Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore E-book43746159

E-book43746159

Published by dusit, 2020-04-27 22:50:39

Description: E-book43746159

Search

Read the Text Version

เทคโนโลยีไฟฟ้าศึกษา จดั ทำโดย ผศ.ดร.ดสุ ิต ขำวเหลือง

ความรู้เบือ้ งต้นเกยี่ วกบั สื่อการเรียนรู้ การส่ือสาร การรับรู้ การเรียนรู้และการเรียนการสอน “การส่ือสาร” หรือ “การสื่อความหมาย” (communication) เป็นคาที่มีรากศพั ทม์ าจากภาษาละตินวา่ “communius” หมายถึง “พร้อมกนั ” หรือ “ร่วมกนั ” หมายความวา่ เมื่อมีการสื่อสารระหวา่ งกนั เกิดข้ึน คนเรา พยายามท่ีจะสร้าง “ความพร้อมกนั หรือความร่วมกนั ” รวมถึงการส่งผา่ น บอกเล่า หรือแลกเปลี่ยนความคิด ความรู้ เรื่องราวเหตุการณ์ ทศั นคติ ฯลฯ กบั บุคคลท่ีกาลงั ส่ือสารดว้ ย ดงั น้นั การส่ือสารจึงหมายถึง การถ่ายทอด เรื่องราว การแลกเปล่ียนความคิด การแสดงออกของความคิดและความรู้สึก นอกจากน้ีการสื่อสารยงั เป็ นการที่ บุคคลในสงั คมมีปฏิสัมพนั ธ์โตต้ อบกนั โดยผา่ นทางขอ้ มูลข่าวสาร สัญลกั ษณ์และเครื่องหมายต่าง ๆ ดว้ ย (Fiske, 1985, p.2, อา้ งถึงใน กิดานนั ท์ มลิทอง, 2548, หนา้ 34) ซ่ึงถา้ ขยายความก็คือ การถ่ายทอดขอ้ มูลข่าวสาร การแลกเปล่ียนความคิดเห็น หรือความรู้สึกใหเ้ ห็นพอ้ งตอ้ งกนั ของบุคคลหน่ึงไปสู่บุคคลหน่ึงโดยผา่ นช่องทาง ตา่ ง ๆ เช่น การพูดคุย การบรรยาย การแสดงสีหนา้ กิริยาทา่ ทาง ภาษากาย ภาษาภาพ ภาษาเขียน การส่ือสารจะบงั เกิดข้ึนได้ จาเป็นตอ้ งอาศยั องคป์ ระกอบดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ผสู้ ่ง ผสู้ ่ือสาร หรือตน้ แหล่งของการส่ง (sender, communicator, or source) เป็นแหล่งหรือผทู้ ่ีนา ข่าวสารหรือเร่ืองราว แนวความคิด ความรู้ ตลอดจนเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อส่งไปยงั ผรู้ ับซ่ึงอาจเป็นบุคคลหรือ กลุ่มชนก็ได้ ผสู้ ่งจะเป็นบุคคลเพียงคนเดียว เป็นกลุ่มบุคคล หรือสถาบนั โดยอยใู่ นลกั ษณะต่าง ๆไดห้ ลายอยา่ ง เช่น ครู ผอู้ า่ นขา่ ว นกั ร้อง นกั เขียน จิตรกร กลุ่มผอู้ ภิปราย สถาบนั การศึกษา ฯลฯ เป็นผนู้ าเสนอเรื่องราวของข่าว บทเรียน เพลง บทความ ภาพ ฯลฯ มาเสนอแก่ผรู้ ับโดย การใชภ้ าษาหรือวธิ ีการอ่ืน ๆ กไ็ ดเ้ พอื่ ใหผ้ รู้ ับเขา้ ใจ การกระทาดงั กล่าวเรียกวา่ “การเขา้ รหสั ” (encode) เป็นภาษาพดู ภาษาเขียน ภาษามือ รูปภาพ สัญลกั ษณ์ เป็นตน้ 2. เน้ือหา เรื่องราว หรือสาร (message) ไดแ้ ก่ เน้ือหาของสารหรือเร่ืองราวท่ีส่งออกมา เช่น ความรู้ ความคิด ข่าวสาร บทเพลง ขอ้ เขียน บทเรียน ภาพ ฯลฯ เพื่อใหผ้ รู้ ับรับขอ้ มูลเหล่าน้นั 3. ส่ือหรือช่องทางในการนาสาร (media, or channel) หมายถึง ตวั กลางที่ช่วยถ่ายทอดแนวความคิด เหตุการณ์ เร่ืองราวตา่ ง ๆ ท่ีผสู้ ่งตอ้ งการใหไ้ ปถึงผรู้ ับ ส่ือที่ใชม้ ากที่สุด คือ ภาษาพดู ซ่ึงใชเ้ สียง เช่นการบรรยาย หากเขียนหรืออ่านหนงั สือส่ือที่ใชค้ ือ ภาษาเขียน (ซ่ึงใชต้ วั อกั ษร) หรือถา้ มีการส่ือความหมายกบั คนใบจ้ ะใชส้ ื่อ ภาษามือ กิริยาท่าทาง หรือการแสดงออกทา่ ทางทางหนา้ ตา หรือ ภาษากาย นอกจากน้ี อาจมีการใชส้ ่ืออุปกรณ์ระบบไฟฟ้ า เช่น วทิ ยุ โทรทศั น์ คอมพิวเตอร์ หรือใชส้ ื่อส่ิงพิมพ์ ตา่ ง ๆ เช่น หนงั สือ แผนท่ี รูปภาพ การจดั นิทรรศการ เป็ นสื่อหรือช่องทางเพอ่ื การสื่อความหมายเรื่องราวได้

4. ผรู้ ับหรือกลุ่มเป้ าหมาย (receiver, or target audience) ไดแ้ ก่ ผรู้ ับเน้ือหาเร่ืองราวจากแหล่งหรือท่ีผสู้ ่ง ส่งมา ผรู้ ับน้ีเป็นบุคคลเพยี งคนเดียว กลุ่มชน หรือสถาบนั กไ็ ด้ เม่ือรับเร่ืองราวแลว้ ผรู้ ับตอ้ งมี “การถอดรหสั ” (decode) คือการแปลขา่ วสารใหเ้ ขา้ ใจ 5. ผล (effect) หมายถึง สิ่งที่เกิดจากการที่ผสู้ ่งส่งเร่ืองราวไปยงั ผรู้ ับ ผลท่ีเกิดข้ึนคือ การท่ีผรู้ ับอาจมี ความเขา้ ใจหรือไม่รู้เรื่อง ยอมรับหรือปฏิเสธ พอใจหรือโกรธ ฯลฯ สิ่งเหล่าน้ีเป็นผลของการส่ือสาร และจะเป็น ผลสืบเนื่องต่อไปวา่ การส่ือสารน้นั จะสามารถบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายหรือไม่ ท้งั น้ียอ่ มข้ึนอยกู่ บั ทศั นคติของ ผรู้ ับ สื่อที่ใช้ และสถานการณ์ในการส่ือสารเป็นสาคญั ดว้ ย 6. ผลป้ อนกลบั (feedback) เป็นสิ่งท่ีเก่ียวเน่ืองจากผลซ่ึงผรู้ ับส่งกลบั มายงั ผสู้ ่ง โดยผรู้ ับอาจมีการ ตอบสนองโดยแสดงอาการใหเ้ ห็น เช่น ง่วงนอน ปรบมือ ยมิ้ พยกั หนา้ ส่ายหนา้ การพดู โตต้ อบ หรือการแสดง ความคิดเห็น เพือ่ เป็นขอ้ มูลท่ีทาใหผ้ สู้ ่งทราบวา่ ผรู้ ับมีความพอใจหรือมีความเขา้ ใจในขอ้ มูลท่ีส่งไปหรือไม่ ผล ป้ อนกลบั น้ีเกิดจากการตอบสนองของผรู้ ับที่ส่งกลบั ไปยงั ผสู้ ่งนน่ั เอง ผู้ส่ง Sender สื่อ สาร ผู้รับ Receiver Medium Message ข้อมูลป้ อนกลบั ผล ภาพท่ี 1 องคป์ ระกอบของการสื่อสาร วธิ ีของการส่ือสาร สามารถแบง่ ออกได้ 3 วธิ ี คือ 1. การส่ือสารดว้ ยวาจา หรือ “วจนภาษา” (oral or verbal communication) เช่น การพดู การร้องเพลง การอธิบาย เป็ นตน้ 2. การสื่อสารที่มิใช่วาจา หรือ “อวจนภาษา” (nonverbal communication) และการส่ือสารดว้ ยภาษา เขียน (written communication) เช่น การส่ือสารดว้ ยทา่ ทางภาษามือ และตวั อกั ษร การหวั เราะ ร้องไห้ เป็ นตน้

3. การส่ือสารดว้ ยจกั ษุสมั ผสั หรือ การเห็น (visual communication) เช่น การสื่อสารดว้ ยภาพ โปสเตอร์ สไลด์ เป็นตน้ หรือการใชส้ ญั ลกั ษณ์หรือเคร่ืองหมายตา่ ง ๆ รูปแบบของการสื่อสาร รูปแบบของการสื่อสาร แบง่ ไดเ้ ป็น 2 รูปแบบ คือ 1. การส่ือสารทางเดียว (one-way communication) เป็นการส่งขา่ วสารหรือการส่ือสารไปยงั ผรู้ ับแต่ เพยี งฝ่ ายเดียวโดยที่ผรู้ ับไม่สามารถมีการตอบสนองทนั ที (immediate response) กบั ผสู้ ่ง แต่อาจจะมีผล ป้ อนกลบั ไปยงั ผสู้ ่งในภายหลงั ได้ เช่น การเขียนจดหมายไปยงั ผสู้ ่งภายหลงั จากรับขอ้ มลู เรียบร้อยแลว้ การ ส่ือสารรูปแบบน้ีจึงเป็ นการที่ผสู้ ่งและผรู้ ับไมส่ ามารถมีปฏิสัมพนั ธ์ต่อกนั ไดท้ นั ที จึงมกั เป็นการส่ือสารโดยใช้ สื่อมวลชน เช่น ฟังวทิ ยุ ชมโทรทศั น์ อ่านหนงั สือพมิ พ์ รวมถึงการติดต่อสื่อสารดว้ ยการส่งอีเมล หรือ การส่ง SMS เป็นตน้ อยา่ งไรก็ตาม ในปัจจุบนั มีบางรายการที่จดั ทางวทิ ยแุ ละโทรทศั น์มีการใหผ้ ฟู้ ัง ผชู้ มโทรศพั ทเ์ ขา้ ไปแสดงความคิดเห็นหรือถาม-ตอบ ปัญหาไดท้ นั ทีกบั ผจู้ ดั รายการ ลกั ษณะน้ีจะเป็นการสื่อสารสองทาง เน่ืองจากมีการตอบสนองและใหผ้ ล ป้ อนกลบั ทนั ทีจากผฟู้ ังผชู้ มทางบา้ น 2. การสื่อสารสองทาง (two-way communication) เป็นการสื่อสารที่ผรู้ ับมีการตอบสนองและส่งผล ป้ อนกลบั ทนั ที (immediate feedback) ส่งกลบั มายงั ผสู้ ่ง โดยท่ีผสู้ ่งและผรู้ ับอาจจะอยตู่ ่อหนา้ กนั หรืออาจะอยกู่ นั คนละสถานท่ีก็ได้ แต่ท้งั สองฝ่ ายจะสามารถมีการเจรจาหรือการโตต้ อบกนั ไปมา โดยที่ต่างฝ่ ายตา่ งผลดั กนั ทา หนา้ ที่เป็นท้งั ผสู้ ่งและผรู้ ับในเวลาเดียวกนั เช่น การพดู โทรศพั ท์ การประชุมทางไกลดว้ ยวดี ิทศั น์ การสนทนา สดบนอินเทอร์เน็ต เป็ นตน้ ประเภทของการสื่อสาร แบง่ ไดเ้ ป็น 4 ประเภท ดงั น้ี 1. การส่ือสารในตนเอง (intrapersonal or self-communication) เป็นการส่ือสารภายในตนเอง หมายถึง บุคคลน้นั เป็นท้งั ผสู้ ่งและผรู้ ับในขณะเดียวกนั เช่น การเขียนและอ่านหนงั สือ เป็ นตน้ 2. การส่ือสารระหวา่ งบุคคล (interpersonal communication) เป็นการส่ือสารระหวา่ งคน 2 คน เช่น การ สนทนา หรือการโตต้ อบจดหมายระหวา่ งกนั เป็ นตน้ 3. การสื่อสารแบบกลุ่มชน (group communication) เป็นการสื่อสารระหวา่ งบุคคลกบั กลุ่มชนซ่ึง ประกอบดว้ ยคนจานวนมาก เช่น การสอนในหอ้ งเรียนระหวา่ งครูเพยี งคนเดียวกบั นกั เรียนท้งั หอ้ ง หรือระหวา่ ง กลุ่มชนกบั บุคคล เช่น กลุ่มชนมาร่วมกนั ฟังคาปราศรัยหาเสียงของผสู้ มคั รรับเลือกต้งั เป็นตน้

4. การส่ือสารมวลชน (mass communication) เป็นการสื่อสารโดยใชส้ ่ือมวลชน ประเภทวทิ ยุ โทรทศั น์ ภาพยนตร์ รวมถึงสิ่งพิมพต์ ่าง ๆ เช่น นิตยสาร หนงั สือพมิ พ์ แผน่ พบั ใบปลิว โปสเตอร์ ฯลฯ เพือ่ การติดต่อไป ยงั รับสารจานวนมากซ่ึงเป็นมวลชนหรือกลุ่มคนใหไ้ ดร้ ับขอ้ มูลขา่ วสารเดียวกนั ในเวลาพร้อม ๆ กนั หรือไล่เลี่ย กนั (กิดานนั ท์ มลิทอง, 2548, หนา้ 34-37) การรับรู้ การรับรู้เป็นกระบวนการแปลความระหวา่ งประสาทสัมผสั กบั ระบบประสาทของมนุษยท์ ี่ใชอ้ วยั วะ สมั ผสั ส่ิงใดส่ิงหน่ึง ทาใหป้ ระสาทสมั ผสั ในอวยั วะน้นั (Sensory nerve) ส่งผลเชื่อมโยง ไปยงั สมองและสมองจะถอดรหสั น้นั ๆ ไปยงั ระบบประสาท ทาใหเ้ กิด “การรับรู้” หรือ รู้สึก เกิดข้ึน ซ่ึงผลจาก การรับรู้จะมีมากนอ้ ยเพียงใดข้ึนอยกู่ บั ตวั ของมนุษยเ์ อง ถา้ มนุษยน์ ้นั มีประสบการณ์ มีความสนใจ ต้งั ใจ เฝ้ า สงั เกต และพจิ ารณาในส่ิงท่ีสัมผสั มาก สมองก็จะนาสิ่งน้นั มาผสมผสานและแปลการรับรู้ไดด้ ียง่ิ ข้ึน กิดานนั ท์ มลิทอง (2548, หนา้ 134) กล่าวเพิม่ เติมวา่ กระบวนการรับสารสนเทศจากส่ิงแวดลอ้ มรอบตวั คนเราใชป้ ระสาทสัมผสั ท้งั 5 เพ่อื รับสารและก่อใหเ้ กิดการเรียนรู้ ทริชเลอร์ (Treicher, 1967 อา้ งถึงใน Spencer, 1988, p.103) ไดน้ าเสนอขอ้ สรุปท่ีน่าสนใจซ่ึงมีความสมั พนั ธ์ระหวา่ งประสาทสัมผสั ของคนเราไวด้ งั น้ี คนเรียนรู้ผา่ นทาง: การลิ้มรส 1.0% การไดย้ นิ 11% การสมั ผสั 1.5% การไดก้ ลิ่น 3.5% การไดย้ นิ 11.0% การมองเห็น 83.0% การมองเห็น 83% การไดก้ ลิ่น 3.5% การลิ้มรส 1% การสัมผสั 1.5% ภาพท่ี 2 การเรียนรู้โดยผา่ นประสาทสัมผสั ท้งั หา้

การเรียนรู้ การเรียนรู้เกิดข้ึนไดต้ ลอดเวลาต้งั แตค่ นเราเกิดจนถึงบ้นั ปลายของชีวติ ทุกคร้ังท่ีเราทาอะไรก็ตามไม่วา่ จะดูโทรทศั น์ พดู คุยกบั ผอู้ ื่น อ่านหนงั สือ หรือแมแ้ ต่มองส่ิงใดสิ่งหน่ึง จะมีการเรียนรู้เกิดข้ึน ดงั น้นั การเรียนรู้ จึงหมายถึง พฒั นาการของความรู้ใหม่ ทกั ษะ หรือทศั นคติท่ีบุคคลมีปฏิกิริยากบั สารสนเทศและสิ่งแวดลอ้ ม (กิ ดานนั ท์ มลิทอง, 2548, หนา้ 24) อาจกล่าวไดว้ า่ ครูตอ้ งการถ่ายโอนความรู้และทกั ษะไปยงั ผเู้ รียนเพื่อใหผ้ เู้ รียนรับรู้ เพลิดเพลินและใช้ ความรู้น้นั ในดา้ นตา่ งๆเช่น วชิ าการ, ส่วนบุคคลและเพ่อื ประกอบอาชีพ ดงั น้นั จึงมีความจาเป็ นอยา่ งยง่ิ ที่ครูควรเร่ิมตน้ กระบวนการถ่ายโอนดว้ ยความเขา้ ใจในองคป์ ระกอบของ การเรียนรู้เพ่ือการวางแผน การออกแบบและสามารถจดั กระบวนการเรียนการสอนไดอ้ ยา่ งเหมาะสมซ่ึงจะ นาไปสู่ผลสาเร็จในการเรียนรู้ของผเู้ รียน เสมือนกบั สถาปนิกที่ตอ้ งเขา้ ใจคุณสมบตั ิของไม้ เหลก็ และกระจก รวมท้งั เป้ าหมายของการก่อสร้าง ก่อนท่ีจะเริ่มลงมือออกแบบ เช่นเดียวกบั ครูที่ตอ้ งเขา้ ใจองคป์ ระกอบสาคญั ของกระบวนการสอนและการเรียนรู้ (Judy Lever-Duffy, and Jean B. McDonald, 2009, p.10) ความเขา้ ใจในเร่ืองของการเรียนรู้เป็นส่ิงสาคญั มากยงิ่ ข้ึนเม่ือผสู้ อนจะบูรณาการเทคโนโลยเี ขา้ กบั กระบวนการสอน เพราะเทคโนโลยเี ป็นหนทางนาไปสู่จุดมุ่งหมายของการสอน และเป็ นเครื่องมือสาคญั ท่ีจะ ช่วยใหก้ ระบวนการเรียนการสอนสาเร็จตามจุดมุง่ หมาย แตก่ ารใชเ้ ทคโนโลยอี ยา่ งมีประสิทธิภาพน้นั ครูผสู้ อน จะตอ้ งมีความเขา้ ใจอยา่ งชดั เจนถึงความหมายของ การเรียนรู้, ทฤษฎีการเรียนรู้, และยทุ ธวธิ ีการสอนเพื่อบรรลุในการส่งผา่ นความรู้ตามจุดมุง่ หมาย การเรียนการสอน การเรียนการสอนเป็นการถ่ายทอดเน้ือหาบทเรียนจากครูผสู้ อนไปยงั ผเู้ รียน เพื่อทาให้ผเู้ รียนมีความ เขา้ ใจในบทเรียนน้นั และทาการตอบสนองเม่ือเกิดการเรียนรู้ข้ึน ในกระบวนการเรียนการสอนน้นั ตอ้ งอาศยั ลกั ษณะขององคป์ ระกอบของการสื่อสารท้งั หมดท่ีกล่าวมาแลว้ เป็นหลกั ในการดาเนินการเพอ่ื เกิดเป็นการ ส่ือสารข้ึนระหวา่ งผสู้ อนและผเู้ รียน ดงั น้นั จึงนบั ไดว้ า่ การเรียนการสอนเป็ นกระบวนการสื่อสารอยา่ งหน่ึง และ มีองคป์ ระกอบท่ีเปรียบเทียบไดก้ บั องคป์ ระกอบของการส่ือสารดงั น้ี 1. ผสู้ ่งสาร ในการเรียนการสอน คือ ผสู้ อน วทิ ยากร หรือผบู้ รรยาย ที่ตอ้ งมีความรู้ ความเขา้ ใจในการเขา้ รหสั เพ่ือนาบทเรียนมาเขา้ รหสั และตอ้ งตดั สินไดว้ า่ จะทาการเขา้ รหสั อยา่ งไร เช่น จะ สอนโดยการบรรยาย อธิบาย หรือการพดู คุยกนั มีการนาเสนอสื่อการสอนประเภทใดมาใชป้ ระกอบเพอ่ื ถ่ายทอดความรู้ใหแ้ ก่ผรู้ ับสาร ซ่ึงไดแ้ ก่ผเู้ รียนเกิดความเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งชดั เจน

2. เน้ือหา ความรู้ท่ีส่งใหผ้ เู้ รียน ไดแ้ ก่ เน้ือหาของวชิ า ตามหลกั สูตรที่กาหนดไวโ้ ดยจะแบง่ เป็นบทเรียน มีการเรียงลาดบั ความยากง่ายเพ่ือความสะดวกในการนามาสอน 3. ส่ือหรือช่องทางท่ีใชส้ ่งหรือถ่ายทอดเน้ือหาความรู้ใหผ้ เู้ รียน ไดแ้ ก่ ส่ือการสอนประเภทวสั ดุ อุปกรณ์ และเทคนิควธิ ีการ เพื่อใชป้ ระกอบการสอนหรือเพื่อใหผ้ เู้ รียนใชเ้ รียนไดด้ ว้ ยตนเอง เช่น สไลด์ เครื่องฉายแผน่ โปร่งใส โทรทศั น์ ชุดการสอน คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน การจาลองสถานการณ์ เป็ นตน้ 4. ผรู้ ับสาร ไดแ้ ก่ ผเู้ รียน ซ่ึงมีระดบั อายุ แบบการคิด สติปัญญา สังคมและวฒั นธรรมที่แตกต่างกนั ใน แตล่ ะคน จึงทาใหม้ ีความสามารถในการถอดรหสั แตกตา่ งกนั ไปดว้ ย 5. ผลที่เกิดข้ึนในการเรียนการสอน หมายถึง ผลการเรียนรู้เพ่ือแสดงวา่ ผเู้ รียนสามารถเขา้ ใจสารหรือ ความรู้ท่ีรับมาหรือไม่ ถา้ มีความเขา้ ใจส่ิงท่ีเรียนกจ็ ะทาใหร้ ู้สึกสนุกในการเรียนและเรียนรู้เรื่อง ถา้ ไม่เขา้ ใจก็จะ ทาใหไ้ ม่รู้เร่ืองในการเรียนและเกิดความเบ่ือหน่ายได้ 6. ผลป้ อนกลบั ของผเู้ รียน เป็ นการตอบสนองของผเู้ รียนท่ีส่งกลบั ไปยงั ผสู้ อน โดยการท่ีผเู้ รียนตอบตา ถามไดห้ รืออาจจะถามคาถามกลบั ไป หรือผเู้ รียนตอบสนองโดยการพยกั หนา้ ยมิ้ แสดงอาการง่วงนอน หรือ แสดงกิริยาใด ๆ ใหเ้ ห็น การรวบรวมผลป้ อนกลบั ของผเู้ รียนจดั วา่ เป็ นหนา้ ท่ีสาคญั อยา่ งหน่ึงของผสู้ อน เพราะ เป็นส่ิงท่ีผสู้ อนจะตอ้ งมาวเิ คราะห์วา่ การสอนน้นั เป็นอยา่ งไร เพอ่ื นาไปปรับปรุงการสอนของตนให้ดียง่ิ ข้ึน ตอ่ ไป ผู้สอน ส่ือ สาร ผู้เรียน Instructor Medium Message Learner วธิ ีสอน Method ภาพท่ี 3 แสดงการเปรียบเทียบองคป์ ระกอบของระบบการส่ือสาร กบั องคป์ ระกอบของการเรียนการสอน

ภาพท่ี 4 องคป์ ระกอบของการเรียนการสอน ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ วา่ การเรียนรู้จะเกิดข้ึนไดด้ ว้ ยการส่ือสารระหวา่ งผเู้ รียนกบั ผสู้ อน โดยการที่ผสู้ อนส่ง สารคือ เน้ือหาความรู้โดยใชส้ ื่อและช่องทางส่ือสารไปยงั ผเู้ รียน เมื่อผเู้ รียนรับสารแลว้ จะแปลความหมายของ สารคือเน้ือหาบทเรียนน้นั ให้เขา้ ใจแลว้ ตอบสนองส่งผลป้ อนกลบั ไปยงั ผสู้ อน ในการท่ีจะเกิดการเรียนรู้ข้ึนไดน้ ้ี ยอ่ มตอ้ งอาศยั กระบวนการของการสื่อสารในรูปแบบของการส่ือสารทางเดียวและการส่ือสารสองทาง ใน ลกั ษณะของการใหส้ ่ิงเร้าเพ่ือกระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนมีการแปลความหมายของเน้ือหาบทเรียนน้นั และใหม้ ีการ ตอบสนองเพ่อื เกิดเป็ นการเรียนรู้ข้ึน ลกั ษณะของการใหส้ ิ่งเร้าและการตอบสนองในการส่ือสารน้ี หมายถึง การ ท่ีผสู้ อนใหส้ ่ิงเร้าหรือส่งแรงกระตุน้ ไปยงั ผเู้ รียนมีการตอบสนองออกมา โดยผสู้ อนอาจใชก้ ารอภิปราย การ บรรยาย ภาพถ่าย สไลด์ ของจาลอง ของจริง การสาธิต และโสตทศั นูปกรณ์ตา่ ง ๆ หรือแมแ้ ต่ตวั ตวั ผสู้ อนเอง วทิ ยากร หรือผสู้ ่งเน้ือหาบทเรียนก็นบั เป็ นสิ่งเร้าไดเ้ ช่นเดียวกนั ส่วนการตอบสนองของผเู้ รียน ไดแ้ ก่ คาพดู การ เขียน การแสดงออกทางร่างกาย รวมถึงกระบวนการท้งั หมดความคิด เจตคติ และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ต่าง ๆ ซ่ึงก่อนท่ีผเู้ รียนจะมีการตอบสนองเกิดข้ึนไดน้ ้นั ยอ่ มจะตอ้ งมีการแปลความหมายของส่ิงเร้าท่ีไดร้ ับมา น้นั ใหด้ ีเสียก่อนวา่ หมายความวา่ อยา่ งไร เพ่ือจะไดท้ าการตอบสนองไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง อยา่ งไรกต็ าม การท่ีจะใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดด้ ีน้นั ผสู้ อนตอ้ งใชก้ ระบวนการสื่อสาร อนั ประกอบดว้ ยวธิ ีการ รูปแบบ และประเภทของการส่ือสาร ประยกุ ตเ์ ขา้ กบั ทฤษฎีการส่ือสารเพอื่ เป็ นแนวทางใน การจดั การเรียนการสอนอยา่ งมีประสิทธิภาพ ส่งผลใหผ้ เู้ รียนเกิดการรับรู้และแปลความหมายสิ่งที่รับรู้น้นั อยา่ ง ถูกตอ้ งเพ่ือนาไปสู่การเรียนรู้ในท่ีสุด รวมถึงตอ้ งใชท้ ฤษฎีการเรียนรู้รูปแบบการเรียนรู้ และคานึงถึงปัจจยั ตา่ ง ๆ ที่ส่งผลต่อการเรียนรู้ เช่น สภาพแวดลอ้ มในการเรียน ปัจจยั ดา้ นจิตวทิ ยา มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นวธิ ีการเรียนการสอน ดว้ ย เพือ่ ให้เกิดการเรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ

ส่ือการเรียนการสอนหรือส่ือการเรียนรู้ ส่ือการเรียนการสอนหรือส่ือการเรียนรู้เป็ นสิ่งท่ีมีบทบาทสาคญั ในการเรียนการสอน เพราะทาหนา้ ท่ี เป็นตวั กลางเพื่อถ่ายทอดเน้ือหาวชิ า ความรู้และทกั ษะตา่ งๆจากผสู้ อนไปสู่ผเู้ รียน ซ่ึงส่ือดงั กล่าวมีพฒั นาการมา อยา่ งตอ่ เนื่อง กล่าวคือ มนุษยใ์ ชส้ ่ือช่วยในการเรียนรู้และขยายประสบการณ์สู่โลกกวา้ งมาต้งั แต่อดีต แผนที่ ลูกโลกจาลองเป็นสื่อรุ่นบุกเบิกท่ีรู้จกั กนั ดี นบั ศตวรรษ นอกจากแผนท่ีและลูกโลกจาลองแลว้ สื่อการเรียนรู้พ้ืนฐานอยา่ งง่ายๆ อ่ืนๆ ยงั มีภาพแขวนผนงั โปสเตอร์ หุ่นจาลอง กราฟและสถิติต่างๆ แผน่ ป้ ายนิเทศ แผน่ ป้ ายผา้ สาลี กระเป๋ าผนงั ท่ีใช้ ร่วมกบั บตั รคา แผน่ ป้ ายไฟฟ้ า แผนภูมิ กระดานชอลก์ หนงั สือ ฯลฯ ซ่ึงมีส่วนช่วยเพิม่ พนู ความรู้แก่นกั เรียนและ ช่วยการสอนของครูไดม้ าก (วภิ า อุตมฉนั ท,์ 2544, บทนาหนา้ i) พฒั นาการตอ่ มาของส่ือการเรียนรู้กเ็ ขา้ มาสู่ยคุ ที่มนุษยร์ ู้จกั การบนั ทึกภาพ เน้ือหาวชิ าความรู้เเละ เร่ืองราวตา่ งๆลงในแผน่ ฟิ ลม์ แผน่ ใส หรือที่เราคุน้ เคยกบั การเรียนการสอนในหอ้ งเรียนที่มีการใชร้ ูปภาพ เคร่ือง ฉายภาพขา้ มศีรษะ และเคร่ืองฉายสไลด์ ฯลฯ จนกระทง่ั รู้จกั การใชค้ ล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้ าในอากาศเป็นพาหะนา สารไปสู่ผรู้ ับที่อยใู่ นที่ท่ีห่างไกลออกไป ส่ือการเรียนรู้ กห็ ลากหลายและมีความน่าสนใจมากยง่ิ ข้ึน เช่น เทปบนั ทึกเสียง รายการวทิ ยุ รายการโทรทศั นเ์ พือ่ การศึกษา การถ่ายทอดสดผา่ นดาวเทียม เป็นตน้ เมื่อความกา้ วหนา้ ดา้ นเทคโนโลยกี ารส่ือสาร และเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ช่วยเอ้ือใหค้ รูนกั เรียน นกั การศึกษาและนกั วจิ ยั สามารถประยกุ ตส์ ่ือประเภทตา่ งๆมาใชร้ ่วมกนั ไดบ้ นระบบคอมพิวเตอร์หรือระบบ อินเทอร์เน็ต ยงิ่ ช่วยเป็นตวั เร่งใหพ้ ฒั นาการของสื่อการเรียนการสอนมีการเปล่ียนแปลงจากส่ือพ้นื ฐานไปเป็น สื่ออิเลก็ ทรอนิกส์และมีการนาไปใชเ้ พมิ่ ประสิทธิภาพการเรียนการสอนกนั อยา่ งกวา้ งขวาง ตวั อยา่ งของสื่อการ เรียนรู้เหล่าน้ีไดแ้ ก่ คอมพวิ เตอร์,แผน่ ซีดี(compact disc), แผน่ ดีวดี ี (digital videodisc), ระบบอินเทอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์ช่วยสอน CAI (Computer-Assisted Instruction) การสอนบนเวบ็ (Web-based Instruction) หอ้ งเรียนเสมือน (virtual classroom) การเรียนการสอนทางไกล (distance learning) การเรียนการสอนผา่ น เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (e-learning) ฯลฯ การเรียนการสอนของครูและนกั เรียนไม่อาจท่ีจะจากดั อยใู่ นห้องเรียน แต่เพยี งอยา่ งเดียวอีกต่อไป เพราะสามารถดาเนินการจดั การเรียนการสอนไดโ้ ดยผา่ นระบบอินเทอร์เน็ตและ ระบบอินทราเน็ตในวทิ ยาเขตหรือผา่ นทางศูนยว์ ทิ ยบริการหรือศูนยค์ อมพวิ เตอร์ของโรงเรียนหรือมหาวทิ ยาลยั

ความหมายของส่ือการเรียนการสอนหรือส่ือการเรียนรู้ ส่ือ เป็นคามาจากภาษาลาติน “medium” แปลวา่ “ระหวา่ ง” หมายถึงสิ่งใดกต็ ามท่ีบรรจุขอ้ มลู เพอ่ื ใหผ้ ู้ ส่งและผรู้ ับสามารถสื่อสารกนั ไดต้ ามวตั ถุประสงค์ คาวา่ “ส่ือ” ตรงกบั คาวา่ “media” ในภาษาองั กฤษ เม่ือมี การนาสื่อมาใชใ้ นการเรียนการสอน ส่ือน้นั จึงเป็นส่ือการเรียน การสอน (Instructional Media) หรือวา่ เม่ือมี การใชส้ ื่อเพื่อเป็นส่ือการสอนและฝึกอบรม สื่อน้นั จึงเป็นสื่อที่บรรจุเน้ือหาเกี่ยวกบั การเรียนการสอน และฝึกอบรมในรูปแบบของวสั ดุ อุปกรณ์ และเทคนิควธิ ีการ โดยอาจเป็นหนงั สือ แผนภมู ิ รูปภาพ สไลด์ แถบวดิ ีทศั น์ แผน่ โปร่งใส เคร่ืองฉายภาพขา้ มศีรษะ เครื่องวชิ วลไลเซอร์ เคร่ืองเล่นวซี ีดี เคร่ืองเล่นซีดี ลาโพง ไมโครโฟน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องฉายแอลซีดีโพรเจค็ เตอร์ การสาธิต การศึกษา นอกสถานท่ี ฯลฯ รวมถึงการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศในรูปแบบเครือขา่ ยมาใชร้ ่วมในการสอนและฝึกอบรม ใหม้ ีประสิทธิภาพสูงสุดและไดป้ ระสิทธิผลเพิ่มพนู ยงิ่ ข้ึนดว้ ย (กิดานนั ท์ มลิทอง, 2544,หนา้ 1) โรเบิร์ต ไฮนิช, ไมเคิล โมเลนดา, เจมส์ รัสเซล, และชารอน สมลั ดิโน (2002, หนา้ 9-10) กล่าวเพิม่ เติม วา่ ส่ือหมายถึงอะไรกต็ ามท่ีบรรจุขอ้ มูลขา่ วสารระหวา่ งผสู้ ่งและผรู้ ับ ตวั อยา่ งเช่น วดิ ีทศั น์, โทรทศั น,์ แผนภมู ิ, วสั ดุส่ิงพมิ พ,์ คอมพิวเตอร์, และครู มีการนาสื่อมาใชใ้ นการเรียน การสอนสื่อก็จะทาหนา้ ที่ในการบรรจุขอ้ มลู ข่าวสารเพ่ือใชใ้ นการเรียนการสอน จุดประสงคส์ าคญั ของส่ือคือ ช่วยอานวยความสะดวกในการส่ือสาร คาวา่ “ส่ือ” ยงั มีชื่อเรียกอีกหลายชื่อเช่น “aids”, “materials” ดงั น้นั สื่อการสอน (Educational Instruction) หรือ (Educational media) จึงมีชื่อเรียกท่ีแตกต่างกนั เช่น audio-visual aids, learning materials, printed materials (สมสิทธ์ิ จติ รสถาพร, 2547) แมจ้ ะมีช่ือเรียกต่างกนั แต่หลกั การและแนวคิดกม็ ีความหมายที่ เหมือนและสอดคลอ้ งกนั คือหมายถึง ตวั กลางท่ีใชใ้ นการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ตลอดจนทกั ษะต่างๆไปยงั ผเู้ รียน สื่อการเรียนการสอนยงั มีความหมายรวมถึงเทคโนโลยที ่ีนามาใชเ้ พือ่ อานวยความสะดวกต่อวธิ ีการสอน ตวั อยา่ งเช่น การบรรยายเป็นวธิ ีสอน แต่เคร่ืองฉายภาพขา้ มศีรษะท่ีครูใชเ้ ป็นส่ือการเรียนการสอนเพื่อสนบั สนุน และกระตุน้ ความสนใจในเน้ือหาที่ครูสอน สื่อและเทคโนโลยคี ือ เคร่ืองมือท่ีจะช่วยดึงดูดความสนใจ ทาหนา้ ที่ สนบั สนุนและอานวยความสะดวกต่อกระบวนการเรียนการสอน (Lever-Duffy, and McDonald, 2009, p.61) กล่าวโดยสรุป ส่ือการเรียนการสอนหรือสื่อการเรียนรู้หมายถึงตวั กลางหรืออะไรกต็ ามที่นามาใชใ้ น การถ่ายทอดความรู้ ความคิด ตลอดจนทกั ษะตา่ งๆ ไปยงั ผเู้ รียน โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือช่วยอานวยความสะดวก ในการสื่อสารและช่วยสนบั สนุนใหก้ ารเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากยงิ่ ข้ึน

คุณค่าของสื่อการเรียนการสอนหรือสื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนการสอนหรือส่ือการเรียนรู้มีบทบาทสาคญั หลายอยา่ งตอ่ การศึกษา ดงั ที่ กิดานนั ท์ มลิทอง (2536, หนา้ 83) ไดก้ ล่าววา่ สื่อการสอนสามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดท้ ้งั กบั ผเู้ รียนและผสู้ อน ดงั ตอ่ ไปน้ี ส่ือกบั ผเู้ รียน 1. เป็นส่ิงที่ช่วยใหเ้ กิดการเรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เพราะช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดความเขา้ ใจเน้ือหา บทเรียนที่ยงุ่ ยากซบั ซอ้ นไดง้ ่ายข้ึนในระยะเวลาอนั ส้ัน และสามารถช่วยใหเ้ กิดความคิด รวบยอดในเร่ืองน้นั ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและรวดเร็ว 2. ส่ือจะช่วยกระตุน้ และเร้าความสนใจใหก้ บั ผเู้ รียน ทาใหเ้ กิดความสนุกและไม่รู้สึก เบื่อหน่ายการเรียน 3. การใชส้ ่ือจะทาใหผ้ เู้ รียนมีความเขา้ ใจตรงกนั และเกิดประสบการณ์ร่วมกนั ในช้นั เรียน 4. ช่วยใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากข้ึนทาใหเ้ กิดมนุษยสัมพนั ธ์อนั ดี ระหวา่ งผเู้ รียนดว้ ยกนั เองและกบั ผสู้ อนดว้ ย 5. ช่วยสร้างเสริมลกั ษณะที่ดีในการศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ ช่วยใหเ้ กิดความคิดสร้างสรรคจ์ ากการใช้ ส่ือเหล่าน้นั 6. ช่วยแกไ้ ขปัญหาเร่ืองความแตกต่างระหวา่ งบุคคลโดยจดั ใหม้ ีการใชส้ ่ือในการศึกษารายบุคคล สื่อกบั ผสู้ อน 1. การใชส้ ื่อวสั ดุอุปกรณ์ตา่ งๆประกอบการเรียนการสอนเป็นการช่วยใหบ้ รรยากาศในการสอน น่าสนใจมากยงิ่ ข้ึน ทาใหผ้ สู้ อนมีความสนุกสนานในการสอนมากกวา่ วธิ ีการที่เคยใช้ การบรรยายแต่เพียงอยา่ งเดียวและเป็นการสร้างความเช่ือมนั่ ในตวั เองใหเ้ พ่มิ ข้ึนดว้ ย 2. ส่ือจะช่วยแบ่งเบาภาระของผสู้ อนในดา้ นการเตรียมเน้ือหา เพราะบางคร้ังอาจใหผ้ เู้ รียนศึกษาเน้ือหา จากสื่อไดเ้ อง 3. เป็นการกระตุน้ ใหผ้ สู้ อนตื่นตวั อยเู่ สมอในการเตรียมและผลิตวสั ดุใหมๆ่ เพ่ือใชเ้ ป็ น สื่อการสอนตลอดจนคิดคน้ เทคนิควธิ ีการตา่ งๆเพื่อใหก้ ารเรียนการสอนน่าสนใจยงิ่ ข้ึน อยา่ งไรกต็ ามส่ือการเรียนรู้จะมีคุณคา่ ก็ตอ่ เมื่อผสู้ อนไดน้ าไปใชอ้ ยา่ งเหมาะสม และถูกวธิ ี ดงั น้นั ก่อนท่ีจะนาสื่อไปใชผ้ สู้ อนจึงควรจะไดศ้ ึกษาถึงลกั ษณะและคุณสมบตั ิของ ส่ือการเรียนรู้ ขอ้ ดีและขอ้ จากดั อนั เก่ียวเน่ืองกบั ตวั ส่ือและการใชส้ ื่อแต่ละอยา่ ง ตลอดจน การผลิตและการใชส้ ื่อใหเ้ หมาะสมกบั สภาพการเรียนการสอนดว้ ย ท้งั น้ีเพ่ือใหก้ ารจดั กิจกรรม การสอนบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายและวตั ถุประสงคท์ ี่วางไว้

กล่าวโดยสรุป ส่ือการเรียนรู้มีคุณคา่ หลายประการเช่น ประการแรกคือช่วยอานวยความสะดวกในการ เรียนรู้ของนกั เรียนเพราะส่ือช่วยสร้างบรรยากาศหรือสภาพแวดลอ้ มท่ีกระตุน้ ความสนใจ สื่อสามารถช่วยขยาย ประสบการณ์การเรียนรู้ของนกั เรียน เช่น การชมภาพของสถานที่ท่ีอยหู่ ่างไกลโดยไมจ่ าเป็นตอ้ งเดินทางไป ภาพยนตร์และภาพนิ่งสามารถใชส้ าธิตกระบวนการสาหรับวชิ าที่ตอ้ งการฝึกทกั ษะใหก้ บั ผเู้ รียน ซ่ึงจะเป็นเร่ือง ท่ีดีมากถา้ หากผเู้ รียนไดเ้ ห็นกระบวนการก่อนท่ีเขาเหล่าน้นั จะเริ่มลงมือปฏิบตั ิ หรือการสาธิตท่ีสามารถทาได้ โดยถ่ายทอดสด (Live), บนั ทึกวดิ ีทศั น์ หรือบนั ทึกภาพนิ่งเรียงต่อกนั เป็ นเร่ืองได้ นอกจากน้ี สี, เสียง, และ ภาพเคล่ือนไหว สามารถเร้าและกระตุน้ ความสนใจของนกั เรียนไดเ้ ป็ นอยา่ งดี ท้งั น้ีส่ิงท่ีผสู้ อน ตอ้ งคานึงถึงก็คือการศึกษาถึงลกั ษณะและคุณสมบตั ิ ขอ้ ดี ขอ้ จากดั ของสื่อแตล่ ะอยา่ ง ตลอดจน การผลิตและการประยกุ ตใ์ ชส้ ่ือใหเ้ หมาะสมกบั สภาพการเรียนการสอนและสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคท์ ่ีวางไว้ ประเภทของส่ือการเรียนรู้ ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ วา่ ส่ือการเรียนการสอนมีพฒั นาการมาอยา่ งต่อเนื่อง มีการนาสื่อมาใชใ้ นการเรียนการ สอนหลากลายชนิดต้งั แตพ่ ้ืนฐานแบบง่ายๆ จนกระทงั่ สื่ออิเลก็ ทรอนิกส์ที่ใชเ้ ทคโนโลยรี ะดบั สูงโดยมี วตั ถุประสงคเ์ พ่อื เสริมศกั ยภาพการเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพสูงสุด มีนกั การศึกษาหลายท่านท่ีจาแนกส่ือ การเรียนการสอนในลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั ไปซ่ึงสามารถแบง่ ออกเป็ นประเภทต่างๆ ไดด้ งั น้ี สื่อโสตทศั นูปกรณ์ ส่ือโสตทศั นูปกรณ์ (Audio-visual aids) (กิดานนั ท์ มลิทอง, 2544, หนา้ 3) เป็นส่ือประเภทวสั ดุและ อุปกรณ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามลกั ษณะท่ีใชง้ าน (De Kiefer, 1965) ไดแ้ ก่ 1. ส่ือประเภทใชเ้ ครื่องฉาย (projected aids) เช่น สไลดใ์ ชก้ บั เคร่ืองฉายสไลด์ และแผน่ โปร่งใสใชก้ บั เคร่ืองฉายภาพขา้ มศีรษะ เป็ นตน้ 2. สื่อประเภทไมใ่ ชเ้ ครื่องฉาย (nonprojected aids) เช่น รูปภาพ แผนภมู ิ แผนสถิติ ของจริง ของจาลอง เป็ นตน้ 3. ส่ือประเภทเคร่ืองเสียง (audio aids) เช่น เทปเสียง แผน่ ซีดี วทิ ยุ เป็นตน้ สื่อแบ่งตามประสบการณ์การเรียนรู้ เป็นการแสดงข้นั ตอนของประสบการณ์การเรียนรู้จากรูปธรรมไปสู่นามธรรมโดย เอดการ์ เดล (Edgar Dale, 1969) ไดน้ าเสนอ “กรวยประสบการณ์” (Cone of Experience) โดยแบง่ ประสบการณ์การเรียนรู้ออกเป็ น ข้นั ตอนดงั น้ี 1. ประสบการณ์ตรง (Direct, Purposeful Experiences) เป็นประสบการณ์ข้นั ท่ีเป็นรูปธรรมมากท่ีสุด โดยการใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับประสบการณ์โดยตรงจากของจริง สถานการณ์จริง หรือดว้ ยการกระทาของตนเอง

2. ประสบการณ์รอง (Contrived Experiences) เป็นการเรียนรู้โดยใหผ้ เู้ รียนเรียนจากสิ่งท่ีใกลเ้ คียงความ เป็นจริงท่ีสุดซ่ึงอาจเป็นของจาลองหรือการจาลองกไ็ ด้ 3. ประสบการณ์นาฏกรรมหรือการแสดง (Dramatized Experiences) เป็นการแสดงบทบาทสมมติหรือ การแสดงละครเพื่อเป็นการจดั ประสบการณ์ใหแ้ ก่ผเู้ รียนในเร่ืองท่ีมีขอ้ จากดั ดว้ ยยคุ สมยั เวลาและสถานท่ี เช่น เหตุการณ์ในประวตั ิศาสตร์ หรือเร่ืองราวท่ีเป็ นนามธรรม เป็นตน้ 4. การสาธิต (Demonstrations) เป็นการแสดงหรือการกระทาประกอบคาอธิบายเพ่อื ใหเ้ ห็นลาดบั ข้นั ตอนของการกระทาน้นั 5. การศึกษานอกสถานท่ี (Field Trips) เป็นการใหผ้ เู้ รียนไดร้ ับและเรียนรู้ประสบการณ์ตา่ งๆ ภายนอก สถานที่เรียน อาจเป็นการเยยี่ มชมสถานท่ีต่างๆ การสมั ภาษณ์บุคคลต่างๆ ฯลฯ เป็นตน้ 6. นิทรรศการ (Exhibits) เป็นการจดั แสดงส่ิงของตา่ งๆ การจดั ป้ ายนิเทศ ฯลฯ เพื่อใหส้ าระประโยชน์ ความรู้แก่ผชู้ มโดยการนาประสบการณ์หลายอยา่ งมาผสมผสานกนั มากที่สุด 7. โทรทศั น์ (Television) โดยใชท้ ้งั โทรทศั น์การศึกษาและโทรทศั น์การสอนเพ่อื ใหข้ อ้ มลู ความรู้แก่ ผเู้ รียนหรือผชู้ มท่ีอยใู่ นหอ้ งเรียนหรืออยทู่ างบา้ น และใชส้ ่งไดท้ ้งั ในระบบวงจรเปิ ดและวงจรปิ ด การสอน อาจจะเป็ นการสอนสดหรือบนั ทึกลงวดิ ีทศั น์ก็ได้ 8. ภาพยนตร์ (Motion Pictures) เป็นภาพท่ีบนั ทึกเร่ืองราวเหตุการณ์ลงบนฟิ ลม์ เพือ่ ให้ผเู้ รียนไดร้ ับ ประสบการณ์ท้งั ภาพและเสียงโดยใชป้ ระสาทตาและหู 9. การบนั ทึกเสียง วทิ ยุ ภาพนิ่ง (Recordings Radio Still Pictures) การบนั ทึกเสียงอาจเป็นท้งั ในรูปของ แผน่ เสียงหรือเทปบนั ทึกเสียง วทิ ยเุ ป็นสื่อท่ีใหเ้ ฉพาะเสียง ส่วนภาพน่ิงอาจเป็นรูปภาพ สไลด์ โดยเป็นภาพวาด ภาพลอ้ หรือภาพเหมือนจริงกไ็ ด้ ขอ้ มูลท่ีอยใู่ นสื่อข้นั น้ีจะใหป้ ระสบการณ์แก่ผเู้ รียนที่ถึงแมจ้ ะอ่านหนงั สือไม่ ออกแตก่ ็สามารถจะเขา้ ใจเน้ือหาเร่ืองราวท่ีสอนได้ เนื่องจากเป็นการฟังหรือดูภาพเท่าน้นั ไม่จาเป็ นตอ้ งอา่ น 10. ทศั นสัญลกั ษณ์ (Visual Symbols) เช่น แผนที่ แผนภูมิ แผนสถิติ หรือเคร่ืองหมายตา่ งๆ ซ่ึงเป็นส่ิง ท่ีเป็นสญั ลกั ษณ์แทนความเป็ นจริงของส่ิงต่างๆ หรือขอ้ มูลท่ีตอ้ งการใหเ้ รียนรู้ 11. วจนสัญลกั ษณ์ (Verbal Symbols) เป็นประสบการณ์ข้นั ที่เป็นนามธรรมท่ีสุด ไดแ้ ก่ ตวั หนงั สือใน ภาษาเขียนและเสียงของคาพดู ในภาษาพดู (กิดานนั ท์ มลิทอง, 2544, หนา้ 3-4) นกั จิตวทิ ยาทา่ นหน่ึง คือ เจโรม บรุนเนอร์ (Jerome Bruner) ไดอ้ อกแบบโครงสร้างของกิจกรรมการ สอนซ่ึงประกอบดว้ ยมโนทศั นด์ า้ นการกระทาโดยตรง (enactive) การเรียนรู้ดว้ ยภาพ (icon) และการเรียนรู้ดว้ ย นามธรรม (abstract)

เมื่อเปรียบเทียบกรวยประสบการณ์ของเดลกบั ลกั ษณะสาคญั 3 ประการของการเรียนรู้ของบรุนเนอร์ แลว้ จะเห็นวา่ มีลกั ษณะที่เป็นคู่ขนานกนั ข้นั ท่ี 1-6 ผเู้ รียนเรียนโดยไดร้ ับประสบการณ์ดว้ ยตนเองจากการกระทา การมีส่วนร่วมในรูปแบบตา่ ง ๆ ของประสบการณ์ที่เป็นจริง และการสังเกตจากของจริงหรือเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนจริง ซ่ึงเปรียบเทียบไดจ้ ากการ เรียนรู้ดว้ ยการกระทา ข้นั ท่ี 7-9 ผเู้ รียนสงั เกตเหตุการณ์หรือรับประสบการณ์จากการถ่ายทอดโดยสื่อประเภทภาพและเสียง เช่น โทรทศั น์ วทิ ยุ ภาพน่ิง เสมือนกบั เป็นการเรียนรู้ดว้ ยภาพ ข้นั ที่ 10-11 ผเู้ รียนไดร้ ับประสบการณ์จากสญั ลกั ษณ์ในรูปแบบของตวั อกั ษร เคร่ืองหมายหรือคาพดู ซ่ึงมีลกั ษณะเป็นนามธรรมมากท่ีสุด ส่ือแบ่งตามรูปร่างลกั ษณะของส่ือหรือส่ือกลางในกระบวนการเรียนการสอน ลดั ดา ศุขปรีดี (2546, หนา้ 15) มีความเห็นวา่ จากกรวยประสบการณ์น้ี เดลไดจ้ าแนกสื่อตามรูปร่าง ลกั ษณะของส่ือหรือส่ือกลางในการเรียนการสอนอาจแบง่ ประเภทออกเป็ น 3 ลกั ษณะ คือ 1. วสั ดุ (Material or Software) ไดแ้ ก่ วสั ดุท่ีทาหนา้ ที่เก็บความรู้ในลกั ษณะของภาพ เสียงและตวั อกั ษร ในรูปแบบตา่ งๆ ที่ผเู้ รียนสามารถใชเ้ ป็นแหล่งหาประสบการณ์ หรือศึกษาไดอ้ ยา่ งแทจ้ ริงและกวา้ งขวาง แบง่ ออกเป็ น 2 ลกั ษณะ คือ 1.1 วสั ดุท่ีเสนอความรู้ไดจ้ าก ตวั มนั เอง ไดแ้ ก่ หนงั สือเรียนหรือตารา ของจริง หุ่นจาลอง รูปภาพ แผนภมู ิ แผนท่ี ป้ ายนิเทศ เป็นตน้ 1.2 วสั ดุท่ีตอ้ งอาศยั สื่อประเภทเคร่ืองกลไกเป็นตวั นาเสนอความรู้ ไดแ้ ก่ ฟิ ลม์ ภาพยนตร์ แผน่ สไลด์ เส้นเทปบนั ทึกเสียง แผน่ ซีดี โปรแกรมคอมพิวเตอร์ รายการวทิ ยุ รายการโทรทศั น์ เป็นตน้ 1.3 วสั ดุอิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงเป็ นสื่อประสมเชิงโตต้ อบโดยใชค้ อมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ช่วย ไดแ้ ก่ 1.3.1 วสั ดุอิเล็กทรอนิกส์ลกั ษณะที่เป็นส่ือเสียง เช่น เทปเสียง แผน่ ซีดี เป็นตน้ 1.3.2 วสั ดุอิเล็กทรอนิกส์ลกั ษณะท่ีเป็นส่ือภาพและเสียง เช่น วดี ิทศั น์ วซี ีดี (VCD) ดีวดี ี เป็นตน้ 1.3.3 วสั ดุอิเลก็ ทรอนิกส์ลกั ษณะที่เป็นมลั ติมีเดีย เช่น บทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน (CAI) ภาพเคลื่อนไหวแอนนิเมชน่ั (Animation) เป็นตน้ 1.3.4 วสั ดุอิเล็กทรอนิกส์ลกั ษณะท่ีเป็นสิ่งพิมพ์ เช่น หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (E-book) พจนานุกรมอิเลก็ ทรอนิกส์

2. เครื่องมือหรืออุปกรณ์ (Device or Hardware) ไดแ้ ก่ ส่ือที่เป็นตวั กลางหรือทางผา่ นของความรู้ซ่ึง สามารถทาใหค้ วามรู้ท่ีส่งผา่ นมีการเคล่ือนไหวหรือไปสู่นกั เรียนจานวนมากหรือไปไดไ้ กลๆ และรวดเร็ว ไดแ้ ก่ เคร่ืองฉายภาพยนตร์ เคร่ืองบนั ทึกเสียง เครื่องรับวทิ ยุ เคร่ืองรับโทรทศั น์อุปกรณ์เคร่ืองเสียง เครื่องคอมพวิ เตอร์ และอุปกรณ์เคร่ืองฉายภาพน่ิงท้งั หลาย เป็นตน้ 3. เทคนิคหรือวธิ ีการต่างๆ (Technique or Method) ไดแ้ ก่ ประสบการณ์ต่างๆ เช่น ชุดฝึกทกั ษะ ชุดทดลอง เกม การสาธิต การแดงบทบาท การแสดงละครและหุ่น การศึกษานอกสถานท่ี การจดั แสดงและ นิทรรศการ ตลอดจนเทคนิคในการเสนอบทเรียนดว้ ยส่ือประเภทวสั ดุและเครื่องมือ เป็นตน้ ส่ือแบ่งตามทรัพยากรการเรียนรู้ ดงั ท่ี อีลี (Ely, 1972, p.36-43) ไดแ้ บง่ สื่อเพอ่ื การศึกษาและส่ือทว่ั ไปที่ สามารถนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการเรียนการสอนไว้ 5 ประเภท ดงั น้ี 1. คน (People) หมายถึง บุคลากรท่ีอยใู่ นระบบและนอกระบบของการศึกษา เช่น ผสู้ อน ผบู้ ริหาร บุคลากรทางการศึกษา ผเู้ ชี่ยวชาญ ผชู้ านาญการในแตล่ ะอาชีพ ศิลปิ น ปราชญช์ าวบา้ น นกั เขียน นกั ข่าว ซ่ึง บุคคลเหล่าน้ีจะเป็นผอู้ านวยความสะดวกต่าง ๆ ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ 2. วสั ดุ (Materials) หมายถึง วตั ถุท่ีมีเน้ือหา บทเรียน หรือเน้ือหาสาระความรู้ลกั ษณะ ต่าง ๆ บรรจุอยใู่ นรูปแบบของวสั ดุการศึกษามีคอ่ นขา้ งหลากหลาย ข้ึนอยกู่ บั ผสู้ อนจะเลือกใช้ เลือกผลิตใหส้ อดคลอ้ งกบั บทเรียน และเหมาะกบั ผเู้ รียน เช่น สื่อส่ิงพมิ พ์ แผน่ โปร่งใส แผน่ สไลด์ ซีดี มว้ นวดี ิ ทศั น์ เทปบนั ทึกเสียง วสั ดุอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ 3. อาคารสถานที่ (Settings) หมายถึง บา้ นเรือน ตวั ตึก ที่วา่ ง สนามหญา้ สิ่งแวดลอ้ มที่เกี่ยวขอ้ งกบั ขอ้ 1 ขอ้ 2 และผเู้ รียน เช่น หอ้ งสมุด พิพิธภณั ฑ์ สถานที่ทางประวตั ิศาสตร์ โรงงาน สนามฟุตบอล เป็นตน้ 4. เครื่องมือและอุปกรณ์ (Tools and Equipment) ไดแ้ ก่ เคร่ืองมือ เครื่องใชต้ า่ ง ๆ ที่ช่วยในการผลิตหรือ ใชร้ ่วมกบั ส่วนอื่น ๆ ในการเรียนการสอน เช่น เคร่ืองฉายภาพขา้ มศีรษะ เครื่องคอมพิวเตอร์ เคร่ืองฉายโปรเจค็ เตอร์ เครื่องฉายสไลด์ เป็นตน้ 5. กิจกรรม (Activity) เป็นเทคนิควธิ ีการพิเศษที่จดั ข้ึนเพ่ือผลในการเรียนการสอนในรูปแบบของ กิจกรรมโดยไม่มีขอ้ กาหนดที่ตายตวั ข้ึนอยกู่ บั จุดประสงคท์ ่ีผสู้ อนต้งั ข้ึน เช่น การเรียนการสอนโดยใชเ้ กม การ ใชส้ ถานการณ์จาลอง การจดั นิทรรศการ การทศั นศึกษา กล่าวโดยสรุป ส่ือการเรียนรู้หรือสื่อประสมเพ่อื การเรียนรู้ในงานอุตสาหกรรม หมายถึง การใชส้ ่ือ หลายอยา่ งร่วมกนั ไดแ้ ก่ ตวั อกั ษร ขอ้ ความ ภาพถ่าย ภาพกราฟิ ก ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทศั น์ ภาพแอนิเมชนั่ และเสียงโดยใชค้ อมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ในการนาเสนอ ควบคุมโปรแกรมมลั ติมีเดียและใชใ้ นลกั ษณะ “ส่ือประสมเชิงโตต้ อบ” (Interactive multimedia) ท่ีผใู้ ช้ สามารถมีปฏิสมั พนั ธ์โตต้ อบกบั สื่อรวมท้งั ใชร้ ่วมกบั สื่อประเภทอุปกรณ์ เทคนิควธิ ีการและICT เพอื่ ใชป้ ระกอบการเรียนการสอน การฝึกอบรม สนบั สนุนการเรียนรู้

และการศึกษารายบุคคลตามความถนดั และความสนใจในสาขาวชิ าไฟฟ้ าและอิเล็กทรอนิกส์ใหม้ ีประสิทธิภาพ มากยง่ิ ข้ึน นวตั กรรมการศึกษาและเทคโนโลยกี ารศึกษา เป็นท่ีทราบกนั ดีวา่ พฒั นาการดา้ นเทคโนโลยตี ้งั แตอ่ ดีตจนถึงปัจจุบนั มีการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว ทาใหม้ ีแนวคิดและสิ่งประดิษฐใ์ หม่ ๆ เกิดข้ึนมากมาย ซ่ึงนบั เป็นนวตั กรรมที่ไดจ้ ากการคิดคน้ ของมนุษยเ์ พ่ือ นามาใชป้ ระโยชน์ในวงการต่าง ๆ (กิดานนั ท์ มลิทอง, 2548, หนา้ 18-19) นวตั กรรม เป็ นแนวคิด การปฏิบตั ิ หรือสิ่งประดิษฐใ์ หม่ ๆ ที่ยงั ไมเ่ คยมีใชม้ าก่อน หรือเป็นการพฒั นา ดดั แปลงจากของเดิมท่ีมีอยแู่ ลว้ ใหท้ นั สมยั และใชไ้ ดผ้ ลดียงิ่ ข้ึน การนานวตั กรรมมาใชจ้ ะช่วยใหก้ ารทางานน้นั ไดผ้ ลดี มีประสิทธิภาพ และมีประสิทธิผลสูงกวา่ เดิม ท้งั ยงั ช่วยประหยดั เวลาและแรงงานไดด้ ว้ ย การนานวตั กรรมมาใชใ้ นวงการศึกษา เรียกวา่ “นวตั กรรมการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง นวตั กรรมที่ช่วยใหก้ ารศึกษาและการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียง่ิ ข้ึน ผเู้ รียนสามารถเกิดการ เรียนรู้ไดอ้ ยา่ งรวดเร็วมีประสิทธิภาพสูงกวา่ เดิม เกิดแรงจงู ใจในการเรียนดว้ ยนวตั กรรมเหล่าน้นั ท้งั ยงั ประหยดั เวลาในการเรียนไดอ้ ีกดว้ ย ในปัจจุบนั มีการใชน้ วตั กรรมการศึกษามากมายหลายอยา่ ง ซ่ึงมีท้งั นวตั กรรมท่ีใชก้ นั แพร่หลายแลว้ และที่กาลงั เผยแพร่ เช่น - บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในลกั ษณะส่ือหลายมิติลรรจุลงแผน่ ซีดี/ดีวดี ี หรือนาเสนอบนเวบ็ ไซต์ บนอินเทอร์เน็ต - การใชเ้ ครื่องวชิ วลไลเซอร์ (visualizer) เพอ่ื เสนอเน้ือหาบทเรียนจากสิ่งพิมพแ์ ละแผน่ โปร่งใส แทน การใชเ้ ครื่องฉายภาพทึบแสงและเคร่ืองฉายภาพขา้ มศีรษะ ท้งั ยงั สามารถใชเ้ ป็นกลอ้ งถ่ายภาพเคลื่อนไหวภายใน หอ้ งเรียนไดด้ ว้ ย - การใชเ้ คร่ืองฉายโปรเจค็ เตอร์ ถ่ายทอดเน้ือหาบทเรียนจากคอมพวิ เตอร์ข้ึนจอภาพขนาดใหญ่เพื่อให้ สามารถเห็นไดอ้ ยา่ งทวั่ ถึงภายในหอ้ ง - อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษาในลกั ษณะการสอนบนเวบ็ การสืบคน้ ขอ้ มลู ฯลฯ - การเรียนการสอนผา่ นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (e-learning) แบบประสานเวลาและ ไม่ประสานเวลา - ความเป็นจริงเสมือนเพอ่ื การศึกษาในการสารวจ การสร้างและใชม้ โนทศั น์ดา้ นนามธรรม เช่น การจดั แปลนหอ้ งในดา้ นสถาปัตยกรรม ฯลฯ - การเรียนการสอนทางไกลโดยใชเ้ ทคโนโลยกี ารสื่อสาร

- การใช้ Google Apps เพือ่ การเรียนการสอน การใชเ้ ทคโนโลยบี นกอ้ นเมฆ (Could Technology) การ พฒั นาสื่อการเรียนรู้สามมิติเสมือนจริงแบบมีปฏิสมั พนั ธ์โดยใชเ้ ทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ฯลฯ จะเห็นไดว้ า่ นวตั กรรมการศึกษาเหล่าน้ีมีท้งั รูปแบบของวสั ดุ อุปกรณ์ และวธิ ีการเพื่อนามาใชใ้ นการ เรียนการสอนหรือการฝึกอบรม ซ่ึงกค็ ือการนาเทคโนโลยสี มยั ใหม่มาใชใ้ นวงการศึกษานน่ั เอง เมื่อนานวตั กรรม การศึกษาเหล่าน้ีมาใชแ้ ละเป็นท่ียอมรับกนั อยา่ งกวา้ งขวางแลว้ จะเรียกวา่ เป็ นเทคโนโลยกี ารศึกษา (Educational Technology) เอกสารอ้างองิ กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544) ความรู้เก่ียวกบั ส่ือมลั ติมีเดียเพื่อการศึกษา เยาวลกั ษณ์ เตียรณบรรจง นนั ทวรรณ กฤตวทิ ย์ บรรณาธิการ, บุปผชาติ ทฬั หิกรณ์, สุกรี รอดโพธ์ิทอง น.พ.ชยั เลิศ พิชิตพรชยั , และโสภาพรรณ แสงศพั ท์ ผเู้ ขียน กรุงเทพมหานคร โรงพมิ พ์ คุรุสภาลาดพร้าว. กิดานนั ท์ มลิทอง (2536) เทคโนโลยีการศึกษาร่วมสมยั พมิ พค์ ร้ังที่ 2 กรุงเทพมหานคร: บริษทั เอดิสัน เพรส โพรดกั ส์ จากดั . กิดานนั ท์ มลิทอง (2544) สื่อการสอนและฝึ กอบรม: จากสื่อพืน้ ฐานถึงสื่อดิจิทัล กรุงเทพมหานคร: หา้ ง หุน้ ส่วนจากดั อรุณการพิมพ.์ กิดานนั ท์ มลิทอง (2548) เทคโนโลยีและการส่ือสารเพ่ือการศึกษา กรุงเทพมหานคร: หา้ งหุน้ ส่วนจากดั อรุณการพิมพ.์ ลดั ดา ศุขปรีดี (2546) การสื่อสารทางการเรียนการสอน วารสารศึกษาศาสตร์ ปี ที 15 ฉบบั ท่ี 1 เดือนมิถุนายน – ตุลาคม ชลบุรี คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา. วภิ า อุตมฉนั ท์ (2544) การผลิตสื่อโทรทัศน์และสื่อคอมพิวเตอร์ : กระบวนการสร้างสรรค์และ เทคนิคการผลิต (ฉบับปรับปรุงใหม่) พิมพค์ ร้ังที่ 2 บริษทั บุค๊ พอยท์ จากดั . สมสิทธ์ิ จิตรสถาพร (2547) สื่อการสอน (Educational Media or Educational Instruction) เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.cybergogy.com/somsit/400202EdTechnology/400202ReviewLectureNote.htm

Dale, Edgar. (1969) Audio-Visual Methods in Teaching. 3rd ed. New York: Holt, Renehart and Winston. De Kieffer, Robert E. (1993) Audio-visual instruction. New York: The Center for Applied Research in Education, Inc. Ely, D.P. (1972) The Field of Educational Technology: A Statement of Definition. Audiovisual Instruction. (October, 1972), 36-43. Judy Lever-Duffy, and Jean B. McDonald (2009) Teaching and Learning with Technology (Third Edition) Pearson Education, Inc. Robert Heinich, Michael Molenda, James D. Russell and Sharon E. Smaldino (2002) Instructional media and technologies Seventh Edition N.J.: Merrill Prentice Hall., Inc.

การพฒั นาส่ือการสอน การพฒั นาส่ือการสอนถือไดว้ า่ เป็นข้นั ตอนที่มีความสาคญั อยา่ งยง่ิ เพราะเป็นกระบวนการที่จะตอ้ ง พฒั นาโปรแกรมหรือสร้างชิ้นงานสื่อการสอนใหส้ าเร็จตามวตั ถุประสงคด์ า้ นการเรียนการสอนท่ีกาหนดไว้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ การพฒั นาส่ือการเรียนการสอนใหด้ ีมีประสิทธิภาพ ไม่ไดเ้ กิดจากความสามารถของ องคป์ ระกอบใดองคป์ ระกอบหน่ึงแต่เพยี งอยา่ งเดียว ส่ือการสอนที่มีความสวยงาม มีเทคนิคพิเศษแพรวพราว ต่ืนตาเร้าใจ แตไ่ มไ่ ดท้ าใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้อยา่ งแทจ้ ริง ความเป็นสื่อการสอนก็จะลดคุณค่าลง หลกั การ สาคญั ซ่ึงเป็นที่ยอมรับในการสร้างและพฒั นาส่ือการสอนอยา่ งมีประสิทธิภาพ คือ การออกแบบการเรียนการ สอน ซ่ึงเป็นหลกั การสากลที่ไดร้ ับการยอมรับในการพฒั นาสื่อการสอนแทบทุกประเภท ดงั ไดก้ ล่าวมาแลว้ วา่ กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนจะประกอบดว้ ยกระบวนการต่าง ๆ เพ่ือ เป็นแนวทางไปสู่ความสาเร็จในการเรียนการสอนตามท่ีต้งั จุดมุง่ หมายไว้ หลกั การออกแบบการเรียนการสอน ประกอบดว้ ยกระบวนการ 5 ข้นั ตอน ไดแ้ ก่ การวเิ คราะห์ (Analysis) การออกแบบ (Design) การพฒั นา (Development) การนาไปใช้ (Implementation) การประเมินผล (Evaluation) (Seels and Richey, 1994, กิดานนั ท์ มลิทอง, 2548, หนา้ 87, McGriff, 2000, และกรมวชิ าการ, 2546, หนา้ 84) ข้นั ท่ี 1 การวเิ คราะห์ การวเิ คราะห์คือข้นั ตอนแรกท่ีจาเป็นตอ้ งทาในการพฒั นาส่ือการสอน สิ่งที่จาเป็นในการวเิ คราะห์ ไดแ้ ก่ วเิ คราะห์ความตอ้ งการจาเป็ น (Need Assessment) เป็นการวเิ คราะห์หาความจาเป็นท่ีตอ้ งทาใหผ้ เู้ รียน เกิดการเรียนรู้ หาโดยการเปรียบเทียบความแตกตา่ งระหวา่ ง สิ่งทค่ี าดหวงั ที่ตอ้ งการใหเ้ กิดกบั ผเู้ รียน ซ่ึงส่วน ใหญ่แลว้ ครูมกั จะดูจากจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ กบั สภาพทป่ี รากฏจริงในปัจจุบนั ถา้ สภาพท่ีปรากฏไม่เป็นไป ตามสิ่งท่ีคาดหวงั ก็แสดงวา่ มีความจาเป็นท่ีจะตอ้ งแกป้ ัญหา วเิ คราะห์ผเู้ รียน เป็นการวเิ คราะห์ลกั ษณะของผเู้ รียนวา่ มีลกั ษณะอยา่ งไร สิ่งท่ีวเิ คราะห์ เช่น ความรู้พ้นื ฐาน รูปแบบการเรียนรู้ เชาวป์ ัญญา ความถนดั ภมู ิหลงั ฯลฯ

วเิ คราะห์สภาพแวดลอ้ ม เศรษฐกิจ สงั คม เพื่อใหถ้ ึงจุดเด่น จุดดอ้ ย โอกาสและขอ้ จากดั วเิ คราะห์เน้ือหา เพ่ือวเิ คราะห์ดูวา่ การท่ีจะใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดหมายจะตอ้ งนาเน้ือหาอะไรมา จดั การเรียนการสอนบา้ ง และควรสอนเรียงลาดบั เน้ือหาอยา่ งไร วเิ คราะห์การสอน เม่ือทาการวเิ คราะห์เน้ือหาเรียบร้อยแลว้ กจ็ ะนาขอ้ มูลที่ไดน้ ้นั มาใชว้ เิ คราะห์การสอน วา่ จะทาการสอนอยา่ งไร มีลาดบั ข้นั การเสนอเน้ือหาบทเรียนหรือวธิ ีการปฏิบตั ิอยา่ งไรบา้ ง ควรใชร้ ูปแบบการ เรียนแบบใด เช่น การแกป้ ัญหา การเรียนรู้ร่วมกนั การคน้ พบ ฯลฯ ควรใชส้ ่ือการสอนอะไรบา้ ง มีการบริหาร คอร์สวชิ าอยา่ งไร ท้งั น้ีเพ่อื ใหก้ ารสอนเป็นไปไดอ้ ยา่ งราบรื่นและผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งครบถว้ น ตามท่ีต้งั วตั ถุประสงคไ์ ว้ (กิดานนั ท์ มลิทอง, 2548, หนา้ 89) ข้นั ที่ 2 การออกแบบ กาหนดจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ใหเ้ ขียนเป็นจุดประสงคท์ ่ีสามารถวดั ไดอ้ ยา่ งชดั เจน (จุดประสงคเ์ ชิง พฤติกรรม) จากน้นั ใหด้ าเนินการวเิ คราะห์ภารกิจ (Task Analysis) เป็นการวเิ คราะห์วา่ การที่จะทาใหผ้ เู้ รียนบรรลุวตั ถุประสงคก์ ารเรียนรู้ที่กาหนดน้นั ผเู้ รียนจะตอ้ งมี ความสามารถอะไรบา้ ง และเป็นลาดบั ข้นั อยา่ งไร ลกั ษณะคลา้ ยกบั จุดประสงคน์ าทาง ซ่ึงช่วยเป็นแนวทางใหผ้ อู้ อกแบบทราบวา่ จะเร่ิมตน้ ที่ใดและจะไปทางใด กาหนดรูปแบบการสอน ผอู้ อกแบบจะตอ้ งพจิ ารณาวา่ การท่ีจะทาใหผ้ เู้ รียนบรรลุตามภารกิจ (Task) ท่ี กาหนดไวแ้ ตล่ ะขอ้ จะตอ้ งใชร้ ูปแบบการสอนแบบใด กาหนดส่ือที่จะนาสาระการเรียนรู้ไปสู่ผเู้ รียน หลงั จากท่ีวเิ คราะห์ส่ิงตา่ ง ๆ มาแลว้ กาหนดจุดประสงค์ การเรียนรู้และกาหนดรูปแบบการสอนเรียบร้อยแลว้ กพ็ จิ ารณาวา่ ควรจะใชส้ ่ืออะไรที่จะทาใหผ้ เู้ รียนเกิดการ เรียนรู้ไดด้ ีท่ีสุดซ่ึงอาจจะเป็ นบทเรียนคอมพวิ เตอร์ช่วยสอน การสอนบนเวบ็ ส่ือมลั ติมีเดีย หรือสื่ออื่น ๆ ท่ีช่วย เสริมและสนบั สนุนใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดด้ ีที่สุด ออกแบบส่ือหรือกิจกรรม เม่ือเห็นวา่ การใชส้ ื่อตา่ ง ๆ จะทาใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดด้ ีในสถานการณ์ น้นั ๆ ผอู้ อกแบบตอ้ งคิดต่อไปอีกวา่ ในส่ือมลั ติมีเดียน้นั จะตอ้ งมีสื่อ วธิ ีการ หรือกิจกรรมอะไรบา้ ง เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว วดี ิทศั น์ การตอบคาถาม การสืบคน้ ขอ้ มลู การอภิปราย ฯลฯ ในข้นั น้ีอาจใหผ้ เู้ ชี่ยวชาญดา้ นการ สอนช่วยตรวจสอบและใหค้ าแนะนาก็จะช่วยใหส้ มบรู ณ์ยง่ิ ข้ึน กาหนดเกณฑแ์ ละวธิ ีการประเมินผล เนน้ การประเมินผลตามสภาพจริง โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งเป็นการวดั และประเมินดว้ ยขอ้ สอบเท่าน้นั

จดั ทาโครงสร้างเน้ือหาและกิจกรรม เม่ือมีขอ้ มลู เก่ียวกบั เน้ือหาและกิจกรรมพร้อมแลว้ ก็มาถึงการ กาหนดโครงสร้างหลกั ของบทเรียน คือใหจ้ ดั กลุ่มเน้ือหาและกิจกรรมที่แสดงถึงลาดบั ช้นั ของหวั ขอ้ ยอ่ ยโดย เขียนเป็นหวั ขอ้ ใหญแ่ ละหวั ขอ้ ยอ่ ยเรียงลาดบั ลงมา ใชก้ ารยอ่ ยหนา้ และตวั เลขกากบั กจ็ ะทาใหม้ องเห็นชดั เจน ข้ึน จดั ทาแผนผงั โครงสร้างของขอ้ มลู ข้นั น้ีใหน้ าโครงสร้างมาจดั ทาเป็นแผนผงั โครงสร้างของขอ้ มูลโดย ใชก้ ราฟิ ก เป็ นแผนผงั ที่แสดงภาพรวมท้งั หมดซ่ึงจะเห็นโครงสร้างเน้ือหาและกิจกรรมเป็นลาดบั ช้นั และเห็น การเชื่อมโยงแต่ละส่วนอยา่ งชดั เจน วางแนวทางการเคล่ือนที่ภายในซ่ึงแสดงถึงทิศทางการเช่ือมโยงของเน้ือหาต่าง ๆ การเขา้ ถึงเน้ือหาและกิจกรรมยอ่ ย ๆ ซ่ึงอาจเขียนใหอ้ ยใู่ นรูปของ Flowchart ข้นั ที่ 3 การพฒั นา ข้นั ตอนการพฒั นาหรือการผลิตสื่อการสอน โดยปกติแลว้ ผสู้ อนสามารถดาเนินการผลิตส่ือดว้ ยตนเอง หรืออาจใหผ้ อู้ ่ืนช่วยก็ได้ ซ่ึงหากเป็นกรณีหลงั ผสู้ อนจาเป็นตอ้ งประสานงานอยา่ งใกลช้ ิดกบั นกั เทคโนโลยที าง การศึกษาในการผลิตสื่อเพ่ือใชใ้ นการเรียนการสอนตามท่ีออกแบบไว้ การพฒั นาสื่อการสอนสามารถดาเนินการ ตามข้นั ตอน ดงั น้ี จดั ทา Storyboard ที่แสดงรายละเอียดหรือเร่ืองหรือเน้ือหาของส่ือท่ีจะผลิต เสมือนกบั เป็นโครงเร่ืองซ่ึง แสดงขอ้ มูลคร่าว ๆ เก่ียวกบั รูปภาพประกอบ หวั ขอ้ เน้ือหาและกิจกรรม เสียง วดี ิทศั น์ ฯลฯ สร้างส่ือตา่ ง ๆ ที่จะนามาใชใ้ นตามแนวทางที่ไดอ้ อกแบบไว้ เช่น สร้างงานกราฟิ ก การบนั ทึกเสียง การถ่ายทาและตดั ตอ่ วดี ิทศั น์ ฯลฯ ทดสอบสื่อ ผสู้ ร้างจะตอ้ งเป็ นผทู้ ดสอบการใชส้ ่ือดว้ ยตนเองก่อน หรืออาจนาไปใหค้ รู ท่านอ่ืนช่วยตรวจสอบความถูกตอ้ งการทางานของส่ือ ประเมินประสิทธิภาพของส่ือที่สร้างข้ึน โดยการใหผ้ เู้ ช่ียวชาญตรวจสอบในเรื่องโครงสร้างของ บทเรียน และนาไปทดลองใชจ้ ริงกบั ผเู้ รียนเป็ นรายบุคคล กลุ่มเล็ก และกลุ่มใหญ่ ข้นั ท่ี 4 การนาไปใช้ หลงั จากประเมินประสิทธิภาพของสื่อในข้นั ตน้ และไดป้ รับปรุงแกไ้ ขจนมีประสิทธิภาพแลว้ จึงนาส่ือ การเรียนการสอนไปใชจ้ ริงตามแผนการจดั การเรียนรู้ที่กาหนดไว้

ข้นั ที่ 5 การประเมินผล การประเมินผลสื่อการสอนเป็นการประเมินจากการนาไปใชใ้ นสถานการณ์จริงท้งั ระหวา่ งการท่ีผเู้ รียน กาลงั เรียนกบั ส่ือ และหลงั จากท่ีผเู้ รียนเรียนจบบทเรียนแลว้ ถา้ พบขอ้ บกพร่องผสู้ ร้างอาจตอ้ งยอ้ นกลบั ไปดู ต้งั แตข่ ้นั การวเิ คราะห์ การออกแบบ การพฒั นา การนาไปใช้ หรือแมแ้ ต่ในข้นั การประเมินก็ตอ้ งพจิ ารณาอีกคร้ัง ดว้ ย เพ่ือหาสาเหตุท่ีทาใหเ้ กิดขอ้ บกพร่อง ซ่ึงผลจากการประเมินจะนาไปใชใ้ นการปรับปรุงและพฒั นาส่ือการ สอนต่อไป เอกสารอ้างองิ กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546) การพฒั นาสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและเวบ็ ไซต์เพื่อการ System, เรียนรู้ที่มีคุณภาพ. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพอ์ งคก์ ารรับส่งสินคา้ และพสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.). Field. กิดานนั ท์ มลิทอง (2548) เทคโนโลยีและการสื่อสารเพื่อการศึกษา กรุงเทพมหานคร: หา้ งหุน้ ส่วนจากดั อรุณการพิมพ.์ McGriff, J.S. (2000) Instructional System Design (ISD): Using the ADDIE Model. Instructional Penn State University. Seels, B.B. and Richey, R.C. (1994) Instructional Technology: The Definition and Domains of the Washington D.C.: Assosiation for Educational Communications and Technology.

การประเมินผลส่ือการสอน การประเมินผลส่ือจะเป็นการพจิ ารณาคุณคา่ ของส่ือการสอนซ่ึงผา่ นการใชก้ บั ผเู้ รียน มาแลว้ วา่ ส่ือน้นั ๆ มีคุณคา่ ตอ่ การเรียนการสอนมากนอ้ ยเพียงไร สามารถวเิ คราะห์ปรับปรุงใหส้ ื่อ น้นั ๆมีประสิทธิภาพเพมิ่ ข้ึนไดห้ รือไม่เพียงไร และถา้ มีการปรับปรุงจะตอ้ งไดร้ ับการปรับปรุงใน จุดใด การประเมินผลสื่อจะมีลกั ษณะเป็นการวเิ คราะห์ผลของการวดั ผล โดยใชเ้ คร่ืองมือวดั ต่างๆ แลว้ นามาพิจารณาโดยอาศยั เกณฑเ์ พื่อตดั สินวา่ สื่อน้นั มีคุณค่าหรือไม่เพยี งใด ท้งั ยงั ช่วยใหก้ าร ปรับปรุงส่ือน้นั ไดต้ รงจุดที่บกพร่องอีกดว้ ย การประเมินผลสื่อการสอนจะตอ้ งพิจารณาใน 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ (ศิริพงศ์ พยอมแยม้ , 2533, หนา้ 106-111) 1. การประเมินคุณลกั ษณะของส่ือ ไดแ้ ก่ ดา้ นคุณภาพของตวั ส่ือน้นั โดยตรงวา่ ในทศั นะ ของผใู้ ชไ้ ดแ้ ก่ผสู้ อนและผเู้ รียนมีความคิดเห็นต่อส่ือน้นั อยา่ งไรในดา้ นต่างๆตอ่ ไปน้ี 1.1 ความถูกตอ้ งดา้ นเน้ือหาของสื่อ สามารถสร้างความเขา้ ใจใหแ้ ก่ผเู้ รียนไดเ้ พยี งไร 1.2 ดา้ นคุณภาพทางเทคนิคของสื่อ ไดแ้ ก่ ขนาดของสื่อเหมาะสมกบั ผเู้ รียนหรือไม่ การใชส้ ี ความชดั เจน เสียงมีความดงั เหมาะสมหรือไม่ 1.3 ความรู้สึกพงึ พอใจต่อการใชส้ ่ือของผสู้ อนและผเู้ รียน สาหรับเครื่องมือและวธิ ีการท่ีใช้ ในการประเมินคุณลกั ษณะของสื่อน้นั อาจใชเ้ คร่ืองมือและวธิ ีการต่างๆ ดงั น้ี ก. การสมั ภาษณ์ ท้งั จากผสู้ อนและผเู้ รียนถึงทศั นคติที่มีต่อสื่อ ข. การสังเกตในระหวา่ งการใชส้ ื่อ ค. การใชแ้ บบสอบถามความคิดเห็นและขอ้ เสนอแนะจากผใู้ ชส้ ื่อ สิ่งท่ีจะตอ้ งพจิ ารณาในการประเมินผลสื่อ คือการวางเกณฑส์ าหรับประเมินผลส่ือการสอน ซ่ึงผปู้ ระเมินจะตอ้ งต้งั คาถามเพอื่ ที่จะวดั ผลในลกั ษณะตอ่ ไปน้ี (Kemp, 1975, p.65-66, อา้ งอิงมา จาก ศิริพงศ์ พยอมแยม้ , 2533 หนา้ 106) 1. สื่อน้นั สามารถสนองต่อจุดประสงคข์ องการเรียนการสอนเป็ นที่น่าพอใจหรือไม่ 2. การนาเสนอส่ือเป็ นไปอยา่ งต่อเนื่องอยา่ งราบรื่นระหวา่ งตวั ส่ือกบั เน้ือหาในแตล่ ะ ข้นั ตอนหรือไม่ 3. ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งตวั ส่ือกบั คาบรรยายเป็นไปอยา่ งดีหรือไม่ 4. ตวั สื่อมีความยาวเกินไปและตอ้ งการตดั ทอนหรือไม่ 5. หลงั จากการใชส้ ่ือจบลงแลว้ สาระที่สาคญั ถูกตดั หายไปหรือไม่ 6. การเพม่ิ เติมส่ืออื่นๆ อีกสามารถกระทาไดห้ รือไม่ 7. คุณภาพทางเทคนิคของส่ือน้นั ๆ ดีหรือไม่

2. การประเมินประสิทธิภาพการเรียนรู้จากสื่อ นอกจากจะพจิ ารณาถึงความเหมาะสมดา้ น คุณลกั ษณะของส่ือแลว้ ผสู้ ร้างสื่อยงั ตอ้ งพจิ ารณาถึงประสิทธิผลการเรียนรู้ (ผลสมั ฤทธ์ิทางการ เรียน) จากการใชส้ ื่อที่มีต่อผเู้ รียนอีกดว้ ย เพราะเป้ าหมายหลกั ของการใชส้ ่ือกเ็ พ่ือใหบ้ รรลุ จุดประสงคข์ องการเรียนการสอน การหาประสิทธิภาพของส่ือจะช่วยใหผ้ ใู้ ชส้ ื่อบงั เกิดความมน่ั ใจ ต่อการใชส้ ่ือน้นั ๆ วา่ จะเกิดประโยชนแ์ ก่ผเู้ รียนอยา่ งแทจ้ ริง เกณฑใ์ นการหาประสิทธิภาพของสื่อ อาจใชไ้ ด้ 2 ลกั ษณะ ดงั น้ี 1. การใชม้ าตรฐานร้อยละของกิจกรรมต่อร้อยละของคะแนนทดสอบหลงั เรียน เกณฑท์ ี่ นิยมใชก้ บั ส่ือประเภทบทเรียนโปรแกรม, คอมพิวเตอร์ช่วยสอน, การสอนบนเวบ็ เน่ืองจากไดม้ ี การกาหนดกิจกรรมตามจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมยอ่ ยทาใหส้ ามารถกาหนดสูตรเป็น E1/E2 หรือ ประสิทธิภาพของกระบวนการและประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ การท่ีกาหนดวา่ E1/E2 มีค่าเทา่ ใดน้นั แลว้ แตผ่ ผู้ ลิตสื่อจะพิจารณา โดยปกติสาหรับวชิ าเน้ือหามกั จะต้งั ไวท้ ่ีระดบั 80/80 ถึง 90/90 และ สาหรับวชิ าทกั ษะอาจต้งั ไวท้ ่ีระดบั 75/75 สูตร E1/E2 E1 =  X 100 N E1 = A X = A= ประสิทธิภาพของกระบวนการ คะแนนรวมของแบบฝึกหดั ในกิจกรรมท่ีผเู้ รียนไดร้ ับ คะแนนเตม็ ของแบบฝึกหดั N = จานวนผเู้ รียน E2 = F 100 N E2 = B F= ประสิทธิภาพของผลลพั ธ์ คะแนนรวมของผลลพั ธ์ B = คะแนนเตม็ ของการสอบหลงั เรียน N = จานวนผเู้ รียน ในกรณีท่ีเป็นการประเมินผลส่ือสาหรับการปรับปรุงการผลิตส่ือ ผผู้ ลิตควรดาเนินการการ ทดลองสื่อเป็น 3 ข้นั ตอนไดแ้ ก่ 1. ทดลองสื่อกบั ผเู้ รียนรายบุคคล (Individual Tryout) หรือหน่ึงต่อหน่ึง (1:1) เพือ่ หา ประสิทธิภาพและปรับปรุงส่ือ 2. ทดลองส่ือกบั ผเู้ รียนกลุ่มยอ่ ย (Group Tryout) ประมาณผเู้ รียน 6-10 คน เพือ่ หา ประสิทธิภาพและปรับปรุงใหด้ ีข้ึน

3. ทดลองส่ือกบั ผเู้ รียนกลุ่มใหญ่ (Field Tryout) กบั ผเู้ รียน 40-100 คน เพื่อนาผลจากการ ทดลองไปใชจ้ ริง 2. เกณฑใ์ นการหาประสิทธิภาพของสื่อลกั ษณะท่ีสองไดแ้ ก่ การทดสอบทางสถิติ หมายถึงการทดสอบเพอื่ เปรียบเทียบผลความแตกตา่ งระหวา่ งคะแนนก่อนเรียน และคะแนน หลงั เรียนดว้ ยสื่อการเรียนการสอน ในการตรวจสอบระดบั ความเชื่อมน่ั ทางสถิติระหวา่ งคะแนน ก่อนเรียนและหลงั เรียนน้ีนิยมใชส้ ถิติ t-test สูตรการหาคา่ t-test (พวงรัตน์ ทวรี ัตน,์ 2538, หนา้ 165) t= D n D2  ( D)2 n 1 t= ค่าสถิติ t-test ความแตกต่างระหวา่ งคะแนนทดสอบหลงั เรียนกบั ทดสอบก่อนเรียน D= ผลรวมของ D ผลรวมความแตกตา่ งของคะแนนยกกาลงั สอง D = จานวนผเู้ รียน D2 = N= นอกจากน้ี เมื่อนาส่ือมาใชใ้ นการเรียนการสอนแลว้ ผสู้ อนควรจะตอ้ งมีการวเิ คราะห์ เช่นกนั วา่ มีการใชส้ ่ืออยา่ งเหมาะสม และเป็นไปตามวตั ถุประสงคท์ ี่ต้งั ไวห้ รือไม่ ดงั น้นั จึงควรตอ้ ง มีการประเมินการใชส้ ื่อการเรียนการสอนตามข้นั ตอนตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. ประเมินการวางแผนการใชส้ ่ือ เพอ่ื ดูวา่ ส่ิงต่าง ๆ ที่วางไวส้ ามารถดาเนินไปตามแผน หรือไม่ หรือเป็นไปเพียงตามหลกั การทฤษฎีแตไ่ ม่สามารถปฏิบตั ิไดจ้ ริง จึงตอ้ งเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ไว้ เพอื่ การแกไ้ ขปรับปรุงในการวางแผนคร้ังต่อไป 2. ประเมินกระบวนการการใชส้ ื่อ เพือ่ ดูวา่ การใชส้ ื่อในแต่ละข้นั ตอนประสบปัญหาหรือ อุปสรรคอยา่ งไรบา้ ง มีสาเหตุมาจากอะไรและมีการเตรียมการป้ องกนั ไวห้ รือไม่ 3. ประเมินผลท่ีไดจ้ ากการใชส้ ่ือ เป็นผลที่เกิดข้ึนกบั ผเู้ รียนโดยตรงวา่ เม่ือเรียนแลว้ ผเู้ รียน สามารถบรรลุวตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมที่ต้งั ไวห้ รือไม่ และผลที่ไดน้ ้นั เป็นไปตามเกณฑห์ รือ ต่ากวา่ เกณฑ์ (กิดานนั ท์ มลิทอง, 2546, หนา้ 93)

เอกสารอ้างองิ กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544) ความรู้เกี่ยวกบั ส่ือมลั ติมีเดียเพื่อการศึกษา เยาวลกั ษณ์ เตียรณบรรจง นนั ทวรรณ กฤตวทิ ย์ บรรณาธิการ, บุปผชาติ ทฬั หิกรณ์, สุกรี รอดโพธ์ิทอง น.พ.ชยั เลิศ พิชิตพรชยั , และโสภาพรรณ แสงศพั ท์ ผเู้ ขียน กรุงเทพมหานคร โรงพมิ พ์ คุรุสภาลาดพร้าว. กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ (2546) การพัฒนาส่ือคอมพิวเตอร์ช่วยสอนและเวบ็ ไซต์เพ่ือการ เรียนรู้ท่ีมีคุณภาพ. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพอ์ งคก์ ารรับส่งสินคา้ และพสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.). กิดานนั ท์ มลิทอง (2546) เทคโนโลยีการศึกษา:สื่อการเรียนการสอน กรุงเทพมหานคร: ศูนยพ์ ฒั นา หนงั สือ, กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ กิดานนั ท์ มลิทอง (2548) เทคโนโลยีและการส่ือสารเพ่ือการศึกษา กรุงเทพมหานคร: หา้ งหุน้ ส่วนจากดั อรุณการพิมพ.์ พวงรัตน์ ทวรี ัตน์ (2538) วิธีการวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ (พมิ พค์ ร้ังที่ 6) กรุงเทพมหานคร: สานกั ทดสอบทางการศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ประสานมิตร ศิริพงศ์ พยอมแยม้ (2533) การเลือกและการใช้สื่อการเรียนการสอน กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพ์ โอเดียนสโตร์.

จดั ทำโดย ผศ.ดร.ดสุ ิต ขำวเหลือง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook