงานท่ีครูมอบหมายให้ทา เช่น ลดความยาวของ รายงาน ลดจานวนขอ้ ของโจทย์ปัญหาให้นอ้ ยลง 3.2 การดัดแปลงด้านตัวป้อน (Input) เป็นการปรับวิธีการสอนเพ่ือผู้เรียน เช่น การใช้ เครื่องช่วยในการมองเห็น การยกตัวอย่างเปน็ รปู ภาพ การจัดกิจกรรมดว้ ยการลงมือกระทา การจัดให้ เดก็ เข้ากลมุ่ ทางานร่วมกัน เปน็ ตน้ นอกจากน้ีมีการปรับกลยุทธ์การสอนเพอื่ ให้เอ้อื ตอ่ การเรียนรู้ เช่น การใช้วีดีทัศน์ การใชโ้ ปรแกรมคอมพิวเตอร์ การไปทัศนศึกษานอกสถานท่ี เป็นตน้ 3.3 การดัดแปลงด้านระดับของการมีส่วนร่วม (Degree of Participation) เป็นการ ปรับเพื่อทาให้เด็กได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการทางาน เช่น ในวิชาภูมิศาสตร์ครูอาจให้นักเรียนที่มีความ ตอ้ งการพเิ ศษ เป็นผ้ถู ือลูกโลกจาลอง และให้นักเรียนคนอนื่ ออกมาช้ีตาแหน่งที่ตั้งของประเทศตา่ ง ๆ ในการเล่นละครหรือบทบาทสมมติ ครูอาจให้นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษมีส่วนร่วม ด้วยการเล่น บทงา่ ย ๆ เปน็ การเคล่อื นไหวทางร่างกายมากกว่าการพูดทีต่ ้องทอ่ งบทยาว ๆ เป็นต้น

20 3.4 ดัดแปลงดา้ นเวลา (Time) เปน็ การปรบั เวลาท่ีมีอยูใ่ หเ้ หมาะกับงานหรือการทดสอบ อย่างยืดหยุ่น เช่น จัดระยะเวลาในการทางานหรอื โครงงานให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคน การเพิม่ หรอื ลดเวลาให้เหมาะกับนักเรียนบางคน การให้เวลาสาหรับการสอบมากขน้ึ 3.5 การดัดแปลงด้านความยากง่าย (Difficulty) เปน็ การปรับระดับของทักษะความคิด รวบยอด ประเภทของโจทย์ ขั้นตอนท่ีเกี่ยวเน่ืองกับการเรียนรู้หรือกฎเกณฑ์การทางานของผู้เรียน เช่น การอนุญาตให้ใช้เครื่องคิดเลขในการคานวณโจทย์เลข ปรับคาส่ังในการทางานให้เข้าใจง่าย จัด ระดับของงานท่ีให้นักเรียนบรรลุเป้าหมายเหมือนกันแต่มีระดับความเป็นรูปธรรม และความซับซ้อน แตกตา่ งกัน 3.6 การดัดแปลงด้านเป้าหมาย (Modified Goals) เป็นการปรับเป้าหมายหรือความ คาดหวังต่อผลลัพธ์ท่ีจะเกิดข้ึนในบริบทของหลักสูตรการศึกษาทั่วไป โดยใช้วัสดุอุปกรณ์ชุดเดิม เช่น ในวิชาสังคมศึกษา ครูอาจคาดหวังเพียงนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษช้ีตาแหน่งของจังหวัดต่าง ๆ ในขณะท่ีเด็กคนอื่นจะต้องรู้ท้ังตาแหน่งและเมืองหลวงหรือสถานที่สาคัญ ๆ ด้วย ส่วนในกิจกรรด้าน การเขียนครูอาจคาดหวังเพียงให้นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษเขียนตัวอักษรหรือลอกคาศัพท์ มากกวา่ ทจ่ี ะแตง่ ประโยคหรือเขียนบรรยาย เป็นตน้ 3.7 การดัดแปลงด้านระดับความช่วยเหลือ (Level of Support) เปน็ การปรับโดยการ เพิ่มปริมาณความช่วยเหลือเด็กแต่ละคน เช่น การจัดให้มีเพื่อนคู่หู ครูพี่เล้ียง เพ่ือนช่วยสอน การเขา้ กล่มุ ทางานแบบร่วมมอื กนั เป็นตน้ 3.8 การดัดแปลงด้านผลลัพธ์ (Output) เป็นการปรับการตอบสนองต่อการสอนของ นักเรียน ปรับวิธีให้ผู้เรียนสามารถแสดงความเข้าใจหรือความรู้ได้ เช่น การตอบปากเปล่าแทนการ เขียน การแสดงความรู้โดยการลงมือทา การเล่านิทาน การออกแบบแผ่นพับ การแสดงการทดลอง เป็นตน้

21 จากทฤษฎีทีอ่ ธิบายข้างต้น สรุปได้ว่า การช่วยเหลือ การปรับเปล่ียนและการดัดแปลงเปน็ วิธกี ารท่แี สดงให้เหน็ ถึงการช่วยใหน้ กั เรียนทกุ คนในชัน้ เรียนสามารถเรียนรู้ดว้ ยกนั ได้ถึงแมว้ ่าจะมี ความสามารถท่แี ตกตา่ งหลากหลายดังที่แสดงในภาพประกอบ เกณฑ์มาตรฐาน การช่วยเหลือ เกณฑ์มาตรฐาน การปรบั เปลีย่ น แผนภาพที่1 การช่วยเหลือและปรบั เปลี่ยนใหเ้ หมาะสมกบั นกั เรียนท่ีมคี วามสามารถแตกต่างกัน ทม่ี า: Desai, l. (2007). Inclusive Education.p.17 จากภาพประกอบ แสดงตัวอย่างระดับการช่วยเหลือนักเรียนท่ีมีความสามารถแตกต่างกันใน ตัวอย่าง มีนักเรียนสี่คน โดยที่นักเรียนคนที่หนึ่งเรียนได้ถึงเกณฑ์มาตรฐานปกติ จึงไม่ต้องมีการ ปรบั อะไรสาหรบั นักเรียน คนที่สอง เปน็ คนทม่ี คี วามสามารถสงู กวา่ เกณฑม์ าตรฐาน ดงั น้ี การจดั การ เรียนการสอนจึงต้องมีการปรับให้สอดคล้องกับความสามารถของเขา เช่น การสอนแบบเพ่ิมพูน ความรู้ การใช้ทักษะการคิดระดับสูงเป็นต้น นักเรียนคนที่สามเป็นเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษต้องมี การช่วยเหลอื (Accommodation) เพอ่ื ใหส้ ามารถบรรลุเกณฑ์ โดยปรับให้สอดคล้องกับสภาพปญั หา ของเด็ก กล่าวคือ เนื้อหาท่ีสอนไม่ได้ลดลง แต่มีการปรับเวลาและวิธีการสอนเพื่อช่วยให้เด็กเรียนได้ ส่วนนกั เรียนคนที่สเี่ ปน็ เด็กท่ีมคี วามบกพร่องมากไมส่ ามารถเรียนไดถ้ ึงเกณฑ์ จงึ ตอ้ งมีการปรับเปลย่ี น (Modifications) ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนค่อนข้างมากท้ังวิธีสอน สื่อวัสดุ อุปกรณ์ การเพิ่มเวลา และ การย่อยงาน สรุปได้ว่าทฤษฎีรับเบอร์แบรนด์ เป็นทฤษฎีท่ีอธิบายถึงแนวทางในการปรับปรุงการช่วยเหลอื ด้วยวิธีการต่าง ๆ ท่ีสามารถปรับยืดหยุ่นได้ เพ่ือให้สอดคล้องกับเด็กท่ีมีความแตกต่างหลากหลายใน

22 ห้องเรียนโดยเน้นการช่วยเหลือ การปรับเปล่ียนและการดัดแปลง เน่ืองจากนักเรียนในห้องเรียนหน่ึง ๆ อาจมที ั้งเด็กเรยี นเกง่ เดก็ เรยี นตามเกณฑ์ เด็กเรยี นออ่ นหรอื เดก็ ทมี่ ีความบกพรอ่ ง นบั ว่าเปน็ ทฤษฎี ท่ีสามารถนาไปปรบั ใช้ไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ บทบาทของครูและผู้ท่ีเกี่ยวข้องในการช่วยเหลือ แก้ไข พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2557) ผู้สอนมีความสามารถวางแผนการจดั การเรียนการสอนได้ดี แต่ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมที่ ไม่พึงประสงค์ของผู้เรียนได้ ดังนั้น มีคาแนะนาบางประการในบทบาทของครู และผู้ท่ีเก่ียวข้องในกร จดั การพฤตกิ รรมทีไ่ มพ่ ึงประสงคเ์ หลา่ นี้ ทัง้ นี้เพ่อื ใหก้ ารจัดการเรยี นการสอนดาเนนิ ไปได้อยา่ งปกติ 1. ส่งเสริมให้ใช้เทคนิคการเสริมแรงทางบวก เป็นกระบวนการสาคัญในการจัดการเรียนการ สอนสาหรับผเู้ รียนทกุ คน 2. ส่งเสริมให้มีการนาพฤติกรรมทางบวก ไปใช้ท้ังในการวางแผนระดับโรงเรียนในห้องเรียน การวางแผนส่วนบคุ คล โดยสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของแตล่ ะบคุ คล 3. ผ้เู รียนมีสว่ นร่วมการกาหนดเปา้ หมายการพัฒนาพฤติกรรมของตนเองภายใต้หลกั การการ ควบคมุ ตนเอง (Self – Regulation) การเคารพซึ่งกนั และกัน และการคานงึ ถงึ ประสทิ ธภิ าพสงู สุด 4. การวางแผนพัฒนาผู้เรียนต้องมีพื้นฐานจากผลการประเมินพฤติกรรมของผู้เรียนจากนัก การศึกษา หรือผู้เช่ียวชาญ โดยแผนการพัฒนาหรือการแก้ไขพฤติกรรมที่มีการนาไปใช้ ต้องมีการ ทบทวน และปรบั แผนเป็นระยะ ๆ 5. แนวทางปฏบิ ตั ิตอ้ งพิจารณาใหเ้ หมาะสมกับระดับการศึกษา และอายุของผเู้ รียน 6. ข้ันตอนและกลยุทธ์ในการพัฒนาพฤติกรรมต้องอยู่ภายใต้บรรยากาศ การให้เกียรติซ่ึงกัน และกัน ความไวว้ างใจ และการมองโลกในแงด่ ี 7. มีการสอนทักษะทางสังคมควบคู่กับหลักสูตรทางวิชาการ ภายใต้เงื่อนไขบริบททางสังคม และสอดคล้องกบั ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล 8. ใช้วิธีการเสริมแรงที่เหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน เช่น การเสริมแรงด้วยวาจา ทา่ ทาง การ ใหร้ างวัล เปน็ ตน้ 9. โรงเรียนต้องมีแผน ขั้นตอน ส่งเสริม และเป็นแบบอย่างการส่ือสารแบบร่วมมือร่วมใจกับ ครอบครวั อย่างตอ่ เน่อื ง

23 10. พ่อ แม่ ผ้ปู กครองต้องให้ความรว่ มมอื ในการใช้พฤติกรรมบวกในการพัฒนาพฤติกรรมของ ผ้เู รียน 11. คณะทางานคัดเลอื กบคุ คลที่เป็นตัวอย่างทางพฤติกรรมที่ดี เปน็ แบบอย่างแก่นักเรียนทไ่ี ม่ เขา้ ใจให้ปฏิบัตติ ามแบบอย่างจนกวา่ จะเข้าใจ 12. บคุ ลากรทุกคนมคี วามมนั่ ใจว่าได้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรยี น 13. โรงเรียนมีนโยบายต่อต้านการล่วงละเมิดต่อผู้เรียน ท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษทาง การศกึ ษา 14. ครผู สู้ อนตอ้ งมคี วามอดทน ไม่ตอบสนอง และให้ความสาคัญต่อพฤตกิ รรมที่ไม่พงึ ประสงค์ ของผู้เรียนในทกุ รายบุคคล ทกุ พฤตกิ รรม 15. เพื่อความปลอดภัย ความสงบภายในโรงเรยี น ถ้าผเู้ รียนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อาจใช้ มาตรการควบคมุ โดยการใช้เวลานอก โดยการงดใหผ้ ูเ้ รยี นร่วมกจิ กรรมท่พี ึงพอใจ 16. ทีมทางานต้องเข้าใจ สามารถช้ีแนะ วิเคราะห์ ทบทวน และชัดเจนว่าวิธีการท่ีใช้ในการ พฒั นาผู้เรยี นเป็นพฤตกิ รรมทางบวกหรอื ทางลบ 17. การให้ผู้เรียนหยุดเรียน พักการเรียน และการให้ออก ควรเป็นกลยุทธ์สุดท้ายในการ นาไปใชใ้ นการแก้ไขปัญหาพฤตกิ รรมไม่พงึ ประสงค์ 18. โรงเรียนจาเป็นที่ต้องใช้ระบบเครือข่าย หรือระบบเพ่ือนช่วยเพ่ือนในการดูแลควบคุม พฤตกิ รรมไม่ พงึ ประสงค์ 19. การพฒั นาพฤติกรรมผ้เู รียนทุกคนสามารถพฒั นาไดท้ ้ังในและนอกหอ้ งเรยี น 20. ระบบหรือวิธีการที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้เรียน ควรได้รับการทบทวนก่อนนามาใช้กับ ผู้เรยี นเสมอ 21. ถ้าโรงเรียนประเมินเบื้องต้นพบผู้เรียนมีความผิดปกติทางสุขภาพจิต อย่างรุนแรง โรงเรียนตอ้ งประสานความร่วมมือกบั ผูเ้ ชย่ี วชาญในการช่วยเหลือ กลยุทธ์ท่ีเป็นปัจจัยสาคัญอย่างย่ิงท่ีทาให้การพัฒนาหรือแก้ไขพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของ ผู้เรียนประสบความสาเร็จ คือ การแก้ไข ช่วยเหลือท่ามกลางบรรยากาศของการเคารพซ่ึงกันและกัน ความไว้วางใจ และการมองโลกในแง่ดี นอกจากนั้นการพฒั นาพฤติกรรมจะได้ผลดี เกิดความยั่งยืนได้ ต้องเกิดจากความร่วมมือระหว่างครูที่เกี่ยวข้องในการถ่ายทอดความรู้ในเรื่องทักษะความรู้ เพราะ ปจั จยั ทางอารมณ์ หรอื สงั คมมีอทิ ธิพลต่อความสามารถในการเรยี นร้ขู องผูเ้ รยี นแต่ละคน

24 บรรณานุกรม กิ่งเพชร สง่ เสรมิ . (2552). การพัฒนารูปแบบการจัดการเรยี นรวมแบบคละช้ัน ทมี่ เี ดก็ ท่มี ีความ ต้องการพเิ ศษในโรงเรยี นประถมศึกษา. มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ. กระทรวงศกึ ษาธิการ.(2554). คู่มือการสรา้ งเครอื ขา่ ยรว่ มพฒั นาและการสง่ เสริมศกั ยภาพผูเ้ รียน. กรุงเทพมหานคร:สานกั คณะกรรมการการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร.(2557). แนวทางการพฒั นาสถานศกึ ษาตน้ แบบการเรยี นรวม (Inclusive schools). กรงุ เทพมหานคร:สานักคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน. ทวศี กั ดิ์ สิรริ ตั น์เรขา. (2561). คูม่ อื การดแู ลสุขภาพจิตเด็ก กลมุ่ ปัญหาการเรียน. (พิมพ์คร้ังที่ 2). กรงุ เทพฯ: พรอสเพอรัสพลสั . ทวศี ักดิ์ สิรริ ตั น์เรขา. (2560). การส่งเสรมิ ความสามารถ ในออทิสติก. [Online]. Available URL: http://www.happyhomeclinic.com/au22-autism-care-ability.html สรุ างค์ โคว้ ตระกลู , 2544 จิตวิทยาการศึกษา สานักพิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลั, กรุงเทพมหานคร สรุ างค์ โค้วตระกลู , 2537 จติ วทิ ยาการศกึ ษา สานักพมิ พ์จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , กรงุ เทพมหานคร เว็ปไซด์ https://sites.google.com/site/wjhdede/11- 2?tmpl=%2Fsystem%2Fapp%2Ftemplates%2Fprint%2F&showPrintDialog=1

25