Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2.เนื้อหา บำเหน็จบำนาญ

2.เนื้อหา บำเหน็จบำนาญ

Published by kanockan6365, 2021-03-15 08:08:43

Description: 2.เนื้อหา บำเหน็จบำนาญ

Search

Read the Text Version

-1- 1. บาํ เหนจ็ บํานาญพนกั งาน/ขา้ ราชการส่วนทอ้ งถิน่ 1.1 ระเบยี บกฦหมายท่ีเกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2500 ซึ่งมีผลใช้บังคับต้ังแต่วันท่ี 20 พฤศจิกายน 2500 คือ กฎหมายที่ตราขึ้นเพ่ือกําหนดสิทธิประโยชน์ด้านบําเหน็จบํานาญให้แก่พนักงาน/ ข้าราชการส่วนท้องถิ่น อันได้แก่ พนักงานเทศบาล พนักงานเมืองพัทยา พนักงานส่วนตําบลและข้าราชการ ส่วนจังหวัดขององค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวได้มีการแก้ไขเพ่ิมเติมมาโดยตลอด เพ่ือให้พนักงาน/ข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้รับสิทธิประโยชน์ด้านบําเหน็จบํานาญ เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน ท่ีมีสิทธิรับบําเหน็จบํานาญตามพระราชบัญญัติบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ.2494 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม โดยกฎหมายฉบับล่าสุดท่ีแก้ไขเพิ่มเติมในส่วนของพนักงาน/ข้าราชการส่วนท้องถ่ิน คือ พระราชบัญญัติบําเหน็จ บาํ นาญข้าราชการส่วนทอ้ งถ่ิน (ฉบบั ที่ 8) พ.ศ. 2556 นอกเหนือจากพระราชบัญญัตบิ าํ เหนจ็ บาํ นาญข้าราชการสว่ นท้องถิ่น พ.ศ. 2500 ดังกล่าวแลว้ ยังมีระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบําเหน็จบํานาญของพนักงาน/ข้าราชการส่วนท้องถ่ินอีกหลายฉบับ อาทกิ ฎกระทรวงกําหนดอัตราและวิธีการรับบําเหน็จดํารงชีพ พ.ศ. 2548 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2552 ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2546และระเบียบ กระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2522แก้ไขเพิ่มเติม ถึง (ฉบับท่ี 16) พ.ศ. 2558

-2- 1.2 งบประมาณสําหรับสวัสดิการบําเหน็จบาํ นาญข้าราชการสว่ นท้องถ่นิ หากเปรียบเทียบกรณีบําเหน็จบํานาญของข้าราชการพลเรือน รวมถึงข้าราชการพลเรือน ท่ีเป็นสมาชิกกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จะเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณแผ่นดินซึ่ง อยู่ในความรับผิดชอบของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซ่ึงบางคร้ังยังมีความเข้าใจผิดว่า ข้าราชการที่เป็น สมาชิก กบข. รับเงินบําเหน็จบํานาญจาก กบข. สําหรับกรณีเงินบําเหน็จบํานาญของพนักงาน/ข้าราชการ สว่ นทอ้ งถ่ิน จะเบกิ จ่ายจากเงินงบประมาณทแ่ี ตกต่างกนั ตามประเภทตาํ แหน่งดงั น้ี 1.2.1 ตาํ แหน่งครู ครูถ่ายโอน ครูผูด้ ูแลเด็ก สิทธิสวัสดิการด้านบําเหนจ็ บํานาญจะเบิกจ่ายจากเงินอุดหนุนทั่วไป ซึ่งกรมส่งเสริมการ ปกครองท้องถ่ินจะต้ังไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจําปีรายการเงินอุดหนุนสําหรับการจัดการศึกษาภาคบังคับ (บําเหน็จบํานาญ) ซ่ึงเม่ือสํานักงบประมาณแจ้งอนุมัติงวดเงินอุดหนุนน้ีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จะดําเนนิ การโอนจดั สรรงบประมาณให้องค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ โดยโอนจดั สรรงบประมาณผ่านระบบ e-LAAS ยกเว้น กรณีเงินเพ่ิมร้อยละ 25 จากเงินบํานาญและ เงินช่วยพิเศษ 3 เท่าในส่วนของเงินเพ่ิมร้อยละ 25 จากเงินบํานาญของข้าราชการบํานาญตําแหน่งครู ให้เบิกจ่ายจากเงินส่งสมทบกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ ส่วนท้องถ่ิน (กบท.) ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้ังจ่ายในงบประมาณรายจ่ายประจําปีหรือกรณีงบประมาณ ดังกล่าวตั้งไว้ไม่พอจ่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องแจ้งจังหวัดเพื่อดําเนินการขออนุมัติโอนเงินจาก กบท. บาํ นาญตาํ แหนง่ ครหู รือทายาท ผู้มสี ทิ ธติ ่อไป 1.2.2 ตําแหน่งอื่น สิทธิสวัสดิการด้านบําเหน็จบํานาญของพนักงาน/ข้าราชการส่วนท้องถิ่นตําแหน่งอ่ืน ยกเว้นตําแหน่งครูครูผู้ดูแลเด็ก ครูถ่ายโอน และข้าราชการถ่ายโอน ให้เบิกจ่ายจากเงินส่งสมทบ กบท. ซง่ึ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้ังจ่ายในงบประมาณรายจ่ายประจําปีหรือกรณีงบประมาณตังกล่าวต้ังไว้ไม่พอจ่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องแจ้งจังหวัดเพื่อดําเนินการขออนุมัติโอนเงินจาก กบท.มาเพ่ิมเพ่ือจ่ายต่อไป ยกเว้นกรณีเงินช่วยค่าครองชีพผูร้ ับบาํ นาญ (ช.ค.บ.) และ เงินช่วยพิเศษ 3 เท่าในส่วนของเงิน ช.ค.บ. ให้เบิกจ่าย จากงบประมาณรายจ่ายประจําปีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซ่ึงตั้งจ่ายในรายจ่ายงบกลาง ประเภทรายจ่าย ตามข้อผกู พนั รายการเงนิ ช่วยคา่ ครองชีพผรู้ บั บํานาญ

-3- 1.2.3 ขา้ ราชการถา่ ยโอน ตําแหน่งอื่น สิทธิสวัสดิการด้านบําเหน็จบํานาญของข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตําแหน่งอ่ืนที่ถ่ายโอนจากส่วน ราชการตามภารกิจถ่ายโอนต่างๆ ยกเว้น ตําแหน่งครูถ่ายโอน จะเบิกจ่ายโดยแบ่งส่วนการรับภาระจ่ายคํานวณ ตามระยะเวลาราชการ โดยสัดสว่ นทค่ี าํ นวณจากเวลาราชการที่เป็นข้าราชการพลเรือนจะเบิกจ่ายจากเงินอุดหนุน ทั่วไป ซ่ึงกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจะตั้งไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจําปี รายการเงินอุดหนุนสําหรับ สนับสนุนการถ่ายโอนบุคลากร และสําหรับสัดส่วนที่เหลือท่ีคํานวณจากเวลาราชการที่เป็นข้าราชการท้องถิ่น ให้เบิกจ่ายจากเงินส่งสมทบ กบท. ซ่ึงองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินตั้งจ่ายในงบประมาณรายจ่ายประจําปี หรือ กรณีงบประมาณดังกล่าวตั้งไว้ไม่พอจ่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องแจ้งจังหวัดเพื่อดําเนินการขออนุมัติ โอนเงินจาก กบท. มาเพิ่มเพ่ือจ่ายต่อไป ยกเว้น กรณีเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ(ช.ค.บ.)และเงินช่วยพิเศษ 3 เท่าในส่วนของเงิน ช.ค.บ. ให้เบิกจ่ายจากเงินอุดหนุนทั่วไป รายการเงินอุดหนุนสําหรับสนับสนุนการถ่ายโอน บคุ ลากรโดยไมต่ ้องแบ่งสว่ นการรับภาระมาเพ่มิ เพื่อจ่ายใหแ้ กข่ า้ ราชการ 1.3 กองทนุ บําเหน็จบาํ นาญข้าราชการส่วนทอ้ งถิ่น (กบท.) ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2500 กําหนด ให้มีกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถ่ิน (กบท.) เพื่อเป็นหลักประกันในการรับภาระการจ่ายเงิน บําเหน็จบํานาญให้แก่พนักงาน /ข้าราชการส่วนท้องถิ่นทุกตําแหน่งยกเว้น ตําแหน่งครู ครูถ่ายโอน ครูผู้ดูแลเด็ก (จ่ายจากเงินอดุ หนุนทวั่ ไปดงั กล่าวแลัวตามข้อ 1.2.1) และข้าราชการถ่ายโอนตําแหน่งอื่นในสังกัด ส่วนท่ีคํานวณ เวลาราชการที่เปน็ ข้าราชการพลเรือน (จ่ายจากเงนิ อดุ หนนุ ทัว่ ไปดงั กลา่ ว ตามขอ้ 1.2.3)

-4- 1.3.1 แหลง่ ท่ีมาของเงนิ แหล่งท่ีมาของเงิน กบท. ตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติบําเหน็จบํานาญข้าราชการ ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2500 และระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2546 ข้อ 7 และข้อ 8 กําหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินต้องหักเงินจากประมาณการรายรับใน งบประมาณรายจ่ายประจําปีตามอัตราที่กําหนดโดยกฎกระทรวงไม่เกินร้อยละ 3ของประมาณก ารรายรับ โดยไม่นํารายรับประเภทพันธบัตร เงินกู้ เงินท่ีมีผู้อุทิศให้หรือเงินอุดหนุนมารวมคํานวณเงินส่งสมทบ กบท.น้ี ให้ตั้งจ่ายในรายจา่ ยงบกลาง ประเภทรายจ่ายตามข้อผกู พนั รายการ “เงนิ สมทบกองทนุ บําเหน็จบํานาญข้าราชการ ส่วนท้องถิ่น” ปัจจุบันอัตราการส่งเงินสมทบ กบท. เป็นไปตาม กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2542) ออกตามความใน พ.ร.บ. บําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2500 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม กําหนดให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่งเงินสมทบ กบท. ในอัตราร้อยละ 1 ยกเว้น เทศบาล และเมืองพัทยา ให้ส่งในอัตรา ร้อยละ 2 ทังน้ีต้ังแต่วันท่ี 1 ตุลาคม 2542 เป็นต้นไป โดยก่อนนําเงินส่งสมทบ กบท. ให้องค์กรปกครอง ส่วนท้องถ่ินหักเงินเพื่อจ่ายเป็นบําเหน็จบํานาญให้แก่พนักงาน/ข้าราชการส่วนท้องถ่ิน หรือผู้มีสิทธิก่อน ส่วนทเ่ี หลอื ใหส้ ่งสํานักงานกองทนุ บําเหนจ็ บาํ นาญขา้ ราชการสว่ นท้องถิน่ ภายในเดือนธนั วาคมของปีงบประมาณ 1.3.2 แนวทางการสง่ เงินสมทบ กบท. (1) การส่งเงินสมทบ กบท. ประจําปีงบประมาณองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทําหนังสือ นาํ ส่งเช็ค แคชเชยี ร์เช็ค หรือตั๋วแลกเงินขีดคร่อม สั่งจ่ายในนาม “กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น” โดยหนังสือนําส่งจะต้องระบุไว้โดยชัดเจนด้วยว่า เป็นเงินส่งสมทบ กบท. ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ใด งบประมาณตั้งจ่ายเท่าใด หักจ่ายเป็นบําเหน็จและหรือบํานาญรายใด แต่ละรายเป็นจํานวนเงินเท่าใด รวมเงินหัก จ่ายบาํ เหน็จบํานาญเทา่ ใด แลว้ รายงานให้จังหวัดทราบทุกครั้งท่ีมีการนําส่งเงินสมทบ กบท. ด้วย ตัวอย่าง องค์การบริหารส่วนจังหวัด ก. ต้ังประมาณการรายรับตามข้อบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจําปี (ไม่รวมรายรับประเภทพันธบัตร เงินผู้เงินท่ีมีผู้อุทิศให้หรือเงิน อุดหนุน) จํานวน 100,000,000 บาท คํานวณเงินส่งสมทบ กบท. ในอตั ราร้อยละ 1 ต้องต้ังงบประมาณรายจ่ายเพื่อส่งเงินสมทบ กบท. จาํ นวน1,000,000 บาท ในรายจ่ายงบกลางประเภทรายจ่ายตามข้อผูกพัน และปรากฏว่าองค์การบริหาร ส่วนจังหวัด ก. มีข้าราชการบํานาญส่วนจังหวัด ตําแหน่งนักบริหารงานอบจ. รับบํานาญปกติเดือนละ 48,000 บาท เงินเพิ่มร้อยละ 25 จากเงินบํานาญเดือนละ 12,000 บาท (ได้รับตามสิทธิเนื่องจากบรรจุเป็น ข้าราชการส่วนท้องถิ่นก่อน 1 ตุลาคม 2535) รวมเป็นเงินทั้งส้ินเดือนละ 60,000 บาท คํานวณจ่ายท้ังปีเป็น เงนิ 720,000 บาท ซ่งึ เมอ่ื นาํ ไปหกั ออกจากเงินสง่ สมทบกบท. แล้ว องค์การบริหารสว่ นจงั หวัด ก. จะต้องนําเงิน สว่ นทีเ่ หลอื จาํ นวน280,000 บาท สง่ สํานกั งานกบท. ภายในเดอื นธนั วาคมของปงี บประมาณ (2) การหกั เงนิ กอ่ นสง่ สมทบ กบท. > รายการดงั ต่อไปน้(ี ถา้ ม)ี สามารถ นําไปหกั ออกจากเงินส่งสมทบ กบท. ๐ เงนิ บําเหน็จเงนิ บํานาญเงนิ บํานาญพิเศษ และเงินบําเหน็จดํารงชีพของข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตําแหน่งอนื่ ทกุ ตาํ แหน่งยกเวน้ ตําแหน่งครู ครูผดู้ ูแลเดก็ o เงินบําเหน็จเงินบํานาญเงินบํานาญพิเศษ และเงินบําเหน็จดํารงชีพของข้าราชการถ่ายโอน เฉพาะส่วนทีจ่ า่ ยจากเงนิ ส่งสมทบ กบท. (ตาํ แหนง่ อน่ื ทุกตําแหน่งยกเวน้ ตําแหน่งครถู า่ ยโอน)

-5- ๐ เงินเพิม่ รอ้ ยละ 25 จากเงินบาํ นาญ(ตาํ แหนง่ อน่ื และ ตาํ แหน่งครู) o เงินบําเหน็จตกทอดของข้าราชการบํานาญและของข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งถึงแก่ความตาย ระหวา่ งรับราชการ (ตําแหน่งอน่ื ทุกตาํ แหนง่ ยกเวน้ ตําแหนง่ ครูครูผดู้ แู ลเด็ก) o เงนิ บาํ เหน็จตกทอดของข้าราชการบํานาญถ่ายโอน และของข้าราชการถ่ายโอนซึ่งถึงแก่ความ ตายระหว่างรับราชการเฉพาะส่วนที่จ่ายจากเงินส่งสมทบ กบท. (ตําแหน่งอ่ืนทุกตําแหน่งยกเว้น ตําแหน่ง ครูถ่ายโอน) o เงินช่วยพิเศษ 3 เทา่ ของเงนิ บํานาญและเงินเพิ่มร้อยละ 25 จากเงนิ บาํ นาญตาํ แหนง่ อนื่ o เงินช่วยพิเศษ 3 เท่า ของเงินบํานาญข้าราชการถ่ายโอน เฉพาะส่วนที่จ่ายจากเงินส่งสมทบ กบท. o เงินชว่ ยพิเศษ 3 เท่า ของเงินเพิม่ รอ้ ยละ 25 จากเงินบํานาญตาํ แหน่งครู > รายการดังต่อไปน(ี้ ถ้ามี) ไมส่ ามารถนําไปหกั ออกฉากเงนิ สง่ สมทบ กบท. ♦ เงินบําเหน็จเงินบํานาญเงินบํานาญพิเศษ และเงินบาํ เหนจ็ ดํารงชพี ตําแหน่งครูและครู ถา่ ยโอน ซ่ึงต้องเบิกจ่ายจากเงินอดุ หนุน ♦ เงินบําเหน็จเงินบํานาญเงินบํานาญพิเศษ และเงินบําเหน็จดํารงชีพของข้าราชการ ถา่ ยโอน เฉพาะสว่ นท่ีจา่ ยจากเงินอดุ หนุน ♦ เงินบําเหน็จเงินบําเหน็จรายเดือน เงินบําเหน็จพิเศษ เงินบําเหน็จพิเศษรายเดือน และเงินบําเหนจ็ ตกทอด ของลูกจา้ งประจําตาํ แหน่งภารโรงโรงเรยี น ซง่ึ ต้องเบิกจ่ายจากเงินอดุ หนนุ ♦ เงินบําเหน็จเงินบําเหน็จรายเดือน เงินบําเหน็จพิเศษ เงินบําเหน็จพิเศษรายเดือน และเงินบําเหน็จตกทอด ของลูกจ้างประจําตําแหน่งอ่ืน ซึ่งต้องจ่ายจากงบประมาณขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น หมวดค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุลักษณะค่าตอบแทน หรือหากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการ จดั ทาํ งบประมาณตามรูปแบบของระบบบญั ชีคอมพวิ เตอร์ต้องจา่ ยจากงบประมาณรายจา่ ยงบกลาง

-6- ♦ เงินบําเหน็จ เงินบําเหน็จรายเดือน เงินบําเหน็จพิเศษ เงินบําเหน็จพิเศษรายเดือน และเงินบําเหน็จตกทอด ของลูกจ้างประจําถ่ายโอน ซึ่งแบ่งสัดส่วนจ่ายโดยจ่ายจากเงินอุดหนุนและเงิน งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ♦ เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ(ช.ค.บ.) ตําแหน่งอื่น ซึ่งต้องจ่ายจากงบประมาณ ขององคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ รายจ่าย งบกลาง ประเภทรายจ่ายตามข้อผูกพัน เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ (ช.ค.บ.)ตาํ แหนง่ ครู ครูถ่ายโอน และขา้ ราชการถ่ายโอน ซงึ่ จา่ ยจากเงนิ อดุ หนุน ♦ เงินช่วยพิเศษ 3 เท่าของเงินบํานาญและเงิน ช.ค.บ.และตําแหน่งครู ครูถ่ายโอน ซ่งึ จ่ายจากเงนิ อุดหนุน ♦ เงนิ ช่วยพเิ ศษ 3 เทา่ ของเงนิ บํานาญข้าราชการถ่ายโอน เฉพาะส่วนท่ีรัฐบาลรับภาระ และเงินช่วยพเิ ศษ 3 เทา่ ของเงิน ช.ค.บ. ข้าราชการถ่ายโอน ซึง่ จ่ายจากเงินอุดหนนุ ♦ เงินช่วยพิเศษ 3 เท่าของเงิน ช.ค.บ. และเงินช่วยพิเศษ 3 เท่าของเงินเดือน เดือนสุดท้ายของข้าราชการส่วนท้องถ่ิน (ตําแหน่งอื่น) ซึ่งถึงแก่ความตายระหว่างรับราชการ ซึ่งต้องจ่ ายจาก งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ♦ เงินช่วยพิเศษ 3 เท่า ของเงินเดือนเดือนสุดท้ายของครู ครูถ่ายโอน และข้าราชการ ถ่ายโอนซึ่งถงึ แกค่ วามตายระหว่างรบั ราชการ ซึง่ ต้องจา่ ยจากเงนิ อุดหนุน (3) กรณขี ้อบญั ญัติ/เทศบญั ญตั งิ บประมาณรายจ่ายประจําปี จดั ทาํ ไม่แลว้ เสร็จ กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ไม่สามารถส่งเงินสมทบได้ภายในเดือนธันวาคมเน่ืองจากการ จัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปี ยังไม่แล้วเสร็จ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ประมาณการรายรับ ตามข้อบัญญัติ/ เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณที่ล่วงมาเพื่อคํานวณส่งเงินสมทบ กบท. ไป พลางๆก่อน และหากข้อบัญญัติ/ เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี มีการประกาศใช้เมื่อใด ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่งเงินสมทบ กบท. เพ่ิมเติมในส่วนท่ีขาด พร้อมสําเนาเอกสารประมาณการรายรับ ประกอบข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีให้สํานักงาน กบท. ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้ มกี ารประกาศใชข้ ้อบญั ญัติ/เทศบัญญตั ิฯ (4) กรณมี ีการตราข้อบัญญตั /ิ เทศบัญญัตงิ บประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม กรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการตราข้อบัญญัติ/ เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพ่ิมเติม องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินจะต้องจัดส่งเงินสมทบ กบท.เพ่ิมเติม ด้วย โดยเฉพาะการตราข้อบัญญัติ/ เทศบัญญัติ งบประมาณรายจ่าย เพ่ิมเติม ตั้งแต่ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2557เป็นต้นไป ในการคํานวณส่งเงินสมทบ กบท.เพิ่มเติม ให้คํานวณจากยอดประมาณการรายรับ(ตามรูปแบบของระบบบัญชีคอมพิวเตอร์(e-LAAS)) ไม่ใช่ใช้ยอดรายรับจริงที่เพิ่มขึ้นเป็นฐานการคํานวณ ดังเช่นการส่งเงินสมทบ กบท. ตามข้อบัญญัติ/ เทศบัญญัติ งบประมาณรายจ่าย เพิ่มเติมในปีก่อน ๆ ท่ีผ่านมา ทั้งน้ีเป็น ไปตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ท่ี มท 0808.ร/ว 1264 ลงวันท3่ี 0 พฤษภาคม 2557

-7- (5) การส่งเงินสมทบ กบท. กรณอี บต. เปลย่ี นแปลงฐานะเป็นเทศบาล ก. กรณีท่ี อบต. ไต้ประกาศใช้ข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีก่อนวันที่ได้รับการจัดตั้ง เป็นเทศบาลตามประกาศกระทรวงมหาดไทย การจัดส่งเงินสมทบ กบท. ให้คํานวณในอัตราร้อยละ 1 หากเมื่อใด มีการประกาศใช้เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีในปีที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะอีก ซึ่งเทศบัญญัติฯ ท่ีประกาศใช้นั้นมีประมาณการรายรับรายการใดสูงกว่าข้อบัญญัติฯ เดิมตามวรรคแรก จะต้องส่งเงินสมทบ กบท. เพ่ิมเติม โดยคํานวณในอัตราร้อยละ 2 เฉพาะประมาณการรายรับส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น (ยกเว้น ประมาณการ รายรบั รายการพนั ธบัตร เงินกู้ เงนิ ทีม่ ผี ู้อทุ ิศให้ และเงนิ อุดหนุน) ข. กรณี อบต. ได้รับการจัดตั้งเป็นเทศบาลตามประกาศกระทรวงมหาดไทยแล้วแต่ใน ปีงบประมาณถัดมายังมิได้มีการประกาศใช้เทศบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีโดยยังคงใช้ข้อบัญญัติ งบประมาณรายจ่าย ของ อบต.ประจําปี ที่ผ่านมา เบิกจ่ายไปพลางก่อนน้ัน ในการคํานวณการส่งเงินสมทบ กบท.ใหค้ าํ นวณในอตั ราร้อยละ 2 ของประมาณการรับตามข้อบัญญัติฯเดิม สําหรับงบประมาณส่วนที่ตั้งไว้ซ่ึงมีไม่ เพียงพอให้พิจารณาดําเนินการส่งเงินสมทบ กบท.เพิ่มเติม ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยวิธีการ งบประมาณขององค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ พ.ศ. 2541 และดาํ เนินการตามข้อ ก. วรรคสอง แล้วแต่กรณีด้วย (6) การส่งเงนิ สมทบ กบท. กรณีมกี ารจัดทํางบประมาณรายจา่ ยเฉพาะการ กรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมีการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเฉพาะการ เช่น กิจการประปา กิจการขนส่ง ฯลฯ ซ่ึงจัดทําข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติแยกจากงบประมาณรายจ่ายประจําปีจะต้องดําเนินการจัดส่ง เงินสมทบ กบท. ในส่วนนี้ด้วย โดยไม่ต้องนําประมาณการรายรับประเภทเงินงบประมาณท่ัวไปช่วยเหลือ งบประมาณเฉพาะการ ซ่งึ ตง้ั ไวใ้ นงบประมาณรายจ่ายเฉพาะการมารวมเป็นฐานในการคํานวณ

-8- 1.3.3 การขอโอนเงิน กบท. เพือ่ จ่ายบาํ เหนจ็ บาํ นาญ ในกรณีท่ีจํานวนเงินเพื่อจ่ายเป็นบําเหน็จบํานาญให้แก่พนักงาน/ข้าราชการส่วนท้องถ่ินหรือผู้มี สทิ ธสิ งู กว่าเงินที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องส่งสมทบ กบท.ส่วนท้องถ่ินส่งเงินสมทบกบท. แล้ว แต่ปรากฏว่า มีรายการต้องจ่ายบําเหน็จบํานาญเกิดขึ้นภายหลัง ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินรายงานจังหวัด เพ่ือแจ้งไปยังสํานักงานกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถ่ิน เพ่ือเสนอคณะกรรมการกองทุน บาํ เหน็จบาํ นาญขา้ ราชการส่วนทอ้ งถิ่นพจิ ารณาอนุมัติโอนเงินกบท.ไปเพ่ิมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เพื่อจ่าย ใหแ้ กพ่ นักงาน/ขา้ ราชการส่วนท้องถนิ่ หรือผู้มีสิทธติ ่อไป 1.3.4 การคืนเงินเหลือจ่ายสง่ กองทนุ ฯ กรณที ่ีองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิน่ ได้หักเงินสมทบกองทุนบําเหน็จบํานาญไว้จ่ายเป็นเงินบําเหน็จ บํานาญท้ังปีแล้ว ปรากฏว่ามีเงินดังกล่าวเหลือจ่าย ทั้งน้ีข้าราชการส่วนท้องถ่ินผู้รับบํานาญขอย้ายสถานท่ีรับ บํานาญหรือมีข้าราชการบํานาญรายใดถึงแก่ความตาย ทําให้มีภาระในการจ่ายบํานาญน้อยลง เม่ือถึงวันส้ินปี หากมีเงินเหลือจา่ ยเปน็ จํานวนเท่าใดองคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ินจะต้องนําส่งสํานักงาน กบท. แล้วรายงานจังหวัด ทราบดว้ ย 1.4 สทิ ธปิ ระโยชนเ์ กย่ี วกับบําเหนจ็ บํานาญ สิทธิประโยชน์เก่ียวกับบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น เป็นสิทธิประโยชน์ที่ให้แก่ ข้าราชการส่วนท้องถ่ินท่ีรับราชการครบ 1ปีบริบูรณ์ โดยเมื่อพ้นหรือออกจากราชการด้วยเหตุและระยะเวลา ตามทีก่ ฎหมายกําหนด จะมีสิทธิไดร้ บั เงนิ ตอบแทนจากการทีป่ ฏบิ ัติหนา้ ที่ สิทธปิ ระโยชนด์ งั กล่าว ประกอบดว้ ย 1) บําเหนจ็ ปกติ 2) บํานาญปกติ 3) บํานาญพิเศษเหตุทุพพลภาพ หรือบําเหน็จพิเศษ (จ่ายให้แก่ข้าราชการส่วนท้องถิ่น ที่ต้องพ้นจากราชการ เพราะเหตุทุพพลภาพอันเนื่องจากการปฏิบัติหน้าท่ีราชการ นอกเหนือจากสิทธิ ในการรับบําเหน็จบํานาญปกติ)

-9- 4) บํานาญพิเศษ (จ่ายให้แก่ทายาทกรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่นเสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติ หน้าท่เี ส่ียงภยั หรือนอกเขตพ้ืนท่ีตั้งสํานักงาน) 5) บําเหน็จดํารงชีพ 6) บําเหนจ็ ตกทอด (จา่ ยใหแ้ ก่ทายาทกรณีข้าราชการสว่ นท้องถิ่นหรอื ผูร้ ับบํานาญที่เสียชีวิตหรือ กรณไี ม่มีทายาทตามกฎหมาย ให้จ่ายแก่บคุ คลทขี่ า้ ราชการสว่ นท้องถ่ินหรอื ผ้รู บั บาํ นาญที่เสยี ชีวิตแสดงเจตนาไว้) 7) เงนิ เพม่ิ จากเงนิ บํานาญ 8) เงินช่วยพเิ ศษ (จ่ายให้แก่บุคคลที่ข้าราชการส่วนท้องถ่ินหรือผู้รับบํานาญที่เสียชีวิต ระบุไว้ใน หนังสอื แสดงเจตนาใหเ้ ปน็ ผมู้ ีสิทธริ บั หรอื ผู้มีสทิ ธิตามที่กฎหมายกาํ หนดกรณไี ม่ไดม้ ีการแสดงเจตนาไว)้ 9) เงินช่วยคา่ ครองชพี ผ้รู บั บาํ นาญ (ช.ค.บ.) 1.4.1 หลักเกณฑ์ทวั่ ไปเกย่ี วกับบําเหน็จบํานาญปกติ 1) สิทธิในบําเหน็จหรือบํานาญเป็นสิทธิเฉพาะตัวโอนไม่ได้ และก่อนออกจากราชการ ต้องไดร้ บั เงินเดอื นจากเงนิ งบประมาณประเภทเงนิ เดือนขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินน้ัน 2) ข้าราชการสว่ นทอ้ งถ่ินทไี่ มม่ สี ทิ ธิได้รบั บาํ เหน็จบาํ นาญปกติไดแ้ ก่ � ผ้ถู กู ไล่ออกจากราชการเพราะมีความผิด � ผูซ้ ่งึ มีเวลาราชการสาํ หรบั คาํ นวณบําเหนจ็ บํานาญไม่ครบหนึ่งปบี ริบูรณ์ 3) สทิ ธใิ นการขอรับบําเหนจ็ บํานาญปกติมอี ายคุ วาม 3 ปี 4) ข้าราชการสว่ นทอ้ งถิ่นที่พ้นหรือออกจากราชการ โดยมีสิทธิรับบําเหน็จบํานาญปกติ ดว้ ยเหตตุ ามความในมาตรา 12 คือ เหตทุ ดแทน เหตุทุพพลภาพ เหตุสูงอายุ และเหตรุ บั ราชการนาน � กรณีเวลาราชการ (รวมทวีคูณ) ไม่ถึง 10ปีบริบูรณ์ มสี ทิ ธิไดบ้ าํ เหน็จ � กรณเี วลาราชการ (รวมทวคี ณู ) ต้งั แต่ 10ปีบรบิ ูรณ์ขน้ึ ไป มสี ิทธิได้บํานาญ � กรณที ม่ี ีสทิ ธิได้บาํ นาญจะยืน่ คาํ ขอรบั บําเหน็จแทนก็ได้

-10- 5) ข้าราชการส่วนท้องถิ่นท่ีลาออกจากราชการด้วยความสมัครใจ โดยไม่มีสิทธิ รับบําเหน็จบาํ นาญปกตดิ ว้ ยเหตุตามความในมาตรา 12 � กรณีมีเวลาราชการ (รวมทวีคูณ) ครบ 10ปีบริบูรณ์แล้ว มีสิทธิได้รับ บําเหน็จ � ถ้ า มี เ ว ล า ร า ช ก า ร ( ร ว ม ท วี คู ณ ) ไ ม่ ค ร บ 1 0 ปี ไ ม่ มี สิ ท ธิ รั บ บาํ เหนจ็ บาํ นาญใด ๆ เลย 6) เมื่อได้แจ้งการคํานวณบําเหน็จบํานาญปกติให้ผู้มีสิทธิรับทราบล่วงพ้น 2 ปีแล้ว ให้ถือวา่ การคํานวณน้ันเปน็ อันเด็ดขาด 1.4.2 ประเภทของบาํ เหนจ็ บาํ นาญปกติ ข้ า ร า ช ก า ร ส่ ว น ท้ อ ง ถิ่ น มี สิ ท ธิ ไ ด้ รั บ บํ า เ ห น็ จ บํ า น า ญ ป ก ติ ด้ ว ย เ ห ตุ ใ ด เ ห ตุ ห น่ึ ง ตามมาตรา 12 แห่ง พ.ร.บ.บําเหน็จบาํ นาญข้าราชการสว่ นท้องถน่ิ พ.ศ. 2500 ดังนี้ 1) เหตุทดแทน กรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งออกจากราชการเพราะเลิกหรือยุบตําแหน่งหรือ ไปดํารงตําแหนง่ ทางการเมือง หรือซ่ึงมีคําสั่งให้ออกโดยไม่มีความผิดซ่ึงกรณีการออกจากราชการด้วยเหตุทดแทน จะมีไดก้ แ็ ต่กรณีราชการส่งั ให้ออกจากราชการเท่าน้ัน ไม่ใช่ลาออกด้วยความสมัครใจของตนเอง 2) เหตทุ ุพพลภาพ กรณีข้าราชการส่วนท้องถ่ินผู้ป่วยเจ็บทุพพลภาพ ซ่ึงแพทย์ที่ทางราชการรับรอง ได้ตรวจแสดงความเห็นว่า ไม่สามารถท่ีจะรับราชการในตําแหน่งหน้าที่ซึ่งปฏิบัติอยู่นั้นต่อไปได้ การออกจาก ราชการดว้ ยเหตนุ ้จี ะเป็นกรณีทล่ี าออกเองหรือทางราชการสัง่ ให้ออกก็ได้ 3) เหตุสงุ อายุ กรณที ่ีข้าราชการส่วนทอ้ งถ่นิ ผมู้ อี ายุครบ 60ปบี ริบูรณ์แล้ว ตอ้ งพ้นจากราชการเพราะ เกษียณอายุ หรือกรณีข้าราชการส่วนท้องถ่ินมีอายุครบ 50ปีบริบูรณ์แล้วประสงค์จะลาออกจากราชการและผู้มี อํานาจสัง่ อนญุ าตให้ลาออกจากราชการเพ่ือรับบําเหน็จบาํ นาญเหตุสูงอายุได้

-11- 4) เหตุรับราชการนาน กรณขี า้ ราชการส่วนท้องถ่ิน ซ่ึงมีเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญครบ30ปี บริบูรณ์แล้ว มีสิทธิที่จะลาออกจากราชการด้วยเหตุรับราชการข้าราชการนาน กรณีส่วนท้องถ่ินท่ีมีเวลาราชการ สําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญครบ 25 ปีบริบูรณ์แล้ว ประสงค์จะลาออกจากราชการและผู้มีอํานาจส่ังอนุญาต ใหล้ าออกจากราชการเพอื่ รบั บาํ เหน็จบาํ นาญเหตรุ บั ราชการนานได้ 1.4.3 เวลาราชการและการนับเวลาราชการปกติ 1) การพน้ จากราชการเน่ืองจากการเกษียณอายุ กฎหมายกําหนดให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นท่ีมีอายุครบ 60ปีบริบูรณ์แล้ว เป็นอันพ้นจากราชการเมื่อส้ินปีงบประมาณท่ีอายุครบ 60ปีบริบูรณ์น้ัน โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเจ้าหน้าที่ ควบคมุ เกษียณอายขุ องข้าราชการส่วนท้องถ่ิน และให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าท่ีควบคุมเกษียณอายุยื่นบัญชีรายช่ือ ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้มีสิทธิจะได้รับบําเหน็จบํานาญซ่ึงจะมีอายุจะครบ 60ปีบริบูรณ์ในปีงบประมาณถัดไป ตอ่ คณะกรรมการกองทนุ บําเหน็จบํานาญขา้ ราชการส่วนท้องถิ่น 2) การนบั เวลาเพอื่ คาํ นวณอายขุ องบคุ คล การนับอายุให้เร่ิมนับแต่วันท่ีเกิด ตามมาตรา 16 แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ เช่น กรณีเกิดวันที่ 1 ตุลาคม 2496 จะมีอายุครบ 60ปีบริบูรณ์ในวันท่ี 30 กันยายน 2556 และเป็นผลใหบ้ ุคคลผู้นน้ั พ้นจากราชการ ตามพระราชบัญญัติบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถ่ินพ.ศ. 2500 ในวันที่ 1 ตุลาคม 2556 สําหรับผู้ที่เกิดวันท่ี 2 ตุลาคม จะครบ 60ปีบริบุรณ์ในวันที่ 1 ตุลาคม ดังน้ัน จะ เกษียณอายรุ าชการในวนั ท่ี 30 กนั ยายนของปีถดั ไป จึงทําใหม้ ีสทิ ธิรับราชการต่อไปไดอ้ กี 1ปี 3) การนับเวลาราชการ � การนับเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญให้นับแต่วันรับราชการ และรบั เงินเดอื นจากเงนิ งบประมาณประเภทเงนิ เดือน แตต่ อ้ งไม่ก่อนวนั ที่มอี ายคุ รบ 18 ปบี ริบูรณ์เปน็ ตน้ ไป � ผู้ซึ่งได้ข้ึนทะเบียนทหารกองประจําการตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร ใหม้ ีสิทธนิ บั เวลาราชการตั้ งแต่วนั ขึ้นทะเบียนกองประจาํ การเปน็ เวลาราชการสําหรบั คาํ นวณบาํ เหนจ็ บาํ นาญ � กรณีท่ีมีการลาป่วย หรือลา หรือต้องพักราชการได้รับอนุญาตให้รับเงินเดือนเต็ม เม่ือคํานวณบําเหน็จบํานาญให้นับเหมือนเต็มเวลาราชการ และในกรณีท่ีได้รับอนุญาตให้รับเงินเดือนไม่เต็มเมื่อ คํานวณบําเหน็จบํานาญให้นับเวลาตามส่วนแห่งเงินเดือนท่ีได้รับ และถ้าไม่ได้รับอนุญาตให้รับเงินเดือน จะไม่นับ เวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญ แต่ท้ังนี้มิได้หมายความรวมถึงผู้ท่ีมิได้อยู่รับราชการด้วยเหตุ ที่ถกู ลงทณั ฑท์ างวนิ ยั ตามกฎหมายว่าด้วยวินยั ตาํ รวจ �กรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่น ซ่ึงได้รับการคัดเลือก หรือได้สอบคัดเลือกให้ไปดูงาน หรือศึกษาวิชาในต่างประเทศ และให้นับเวลาดังกล่าวสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญในระหว่างน้ันเหมือนเต็ม เวลาราชการ

-12- � เวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญให้นับแต่จํานวนปีเศษของปี ถ้าถึงครึ่งปี(6 เดือน) ให้นับเป็น 1ปีและสําหรับเดือนหรือวัน ให้คํานวณตามวิธีการจ่ายเงินเดือน และให้นับ12 เดอื นเป็น 1 ปี สําหรับจาํ นวนวนั ถา้ มีรวมกนั หลายระยะใหน้ ับ 30 วันเป็น 1 เดือน 1.4.4 การนับเวลาราชการทวีคูณ 1) ข้าราชการส่วนท้องถิน่ มสี ิทธินับเวลาราชการที่ปฏิบัติราชการเปน็ ทวคี ูณ ดังนี้ � กรณีกระทําหน้าที่ตามที่กระทรวงกลาโหมกําหนดระหว่างเวลาที่มีการรบหรือ การสงคราม หรือมีการปราบปรามการจลาจล หรือในระหว่างเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้นับเวลา ราชการที่ปฏบิ ตั ิการตามคําสง่ั เปน็ ทวคี ณู � กรณีที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกในเขตพ้ืนที่ใด ให้คณะรัฐมนตรีมีอํานาจ พจิ ารณาให้ช้าราชการส่วนทอ้ งถนิ่ ซ่งึ ประจาํ ปฏิบัตหิ นา้ ท่ีอยใู่ นเขตทไ่ี ด้ประกาศใช้กฎอยั การศึกนั้นเป็นทวีคูณ � ถ้าผู้ใดมีเวลาราชการทวีคูณในเวลาเดียวกันหลายประการ ให้นับเวลาระหว่างน้ัน เป็นทวคี ูณแตป่ ระการเดียว 2) ประกาศใช้กฎอัยการศึก บางกรณีได้มีการประกาศใช้ทั่วประเทศ แต่ต่อมาก็ได้มี การยกเลิก และคงใหม้ กี ารใช้ประกาศกฎอัยการศึกต่อไปเป็นบางพน้ื ที่ ประกาศใชก้ ฎอยั การศกึ ทว่ั ประเทศ มีดงั นี้ � ต้งั แต่วนั ที่ 7 ตลุ าคม 2519 ถงึ วนั ที่ 5 มกราคม 2520 รวม 3 เดอื น � ต้งั แต่วันท่ี 23 กมุ ภาพันธ2์ 534 ถึงวนั ท่ี 2 พฤษภาคม 2534 รวม 2 เดือน 8วนั ประกาศใช้กฎอัยการศึกบางพื้นที่มีช่วงเวลา จากจังหวัดนั้นๆ ที่มีการ ประกาศใชก้ ฎอยั การศึก ♦♦♦ ตง้ั แตว่ นั ท่ี 3 พฤษภาคม 2534 ถงึ วนั ท่ี 12 พฤศจกิ ายน 2541 รวม 7 ปี 6 เดอื น 10 วนั ♦♦♦ ตงั้ แต่วนั ท่ี 13 พฤศจิกายน 2541 ถึงวนั ท่ี 15 พฤศจกิ ายน 2543 รวม 2 ปี - เดือน 3 วนั ♦♦♦ ต้งั แต่วนั ที่ 5 มกราคม 2547 ถึงวนั ท่ี 20 กรกฎาคม 2548 รวม 1ปี 6 เดือน 17 วนั ♦♦♦ ต้ังแต่วันท่ี 26 มกราคม 2547 ถึงวันท่ี 20 กรกฎาคม 2548 รวม 1ปี 5 เดือน 26 วนั

-13- การนับเวลาราชการทวีคูณท่ีแท้จริง ต้องหักวันท่ีมิได้ปฏิบัติราชการประจําในวันที่ ประกาศใช้กฎอัยการศึก เช่น วนั ลาป่วย วันลากิจ วันลาคลอดบุตร เปน็ ต้น 1.4.5 การนบั เวลาราชการตอ่ เนอ่ื งกรณกี ารกลบั เข้ารับราชการใหม่ 1) กรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ใดออกจากราชการไปแล้ว ถ้าภายหลังกลับ เข้ารับราชการใหม่ นับแต่วันที่ พ.ร.บ.บําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับท่ี 6)พ.ศ. 2543 ใช้บังคับ คือ ตั้งแต่วันท่ี 16 พฤศจิกายน 2543 เป็นต้นไป ให้นับเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญตอน ก่อนออกจากราชการต่อเน่อื งกบั การรบั ราชการในตอนหลังได้ เว้นแต่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้น้ันถูกปลดออกหรือ ไล่ออกจากราชการเนื่องจากกระทําความผิดวินัยอย่างร้ายแรงแ ละไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานา ญจากการ รับราชการตอนกอ่ นออกจากราชการ 2) กรณีจะนับเวลาราชการต่อเนื่องสําหรับการกลับเข้ารับราชการใหม่ ถ้าข้าราชการ สว่ นทอ้ งถนิ่ ผนู้ ้นั ไดร้ บั บาํ เหนจ็ บํานาญไปแล้ว ให้พิจารณาดังน้ี � กรณรี ับบําเหน็จ กรณีรับบําเหน็จไปแล้วต้องคืนบําเหน็จท่ีได้รับพร้อมดอกเบี้ย ตามประกาศ กระทรวงมหาดไทยเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับระยะเวลาในการคืนบําเหน็จข้าราชการส่วนท้องถิ่น เพอ่ื นับเวลาราชการต่อเนอ่ื ง ประกาศ ณ วนั ที่ 26 กรกฎาคม 2554 สาระสําคัญ โดยสรปุ คอื - คืนภายใน 90 วันนับแต่วันที่กลับเข้ารับราชการ คิดอัตราดอกเบ้ียเงินฝากประจํา 12 เดือนของบุคคลทั่วไปของธนาคารออมสินในปีน้ัน ๆ เป็นเกณฑ์ โดยไม่ต้องนําดอกเบ้ียมาทบต้นโดยเร่ิมคิด ต้ังแต่วันที่ไดร้ ับบาํ เหน็จเปน็ ต้นไปจนถงึ วันก่อนวันที่กลับเข้ารบั ราชการ - สามารถทําหนังสือขอผ่อนผันเวลาคืน หากไม่สามารถคืนภายใน 90 วันแต่คิด ดอกเบีย้ เพิ่มรอ้ ยละ 7.5 ต่อปสี าํ หรับเวลาทเ่ี กนิ - กรณีไม่ย่ืนเร่ืองขอคืนภายใน 90 วันนับแต่วันท่ีกลับเข้ารับราชการ ให้ผู้ว่าราชการ จงั หวดั มีอาํ นาจอนุมัติและถา้ สาเหตกุ ารคืนลา่ ช้าเกดิ จากตัวข้าราชการเอง จะคดิ ดอกเบี้ยเพม่ิ อีกร้อยละ 7.5 ต่อปี ตัง้ แตว่ นั ที่กลบั จนถงึ วนั ท่ีองค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ รบั เงินคืนครบถ้วน - กรณถี า้ เดิมไมไ่ ด้เป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ให้ส่งบําเหน็จพร้อมดอกเบี้ยคืนให้องค์กร ปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ ต้นสังกดั ที่กลบั เขา้ รับราชการใหม่ - เงินบําเหน็จและดอกเบี้ยท่ีส่งคืน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินนําส่งสํานักงานกบท. ทันทีพร้อมหลกั ฐานรายละเอยี ดประกอบการสง่ คืนเงนิ บําเหน็จตามวิธกี ารสง่ เงินสมทบ - สิทธิการนับเวลาราชการต่อเน่ือง มีผลต่อเมื่อได้คืนเงินบําเหน็จและดอกเบี้ย ครบถว้ นแล้ว -องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใด ไม่สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์น้ีให้ขอทําความตกลง กับกระทรวงมหาดไทยเป็นราย ๆ ไป

-14- � กรณรี บั บาํ นาญ - ให้งดจ่ายบํานาญตลอดเวลาท่ีกลับเข้ารับราชการใหม่นั้น โดยให้องค์กรปกครองส่วน ทอ้ งถิ่นทผ่ี นู้ ้ันกลับเข้ารบั ราชการใหม่ แจง้ ไปยังเจา้ สงั กดั ท่ผี ู้น้ันรบั บํานาญอยเู่ พอื่ งดการจ่ายบํานาญ - ถ้าประสงค์จะรับบํานาญต่อไป จะต้องมีหนังสือแจ้งความประสงค์ต่อเจ้าสังกัดที่ผู้นั้น กลับเข้ารับราชการใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่วันกลับเข้ารับราชการ และจะนับเวลาราชการต่อเน่ือง ไม่ได้ โดยถือปฏบิ ตั ิดงั น้ี ♦♦♦ ถ้าเงินเดือนท่ีได้รับในขณะกลับเข้ารับราชการใหม่เท่าหรือสูงกว่าเงินเดือนเดิม เมอ่ื ออกจากราชการ (ครั้งแรก) ใหง้ ดจา่ ยบํานาญ ♦♦♦ ถ้าเงินเดือนใหม่น้อยกว่าเงินเดือนเดิม ให้รับบํานาญเท่ากับผลต่างของเงินเดือน ใหม่และเงินเดือนเดิม ทั้งนี้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท่ีผู้นั้นกลับเข้ารับราชการใหม่แจ้งไปยังเจ้าสังกัดที่ผู้น้ัน รับบาํ นาญอยู่ทราบ และ - สิทธิการรับบํานาญครั้งหลัง เมื่อออกจากราชการให้มีสิทธิได้รับบํานาญโดยคํานวณ จากเงินเดือนและเวลาราชการในตอนใหม่บวกเข้ากับบํานาญเดิม สิทธิรับบํานาญในคร้ังหลังจะเปลี่ยนเป็นขอรับ บําเหน็จแทนกไ็ ด้ - สิทธิการนับเวลาราชการต่อเน่ืองน้ี ให้ใช้บังคับกับกรณีท่ีข้าราชการซ่ึงกลับเข้ารับ ราชการเป็นขา้ ราชการส่วนท้องถิน่ ด้วย 3) กรณีการโอนหรือสั่งให้ข้าราชการผู้ใดไปรับราชการในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือการ โอนหรือส่ังให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นไปรับราชการในองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินด้วยกัน ให้นับเวลาราชการของ ข้าราชการ หรอื ขา้ ราชการสว่ นท้องถิ่นผู้นั้นสาํ หรับคํานวณบาํ เหนจ็ บาํ นาญติดตอ่ กัน 1.5 แนวทางปฎบิ ัติและการคํานวณสิทธิประโยชน์ต่างๆ 1.5.1 เงินเดอื นทีใ่ ชส้ าํ หรบั คาํ นวณบําเหนจ็ บํานาญ 1) ใช้เงินเดือนเดือนสุดท้ายเป็นเกณฑ์คํานวณ โดยเงินเดือนเดือนสุดท้าย หมายถึงเงินเดือนที่ ได้รับจากเงินงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประเภทเงินเดือนเดือนสุดท้ายที่ออกจากราชการ รวมทงั้ เงนิ เพ่ิมพิเศษสําหรบั การสู้รบแตไ่ ม่รวมเงินเพ่ิมอย่างอ่นื ๆ

-15- 2) กรณีพ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุ คือ พ้นจากราชการเมื่อส้ินปีงบประมาณท่ีอายุ ครบ 60ปีบริบูรณ์ เงินเดือนเดอื นสุดท้ายให้หมายรวมถงึ เงนิ เดอื นท่ีได้เล่ือนในวันสุดท้ายของปีงบประมาณน้ันด้วย แตท่ ั้งนี้การเลอ่ื นเงนิ เดือนในวนั สดุ ทา้ ยของปีงบประมาณนั้น ไม่ก่อใหเ้ กดิ สทิ ธริ บั เงินเดือนท่ีไดเ้ ลอื่ น 1.5.2 วธิ ีคํานวณบาํ เหน็จบํานาญ 1) บาํ เหนจ็ หมายถงึ เงนิ ตอบแทนความชอบทไ่ี ดร้ ับราชการมาซ่ึงจ่ายใหค้ ร้ังเดียว คาํ นวณโดย � เงินเดอื นเดอื นสดุ ทา้ ย X จาํ นวนปเี วลาราชการ 2) บํานาญ หมายถึง เงินตอบแทนความชอบทไี่ ด้รับราชการมาซ่งึ จ่ายเป็นรายเดือน คาํ นวณโดย � เงนิ เดือนเดือนสุดท้าย X จาํ นวนปเี วลาราชการ 50 จํานวนปีเวลาราชการ ท่ีใช้คํานวณบําเหน็จบํานาญนอกจากจะนับเวลาราชการปกติแล้ว ให้นับ เวลาทวีคูณเข้าด้วยเพราะถือว่าเปน็ เวลาราชการเชน่ กัน 1.5.3 การขอรับบําเหน็จบํานาญปกติ 1) ผปู้ ระสงคจ์ ะขอรับบาํ เหนจ็ บํานาญปกติต้องยื่นเรื่องต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินที่ตนสังกัด คร้ังสุดท้าย ตามแบบ บ.ท. 1 (ผู้มีสิทธิเป็นผู้ยื่นด้วยตนเอง) และแบบ บ.ท. 2 พร้อมทั้งสําเนาคําสั่ง หรือหนังสือ รบั รองการบรรจุ หรอื แตง่ ตง้ั เป็นขา้ ราชการสว่ นทอ้ งถิ่น รวม 3 ชดุ 2) เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเก่ียวกับการขอรับบําเหน็จบํานาญรวบรวมหลักฐานท่ีเก่ียวข้องเสนอ จังหวดั ภายใน 15 วนั นับแต่วันท่ีได้รบั เรอื่ ง พรอ้ มแบบคํานวณการตรวจสอบบาํ เหน็จบํานาญดงั น้ี (1) สมดุ ประวัติหรือบัตรประวัตขิ า้ ราชการส่วนท้องถ่นิ (2) ใบรบั รองสมุดประวัติอัตราเงินเดือน เงินเพิ่ม (ถ้ามี) และเวลาทวีคูณระหว่างประจํา ปฏบิ ัติหนา้ ที่ในเขตท่ีไดป้ ระกาศใชก้ ฎอยั การศึกตามแบบ บ.ท. 3 (3) สําเนาคําส่ังเลื่อนเงินเดือนเดือนสุดท้ายก่อนออกราชการ สําหรับผู้ที่ครบ เกษียณอายใุ ห้ใชส้ ําเนาคาํ สั่งเลื่อนเงินเดอื นในวันท่ี 30 กันยายน ของปีท่พี ้นจากราชการ (4) สาํ เนาคําสัง่ ท่ใี หอ้ อก หรืออนุญาตให้ลาออกจากราชการ แลว้ แตก่ รณี

-16- (5) สาํ หรับผทู้ อ่ี อกจากราชการเพราะเหตทุ พุ พลภาพต้องมตี ้นฉบับหรอื สาํ เนาภาพถ่าย ใบเสดงความเห็นของแพทย์ที่ทางราชการรับรอง ซึ่งตรวจและให้ความเห็นว่า ไม่สามารถจะรับราชการ ในหนา้ ท่ีได้ตอ่ ไป (6) หลกั ฐานการมสี ิทธิไดน้ ับเวลาทวีคูณ -สําหรับผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กระทรวงกลาโหมกําหนดต้องเป็นเอกสารท่ีรับรองโดย กรมการเงินกลาโหม กระทรวงกลาโหม -สําหรับผู้ปฏิบัติราชการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ต้องเป็นเอกสาร ท่ีรับรอง โดยกองอาํ นวยการรักษาความมั่นคงภายใน - สําหรับผู้ปฏิบัติราชการลับหรือปฏิบัติราชการตามแผนป้องกันประเทศ หรือปฏิบัติ ราชการกรณีอน่ื ต้องเป็นเอกสารตามแบบท่ีกระทรวงกลาโหมขอทําความตกลงกับกระทรวงมหาดไทย หรือตามที่ แจ้งให้กระทรวงมหาดไทยทราบแลว้ (7) หลกั ฐานการพิจารณาขององค์กรกลางบริหารงานบุคคลราชการส่วนท้องถิ่น(ก.จ.จ. หรอื ก.ท.จ. หรือ ก.อบต. จังหวัด หรอื ก.เมืองพัทยา) -สําหรับผู้ที่มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงก่อนออกจากราชการซึ่งมี คาํ ส่งั ปลดออก ถือเสมอื นลาออกเพอ่ื ประกอบการใชส้ ทิ ธขิ อรบั บาํ เหนจ็ บาํ นาญ -สําหรับผู้ท่ีถูกสั่งให้ออกจากราชการเพราะหย่อนความสามารถ และมีสิทธิขอรับ บาํ เหน็จบํานาญดว้ ยเหตุทดแทน -สําหรับผู้ท่ีออกจากราชการโดยมีกรณีหรือต้องหาว่ากระทําความผิดวินัยก่อนออกจาก ราชการ หรือมีกรณตี อ้ งหาวา่ กระทําผดิ ทางอาญา และกรณียงั ไมถ่ ึงทส่ี ุด ใหม้ ีการประกันดว้ ยบคุ คลหรือทรัพยส์ นิ

-17- 1.5.4 บําเหน็จบาํ นาญพิเศษ 1) สิทธแิ ละเหตใุ นการขอรบั บําเหนจ็ บํานาญพเิ ศษ เป็นสิทธิเฉพาะตัวเช่นเดียวกับบําเหน็จบํานาญปกติช้าราชการส่วนท้องถ่ิน ที่จะมีสิทธิ ได้รบั บําเหนจ็ บํานาญพเิ ศษ เนือ่ งจากประสบเหตตุ ่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ ก. กรณีท่ีข้าราชการส่วนท้องถ่ินปฏิบัติราชการในหน้าท่ี หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุ กระทําการตามหน้าท่ี ทําให้ได้รับอันตรายจนพิการ เสียแขนหรือขา หูหนวกทั้งสองข้าง หรือได้รับการป่วยเจ็บ ซ่ึงแพทย์ท่ีทางราชการรับรองได้ตรวจแล้วและแสดงว่าถึงทุพพลภาพ ไม่สามารถจะรับราชการต่อไปได้อีก เว้นแต่การได้รับอันตรายได้รับการป่วยเจ็บหรือการถูกประทุษร้ายน้ันเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือจากความผิดของตนเอง ซ่ึงเม่ือมีสิทธิรับบํานาญพิเศษถึงแม้จะยังไม่มีสิทธิรับบํานาญปกติก็ตาม ก็จะได้รับ บาํ นาญปกติคาํ นวณบวกรวมกับบาํ นาญพิเศษดว้ ย ข. กรณีที่ขา้ ราชการส่วนท้องถิน่ ท่ีได้รับบําเหน็จหรือบํานาญไปแล้ว ถ้าภายใน 3 ปีออก จากราชการ หากปรากฎว่าเกิดป่วยเจ็บทุพพลภาพโดยปรากฎหลักฐานชัดแจ้งว่าการเจ็บป่วยถึงทุพพลภาพ ดังกลา่ ว เนื่องมาจากการปฏบิ ัตหิ นา้ ทีร่ าชการในระหว่างท่ีรับราชการ ข้าราชการส่วนท้องถ่ินผู้น้ันก็จะมีสิทธิได้รับ บําเหน็จบาํ นาญพิเศษ โดยจ่ายใหน้ บั แตว่ ันขอ โดยถ้ารับบํานาญไปแล้วก็ให้ได้รับบํานาญพิเศษด้วย ถ้ารับบําเหน็จ ไปแลว้ ให้จา่ ยเฉพาะบํานาญพเิ ศษ ค. กรณีข้าราชการส่วนท้องถ่ินได้รับการป่วยเจ็บทุพพลภาพ เน่ืองจากต้องไปปฏิบัติ ราชการเป็นครั้งคราวนอกตําบลท่ีตั้งสํานักงานประจําหรือต้องประจําปฏิบัติราชการในท้องท่ีกันดารท่ีจะต้อง เส่ียงต่อโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งท้องที่น้ันได้กําหนดไว้โดยพระราชกฤษฎีกา และข้าราชการส่วนท้องถิ่นเกิดป่วยเจ็บ ทุพพลภาพ ดังเช่นขอ้ ก. ข้าราชการส่วนท้องถนิ่ ผู้น้นั มสี ิทธไิ ด้รับบํานาญพิเศษ ง. กรณีประสบเหตุตามข้อ ก. หรือ ข้อ ข. และถึงแก่ความตายก่อนได้รับบํานาญพิเศษ ใหจ้ ่ายบํานาญพิเศษใหแ้ ก่ ทายาท ดังน้ี (1) ในยามปกตใิ หจ้ ่ายทายาทเป็นจํานวนก่ึงเงินเดอื นเดือนสดุ ท้ายของผตู้ าย (2) กรณีปฏิบัติหน้าท่ี ตามที่กระทรวงกลาโหมกําหนดในระหว่างเวลาที่มี การรบหรือการสงคราม หรือมีการปราบปรามจลาจล หรือในระหว่างเวลาที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก หรือ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ถ้าได้รับอันตรายด้วยหน้าที่ท่ีกระทํานั้น ให้จ่ายบํานาญพิเศษแก่ทายาทจํานวน 40 ใน 50 สว่ นของเงินเดือนเดอื นสุดท้ายของผ้ตู าย จ. กรณีประสบเหตุตามข้อ ค. และถึงแก่ความตายก่อนได้รับบํานาญพิเศษให้จ่าย บาํ นาญพเิ ศษให้แก่ ทายาท เปน็ จาํ นวนคร่ึงหนึง่ ของเงนิ เดือนเดือนสุดทา้ ยของผู้ตาย ฉ. กรณีข้าราชการส่วนท้องถ่ินสูญหายและมีเหตุอันควรเช่ือได้ว่าผู้นั้นได้รับอันตราย ดังกล่าวตามข้อ ก. ถึงแก่ความตายแถ้ว เม่ือพ้นกําหนด 2 เดือนนับแต่วันสูญหาย ให้จ่ายบํานาญพิเศษ ใหแ้ กท่ ายาท ตามขอ้ ง.

-18- 2) หลักฐานประกอบการขอรบั บาํ นาญพเิ ศษ ต้องแสดงรายงานแพทย์ที่ทางราชการรับรอง กับรายงานแสดงเหตุที่ต้องรับอันตราย ได้รับการป่วยเจ็บหรือถูกประทุษร้ายนั้นด้วย โดยในกรณีสูญหายตามข้อ 1) ฉ. ให้แสดงถึงเหตุการณ์ อนั ทาํ ให้ควรเชอื่ ไดว้ ่าข้าราชการส่วนทอ้ งถนิ่ ผ้นู ้นั ไดร้ บั อันตรายถึงตาย 3) การคาํ นวณบาํ นาญพิเศษ กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้กําหนดการคํานวณบํานาญพิเศษตามสมควรแก่เหตุการณ์ ประกอบกับความพกิ ารและทุพพลภาพของขา้ ราชการสว่ นท้องถิ่นผนู้ ้นั ตามอตั ราดังต่อไปนี้ � ในยามปกติมีอัตราตั้งแต่ 5 ใน 50ส่วนจนถึง 20ใน 50 ส่วนของเงินเดือน เดือนสุดท้าย � กรณีผู้ที่ต้องไปราชการหรือปฏิบัติราชการโดยอากาศยานในอากาศ หรือโดย เรือดําน้ํา หรือมีหน้าที่ทําการดํานํ้า หรือการกวาดทุ่นระเบิด หรือมีหน้าท่ีขุดทําลายทําหรือประกอบวัตถุระเบิด หรอื มหี นา้ ทเ่ี ก่ยี วกบั ไอพษิ ถา้ ได้รับอันตรายด้วยหน้าท่ีท่ีกระทําน้ัน ให้ได้รับบํานาญพิเศษเป็นจํานวนครึ่งหนึ่งของ เงนิ เดอื นเดอื นสดุ ท้าย �กรณที ี่ข้าราชการสว่ นท้องถน่ิ ปฏบิ ัติหน้าทต่ี ามที่กระทรวงกลาโหมกําหนดในระหว่าง เวลาที่มีการรบ หรือการสงคราม หรือมีการปราบปรามการจลาจล หรือในระหว่างเวลาท่ีมีประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉิน ถ้าข้าราชการส่วนท้องถ่ินได้รับอันตรายด้วยหน้าที่ท่ีกระทําน้ันก็จะได้รับบํานาญพิเศษเป็นจํานวน 30 ใน 50 ส่วน จนถึง 35 ใน 50 ส่วนของเงินเดือนเดือนสุดท้าย และในกรณีท่ีไม่มีเงินเดือนให้ถือเงินเดือนทหาร ตามทก่ี ระทรวงกลาโหมกําหนดเป็นเงนิ เดือนเดือนสุดท้าย 4) หลักเกณฑใ์ นการจ่ายบํานาญพิเศษแก่ทายาท กรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่นเสียชีวิตไม่ว่าจะเสียชีวิตในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือไม่ก็ตาม ทายาทของข้าราชการส่วนท้องถ่ินผู้นั้นมีสิทธิรับบําเหน็จตกทอด ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดไว้ใน กฎหมาย แต่ถ้าเป็นกรณีท่ีข้าราชการส่วนท้องถิ่นเสียชีวิตอันเน่ืองมาจากเหตุการณ์ปฏิบัติหน้าท่ี ทายาทมีสิทธิรับ บํานาญพิเศษ แทนข้าราชการส่วนท้องถ่ินท่ีเสียชีวิต นอกเหนือจากสิทธิในการรับบําเหน็จตกทอดด้วย ในอัตรา ตามข้อ 1) ง.- ฉ. � ทายาทผ้มู สี ิทธริ ับบํานาญพิเศษ ใหแ้ บง่ สว่ นตามสิทธิ ดังน้ี (1) บุตร ให้ไดร้ บั 2 สว่ น ถ้าขา้ ราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ ผู้ตาย มบี ุตรตั้งแต่ 3 คน ขึ้นไป ให้ได้รบั 3 สว่ น (2) สามีหรอื ภรยิ า ใหไ้ ด้รับ 1 ส่วน (3) บิดามารดา หรือบดิ า หรอื มารดา ท่มี ชี วี ิตอยูใ่ ห้ไดร้ ับ 1 สว่ น ถ้าขา้ ราชการสว่ นท้องถนิ่ ผู้ตายไมม่ ีทายาท ผ้มู ีสทิ ธิตามข้อ (1) (2) (3) หรือทายาท ดงั กลา่ วนั้นได้ตายไปกอ่ น ก็ให้แบง่ บาํ นาญพเิ ศษระหวา่ งทายาทผมู้ ีสิทธิท่เี หลอื อยตู่ ามสว่ น � กรณปี รากฏมที ายาทเพมิ่ ขึ้นหลงั จา่ ยบํานาญพเิ ศษแลว้

-19- หากปรากฎว่ามบี ุตรซงึ่ ได้มคี าํ พพิ ากษาของศาลว่า เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ซ่ึงได้มีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก่อน หรือภายใน 1ปีนับแต่วันที่บิดาตาย หรือนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรได้รู้ ถงึ ความตายของบิดาเพิ่มขึ้นหลังจากที่มีการจ่ายบํานาญแล้ว ให้แบ่งบํานาญพิเศษน้ันใหม่แก่ทายาทผู้มีสิทธิต้ังแต่ วันตายของเจ้าบํานาญ กรณีเช่นนี้ให้จังหวัดหักเอาจากทายาทซึ่งรับบํานาญพิเศษไปก่อนหน้าแล้วคืนตามระเบียบ ทกี่ ระทรวงมหาดไทยกําหนดกรณีไม่สามารถหกั คืนได้จังหวดั ไม่ต้องรับผดิ ชอบการจ่ายแต่อย่างใด ในกรณีดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดแนวทางปฏิบัติในการส่ังจ่ายเงินบํานาญ พิเศษกรณีมีทายาทเพ่ิมขึ้น โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินผู้เบิกเงินบํานาญพิเศษ หักเงินบํานาญพิเศษ ของผู้ซ่ึงได้รับเกินไปต้ังแต่วันเกิดสิทธิ คืนให้แก่บุตรดังกล่าวตามสิทธิที่บุตรผู้น้ันจะได้รับทุกเดือนจนกว่ายอดเงิน ที่หักจะครบจํานวนที่ผู้นั้นรับเกินไปและในกรณีท่ีหักเงินบํานาญพิเศษได้ไม่ครบจํานวนท่ีรับเกินไป หรือไม่มีเงิน บํานาญพิเศษท่ีจะหักชดใช้ได้ ให้จังหวัดส่ังให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นผู้เบิกเรียกเงินจากผู้ที่ได้รับเกินไป หรอื ได้รับไปโดยไม่มีสิทธคิ นื เพ่ือจา่ ยใหแ้ ก่บุตรดงั กลา่ ว ตามสิทธทิ ีบ่ ตุ รผู้น้ันจะได้รับ หากเรียกคืนไม่ได้หรือเรียกได้ ไม่ครบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแจ้งให้บุตรผู้น้ันเรียกร้องเอาจากผู้ท่ีได้รับเกินไป หรือได้รับไปโดยไม่มีสิทธิ ตอ่ ไป �กรณไี ม่มที ายาทผู้มีสิทธิรบั บํานาญพิเศษ (1) ให้บุคคลผู้ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาเห็นว่า มีหลักฐานแสดงได้ว่าเป็นผู้ อุปการะผู้ตายอยู่หรือเป็นผู้อยู่ในอุปการะของผู้ตาย ให้เป็นผู้รับบํานาญพิเศษตามส่วนที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะได้ กาํ หนด (2) ในกรณีที่ได้จ่ายบํานาญพิเศษให้แก่ผู้อุปการะหรือผู้อยู่ในอุปการะของผู้ตายแล้ว หากปรากฏภายหลงั วา่ มีบุตรซง่ึ ไดม้ ีคําพพิ ากษาของศาลวา่ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ซึ่งได้มีการฟ้องคดี ขอให้รับเด็กเป็นบุตรก่อนหรือภายใน 1 ปีนับแต่วันท่ีบิดาตาย หรือนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของ บิดา ใหส้ ่ังจ่ายบาํ นาญพิเศษให้แก่บตุ รซึ่งศาลพพิ ากษาว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว (3)กรณีไม่สามารถเรียกเงินบํานาญพิเศษท่ีจ่ายให้ผู้อุปการะ หรือผู้อยู่ในอุปการะ ท่รี ับไปแล้วคืนไดใ้ หน้ ําความในวรรคสาม และวรรคสใี่ นมาตรา 43 มาใชบ้ งั คับ

-20- � กําหนดเวลาและเง่อื นไขการจ่ายบาํ นาญพิเศษแก่ทายาท (1) บุตร ใหม้ สี ทิ ธิได้รับจนอายุครบ 20ปีบริบูรณ์เว้นแต่เม่ืออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์นั้น กําลังศึกษาในชั้นเตรียมอุดมศึกษาหรือในชั้นอุดมศึกษา หรือช้ันการศึกษาที่ทางราชการรับรองให้เทียบเท่า ก็ให้ ได้รับต่อไปตลอดเวลาทีย่ ังทาํ การศกึ ษาในสถานศึกษา แต่ให้มสี ทิ ธิรับโดยอายุตอ้ งไม่เกนิ 25 ปบี รบิ รู ณ์ (2) สามีหรอื ภรยิ า ใหไ้ ดร้ บั ตลอดชวี ิตเว้นแต่ทําการสมรสใหม่ (3) บดิ ามารดา ให้ไดร้ ับตลอดชวี ติ (4) บุคคลอื่นได้แก่ผู้อุปการะ หรือผู้อยู่ในอุปการะ ถ้าอายุยังไม่ถึง 20ปีบริบูรณ์ ให้อนุโลมรับอยา่ งบุตร แตถ่ ้าไมเ่ ขา้ ลกั ษณะดังกล่าวใหร้ บั เพยี ง 10ปี (5) กรณีผู้มีสิทธิรับบํานาญพิเศษเป็นผู้พิการถึงทุพพลภาพอยู่ก่อนแล้ว หรือในระหว่าง ทมี่ ีสิทธิได้รับบาํ นาญพเิ ศษ กใ็ หผ้ นู้ ้นั ไดร้ ับบํานาญพิเศษตลอดเวลาท่ที พุ พลภาพอยู่ (6) ทายาท หรือบุคคลซ่ึงได้รับบํานาญพิเศษดังกล่าวข้างต้น ตายหรือหมดสิทธิไปให้ สว่ นทผ่ี ูน้ ้ันไดร้ ับอย่เู ปน็ อันยุติ 5) อัตราขน้ั ตา่ํ ฃองบาํ นาญพเิ ศษ/บาํ เหน็จพเิ ศษเหตทุ พุ พลภาพ ผู้รับบาํ นาญพิเศษเหตทุ พุ พลภาพรายใด หากไดร้ บั รวมกบั บํานาญปกติ(ถา้ มี)แลว้ ไดร้ บั ไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท ให้ได้รับบํานาญพิเศษเพ่ิมจนครบ 15,000 บาท และผู้มีสิทธิจะได้รับจะยื่นคําขอ เปล่ียนเป็นรับบําเหน็จพิเศษแทนได้เป็นจํานวนเท่ากับบํานาญพิเศษ 60 เดือน โดยมีแนวทางปฏิบัติปรากฎตาม หนังสอื กรมสง่ เสริมการปกครองท้องถ่นิ ท่ี มท 0808.5/ว 924 ลงวันท่ี 3 เมษายน 2556 6) การขอรับบาํ นาญพเิ ศษของทายาท กรณขี ้าราชการสว่ นท้องถิน่ ตายและทายาทมสี ิทธริ ับบํานาญพเิ ศษ ให้ผู้มีสทิ ธริ ับบาํ นาญ พิเศษย่ืนคําขอพร้อมกับหลักฐานที่เก่ียวข้องและให้เจ้าหน้าท่ีรวบรวมหลักฐานเสนอจังหวัดภายใน15 วัน นับแต่ วนั ท่ีได้รบั เรอ่ื ง ดงั น้ี

-21- 1) หลักฐานเชน่ เดยี วกับที่ฃอรับบาํ เหนจ็ ตกทอด ตามข้อ 1.5.6 2) หลกั ฐานท่ีเกี่ยวข้องเพิม่ เติม ได้แก่ (1) คาํ สง่ั ของผู้บังคับบัญชา หรือหลกั ฐานเก่ียวกับการไปปฏบิ ตั ิราชการ (2) รายงาน หรอื รายละเอยี ดการปฏบิ ัติหน้าท่รี าชการจนเป็นเหตใุ ห้ถกู ประทุษรา้ ยหรอื ไดร้ ับอนั ตราย (3) รายงานของผ้รู ่วมงาน หรอื ผู้เหน็ เหตกุ ารณใ์ กล้ชดิ (ถา้ มี) (4) รายงานการสอบสวนของเจ้าหน้าท่ีตํารวจในกรณีที่ถูกประทุษร้าย หรือได้รับ อนั ตรายน้นั เกดิ จากการกระทําผิดอาญาของผหู้ น่งึ ผูใ้ ด หรือสําเนาคําพิพากษาคดนี ั้น (5) ในกรณีทไี่ มอ่ าจแนบหลักฐานตาม (4) หรอื หลกั ฐานตาม (4) ไมป่ รากฏชัด วา่ การ ถูกประทุษร้ายหรือได้รับอันตรายน้ันเกิดจากความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของข้าราชการ ส่วนท้องถิ่นผู้น้ันเองหรือไม่ ต้องมีเอกสารหลักฐานการสอบสวน พร้อมท้ังสรุปความเห็นของคณะกรรมการซ่ึง ผู้บังคับบัญชาได้แต่งต้ังข้ึนสอบสวนว่า การถูกประทุษร้ายหรือได้รับอันตรายบังเกิดจากความผิด หรือความ ประมาทเลนิ เลอ่ อยา่ งรา้ ยแรงของขา้ ราชการสว่ นทอ้ งถิ่นผู้นั้นเองหรอื ไม่ (6)คาํ สง่ั เลือ่ นเงินเดอื นกรณีพเิ ศษ (ถา้ มี) 1.5.5 บาํ เหน็จดาํ รงชพี บําเหน็จดํารงชีพ เป็นเงินที่จ่ายเพื่อช่วยเหลือการดํารงชีพให้แก่ผู้รับบํานาญเพื่อให้เกิดความ เหมาะสม และพอเพียงกับเศรษฐกจิ ในปัจจุบัน ดงั น้ี 1) จา่ ยให้แก่ผรู้ บั บาํ นาญปกติหรือผู้รบั บํานาญพเิ ศษเพราะเหตุทุพพลภาพ 2) สทิ ธใิ นการขอรบั เป็นไปตามอัตราและวิธกี ารท่กี าํ หนดในกฎกระทรวง ดังน้ี � ไม่เกนิ 15 เทา่ ของบํานาญรายเดอื น แตไ่ ม่เกนิ 400,000 บาท โดยขอรบั ดงั นี้ (1) อายุตา่ํ กวา่ 65 ปบี ริบูรณ์ขอรบั บาํ เหน็จดํารงชพี ไดไ้ มเ่ กนิ 200,000 บาท (2) อายุต้ังแต่ 65 ปีบริบูรณ์ข้ึนไป ขอรับบําเหน็จดํารงชีพได้ไม่เกิน 400,000 บาท แต่ถา้ ใชส้ ทิ ธริ บั ตาม (1) ไปแล้ว ให้ขอรบั บําเหนจ็ ดํารงชพี ไดไ้ ม่เกินส่วนทย่ี ังไมค่ รบตามสิทธขิ องผนู้ นั้

-22- 3) กรณผี ้รู บั บํานาญรายใด รับท้ังบํานาญปกตแิ ละบํานาญพเิ ศษเพราะเหตุทพุ พลภาพ ให้นําบํานาญปกติและบํานาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ รวมเป็นบํานาญรายเดือนเพื่อคํานวณจ่ายเป็นบําเหน็จ ดาํ รงชพี 4) เม่ือผู้รับบํานาญรับบําเหน็จดํารงชีพแล้ว ผู้รับบํานาญปกติหรือผู้รับบํานาญพิเศษ เพราะเหตุทุพพลภาพไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จดํารงชีพอีก ถ้าภายหลังผู้นั้นกลับเข้ารับราชการใหม่และได้ออกจาก ราชการในคร้ังหลังโดยเลือกรบั บาํ นาญ 5) กรณีข้าราชการบํานาญกลับเข้ารับราชการใหม่ โดยมีสิทธินับเวลาราชการสําหรับ คํานวณบําเหน็จบํานาญตอนก่อนออกจากราชการต่อเนื่องกับการรับราชการในตอนหลังตามมาตรา 30 และเมื่อใช้สทิ ธิขอรับไปแลว้ นําไปหักออกจากเงินบําเหน็จท่ีคาํ นวณไดใ้ นครั้งหลงั 6) กรณีผู้รับบํานาญปกติหรือผู้รับบํานาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ ได้แสดงเจตนา ขอรบั บําเหน็จดาํ รงชพี แล้ว แตไ่ ดถ้ ึงแกค่ วามตายกอ่ นได้รบั บาํ เหน็จดํารงชพี ใหร้ ะงบั การจา่ ยเงนิ ดงั กล่าว 7) กรณีผรู้ ับบาํ นาญปกติหรือผ้รู บั บาํ นาญพิเศษเพราะเหตุทพุ พลภาพถึงแก่ความตาย การจ่ายบําเหนจ็ ตกทอด ใหห้ ักเงินออกจากบําเหน็จตกทอดท่จี ะได้รับเทา่ กบั เงินบําเหน็จดาํ รงชีพเสยี ก่อน 8 ) ก ร ณี ผู้ รั บ บํ า น า ญ ห รื อ ข้ า ร า ช ก า ร ส่ ว น ท้ อ ง ถ่ิ น ซ่ึ ง ถู ก ก ล่ า ว ห า ห รื อ ต้ อ ง ห า ว่ า กระทําผิดวินัยหรืออาญาก่อนออกจากราชการ จะขอรับบําเหน็จดํารงชีพได้เมื่อกรณีหรือคดีถึงที่สุดและมีสิทธิรับ บํานาญ 9) ระยะเวลาในการขอรับบาํ เหนจ็ ดํารงชีพ -ขอรบั ได้ตงั้ แต่วันที่ 1 ตลุ าคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของทกุ ปี -ข้าราชการส่วนท้องถ่ินซึ่งออกจากราชการและเลือกรับบํานาญจะขอรับ บําเหน็จดํารงชีพพร้อมกับรับบํานาญในวันที่ยื่นเร่ืองขอรับบํานาญก็ได้ แต่ถ้าไม่ขอรับบําเหน็จดํารงชีพพร้อมกับ การย่ืนเรื่องขอรับบํานาญในวันดังกล่าว หากภายหลังจะขอรับบําเหน็จดํารงชีพให้ขอรับได้ต้ังแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถงึ วนั ที่ 31 ธนั วาคม ของทกุ ปี

-23- 1.5.6 บําเหนจ็ ตกทอด เงินทจี่ า่ ยให้แกท่ ายาทของขา้ ราชการส่วนท้องถ่ิน หรอื ผรู้ บั บํานาญทีถ่ ึงแกค่ วามตาย ดงั นี้ 1) การคํานวณบาํ เหนจ็ ตกทอดกรณขี ้าราชการสว่ นท้องถ่นิ ถงึ แกค่ วามตาย ขา้ ราชการส่วนท้องถิน่ ซงึ่ ถึงแกค่ วามตายระหวา่ งรับราชการ ถา้ ความตายนนั้ มไิ ด้เกิดขึ้นเน่ืองจาก การประพฤติชัว่ อย่างรา้ ยแรงของตนเอง ใหจ้ ่ายบําเหน็จตกทอดแก่ทายาทหรอื ผมู้ สี ิทธิเป็นจาํ นวนเท่ากับ � เงินเดอื นเดอื นสุดท้าย X จาํ นวนปีเวลาราชการ โดยให้จ่ายแก่ผู้มีสิทธิตามหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายบําเหน็จตกทอด ตามกฎหมายว่าด้วย บําเหน็จบํานาญข้าราชการท่ีใช้บังคับอยู่ในวันท่ีถึงแก่ความตายโดยอนุโลม ในกรณีท่ีกฎหมายว่าด้วย บําเหน็จบํานาญข้าราชการบัญญัติให้กระทรวงการคลังเป็นผู้กําหนดในเรื่องใด ก็ให้กระทรวงมหาดไทย เป็นผกู้ าํ หนดในเร่อื งนน้ั แทน 2) การคาํ นวณบาํ เหนจ็ ตกทอดกรณผี รู้ บั บํานาญสว่ นทอ้ งถิ่นถึงแก่ความตาย กรณีผู้ได้รับบํานาญปกติหรือผู้มีสิทธิจะได้รับบํานาญปกติหรือผู้รับบํานาญพิเศษเพราะเหตุ ทุพพลภาพ ถึงแกค่ วามตาย ใหจ้ า่ ยบาํ เหนจ็ ตกทอดแก่ทายาท หรือผมู้ สี ทิ ธเิ ป็นจํานวนเทา่ กับ � (บาํ นาญรายเดอื น + เงนิ ชว่ ยคา่ ครองชีพผู้รบั บํานาญ(ช.ค.บ.)) X 30 กรณีผรู้ บั บํานาญไดใ้ ช้สทิ ธิขอรบั เงนิ บําเหน็จดาํ รงชีพแลว้ และเม่อื เสยี ชีวิต บําเหน็จตกทอดที่ต้อง จ่ายแก่ทายาท หรือผู้มสี ิทธติ ้องหกั เงินตามจาํ นวนบําเหน็จดาํ รงชีพทผ่ี ้รู บั บํานาญได้รับแล้วออกกอ่ นดว้ ย 3) หลกั เกณฑก์ ารจ่ายบําเหนจ็ ตกทอด จ่ายให้แก่ทายาท หรือผู้มีสิทธิโดยอนุโลมตาม พ.ร.บ.บําเหน็จบํานาญข้าราชการพ.ศ.2494 และทแ่ี ก้ไขเพิ่มเติมท่ใี ชบ้ ังคบั อยใู่ นปัจจบุ ัน ดังนี้ � ทายาททมี่ สี ทิ ธริ บั บําเหน็จตกทอด ได้แก่ (1) บุตรให้ได้รับ 2 ส่วน ถ้าข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ตาย มีบุตรต้ังแต่ 3 คน ข้ึนไปให้ ไดร้ ับ 3 สว่ น (2) สามหี รือ ภรยิ า ใหไ้ ดร้ บั 1 สว่ น

-24- (3) บดิ ามารดา หรือบิดา หรอื มารดา ท่ีมีชีวติ อยู่ให้ได้รับ 1 สว่ น �กรณีท่ีไม่มีทายาทตาม (1) (2) (3)หรือทายาทดังกล่าวน้ันได้ตายไปก่อน ให้แบ่งบําเหน็จตก ทอดระหว่างทายาทผมู้ ีสทิ ธิทีเ่ หลอื อยูต่ ามส่วน � กรณีไม่มีทายาทดังกล่าวเลย ให้จ่ายแก่บุคคลซ่ึงข้าราชการส่วนท้องถ่ินหรือผู้รับบํานาญที่ เสียชวี ติ ไดแ้ สดงเจตนาไวต้ ่อส่วนราชการเจา้ สงั กดั ตามแบบและวธิ กี ารทก่ี ระทรวงมหาดไทยกําหนด �กรณีไม่มีทายาทและบุคคลท่ีได้แสดงเจตนาไว้หรือบุคคลนั้นได้ตายไปก่อนให้สิทธิใน บําเหนจ็ ตกทอดเป็นอันยุตลิ ง � กรณีจ่ายบําเหน็จตกทอดไปแล้ว หากปรากฏว่ามีบุตรเพิ่มขึ้นโดยคําพิพากษาของศาล ว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ซึ่งได้มีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก่อนหรือภายใน 1 ปี นับแต่ วนั ทบ่ี ดิ าตายหรือนับแต่วันท่ีได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของบิดา ให้แบ่งบําเหน็จตกทอดนั้นใหม่ระหว่างทายาท ผู้มีสิทธิ โดยถือว่าบุตรชอบด้วยกฎหมายตามคําพิพากษาน้ันเป็นทายาทผู้มีสิทธิต้ังแต่วันตายของข้าราชการ ส่วนท้องถิ่น กรณีเช่นน้ี ให้จังหวัดเรียกคืนบําเหน็จตกทอดจากทายาทซ่ึงรับบําเหน็จตกทอดไปก่อนแล้ว ตามระเบียบทีก่ ระทรวงมหาดไทยกําหนด � กรณีไม่สามารถเรียกคืนบําเหน็จตกทอดที่จ่ายให้ทายาทซ่ึงรับเกินไปในส่วนของตนได้ จังหวัดไม่ต้องรับผิดชอบจ่ายเงินบําเหน็จตกทอดแก่บุตรซ่ึงได้มีคําพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วย กฎหมายย้อนหลงั ไปถงึ วันเกิดสทิ ธิรับบําเหนจ็ ตกทอดแตอ่ ยา่ งใด � กรณีได้จ่ายบําเหน็จตกทอดให้แก่ผู้มีสิทธิตามคําส่ังจังหวัดแล้ว หากปรากฏในภายหลังว่ามี บุตรซ่ึงได้มีคําพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายตามเงื่อนไขท่ีกฎหมายว่าด้วย บาํ เหน็จบํานาญขา้ ราชการส่วนท้องถนิ่ เพม่ิ ขนึ้ ใหจ้ งั หวดั ส่งั จา่ ยเงินรายน้ันใหม่

-25- 4) การขอรับบําเหน็จตกทอดกรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่นถึงแก่ความตาย ทายาทผู้มีสิทธิ หรือผู้ท่ีข้าราชการส่วนท้องถ่ิน ได้แสดงเจตนาไว้แล้วแต่กรณียื่นเรื่องขอรับบําเหน็จตกทอดด้วยตนเองตามแบบ บ.ท. 1 แบบ บ.ท. 2 และแบบ บ.ท. 5 ต่อราชการส่วนท้องถิ่น ซ่ึงข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ตายสังกัดอยู่ ครงั้ สดุ ท้าย พร้อมดว้ ยสาํ เนามรณบตั ร รวม 3 ชุด และให้คํารับรองว่าจะชดใช้เงินท่ีได้รับไปโดยไม่มีสิทธิตลอดจน ค่าเสยี หายตา่ ง ๆ คืนแก่ราชการส่วนท้องถ่ิน ตามแบบ บ.ท. 6 หรือแบบหนังสือรับรองการชดใช้เงินคืนให้แก่ทาง ราชการ (สําหรับผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนไร้ความสามารถ ให้ผู้ปกครองในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม ผพู้ ิทักษ์หรอื ผู้อนบุ าล ลงช่อื แทนหรือให้ความยนิ ยอม แล้วแตก่ รณี) � เม่ือเจ้าหน้าท่ีผู้รับผิดชอบได้รับเรื่องขอรับบําเหน็จตกทอดจากผู้ยื่นแล้ว ให้สอบสวนบันทึก ปากคาํ ของผยู้ นื่ ในหวั ข้อรายละเอียด ดงั นี้ (1) ผตู้ ายไดต้ ายดว้ ยเหตใุ ด (2) ชื่อตัว ช่ือสกุลของบิดาและมารดาของผู้ตายช่ืออะไร และยังมีชีวิต หรือถึงแก่กรรม ไปแลว้ ต้ังแต่เมือ่ ใด (3) ผู้ตายมีสามีหรือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้ามีชื่อตัว ช่ือสกุลอะไร และให้มหี ลกั ฐานใบสาํ คญั การสมรสประกอบด้วย หากไม่มหี ลักฐาน ใหช้ แี้ จงเหตผุ ลโดยชัดแจง้ (4) ผู้ตายมีบุตรกี่คน ช่ืออะไร เกิดวันเดือนปีใด ถ้าเป็นบุตรเกิดก่อนสมรส ต้องให้สอบสวนโดยละเอียดต่อไปด้วยว่าต่อมาบิดามารดาได้สมรสกัน หรือได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาล พิพากษาว่าเป็นบุตรหรือไม่ทั้งน้ีให้ส่งหลักฐานต่าง ๆ เช่น สําเนาทะเบียนบ้าน สําเนาใบสําคัญการสมรส สําเนาทะเบียนการรับรองบุตร หรือสําเนาคําพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตร และเอกสารท่ีเก่ียวข้องอ่ืนใด ประกอบการพจิ ารณาด้วย �ให้เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานท่เี ก่ียวขอ้ งทใ่ี ช้ในการขอรับบําเหนจ็ บํานาญปกติตามข้อ 1.5.3 และให้เสนอจังหวัดภายใน 15 วัน นบั แต่วันทีไ่ ดร้ ับเรอื่ ง โดยให้แนบหลกั ฐานเพม่ิ เติมดงั น้ี (1) หลกั ฐานเกย่ี วกบั การตาย (ก) สําเนามรณบัตรกรณีตายโดยเหตุปกติหรือสําเนามรณบัตร ประกอบ หลักฐานการสอบสวนของเจ้าหน้าท่ีตํารวจ เช่น รายงานการชันสูตรพลิกศพ รายงานประจําวันเกี่ยวกับคดี รายงานการสอบสวน ฯลฯ กรณีตายโดยผดิ ธรรมชาติ (ข) สําเนาคําสั่งศาลสําหรับผทู้ ศ่ี าลสงั่ ใหเ้ ปน็ คนสาบสญู (ค)หลักฐานการสอบสวน พร้อมท้ังสรุปความเห็นของคณะกรรมการ ท่ผี ู้บังคบั บัญชาแตง่ ตง้ั เพือ่ สอบสวนพฤติการณ์และกรณีแวดลอ้ มท่ัวๆไป สาํ หรบั ผูท้ ี่ไม่ทราบแน่ชดั ว่าการตายมสี าเหตเุ นอื่ งจากการประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงของตนเองหรือไม่ (ง)หลักฐานการวินิจฉัยขององค์กรกลางบริหารงานบุคคลราชการส่วนท้องถ่ิน (ก.จ.จ. หรือ ก.ท.จ. หรือ ก.อบต.จังหวัด หรือ ก.เมืองพัทยา) ถ้าผู้น้ันไม่ถึงแก่ความตายเสียก่อนจะต้องได้รับโทษ ถึงไล่ออกจากราชการหรือไม่ สําหรับผู้ตายท่ีมีกรณีหรือต้องหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรงและยังไม่ได้รับการ วินิจฉยั เรอ่ื งทกี่ ระทาํ ผิดน้ัน

-26- (2) หลกั ฐานเกี่ยวกับทายาท (ก) สําเนาทะเบียนบ้านของบิดามารดา กรณียังมีชีวิตอยู่หรือสําเนามรณบัตร หรือหนังสือรับรองการตายของผู้ที่ควรเช่ือถือได้ (เช่น พี่น้อง ลุง ป้า น้า อา หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง) กรณที ีต่ ายไปกอ่ นแลว้ (ข) หลักฐานการเปน็ บดิ าโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ไดแ้ ก่ - สําเนาทะเบียนสมรส หรือใบสําคัญการสมรสของบิดามารดา หรือ สาํ เนาทะเบียนฐานะของภรยิ า (มารดาของผู้ตาย) หรือ - หนังสือรับรองของผู้ควรเช่ือถือได้ที่รับรองว่า บิดามารดาสมรสก่อนวันท่ี 1 ตุลาคม พ.ศ. 2478 หรอื - สําเนาทะเบียนบา้ น หรอื สตู บิ ตั รของบตุ รรว่ มบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตาย ซ่ึง เกดิ ภายในปีพ.ศ. 2478 หรอื ก่อนนัน้ (3) หลักฐานเก่ยี วกบั ค่สู มรส (ก) สาํ เนาทะเบยี นสมรส หรือใบสาํ คญั การสมรส (ข) สาํ เนาทะเบยี นบ้าน (ค) สําเนามรณบัตร หรือหนังสือรับรองการตายของผู้ที่ควรเชื่อถือได้กรณี คู่สมรสตายไปกอ่ น (ง) สําเนาทะเบียนการหย่า หรือใบสําคัญการหย่า หรือคําสั่งศาลกรณี ท่ีมกี ารหย่า (จ) สําเนาคําพิพากษา หรือคําสั่งท่ีแสดงว่าคู่สมรสคนใดเป็นคู่สมรสท่ีชอบด้วย กฎหมาย กรณีทม่ี กี ารสมรสช้อน (4) หลกั ฐานเกี่ยวกับบุตร (ก) สําเนาทะเบียนสมรสหรือใบสําคัญการสมรสของผู้ตายกับมารดาของบุตร หรือสาํ เนาทะเบยี นการรบั รองบตุ ร หรือสาํ เนาคาํ พิพากษาของศาลว่าเป็นบุตร

-27- (ข) บันทกึ รับรองการมบี ตุ รชอบดว้ ยกฎหมายในครรภ์มารดา (ถา้ ม)ี (ค) สําเนาใบมรณบัตร หรือหนังสือรับรองการตายของผู้ที่ควรเชื่อถือได้กรณี บุตรตาย (ง) สาํ เนาทะเบียนการรบั รองบตุ รบญุ ธรรม กรณที ีม่ ีบตุ รบญุ ธรรม (5) หลกั ฐานการเปน็ ผปู้ กครองโดยชอบดว้ ยกฎหมาย หรือผ้พู ทิ กั ษห์ รอื ผอู้ นุบาลแล้วแต่ กรณีซ่ึงลงชื่อให้ความยินยอมในการขอรับ หรือขอรับบําเหน็จตกทอดแทนผู้มีสิทธิได้แก่สําเนาทะเบียน การรับรองบุตร สําเนาทะเบียนการรับบุตรบุญธรรม หรือสําเนาคําสั่งศาลตั้งผู้ปกครองผู้พิทักษ์หรือผู้อนุบาล แลว้ แตก่ รณี 5) การขอรับบาํ เหนจ็ ตกทอดกรณผี รู้ บั บํานาญสว่ นทอ้ งถ่ินถงึ แก่ความตาย กระทรวงมหาดไทยกําหนดหลักเ กณฑ์และวิธีปฏิบัติเก่ียวคับการขอรับบําเหน็จตกทอด กรณี ผู้รับบํานาญถึงแกค่ วามตาย ดงั นี้ � เมื่อผู้รับบํานาญถึงแก่ความตาย เป็นหน้าที่ของทายาท หรือผู้มีสิทธิรับบําเหน็จตกทอด แจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินผู้เบิกจ่ายบํานาญทราบ และให้ผู้เบิกจ่ายบํานาญแจ้งการหมดสิทธิรับบํานาญ ของผู้นั้น ให้สํานักงานกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถ่ิน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นทราบ โดยเรว็ �ให้ทายาทผู้มีสิทธิหรือผู้ที่ผู้รับบํานาญซึ่งถึงแก่ความตายได้แสดงเจตนาไว้ให้มีสิทธิรับ บาํ เหน็จตกทอด ยน่ื คําขอรับบําเหน็จตกทอด พร้อมทั้งให้คํารับรองว่าจะชดใช้เงินที่ได้รับไปโดยไม่มีสิทธิตลอดจน ค่าเสียหายต่าง ๆ คืนแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ตามแบบ บ.ท. 6 และสําหรับผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ ความสามารถ หรือคนไร้ความสามารถ ให้ผู้ปกครองในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้พิทักษ์ หรือผู้อนุบาล ลงชื่อแทนหรือให้ความยินยอม แล้วแตก่ รณโี ดยย่นื ต่อองค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ ทีผ่ ตู้ ายรับบาํ นาญครั้งสุดทา้ ย

-28- � ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบรวบรวมหลักฐานเช่นเดียวกับกรณีข้าราชการส่วนท้องถ่ินตายตาม ข้อ 4) แนบแบบคําขอ และใหเ้ สนอจังหวัดภายใน 15 วนั นบั แตว่ ันทีไ่ ด้รับเรือ่ ง 1.6 การเสียสิทธิรบั สวัสดิการดา้ นบําเหนจ็ บํานาญของทายาท 1.6.1 กรณกี ารกระทําของข้าราชการสว่ นทอ้ งถิ่น สาเหตุเนือ่ งมาจากข้าราชการส่วนท้องถนิ่ มกี รณหี รือต้องหาว่ากระทําความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ถึงแกค่ วามตายก่อนได้รับการวนิ ิจฉัยเรื่องท่ีกระทําผิดวินัยน้ัน ให้คณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ สว่ นท้องถ่ิน (ก.บ.ท.) มหี น้าที่พิจารณาวินิจฉัยว่า ล้าข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้นั้นไม่ถึงแก่ความตายเสียก่อนจะต้อง ได้รับโทษถึงไล่ออกหรือไม่ ล้าเห็นว่าผู้นั้นจะต้องได้รับโทษถึงไล่ออก ทายาทไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จตกทอดตาม มาตรา 47 1.6.2 กรณกี ารกระทาํ ของผรู้ ับบาํ นาญ สาเหตุเน่ืองมาจากผู้รับบํานาญปกติหรือมีสิทธิได้รับบํานาญปกติหรือได้รับบํานาญพิเศษเพราะ เหตุทุพพลภาพ ได้กระทําความผิดอาญาซ่ึงไม่ใช่ความผิดฐานลหุโทษ หรือความผิดอันได้กระทําโดยประมาท หรอื ถกู ฟ้องวา่ เป็นบคุ คลลม้ ละลายทจุ รติ ถ้าถงึ แก่ความตายกอ่ นมีคดหี รือกอ่ นคดีถงึ ท่ีสุด ให้คณะกรรมการกองทุน บําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถ่ิน (ก.บ.ท.) มีหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยว่า ผู้นั้นได้กระทําความผิดจริงหรือไม่ ถ้าเห็นว่าผู้น้ันได้กระทําความผิดซึ่งกฎหมายกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงไว้เกินกว่า 1 ปีแล้ว ทายาทไม่มีสิทธิได้รับ บาํ เหนจ็ ตกทอดตามมาตรา 48 1.6.3 กรณีการกระทาํ ของทายาท ทายาทที่มีสิทธิได้รับบํานาญพิเศษ หรือทายาทท่ีมีสิทธิได้รับบําเหน็จตกทอดไม่มีสิทธิ ได้รับบํานาญพเิ ศษหรอื บําเหน็จตกทอด ถ้าทายาทไดก้ ระทําการ ดังนี้ �เ ป็ น ผู้ ต้ อ ง คํ า พิ พ า ก ษ า ถึ ง ท่ี สุ ด ว่ า ไ ด้ เ จ ต น า ก ร ะ ทํ า ห รื อ พ ย า ย า ม ก ร ะ ทํ า ใ ห้ เ จ้ า บํ า น า ญ หรอื ผู้ท่จี ะก่อให้เกดิ สทิ ธริ บั บํานาญแกต่ นถึงตายโดยมชิ อบด้วยกฎหมาย �ทายาทที่มีสิทธิได้รับบํานาญพิเศษด้วยกัน ต้องคําพิพากษาถึงที่สุดว่าได้เจตนากระทําหรือ พยายามกระทําให้ทายาทด้วยกันถงึ ตายโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือ � ทายาทฟ้องเจ้าบํานาญหรือผู้ท่ีจะก่อให้เกิดสิทธิรับบํานาญแก่ตน หาว่าทําความผิดโทษ ประหารชีวิตและตนเองกลบั ต้องคาํ พิพากษาถึงทีส่ ุดวา่ มีความผดิ ฐานฟ้องเทจ็ หรือทําพยานเทจ็ 1.7 เงนิ เพิม่ จากเงนิ บํานาญ 1.7.1 ข้าราชการส่วนทอ้ งถิน่ ท่ีมีสิทธไิ ด้รบั เงินเพิม่ จากเงินบํานาญ เ งิ น เ พิ่ ม ร้ อ ย ล ะ 25 จ า ก เ งิ น บํ า น า ญ เ ป็ น สิ ท ธิ ป ร ะ โ ย ช น์ ที่ กํ า ห น ด ใ ห้ เ ฉ พ า ะ แ ก่ ขา้ ราชการสว่ นท้องถ่ินผูร้ ับบาํ นาญเท่านั้น ทั้งนี้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินบําเหน็จบํานาญ ข้าราชการส่วนท้องถ่ิน พ.ศ.2509 ซึ่งตอนหลังได้มีการยกเลิกระเบียบดังกล่าวและมีการปรับปรุงการจ่ายเงิน เพมิ่ จากเงนิ บาํ นาญดังน้ี

-29- (1) ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซ่ึง ออกหรือพ้นจากราชการก่อนวันท่ี 1 มกราคม 2509 และได้รับ หรือมีสิทธิได้รับบํานาญปกติหรือบํานาญพิเศษ หรือบํานาญตกทอด ไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่ม จากเงนิ บํานาญ (2) ขา้ ราชการสว่ นท้องถนิ่ ซึ่ง ออกหรือพน้ จากราชการนับตังแตว่ ันที่ 1 มกราคม 2509 เป็นต้น ไปและได้รับหรือมีสิทธิ'ได้รับบํานาญปกติหรือบํานาญพิเศษ มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มร้อยละ 25 ของเงินบํานาญปกติ หรอื เงินบาํ นาญพเิ ศษโดยให้องคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นเบิกจ่ายเงินเพ่ิมจากเงินบํานาญปกติหรือเงินบํานาญพิเศษ จากเงินสมทบกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถ่ินและให้รวมจ่ายพร้อมกับเงินบํา นาญปกติหรือ เงินบํานาญพิเศษที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นหรือผู้มีสิทธิจะพึงได้รับ แต่เม่ือรวมเงินเพิ่มดังกล่าวกับเงินบํานาญปกติ หรือเงินบํานาญพิเศษเข้าด้วยกันแล้วจะต้องไม่สูงกว่าเงินเดือนเดือนสุดท้ายท่ีข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้รับ อยู่กอ่ นออกหรอื พน้ จากราชการส่วนท้องถิ่น (3) กรณีท่ขี ้าราชการซงึ่ ไดโ้ อนหรือถกู สัง่ ไปรบั ราชการ ณ องคก์ รปกครองสว่ นท้องถิ่นซึ่งมีสิทธิได้ นับเวลาราชการสําหรับคํานวณบําเหน็จบํานาญติดต่อกัน ในการคํานวณเงินเพ่ิมจากเงินบํานาญปกติหรือเงิน บํานาญพิเศษเพ่ือจ่ายแก่ข้าราชการดังกล่าว ให้คิดตามสัดส่วนของระยะเวลาที่ไปรับราชการเป็นข้าราชการส่วน ทอ้ งถิ่น คํานวณโดย � เงนิ บํานาญปกตหิ รอื เงินบาํ นาญพิเศษ X 25 X จาํ นวนปเี วลาราชการที่เปน็ ข้าราชการส่วนท้องถน่ิ 100 X เวลาราชการท้ังหมด (จาํ นวนปีเวลาราชการที่รับราชการอย่สู ังกัดเดมิ + สงั กัด อปท.) 1.7.2 ขา้ ราชการส่วนทอ้ งถนิ่ ทีไ่ มม่ ีสิทธไิ ดร้ บั เงนิ เพ่มิ จากเงนิ บํานาญ (1) ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งบรรจุหรือโอนมาเป็นข้าราชการส่วนท้องถ่ิน ตังแต่วันท่ี 1 ตุลาคม 2535 เปน็ ต้นไป เมื่อได้มีการยกเลิกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2509 โดยได้กําหนดระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2536 แต่หลักการของการจา่ ยเงนิ เพมิ่ จากเงนิ บํานาญท่ีกาํ หนดไข้ในข้อ 39 (1)(2)(3)ยงั คงมีข้อความกาํ หนด

-30- ความไว้เช่นเดิม แต่ได้เพ่ิม ข้อ (4) โดยมีสาระสําคัญ คือ ยกเลิก สิทธิการรับเงินเพ่ิมจากเงินบํานาญสําหรับ ข้าราชการส่วนท้องถ่ินซึ่งเข้ารับการบรรจุ หรือโอนมารับราชการในราชการส่วนท้องถิ่น นับต้ังแต่วันท่ี 1 ตุลาคม 2535 เป็นต้นไป เม่ือออกหรือพ้นจากราชการ และ ได้รับหรือมีสิทธิได้รับบํานาญปกติหรือบํานาญพิเศษ หรือ ผู้มีสิทธิจะได้รับบํานาญพิเศษไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มร้อยละ 25 จากเงินบํานาญปกติหรือเงินบํานาญพิเศษ และต่อมาได้มีการยกเลิกระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินบําเหน็จบํา นาญข้าราชการส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2536 แต่ความในข้อ 39 (1) (2) (3) และ (4) ดังกล่าวก็ยังคงนํามากําหนดไว้ในระเบียบ กระทรวงมหาดไทยวา่ ด้วยเงินบาํ เหน็จบํานาญข้าราชการส่วนทอ้ งถนิ่ พ.ศ.2546 ทกุ ประการ กรณีข้าราชการส่วนท้องถิ่นแต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด พนักงานเทศบาล พนักงานเมืองพัทยา ซ่ึงรับราชการก่อนวันท่ี 1 ตุลาคม 2535 ถ้าโอนไปรับราชการในองค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ินต่างประเภท ตั้งแต่หรือหลังวันที่ 1 ตุลาคม 2535 สถานะความเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ก็ยังถือเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ตามความหมายที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติบําเหน็จบํานาญข้าราชการ ส่วนท้องถ่ิน พ.ศ.2500 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม มาตรา 4 วรรคแรก ดังน้ัน จึงมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มจากเงินบํานาญ เช่น พนักงานเทศบาล ซ่ึงได้รับการบรรจุเป็นพนักงานเทศบาลก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2535 ถ้าโอนมารับราชการ เป็นพนักงานส่วนตําบลเมื่อออกหรือพ้นจากราชการและมีสิทธิรับบํานาญจะมีสิทธิได้ รับเงินเพ่ิมจากเงินบํานาญ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นกรณีพนักงานส่วนตําบลท่ีเร่ิมบรรจุเป็นพนักงานส่วนตําบลขององค์การบริหารส่วนตําบล คร้ังแรก ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีเกิดข้ึนหลังวันที่ 1 ตุลาคม 2535 พนักงานส่วนตําบลท่ีเร่ิมบรรจุ ใหมเ่ หลา่ นี้เมื่อออกหรือพน้ จากราชการและมสี ทิ ธิรบั บาํ นาญจะไมม่ ีสทิ ธไิ ดร้ บั เงนิ เพิ่มจากเงินบาํ นาญ (2) ข้าราชการท่ีโอนมาตั้งแตว่ ันท่ี 1 ตุลาคม 2535 เป็นตน้ ไป หรือขา้ ราชการถา่ ยโอน เนื่องจากความในข้อ 39 (4) ใช้คําว่าข้าราชการส่วนท้องถิ่น ซ่ึงเข้ารับราชการในราชการส่วน ทอ้ งถน่ิ นับตง้ั แตว่ ันที่ 1 ตลุ าคม 2535 เป็นตน้ ไป ซึ่งคําวา่ เข้ารับราชการดงั กล่าว จะมีความหมายว่าบรรจุแต่งต้ัง เพื่อเข้ารับราชการ ในราชการส่วนท้องถ่ิน หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินรับโอน และแต่งต้ัง เข้ารับราชการ ในราชการส่วนท้องถิ่น ดังนั้น กรณีท่ีข้าราชการประเภทอ่ืนๆที่โอนมาเป็นข้าราชการส่วนท้องถ่ิน ต้ังแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2535 เป็นต้นไป เมื่อออกหรือพ้นจากราชการและมีสิทธิรับเงินบํานาญจะไม่มีสิทธิได้รับเงินเพ่ิม จากเงินบํานาญ ท้ังน้ีได้มีข้อยุติตามสําเนาคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดง ที่ อ.392/2550ลง วันท่ี 26 พฤศจิกายน 2550 (รายละเอียดตามหนังสือกรมส่งเสริมปกครองท้องถ่ิน ที่ มท0808.5/ว 53 ลงวันท่ี 21 กันยายน 2552) สําหรับกรณีข้าราชการถ่ายโอนซ่ึงเคยรับราชการส่วนท้องถ่ินมาก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2535 และไดโ้ อนไปเปน็ ข้าราชการพลเรอื น ตอ่ มาไดร้ บั การถ่ายโอนกลับมาเป็นข้าราชการส่วนท้องถ่ิน เม่ือพ้นหรือออกจากราชการและมีสิทธิรับบํานาญจะไม่มีสิทธิรับเงินเพิ่มจากเงินบํานาญเพราะตามหลักการตาม กฎหมายแล้วถือว่า การท่ีข้าราชการผู้นั้นโอนจากราชการส่วนท้องถ่ินไปเป็นข้าราชการพลเรือนเป็นการเปลี่ยน สังกัดการรับราชการ มิใช่การออกจากราชการด้วยเหตุต่างๆ ตาม พ.ร.บ. บําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2500และท่ีแก้ไขเพิม่ เติม จึงยังไม่เกิดสิทธิท่ีจะได้รับเงินเพิ่มร้อยละ 25 จากเงินบํานาญเมื่อข้าราชการถ่าย โอนมายังราชการ ส่วนท้องถิ่น จึงเป็นการโอนเปลย่ี นสถานะกลับมาเป็นข้าราชการส่วนทอ้ งถิ่นหลังวันท่ี 1 ตุลาคม 2535

-31- (รายละเอียดตามหนังสือกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน ท่ี มท 0808.4/ว 591 ลงวันท่ี 11 พฤษภาคม 2547) 1.8 เงนิ ชว่ ยพิเศษ 1.8.1 การจ่ายเงินชว่ ยพเิ ศษ กรณีข้าราชการส่วนท้องถ่ินผู้ได้รับหรือมีสิทธิรับบํานาญถึงแก่ความตาย ให้จ่ายบํานาญรวมทั้ง เงนิ เพ่ิมจากบาํ นาญ(ถ้าม)ี ใหจ้ นถงึ วันทถี่ งึ แก่ความตาย และให้จ่ายเงินช่วยพิเศษเป็นจํานวนเท่ากับ � (บาํ นาญ+เงินเพิ่มจากบํานาญ(ถ้ามี) + เงนิ ชว่ ยคา่ ครองชีพผรู้ บั บาํ นาญ(ถา้ มี)) x 3 1.8.2 ผมู้ สี ทิ ธิไดร้ บั เงินชว่ ยพเิ ศษ 1) กรณีที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ตายได้แสดงเจตนาไว้ก่อนตาย ตามแบบ บ.ท. 10ยื่นต่อ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เงินช่วยพิเศษให้จ่ายแก่บุคคลซึ่งข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ตายแสดงเจตนา เช่น ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ตายมีคู่สมรส และมีบุตร แต่ได้ย่ืนแบบ บ.ท. 10 แสดงเจตนาให้จ่ายเงินช่วยพิเศษ แก่บตุ ร เมอ่ื ขา้ ราชการทา่ นนั้นเสียชวี ติ ต้องจา่ ยเงินช่วยพเิ ศษให้แกบ่ ุตร 2) กรณีท่ีข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้ตายมิได้แสดงเจตนาไว้หรือกรณีท่ีได้มีการแสดงเจตนาไว้แต่ บคุ คลดังกลา่ วไดต้ ายก่อนขา้ ราชการส่วนท้องถิน่ ผตู้ าย หรอื ไดต้ ายก่อนมีการจ่ายเงินดังกล่าว ให้จ่ายเงินช่วยพิเศษ แกบ่ คุ คลตามลําดับดังน้ี (1) คู่สมรส (2) บุตร (3) บิดามารดา ทั้งน้ีหากบุคคลในลําดับก่อนยังมีชีวิตอยู่ บุคคลในลําดับถัดไปไม่มีสิทธิได้รับเงินช่วยพิเศษ เช่น ข้าราชการส่วน ท้องถนิ่ ผู้ตายมีคสู่ มรส มีบุตร เงินชว่ ยพิเศษตอ้ งจ่ายให้แก่คู่สมรสเท่านั้นแต่ถ้าคู่สมรสเสียชีวิตก่อนท่ีจะจ่ายเงิน ให้ จ่ายเงินช่วยพิเศษแกบ่ ตุ ร

-32- 3) กรณีผู้มีสิทธิได้รับเงินช่วยพิเศษเป็นบุตร และมีจํานวนมากกว่า 1 คนให้จ่าย ให้แก่บุตรผู้ซ่ึง ได้รับมอบหมายเป็นหนังสือจากบุตรคนอ่ืน ๆ ให้เป็นผู้รับเงิน หรือจ่ายให้แก่บุคคลหนึ่งบุคคลใดท่ีจัดการศพ เช่น กรณปี รากฎขอ้ เทจ็ จริงวา่ บตุ ร 3 คนร่วมถันเปน็ ผู้ที่จัดการศพให้มอบเงนิ ดงั กล่าวใหแ้ ก่บตุ รเหลา่ นั้น 4) กรณที ายาทซงึ่ เปน็ ผรู้ บั บํานาญพเิ ศษถงึ แก่ความตาย ไมม่ กี ารจ่ายเงินช่วยพิเศษ และเงนิ บาํ เหน็จตกทอด 1.8.3 การขอรับเงินช่วยพิเศษ 1) การขอรับเงินช่วยพิเศษ ให้กระทําภายใน 1 ปีนับแต่วันท่ีข้าราชการส่วนท้องถ่ิน ผู้ได้รับหรือ มสี ิทธิได้รับบาํ นาญถึงแก่ความตาย 2) กรณีท่ีผู้มีสิทธิรับบํานาญถึงแก่ความตายก่อนท่ีผู้ว่าราชการจังหวัดจะส่ังจ่ายบํานาญให้นับ ระยะเวลาเพ่อื ขอรบั เงนิ ช่วยพเิ ศษตามความในข้อ 1) ตงั้ แตว่ นั ท่ีผู้วา่ ราชการจงั หวดั ส่ังจ่ายบํานาญ 1.8.4 กรณีที1่ ไม่มีผู้ทเี่ ขา้ จดั การศพ ในกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความจําเป็นต้องเข้าจัดการศพข้าราชการส่วนท้องถิ่น ผู้ตาย เพราะ ไม่มีผู้ใดเข้าจัดการในเวลาอันสมควร ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหักค่าใช้จ่ายจากเงินช่วยพิเศษ ได้เทา่ ทจี่ ่ายจรงิ แล้วมอบส่วนที่เหลอื ถา้ มีใหแ้ กผ่ ู้มสี ิทธิไดร้ ับต่อไป 1.9 เงินชว่ ยค่าครองชพี ผ้รู ับบํานาญ(ช.ค.บ.) 1.9.1หลกั เกณฑท์ ัว่ ไป และอดั ราการจา่ ยเงนิ ช.ค.บ. เงนิ บาํ นาญท่ขี ้าราชการส่วนท้องถ่ินผู้รับบํานาญได้รับเป็นเงินท่ีคิดคํานวณตามระเบียบกฎหมาย ที่กําหนดไว้ชัดเจน ไม่สามารถเปล่ียนแปลงได้เม่ือคํานวณแล้วได้รับบํานาญรายเดือนเท่าใดก็จะได้รับตามจํานวน น้ันตลอดไป แต่เมื่อเวลาผ่านไปสภาพเศรษฐกิจมีการเจริญเติบโต อัตราค่าครองชีพมีการเปล่ียนแปลงสูงขึ้น เงินบํานาญท่ีได้รับอยู่จึงไม่เหมาะสมและเพียงพอต่อการดํารงชีวิต กฎหมายจึงกําหนดเงินช่วยค่าครองชีพ ผู้รับบํานาญ(ช.ค.บ.) ขึ้น เพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้รับบํานาญมีเงินได้รายเดือนเพ่ิมขึ้น โ ดยเร่ิมต้ังแต่ ปี พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา กระทรวงมหาดไทยได้กําหนดระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพ ผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สอดคล้องกับการกําหนดเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญ ของข้าราชการพลเรือนตลอดมา ซ่ึงจนถึงปัจจุบันได้มีการกําหนดระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วย ค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่นรวม 15 ฉบับ โดยให้ผู้ได้รับหรือมีสิทธิได้รับบํานาญปกติ บาํ นาญพเิ ศษเพราะเหตทุ ุพพลภาพ บํานาญพเิ ศษ หรอื บํานาญตกทอดในฐานะทายาท หรือผู้อุปการะ หรือผู้อยู่ใน อปุ การะไดร้ บั เงินช.ค.บ. สรุปดังนี้ � ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2522 มีผลบังคับตง้ั แตว่ ันท่ี 1 ตุลาคม 2521 (1) ผูไ้ ดร้ ับบาํ นาญปกตหิ รอื ผ้รู ับบํานาญพิเศษเพราะเหตทุ ุพพลภาพ • ไดต้ ํา่ กว่าเดอื นละ 4,000 บาท ให้ไดร้ ับ ช.ค.บ. เดือนละ 200 บาท • ได้ต้ังแต่เดือนละ 4,000 บาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 4,200 บาท ให้ได้รับเดือนละ 200 บาท แต่เมอื่ รวม ช.ค.บ. กับบํานาญแล้วให้ไดร้ บั ไมเ่ กนิ 4,200 บาท

-33- (2) ผู้ได้รับบํานาญปกติถ้าเข้ารับราชการ หรือกลับเข้ารับราชการสังกัดราชการส่วนกลาง สว่ นภมู ภิ าค สว่ นทอ้ งถ่นิ ไม่มีสิทธิไดร้ บั ช.ค.บ. � ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับท่ี 2) พ.ศ.2523 มผี ลบงั คับตงั้ แตว่ ันท่ี 1 มกราคม 2523 (1) ผู้ที่ได้บาํ นาญพิเศษในฐานะทายาท • ไดต้ ่ํากวา่ เดอื นละ 4,000 บาท ใหไ้ ดร้ ับ ช.ค.บ. เดอื นละ 100 บาท • ได้ต้ังแต่เดือนละ 4,000 บาท ข้ึนไป แต่ไม่เกิน 4,100 บาท ให้ได้รับ ช.ค.บ.เดือนละ 100 บาท แต่เม่อื รวม ช.ค.บ. กับบาํ นาญแลว้ ให้ได้รับไม่เกิน 4,100 บาท (2) ผู้ได้รับบํานาญพิเศษในฐานะทายาท ถ้าเข้ารับราชการ หรือกลับเข้ารับราชการสังกัด ราชการสว่ นกลาง สว่ นภมู ิภาค ส่วนท้องถนิ่ ไมม่ สี ิทธิไดร้ ับ ช.ค.บ. �ระเบยี บกระทรวงมหาดไทยวา่ ด้วยเงินชว่ ยคา่ ครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถ่ิน(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2525 มีผลบังคับต้ังแต่วันท่ี 1 มกราคม 2525 กําหนดให้ผู้ได้รับบํานาญปกติ บํานาญพิเศษเพราะเหตุ ทพุ พลภาพ บาํ นาญพิเศษในฐานะทายาท ให้ได้รบั ช.ค.บ. ดังน้ี (1) ผู้ได้รับบํานาญในวันท่ี 1 มกราคม 2523 และยังคงได้รับอยู่ ให้ได้รับ ช.ค.บ.เพ่ิมอีก ในอตั ราเดอื นละร้อยละ 39 ของจํานวนบาํ นาญทไ่ี ดร้ บั (2) ผูไ้ ด้รับบาํ นาญต้งั แต่วนั ท่ี 2 มกราคม 2523 ถึงวันท่ี 1 มกราคม 2525 และยังคงได้รับอยู่ ใหไ้ ด้รับ ช.ค.บ. เพ่ิมอกี ในอัตราเดอื นละรอ้ ยละ 16 ของจํานวนบาํ นาญทไ่ี ด้รับ �ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถ่ิน (ฉบับที่4) พ.ศ.2532 มีผลบังคับต้ังแต่วันท่ี 1 มกราคม 2532 กําหนดให้ผู้ได้รับบํานาญปกติ บํานาญพิเศษเพราะ เหตทุ ุพพลภาพ บาํ นาญพเิ ศษในฐานะทายาทอยู่แลว้ ในวันท่ี 1 มกราคม 2532ให้ได้รบั ช.ค.บ. ดงั น้ี (1) ผู้ได้รับบํานาญและ ช.ค.บ. อยู่แล้ว ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 6 ของจาํ นวนบาํ นาญและ ช.ค.บ. ทไ่ี ดร้ บั (2) ผูไ้ ดร้ ับเฉพาะบํานาญให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 6 ของจํานวนบํานาญ ทไ่ี ด้รบั �ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับท่ี5) พ.ศ.2533 มีผลบงั คับดังแต่วนั ที่ 1 เมษายน 2533 กาํ หนดให้ผู้ได้รับบาํ นาญปกติบํานาญพิเศษเพราะเหตุทุพพล ภาพ บาํ นาญพเิ ศษในฐานะทายาทอยู่แล้ว ในวันท่ี 1 เมษายน 2533 ใหไ้ ดร้ บั ช.ค.บ. ดงั นี้ (1) ผไู้ ดร้ บั บํานาญและ ช.ค.บ. อยู่แลว้ ใหไ้ ดร้ ับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 10 ของ จาํ นวนบํานาญและ ช.ค.บ. ท่ไี ด้รับ (2) ผู้ได้รับเฉพาะบํานาญให้ได้รับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 10 ของจํานวน บํานาญท่ไี ด้รับ �ระเบยี บกระทรวงมหาดไทยวา่ ดว้ ยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถ่ิน (ฉบับท่ี6) พ.ศ.2534 มีผลบงั คบั ตั้งแตว่ นั ท่ี1 พฤศจกิ ายน 2533 กําหนดให้ผรู้ ับบํานาญปกตทิ ่ีมเี วลาราชการรวมกันทงั้ สน้ิ

-34- ไมน่ ้อยกว่า 25 ปีบริบรู ณแ์ ละไดร้ ับ ช.ค.บ. ตามขอ้ 3 ข้อ 4 ทวิขอ้ 4 ตรีและข้อ 4 จัตวา แล้วแต่กรณีอยู่แล้ว ให้ ไดร้ ับ ช.ค.บ. ดังนี้ (1) ผู้ได้รับบํานาญปกติมีอายุต้ังแต่ 70 ปีบริบูรณ์ข้ึนไป แต่ไม่ถึง 80 ปีบริบูรณ์และได้รับ บํานาญปกติรวมกับ ช.ค.บ.เดอื นละไม่ถึง 3,000 บาท ใหไ้ ดร้ ับ ช.ค.บ.เพิม่ อกี ในอัตราเดือนละเท่ากับส่วนต่างของ เงนิ จํานวน3,000 บาท หกั ดว้ ยบํานาญปกติที่ไดร้ บั อยู่ (2) ผู้ได้รับบํานาญปกติมีอายุตั้งแต่80ปีบริบูรณ์ขึ้นไปแต่ไม่ถึง 90ปีบริบูรณ์และได้รับบํานาญ ปกติรวมกับ ช.ค.บ. เดือนละไม่ถึง 5,000 บาทให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือนละเท่ากับส่วนต่างของเงิน จํานวน 5,000 บาทหักด้วยบาํ นาญปกติและ ช.ค.บ. ท่ีได้รบั อยู่ (3) ผู้ได้รับบํานาญปกติมีอายุต้ังแต่ 90 ปีบริบูรณ์ข้ึนไปและได้รับบํานาญปกติรวมกับ ช.ค.บ. เดือนละไม่ถึง 6,000 บาท ไห้ได้รับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีกในอัตราเดือนละเท่ากับส่วนต่างของเงินจํานวน 6,000 บาท หักด้วยบาํ นาญปกติและ ช.ค.บ. ทไี่ ดร้ ับอยู่ �ระเบียบกระทรวงมหาดไทยวา่ ด้วยเงินช่วยคา่ ครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถ่ิน (ฉบับที่7) พ.ศ. 2535 มีผลบังคับตั้งแต่วันท่ี 1 เมษายน 2535 กําหนดให้ผู้ได้รับบํานาญปกติ บํานาญพิเศษ เพราะเหตุ ทุพพลภาพ บํานาญพิเศษในฐานะทายาทให้ได้รับ ช.ค.บ. ดงั นี้ (1) ผไู้ ด้รบั บํานาญกอ่ นวนั ท่ี 2 กนั ยายน 2521 ใหไ้ ด้รับ ช.ค.บ. ในอตั ราเดอื นละร้อยละ 40 ของจํานวนบาํ นาญและ ช.ค.บ. ทไี่ ด้รับ (2) ผู้ได้รับบํานาญตั้งแต่วันท่ี2 กันยายน 2521 ถึงวันที่1 มกราคม 2532 ให้ได้รับในอัตรา เดอื นละรอ้ ยละ 20 ของจาํ นวนบาํ นาญและ ช.ค.บ. ทีไ่ ด้รบั (3) ผู้ได้รับบํานาญต้ังแต่วันท่ี 2 มกราคม 2532 ถึงวันท่ี1 เมษายน 2535 ให้ได้รับ ช.ค.บ.ใน อตั ราเดอื นละรอ้ ยละ 12 ของจํานวนบํานาญและ ช.ค.บ. ที่ไดร้ บั

-35- �ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่8) พ.ศ.2538 มีผลบังคับต้ังแต่วันท่ี 1 ตุลาคม 2537 กําหนดให้ผู้ได้รับบํานาญปกติบํานาญพิเศษ เพราะเหตุ ทุพพลภาพ บํานาญพิเศษในฐานะทายาทอยแู่ ล้ว ในวนั ท่ี1 ตลุ าคม 2537 ใหไ้ ดร้ ับ ช.ค.บ. ดังน้ี (1) ผไู้ ดร้ ับบํานาญและ ช.ค.บ. อยแู่ ลว้ ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 11 ของ จํานวนบาํ นาญและ ช.ค.บ. ทไี่ ดร้ ับ (2) ผู้ได้รับเฉพาะบํานาญให้ได้รับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 11 ของจํานวน บํานาญท่ไี ด้รบั �ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถ่ิน (ฉบับที่9) พ.ศ. 2547 มีผลบังคับตั้งแต่วันท่ี 1 เมษายน 2547 กําหนดให้ผู้ได้รับบํานาญปกติบํานาญพิเศษ เพราะเหตุ ทุพพลภาพ บาํ นาญพิเศษในฐานะทายาทอยู่แล้ว ในวนั ท่ี 1 เม.ย. 2547 ใหไ้ ด้รบั ช.ค.บ. ดังนี้ (1) ผู้ไดรั บั บํานาญและ ช.ค.บ. อยู่แล้ว ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิมอีกในอัตราเดือนละ รัอยละ 3 ของ จํานวนบาํ นาญและ ช.ค.บ. ท่ีไดร้ ับ (2) ผู้ไดร้ บั บํานาญเฉพาะบาํ นาญให้ไดร้ ับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีกในอัตราเดือนละ ร้อยละ 3 ของจํานวน บํานาญท่ไี ดร้ บั � ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับท1ี่ 0) พ.ศ. 2548 มผี ลบังคับตัง้ แต่วันท่ี 1 ตลุ าคม 2548 กาํ หนดให้ • ผู้ได้รับบํานาญปกติบาํ นาญพเิ ศษ เพราะเหตทุ พุ พลภาพ บํานาญพิเศษในฐานะทายาท เม่ือรวม กบั ช.ค.บ. ทไี่ ด้รบั ตํา่ กวา่ เดอื นละ 5,100 บาทให้ได้รับ ช.ค.บ.เพิ่มอีกในอัตราเดือนละเท่ากับส่วนต่างของจํานวน เงนิ 5,100 บาท หกั ดว้ ยจาํ นวนบาํ นาญและ ช.ค.บ. ทีไ่ ด้รับ �ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถ่ิน (ฉบับท่ี11) พ.ศ.2549 มีผลบังคับตั้งแต่วันท่ี 1 ตุลาคม 2548 กําหนดให้ผู้ได้รับบํานาญปกติ บํานาญพิเศษ เพราะเหตทุ ุพพลภาพ บาํ นาญพิเศษในฐานะทายาท อยแู่ ลว้ ในวนั ท่ี 1 ตุลาคม 2548 ให้ไดร้ บั ช.ค.บ. ดังน้ี (1) ผ้ไู ดร้ ับบํานาญและ ช.ค.บ. อยู่แล้ว ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีก ในอัตราเดือนละร้อยละ 5 ของ จาํ นวนบํานาญและ ช.ค.บ. ทไ่ี ด้รับ (2) ผูไ้ ดร้ ับเฉพาะบํานาญให้ได้รับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 5 ของจํานวนบํานาญ ทีไ่ ด้รบั (3) ผู้ได้รับบํานาญเปลี่ยนแปลงสถานที่รับบํานาญให้เป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ท่ีผู้รบั บาํ นาญลาออก หรือพน้ จากราชการเป็นผู้เบกิ จา่ ยช.ค.บ. �ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถ่ิน (ฉบับที่12) พ.ศ. 2551 มีผลบังคับต้ังแต่วันท่ี 1ตุลาคม 2550 กําหนดให้ผู้ได้รับบํานาญปกติ บํานาญพิเศษ เพราะเหตุทพุ พลภาพ บาํ นาญพิเศษในฐานะทายาทอย่แู ลว้ ในวนั ท่ี 1 ตุลาคม 2550 ใหไ้ ด้รับ ช.ค.บ. ดังนี้

-36- (1) ผู้ได้รับบํานาญและ ช.ค.บ. อยู่แล้ว ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีกในอัตราเดือนละ ร้อยละ 4 ของจํานวนบํานาญและ ช.ค.บ. ที่ได้รบั (2) ผู้ได้รับเฉพาะบํานาญให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 4 ของจํานวนบํานาญ ที่ได้รบั �ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถ่ิน (ฉบับท่ี 13) พ.ศ. 2552 มีผลบังคับตั้งแต่วันท่ี 1 สิงหาคม 2552 ให้ยกเลิกความใน ช.ค.บ.(ฉบับที่10) และ กาํ หนดให้ • ผู้ได้รับบํานาญปกติบํานาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ บํานาญพิเศษในฐานะทายาทถ้าได้รับ บํานาญรวมกันทุกประเภท เมื่อรวมกับ ช.ค.บ. ท่ีได้รับต่ํากว่าเดือนละ 6,000 บาท ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีกใน อตั ราเดือนละเท่ากับส่วนตา่ งของจาํ นวนเงิน 6,000 บาท หกั ดว้ ยจาํ นวนบํานาญทกุ ประเภท และ ช.ค.บ. ทไี่ ด้รับ �ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับท่ี14) พ.ศ. 2554 มีผลบังคับต้ังแต่วันที่ 1เมษายน 2554 กําหนดให้ผู้ได้รับบํานาญปกติ บํานาญพิเศษ เพราะเหตุทพุ พลภาพ บาํ นาญพิเศษในฐานะทายาทอยู่แลว้ ในวันท่ี 1เมษายน 2554ใหไ้ ด้รบั ช.ค.บ. ดงั นี้ (1) ผู้ได้รับบํานาญและ ช.ค.บ. อยู่แล้ว ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 5 ของ จาํ นวนบํานาญและ ช.ค.บ. ท่ไี ด้รบั (2) ผไู้ ดร้ ับเฉพาะบํานาญให้ได้รับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 5 ของจํานวนบํานาญ ที่ไดร้ ับ �ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับท่ี15) พ.ศ.2558 มีผลบังคับต้ังแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2557 ให้ยกเลิกความใน ช.ค.บ.(ฉบับที่13)และ กําหนดให้

-37- • ผู้ได้รับบํานาญปกติบํานาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพ บํานาญพิเศษในฐานะทายาทถ้าได้รับ บาํ นาญรวมกันทกุ ประเภท เม่ือรวมกบั ช.ค.บ. ท่ไี ด้รับตา่ํ กว่าเดือนละ9,000 บาท ใหไ้ ด้รับ ช.ค.บ.เพ่ิมอีกในอัตรา เดือนละเท่ากบั ส่วนต่างของจํานวนเงิน 9,000 บาท หกั ดว้ ยจํานวนบาํ นาญทุกประเภท และ ช.ค.บ. ทีไ่ ด้รับ �ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับบํานาญของราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับท่ี16) พ.ศ. 2558 มีผลบังคับต้ังแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2558 กําหนดให้ผู้ได้รับบํานาญปกติบํานาญพิเศษ เพราะเหตุทุพพลภาพ บาํ นาญพิเศษในฐานะทายาทอยู่แลว้ ในวันที่ 1ธนั วาคม 2558ให้ไดร้ บั ช.ค.บ. ดงั นี้ (1) ผ้ไู ดร้ ับบํานาญและ ช.ค.บ. อยู่แล้ว ให้ได้รับ ช.ค.บ. เพิ่มอีกในอัตราเดือนละ ร้อยละ 4 ของ จาํ นวนบํานาญและ ช.ค.บ. ทีไ่ ดร้ ับ (2) ผไู้ ดร้ ับเฉพาะบํานาญให้ได้รับ ช.ค.บ. เพ่ิมอีกในอัตราเดือนละร้อยละ 4 ของจํานวนบํานาญ ท่ไี ดร้ บั 1.9.2 การเบกิ จา่ ยเงิน ช.ค.บ. 1) การจ่าย ช.ค.บ.ให้นํากฎหมายว่าต้วยการจ่ายเงินเดือน เงินปีบําเหน็จบํานาญและเงินอื่นใน ลักษณะเดียวกัน มาใช้บังคับโดยอนุโลม เว้นแต่ในกรณีผู้รับบํานาญถึงแก่ความตาย ให้จ่าย ช.ค.บ.เพียง วนั ทถ่ี ึงแก่ความตาย 2) กรณีผูร้ บั บํานาญเปล่ยี นแปลงสถานที่รับบาํ นาญให้เป็นหน้าท่ีขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ตน้ สังกัดท่ผี ู้รบั บํานาญออกจากราชการเป็นผู้เบิกจ่าย ช.ค.บ. 3) ให้เบิกจ่าย ช.ค.บ. จากงบประมาณรายจ่าย งบกลางประเภทรายจา่ ยตามข้อผูกพนั 4) การเบิกจ่าย ช.ค.บ. ไม่ตอ้ งแสดงรายการหักภาษีเงินไต้แต่ให้นําไปคํานวณหักจากเงินบํานาญ ในฎกี าเบิกเงนิ บาํ นาญ 1.10 การสั่งจา่ ยบาํ เหน็จบาํ นาญ 1.10.1 ขน้ั ตอนการขอรบั บาํ เหน็จบํานาญ 1) ช้าราชการส่วนท้องถ่ินผู้ใดประสงค์จะออกจากราชการ ให้ยื่นหนังสือขอลาออกจาก องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีตนสังกัด ตามแบบ บ.ท. 14 และกรณีข้าราชการส่วนท้องถ่ินพ้นจากราชการเพราะ เกษียณอายุ ให้ย่ืนคําขอรับบําเหน็จหรือบํานาญต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ีตนสังกัดล่วงหน้าได้เป็นเวลา 5 เดอื นก่อนวนั ครบเกษยี ณอายุตามหลกั เกณฑ์ที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด

-38- 2) เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับเร่ืองขอรับบําเหน็จบํานาญแล้วให้บันทึกวัน เดือน ปี ที่ได้รับเรื่อง แล้วตรวจสอบและสอบสวนหลักฐานต่าง ๆ เพ่ือนําเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณาภายใน กาํ หนดเวลาไมเ่ กนิ 15 วนั นบั แตว่ ันรับเร่ือง 3) ให้ข้าราชการส่วนท้องถ่ินใช้สมุดประวัติซึ่งมีการรับรองโดยถูกต้องเป็นหลักฐานในการ ตรวจสอบเวลาราชการสาํ หรับคาํ นวณบาํ เหน็จบํานาญของข้าราชการส่วนท้องถ่ินได้เว้นแต่ข้าราชการส่วนท้องถ่ิน น้ันๆ จะไม่มีสมดุ ประวัตหิ รือมีแต่สมุดประวัตไิ ม่ถกู ตอ้ งสมบรู ณ์หรือในกรณีท่ีหลักฐานต่าง ๆ เก่ียวกับเวลาราชการ ขัดแย้งหรือไม่ตรงกัน ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นท่ีรับเรื่องขอรับบําเหน็จบํานาญสอบไปยังหน่วยราชการหรือ องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถ่ินท่ีข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้นั้นเคยรับราชการอยู่เพ่ือรับรองเวลาราชการของข้าราชการ ส่วนท้องถ่ินผู้นั้นเป็นหลักฐานก่อน เมื่อได้รับหลักฐานดังกล่าวแล้วให้รีบดําเนินการรวบรวมเรื่องขอรับบําเหน็จ บํานาญหรอื บําเหน็จตกทอดพร้อมด้วยหลักฐานตา่ งๆโดยเสนอความเห็นไปยังผวู้ ่าราชการจังหวัดว่าสมควรจ่ายเงิน บําเหน็จบํานาญหรือบําเหน็จตกทอดหรือไม่ประการใด ให้แก่ใครเป็นจํานวนเท่าใด หรือเดือนละเท่าใด ตง้ั แต่เมอื่ ใด 4) เมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดได้รับเร่ืองขอรับบําเหน็จบํานาญและเอกสารต่างๆ จาก องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินแล้ว ให้บันทึก วัน เดือน ปีที่ได้รับไว้เป็นหลักฐาน แล้วรีบพิจารณาออกคําสั่งจ่าย ภายในกาํ หนดเวลา 21 วันนับแตว่ นั ไดร้ ับเร่ือง 1.10.2 คําสั่งจา่ ยบาํ เหนจ็ บาํ นาญ 1) จังหวัดจัดทําคําส่ังเป็น 3 ฉบับ โดยระบุให้ชัดแจ้งว่า จ่ายเป็นบําเหน็จหรือบํานาญหรือ บําเหน็จตกทอด ให้แก่ใคร จํานวนเท่าใด หรือเดือนละเท่าใด จ่ายตั้งแต่เม่ือใด แล้วส่งคําสั่ง และเร่ืองขอรับ บําเหนจ็ บํานาญใหแ้ ก่องคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ินทีเ่ สนอเรอื่ งเพ่ือถือจา่ ยหน่งึ ชดุ เก็บรักษาไว้ท่ีจังหวัดหนึ่งชุด และ สง่ ไปยงั สาํ นกั งานกองทุนบําเหนจ็ บํานาญขา้ ราชการสว่ นท้องถน่ิ หนึ่งชดุ 2) บําเหน็จหรือบํานาญปกติหรือบํานาญพิเศษเหตุทุพพลภาพ ให้สั่งจ่ายได้ต้ังแต่วัน ขาดจากอัตราเงินเดือนเป็นต้นไป แต่สําหรับบําเหน็จตกทอด หรือบํานาญพิเศษซ่ึงจ่ายแก่ทายาทหรือผู้มีสิทธิใน กรณีข้าราชการส่วนท้องถ่ินถึงแก่ความตายหรือสูญหายนั้น ให้สั่งจ่ายได้ต้ังแต่วันถัดจากวันท่ีถึงแก่ความตายหรือ วันถัดจากวันทสี่ ันนิษฐานว่าถงึ แก่ความตาย 3) ในกรณีท่ีมีการลดหรืองดบํานาญ ในระหว่างเวลาท่ีข้าราชการกลับเข้ารับราชการใหม่ และต่อมาออกจากราชการคร้ังหลัง โดยไม่มีสิทธิได้รับบํานาญ การสั่งจ่ายบํานาญที่เคยได้รับอยู่เดิม ตั้งแต่วันออกจากราชการครั้งหลัง จะจ่ายได้ต่อเมื่อผู้รับบํานาญได้ยื่นขอรับบํานาญเดิมต่อองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นทีเ่ คยได้รบั และให้องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ เดมิ จา่ ยบาํ นาญต่อไป ทง้ั นใ้ี ห้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน นัน้ รายงานผา่ นจงั หวัดไปยงั กระทรวงมหาดไทยเพื่อแจ้ง ก.บ.ท. ทราบอกี ครั้งหนงึ่ 4) เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับคําส่ังจ่ายบําเหน็จบํานาญจากจังหวัดแล้วต้องแจ้งแก่ผู้ ยน่ื เรื่องรับทราบไว้เปน็ หลักฐานโดยให้ลงลายมอื ช่ือรบั ทราบพรอ้ มทง้ั วัน เดอื น ปไี วใ้ นคําสง่ั จา่ ยของจังหวัด พร้อม ทั้งให้ลงลายมอื ชือ่ รับทราบไว้ในทะเบียนทจี่ ัดทาํ ไวโ้ ดยเฉพาะด้วย ส่วนผทู้ อี่ ยไู่ กลหรืออยูต่ า่ งจงั หวดั ไมส่ ะดวกแก่

-39- การตดิ ตอ่ ใหม้ าลงนามทราบได้ให้แจ้งให้ทราบทางไปรษณีย์ลงทะเบียน และหมายเหตุในทะเบียนด้วยว่าได้แจ้งให้ ทราบตามหนงั สือลงทะเบียน วัน เดอื น ปี ใด 1.11 การเบกิ จ่ายบาํ เหนจ็ บาํ นาญ 1) การเบิกจ่ายเงินบําเหน็จบํานาญประจําเดือนหนึ่ง ๆ ให้ใช้ฎีกาค่าตอบแทนโดยกรอกจํานวนเงิน บําเหน็จบํานาญรวมท้ังเงินเพ่ิมในประเภทเงินบําเหน็จบํานาญข้าราชการส่วน ท้องถิ่นและให้เขียนใบแทรกแสดง รายชือ่ จาํ นวนเงินท่ขี อเป็นรายบคุ คลลงในแบบ บ.ท. 7 แลว้ รวมยอดทง้ั สิน้ ให้ตรงกับจํานวนขอเบกิ แนบไวก้ บั ฎกี า 2) การจ่ายเงินบําเหน็จบํานาญรวมทั้งเงินเพ่ิมจากบํานาญแก่ข้าราชการหน้าท่ีของสมุห์บัญชีหรือ หัวหน้าหน่วยการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ เป็นผู้รับผิดชอบและเบิกจ่ายตามระเบียบ โดยให้ลงจ่ายในทะเบียนจ่ายเงินบําเหน็จบํานาญเล่มหนึ่งต่างหาก โดยใช้แบบบ.ท. 8 และให้กรอกรายช่ือจํานวน เงินบําเหน็จบํานาญเรียงตามลําดับใบแทรกฎีกาค่าตอบแทนและรวมยอดทั้งสิ้นไว้ตอนท้าย พร้อมท้ังหมายเหตุว่า เบกิ โดยฎกี าค่าตอบแทนทเ่ี ทา่ ใด วนั เดือน ปใี ด การจ่ายในวนั หน่ึง ๆ รวมก่ีราย เป็นเงินเท่าใด ต้องแสดงไว้ในช่อง หมายเหตุ 3) การขอรับบําเหน็จบํานาญผ่านทางธนาคารให้เป็น ไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทย กาํ หนด 4) การจ่ายบํานาญประจําเดือนให้จ่ายในวันทําการก่อนวันทําการชุดท้ายของเดือน 5 วันทําการสําหรับ กรณีท่ีต้องเบกิ เงนิ จากธนาคารหรือผู้มีสิทธิรับบํานาญได้รับบํานาญทางธนาคารให้จ่ายในวันทําการก่อนวันทําการ สุดท้ายของธนาคารในเดอื นน้ัน 5 วันทาํ การ แต่ทงั้ น้ีกระทรวงมหาดไทย จะกาํ หนดวันจ่ายเป็นอยา่ งอื่นกไ็ ด้ 5) กรณีผู้รับบํานาญลงช่ือรับเงินไม่ได้ให้ผู้รับพิมพ์ลายน้ิวมือแทน และให้ผู้จ่ายเงินหมายเหตุด้วยว่าเป็น ลายพมิ พน์ ้ิวมอื ของใคร 6) ในกรณีท่ีผู้รับบําเหน็จบํานาญไม่สามารถจะมารับด้วยตนเองได้ ต้องทําหนังสือมอบฉันทะตามแบบ บ.ท. 9

-40- 1.12 การตรวจสอบการจ่ายบําเหน็จบาํ นาญ 1) ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทําทะเบียนตรวจจ่ายบําเหน็จบํานาญไว้เล่มหน่ึงตามแบบ บ.ท. 11 และใหม้ ขี ้อความดงั นี้ ชอ่ื ผรู้ ับ จาํ นวนเงิน ท้ังแต่เดือนตุลาคมถึงเดือนกันยายนรวม 12 เดือน ในช่องหมายเหตุให้ หมายเหตุว่าได้รับคําส่ังจ่ายบําเหน็จหรือบํานาญตั้งแต่เมื่อใด เดือนละเท่าใดโดยในการลงทะเบียนตรวจจ่ายต้อง แยกประเภท ดังน้ี (1) บําเหน็จบาํ นาญปกติ (ก) เหตทุ ดแทน (ข) เหตทุ ุพพลภาพ (ค) เหตุสงู อายุ (ง) เหตรุ บั ราชการนาน (2) บํานาญพิเศษ (3) บาํ เหนจ็ ตกทอด 2) การเบิกจ่ายเงนิ บําเหน็จบํานาญสมหุ ์บญั ชีหรอื หัวหน้าหน่วยการคลังขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินท่ี จา่ ยเงนิ บําเหนจ็ บาํ นาญจะต้องเก็บเร่ืองขอรับบําเหน็จบํานาญหลักฐานการเบิกจ่ายตลอดจนเอกสารประกอบการ จ่ายไว้ประกอบการตรวจสอบบัญชีการเงินเช่นเดียวกับใบสําคัญการจ่ายเงินประเภทอ่ื นขององค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ิน 3) เมื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินได้เบิกจ่ายบําเหน็จดํารงชีพให้ผู้รับบํานาญแล้วให้เจ้าหน้าท่ี ผู้รับผิดชอบจัดทําทะเบียนคุมการจ่ายเงินบําเหน็จดํารงชีพตามแบบ บ.ท. 17 เพ่ือใช้ควบคุมและตรวจสอบการ เบิกจ่ายบําเหน็จดํารงชีพให้เป็นปัจจุบัน เพ่ือเป็นหลักฐานเม่ือผู้รับบํานาญถึงแก่กรรมและต้องจ่ายเงินบําเหน็จ ตกทอดสว่ นท่เี หลือหลงั หักบําเหน็จดาํ รงชพี ให้แกท่ ายาท 4) ในกรณีท่ีข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้รับบํานาญ ขอเปลี่ยนแปลงสถานท่ีรับบํานาญให้ข้าราชการส่วน ท้องถิ่นบันทึกเพิม่ เติมในรายการหมายเหตุ ตามแบบหนังสอื สาํ คัญจ่ายเงนิ บํานาญครั้งสดุ ท้าย บ.ท. 13 เพื่อใช้เป็น หลักฐานในการควบคุมและตรวจสอบการได้รับเงินบําเหน็จดํารงชีพของข้าราชการส่วนท้องถ่ินผู้รับบํานาญ ที่ขอเปลีย่ นแปลงสถานทรี่ ับบาํ นาญ 1.13 การแสดงการดาํ รงชวี ิตอยขู่ องผ้รู ับบํานาญ 1.13.1 ผ้แู สดงตนเป็นข้าราชการสว่ นทอ้ งถิ่นผรู้ ับบาํ นาญ 1) ภายในเดือนแรกของปีงบประมาณใหม่ทุกปีให้ผู้รับบํานาญแสดงการดํารงชีวิตอยู่ ต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยจะแสดงด้วยตนเอง หรือให้มีการรับรองของนายอําเภอหรือนายทะเบียน ท้องถิ่นที่ผู้รับบํานาญมีภูมิลําเนาอยู่ในปัจจุบัน หรือข้าราชการประจําไม่ตํ่ากว่าระดับ 5 เป็นผู้รับรอง ตามแบบ บ.ท. 12 ซึ่งรับรองว่าผู้รับบํานาญยงั ดํารงชีวติ อยู่ เพ่อื ประกอบเปน็ หลักฐานการเบกิ จา่ ยเงิน 2) ให้เจ้าหน้าที่ผู้จ่ายบํานาญจัดทําสมุดไว้เล่มหน่ึงเพื่อใช้ในการแสดงรายช่ือและตําบลท่ีอยู่ ของผรู้ ับบํานาญและใหผ้ รู้ บั บํานาญลงลายมอื ชื่อ วนั เดอื น ปีท่แี สดงการดํารงชีวิตอยูไ่ วเ้ ป็นหลักฐาน 3) กรณีมอบฉนั ทะให้ผอู้ ่นื รบั แทน ให้ปฏบิ ัตติ ามความในขอ้ 2) โดยอนโุ ลม

-41- 1.13.2 ผ้แู สดงตนเป็นบตุ รทกําลงั ศกึ ษา กรณผี รู้ บั บาํ นาญพเิ ศษเป็นบุตรซ่ึงกําลังศึกษาอยู่ในชั้นเตรียมอุดมศึกษา หรือชั้นอุดมศึกษา หรือ ชั้นการศึกษาที่ราชการรับรองให้เทียบเท่า ถ้าประสงค์จะขอรับบํานาญพิเศษต่อไปอีกหลังจากที่มีอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์แล้ว ให้ยื่นใบรับรองของสถานศึกษาน้ัน ๆ และหลังจากน้ันให้ย่ืนใบรับรอง เช่นว่าน้ีภายในเดือนแรกของ ปีงบประมาณใหมท่ ุกปจี นถึงอายคุ รบ 25 ปบี รบิ ูรณ์ 1.13.3 หลักฐานการดาํ รงชวี ิต 1) เมื่อองค์กรปกครองส่วนทอ้ งถิ่นไถร้ บั หลกั ฐานการดํารงชีวิตอยู่ หรือใบรับรองของสถานศึกษา แล้ว ให้บันทึกไว้ในทะเบียนการจ่ายเงินบํานาญและทะเบียนตรวจจ่ายเงินบํานาญว่าผู้รับบํานาญรายใดได้แสดง การดาํ รงชวี ติ อยู่ต้งั แตว่ ัน เดือน ปใี ด หรอื ไดย้ ่ืนใบรับรองของสถานศกึ ษาตัง้ แต่วัน เดือน ปีใด แล้วแต่กรณีเพ่ือเป็น หลักฐานการจ่ายบํานาญต่อไป ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เบิกจ่ายเก็บรักษาหลักฐานดังกล่าวไว้เพ่ือ ตรวจสอบบญั ชกี ารเงนิ ต่อไป 2) ถ้าปรากฎว่าผู้รับบํานาญขาดสิทธิที่จะไถ้รับบํานาญต่อไปแล้ว หรือผู้รับบํานาญไม่แสดงการ ดาํ รงชีวิตอยหู่ รือไมย่ น่ื ใบรบั รองของสถานศึกษา ให้องค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ ระงับการจ่ายบํานาญไว้จนกว่าผู้รับ บํานาญจะแสดงหลักฐานการดาํ รงชวี ติ อยู่ หรือสง่ ใบรับรองของสถานศกึ ษาให้ถูกถ้อง 1.14การเปล่ียนแปลงสถานทรี่ ับบาํ นาญ ผู้รับบํานาญที่ย้ายภูมิลําเนาและประสงค์จะโอนการรับเงินบํานาญไปรับจากองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน รูปแบบเดียวกันในท้องที่ที่ย้ายไปอยู่ใหม่ให้ผู้รับบํานาญย่ืนเรื่องต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่จ่ายบํานาญเดิม และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินนั้นส่งเรื่องและหนังสือสําคัญจ่ายเงินบํานาญคร้ังสุดท้ายตามแบบ บ.ท. 13 ไป ยงั จังหวดั และให้จงั หวดั รายงานเพอ่ื ขออนมุ ัตกิ ระทรวงมหาดไทย

-42- 2. บาํ เหน็จลูกจ้าง บําเหน็จลูกจ้าง คือ เงินตอบแทนความชอบท่ีจ่ายให้แก่ถูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่พ้น หรือออกจาก ราชการ ทังน้ีเป็นไปตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยบําเหน็จลูกจ้างของหน่วยการบริหารราชการส่วน ท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติมจนถึงปัจจุบัน (ฉบับท่ี4)พ.ศ. 2555 ซ่ึงมีหลักเกณฑ์และสิทธิประโยชน์ ต่าง ๆ โดยสรปุ ดังน้ี 2.1 ลกู จ้างผู้มีสิทธริ ับบาํ เหน็จ ลูกจ้างที่มีสิทธิรับบําเหน็จจะต้องเป็นถูกจ้างขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหาร สว่ นจงั หวัด เทศบาล เมืองพัทยา องคก์ ารบรหิ ารส่วนตําบล จาํ แนกได้ดังนี้ 1) ลูกจ้างประจําได้แก่ลูกจ้างรายเดือน รายวัน และรายชั่วโมง ซ่ึงองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินจ้างไว้ ปฏิบัติงานที่มีลักษณะประจําไม่มีกําหนดเวลาตามอัตราและจํานวนท่ีกําหนดไว้โดยจ่ายค่าจ้างจากงบประมาณ หมวดค่าจา้ ง หรอื หมวดคา่ จา้ งประจําขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ แตไ่ มร่ วมถึง • ลกู จา้ งประจาํ ทมี่ สี ญั ญาจ้าง • ลูกจา้ งที่จ้างให้ปฏบิ ัติงานขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถน่ิ ในต่างประเทศ 2) ลูกจ้างชั่วคราว ได้แก่ลูกจ้างรายเดือน รายวัน และรายชั่วโมง ซ่ึงองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน จ้างไว้ ปฏิบัติงานที่มีลักษณะชั่วคราว และหรือโดยมีกําหนดเวลาจ้าง โดยจ่ายค่าจ้างจากเงินงบประมาณขององค์กร ปกครองสว่ นท้องถิน่ 2.2 สิทธปิ ระโยชนด์ ้านบาํ เหนจ็ ของลกู จ้าง บําเหน็จลูกจ้างให้จ่ายจากเงินรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยกเว้น ลูกจ้างประจํา ภารโรง โรงเรียนให้จา่ ยจากเงินอุคหนุน และกรณีลูกจ้างประจําถ่ายโอนภารกิจจะมีการแบ่งสัดส่วนภาระการจ่ายบําเหน็จ ระหวา่ งงบประมาณเงนิ อดุ หนนุ ของรฐั และงบประมาณขององคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นโดยคํานวณตามระยะเวลา ท่ีปฏิบัติหน้าท่ีประจําส่วนราชการเดิมและราชการส่วนท้องถ่ิน สิทธิประโยชน์ด้านบําเหน็จลูกจ้างขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น จําแนกเป็น บําเหน็จปกติบําเหน็จรายเดือน บําเหน็จพิเศษ บําเหน็จพิเศษรายเดือน และบาํ เหน็จตกทอด ดังนี้ 1) บําเหน็จปกติ 1.1 สิทธิในการรบั บําเหน็จปกติ บาํ เหนจ็ ปกติคือ เงินตอบแทนท่จี า่ ยครัง้ เดยี วใหแ้ ก่ลกู จา้ งประจาํ เท่าน้ันท่ีออกจากงาน โดยต้องมี ระยะเวลาทาํ งานและลาออกจากงานดว้ ยเหตใุ ดเหตุหนง่ึ ดงั น้ี �ทํางานเปน็ ลูกจ้างประจํามาแลว้ ไมน่ อ้ ยกวา่ 5 ปบี รบิ ูรณแ์ ละลาออกจากการทาํ งานดว้ ยเหตดุ ังนี้ (1) ลาออกโดยไม่มีความผิด และ ได้รับอนุญาตจากผู้มีอํานาจสั่งบรรจุและแต่งต้ัง หรือผู้ได้รับ มอบอาํ นาจแล้ว (2) กระทาํ ผดิ วินยั อย่างร้ายแรงและถูกลงโทษปลดออกจากราชการ �ทํางานเปน็ ลูกจ้างประจาํ มาแล้วไมน่ อ้ ยกวา่ 1 ปีบริบรู ณ์และลาออกจากการทํางานดว้ ยเหตุดังนี้

-43- (1) ป่วยเจ็บไม่อาจปฏิบัติหน้าที่การงานของตนโดยสมํ่าเสมอ หรือ โดยมีใบตรวจแพทย์ซึ่ง ทางราชการรบั รองว่าไมส่ ามารถ หรือไม่สมควรทํางานต่อไป (2) ขาดคณุ สมบัตเิ ก่ียวกบั สญั ชาติ (3) ขาดคุณสมบัติเนื่องจาก ไม่เป็นผู้เล่ือมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมุขตามรัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั ร ไทยด้วยความบริสุทธิ์ใจ (4) ขาดคุณสมบัติเนื่องจากไปดํารงตําแหน่งกํานันแพทย์ประจําตําบลสารวัตรกํานัน ผู้ใหญ่บา้ น และผู้ช่วยผ้ใู หญบ่ า้ น (5) ขาดคณุ สมบตั เิ นือ่ งจากไปดํารงตาํ แหน่ง ขา้ ราชการการเมอื ง (6) ขาดคุณสมบตั เิ นือ่ งจากเปน็ ผูท้ ุพพลภาพ จนไมส่ ามารถปฏิบัตหิ นา้ ท่ไี ด้ ไร้ความสามารถ หรือ จิตฟน่ั เฟอื นไม่สมประกอบ หรอื เป็นโรคตามทีก่ าํ หนดในกฎหมายวา่ ด้วยระเบียบข้าราชการพลเรอื น (7) ขาดคุณสมบัติเนอ่ื งจากไปเป็นกรรมการพรรคการเมือง หรือเจ้าหนา้ ท่ใี นพรรคการเมอื ง (8) ขาดคณุ สมบตั เิ น่อื งจากตกเปน็ บคุ คลลม้ ละลาย (9) องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ินเลกิ ตําแหน่งหรือยบุ ตาํ แหน่ง (10) หย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหน้าท่ีการงานให้มีประสิทธิภาพหรือประพฤติตน ไมเ่ หมาะสมกบั ตาํ แหน่ง หนา้ ทก่ี ารงาน หรือบกพรอ่ งในหนา้ ทดี่ ้วยเหตุใด (11) ถูกส่ังให้ออกจากราชการ เนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยอย่างย่ิงว่าผู้นั้นได้กระทําความผิด วนิ ัยอยา่ งร้ายแรงแตก่ ารสอบสวนไม่ไดค้ วามแน่ชัดพอที่จะลงโทษปลดออกหรือไล่ออกได้ แต่มีมลทินหรือมัวหมอง ในกรณที ถ่ี กู สอบนัน้ ซ่ึงถา้ ให้ปฏิบัตงิ านต่อไปอาจจะเปน็ การเสยี หายแกท่ างราชการ (12) ถูกสั่งให้ออกจากราชการเน่ืองจากรับโทษจําคุกโดยศาล หรือต้องรับโทษจําคุก โดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกในความผิดที่ได้กระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษซ่ึงยังไม่ถึงกับจะต้อง ถกู ลงโทษปลดออกหรอื ไล่ออก (13) ไปรับราชการทหาร ตามกฎหมายว่าด้วยการรบั ราชการทหาร (14) ขาดคุณสมบัติในการทํางานเป็นลูกจ้างประจําตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการ จา้ งลกู จ้างของหน่วยการบริหารราชการสว่ นทอ้ งถิน่ 1.2 การคาํ นวณบาํ เหนจ็ ปกติ การคาํ นวณบาํ เหน็จปกติ ให้คาํ นวณ ดังนี้ คา่ จา้ งเดือนสดุ ท้าย X จาํ นวนเดือนที่ทํางาน 12 (1) ค่าจา้ งหมายถงึ ค่าจา้ งอตั ราปกติตามอัตราที่กําหนดจ่ายในการทํางานในระยะเวลาตามปกติ และหมายความรวมถึงเงินเพิ่มพิเศษสําหรับการสู้รบ (พ.ส.ร.) ดว้ ย (2) ค่าจ้างเดือนสุดท้าย หมายถึง ค่าจ้างท้ังเดือนที่ลูกจ้างควรจะได้รับในเดือนสุดท้ายก่อนออก จากงาน

-44- (3) เวลาทํางานนับเป็นเดือน เศษของเดือนถ้าถึง 15 วันให้นับเป็น 1 เดือน ถ้าไม่ถึง 15 วันให้ ปดั ทงิ้ สาํ หรับจาํ นวนวนั ถ้ามีหลายตอนใหร้ วมกันแลว้ นับ 30 วนั เปน็ 1 เดือน (4) ถ้าลูกจ้างประจําผู้มีสิทธิได้รับบําเหน็จปกติตายเสียก่อนได้รับบําเหน็จปกติเงินดังกล่าวถือ เป็นมรดกแกท่ ายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ 2) บําเหนจ็ พิเศษ บําเหน็จพิเศษ คือ เงินตอบแทนที่จ่ายครั้งเดียวให้แก่ลูกจ้างประจําหรือลูกจ้างช่ัวคราวท่ีได้รับอันตราย หรอื ปว่ ยเจบ็ เพราะเหตุปฏิบตั ิงานในหน้าทห่ี รอื ถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทําตามหน้าท่ี ซึ่งแพทย์ที่ทางราชการ รบั รองได้ตรวจสอบและแสดงวา่ ไมส่ ามารถปฏิบตั หิ น้าที่ได้อกี เลย 2.1 สิทธิในการรบั บาํ เหน็จพิเศษ (1) ลกู จา้ งประจําหรือลกู จา้ งช่ัวคราว ทไี่ ด้รับอนั ตรายหรือปว่ ยเจบ็ เพราะเหตุปฏิบัติงานในหน้าที่ หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทําการตามหน้าท่ีดังกล่าว นอกจากจะได้รับบําเหน็จปกติแล้วให้ได้รับบําเหน็จ พิเศษอีกด้วย เว้นแต่อันตรายที่ได้รับหรือการป่วยเจ็บน้ันเกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือจาก ความผดิ ของตนเอง (2) กรณีลูกจา้ งชวั่ คราวท่มี ีสทิ ธริ ับบาํ เหนจ็ พิเศษไมม่ ีสิทธิไดร้ บั บาํ เหนจ็ ปกติ 2.2 อตั ราบาํ เหนจ็ พิเศษ กระทรวงมหาดไทยเป็นผกู้ าํ หนดตามสมควรแก่เหตุการณป์ ระกอบกับความพกิ ารและทุพพลภาพ ดังนี้ (1) ลูกจา้ งประจํา �กรณีปฏิบตั หิ นา้ ทใี่ นเวลาปกติให้ไดร้ ับ 6 ถงึ 24 เทา่ ของอัตราค่าจา้ งเดอื นสุดท้าย �ระหว่างเวลาท่ีมีการรบ การสงคราม การปราบปรามจลาจล หรือในระห ว่างท่ีมีการ ประกาศใชก้ ฎอยั การศกึ หรือประกาศสถานการณ์ฉกุ เฉนิ ให้ไดร้ บั 36 ถงึ 42 เท่าของอตั ราคา่ จา้ งเดอื นสุดทา้ ย (2) ลกู จา้ งช่ัวคราว �ใหไ้ ด้รับ 3 ใน 4 สว่ นของลูกจา้ งประจํา (3) ทายาท กรณีลูกจา้ งผู้มีสิทธิรับบาํ เหนจ็ พเิ ศษตายกอ่ นได้รบั บาํ เหน็จพิเศษ ถา้ ตายเพราะเหตุ

-45- ตามข้อ 2) ให้จ่ายบําเหน็จพิเศษแก่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณชิ ย์ดังน้ี (3.1) กรณผี ตู้ ายเป็นถกู จ้างประจํา � ในกรณีปฏบิ ตั ิหน้าทใ่ี นเวลาปกตใิ หไ้ ดร้ ับ = อตั ราค่าจา้ งเดือนสุดท้าย X 30 เดอื น �ในระหว่างเวลาท่ีมีการรบ การสงคราม การปราบปรามจลาจล หรือในระหว่างท่ีมีการ ประกาศใช้กฎอยั การศกึ หรอื ประกาศสถานการณฉ์ ุกเฉินให้ไดร้ ับ = อัตราคา่ จา้ งเดือนสุดทา้ ย X 48 เดอื น (3.2) กรณีผตู้ ายเปน็ ลกู จา้ งชวั่ คราว �ใหไ้ ด้รบั = 3 ใน 4 สว่ นของลกู จา้ งประจํา 2.3 กรณีลกู จ้างผมู้ ีสิทธริ บั บํานาญพเิ ศษ ไดร้ บั เงินช่วยเหลอื ประเภทอน่ื ๆอยู่ กรณีลูกจ้างประจําหรือลูกจ้างชั่วคราวได้รับอันตราย หรือป่วยเจ็บตามข้อ (1)หรือถึงแก่ความ ตาย ตามข้อ (3) ถ้าลูกจ้างหรือทายาทมีสิทธิได้รับท้ังบําเหน็จพิเศษตามระเบียบนี้เงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยตาม กฎหมายว่าด้วยการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยเนื่องจากการช่วยเหลือราชการ การปฏิบัติงานของชาติหรือการปฏิบัติ ตามหน้าท่ีมนุษยธรรม เงินค่าทดแทนตามระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินค่าทดแทนและการพิจารณาบําเหน็จ ความชอบในการปราบปราบผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หรือเงินอื่นในลักษณะเดียวกันจากทางราชการ หรือ จากหน่วยงานอื่นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสั่งให้ไปปฏิบัติงานให้เลือกรับได้เพียงอย่างใดอย่างหน่ึง แล้วแตจ่ ะเลือก 3) บาํ เหน็จรายเดือน บําเหน็จรายเดือน คือเงินตอบแทนของลูกจ้างประจําท่ีออกจากงานและมีเวลาการปฏิบัติงานเป็นระยะ เวลานานตงั้ แต่ 25 ปีบรบิ รู ณข์ ้ึนไป ซ่งึ จ่ายเป็นรายเดอื นจนกว่าลกู จ้างผรู้ ับบําเหน็จรายเดือนจะเสยี ชวี ติ 3.1 สิทธกิ ารรบั บําเหน็จรายเดอื น 1) ลูกจ้างประจําท่ีมีสิทธิรับบําเหน็จปกติ และมีระยะเวลาทํางาน ต้ังแต่ 25 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปจะ แสดงความประสงคข์ อรบั เปน็ บําเหนจ็ รายเดือนแทนก็ได้ 2) สิทธิบําเหน็จรายเดอื นให้เร่ิมต้งั แต่วันทล่ี ูกจ้างประจาํ ออกจากงานจนถงึ แก่ความตาย 3.2 วธิ กี ารคาํ นวณบาํ เหน็จรายเดือน �ค่าจา้ งเดอื นสุดท้าย X จาํ นวนเดอื นทที่ ํางาน 12 X 50 4) บาํ เหนจ็ พเิ ศษรายเดอื น บําเหน็จพิเศษรายเดือน คือ เงินที่จ่ายให้แก่ลูกจ้างประจําที่ได้รับอันตราย หรือป่วยเจ็บเพราะเหตุ ปฏบิ ัตงิ านในหนา้ ที่หรือถกู ประทุษร้ายเพราะเหตุกระทาํ การตามหน้าท่ีซ่ึงแพทย์ที่ทางราชการรับรอง และแสดงว่า ไม่สามารถปฏิบัติงานในหนา้ ท่ไี ด้อกี เลย ซึ่งจา่ ยเปน็ รายเดอื น

-46- 4.1 สิทธิการรบั บาํ เหน็จพิเศษรายเดือน 1) ลกู จา้ งประจาํ ที่มสี ทิ ธริ ับบาํ เหน็จพิเศษจะขอรบั บําเหนจ็ พิเศษรายเดอื นแทนก็ได้ 2) สทิ ธใิ นบําเหน็จพเิ ศษรายเดอื นให้เริม่ ต้ังแตว่ นั ท่ีลูกจ้างประจาํ ออกจากงานจนถึงแก่ความตาย 4.2 อตั ราบาํ เหน็จพิเศษรายเดือน องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น เป็นผู้กําหนดตามส มควรแก่เหตุการณ์ประกอบกับความพิการ และทพุ พลภาพของลกู จา้ งประจําดังนี้ �กรณปี ฏบิ ตั ิหนา้ ทใ่ี นเวลาปกตใิ ห้ไดร้ ับ = 6 ถึง 24 เท่า ของอัตราค่าจ้างเดือนสดุ ทา้ ย 50 �ระหว่างเวลาท่ีมีการรบ การสงคราม การปราบปรามจลาจล หรือในระหว่างท่ีมีการ ประกาศใชก้ ฎอยั การศึก หรือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉนิ ใหไ้ ด้รบั = 36 ถึง 42 เทา่ ของอตั ราค่าจา้ งเดือนสุดทา้ ย 50 5) บําเหน็จตกทอด บําเหน็จตกทอด คือ เงินที่จ่ายให้แก่ทายาทของลูกจ้างประจําท่ีรับบําเหน็จรายเดือนหรือบําเหน็จพิเศษ รายเดอื นท่ีถงึ แกค่ วามตาย 5.1 ผมู้ ีสทิ ธิรบั บําเหนจ็ ตกทอด และวธิ ีคํานวณ 5.1.1 กรณีผู้รับบําเหน็จรายเดือนหรือผู้รับบําเหน็จพิเศษรายเดือนถึงแก่ความตายให้จ่าย บําเหนจ็ ตกทอด เป็นจํานวน= 15 เท่าของบาํ เหน็จรายเดือน หรอื บาํ เหนจ็ พเิ ศษรายเดือน 5.1.2 จา่ ยให้แก่ทายาทผู้มสี ทิ ธดิ ังนี้ (1) บุตรให้ไดร้ ับ 2 ส่วน ถ้าผ้ตู ายมบี ุตรตั้งแต่ 3 คนขน้ึ ไป ให้ไดร้ ับ 3 สว่ น (2) สามีหรอื ภริยา ใหไ้ ด้รับ 1 สว่ น (3) บดิ า มารดา หรอื บิดา หรือมารดา ทม่ี ชี ีวิตอย่ใู หไ้ ดร้ ับ 1 สว่ น (4) กรณีไม่มีทายาทตาม (1) (2) (3) หรือทายาทดังกล่าวนั้นได้ตายไปก่อน ก็ให้แบ่งบําเหน็จ ตกทอดระหว่างทายาทผู้มีสิทธิที่อย่ตู ามส่วน 5.1.3 กรณีไม่มีทายาทตามข้อ 5.1.2 ให้จ่ายแก่บุคคลซึ่งลูกจ้างประจําผู้ตายได้แสดงเจตนาไว้ ตอ่ องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ินเจ้าสังกดั ตามแบบและวิธกี ารทีก่ ระทรวงมหาดไทยกําหนด 5.1.4 กรณีไม่มีทายาทหรือบุคคลท่ีได้แสดงเจตนาไว้หรือบุคคลน้ันได้ตายไปก่อนให้สิทธิใน บาํ เหน็จตกทอดเปน็ อนั ยตุ ลิ ง 5.1.5 กรณีจ่ายบําเหน็จตกทอดไปแล้ว หากปรากฏว่ามีบุตรเพ่ิมขึ้นโดยคําพิพากษาของศาล ว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ซึ่งได้มีการฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรก่อน หรือภายใน 1 ปีนับแต่วันที่ บิดาตาย หรือนับแต่วันท่ีได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของบิดา ให้แบ่งบําเหน็จตกทอดน้ันใหม่ระหว่างทายาท ผูม้ ีสิทธิโดยถือว่าบุตรชอบดว้ ยกฎหมาย ตามคาํ พพิ ากษานัน้ เป็นทายาทผูม้ สี ทิ ธิ ตง้ั แตว่ ันตายของลูกจ้าง

-47- ผู้รับบําเหน็จรายเดือน หรือบําเหน็จพิเศษรายเดือน แล้วแต่กรณี ในกรณีเช่นนี้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เจา้ สงั กดั เรียกคืนบําเหน็จตกทอดจากทายาท ซึ่งรับบําเหน็จตกทอดไปก่อนแล้วตามระเบียบท่ีกระทรวงมหาดไทย กําหนด กรณีไม่สามารถเรียกคืนบําเหน็จตกทอดที่จ่ายให้ทายาทซ่ึงรับเกินไปในส่วนของตนได้ องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นเจ้าสังกัด ไม่ต้องรับผิดชอบจ่ายเงินบําเหน็จตกทอดให้แก่บุตรซึ่งได้มีคําพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตร โดยชอบดว้ ยกฎหมายยอ้ นหลังไปถึงวันเกิดสิทธิรับบําเหนจ็ ตกทอดแตอ่ ย่างใด 5.1.6 กรณีไม่สามารถเรียกคืนบําเหน็จตกทอดท่ีจ่ายให้ทายาทซึ่งรับเกินไปในส่วนของตนได้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเจ้าสังกัดไม่ต้องรับผิดชอบจ่ายเงินบําเหน็จตกทอดให้แก่บุตร ซึ่งได้มีคําพิพากษา ของศาลว่าเป็นบุตรโดยชอบดว้ ยกฎหมายยอ้ นหลงั ไปถงึ วันเกิดสทิ ธริ ับบําเหน็จตกทอดแต่อย่างใด 6) งบประมาณในการจ่ายเงินบาํ เหน็จใหแ้ ก่ลกู จา้ งประจาํ 6.1 กรณีลูกจ้างประจําภารโรงโรงเรียน ลูกจ้างประจําภารโรงโรงเรียนถ่ายโอนบําเหน็จปกติ บําเหน็จรายเดือน บําเหน็จพิเศษ บําเหน็จพิเศษรายเดือน บําเหน็จตกทอด และเงินช่วยพิเศษกรณีลูกจ้างประจํา ภารโรงโรงเรยี น ลูกจา้ งประจําภารโรงโรงเรียนถ่ายโอนถึงแก่กรรมในตําแหน่ง(3 เท่าของค่าจ้าง) เบิกจ่ายจากเงิน อดุ หนนุ 6.2 กรณีลูกจ้างประจําขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นบําเหน็จปกติบําเหน็จรายเดือน บําเหน็จพิเศษ บาํ เหนจ็ พิเศษรายเดือน บําเหน็จตกทอด และเงินช่วยพิเศษกรณีลูกจ้างประจําถึงแก่กรรมในตําแหน่ง (3 เท่าของ คา่ จา้ ง) เบกิ จ่ายจากงบประมาณขององค์กรปกครองสว่ นท้องถน่ิ 6.3 กรณีลกู จา้ งประจําถา่ ยโอน (1) บาํ เหน็จปกตบิ ําเหนจ็ รายเดือน บําเหน็จพิเศษ บาํ เหน็จพิเศษ รายเดือนและบําเหน็จตกทอด รายการดังกลา่ วทงั้ หมดเฉพาะส่วนท่รี ฐั บาลรบั ภาระ เบกิ จ่ายจากเงนิ อุดหนุน (2) บาํ เหน็จปกติบําเหน็จรายเดือน บําเหน็จพิเศษ บําเหน็จพิเศษรายเดือนและบําเหน็จตกทอด รายการดงั กล่าวทงั้ หมดเฉพาะสว่ นท่ีท้องถน่ิ รับภาระ เบิกจา่ ยจากงบประมาณขององค์กรปกครองสว่ นท้องถนิ่ (3) เงินชว่ ยพเิ ศษ กรณลี ูกจ้างประจําถ่ายโอนถึงแก่กรรมในตําแหน่ง(3 เท่าของค่าจ้าง) เบิกจ่าย จากเงินอุดหนนุ 6.4 บําเหน็จปกติบําเหน็จรายเดือน บําเหน็จพิเศษ บําเหน็จพิเศษรายเดือน และบําเหน็จตกทอด ถ้ามี เศษของบาทใหป้ ัดท้ิง 7) การส่งั จ่ายเงินบาํ เหนจ็ ลูกจา้ ง การส่ังจ่ายบําเหน็จลูกจ้างตามระเบียบว่าด้วยบําเหน็จลูกจ้างของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. 2542 ข้อ 19 แก้ไขเพ่ิมเติมโดย (ฉบับท่ี3) พ.ศ. 2552 เป็นอํานาจของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือนายกเทศมนตรีหรอื นายกองค์การบริหารส่วนตาํ บลแล้วแตก่ รณี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook