คำสัง่ สพฐ. 293/2551 6. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ( 8 ข้อ ) โรงเรยี นตน้ แบบ มุ่งพฒั นาผู้เรียนให้มีคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ เพ่ือให้สามารถอยู่ร่วมกับ ปีการศึกษา 2552 ใช้ ป.1-ป.6 , ม.1 , ม.4 ผูอ้ นื่ ในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะพลเมอื งไทยและพลโลก ปกี ารศึกษา 2553 ใช้ ป.1-ป.6 , ม.1 , ม.2 ,ม.4 , ม.5 1. รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 2. ซ่ือสตั ย์ สจุ ริต ปีการศกึ ษา 2554 ทุกชนั้ เรียน 3. มวี ินยั 4. ใฝเ่ รียนรู้ โรงเรยี นทวั่ ไป 5. อย่อู ย่างพอเพียง 6. มุง่ มน่ั ในการทางาน ปีการศกึ ษา 2553 ใช้ ป.1-ป.6 , ม.1 , ม.4 7. รักความเปน็ ไทย 8. มจี ติ สาธารณะ ปกี ารศึกษา 2554 ใช้ ป.1-ป.6 , ม.1 , ม.2 ,ม.4 , ม.5 7. มำตรฐำนกำรเรียนรู้ 8 กลุม่ สำระกำรเรียนรู้ 67 มำตรฐำน ปีการศกึ ษา 2555 ทกุ ชั้นเรียน การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคานึงถึงหลักพัฒนาการทาง สั่ง ณ วนั ที่ 11 กรกฎำคม พ.ศ. 2551 สมชำย วงศส์ วัสด์ิ รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงศึกษำธิกำร ลงนำม สมอง และพหุปัญญา 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ ( … สาระ ….มาตรฐาน) 2. วสิ ัยทัศน์ 1. ภาษาไทย 5 , 5 2. คณิตศาสตร์ 6 , 14 มงุ่ พัฒนาผู้เรียนทุกคนซ่ึงเป็นกาลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ท่ีมีความสมดุล ท้งั ดา้ นร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจติ สานึกในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก 3. วิทยาศาสตร์ 8 , 13 4.สงั คมศึกษา 5 , 11 ฯ โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพ้ืนฐานความเช่ือว่าทุกคนสารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้เตม็ ศกั ยภาพ 5. สุขศึกษา 5 , 6 6. ศลิ ปะ 3 , 6 3. หลักกำร ( 6 ขอ้ ) 7. การงานอาชีพฯ 4 , 4 8. ภาษาตา่ งประเทศ 4 , 8 1. เปน็ หลกั สูตรการศึกษาเพอ่ื ความเปน็ เอกภาพของชาติ มีจุดหมายและ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้กาหนดมาตรฐานการเรียนรู้ เป็น มาตรฐานการเรยี นร้ฯู เปา้ หมายสาคัญของการพฒั นาคุณภาพผูเ้ รยี น 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพ่ือปวงชนฯ ท่ีประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับ การศกึ ษาอย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ มาตรฐานการเรยี นร้รู ะบุ ส่งิ ทผ่ี ูเ้ รียนพงึ รู้ พึงปฏิบัติได้ฯ ที่ต้องการให้เกิด 3. เป็นหลกั สูตรการศึกษาทีส่ นองการกระจายอานาจ ให้สังคมมีส่วนร่วม กับผ้เู รยี นเมอ่ื จบการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน ในการจดั การศึกษาฯ มาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนใหท้ ราบว่า ต้องการอะไร/สอนอะไร/สอน 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาทมี่ โี ครงสรา้ งยืดหยนุ่ 5. เป็นหลักสูตรการศกึ ษาทีเ่ นน้ ผู้เรยี นเป็นสาคัญ อยา่ งไร/ประเมนิ อย่างไร เป็นเครือ่ งมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพ 6. เปน็ หลักสูตรการศกึ ษาสาหรบั การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตาม อธั ยาศัยฯ สามารถเทยี บโอนผลการเรยี นรแู้ ละประสบการณ์ การศึกษา 4. จดุ หมำย ( 5 ขอ้ ) ระบบการตรวจสอบเพ่ือการประกันคุณภาพเป็นส่ิงสาคัญช่วยสะท้อน มุ่งพัฒนาผเู้ รยี นให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษา ภาพการจดั การศกึ ษา ต่อและประกอบอาชพี จงึ กาหนดใหเ้ ปน็ จุดมุ่งหมาย เพ่ือให้เกิดกับผู้เรียนเม่ือจบ การศึกษาขั้นพ้นื ฐาน 8. ตัวช้ีวัด ( 2 ประเภท ) ตัวชี้วัดระบสุ ่งิ ทผี่ ู้เรียนพึงรูแ้ ละพงึ ปฏบิ ตั ิได้ รวมทง้ั คณุ ลกั ษณะของผู้เรียน 1. มคี ุณธรรม จริยธรรม และคา่ นยิ มที่พึงประสงค์ฯ ยึดปรัชญาเศรษฐกิจ พอเพียง ในแตล่ ะระดับช้ัน ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจง เป็น 2. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสารถในการสื่อสาร การคิด การ รูปธรรม แกป้ ญั หา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชวี ติ นาไปใช้ในการกาหนดเน้ือหา จัดทาหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการ 3. มีสขุ ภาพกายและสุขภาพจติ ทด่ี ี มีสขุ นิสัย รักการออกกาลังกาย สอน และเป็นเกณฑ์สาคัญสาหรับการวัดและการประเมินผลเพ่ือตรวจสอบ 4. มคี วามรักชาติ มีจิตสานกึ ในความเปน็ พลเมืองไทยและพลโลก ฯ 5. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทยฯ อยู่ร่วมกันใน คณุ ภาพผ้เู รียน สังคมอย่างมีความสขุ 1. ตวั ชว้ี ัดช้นั ปี = ระดบั การศกึ ษาภาคบงั คบั ( ม.1 – ม.3 ) 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ( 5 ประกำร ) มุ่งพัฒนาผูเ้ รยี นใหม้ คี ณุ ภาพตามมาตรฐานการเรยี นรู้ 2. ตวั ชีว้ ัดชว่ งช้นั = ระดบั ชัน้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย ( ม.4 – ม.6 ) 1. ควำมสำรถในกำรส่ือสำร = ความสามารถในการรับและส่งสาร การ “ ว 1.1 ป.1/2“ ว กลุม่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ ใช้ภาษาถา่ ยทอดความคดิ ฯ การแลกเปล่ยี นขอ้ มลู รวมทัง้ การเจรจาต่อรองฯ 1.1 สาระท่ี 1 มาตรฐานขอ้ ที่ 1 2. ควำมสำรถในกำรคิด = ความสารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ การคิดอยา่ งสรา้ งสรรค์ การคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณฯ ป.1/2 ตัวชว้ี ดั ชัน้ ป.1 ขอ้ ที่ 2 3. ควำมสำรถในกำรแก้ปญั หำ = ความสารถในการแกป้ ญั หาบนพน้ื ฐาน “ ต 2.2 ม.4-6/2” ต กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ ของหลักเหตผุ ล 2.2 สาระที่ 2 มาตรฐานขอ้ ที่ 2 4. ควำมสำรถในกำรใช้ทักษะชีวิต = ความสารถในการนากระบวนการ ต่างๆไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ฯ ม.4 – ม.6/2 ตวั ชี้วัดชน้ั ม.ปลายข้อที่ 2 5. ควำมสำรถในกำรใช้เทคโนโลยี = ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 9. กิจกรรมพัฒนำผู้เรียน ( 3 ลกั ษณะ ) ดา้ นต่างๆ เพ่ือการพัฒนาตนเองและสังคม ฯ มุ่งใหผ้ ู้เรยี นไดพ้ ัฒนาตนเองตามศกั ยภาพ พัฒนาอย่างรอบด้านเพ่ือความ เป็นมนษุ ย์ท่ีสมบูรณ์ฯ เสริมสร้างให้เป็นผู้มีศีลธรรม ระเบียบ วินัย ปลูกฝังสร้าง จติ สานึกการทาประโยชนเ์ พ่อื สงั คม 1. กิจกรรมแนะแนว = เป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้เรียนรู้จัก ตนเอง รู้รักษ์ส่งิ แวดล้อม กาหนดเป้าหมาย วางแผนชวี ิตฯ ครูรู้จักเข้าใจผเู้ รียน 2. กจิ กรรมนกั เรยี น = เปน็ กจิ กรรมท่ีมุง่ พฒั นาความมรี ะเบียบวินัยความ เปน็ ผ้นู าผูต้ ามทีด่ คี วามรับผิดชอบ การทางานร่วมกนั 2.1 กจิ กรรมลกู เสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บาเพ็ญประโยชน์ นกั ศึกษาวิชาทหาร 2.2 กิจกรรมชมุ นมุ ชมรม 3. กิจกรรมเพ่ือสังคมและสำธำรณประโยชน์ = เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริม ใหผ้ ู้เรียนบาเพ็ญตนใหเ้ ป็นประโยชน์ตอ่ สงั คม ชมุ ชน ท้องถ่ิน
10. ระดบั กำรศกึ ษำ ( แบง่ เป็น 3 ระดับ ) 12. กำรจดั กำรเรยี นรู้ 1. ระดับประถมศกึ ษำ ( ช้นั ประถมศกึ ษำปีท่ี 1 – 6 ) 1. หลักกำรจัดกำรเรียนรู้ = เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถฯ โดยยึด มุ่งเน้นทักษะพื้นฐานด้านการอ่าน การเขียน การคิดคานวณฯ โดยเน้น หลกั ว่า ผ้เู รียนมีความสาคัญที่สุด เช่ือว่าทุกคนมีความสารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง จัดการเรียนรแู้ บบบูรณาการ 2. ระดบั มัธยมศกึ ษำตอนต้น ( ชนั้ มธั ยมศกึ ษำปีท่ี 1 – 3 ) ได้ ตอ้ งส่งเสรมิ ให้ผู้เรยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเตม็ ศกั ยภาพ มุ่งเน้นใหผ้ ู้เรยี นสารวจความถนัดและความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการ 2. กระบวนกำรเรียนรู้ = ต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายฯ พัฒนาบุคลิกภาพส่วนตนฯ ตลอดจนใช้เป็นพ้ืนฐานในการประกอบอาชีพหรือ การศกึ ษาต่อ ผสู้ อนตอ้ งศึกษาทาความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ เพ่ือเลือกใช้กระบวนการ 3. ระดบั มัธยมศกึ ษำตอนปลำย ( ชัน้ มธั ยมศกึ ษำปีที่ 4 – 6 ) จดั การเรียนรู้ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ เน้นการเพิ่มพูนความรู้และทักษะเฉพาะด้าน สนองตอบความสามารถ ความถนัดและความสนใจของผู้เรยี นท้ังด้านวิชาการและวิชาชพี 3. กระบวนกำรออกแบบกำรจัดกำรเรียนรู้ = ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตร 11. กำรจัดเวลำเรยี น สถานศกึ ษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตวั ชว้ี ัด สมรรถนะสาคัญ คุณลักษณะอัน หลักสูตรแกนกลางฯ ได้กาหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียนพ้ืนฐาน กลุ่ม พึงประสงค์ แล้วจงึ ออกแบบการเรยี นรู้ฯ สาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ซึ่งสถานศึกษาสารถ เพ่ิมเติมได้ตามความพร้อมและจุดเน้น โดยปรับให้เหมาะสมตามบริบทของ 4. บทบำทของผูส้ อนและผู้เรียน สถานศึกษาและสภาพของชมุ ชน 1. ระดับประถมศึกษำ ( ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 – 6 ) ผู้สอน ผู้เรยี น จดั เวลาเรียนเปน็ รายปี มเี วลาเรยี นวนั ละไม่นอ้ ยกวา่ 5 ช่ัวโมง - ศึกษาวิเคราะหผ์ ูเ้ รียนเป็นรายบคุ คลฯ - กาหนดเป้าหมายฯ ของตนเอง 2. ระดับมัธยมศึกษำตอนต้น ( ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 – 3 ) - กาหนดเปา้ หมายทตี่ อ้ งการใหเ้ กิดกบั ผเู้ รยี น - เสาะแสวงหาความรู้ ,คดิ หาคาตอบ จัดเวลาเรยี นเปน็ รายภาค มีเวลาเรยี นวนั ละไมน่ ้อยกวา่ 6 ช่วั โมง คดิ นา้ หนกั ของรายวชิ า เกณฑ์ 40 ชม./ภาคเรยี น เทา่ กบั 1 หน่วยกติ (นก) - ออกแบบการเรยี นรู้ - ลงมอื ปฏิบัตจิ รงิ /สรปุ สง่ิ ทไ่ี ด้เรียน 3. ระดับมธั ยมศึกษำตอนปลำย ( ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 4 – 6 ) - จัดบรรยากาศทเ่ี อ้อื ต่อการเรียนรู้ - มปี ฏสิ ัมพนั ธ์ ในการทางาน จัดเวลาเรยี นเป็น รายภาค มเี วลาเรียนวนั ละไมน่ อ้ ยกว่า 6 ชั่วโมง คิดนา้ หนกั ของรายวิชา เกณฑ์ 40 ชม./ภาคเรียน เทา่ กบั 1 หน่วยกิต (นก) - จัดเตรียมเลือกใช้สื่อให้เหมาะสม - ประเมินและพัฒนาตนเอง กำรกำหนดโครสร้ำงเวลำเรยี นพนื้ ฐำนและเพ่มิ เติม - ประเมินความกา้ วหน้าของผู้เรยี น เวลำเรียนพน้ื ฐำน o ระดับประถมศึกษา สามารถปรับเวลาเรียนพ้ืนฐานได้ตาม - วิเคราะหผ์ ลการประเมนิ ความเหมาะสม แตต่ ้องมเี วลาเรยี นตามทกี่ าหนดไวใ้ นโครงสรา้ งฯ o ระดับมัธยมศึกษา ให้เป็นไปตามที่กาหนดและสอดคล้องกับ 13. สือ่ กำรเรยี นรู้ เกณฑ์การจบหลกั สตู ร เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดกระบวนการเรียนรู้ฯ โดยผู้สอน เวลำเรยี นเพ่ิมเตมิ o ทั้งในระดับประถมและมัธยม ให้จัดเป็นรายวิชาเพ่ิมเติมหรือ และผู้เรียนสามรถร่วมกันจัดทาและพฒั นาขึ้นได้ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับความพร้อม จุดเน้น ส่งิ ท่ีต้องคำนงึ ถงึ คอื ความสอดคลอ้ งกับหลกั สูตร วัตถปุ ระสงคก์ ารเรียนรู้ ของสถานศึกษาและเกณฑ์การจบหลักสูตร เฉพาะระดับช้ัน ป.1 – ป.3 เน้นภาษาไทย คณติ ศาสตร์ การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ โดยมีหลกั การ ดังน้ี 1. จัดใหม้ ีแหลง่ การเรียนรู้ ศูนยก์ ารเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรยี นรู้ฯ 2. จดั ทาและจดั หาส่ือการเรยี นรู้สาหรบั การศกึ ษาและการคน้ ควา้ ของผเู้ รียน 3. เลือกและใช้สอื่ การเรยี นรูท้ ี่มคี ุณภาพ มคี วามเหมาะสม หลากหลาย 4. ประเมินคุณภาพของสอ่ื การเรียนรู้ 5. ศึกษาคน้ ควา้ วจิ ัย เพอ่ื พัฒนาสอื่ การเรียนรู้ 6. จดั ใหม้ กี ารกากบั ตดิ ตาม ประเมินคณุ ภาพ 14. กำรบริหำรจดั กำรหลักสูตร เปน็ การกระจายอานาจให้ท้องถนิ่ และสถานศึกษามีบทบาทในการพัฒนา สนับสนุน สง่ เสรมิ การใชห้ ลกั สูตรให้เป็นไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ ระดับทอ้ งถ่นิ = สานักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษา หนว่ ยงานต้นสังกดั เป็น หน่วยงานท่ีมีบทบาทในการขับเคลื่อนคุณภาพการจัดการศึกษา ให้สอดคล้องกับ ความสภาพและความต้องการของท้องถ่นิ ฯ หวั ข้อ/ รำยวิชำ เฉพำะ กจิ กรรม กจิ กรรม เวลำ สถานศึกษา = วางแผนและดาเนินการใช้หลักสูตร เพ่ิมพูนคุณภาพ ระดบั ช้นั สถำนศึกษำ รำยวิชำ พฒั นำ พัฒนำ ทง้ั หมด พน้ื ฐำน ผ้เู รียน สงั คมฯ โดยการวิจยั และพฒั นา โดยทาภาคส่วนเข้ามามีสว่ นร่วม ประถมฯ จัดเพ่ิม 840 รวม 6 ปี ไม่น้อย (ป.1-ป.6) ปีละไมน่ ้อย ชม./ปี ปลี ะ 60 ชม. กวา่ 15. หลักสูตรระดับทอ้ งถ่ิน กว่า 40 120 ชม. 1,000 องคป์ ระกอบของหลักสูตรท้องถ่นิ มธั ยมต้น 840 รวม 3 ปี ชม./ปี (ม.1-ม.3) ชม. ชม./ปี รวม 3 ปี 45 ชม. ไมน่ อ้ ย ส่วนท่ี 1 สว่ นนา ความเป็นมาและข้นั ตอนการทา (66 นก.) 360 ชม. กว่า มธั ยมปลาย ปีละไมน่ อ้ ย รวม 3 ปี 1,200 สว่ นที่ 2 เปา้ หมายและจุดเนน้ (ม.4-ม.6) กวา่ 200 1,640 60 ชม. ชม./ปี ชม./ปี รวม 3 ปี สว่ นท่ี 3 สาระการเรยี นรทู้ ้องถนิ่ ชม. (41 นก.) ไมน่ อ้ ย กวา่ ส่วนที่ 4 การประเมินคุณภาพผู้เรียนระดบั ท้องถ่นิ ปลี ะไม่น้อย 3,600 กวา่ 1,600 สว่ นที่ 5 การนาหลกั สตู รทอ้ งถน่ิ สู่การพัฒนาหลกั สตู รสถานศึกษา ชม. 16. หลกั สตู รสถำนศกึ ษำ สถำนศึกษำ จดั ทาสาระของหลักสูตร เกย่ี วกบั สภาพปัญหาในทอ้ งถนิ่ บทบำทหลักสูตรสถำนศึกษำ เป็นข้อกาหนดที่ทุกคนในสถานศึกษาต้อง ปฏิบัติตาม , เปน็ เอกสารใช้ประกอบการประเมนิ ภายนอก กระบวนกำรจัดทำหลกั สูตรสถำนศึกษำ 1. แต่งต้งั คณะกรรมการ 2. วิเคราะห์ขอ้ มลู ปัจจุบนั เพ่มิ วิชา หน้าทีพ่ ลเมอื งฯ ระดับประถมศกึ ษา 40 ชม. 3. จัดทาหลักสตู รสถานศึกษา 4. ใชห้ ลกั สูตร(ระดบั ชน้ั เรยี น) ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น 40 ชม. ( 1 นก.) ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย 80 ชม. ( 2 นก.) 5. วิจยั ติดตาม ประเมนิ ผล
17. กำรเขยี นสว่ นนำของหลกั สตู รสถำนศึกษำ 20. กำรเทียบโอนผลกำรเรยี น ประกอบดว้ ย สถานศึกษาสามารถเทียบโอนได้ในกรณีต่างๆ เช่น การย้ายสถานศึกษา 1. ควำมนำ = แสดงให้เห็นความเชื่อมโยง ระหว่างหลักสูตรแกนกลางฯ การเปลีย่ นรปู แบบการศึกษา การย้ายหลักสตู ร นอกจากน้ี ยังสามารถเทียบโอน ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์จากแหล่งการเรียนรูอ้ น่ื ๆ กบั หลักสูตรท้องถิ่น จุดเนน้ ความตอ้ งการของโรงเรียน 2. วสิ ยั ทศั น์ = เจตนารมณ์ อุดมการณ์ หลักการ ความเชื่อ อนาคตที่พึง การพิจารณาการเทียบโอน พิจารณาจาก หลักฐานการศึกษา / ความรู้ ความสามารถของผู้เรียน / การปฏบิ ตั ิในสภาพจริง ประสงค์ เอกลักษณ์ของโรงเรยี น ฯ 3. สมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น การเทียบโอนผลการเรียนควรดาเนินการช่วงก่อนเปิดภาคเรียน หรือต้น 4. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ภาคเรียน ผู้ได้รับการเทียบโอนต้องศึกษาต่อเนื่องในสถานศึกษาที่รับเทียบโอน อยา่ งน้อย 1 ภาคเรียน 18. กำรวดั และประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้ ( 4 ระดับ ) 21. กำรกำหนดรหสั วิชำ ( ใชเ้ ลขอำรบิก 6 หลัก ) การประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรยี น และ เพ่อื ตดั สนิ ผลการเรยี น การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรแู้ บ่งเป็น 4 ระดบั ดงั น้ี หลกั ท่ี หลกั ที่ หลกั ที่ หลกั ท่ี หลกั ที่ หลกั ที่ 1 3 4 56 1. ระดับช้ันเรียน = อยู่ในกระบวนการเรียนรู้ ใช้เทคนิคการประเมิน 2 ทหี่ ลายหลาย เช่น การสังเกต การบา้ น โครงงาน แฟ้มสะสมผลงาน ฯ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ปีในระดับ ประเภทของ ลาดบั ของรายวิชา ระดบั การศกึ ษา รายวิชา 2. ระดับสถำนศึกษำ = เป็นการตรวจสอบผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค , ท การศกึ ษา 01-99 ผลการอ่านคิดวิเคราะห์เขียน , คุณลักษณะอันพึงประสงค์ , กิจกรรมพัฒนา ภาษาไทย 0 ผเู้ รยี น 1 ไมก่ าหนดปที ี่ 1 2 วชิ าพ้นื ฐาน 3. ระดับเขตพ้ืนท่ีกำรศึกษำ = เพ่ือใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการพัฒนา 3 เรยี น คุณภาพการศึกษาของเขตพ้ืนที่การศึกษา โดยข้อสอบมาตรฐานเขตพื้นท่ี การศึกษา ( Las ป.2 , ป.5 , ม.2 , ม.5 ) ค 1 คณติ ศาสตร์ ป.1,ม.1 ,ม.4 4. ระดับชำติ = ประเมินระดับชาติตามาตรฐานการเรียนรู้หลักสูตร แกนกลาง ต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนในชัน้ ป.3 , ป.6 , ม.3 , ม.6 ว 2 วิทยาศาสตร์ ป.2,ม.2,ม.5 19. เอกสำรทำงกำรศึกษำ ( 2 ประเภท ) ส 3 2 1. เอกสำรหลกั ฐำนกำรศึกษำทกี่ ระทรวงศกึ ษำธกิ ำรกำหนด สงั คมศกึ ษาฯ ป.3, ม.3, ม.6 วิชาเพิ่มเตมิ 1.1 ระเบยี นแสดงผลกำรเรียน ( แบบ ปพ.1 ) เป็นเอกสารแสดงผลการเรยี นและรับรองผลการเรยี นตามรายวชิ า การ พ 4 สขุ ศกึ ษาฯ ป.4 อ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สถานศึกษาจะตอ้ งบนั ทึกข้อมลู เป็นรายบุคคล ปพ.1 มี 3 แบบ ดังน้ี ศ 5 ศลิ ปะ ป.5 ปพ.1 : ป = จบการศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา (ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 6) ปพ.1 : บ = จบการศกึ ษาภาคบงั คบั (ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3) ง 6 ปพ.1 : พ = จบการศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน (ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6) การงานอาชพี ฯ ป.6 1.2 ประกำศนยี บตั ร ( แบบ ปพ.2 ) 22. กำรจัดทำคำอธบิ ำยรำยวิชำ เป็นเอกสารแสดงวุฒิการศึกษาเพ่ือรับรองศักดิ์และสิทธิ์ของผู้จบ คาอธิบายรายเป็นกรอบองค์ความรู้ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณภาพ ตาม การศกึ ษาภาคบังคับ และจบการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน ปพ.2 มี 2 แบบ ดงั น้ี มาตรฐานแตล่ ะกล่มุ สาระการเรยี นรู้ ปพ.2 : บ = จบการศกึ ษาภาคบงั คบั (ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3) ตวั อย่าง ปพ.2 : พ = จบการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 6) 1.3 แบบรำยงำนผสู้ ำเร็จกำรศึกษำ ( แบบ ปพ.3 ) คาอธบิ ายรายวชิ า เป็นเอกสารอนุมัติการจบหลักสูตรโดยบันทึกรายชื่อและข้อมูลของผู้ รายวิชา…………………. กลุ่มสาระการเรียนรู้………. จบการศกึ ษา ปพ.3 มี 3 แบบ ดงั นี้ ช้ัน…….ภาคเรียนท่ี……. เวลา….ชั่วโมง จานวน…หน่วยกติ ปพ.3 : ป = จบการศกึ ษาระดับประถมศกึ ษา (ช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 6) ปพ.3 : บ = จบการศกึ ษาภาคบงั คบั (ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3) ……………………………………………………………………………………………………………………… ปพ.3 : พ = จบการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน (ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6) 2. เอกสำรหลกั ฐำนกำรศึกษำทส่ี ถำนศกึ ษำกำหนด ……………………………………………………………………………………………………………………… 1. แบบบันทึกผลกำรเรียนประจำรำยวชิ ำ ……………………………………………………………………………………………………………………… เป็นเอกสารเพ่ือให้ผู้สอนใช้บันทึกข้อมูลการวัดและประเมินผลการ รหัสตวั ชี้วดั เรยี น ตามแผนการจัดการเรียนฯ ควรจัดทาเพอื่ บนั ทกึ ข้อมลู ของผูเ้ รียนเป็นรายหอ้ ง 2. แบบรำยงำนประจำตวั นักเรยี น ……………………………………………………………………………………………………………………… เป็นเอกสารเพ่ือบันทึกขอ้ มูลผลการเรียนร้แู ละพฒั นาการดา้ นตา่ งๆของ ………………………………………………………………………………………………………………….. ผูเ้ รียนแตล่ ะคนตามเกณฑ์ฯ และสาหรบั สอ่ื สารใหผ้ ปู้ กครองได้รบั ทราบ 3. ใบรบั รองผลกำรเรยี น รวมทงั้ หมด…………..ตวั ช้ีวดั เป็นเอกสารที่สถานศึกษาจัดทาขึ้นเพื่อรับรองสถานภาพความเป็น ผู้เรยี นในสถานศกึ ษาทีก่ าลังศกึ ษาอยหู่ รอื รบั รองผลการเรยี นเป็นการช่วั คราว 4. ระเบียนสะสม เป็นเอกสารท่ีบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของผู้เรียนในด้านต่างๆ เป็นรายบุคคลอย่างต่อเน่ือง ตลอดชว่ งเวลาการศึกษาตามหลกั สตู รแกนกลางฯ 12 ปี
23. ควำมหมำยของหลักสูตร 27. ประเภทของหลกั สตู ร หลักสูตร Curiculum มีรากศัพท์มาจากภาษาลาตินว่า Currere ซ่ึง 1. หลกั สูตรรำยวชิ ำ Subject Curriculum หมายถึงชอ่ งทางสาหรบั วง่ิ ถา้ ในดา้ นการศึกษา หมายถึง แนวทางสาหรับการเรียนรู้ เป็นหลักสูตรท่ีใช้มานานสุด ได้รับอิทธิพลจากกลุ่ม “ สารัตถ นักพัฒนำหลกั สูตรกับควำมหมำย นยิ ม” ครูเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ o พจนำนุกรม = ประมวลวิชาและกิจกรรมต่างๆที่กาหนดไว้ จุดหมายของหลักสูตรต้องการ “พัฒนาการด้านสติปัญญา ในการศึกษา เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอยา่ งหน่ึง ความรคู้ วามจา” o กรมวิชำกำร = ข้อกาหนดท่ีประกอบด้วยหลักการ จุดหมาย 2. หลกั สูตรสัมพันธวชิ ำ Correlated Curriculum โครงสรา้ ง แนวทางวธิ ีการ เนอื้ หา วัสดุอปุ กรณ์การจดั การเรียนการสอน เปน็ หลกั สูตรท่ีให้รายวชิ าต่างๆมีความสมั พันธก์ นั มากขน้ึ o นิรมล = ประสบการณ์การเรียนรู้ท้ังหมดที่ผู้รับผิดชอบจัด จุดเด่นคือ ช่วยให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียนมากขึ้น เพราะ การศึกษา สามารถเชื่อมโยงความรจู้ ากอกี วชิ าหนงึ่ ไปอกี วิชาหนง่ึ ได้ o สงัด = ขอ้ ผูกผนั ระหวา่ งนักเรยี น ครู และสิง่ แวดลอ้ มทางการ 3. หลกั สตู รสหสัมพนั ธ์ Broad Field Curriculum เรียน เป็นการเอารายวิชาที่มีลักษณะเน้ือหาคล้ายๆกัน หรือ o ทำบำ = วิธีเตรยี มเยาวชนให้มีส่วนร่วมในฐานะที่เป็นสมาชิก ใกล้เคียงกนั มารวมกันไวใ้ นหมวดวชิ าเดียวกนั เชน่ สังคมศกึ ษาฯ ทส่ี ามารถสรา้ งผลผลติ ใหแ้ ก่สังคมของเรา 4. หลกั สตู รกจิ กรรมหรือหลักสตู รประสบกำรณ์ o กู๊ด = โครงสร้างของเนื้อหาวิชาและประสบการณ์ต่างๆท่ี เน้นประสบการณ์ตรง , ได้รับอิทธิพลจาก ”พิพัฒนาการ สถานศึกษากาหนดให้ผูเ้ รยี นไดศ้ ึกษาหาความรู้ ท้งั ทฤษฎแี ละปฏิบตั ิ นยิ ม” นักการศึกษาทีส่ าคัญคือ จอหน์ ดิวอ้ี o ไทเลอร์ = เป็นสิ่งที่เด็กจะต้องเรียนรู้ทั้งหมด โดยมีโรงเรียน เป็นการแกไ้ ขหลกั สตู รเดิมที่เอาเน้ือหารายวิชา เป็นตัวต้ังโดย เป็นผูว้ างแผนและกากับเพื่อให้บรรลถุ ึงจดุ หมาย ไมค่ านึงถงึ ความตอ้ งการ และความสนใจของผเู้ รยี น 24. ควำมสำคัญของหลักสูตร 5. หลกั สูตรเพือ่ ชีวิตและสงั คม 1. ความสาคัญต่อการจดั การศึกษาของชาติ = การศึกษาเป็นเครื่องมือใน ใช้การจัดการเรยี นรู้โดยใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน PBL การพัฒนาคนในสงั คม ตัวช้ีวัดทส่ี าคัญประการหนง่ึ คือ “คณุ ภาพการจัดการศึกษา” จุดเด่น คือ การส่งเสริมพัฒนาการแก้ปัญหา ความต้องการ 2. ความสาคัญต่อการจัดการเรียนรู้ = หลักสูตรเปรียบเสมือนเข็มทิศ ของผู้เรยี น ตามสภาพสังคม สาหรับครทู ก่ี าหนดทศิ ทางในการจัดการเรียนรใู้ หแ้ กผ่ ้เู รยี น 6. หลกั สูตรแกน Core Curriculum หากเปรยี บการศกึ ษา เปน็ รถยนต์ หลักสตู ร เปรียบเสมือน พวงมาลัย เอาวิชาใดวชิ าหนง่ึ เป็นแกน แลว้ นาเอาวชิ าอน่ื ๆมาสัมพันธ์กัน หากเปรยี บการศึกษา เปน็ เรอื ยนต์ หลกั สตู ร เปรยี บเสมือน หางเสอื 7. หลกั สูตรบรู ณำกำร Integrated Curriculum 25. องค์ประกอบของหลกั สูตร เป็นหลักสูตรท่ีหลอมรวมความรู้และประสบการณ์จาก นกั กำรศกึ ษำกับทฤษฎี รายวิชาต่างๆมาจัดเป็นกลุ่ม เริ่มนามาใช้จากโครงสร้างประถมศึกษา o ไทเลอร์ = ความมุ่งหมายทางการศึกษา , จัดประสบการณ์ , 2551 จดั ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพไดอ้ ยา่ งไร , ทราบไดอ้ ย่างไรวา่ บรรลุวตั ถุประสงค์ 8. หลักสตู รเอกัตภำพ o ทำบำ = จุดมุ่งหมายท่ัวไปและจุดมุ่งหมายเฉพาะ , เน้ือหา เป็นหลักสูตรท่ีจัดเนื้อหาสาระไปตามความเหมาะสมตาม สาระและประสบการณ์เรียนรู้ , การประเมินผล ความตอ้ งการของผเู้ รยี นแตล่ ะบุคคล o โบแชมป์ = เนื้อหา , จุดมุ่งหมาย , การนาหลักสูตรไปใช้ , 28. ระดบั ของกำรพฒั นำหลักสตู ร การประเมินผล - ระดับนานาชาติ - ระดับชาติ o สุมิตร คุณำนุกร = ความมุ่งหมาย , เน้ือหา , การนาไปใช้ , - ระดับภาค - ระดับรัฐ ประเมินผล - ระดบั เขตพนื้ ที่ - ระดับสถานศกึ ษา สรปุ หลักสตู รประกอบด้วย - ระดับช้นั เรียน 1. ควำมม่งุ หมำย Objectives 29.กระบวนกำรรูปแบบของกำรพัฒนำหลักสตู ร 2. เนือ้ หำ Content นกั พฒั นำหลกั สูตรและทฤษฎี 3. กำรนำหลักสูตรไปใช้Curriculum Implementation o รำล์ฟ ไทเลอร์ “ใช้เทคนิคทางวิทยาศาสตร์ 4 ขนั้ ตอน” 4. กำรประเมนิ ผล Evaluation 1. กาหนดวัตถุประสงค์ 2. เลือกประสบการณเ์ รียนรู้ 26. หลักสตู รทดี่ จี ะตอ้ ง 3. เรียงลาดบั ประสบการณ์ 4.ประเมินผล 1. สอดคลอ้ งกบั เศรษฐกิจและสังคม 2. ผู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง o ฮัล ทำบำ “ทฤษฎลี า่ งสู่บน grass – root approach” 8 ข้นั 3. ใชป้ ระโยชนไ์ ด้และเปน็ จรงิ 4. ยดื หยนุ่ ได้ 1. วนิ ิจฉยั ความตอ้ งการ 2. กาหนดวัตถปุ ระสงค์ 5. มวี ตั ถุประสงค์ 6. ส่งเสรมิ ประชาธปิ ไตย 3. คดั เลือกเนือ้ หา 4. เรียงลาดับเน้ือหา 7. ให้เดก็ มีพฒั นาการทกุ ดา้ น 8. ร่วมจดั ทาหลายฝา่ ย 5.เลอื กประสบการณเ์ รียนรู้ 6. จดั ประสบการณเ์ รยี นรู้ 26. กำรพฒั นำหลกั สูตร ( มี 5 ประกำร ) 7. ประเมนิ ผล 8. ตรวจสอบความเหมาะสม 1. ปรชั ญาการศกึ ษา 30. สรุป กำรพฒั นำหลักสูตร มีควำมหมำย 2 นัย คอื 2. จติ วิทยา 1. จัดทาหลักสูตรใหม่ 3. สงั คมและวัฒนธรรม 2. ปรับปรงุ หลกั สูตรเดิม 4. เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง 5. วิทยาการและเทคโนโลยี
กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนตำม พระรำชบญั ญตั ิกำรศึกษำแหง่ ชำติ กำรจดั กำรกำรเรียนรทู้ เ่ี นน้ กำรคดิ วิเครำะห์ Analyzing 2542 ควำมหมำย การคิดวิเคราะห์ คือ ความสามารถในการจาแนก แยกแยะ องค์ประกอบต่างๆของส่ิงใดส่ิงหนึ่งอาจจะเป็นวัตถุส่ิงของเรื่องราวหรือ หมวด ๔ แนวกำรจัดกำรศกึ ษำ เหตุการณแ์ ละหาความสัมพนั ธ์เชงิ เหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่าน้ันเพื่อ ค้นหาสภาพความเปน็ จรงิ หรอื สง่ิ สาคญั ของสง่ิ ท่กี าหนดให้ มำตรำ ๒๒ กำรจดั กำรศกึ ษำต้องยึดหลกั ว่ำผูเ้ รยี นทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และ องคป์ ระกอบของกำรคิดวเิ ครำะห์ พฒั นาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีควำมสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้อง 1. ส่งิ ที่จะวเิ คราะห์ เชน่ วัตถุ สิ่งของ เร่อื งราวหรือเหตกุ ารณ์ 2. หลกั การหรือกฎเกณฑท์ เี่ ปน็ ขอ้ กาหนดสาหรบั การใช้วเิ คราะห์ สง่ เสริมให้ผ้เู รยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ 3. การค้นหาความจริง มำตรำ ๒๓ กำรจัดกำรศึกษำ ทั้งกำรศึกษำในระบบ กำรศึกษำนอกระบบ และ คุณสมบัตทิ เี่ อ้ือตอ่ กำรคิดวิเครำะห์ 1. ความรู้ความเขา้ ใจในเรื่องที่จะวเิ คราะห์ กำรศึกษำตำมอัธยำศัย ต้องเน้นควำมสำคัญท้ังควำมรู้ คุณธรรม กระบวนกำร 2. มคี วามช่างสงั เกต ช่างสงสยั ช่างซกั ถาม 3. มีความสามารถในการตคี วาม เรียนรู้ และบูรณำกำรตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษา ในเรื่องต่างๆ 4. มคี วามสามารถในการหาความสัมพนั ธเ์ ชิงเหตผุ ล ดงั นี้ ๑. ความรเู้ รือ่ งเก่ียวกบั ตนเอง และความสัมพนั ธข์ องตนเองกับสังคมฯ ประโยชน์ของกำรคิดวเิ ครำะห์ 1. ช่วยใหเ้ ราร้ขู ้อเทจ็ จรงิ ๒. ความรูแ้ ละทกั ษะดา้ นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2. ช่วยให้เราไมด่ ว่ นสรปุ ในส่งิ ใดง่ายๆ 3. ชว่ ยในการพจิ ารณาสาระสาคัญอื่นๆ ๓. ความรูเ้ กีย่ วกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกฬี า ภมู ิปญั ญาไทยฯ 4. ชว่ ยพฒั นาความเปน็ คนช่างสงั เกต 5. ช่วยให้เราหาเหตผุ ลทสี่ มเหตุสมผล ๔. ทกั ษะดา้ นคณิตศาสตร์ และดา้ นภาษา เน้นการใชภ้ าษาไทยฯ 6. ชว่ ยประมาณความน่าจะเปน็ ๕. ทกั ษะในการประกอบอาชพี และการดารงชีวติ อยา่ งมคี วามสขุ กระบวนกำรคดิ วิเครำะห์ ขน้ั ที่ 1. กาหนดสิง่ ทต่ี อ้ งการวเิ คราะห์ มำตรำ ๒๔ กำรจัดกระบวนกำรเรียนรู้ ให้สถำนศึกษำและหน่วยงำนที่เก่ียวข้อง ขน้ั ที่ 2. กาหนดปัญหา ขน้ั ที่ 3. กาหนดหลักการหรอื กฎเกณฑ์ ดำเนนิ กำรดังตอ่ ไปน้ี ขน้ั ท่ี 4. พจิ ารณาแยกแยะตามเกณฑ์ ขน้ั ท่ี 5. สรุป ๑. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับควำมสนใจและควำม ประเภทของกำรคดิ วิเครำะห์ ถนดั ของผเู้ รียน โดยคำนงึ ถงึ ควำมแตกต่ำงระหวำ่ งบุคคล 1. วเิ คราะห์ส่วนประกอบ 2. วเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธ์ ๒. ฝกึ ทกั ษะ กระบวนกำรคดิ การจดั การ การเผชญิ สถานการณ์ และการ 3. วิเคราะหก์ ารจัดการ ประยุกต์ความรมู้ าใช้เพือ่ ปอ้ งกันและแก้ไขปญั หำ ลกั ษณะของกำรคดิ วิเครำะห์ 1. การรวบรวมข้อมูลท้ังหมดมาจัดระบบหรือเรียบเรียงให้ง่ายต่อการทา ๓. จัดกจิ กรรมใหผ้ ้เู รยี นได้เรียนรู้จากประสบกำรณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ ความเข้าใจ ทาได้ คิดเป็น และทาเปน็ รกั การอา่ นและเกิดการใฝ่รูอ้ ยา่ งต่อเนอ่ื ง 2. การกาหนดมติ หิ รอื แง่มุมที่จะทาการวิเคราะห์ โดย 2.1 อาศัยความรู้เดิมหรือประสบการณ์เดิม ๔. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสำนสำระควำมรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้ 2.2 อาศัยการค้นพบ ลกั ษณะหรอื คุณสมบัตขิ องกลุ่มหรือบาง สัดส่วนสมดุลกันรวมท้ังปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมท่ีดีงามและคุณลักษณะอันพึง กลมุ่ 3. การกาหนดหมวดหมู่ในมติ แิ ละแง่มมุ ทจ่ี ะทาการวเิ คราะห์ ประสงคไ์ ว้ในทกุ วิชา 4. การแจกแจงข้อมูลที่มีอยู่ลงในแต่ละหมวดหมู่โดยคานึงถึงความเป็น ๕. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม ส่ือ ตัวอย่าง เหตุการณ์ การเปน็ สมาชิก หรือความสมั พันธเ์ กย่ี วข้องโดยตรง 5. การนาข้อมูลที่แจกแจงเสร็จแล้วในแต่ละหมวดหมู่มาจัดลาดับ การเรียน และอานวยความสะดวกเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ เรียงลาดับหรือจัดระบบใหง้ ่ายต่อการทาความเขา้ ใจ รวมทง้ั สำมำรถใชก้ ำรวิจัยเปน็ ส่วนหน่งึ ของกระบวนกำรเรยี นรู้ฯ 6. การเปรียบเทียบข้อมูลระหว่างในแต่ละหมวดหมู่ในแง่ของความมาก ๖. จัดกำรเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลำทุกสถำนที่ มีการประสานความ นอ้ ย ความสอดคลอ้ ง ความขัดแยง้ ผลทางบวกทางลบ ความเป็นเหตุเปน็ ผล ลาดบั ความต่อเนือ่ ง รว่ มมอื กบั บดิ ามารดา ผู้ปกครอง ทุกฝา่ ย เพ่อื รว่ มกันพฒั นาผ้เู รียนตามศักยภาพ มำตรำ ๒๕ รัฐต้องส่งเสริมการดาเนินงานและการจัดต้ังแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทุกรูปแบบได้แก่ ห้องสมุดประชำชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสำธำรณะ สวนพฤกษศำสตร์ อทุ ยำนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์กำร กีฬำ และนันทนำกำร แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้อื่นอย่างพอเพียงและมี ประสิทธภิ าพ มำตรำ ๒๖ ให้สถำนศกึ ษำจัดกำรประเมนิ ผเู้ รยี นโดยพจิ ำรณำจำก พัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรยี น การรว่ มกจิ กรรม การทดสอบควบคไู่ ปในกระบวนการเรยี นการสอนตามความเหมาะสมของ แต่ละระดบั และรปู แบบการศึกษา ให้สถานศกึ ษาใช้วธิ ีการท่หี ลากหลาย มำตรำ ๒๗ ให้คณะกรรมกำรกำรศกึ ษำขน้ั พนื้ ฐำนกำหนดหลกั สูตรแกนกลำง กำรศึกษำขั้นพืน้ ฐำนเพอ่ื (วตั ถปุ ระสงค์หลกั สูตร) ควำมเป็นไทย ควำมเปน็ พลเมอื งท่ีดขี องชำติ กำรดำรงชีวติ กำรประกอบอำชีพ กำรศึกษำต่อ สถานศึกษาขัน้ พ้นื ฐานมหี นา้ ที่ จัดทาสาระหลักสูตรตามวัตถปุ ระสงค์ มำตรำ ๒๘ สาระของหลักสูตร ทั้งท่ีเป็นวิชาการ และวิชาชีพ ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มี ความสมดลุ ดำ้ นควำมรู้ ด้ำนควำมคดิ ดำ้ นควำมสำมำรถ ด้ำนควำมดงี ำม ด้ำนควำมรบั ผิดชอบต่อสงั คม มำตรำ ๓๐ ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ การ ส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละ ระดบั การศึกษา
กำรจัดกำรเรียนรู้ทเี่ น้นผูเ้ รียนเป็นสำคญั 2.3 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนแบบเน้นมโนทัศน์ Concept – Based Instruction หมายถึง การวางแผนการจัดการเรียนการสอนโดยการระบุมโน แนวคิด ในการสอนครูต้องคานึงถึง การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสาคัญ และ ทัศน์ หรือความคิดรวบยอดท่ีต้องการให้ผู้เรียนได้รับและดาเนินการเรียนการ ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ มิใช่เพียงการถ่ายทอดความรู้ สอนโดยใช้วิธีการและกระบวนการตา่ งๆ ท่จี ะช่วยให้ผู้เรยี นเข้าใจมโนทัศนน์ ัน้ เท่าน้นั 3. แบบเนน้ ประสบกำรณ์ ควำมหมำย เป็นการจดั การเรียนการสอนที่ยดึ ผู้เรยี นเป็นตวั ตงั้ โดยคานึงถึง 3.1 การจัดการเรยี นร้แู บบเนน้ ประสบการณ์ Experiential learning ความเหมาะสมกับผู้เรยี นและประโยชนส์ งู สดุ ที่ผู้เรียนควรจะได้รับและมีการ หมายถงึ การดาเนินการอนั จะชว่ ยใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมายโดยให้ จดั กิจกรรมการเรียนรทู้ ี่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีบทบาทสาคัญในการเรียนรู้ ได้ ผเู้ รยี นได้รับประสบการณ์ ท่ีจาเป็นต่อการเรียนรู้ และให้ผู้เรียนสังเกต ทบทวน มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้อย่ำงตื่นตัว และใช้ในกระบวนการ สิง่ ท่เี กิดขึ้น เรียนรตู้ ่างๆอันจะนาผู้เรียนไปสู่กำรเรยี นรูอ้ ย่ำงแท้จริง 3.2 กำรเรยี นรู้แบบรับใชส้ งั คม Service Learning กำรเรยี นรอู้ ย่ำงตื่นตัว Active participation คือ การมีส่วนร่วมท่ีผู้เรียน หมำยถึง การดาเนนิ การช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการให้ผู้เรียนเข้าไปมี รู้ เปน็ ผจู้ ัดกระทาตอ่ สิง่ เร้าเปน็ การตนื่ ตัวด้านพฒั นาการการฟงั 4 ดา้ นดงั น้ี ประสบการณ์ในการรับใช้สังคม ทั้งน้ีผู้เรียนจะต้องมีการสารวจความต้องการ 1. ทำงกำย Physical ของชมุ ชนที่เก่ียวข้องกบั เรอื่ งทจี่ ะเรยี น การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ได้เคล่ือนไหว ร่างกาย ทากจิ กรรมต่างๆ เหมาะสมกบั วัย 3.3 กำรจัดกำรเรียนรตู้ ำมสภำพจรงิ Authentic Learning 2. ทำงสติปัญญำ Intellectual หมำยถึง การดาเนินการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการให้ผู้เรียนเข้าไป การใหผ้ ูเ้ รยี นมีสว่ นร่วมในกิจกรรมการเรียนร้ทู ี่ชว่ ยใหผ้ ูเ้ รียนมี เผชญิ สภาพการจรงิ ปญั หาจรงิ ในบรบิ ทจรงิ และรว่ มกนั ศึกษาความรู้ แสวงหา การเคลื่อนไหวทางสติปัญญาหรือสมองได้คิดได้กระทาโดยใช้ความคิด ความรู้ เปน็ การใช้สติปัญญาของตนสรา้ งความหมาย 4. แบบเน้นปัญหำ 3. ทำงอำรมณ์ Emotional ชว่ ยให้ผู้เรยี นมกี ารเคล่ือนไหวทางอารมณ์และความรู้สึก เกิด 4.1 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยใช้ปัญหำเป็นหลัก Problem – ความรู้สึกต่างๆอันจะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ท่ีดี มีความหมายต่อตนเอง Based Instruction หมำยถึง การจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอนท่ีใช้ และการปฏบิ ัตมิ ากขน้ึ ปญั หาเปน็ เคร่ืองมือในการชว่ ยให้ผ้เู รยี นเกิดการเรยี นร้ตู ามเป้าหมาย โดยผู้สอน 4. ทำงสงั คม Social อาจนาผ้เู รยี นไปเผชิญสถานการณ์ปัญหาจริง หรือผู้สอนอาจจัดสภาพการณ์ให้ การมปี ฏิสมั พันธ์ทางสังคมกับผู้อ่ืนและส่ิงแวดล้อมรอบตัว ได้ ผ้เู รยี นเผชิญปัญหา แลกเปล่ียนเรยี นรู้ซง่ึ กนั และกนั 4.2 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยใช้โครงกำรเป็นหลัก Project - กำรเรียนร้ทู ี่แทจ้ ริง คือ ผลการเรียนท่ีเกิดขึ้นจากกระบวนการท่ีบุคคลรับรู้ Based Instruction หมำยถึง การจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอน โดย และจัดกระทาต่อส่ิงเร้าต่างๆเพ่ือสร้างความหมายของส่ิงเร้า ครุควรจะ ให้ผเู้ รยี นไดเ้ ลอื กทาโครงการทต่ี นสนใจ โดยร่วมกัน สารวจ สังเกต และกาหนด ดาเนนิ การสาคญั 2 ประการคือ เรอ่ื งทตี่ นสนใจ 1. ครุต้องจัดเตรียมกิจกรรม ประสบการณ์ที่จะเอื้อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม 5. แบบเนน้ ทักษะกระบวนกำร อยา่ งตน่ื ตัวและไกใ้ ชก้ ระบวนการเรยี นรู้ทีแ่ ทจ้ รงิ ตามจุดประสงค์ที่ตงั้ ไว้ 2. ในขณะดาเนินการเรียนการสอน ครูควรลดบทบาทของตนเองลง และ 5.1 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยเน้นกระบวนกำรสืบสวน Inquiry - เปลย่ี นแปลงบทบาทจากการถา่ ยทอดความรไู้ ปเป็นผูอ้ านวยความสะดวก Based Instruction หมำยถึง การดาเนนิ การเรยี นการสอน โดยผู้สอนกระตุ้น ให้ผู้เรียนเกิดคาถาม เกิดความคิด และลงมือเสาะแสวงหาความรู้ เพ่ือนามา หลกั กำรจดั กำรเรียนกำรสอนท่เี น้นผู้เรียนเป็นสำคญั ประมวลหาคาตอบหรือขอ้ สรปุ ดว้ ยตนเอง 1. หลักกำรจดั กำรเรียนกำรสอนโดยยึดผูเ้ รยี นเปน็ ศูนย์กลำง Student 5.2 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยเน้นกระบวนกำรคิด thinking - Center Instruction Based Instruction หมำยถึง การดาเนินการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบ 1. แบบเน้นตวั ผู้เรียน วิธีการ และเทคนิคการสอนต่างๆ กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดขยายต่อเน่ือง จากความคดิ เดิม 1.1 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนตำมเอกัตภำพ Individualized Instruction หมายถึง การจัดสภาพการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียนเป็น 5.3 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยเน้นกระบวนกำรกลุ่ม Group รายบคุ คล โดยการคานงึ ถงึ ภมู หิ ลงั สตปิ ญั ญาความสามารถ ความถนดั แบบการ Process - Based Instruction หมำยถึง การดาเนินการเรียนการสอนโดยท่ี เรียนรู้ ความสนใจและความต้องการของผู้เรียนแต่ละคน โดยมีผู้สอนให้ความ ผู้สอนให้ผู้เรียนทางาน/กิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม พร้อมทั้งสอน/ฝึก/แนะนาให้ ช่วยเหลือและเกบ็ ขอ้ มูลการเรียนร้ขู องผเู้ รียนเปน็ รายบคุ คล ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรู้เกยี่ วกับกระบวนการทางานกลมุ่ 1.2 กำรจัดกำรเรียนรู้โดยผู้เรียนนำตนเอง Self – Directed 5.4 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยเน้นกระบวนกำรวิจัย Research - Learning หมายถึง การให้โอการผู้เรียนวางแผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซ่ึง Based Instruction หมำยถึง การจดั สภาพการณ์ของการเรียนการสอน ที่ให้ ครอบคลุมการวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ของตน ตั้งเป้าหมายหรือ ผู้เรียนใช้กระบวนการวิจัย หรือผลการวิจัยเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้เน้ือหา วตั ถุประสงค์การเรียนรู้ การเลือกวิธีการเรียนรู้ การแสวงหาความรู้ ครูจะอยู่ใน สาระตา่ งๆ ฐานะกัลยาณมิตร ทาหน้าที่กระตุ้นให้คาปรึกษาผู้เรียนในการวินิจฉัยความ ต้องการ 5.5 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยเน้นกระบวนกำรเรียนรู้ด้วยตนเอง 2. แบบเน้นควำมรู้ ควำมสำมำรถ Instruction Emphasizing learning Process หมำยถึง การจัด สภาพการณข์ องการเรียนการสอนท่ีผ้สู อนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนดาเนินการศึกษา 2.1 กำรเรยี นรแู้ บบรู้จริง Mastery learning หมายถงึ กระบวนการใน หาความรูด้ ้วยตนเอง การดาเนินการให้ผู้เรียนทุกคน ซึ่งมีความามารถและสติปัญญาแตกต่างกัน 6. แบบเนน้ กำรบูรณำกำร สามารถเกดิ การเรยี นรูอ้ ย่างแทจ้ รงิ สามรถบรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ตามทก่ี าหนดไว้ทุก ขอ้ โดยผู้สอนวิเคราะหเ์ น้อื หาสาระและกาหนดวัตถปุ ระสงค์ในการเรียนรู้ หลักกำร การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นการบูรณาการ หมายถึง การ นาเนื้อหาสาระที่มีความเกี่ยวข้องกันมาสัมพันธ์ให้เป็นเรื่องเดียวกัน และจัด 2.2 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนแบบรับผลประกันผล Verification กิจกรรมการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในลักษณะท่ีเป็นองค์รวม Teaching หมายถึง การจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอนท่ีผู้สอนกาหนด และสามาระนาความรูไ้ ปประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ วัตถปุ ระสงค์ท่ีสามารถพิสูจน์ทดสอบได้ว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามท่ีกาหนดไว้ หรือไม่ และผู้สอนดาเนินการทดสอบผู้เรียนเป็นรายบุคคลตามวัตถุประสงค์น้ัน โดยผู้เรยี นทกุ คนตอ้ งเกดิ การเรยี นรู้ตามวตั ถปุ ระสงค์ท่ีกาหนดไว้
2. หลกั กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนโดยไมม่ ีครู Instruction without Teacher หลักกำรสอน teaching Principle ความรู้ย่อยๆ ที่พรรณนา อธิบาย ทานาย อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆทางการสอนท่ีได้รับการพิสูจน์ทอสอบ 2.1 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรปู Programmed และการยอมรับวา่ เช่ือถอื ได้ Instruction หรอื บทเรียนโปรแกรม กำรสอนที่ดีจะต้อง 1. คานงึ ถึงความแตกต่างของผู้เรียน หมำยถงึ การดาเนนิ การใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรใู้ นเร่อื งใดเร่อื งหนึ่งโดยให้ 2. ส่งเสรมิ ให้นกั เรยี นมีการเรียนรู้ดว้ ยการกระทา Learning by doing 3. สง่ เสรมิ ให้นักเรียนทางานเปน็ กลุ่ม ผเู้ รยี นศึกษาบทเรียนโปรแกรมในเรือ่ งนน้ั ดว้ ยตนเอง บทเรียนโปรแกรมมี 3 ลักษณะ 4. มกี ารตอบสนองความต้องการของนักเรียน 5. มกี ารจัดเตรียมกระบวนการเรยี นการสอน คือ 6. มีกจิ กรรมทห่ี ลากหลาย 7. มกี ารส่งเสริมให้นักเรยี นไดใ้ ชค้ วามคิดอยู่เสมอ 1. ชนดิ เสน้ ตรง เปน็ บทเรยี นทีน่ าเสนอเนอื้ หาสาระไปทีละข้นั 8. เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนไดค้ ดิ คน้ หาเหตผุ ลความเป็นไปของสิง่ ท่ีเรยี น 9. เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนมีสว่ นรว่ มในการวางแผน 2. ชนดิ แยกสาขา บทเรียนแบบนจี้ ะมคี าถามใหผ้ ู้เรยี นตอบสนอง 10. มกี ารสง่ เสรมิ ความคิดรเ่ิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ 11. มกี ารใช้แรงจงู ใจกับผู้เรียน 3. ชนิดบรรยาย เป็นบทเรียนที่ผสมระหว่างชนิดเส้นตรงและชนิด การจดั การศกึ ษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญสูงสุด ต้อง บรรยายเขา้ ดว้ ยกนั สง่ เสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นพัฒนาตามธรรมชาตแิ ละเต็มศักยภาพ 2.2 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนโดยใชค้ อมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน C0mputer – องคป์ ระกอบทส่ี ำคญั ทีก่ อ่ ใหเ้ กดิ กำรเรยี นรู้ 1. ผูเ้ รียน Learner = มรี ะบบสมั ผสั และระบบประสาทในการรบั รู้ Assisted Instruction 2. ส่งิ เรำ้ Stimulus = สถานการณ์ตา่ งท่ีเปน็ สงิ่ เร้าใหผ้ เู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ 3. กำรตอบสนอง Response = พฤติกรรมทีเ่ กิดขน้ึ จากการเรียนรู้ หมายถึง การนาคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอน เพื่อช่วยขยาย กระบวนการจัดการเรียนรู้ในสาระของ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ขอบเขตความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียนและความสามารถในการสอนของครู 1. จัดเน้ือหาท่ีสอดคล้องกับความสนใจ 2. มีการเรียนรู้จากประสบการณ์ 3. มีการฝึกทักษะกระบวนการและการจัดการ 4. มีการผสมผสานเนื้อหา โดยการสรา้ งบทเรียนคอมพิวเตอร์ข้นึ มา สาระด้านต่างๆอย่างสมดุล 5. ส่งเสริมบรรยากาศการเรียน 6. จัดให้มีการ เรยี นรู้ไดท้ ุกเวลาทุกสถานที่ เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง 2.3 กำรเรียนกำรสอนผ่ำนทำงไกล Distance Instruction กำรเรยี นรู้ Learning Ecology หมายถึง การสอนที่ผู้สอนและผู้เรียนอยู่ต่างสถานท่ีกัน แต่สามารถ คือกระบวนการเปล่ียนแปลงที่ทาให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทาง ติดต่อส่ือสารมีปฏิสัมพันธ์กันในกิจกรรมการเรียนการสอนได้ด้วยการใช้ส่ือและ ความคิด เทคโนโลยตี ่างๆ การเรียนรู้ตามแนวความคิดนักการศึกษา Klein = กระบวนการของ ประสบการณท์ าใหเ้ ปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอยา่ งคอ่ นขา้ งถาวร 2.4 กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนผำ่ นเครอื ข่ำย WWW Web - Based Instruction สุรางค์ โค้วตระกูล = การเปล่ียนแปลงพฤคิกรรมซ่ึงเน่ืองมาจาก หมายถงึ การออกแบบการเรียนการสอนโดยการจัดห้องเรียนเสมือนจริง ประสบการณท์ ีค่ นเรามีปฏสิ มั พันธ์กับสงิ่ แวดลอ้ ม ทจ่ี าลองสภาพช้ันเรียนปกติเป็นช่องทางในการสือ่ สารระหวา่ งผูส้ อนและผู้เรียนผู้สอน ทฤษฎีกำรเรียนรู้ Learning Theory จะออกแบบการเรียนรู้ให้ผู้เรียนสืบค้นข้อมูล ความรู้จากเครือข่ายต่างๆ ใน ข้อความรู้ท่ีพรรณนา อธิบาย ทานายปรากฏการณ์ต่างๆเกี่ยวกับการ เรยี นรู้ ซ่งึ มนุษย์รบั รู้ขอ้ มูลผ่านเสน้ ทางรับรู้ 3 ทางคอื คอมพวิ เตอร์ท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ เครือข่ายอินเตอรเ์ น็ต www เป็นตน้ หลักกำรสอนและกำรจดั กำรเรียนรู้ 1. พฤติกรรมนิยม Behaviorism 2. ปัญญานิยม Cognitivism ควำมหมำยของกำรสอน จำแนกตำมควำมม่งุ หมำย กำรสอน หมำยถึง 3. การสร้างสรรคอ์ งค์ความรู้ดว้ ยปญั ญา Constructivism การถ่ายทอดความรู้/การจัดให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ /การฝึกให้ผู้เรียนคิด กำรเรยี นรู้ทฤษฎีของ บลูม มี 6 ระดบั 1. ความจา Knowledge แกป้ ญั หาต่างๆ /การแนะแนวทางแก่ผู้เรียนเพื่อศึกษาหาความรู้/ การสร้างหรือ 2. ความเข้าใจ Comprehension 3. การประยกุ ตใ์ ช้ Application จดั สถานการณ์เพ่ือให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนร/ู้ กระบวนการท่ีช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ 4. การวิเคราะห์ Analysis การแกป้ ญั หาตรวจสอบได้ 5. การสงั เคราะห์ Synthesis เรียนรู้/ เกิดความคิดท่ีจะนาความรู้ไปใช้ให้เกิดทักษะ/ การจัดประสบการณ์ที่ 6. การประเมินค่า Evaluation ตัดสนิ ได้อะไรถกู ผดิ เหมาะสมใหก้ บั นกั เรยี นไดเ้ ผชญิ กำรเรียนรู้ตำมทฤษฎีของเมเยอร์ Mayor ในการออกแบบส่ือการเรียนการ สอน การวิเคราะหค์ วามจาเป็นเปน็ สงิ่ สาคญั มี 3 ส่วนย่อย องคป์ ระกอบของกำรเรยี นกำรสอน 1. พฤตกิ รรม 2. เงอ่ื นไข 1. ตัวป้อน = ครู / ผสู้ อน / ผ้เู รยี น / หลกั สูตร 3. มาตรฐาน โดย พฤติกรรมควรช้ีชัดและสังเกตได้ เง่ือนไขพฤติกรรมที่ได้นั้น 2. กระบวนกำร = การดาเนินการสอน การตรวจสอบความรู้ สามารถอยใู่ นเกณฑท์ ีก่ าหนด เงือ่ นไขพฤตกิ รรมความสาเร็จท่ีได้ควรมีเงื่อนไขใน พื้นฐาน การช่วยเหลือ ผู้เรียนควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจริง เนื้อหาควรถูกสร้างใน ภาพรวมความตอ่ เน่อื ง Continuity 3. ผลผลติ = ผลการเรยี นรูท้ เี่ กิดกับผู้เรยี น จดุ ประสงค์กำรเรียนกำรสอน ข้อความท่ีระบุคุณลักษณะการเรียนรู้และความสามารถท่ีครู ต้องการใหเ้ กดิ ข้นึ กับนักเรยี น o ควำมสำคญั ของจดุ ประสงคก์ ำรเรยี นกำรสอนแบง่ ได้ 2 ระดบั คอื 1. จดุ ประสงค์ทัว่ ไป = มคี วามหมายกว้างไม่เฉพาะเจาะจง เชน่ เพือ่ ใหม้ นี สิ ัยใฝ่หาความรู้ 2. จดุ ประสงค์เฉพำะ = มีความหมายเฉพาะเจาะจง เช่น นกั เรียนสามารถเขยี นแผนภมู ิแท่งได้ o จดุ ประสงคแ์ บง่ ตำมลักษณะกำรเรยี นรู้ 3 ด้ำน 1. ด้ำนพุทธพสิ ัย Cognitive Domain สติปญั ญา ความรู้ การคิด ความจา ความเข้าใจ 2. ด้ำนทกั ษะพสิ ยั Psychoinotor Domain ด้านทักษะ ดา้ นร่างกาย ด้านการปฏบิ ตั ิ 3. ดำ้ นจติ พสิ ัย Effective Domain ด้านอารมณ์ จติ ใจ ความสนใจ เจตคติ
กำรเรยี นรู้ตำมทฤษฎีของบรเู นอร์ Bruner กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ตำมทฤษฎกี ำรเรยี นรูต้ ำ่ งๆ ความรู้ถูกสร้างหรือหล่อหลอมโดยประสบการณ์ ผู้เรียนอยู่อยู่ใน CIPPA Model C – construct = การสร้างองค์ความรู้ สภาพแวดล้อมท่ีเป็นจริง ผู้เรียนเลือกเนื้อหาและกิจกรรมเอง โดยการเรียนรู้ I - Interaction = การมปี ฏสิ มั พันธก์ บั ผูอ้ ่ืน P - Physical Partition = การให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกาย เกดิ จากกระบวนการค้นพบตัวเอง การมีสว่ นร่วม กำรเรยี นรตู้ ำมทฤษฎีของ Tyler P – Process Learning = การเรียนรู้ผ่านกระบวนการต่างๆ กิจกรรม 1. ควำมตอ่ เนื่อง Continuity การเรยี นรทู้ ี่ดี A – Application = การนาความร้ทู ่ีได้เรยี นรูไ้ ปประยุกต์ใช้ ต้องเปิดโอกาสให้มีการฝึกทักษะในกิจกรรและการฝึก PBL Problem – Based Learning กำรเรยี นรู้โดยใชป้ ญั หำเป็นฐำน ประสบการณ์บ่อยๆ 1. ผู้เรียนเป็นศูนยก์ ลาง 2. จดั กลุม่ ใหผ้ ู้เรียนมีขนาดเลก็ 3 – 5 คน 2. กำรจัดช่วงลำดับ Sequence 3. ครูทาหนา้ ท่เี ป็นผ้อู านวยความสะดวก 4. ใช้ปญั หาเปน็ ตัวกระตนุ้ การจัดสิง่ ท่ีมคี วามง่าย ไปสู่ สง่ิ ทมี่ คี วามยาก 5. ปัญหาที่ใชต้ อ้ งมลี กั ษณะคลุมเครือไม่ชดั เจน 6. ให้ผูเ้ รยี นแก้ปัญหาโดยการแสวงหาความรูใ้ หม่ๆ 3. กำรบูรณำกำร Integration 7. ประเมนิ จากสถานการณจ์ รงิ การจดั ให้ผู้เรยี นไดเ้ พิม่ พนู ความคิดเห็น Project – Based Learning กำรเรยี นรู้แบบเขียนโครงงำน เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเรียนรู้ในเร่ืองใดเรื่องหน่ึงตาม 4. ประสบกำรณเ์ รยี นรู้ ความสนใจ โดยผา่ นกระบวนการแก้ปัญหา มวี ัตถปุ ระสงค์เพ่อื เปน็ แบบแผนของปฏิสัมพันธ์ Interaction ระหว่างผู้เรียนกับ 1. มีประสบการณ์ตรง 2. ทาการทดลองและพสิ จู นส์ ง่ิ ต่างๆด้วยตนเอง สถานการณแ์ วดล้อม 3. ทางานอยา่ งมรี ะบบและมีข้ันตอน 4. ฝึกการเป็นผู้นาและผูต้ ามทีด่ ี ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 8 ขน้ั ของกาเย่ 5. ไดเ้ รยี นรู้วิธกี ารแก้ปญั หา 6. รจู้ กั วธิ กี ารแกป้ ัญหาต่างๆ 1. การจูงใจ = เป็นการเรียนรู้ท่ีเกิดจากการ 7. ฝกึ การวเิ คราะห์ ประเมนิ ตนเอง ตอบสนองต่อสิง่ เร้าท่ีเปน็ ไปโดยอตั โนมัติ อยู่นอกเหนืออานาจจิตใจ o ประเภทของกำรทำโครงงำน แบ่งตำมลักษณะของกิจกรรม 4 ประเภท 2. การรับร้เู ป้าหมายที่ตงั้ ไว้ = เป็นการรับรู้ต่อเน่ืองจากการ 1. โครงงำนประเภทกำรสำรวจ การเก็บรวบรวมข้อมูล เพ่ือหา สาเหตุของปัญหาหรอื สารวจความคดิ เห็น เชื่อมโยงระหว่างส่งิ เรา้ กับกันตอบสนอง 2. โครงงำนประเภททดลอง โครงการท่ีต้องออกแบบการทดลอง เพอ่ื ศึกษาผลของการทดลองว่าเปน็ ไปตามทีต่ ้งั สมมตฐานหรอื ไม่ 3. การปรุงแต่งสง่ิ ที่ได้รับรู้เปน็ ความจา 3. โครงงำนประเภทส่ิงประดิษฐ์ โครงงานที่ใช้หลักการทาง วิทยาศาสตรเ์ ขา้ ส่กู ระบวนการปฏิบตั ิ 4. ความสามารถในการจา 4. โครงงำนประเภททฤษฎี โครงงานท่ีมีลักษณะ เป็นการหา ความรู้ใหม่ โดยการรวบรวมขอ้ มูลแลว้ นามาวิเคราะห์ 5. ความสามารถในการระลึกถึงสิง่ ท่ีได้เรยี นรไู้ ปแล้ว o ข้ันตอนกำรทำโครงงำน 6. การนาไปประยกุ ตใ์ ช้กบั สง่ิ ทไี่ ด้เรียนร้ใู ชไ้ ปแล้ว 1. การคัดและเลือกหัวขอ้ เร่อื ง มกั มาจากคาถาม ปัญหา ความยาก ร้อู ยากเห็น 7. การแสดงออกของพฤติกรรมที่เรียนรู้ 2. การวางแผน รวมถึงเค้าโครงของโครงงาน ประกอบด้วย - ชื่อโครงงาน 8. การแสดงผลการเรยี นร้กู ลับไปยงั ผู้เรียน - ชอื่ ผูท้ าโครงงาน - ช่ือทป่ี รกึ ษาโครงงาน กระบวนกำรจดั กำรเรยี นรู้ - หลกั การและเหตุผลของโครงงาน - จดุ มุ่งหมายหรอื วัตถุประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการ - สมมติฐาน - วธิ กี ารดาเนินงาน เรียนรู้ สมรรถนะสาคญั และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคข์ องผู้เรียน เปน็ เป้าหมาย - แผนการปฏิบตั ิงาน - ผลท่คี าดวา่ จะได้รบั สาหรับพฒั นาเด็กและเยาวชน - เอกสารอ้างองิ 3. การดาเนนิ งาน กระบวนกำรจัดกำรเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีเป้ำหมำยท่ีสำคัญ 4. การเขียนรายงาน เป็นวิธีท่ีสื่อความหมายให้ผู้อ่ืนเข้าใจถึง แนวคิด วธิ ีดาเนนิ งาน ที่สดุ คอื การจัดการให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรยี นรู้ เพ่อื ใหแ้ ตล่ ะคนได้พัฒนาตนเอง 5. การนาเสนอผลงาน สูงสุด ตามกาลังหรือศักยภาพของแต่ละคน แนวคดิ จำกพระรำชบญั ญตั กิ ำรศกึ ษำแหง่ ชำติ 2542 1. ดา้ นความเสมอภาคของโอกาสทางการศึกษา 2. ด้านมาตรฐานคณุ ภาพการศึกษา 3. ดา้ นบรหิ ารและสนบั สนนุ ทางการศึกษา 4. ด้านครู คณาจารย์ และ บุคลากรทางการศึกษา 5. ดา้ นหลักสูตร 6. ดา้ นกระบวนการเรียนรู้ 7. ด้านทรพั ยากรและการลงทนุ เพื่อการศึกษา ส่วนท่เี กีย่ วข้องกับกำรจดั กำรเรยี นรู้ 1. ด้านหลักสูตร กล่าวถึง การปฏิรูปหลักสูตรให้ต่อเน่ือง เชื่อมโยง มี ความสมดุล ในเนื้อหาสาระท้ังที่เป็นวิชาการ วิชาชีพ และวิชาการว่าด้วย ความเป็นมนษุ ย์ 2. ด้านกระบวนการเรียนรู้ กล่าวถงึ กระบวนการเรียนรูใ้ หผ้ ู้เรียนทุกคนมี ความสามารถเรียนรแู้ ละพฒั นาตนเองได้ 3. ดา้ นการวดั ผลและประเมินผลการเรยี นรู้ จะตอ้ งทาการประเมนิ ผู้เรียน ตามสภาพจริง
Inquiry Instruction เปน็ กำรสบื เสำะหำควำมรู้ 5. สีเขยี ว = การคิดริเรม่ิ คดิ สงิ่ ใหมๆ่ ความเจริญเติบโตสมบูรณ์ เชน่ นักเรียนจะนาความคดิ นไ้ี ปทาอะไร ปลูกฝังให้นักเรียนสามารถสืบเสาะหาความรู้หรือวิเคราะห์ ถา้ นกั เรียนจะทาส่ิงน้ี ….(ดขี น้ึ )…. จะตอ้ งเปลีย่ นแปลงอยา่ งไร ข้อมูลได้ ข้นั ตอน ของการสบื สืบเสาะหาความรู้ อาจทาเป็น 5E ก็ได้ 6. สีฟำ้ = การคดิ แบบควบคมุ การจดั ระบบกระบวนการคดิ ความเยือก เย็น ภาวะผ้นู า เชน่ 1. ขน้ั สรา้ งความสนใจ Engagement อะไรที่ตอ้ งการ 2. ข้นั สารวจและคน้ หา Exploration ขน้ั ตอนตอ่ ไปคืออะไร อะไรทีท่ าไปก่อนแล้ว 3. ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ Explanation กำรเรยี นรูแ้ บบ 4 MAT โดย เบอร์นสิ แมคคำรธ์ ี 4. ขั้นขยายความรู้ Elaboration 1. ผู้เรียนถนัดใช้จินตนำกำร WHY = ทาไม/ชอบคิด/การค้นหา เหตุผล 5. ข้นั ประเมิน Evaluation 2. ผู้เรียนถนัดกำรวิเครำะห์ WHAT = อะไร/ชอบเรียนรู้แบบดั่งเดิม อาศยั ข้อเท็จจริงข่าวสาร Cooperative / Collaborative learning กำรเรียนรแู้ บบรว่ มมอื 3. ผเู้ รียนถนดั ใช้สำมัญสำนึก HOW = อยา่ งไร/นามธรรม/รปู ธรรม 4. ผู้เรียนสนใจค้นพบด้วยตนเอง IF = ถ้าอย่างน้ัน/ชอบสัมผัสของ เป็นการจดั การเรยี นการสอนท่ีแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อยๆ จริง สมาชิกแต่ในกลมุ่ แตล่ ะคนมีความสามารถแตกต่างกัน เช่น กำรเรียนกำรสอนแบบ Story line Method กำรเรียนที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคญั โดย สตีฟ เบลล์ นกั กำรศกึ ษำชำวสก๊อต GI = การสบื สวนสอยสวนเป็นทีม วิธีกำร - การผูกเร่อื งแต่ละตอนใหเ้ กดิ การเรยี นรู้อยา่ งต่อเนอ่ื ง - การกาหนดเสน้ ทางการเดินเรื่อง LT = การเรียนรรู้ ่วมกัน - การใชค้ าถามหลกั Key question องคป์ ระกอบ STAD = การประสบความสาเร็จเป็นทีม - ฉาก - ตวั ละคร TAI = เพอ่ื นชว่ ยเพอื่ นรายบคุ ล กลุ่มร่วมมอื ชว่ ยเหลอื - วิธีการดาเนนิ ชวี ติ - ปญั หาที่ผูเ้ รียนฝกึ แกไ้ ข TGI = กล่มุ ร่วมมือแขง่ ขนั การแขง่ ขนั เป็นทมี กำรจัดกำรเรียนรู้โดยกำรจัดประสบกำรณ์ 6 ข้ัน Experiential NHT = กลมุ่ ร่วมกันคิด Activities Planning : EPA 1. ขัน้ กำรอุ่นเคร่ือง CIRC = แบบร่วมมอื ผสมผสานการอ่านและเขียน การสรา้ งบรรยากาศการเรียนรทู้ เ่ี หมาะสม 2. กำรแนะนำปัญหำ Problem Identification กำรสอนแบบอุปนยั Inductive Method การจดั กิจกรรมเพ่ือนาเสนอ 3. ไตรต่ รองทำงแกเ้ ฉพำะตน เป็นการสอนรายละเอียดปลีกย่อยไปหากฎเกณฑ์ หรือสอน การเข้าใจปัญหา/การหาทางแก้/แน่ใจในจุดยืน 4. กำระดมสมองหำทำงออกกลุ่ม จากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์ ให้ผู้เรียนเรียนรู้ในรายละเอียดก่อนแล้วจึงสรุป การส่งเสรมิ การเรียนรู้ดว้ ยมุมมองทีห่ ลากหลาย 5. กำรสือ่ สำรหำทำงออก เชน่ การใหโ้ อกาสนกั เรยี นในการศึกษาค้นคว้า สังเกต ทดลอง เปรียบเทียบ การจดั กจิ กรรมเพ่อื การตดั สินใจ 6. กำรถอดรหสั ปรับใช้ แล้วพิจารณาค้นหาองค์ประกอบ ที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกันจากตัวอย่าง การจัดกิจกรรมเพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจกระบวนการเรียนรู้ของ ตนเอง ตา่ งๆ เพ่ือนามาเปน็ ขอ้ สรปุ วิธีกำรสอนแบบวิทยำศำสตร์ Scientific Method กำรสอนแบบนิรนัย Deductive Method 1. กาหนดขอบเขต/ปัญหา 2. การต้งั สมมติฐาน เป็นการสอนท่ีเรม่ิ จากกฎ หรอื หลักการต่างๆ แล้วให้นักเรียน 3. การทดลองรวบรวมขอ้ มลู 4. การวิเคราะห์ข้อมูล หาหลักฐานเหตุผลมาพิสูจน์ยืนยัน วิธีการสอนแบบน้ีฝึกหัดให้นักเรียนเป็น 5. การสรปุ ผล คนมเี หตุผล ไม่เช่อื อะไรงา่ ยๆ จนกวา่ จะพสิ จู นใ์ หเ้ ปน็ จริงเสยี ก่อน วธิ กี ำรสอนตำมขนั้ ของอรยิ สจั 4 Buddha’s Method 1. ทกุ ข์ = การกาหนดปญั หา กำรใชบ้ ทเรียนคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน CAI 2. สมทุ ัย = การตงั้ สมมตฐิ าน 3. นโิ รธ = การทดลอง รวบรวมข้อมลู เป็นส่ือการเรียนทางคอมพิวเตอร์ ในการนาเสนอสื่อประสม 4. มรรค = การวเิ คราะห์ การสรปุ ผล โดยมีเป้าหมายสาคัญคือ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียน และกระตุ้น ใหเ้ กดิ ความตอ้ งการท่ีจะเรยี นรู้ มีองค์ประกอบสาคัญ 4 ประการ คือ 1. สารสนเทศ Information 2. ความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล Individualization 3. การโตต้ อบ Interaction 4. การให้ผลป้อนกลับโดยทนั ที Immediate feedback เทคนิคกำรใชห้ มวก 6 ใบ เป็นเทคนิคการสอนแบบต้ังคาถาม เป็นการสอนเพื่อ พฒั นาการคิด สาหรับนกั เรียนทกุ ระดบั ชั้น 1. สีขำว = การคิดอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง เป็นกลาง ไม่ อคติ ไมล่ าเอยี ง เช่น เรามีข้อมลู อะไรบ้าง เราต้องการขอ้ มลู อะไรบา้ ง เราไดข้ อ้ มลู ที่ตอ้ งการวดั มาดว้ ยวิธีใด 2. สแี ดง = การคิดอยู่บนพ้ืนฐานของอารมณ์ และความรู้สึก ความโกรธ เชน่ เรารู้สกึ อย่างไร นกั เรยี นมีความร้สู กึ อยา่ งไรกับสง่ิ ท่ที า นกั เรียนมคี วามรสู้ กึ อย่างไรกบั ความคดิ นี้ 3. สดี ำ = การคิดที่บนพื้นฐาน ข้อควรระวังและคาเตือนเป็น หัวใจของการคิด เหตุผลดา้ นลบ ความมืดครมึ้ เช่น อะไรคอื จุดอ่อน อะไรคือสง่ิ ทีผ่ ดิ พลาด อะไรคือสิง่ ทย่ี งุ ยาก 4. สีเหลือง = การคิดอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึกท่ีดี เป็น มุมมองในแง่บวก รวมถงึ ความหวัง และการคดิ ในแง่ดี ความสว่างไสว เช่น จุดดีคอื อะไร ผลดคี อื อะไร
กระบวนกำรเรียนร้แู บบบูรณำกำร ทฤษฎกี ำรสอนแบบพหปุ ญั ญำ ควำมหมำย ผู้บุกเบิก ดร. โฮเวิร์ด กำร์ดเนอร์ ( Howard Gardner ) มีควำม 1. ผสมผสำนหลักสูตร ความรู้ ในสาขาวิชาตา่ งๆเข้าด้วยกัน เช่อื พ้นื ฐำนเกีย่ วกับสติปญั ญำท่สี ำคญั 2 ประกำร คอื 2. ผสมผสำนกำรสอน กระบวนการเรียนรู้ ปลูกฝังค่านิยม คุณธรรม 1. เชาว์ปัญญาของคนเราไม่ได้มีเพียงด้านภาษาและคณิต คานึงถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลและความสามารถทางสติปัญญา เท่านั้น แต่มีอยู่ถึง 8 ประเภท แต่ละคนจะมีความสามารถเฉพาะด้าน เหตุผลในกำรจดั กำรเรียนร้แู บบบรู ณำกำร แตกต่างกนั ไป 1. ด้ำนจติ วิทยำ 2. เชาว์ปัญญาไม่ใช่สิ่งที่ม่ันคงถาวรตั้งแต่เกิดจนกระท่ังตาย ผู้เรียนมีโอกาสได้ความรู้ที่หลากห ลาย นา มาใช้ใน หากแต่สามารถเปล่ียนแปลงไปตามสภาพแวดล้อม และการส่งเสริมที่ เหมาะสม ชวี ติ ประจาวนั ได้ 2. ด้ำนสังคมวทิ ยำ เชำวป์ ัญญำประกอบดว้ ยควำมสำมำรถ 3 ประกำร ไดแ้ ก่ 1. ความสามารถในการแก้ปัญหาในสภาพการณ์ต่างๆที่ ผ้เู รยี นต้องการทักษะจากหลายสาขาวชิ ารวมกัน จงึ นามาใชไ้ ด้ 3. ด้ำนกำรบรหิ ำร เป็นไปตามธรรมชาติ 2. ความสามารถในการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน แก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากร แก้ปัญหาการซ้าซ้อนของ 3. ความสามารถในการแสวงหาหรือต้ังปัญหาเพื่อค้นหา เนอื้ หาวิชา แนวคดิ กำรจดั กำรเรียนรู้แบบบรู ณำกำรสอดคล้องกบั คาตอบและเพมิ่ พูนความรู้ 1. ปรัชญาการศึกษาแบบ Progressivism ของ John Dewey 2. ทฤษฎีการเรียนรู้ในด้าน Cognitive ท่ีใช้ Constructivism ควำมสำมำรถ ลกั ษณะสำคัญ ควำมสมั พันธ์กบั กจิ กรรมกำร Approach อำชีพ ออกแบบเรยี นรู้ 3. ทฤษฎีการเรียนรอู้ ยา่ งมีความหมายของ Ausubel 4. การถา่ ยโยงความรู้ Transfer of learning 1 ดำ้ นภำษำ - เห็นคุณค่าหนงั สือ - นักพดู - ฝกึ เขยี น/อ่าน ลักษณะสำคัญของกำรบูรณำกำร กำรบูรณำกำรระหวำ่ ง 1. ควำมรู้ของวิชำตำ่ งๆ - ใช้ภาษาอธิบายเร่ือง - นกั เล่านทิ าน - การฝกึ อภิปราย การบรู ณาการหลกั สตู ร ชอบเรยี นภาษา ยากใหเ้ ปน็ เร่อื งงา่ ย - นกั กฎหมาย - การฝกึ พดู 2. ควำมรู้และกระบวนกำรเรียนรู้ ประวิติศาสตร์ - ใช้ภาษาในการใช้ - ประชาสัมพนั ธ์ - การโต้วาที ภาษาหว่านล้อม - นักหนงั สือพิมพ์ - ฝกึ ระดมความคิด การบูรณาการกระบวนการเรียนการสอน มากกวา่ วิทย์ - ใช้ภาษาในการแสดง - บรรณาธกิ าร - การเขยี นบันทึก 3. ทกั ษะควำมรู้ (ไมเ่ น้นทักษะอย่ำงเดยี ว) คณติ ความรสู้ กึ - นกั เขียน - การสรุปบทความ การบูรณาการความรู้และการปฏบิ ัติ 4. กำรเน้น เจตคติ ค่ำนิยม ควำมสนใจ (ไม่เน้นพุทธพิสัยอย่ำงเดียว) 2 ด้ำนเหตุผล - ความสามารถในการ - นกั คณิตศาสตร์ - การคิดแก้ปัญหา เป็นการพัฒนาการทางความรู้และทางจิตใจ ตรรกศำสตร์ ใช้ตวั เลข - นักสถิติ เชิงวิทยาศาสตร์ หลักกำรจัดกำรเรียนรู้แบบบูรณำกำร Learning Integration จัดได้ 2 ลักษณะคือ คณติ ศำสตร์ - การคิดคาดการณ์ กา - นักบญั ชี - การทดลองและ 1. บูรณำกำรภำยในวิชำ Intradisciplinary = การบูรณาการท่ี รานาย - นักวิทยาศาสตร์ ออกแบบ เกดิ ขน้ึ ภายในขอบเขตวชิ าเดียวกนั เช่น วชิ าภาษา กระบวนการทางภาษา ชอบเรียนวชิ าท่ี - การคิดท่เี ปน็ เหตุเป็น - โปรแกรมเมอร์ - การฝึกคิดแบบ 2. บูรณำกำรระหว่ำงวิชำ Interdisciplinary = การรวมศาสตร์ ซบั ซอ้ น ผล - นกั ดาราศาสตร์ อุปมาอุปไมย ต่างๆตง้ั แต่ 2 วิชาขึน้ ไปในหวั เร่อื ง Theme เดยี วกัน กำรเรียนรแู้ บบบูรณำกำรท้งั 2 ลักษณะนั้น สำมำรถจัดรูปแบบของกำรบูร 3 ดำ้ นรำ่ งกำย - ความสามารถในการ - ศลิ ปนิ ดารา - การฝกึ เคล่ือนไหว ณำกำร ได้ 4 รปู แบบ คอื และควำม ใชร้ า่ งกาย - นกั กฬี า ทางรา่ งกาย 1. บรู ณำกำรแบบสอดแทรก Infusion Instruction ครูผู้สอนสอดแทรกของเนื้อหาวิชาอน่ื ๆ เคล่อื นไหว - มีทักษะท่ีแข็งแรง - นกั เตน้ - การฝกึ สื่อสารโดย 2. บูรณำกำรแบบขนำน Parallel Instruction รวดเรว็ ยืดหยุ่น - ศลั ยแพทย์ ใช้ภาษา ครตู ั้งแต่ 2 คนขึน้ ไปสอนวิชาต่างกันวางแผนการสอนร่วมกัน - ความไวทางประสาท - ช่างป้ัน - การแสดงละคร แต่ต่างคนตา่ งสอน 3. บรู ณำกำรแบบสหวทิ ยำกำร สมั ผัส - ช่างเครือ่ งยนต์ - การฝึกกีฬา ครตู ้ังแต่ 2 คนข้ึนไปมาวางแผนเพื่อสอนร่วมกัน โดยกาหนด 4 ดำ้ นกำร - ความสารถด้านการ - นักบนิ - ฝึกแปลข้อความ วา่ จะสอนหวั เร่ืองใด/ความคิดรวบยอด/ปญั หาเดยี วกนั 4. บูรณำกำรแบบขำ้ มวชิ ำหรือสอนเป็นคณะ มองเห็นและ สร้างแบบจาลอง - มคั คเุ ทศก์ ห รื อ เ นื้ อ ห า เ ป็ น ครทู กุ รายวิชาจดั ทาแผนการสอนรว่ มกันแล้วสอนเป็นหมู่คณะ มติ ิสัมพนั ธ์ - การมองเห็นพ้ืนที่ - สถาปนกิ ภาพ เป็น Team รายละเอียดตา่ งๆ - วศิ วกร - การฝกึ - ความไวต่อสี เส้น - ช่างภาพ จินตนาการ รู ป ร่ า ง อ อ ก แ บ บ - นักประดษิ ฐ์ - การให้เด็กได้ใช้ รูปร่าง ความคดิ แบบอิสระ 5 ดำ้ นดนตรี - ถูกควบคุมด้วยสมอง - นักดนตรี - การฝึกแต่งกลอน ซีกขวาตอนบน - นกั แต่งเพลง แตง่ เพลง - สนุกกับการฟงั เพลง - นักวิจารณ์ด้าน - การขับร้อง การ - มีความสามารถใน ดนตรี และเพลง เลน่ ตนตรี การแต่งเพลง เรียนรู้ - นักร้อง - การทาอุปกรณ์ จงั หวะ - นกั การฑูต ดนตรี 6 ด้ำนมนษุ ย - มีความสารถในการ - ครู อาจารย์ - การฝกึ ทางานเป็น สัมพันธ์ ส ร้ า ง แ ล ะ รั ก ษ า - แพทย์ กลุม่ สัมพันธอ์ ันดกี บั ผู้อ่ืนใน - พยาบาล - ฝึกแลกเปลี่ยน สังคม - พิธกี ร ประสบการณ์ - ความสามารถในการ - นักการตลาด ส่ือสาร การลดความ - นักธรุ กิจ ขัดแย้ง 7 ด้ำนกำรรู้จกั - ความสามารถในการ - ผนู้ าทางศาสนา - การทาโครงการ และเข้ำใจ รู้จกั และเข้าใจตนเอง - จิตแพทย์ เด่ยี ว ตนเอง - เข้าใจตนเองฝึกฝน - นกั จิตวทิ ยา - การฝึกสมาธิ ค ว บ คุ ม ต น เ อ ง ไ ด้ ท้ั ง - การประเมินผล ร่างกายและจิตใจ งานตวั เอง 8 ด้ำนควำม - ความสามารถในการ - นักอนุรักษ์ - การจัดกิจกรรม เขำ้ ใจ รจู้ ัก รักธรรมชาติ - นักสงิ่ แวดลอ้ ม อนุรกั ษ์สง่ิ แวดล้อม สภำพแวดลอ้ ม - การจาแนกแยกแยะ
เพ่ิมเตมิ การเรยี นรแู้ บบสืบคน้ การเรียนร้แู บบคน้ พบ คำศัพท์ การเรียนร้แู บบอภปิ ราย Inquiry Method การเรยี นรู้แบบนริ มัย Discovery Method การเรียนรู้แบบอุปมยั Discussion Method การเรียนรู้แบบสาธติ Deductive Method การแสดงบทบาทสมมติ Inductive Method การแสดงละคร Demonstration Method สถานการณจ์ าลอง Role Playing Dramatization Simulation ปรชั ญำกำรศึกษำ ลาดบั กลมุ่ ความหมาย 1 สารนิยม สนับสนุนการอ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น ผู้เรียนคือดวงจิตดวงเล็กๆ และประกอบด้วย ระบบประสาทสัมผสั 2 อตั ถิภาวะ ธรรมชาตขิ องคนกด็ ี สภาพแวดลอ้ มทางสังคม นยิ ม ก็ดี เป็นสิ่งไม่ตายตัว คนแต่ละคนสามารถ กาหนดชีวิตของตนเองได้ เพราะมีอิสระใน การเลอื ก 3 พิพัฒนาการ นักเรียนเป็นบุคคลท่ีมีทักษะพร้อมที่จะ นิยม ปฏิบัติงานได้ ครูน้ันเป็นผู้นาทางในการ ทดลองและวิจัย หลักสูตรเป็นเนื้อหาสาระ เกีย่ วกบั ประสบการณ์ต่างๆ 4 ปฏริ ปู นยิ ม หลักสูตรเพ่ือชีวิตและสังคม และหลักสูตร แบบแกนสอดคลอ้ งกบั ปรัชญาการศกึ ษาสาขา ใด
ศพั ทเ์ กี่ยวจิตวิทยำกำรศึกษำและกำรแนะแนว จติ วิทยำกำรศึกษำ พฤติกรรม Behavior = กิริยาอาการแสดงออกทุกรูปแบบของส่ิงมีชีวิต เป็นวิทยาศาสตรท์ ่ศี ึกษาเกีย่ วกบั การเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียน ใน เพือ่ ตอบสนองตอ่ สิ่งเรา้ ทง้ั ภายในและภายนอก สภาพการเรียนการสอนในช้ันเรียน เพ่ือคิดค้นทฤษฎีและหลักการท่ีจะนามา o พฤตกิ รรมภายนอก Overt Behavior Molar สามารถมองเหน็ ได้ เชน่ การย้ิม การเต้น ชว่ ยแกป้ ัญหาทางการศกึ ษา Molecular ต้องใชเ้ คร่อื งมอื ตรวจสอบ เชน่ ชพี จร เน้ือหาจติ วทิ ยาการศกึ ษาประกอบด้วย o พฤติกรรมภายใน Covert Behavior = สังเกตไม่ได้ ใช้ เครื่องมอื วดั ไม่ได้ เชน่ การจา ความฝัน ฯ 1. ความสาคัญของวัตถปุ ระสงค์ ของการศึกษาและบทเรยี น จติ วิทยา Psychology = มีรากศพั ทม์ าจากภาษา กรีก 2 คา 2. ทฤษฎีพฒั นาการและบุคลกิ ภาพ o Psyche = จติ วิญญาณ o Logos = ศาสตร์ , วิชา , วิทยาการ 3. ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล แปลได้ว่าเป็นวิชาทีศ่ ึกษาเกย่ี วกับจิตวญิ ญาณ 4. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ ควำมหมำยของจิตวทิ ยำตำมนักกำรศกึ ษำ 5. ทฤษฎีการสอนและเทคโนโลยีทางการศึกษา จอห์น บี วตั สัน John B Watson = วชิ าทีศ่ กึ ษาเกย่ี วกับพฤติกรรม 6. หลักการสอนและวิธกี ารสอน วลิ เล่ยี ม เจมส์ William James = วชิ าท่ีวา่ ด้วยกิรยิ าอาการของมนษุ ย์ 7. หลักการวดั ผลและประเมินผลการศกึ ษา ฮลิ กำร์ด Hilgard = ศึกษาในเรอื่ งพฤตกิ รรมของมนุษย์และสัตว์ สรปุ ได้วำ่ = จติ วทิ ยำ คอื วิชาท่ีศึกษาเกีย่ วกับพฤติกรรมหรือกิริยาอาการของ 8. การสร้างบรรยากาศของห้องเรียน มนุษย์และสัตว์โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะทาให้ จติ วทิ ยำกำรเรยี นรู้ สามารถคาดคะเนหรือพยากรณ์ได้ ซึ่งจะช่วยลดพฤติกรรมเบี่ยงเบนอันก่อให้เกิด ปัญหาในอนาคต คิมเบิล = การเรียนรู้เป็นการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างถาวรในพฤติกรรมอัน วธิ กี ำรศกึ ษำทำงจติ วทิ ยำ เปน็ ผลมาจาก การฝึกทไี่ ด้รับการเสรมิ แรง 1. กำรตรวจสอบตนเอง ( Introspection ) = เป็นวิธีการท่ีให้บุคคล ฮิลกำร์ด และ เบำเวอร์ = เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงพฤติกรรมอัน สารวจ ตรวจสอบตนเอง ด้วยการย้อนทบทวนการกระทา และความรู้สึกนึก คิดของตนเองในอดีตที่ผ่านมา เปน็ ผลมาจากประสบการณ์และการฝกึ 2. กำรสังเกต ( Observation ) = การเฝ้าดูพฤติกรรมในสถานการณ์ท่ี คอนบำค = การเรียนรู้เป็นการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่มีการ เปน็ จริงอยา่ งมจี ุดมงุ่ หมาย มี 2 ลักษณะ คือ เปลย่ี นแปลงอันเปน็ ผลเน่อื งมาจากประสบการณ์ 2.1 การสงั เกตอยา่ งมีแบบแผน Formal (การเตรยี มตวั ) 2.2 การสงั เกตอยา่ งไม่มแี บบแผน Informal (ไมเ่ ตรยี มตวั ) o สรุปได้ว่ำ กำรเรียนรู้ หมำยถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม 3. กำรศึกษำบุคคลเป็นรำยกรณี (Case Study ) = การศึกษา รายละเอียดต่างๆท่ีสาคัญของบุคคล แต่ต้องใช้เวลาศึกษาติดต่อกันเป็น อันเน่ืองมาจากประสบการณ์และการฝึกหัด เป็นการเปลี่ยนแปลงท่ี ระยะเวลาหน่งึ แลว้ รวบรวมขอ้ มูลมาวเิ คราะหพ์ จิ ารณา 4. กำรสัมภำษณ์ ( Interview ) = การสนทนาของบุคคลตั้งแต่ 2 คน ค่อนขา้ งถาวร ข้นึ ไป โดยมีจุดมงุ่ หมาย 5. กำรทดสอบ ( Testing ) = การใช้เคร่ืองมือที่มีเกณฑ์ในการวัด จติ วทิ ยำกลุม่ พุทธนยิ ม 5 ทฤษฎี ลักษณะของพฤติกรรม 6. กำรทดลอง ( Experiment ) = การรวบรวมข้อมูลท่ีเป็นระบบ มี 1. ทฤษฎีเกสตอลท์ ขั้นตอนและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ 2. ทฤษฎีสนาม ขอบขำ่ ยของวิชำจติ วทิ ยำ 3. ทฤษฎีเครอ่ื งหมาย แบ่งออกเปน็ 2 กลมุ่ คือ จิตวทิ ยาท่วั ไป General Psychology 4. ทฤษฎีพฒั นาการทางสติปญั ญา จิตวทิ ยาวิเคราะห์ Applied Psychology 5. ทฤษฎีการเรยี นรู้อย่างมคี วามหมาย ปัจจบุ ันนักจิตวทิ ยาสามรถแบ่งไดห้ ลายแขนง ดงั นี้ o จิตวทิ ยาสรีระ = มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกระบวนการ ทฤษฎีทำงจิตวิทยำไดเ้ อำมำใช้ในเทคโนโลยีกำรศึกษำคอื ทางสรีระวิทยากับจิตใจ 1. ผลิตสื่อคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน ( ตาม ทบ.กาเย่) o จิตวิทยาพฒั นาการ = ศกึ ษาตงั้ แตเ่ รมิ่ ปฏิสนธจิ นปิดฉากชวี ิต o จิตวิทยาคลินิก = ศึกษาว่าบุคคลเมื่อประสบปัญหาแล้วจะมี 2. จดั รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ทฤษฎีของเลวิน (ทฤษฎสี นาม) 2.1 พฤติกรรมเปน็ ผลมาจากพลงั ความสมั พนั ธข์ องกลมุ่ วิธกี ารแก้ปญั หาอย่างไร o จิตวิทยาการศึกษาในโรงเรียน = ประยุกต์เพื่อใช้แก้ปัญหา 2.2 โครงสร้างของกลมุ่ เกิดจากการรวมกลมุ่ ทีแ่ ตกต่างกนั 2.3 การรวมกลุ่มแตล่ ะครัง้ ตอ้ งมีปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างสมาชิก ของเดก็ ชว่ ยให้ครูผ้สู อนเขา้ ใจเด็ก o จิตวิทยาอุตสาหกรรม = ศึกษาการทางานในระบบ คือ 2.4 องคป์ ระกอบต่างๆจะกอ่ ให้เกิดโครงสร้างของกล่มุ 2.5 สมาชิกกลุ่มจะมีการปรบั ตัวเข้าหากนั ความสามารถทางานรว่ มกบั คนอ่นื o จิตวิทยาการวัดผลและการทดสอบ = ศึกษาเกี่ยวกับเรื่อง บิดำแห่งวงกำรจติ วทิ ยำ ข้อมูลและความเชือ่ ถือ บดิ าแห่งจติ วทิ ยาโลก = ซิกมนั ฟรอยด์ o จิตวิทยาสังคม = ศึกษาวิธีการวัดลักษณะส่วนใหญ่ของ บดิ าแห่งจิตวทิ ยาวเิ คราะห์ = ซิกมนั ฟรอยด์ พฤติกรรมมนุษย์ บิดาแหง่ จิตวิทยาแผนใหม่ = จอห์น บี วัตสัน บิดาแหง่ พฤติกรรมนิยม = จอห์น บี วตั สนั บิดาแห่งจติ วิทยาการทดลอง = วลิ เฮล์ม แมกซ์ วุ้นท์ บิดาแห่งสติปญั ญา = อัลเฟรด บเิ นต์ บดิ าแห่งจติ วทิ ยาการศึกษา = ธอร์นไดด์ บดิ าแหง่ การแนะแนว = แฟรงค์ พาร์สัน กลวิธำนในกำรปรบั ตวั Defense mechamnism 1. Rationalization ยกเหตุผลเข้าขา้ งตวั เอง= องนุ่ เปรย้ี ว มะนาวหวาน 2. Projection โยนความผดิ ให้คนอ่นื = ราไม่ดโี ทษปโี ทษกลอง 3. Repression การเก็บกด = ลืมเรื่องราวลมื ความเจบ็ ปวด 4. Compensation การชดเชย = เรยี นไม่เก่งไปเล่นกีฬา 5. Sublimation การทดแทน 6. Decrease การทดถอย
กลมุ่ ตำ่ งๆทำงจิตวทิ ยำ มี 6 กล่มุ ดังน้ี 5. กลมุ่ จิตวิทยำเกสตอล Gestalt Psychology Gestal มาจากภาษาเยอรมนั แปลวา่ โครงรปู แห่งการรวมหน่วย 1. กลมุ่ โครงสรำ้ งทำงจติ Structulism เชือ่ วำ่ การได้สัมผัสเป็นสิ่งสาหรับการเรียนรู้/ความรู้สึก(การ แนวคิด การพิจารณาพฤติกรรมหรือประสบการณ์ของคน เป็น ตคี วาม,แปลความ)/มโนภาพ(การคดิ ,วเิ คราะห์) ส่วนรวมซึ่งส่วนรวมน้ันมีค่ามากกว่าผลบวกของส่วนย่อยๆต่างๆ นกั จิตวทิ ยำ : วลิ เฮล์ม แมกซ์ ว้นุ ท์ รวมกัน 2. กล่มุ หนำ้ ที่ทำงจิต Functionalism หลกั สำคัญ การรบั ร้แู ละการหย่งั เห็น , การเรียนรคู้ อื การแกป้ ญั หา แนวคิด เกิดจาก การรวมกันระหว่างทฤษฎีของ ชาว ดาวิน , การเรยี นจากส่วนรวมไปหาส่วนยอ่ ย (Darwinian Theory) กับลัทธิปรัชญาท่ีเน้นความสาคัญของการปฏิบัติ นกั จิตวทิ ยำ : แมกซ์ เวทิ โฮเมอร์ ผ้รู ่วมงาน คือ เคทิ คอฟกา้ วล์อฟ จรงิ (Pragmatic Philosophy ) , มาจากกลมุ่ ปฏิบตั ินิยม แนวคิดกลุ่มน้ีมี อิทธิมากต่อวงการศึกษา เน่ืองจากมีจุดมุ่งหมายให้มนุษย์ดารงชีวิตอยู่ใน แกงเคอเลอร์ สังคมด้วยความผาสกุ 6. กลุม่ มนษุ ยนิยม Humanism มุ่งศึกษำ ด้ำนหน้ำท่ีของจิต = การเรียนรู้/การจูงใจ/การ มนษุ ย์พยำยำมปรบั ปรงุ ตวั ใหม้ คี วำมสมบรู ณ์ที่สุด มี ดงั นี้ แก้ไขปัญหา/จิตใจกับร่างกาย(จิตควบคุมกระบวนการในร่างกาย)/หรือ 1. เช่ือว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกประเภทหนึ่งที่มีจิตใจ มีความ การทบี่ ุคคลต้องปรับตัวใหเ้ ข้ากับสังคม ตอ้ งการความรกั เปน็ วิธกี ำรทำงวิทยำศำสตร์ , Learning by doing นักจิตวิทยำ : จอห์น ดิวอ้ี , วิลเล่ียม เจมส์ , วูดเธอร์ แอง 2. เชื่อว่ามนุษย์เราทุกคนต่างก็พยายามจะรู้จักและเข้าใจ เกลล์ ตนเองอยา่ งแทจ้ รงิ 3. กล่มุ พฤติกรรมนิยม Behaviorism 3. มีความเชือ่ วา่ มนุษย์เราทุกคนต่างกเ็ ข้าใจผอู้ นื่ และยอมรับ เชื่อวำ่ พฤตกิ รรมทกุ อย่างต้องมีเหตุมากระตุ้นและสาเหตุน้ัน ตนเองอยแู่ ล้ว มาจากสงิ่ เรา้ ในรปู ใดกไ็ ด้ทม่ี ากระทบ ,อาศยั แนวคดิ ของ พาฟลอฟ มีหลักกำร 3 ประกำร คือ 4. ให้คนมีสิทธอ์ิ สิ ระที่จะเลอื กกระทา 1. การวางเงื่อนไขเป็นสาเหตุที่ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 5. มีความเห็นว่า วิธีการค้นคว้าเสาะแสวงหา ความรู้ พฤตกิ รรม ข้อเทจ็ จริงตา่ งๆ เป็นส่ิงท่ีจาเป็น 2. พฤติกรรมของคนท่ีปรากฏส่วนมาก เกิดจากการเรียนรู้ นักจิตวทิ ยำ : อับราหัม มาสโลว์ , คาร์ล อาร์โรเจอร์ มากกว่าเปน็ ไปเองตามธรรมชาติ คำรล์ อำรดื รเจอร์ การยอมรบั และให้เกยี รตผิ ู้อ่นื 3. การเรยี นรขู้ องคนกับสัตว์ไม่ต่างกันมาก นักจติ วิทยำ : จอห์น บี วตั สัน ทฤษฎีควำมต้องกำรพื้นฐำน 5 ข้ันของ มำสโลว์ 4. กลมุ่ จติ วเิ ครำะห์ Psychoanalysis 1. ดา้ นรา่ งกาย Psysidogical เป็นกลุ่มท่ีศึกษำเก่ียวกับ จิตไร้สานึก(การกระทาที่ไม่ต้ังใจ), 2. ดา้ นความม่นั คงปลอดภัย Security แรงขับทางเพศ,การพัฒนาบุคลิกภาพ ซ่ึงทางกลุ่ม เช่ือว่ำ พลังงาน จติ ทาหน้าที่ควบคมุ พฤตกิ รรมมนุษย์มี 3 ลักษณะคือ 3. ด้านการตดิ ตอ่ สัมพนั ธ์ Affillation 1. จติ สานึก = ภาวะทจี่ ิตรตู้ ัวอย่ตู ลอดเวลา 4. ด้านการยอมรบั และยกยอ่ งนับถือจากผู้อ่ืน Exteem 2. จิตกงึ่ สานึก = ภาวะที่จติ ระลกึ ได้ 3. จติ ไรส้ านกึ = ไมอ่ ยู่ในภาวะทรี่ ้ตู วั 5. ด้านการใช้ความสามารถของตนเองให้เป็นประโยชน์มาก โครงสรำ้ งทำงจติ 3 ส่วนสำคญั ของฟรอย์ คอื ท่สี ุด Selfactualization 1. อดิ (Id) = ตัณหา ,ความตอ้ งการของมนษุ ย์ ยงั ไมไ่ ด้ขัด กำรเรยี นรู้ เกลา มนุษย์จะยอมทาทกุ อยา่ งเพ่อื ความพึงพอใจ ควำมหมำยของกำรเรยี นรู้ 2. อีโก้ (Ego) = ส่วนที่ควบคุมพฤติกรรมที่เกิดจากความ ตอ้ งการของ (Id) อาศยั กฎเกณฑ์ทางสงั คม , หลักแหง่ ความจริง 1. พฤตกิ รรมเดมิ ส่พู ฤติกรรมใหมท่ ถ่ี าวร 3. Super Ego = มโนธรรมหรือจิตส่วนท่ีได้รับการพัฒนา 2. ผลมาจากการฝกึ ฝน จากประสบการณ์ การอบรมสง่ั สอน พฒั นำกำรบุคลกิ ภำพของ ฟรอยด์ 5 ขนั้ 3. มใิ ชม่ าจากการตอบสนองตามธรรมชาติ 1. ขั้นปำก Oral Stage แรกเกิด 1 – 2 ขวบ = เด็กจะมี การเรียนรู้ขึ้นกับตวั แปร 3 ประการ ความสุขความพอใจ จะอยู่ท่ีได้รับการตอบสนองทางปาก เช่น การ ดูดนม การสมั ผัสด้วยปาก 1. สงิ่ เรา้ Stimulus – S 2. ข้ันทวำรหนัก Anal Stage 2 – 3 ขวบ = ความพอใจ 2. อินทรีย์ Oganism – O จะอยูท่ กี่ ารขับถา่ ย 3. การตอบสนอง Response - R 3. ขั้นอวัยวะเพศ Phallic Stage 3 – 5 ขวบ = ความ สนใจของเดก็ จะอยทู่ ่ีอวัยวะเพศ เด็กชายหวงแม่(Odepus) เด็กหญิง ดอลลำร์ด และ มิลเลอร์ Dollard and Miller มี 4 ประกำร คอื หวงพอ่ (Penis) มกั ถามว่า ตนเกิดมาจากไหน 1. แรงขบั 2. สงิ่ เรา้ 4. ข้นั แฝง Latency Stage 6 - 12 ขวบ = ระยะก่อนเข้า วัยรุ่นจะสนใจในเพศเดยี วกัน 3. การตอบสนอง 5. การเสรมิ แรง องคป์ ระกอบสำคัญในกำรเรียนรู้ 5. ขั้นวัยรุ่น Genital Stage 13 – 18 ขวบ = เด็กผู้หญิง เร่ิมสนใจเดก็ ผชู้ าย เด็กผ้ชู ายเร่ิมสนใจเด็กผู้หญิง ชว่ งนีจ้ ะเป็นระยะที่ วุฒิภาวะ Maturity = เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิดขึ้นตาม จะมคี วามสมั พันธร์ ะหวา่ งเพศอยา่ งแท้จริง นกั จิตวิทยำ : ซกิ มนั ด์ ฟรอยด์ ธรรมชาติ เป็นลาดับขนั้ ความเจรญิ เตบิ โตทงั้ รา่ งกาย จิตใจ ความพรอ้ ม Readiness = สภาวะของบุคคลที่จะเรียนรู้ส่ิงใดส่ิงหน่ึง อยา่ งบงั เกดิ ผล แรงจูงใจ Motivation = พลังงานท่ีกระตุ้นให้มีพฤติกรรมนาไปสู่ จุดมุ่งหมาย แยกเป็น 2 ประเภท คือ แรงจูงใจภายในและแรงจูงใจ ภายนอก การเสรมิ แรง Reinforcement การถ่ายโอนความรู้ Tranfer of learning
ทฤษฎีกำรเรียนรู้ ทฤษฎกี ำรวำงเง่อื นไขแบบกำรกระทำของสกินเนอร์ ทดลองใหห้ นอู ยใู่ นกล่องเอาเท้ากดคานอาหารก็ออกมา วิธีกำรและเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดกำรเรียนรู้ทฤษฎีกำรเรียนรู้ท่ี เนน้ การกระทาของผู้เรยี น สำคญั แบ่งได้ 2 กลมุ่ คอื การเรยี นรู้เกดิ จากการเสรมิ แรงทง้ั ทางบวกและทางลบ 1. ทฤษฎกี ลมุ่ ความรคู้ วามเข้าใจ Cognitive Theories ทางบวกนาเข้ามาแล้วดีขึ้น 2. ทฤษฎีกลุ่มสัมพันธ์เช่ือมโยง Associative Theories ซ่ึง ทางลบนาออกไปแล้วดขี ึ้น ปัจจุบนั เรียกว่า “ พฤตกิ รรมนยิ ม ” แบง่ เป็นกลุ่มยอ่ ยได้ดงั น้ี ตวั ย่างทฤษฎขี องสกนิ เนอร์ 2.1 การวางเง่ือนไข Conditioning Theories Operent Coditioning บทเรียนโปรแกรม - แบบคลาสสคิ “ถ้าครูไม่สามารถต้ังจุดมุ่งหมายเชิงพฤติกรรมได้ ครูก็ไม่อาจ - แบบการกระทา บอกไดว้ า่ ผู้เรียนประสบผลสาเรจ็ ตามท่มี งุ หวงั ไวห้ รอื ไม่” 2.2 สัมพันธ์เช่ือมโยง Connectionism Theories - สัมพันธเ์ ช่ือมโยง ทฤษฎกี ลมุ่ ควำมรู้ควำมเข้ำใจ - สัมพันธต์ อ่ เน่อื ง กลุ่มเกสตัลท์ มีผู้นำกลุ่มคือ เวอร์ไทเมอร์ , โคลเลอร์ , คอฟกา , เลวิน กำรวำงเงื่อนไขของพำฟลอฟ การเรียนรู้เกิดจากการจัดประสบการณ์ท้ังหลาย พาฟลอฟ = เปน็ การสรา้ งความสมั พันธร์ ะหว่างสงิ่ เรา้ กับการ มารวมกัน หรือการรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย รวมกนั ตอบสนองที่ต้องวางเง่ือนไข การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค Classsical กลมุ่ เกสตัลท์ มีกฎ 6 ขอ้ ดังนี้ condition มี 4 กฎ ดังน้ี ด้านการรบั รู้ 1. ความชดั เจน 1. Law of extination การลดภาวะ การลบพฤติกรรม การ 2. ความคล้ายคลึง สนองทเ่ี คยปรากฏจะไม่ปรากฏ 3. ความใกลช้ ิด 4. ความตอ่ เน่อื ง 2. Law of spontaneous การฟ้ืนคืนสภาพหลังจากการลบ 5. ความสมบรู ณ์ พฤตกิ รรม ดา้ นการหย่ังเหน็ Insight (โคลเลอร)์ ทฤษฎีสนำมของเลวนิ 3. Law of generalization การสรุปเกณฑ์ , การตอบสนอง การเรียนรู้เกิดจากการจัดกระบวนการเรียนรู้และ คลา้ ยกบั เงื่อนไข กระบวนการคิดเพ่ือแกป้ ญั หา ครูต้องหาวิชาท่ีทาให้ตัวครูเข้าไปอยู่ใน life 4. Law of discrimination ความแตกต่างท่ีแยกแยะได้ space ใหไ้ ด้ พาฟลอฟ นกั สรีระชาวรสั เซยี ผูท้ าการทดลอง(สุนัขกบั กระดูก) เพ่ือศึกษา จิตวทิ ยำพฒั นำกำร ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง ส่ิ ง มี ชี วิ ต เ กิ ด จ า ก ก า ร ว า ง เ งื่ อ น ไ ข Conditionning ซงึ่ มีลาดบั ขน้ั ตอนดังนี้ เป็นจิตวิทยาแขนงหน่ึงที่มุ่งศึกษามนุษย์ทุกวัยต้ังแต่ปฏิสนธิ 1. ก่อนวาเง่ือนไข UCS (อาหาร) UCR (น้าลายไหล)ส่ิงเร้าท่ี จนกระทั่งวาระสดุ ทา้ ยของชีวิต เป็นกลาง(เสยี งกระด่ิง)นา้ ลายไมไ่ หล 2. ขณะวางเงื่อนไข CS (เสียงกระดิ่ง) + UCS (อาหาร) UCR ควำมหมำยของ พฒั นำกำร Development (น้าลายไหล) สชุ า จันทรเ์ อม = ลาดับของการเปล่ียนแปลงหรือ 3. หลังการวางเงื่อนไข CS (เสยี งกระดิ่ง) CR (นา้ ลายไหล) กระบวนการเปล่ียนแปลง แบบคลำสสิคของ วัตสนั ทพิ ถพ์ า เชษฐเชาวลิต = การเปลี่ยนแปลงท่ีเป็นไปอย่างมี นักจิตวิทยา ชาวอเมริกันทาการทดลอง(เด็กชายอายุ 11 ระเบียบแบบแผน เดือนกบั หนู) มีหลกั การดังน้ี ศรเี รือน แกว้ สังวาน = การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่าง 1. การแผ่ขยายพฤติกรรม = มีการแผ่ขยายการตอบสนองที่ สมา่ เสมอและตอ่ เนอ่ื ง วางเงือ่ นไขตอ่ ส่ิงเร้าคล้ายคลึงกบั สิ่งเรา้ ทีเ่ ป็นเงอื่ นไข 2. การลดภาวะ = หรือการดับสูญการตอบสนอง ให้ส่ิงเร้า สรุปได้ว่ำ = พัฒนาการ เป็นกระบวนการพัฒนาของมนุษย์ในทุกๆ ด้านตั้งแตจ่ ดุ เรม่ิ ต้นของชวี ติ จนกระทั่งวาระสดุ ท้าย ใหม่ ตรงข้ามกับสง่ิ เรา้ เดมิ เรยี ก Counter – Conditioning พัฒนำกำร เปน็ การเปลี่ยนแปลงทเ่ี ป็นระบบ คาดคะเนได้ ซ่งึ มลี าดบั ขั้นตอนของการเรียนรู้ ประกอบด้วยพ้ืนฐานสาคัญ กำรเจริญเติบโต การเปล่ยี นแปลงเห็นถึงการเพ่ิมขน้ึ ดา้ นปรมิ าณ 3 ขัน้ ตอนคือ 1.ประสบการณ์ 2. ความเข้าใจ 3. ความนกึ คดิ องคป์ ระกอบของกำรพัฒนำ 1. วฒุ ภิ าวะ Maturity ทฤษฎสี มั พันธเ์ ช่อื มโยงของธอร์นไดด์ 2. การเรยี นรู้ Learning ทาการทดลองแมวกบั อาหารโดยแมวถูกขังอยูใ่ นกรง การเรียนรู้เกิดจากการลองผิดลองถูก นาไปสู่การเชื่อมโยง จุดมุง่ หมำยของกำรศกึ ษำพฒั นำกำรของมนษุ ย์ - เพื่อใหเ้ กดิ แรงจงู ใจ เขา้ ใจลกั ษณะของพัฒนาการ ระหวา่ งส่งิ เร้ากบั การตอบสนอง ประกอบดว้ ย - มสี ว่ นชว่ ยในการแก้ไขและเข้าใจปญั หาทเี่ กิดขน้ึ กฎแห่งความพร้อม Law of readiness - เพื่อให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับความยากลาบากของ กฎแห่งการฝึกหัด Law of effect การที่ผู้เรียนได้ฝึกหัด พฒั นาการแตล่ ะชว่ งอายุ หรือกระทาบ่อยๆ กฎแห่งความพอใจ Connectionlism ควำมหมำยของจติ วทิ ยำพฒั นำกำร คือศาสตร์ทีศ่ กึ ษาเก่ียวกับความคดิ และพฤตกิ รรมมนษุ ย์ นาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นช้นั เรียนดังนี้ ลดการวางเง่ือนไข ศึกษาภูมิหลังของเด็กว่าเด็กชอบอะไร นา จติ วิทยำพฒั นำกำรมี 4 ด้ำน 1. ด้านรา่ งกาย 2. ดา้ นสติปญั ญา ส่งิ เรา้ มาค่กู นั จากนัน้ ตรวจสอบวา่ เดก็ ชอบหรือเปลา่ 3. ดา้ นอารมณ์ 4. ดา้ นสงั คม สง่ิ ใดกต็ ามที่กระทาบอ่ ยๆ ก็จะเกิดทักษะ ความชานาญ
กำรแบ่งวัยระยะพฒั นำกำร แบง่ ตำมอำยไุ ด้ 8 ชว่ งดงั น้ี 1. ระยะกอ่ นคลอด = เริม่ ปฏิสนธจิ นถึงคลอด ทฤษฎีพฒั นำกำรทำงควำมคดิ ของโคลเ์ บริ ์ก เป็นการสร้างทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม ซ่ึง เบิร์กศึกษา 2. ระยะหลังคลอด จากเพียเจทแ์ ล้วพบวา่ มนุษย์มพี ัฒนาการทางจริยธรรมหลายข้ันตอน 2.1 แรกเกิด , ทารก = คลอดถึง 2 ขวบ เบริ ก์ เองได้แบง่ เป็น 3 ขัน้ 6 ขอ้ ยอ่ ยดงั น้ี 2.2 เดก็ ตอนต้น = 2 - 6 ขวบ 1. ระดบั กอ่ นกฎเกณฑ์ Pre – Conventional ( 2-10ปี ) เดก็ จะสนองตามเกณฑภ์ ายนอกมักเกยี่ วข้องกับรา่ งกาย 2.3 เดก็ ตอนกลาง = ช (7-12) , ญ (6-10) 1.1 หลีกเล่ียงการถูกลงโทษ เพราะกลัวความ 2.4 ยา่ งสู่วัยรุ่น = ช(13-15), ญ(12-13) เจบ็ ปวด 2.5 วยั รุ่น = ตอนตน้ (14-17), 1.2 ยินยอมทาเพื่อให้ได้รางวัล ตลอดจน แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ ตอนปลาย(17-20) 2. ระดับตำมเกณฑ์ Conventional ( 10-16ปี ) ยอมรับ ความมุ่งหวังของครอบครวั พยายามปฏบิ ัติให้เหมาะสม 2.6 วยั ผใู้ หญ่ตอนตน้ = 18 – 40 ปี 2.1 เกณฑ์เด็กดี คล้อยตามการชักจูง ทาตาม 2.7 วยั ผ้ใู หญต่ อนกลาง = 40 – 60 ปี ความคาดหวังของสงั คม 2.8 วยั ชรา = มากกว่า 60 ปี 2.2 ยดึ ถอื กฎระเบยี บขอ้ บงั คับของสงั คม 3. ระดับเหนือเกณฑ์ Post – Conventional ( 16 ปี ข้ึน ทฤษฎจี ิตวทิ ยำพัฒนำกำรของ อิรคิ สนั ไป ) ระดับการตัดสนิ ขัดแยง้ ดา้ นจริยธรรม อธิบายถึงลักษณะการศึกษาไปข้างหน้า โดยเน้นถึงสังคม 3.1 การกระทาตามคามั่นสัญญา 3.2 ยินยอมทาตามเพ่ือหลีกเล่ียงการติเตียน วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ท่ีมีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของคน ตนเอง มหี ลกั การทางจริยธรรมสากล เป็นการพัฒนาของ Ego มี 8 ข้นั ดงั น้ี จิตวิทยำกำรแนะแนว 1. ระยะทารก 0 – 2 ขวบ = ขน้ั ไว้วางใจและไม่ไว้วางใจผูอ้ ื่น กำรแนะแนว Guidance = กระบวนการทางการศึกษาที่ ช่วยให้บุคคลรู้จักเข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อม เลือกตัดสินใจได้อย่าง 2. วัยเร่ิมต้น 2 – 3 ขวบ = ขั้นมีอิสระกับความละอาย ถกู ตอ้ งเหมาะสม ความสงสัย เป็นตัวของตัวเอง หรอื เรียก ขั้นพลังจติ ควำมสำคญั ของกำรแนะแนว ปอ้ งกนั ปญั หาและแกไ้ ขพฤติกรรมทกุ อย่างท่ีผิดปกติให้ทุกคน 3. ระยะก่อนไปโรงเรยี น 3 – 6 ปี = ข้ันมีความคิดริเร่ิมกับ ไปสู่จุดหมายของชีวติ ความรสู้ ึกผดิ , ข้นั มีความม่งุ ประสงค์ (วยั เด็กซกุ ซน) เป้ำหมำยของกำรแนะแนว 4. ระยะเข้าโรงเรียน 6 – 12 ปี = ขั้นเอาการเอางาน ข้ัน ปอ้ งกนั ปัญหา , แกไ้ ขปัญหา , ส่งเสรมิ และพฒั นา สมรรถภาพ กบั ความมีปมด้อย ปรชั ญำของกำรแนะแนว 1. ผู้เรยี นแตล่ ะคนยอ่ มมคี วามแตกตา่ งกัน 5. ระยะวยั รุ่น 12 – 20 ปี = ขั้นเข้าใจอัตลักษณ์ของตนเอง 2. บคุ คลเปน็ ทรัพยากรทีม่ ีค่า 3. บุคคลมกี ารเปลยี่ นแปลงทุกด้าน และ ไม่เข้าใจตนเอง 4. พฤตกิ รรมทกุ อย่างย่อมมีสาเหตุ 5.บุคคลย่อมมศี ักด์ิและศรีและความตอ้ งการยอมรบั 6. ระยะตน้ ของวัยผู้ใหญ่ 20 – 40 ปี = ข้นั ใกล้ชิดสนิทสนม 6. ผคู้ นเม่ืออย่รู ว่ มกันย่อมตอ้ งมกี ารพึง่ พาอาศยั กัน กับความรูส้ ึกเปลา่ เปลีย่ ว ข้ันความรกั หลักของกำรแนะแนว 1. บริการแนะแนวในโรงเรียนเพ่อื นกั เรยี นทกุ คน 7. ระยะผู้ใหญ่ 40 – 60 ปี = การอนุเคราะห์เก้ือกูลกับการ 2. นกั เรยี นสามารถนาไปพัฒนาตนเองได้ 3.ตอ้ งมขี ้อมลู นักเรียนทุกคน พะวา้ พะวงตัวเอง ขนั้ เอาใจใส่ 4. จะต้องจัดอยา่ งตอ่ เนอ่ื งกันไป 5. จะต้องมกี ารประสานงาน 8. ระยะสูงอายุ 60 ปีข้ึนไป = มีความม่ันคงทางจิตใจกับ 6.จะต้องทาควบค่ไู ปกับการเรียนการสอน 7. จัดใหค้ รอบคลุมทุกดา้ น ความส้ินหวงั , ข้ันบูรณาการ , วัยชรา หนำ้ ท่แี ละหลักของกำรแนะแนว ทฤษฎพี ัฒนำกำรของเพยี เจท์ 1. ต้องยึดปรัชญาการแนะแนว 2. จดั ใหค้ รอบคลุมเป็นระบบท้ัง 3 ดา้ น 5 บริการ เปน็ การใชค้ วามสามารถในการใช้เหตผุ ลและตรรกวิทยา มีอยู่ 3. ในโรงเรยี นตอ้ งจัดให้นกั เรียนทุกคนไมใ่ ชเ่ ฉพาะนกั เรยี นทม่ี ี 4 ข้ัน ปัญหา 4. ต้องคานงึ ถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล 1. Sensorimotor แรกเกิด – 2 ขวบ = การรับรู้ด้วยการ 5. อาศัยความรว่ มมอื จากหลายๆผา่ ย เคล่อื นไหวและใชป้ ระสาทสัมผัส , พัฒนาการทางความคดิ กอ่ นพูดได้ 2. Preoperational วัย 2 – 7 ปี = ข้ันก่อนการคิดแบบมี เหตุผล , ริเร่ิมความเข้าใจ เป็นวัยก่อนเข้าโรงเรียนยังไม่สามารถใช้ ปัญญาไดเ้ ต็มท่ี 3. Concrete วยั 7 – 11 ปี = ขั้นการคิดแบบมีเหตุผล เชงิ รปู ธรรม มกี ารจดั หมวดหมู่ 4. Formal วัย 11 – 15 ปี = ข้ันการคิดแบบมีเหตุผล เชิงนามธรรม ทฤษฎีกำรจดั ประเภททำงปญั ญำของบรเู นอร์ มี 3 แบบ 1. แบบใชก้ ารปฏิบัติ Enactive = รับรู้ประสบการณ์ด้วยการ กระทา 2. แบบใช้ภาพความคิด Ikonic = เด็กจะเร่ิมรับส่ิงแวดล้อม เขา้ มาด้วยจินตภาพ 3. แบบสัญลักษณ์ Symbotic = อธิบายลักษณะของวัตถุ ดว้ ยภาษา
ขอบข่ำยของกำรแนะแนว 3 ดำ้ น คำศัพทเ์ กยี่ วกบั จิตวทิ ยำทคี่ วรรู้ 1. แนะแนวการศึกษา = มุ่งหวังให้ผู้เรียนพัฒนาการเรียนได้ เชาวป์ ัญญา = ความสามารถในการเรียนร้แู ละปรับตัว เต็มศกั ยภาพ 2. แนะแนวอาชีพ = มงุ่ หวงั ให้ผู้เรียนรู้จักตนเองและโลกของ ผูค้ ิดคน้ = สเตริ ์น งาน IQ 140 – 170 อจั ฉรยิ ะ ร้อยละ 1 3. การแนะแนวส่วนตัว = เป็นการแนะแนวให้มีชีวิตความ 120 – 139 ฉลาดมาก ร้อยละ 11 เปน็ อยู่ที่สมบรู ณ์ 110 – 119 ฉลาดปานกลาง ร้อยละ 18 กำรบรกิ ำรแนะแนวในสถำนศึกษำ 5 บริกำร 1. รวบรวมข้อมูลศึกษาเด็กเป็นรายบุคคล = บันทึกประวัติ 90 – 109 ปานกลาง รอ้ ยละ 47 นักเรียน , ทดสอบความถนดั , สารวจพฤตกิ รรม 80 – 89 ต่ากว่าระดบั ปานกลาง ร้อยละ 15 2. บริการสารสนเทศ = บรกิ ารขอ้ มูลขา่ วสาร การศึกษา การ 70 – 79 เกือบปญั ญาออ่ น รอ้ ยละ 6 เลือกอาชพี ให้ผูเ้ รยี นเกิดการพัฒนา 3. การบริการให้คาปรึกษา = หัวใจของการแนะแนว มี 5 ต่ากว่า 70 ปัญญาออ่ น ร้อยละ 2 เจตคติ = ความรู้สึกท่ีค่อนข้างถาวรต่อส่ิงเร้า ที่เรารู้จักหรือเข้าใจ ดา้ นย่อย ดงั นี้ 3.1 การศกึ ษา 3.2 อาชีพ ประกอบด้วย 3.3 สังคม,สว่ นตวั 3.4 พัฒนานักศกึ ษา 3.5 วชิ าการ 1. ทศิ ทาง + , - 4. การจัดวางตัวบุคคล = ฝึกฝนประสบการณ์ตรง การจัดหา 2. ความเขม้ ขน้ = ขน้ึ กบั วา่ เจตคติมมี ากน้อยเพียงใด ทนุ การศกึ ษา 3. ขอบเขต = เจตคติทมี่ ขี ยายอทิ ธพิ ลถึงสง่ิ อ่นื 5. ตดิ ตามผล และ ประเมนิ ผล 4. ระยะเวลา = ความยาวนานหรือความคงทนของเจตคติ โครงสร้ำงขององค์กรแนะแนว ออทซิ ึม = ความสามารถในการพัฒนาด้านอารมณ์ เกิดขึ้นก่อนอายุ 3 คณะกรรมการบริหารหลกั สูตรและวิชาการสถานศึกษา คณะอนกุ รรมการการแนะแนว ขวบ คณะทางานแนะแนว ผ้ปู ฏิบตั ิ (คร)ู ครู = ให้ผเู้ รยี นได้พฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มศกั ยภาพ ครูแนะแนว = เปน็ ท่ปี รึกษา Supervizer , ผใู้ หค้ าปรกึ ษา Counselur , ผูป้ ระสานงาน Co-ordinator กำรตดิ ตำมและกำรประเมนิ ผล - ประเมินระหวา่ งดาเนนิ การ - ประเมนิ รวบยอด ( อยา่ งนอ้ ยปลี ะ1ครัง้ หรือภาคเรยี นละ1 ครัง้ ) แนวทำงกำรบรหิ ำรจดั กำรแนะแนว Plan = เตรียมการวางแผนวิเคราะหข์ อ้ มลู ผูเ้ รยี นความ ตอ้ งการของผเู้ รยี น Do = ลงมอื ปฏบิ ัติ สรา้ งและตระหนกั กบั บคุ ลากรทกุ ฝา่ ย Check = ตดิ ตาม ประเมนิ ผล รายงาน Action = ปรบั ปรุงและพฒั นา ระบบกำรดำเนนิ งำนแนะแนว กลุม่ ปกติ คณะทางานแนะแนว กลมุ่ เสยี่ ง ครทู กุ คน ผปู้ กครอง/ชมุ ชน/เพ่ือน ครู แนะแนว/ท่ีปรกึ ษา/ประจาชน้ั ดาเนนิ กิจกรรมป้องกนั แก้ไขสง่ เสรมิ และพฒั นา ตดิ ตามและประเมนิ ผล บรรลุเปา้ หมาย ผู้เชีย่ วชาญ ผเู้ รียนเปน็ คนดี มปี ัญญา มคี วามสุข รายงานผล
4. กำรพฒั นำผเู้ รยี น 4.5 ทกั ษะชวี ติ = เนน้ การมีความสามารถในการปรับเป้าหมาย จดุ เนน้ เพอ่ื คณุ ภาพของเดก็ ไทย คดิ เปน็ ทาเป็น แก้ปัญหาได้ ก้าวไกลสู่สากล แผนและทิศทาง การดาเนินชีวิตสู่ความสาเร็จ สร้างข้อสรุปบทเรียนชีวิต เปน็ พลเมืองทีส่ มบูรณ์ ตัวเอง กำรพฒั นำดำ้ นควำมสำมำรถและทักษะ 4.6 ทักษะการสื่อสารอย่างสรา้ งสรรคต์ ามชว่ งวัย = รบั และ ส่ง 1. ช้ัน ประถมศึกษำปที ี่ 1 – ชัน้ ประถมศึกษำปีท่ี 3 = อา่ นออกเขียนได้ คิด เลขเป็น มีทกั ษะการคิดพนื้ ฐาน ทกั ษะชวี ติ ทกั ษะการสอื่ สารอย่างสร้างสรรค์ตามช่วง สาร แสดงความคิดใหม่ จากเร่ืองที่ฟัง ดู และ อ่าน ที่เป็นประโยชน์ต่อ วยั ดงั น้ี สว่ นรวม 1.1 อา่ นออก = รับรู้ , เข้าใจความหมายของ คา ประโยค ข้อความสน้ั ๆ ดำ้ นคณุ ลักษณะ 1.2 เขียนได้ = ความสามารถเขยี นคาประโยค ขอ้ ความส้ันๆ 1.3 คดิ เลขเป็น = มวี ธิ กี ารคิดหลายรปู แบบประยกุ ต์ใชไ้ ด้ จุดเนน้ ตำมชว่ งวัย 1.4 ทักษะการคิดพื้นฐาน = ความสารถในการแสดงออกถึงพฤติกรรม มี 2 สว่ นย่อย ดังนี้ ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 1 – 3 = ใฝด่ ี 1.4.1 ทักษะการสอื่ สาร = ฟงั , พดู , อา่ น , เขยี น ชั้น ประถมศกึ ษาปที ่ี 4 – 6 = ใฝ่เรยี นรู้ 1.4.2 ทักษะการคิดท่ีเป็นแกน = การสังเกต การจับกลุ่ม รวบรวมข้อมลู เชอ่ื มโยง จาแนกประเภท ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 – 3 = อยู่อย่างพอเพียง 1.5 ทกั ษะชีวติ = การรจู้ ักตนเอง และมองผอู้ ืน่ ในแง่บวก 1.6 ทักษะการส่ือสารอย่างสร้างสรรค์ตามช่วงวัย = ความสามารถในการ ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 4 – 6 = มุ่งมัน่ ในการทางาน สอื่ สารไดต้ รงตามวัตถปุ ระสงค์ ใชค้ าที่สภุ าพ 2. ชั้น ประถมศึกษำปีท่ี 4 – ชั้นประถมศึกษำปีที่ 6 = อ่านคล่อง เขียน ควำมหมำย คล่อง คิดเลขคล่อง มีทักษะการคิดพื้นฐาน ทักษะชีวิต ทักษะการส่ือสารอย่าง สรา้ งสรรคต์ ามชว่ งวยั ใฝ่ดี = การแสดงออกถึงความมีเหตุผล รจู้ ักแยกแยะถูก ผดิ 2.1 อ่านคล่อง = อ่านออกเสียงชัดเจน ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ จับ ใจความเรอ่ื งทอ่ี ่านได้ ใฝเ่ รียนรู้ = รกั การอ่าน แสวงหาความรู้เพิ่ม 2.2 เขียนคล่อง = เขียนคา ประโยค ข้อความ เร่ืองราวถูกต้องตาม หลกั เกณฑ์ อยอู่ ย่างพอเพียง = ดาเนินชวี ติ ด้วยความประหยัดไมฟ่ ุ่มเฟอื ย 2.3 คดิ เลขคล่อง = คิดหาคาตอบไดร้ วดเร็วถกู ตอ้ ง 2.4 ทกั ษะการคดิ พน้ื ฐาน = ความสามรถในการแสดงออกถึงพฤติกรรม มุ่งมั่นในการทางาน = แสดงออกถึงความต้ังใจและความ 2.4.1 ทักษะการสอ่ื สาร = ฟัง , พูด , อา่ น , เขยี น 2.4.2 ทักษะการคิดที่เป็นแกน = ต้ังคาถาม ใช้เหตุผล แปล รบั ผิดชอบด้วยความเพยี ร ความ 2.5 ทักษะชีวิต = เน้นให้มีความสามารถในการปรับตัว เคารพสิทธิของ กำรพฒั นำผู้เรียน ตนเองและผู้อืน่ 2.6 ทกั ษะการส่อื สารอย่างสร้างสรรค์ตามช่วงวยั = รบั และส่งสารอยา่ งมี ความสามารถในการปลูกฝัง คุณธรรม จริยธรรม การพัฒนา เหตผุ ล 3. ช้ัน มัธยมศึกษำปีที่ 1 – ช้ันมัธยมศึกษำปีที่ 3 = แสวงหาความรู้ด้วย ทกั ษะชวี ติ สขุ ภาพกาย และสุขภาพจิต ความเป็นประชาธิปไตย ภูมิใจใน ตนเอง ใช้เทคโนโลยีเพ่ือการเรียนรู้ มีทักษะการคิดขั้นสูง ทักษะชีวิต และทักษะการ สื่อสารอย่างสรา้ งสรรค์ตามชว่ งวยั ความเปน็ ไทย 3.1 การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง = กระบวนการค้นคว้า นามา กำรพฒั นำคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ดว้ ยตนเอง 3.2 การใช้เทคโนโลยเี พ่อื การเรยี นรู้ = นาแนวคิด หลักการกระบวนการ คุณภาพของผู้เรียนด้าน คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และ ทางเทคโนโลยี มาประยกุ ต์ใชใ้ นการทางาน 3.3 ทกั ษะการคิดขั้นสงู = การคดิ ตอ้ งอาศยั ทักษะการส่ือความหมาย จน จิตสานึกท่ีกาหนดขึ้นโดย พิจารณาจากสภาพของสังคมและการ ชานาญ เชน่ การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ การประเมิน สรุปลงความเหน็ 3.4 ทกั ษะชีวติ = เน้นให้ความสามารถในการกาหนดเป้าหมาย วางแผน เปล่ยี นแปลงโลกยคุ ปจั จบุ ัน ชวี ติ มีจติ อาสา หลกี เลย่ี งจากสถานการณ์ขับขนั คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8 ประกำร 3.5 ทกั ษะการส่ือสารอย่างสร้างสรรค์ = รับและสง่ สารอยา่ งมเี หตผุ ล 4. ชั้น มธั ยมศึกษำปีที่ 4 – ชน้ั มธั ยมศกึ ษำปที ี่ 6 = การแสวงหาความรู้เพ่ือ 1. รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ 2. ซ่อื สัตย์ สจุ รติ แก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีเพ่ือการเรียนรู้ ใช้ภาษาต่างประเทศ(ภาษาอังกฤษ) มีทักษะ การคิดข้ันสงู 3. มีวินยั 4. ใฝเ่ รียนรู้ 4.1 แสวงหาความรู้ด้วยตนเองเพ่ือแก้ปัญหา = ใช้กระบวนการแสวงหา ความรู้ และนามาวเิ คราะห์ สังเคราะห์ 5. อยู่อย่างพอเพยี ง 6. มุ่งมัน่ ในการทางาน 4.2 ใช้เทคโนโลยีเพ่ือการเรียนรู้ = ความสามารถในการนาแนวคิด หลกั การ เทคนคิ ความรู้ วิธีการมาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการทางาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจติ สาธารณะ 4.3 ภาษาอังกฤษ = รับส่งสาร ได้ตรงความหมาย คล่องแคล่วถูกต้อง แนวทำงกำรวดั และประเมนิ ผลคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ชดั เจน 4.4 ทักษะการคิดขั้นสูง = อาศัยการสื่อความหมาย ทักษะที่เป็นแกน 1. สถานศึกษาดาเนนิ การแตง่ ต้งั คณะกรรมการพฒั นาคุณลกั ษณะอนั หลายๆทกั ษะมาพฒั นาจนชานาญ พึงประสงค์ 2. ขั้นตอนการปฏิบัตกิ จิ กรรม โดยครทู รี่ ับผิดชอบกจิ กรรม 2.1 ศึกษาคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขนั้ พื้นฐาน นิยาม ตัวชี้วัด พฤติกรรมตัวบ่งช้ี เกณฑ์การให้ คะแนน 2.2 ศึกษาแนวคดิ ทฤษฎีหลักการท่เี กยี่ วข้อง 2.3 ศึกษาและกาหนดแนวปฏบิ ตั ใิ นการพฒั นาผเู้ รยี น - ครูประจาชั้นบูรณาการร่วมกันประเมินกับครูใน 8 กลุ่มสาระ - ครูประจาชั้นบูรณาการกับครูท่ีรับผิดชอบ กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น - ครูประจาชั้นบูรณาการร่วมกันประเมินกับครูที่ รบั ผิดชอบจัดโครงการ - ครูประจาชั้นร่วมปลูกฝังคุณลักษณะอันพึง ประสงค์สอดแทรกในชวี ติ ของผเู้ รยี น 2.4 ศกึ ษาข้อมลู พนื้ ฐานผูเ้ รยี นกอ่ นพัฒนา 2.5 สร้างหรอื เลือกเครอื่ งมอื ทเี่ หมาะสม 2.6 ดาเนินการพัฒนาผู้เรียนตามแนวทางที่กาหนดไว้ และ ประเมนิ เปน็ ระยะๆ 2.7 รายงานผลการพัฒนาผเู้ รยี นทีเ่ กีย่ วข้อง
ควำมหมำย ตวั ช้วี ัด พฤติกรรมบ่งช้ี ของคุณลกั ษณะพึงประสงค์ 1. รักชำติ ศำสน์ กษัตริย์ = คุณลักษณะท่ีแสดงออกถึงกำรเป็นพลเมืองดี 5. อยู่อย่ำงพอเพียง = แสดงออกถึงกำรดำเนินชีวิต อย่ำงพอประมำณ มี ของชำติ เหตุผล รอบคอบ มีคณุ ธรรม มีภูมิคมุ้ กัน 1.1 เปน็ พลเมืองดีของชาติ ยนื ตรงเคารพธงชาตทิ กุ ครงั้ 5.1 ดาเนินชีวิตอย่างพอประมาณ ใช้จา่ ยอยา่ งประหยัด สามคั คใี นหม่คู ณะ มีเหตผุ ล รอบคอบมีคณุ ธรรม มีการออมทรัพย์ ทาตามกฎระเบยี บของโรงเรียน ใชท้ รัพยส์ นิ ของตนอยา่ งประหยดั รอ้ งเพลงชาตไิ ด้ 5.2 มีภูมิคุ้มกันในตัวท่ีดี ปรับตัว นาเสนอข่าวสารหน้าช้ันเรียน ร่วมกัน 1.2 ธารงไว้ซ่งึ ความเปน็ ไทย พูด เขียน ภาษาไทยได้ถกู ต้อง เพ่ืออยู่ในสังคมได้อย่างมี วเิ คราะห์ ติดตามข่าวสาร ร่วมกจิ กรรมวนั สาคญั ความสขุ ปรับตัวเขา้ กบั เพ่ือนได้ แ ต่ ง ก า ย ชุ ด นั ก เ รี ย น ด้ ว ย ค ว า ม วางแผนการเรียน การทางาน เรียบร้อย ยอมรบั เพือ่ น ภูมิใจในความเป็นไทย เชอื่ ฟังคาสั่งสอนของ ครู อาจารย์ หวงแหนปกปอ้ งชาติไทย 1.3 ศรทั ธา ยึดมน่ั ปฏบิ ัตติ น เข้าร่วมศาสนาทีต่ นนบั ถือ ตามหลกั ศาสนา ปฏิบัตติ ามหลกั ศาสนา 6. มุ่งมั่นในกำรทำงำน = ตั้งใจและรับผิดชอบในกำรทำหน้ำท่ีกำรงำน ด้วย เปน็ แบบอย่างที่ดี ควำมเพียรพยำยำมอดทน เข้ารว่ มกิจกรรมวันสาคัญ 6.1 ต้ังใจและรับผิดชอบในหน้าที่ ตัง้ ใจในการทางาน รับผิดชอบงาน เอาใจ 1.4 เคารพเทิดทนู สถาบนั ฯ เข้ารว่ มกจิ กรรมท่จี ดั ข้นึ ฯ การงาน ใส่ตอ่ งาน แกไ้ ขงาน ยนื ตรงรอ้ งเพลงสรรเสริญได้ 6.2 ท า ง า น ด้ ว ย ค ว า ม เ พี ย ร ขยนั อดทน ในการทางาน แสดงความจงรักภักดี พยายาม อดทน เพ่ือให้งาน ชื่นชมผลงานของตนและเพื่อน ติดธงสญั ลกั ษณ์ สาเรจ็ ตามเป้าหมาย มคี วามพยายามในการทางาน 2. ซ่ือสัตย์ สุจริต = ลักษณะที่แสดงออกถึงกำรยึดม่ันในควำมถูกต้อง 7. รักควำมเป็นไทย = แสดงออกถึงควำมภำคภูมิใจ เห็นคุณค่ำร่วมอนุรักษ์ ประพฤตติ รงตำมควำมเปน็ จริงต่อตนเองและผู้อื่น สืบทอดภมู ปิ ัญญำไทยฯ 2.1 ประพฤติตรงตามความเป็น ใหข้ อ้ มูลของตนเองตามความเป็นจริง 7.1 ภาคภูมิใจในขนบธรรมเนียม มีมารยาท สมั มาคารวะ จริง ทัง้ กาย วาจา ใจ ปฏบิ ัตติ ามคามัน่ สัญญา ประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรม แต่งกายสะอาดเรยี บรอ้ ย ไม่พดู โกหก กตญั ญูกตเวที เข้ารว่ มกจิ กรรมฯ 2.2 ปฏิบัติตรงตามความเป็นจริง ไม่ลกั ขโมย 7.2 เห็นคุณค่าและใช้ภาษาไทย ใช้ภาษาไทยไดถ้ กู ตอ้ ง ต่อผ้อู ่นื ท้ังทางกาย วาจา ใจ มคี วามซ่ือสัตยต์ อ่ ผ้อู ืน่ ในการส่อื สารไดถ้ ูกตอ้ ง พดู ภาษาไทยได้ถูกต้อง ไมล่ อกการบ้าน สอ่ื สารกบั ผู้อืน่ เขา้ ใจได้ เก็บของได้ส่งคืนครู 7.3 อ นุ รั ก ษ์ แ ล ะ สื บ ท อ ด ภู มิ เข้าร่วมกิจกรรมที่เก่ียวขอ้ ง 3. มีวินัย = แสดงออกถึงควำมยึดม่ันในข้อตกลง กฎเกณฑ์ และระเบียบ ปัญญาไทย สามารถบอกภมู ปิ ญั ญาในทอ้ งถ่นิ ได้ ข้อบังคบั ของครอบครัว โรงเรยี น และสงั คม มสี ว่ นรว่ มในการสบื ทอด 3.1 ป ฏิ บั ติ ต า ม ข้ อ ต ก ล ง ทาตามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ระเบียบ ข้อบังคับ สง่ งานตรงเวลา 8. มีจิตสำธำรณะ = แสดงออกถึงกำรมสี ว่ นรว่ มในกจิ กรรม หรือสถำนกำรณ์ที่ ของครอบครัว โรงเรียน และ เขา้ แถวทกุ วนั สงั คม รบั ผดิ ชอบงาน กอ่ ให้เกิดประโยชนแ์ ก่ ผ้อู ่ืน ชมุ ชน สงั คม แต่งกายถกู ตอ้ ง เขา้ หอ้ งเรยี นตามเวลา 8.1 ช่วยเหลือผู้อ่ืนด้วยความเต็ม ชว่ ยเหลอื พอ่ แม่ในการทางาน แปรงฟนั ตอนกลางวนั ใจ ไมห่ วงั ผลตอบแทน ชว่ ยเหลอื ครใู นการทางาน แบ่งปนั ส่งิ ของให้กบั เพอ่ื นทีข่ าดแคลน ทางานกลุ่มอย่างเต็มใจ 8.2 เ ข้ า ร่ ว ม กิ จ ก ร ร ม ที่ เ ป็ น เข้าร่วมกจิ กรรมบาเพ็ญประโยชน์ 4. ใฝ่เรียนรู้ = ตั้งใจเพียรพยำยำมในกำรเรียนแสวงหำควำมรู้จำกแหล่ง ประ โ ย ชน์ ต่อ โ รงเรีย น ทากจิ กรรมเขตรับผิดชอบ เรียนรทู้ ั้งภำยใน ภำยนอกห้องเรยี น ชุมชน สังคม รักษาความสะอาดห้องเรยี น 4.1 ตั้งใจเพียรพยายามในการ ตั้งใจเรยี น เขา้ เรียนทุกช่ัวโมง เรียน และเข้าร่วมกิจกรรม สนใจกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ เข้าร่วมกจิ กรรมทท่ี างโรงเรียนจัดให้ 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่ง เข้าหอ้ งสมุด บนั ทึกความรู้ เ รี ย น รู้ ต่ า ง ๆ ท้ั ง ภ า ย ใ น ค้นควา้ หาความรดู้ ้วยตนเอง ภายนอกห้องเรียน ด้วยการ นาความรูท้ ีไ่ ด้ไปประยกุ ตใ์ ช้ เลือกใช้สื่ออยา่ งเหมาะสม แลกเปลยี่ นความรกู้ ับเพือ่ นและครู ใชส้ ่ือ อนิ เตอร์เน็ต ค้นควา้ หาความรู้
ตัวอยำ่ งกำรดำเนนิ กิจกรรมตำมคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ ขอบขำ่ ยกิจกรรมพฒั นำผู้เรียน ลำดับ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ตัวอยำ่ งกจิ กรรม 1. เปน็ กิจกรรมทีส่ ่งเสรมิ การเรียนรู้ 8 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ 1 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ 1. กิจกรรมวันสาคัญทางชาติ ศาสนา 2. ตอบสนองความสนใจ ความต้องการ ความถนัดของผู้เรยี น พระมหากษัตรยิ ์ 3. ปลูกฝัง จติ สานึก การทาประโยชน์ต่อสังคม วนั พอ่ วนั แม่ วันรฐั ธรรมนูญ 4. ฝึกการทางานและการให้บรกิ ารดา้ นตา่ งๆ วนั วสิ าขบูชา วันเขา้ พรรษา โครงสรำ้ งกจิ กรรมพัฒนำผเู้ รียน 2. ร้องเพลงชาติหน้าเสาธง 1. ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี1 – ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี3 ปลี ะ 120ชว่ั โมง 3. กิจกรรมนกั เรยี นวิถพี ทุ ธ 2. ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 4 – 6 รวม 3 ปี 360 ชัว่ โมง 4. สวดมนต์แผ่เมตตา กรวดนา้ กิจกรรมพัฒนำผ้เู รียนประกอบดว้ ยกิจกรรม 3 ลักษณะดังน้ี 5. กิจกรรมทาบุญ ตกั บาตร 1. กจิ กรรมแนะแนว 2 ซอ่ื สัตย์ สจุ ริต 1. ธนาคารความดี ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักตนเอง รู้รักษ์ส่ิงแวดล้อม 2. เขา้ ค่ายคุณธรรม/จรยิ ธรรม 3. โรงเรยี นวิถพี ทุ ธ ตัดสนิ ใจ คดิ แก้ปัญหา กาหนดเป้าหมาย วางแผนชวี ติ ฯ 4. บนั ทึกความดี หลักกำร จัดให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา ความต้องการ คว า ม ส น ใ จ แ ล ะ ธ ร ร ม ช า ติ ข อ งผู้ เ รี ย น แ ล ะ วิ สั ย ทั ศน์ ข อ ง 5. ของหายไดค้ นื สถานศกึ ษา วัตถปุ ระสงค์ 3 มีวินัย 1. กจิ กรรมประชาธิปไตย 2. เข้าคา่ ยลกู เสือ 1. ผเู้ รยี นรจู้ กั เข้าใจ เห็นคุณค่าในตวั เองและผอู้ ื่น 3. กิจกรรม 5 ส 2. วางแผนการศกึ ษา อาชีพ การดาเนนิ ชีวิต 4. การออมทรัพย์ 3. ปรับตวั ได้อย่างเหมาะสม 5. ทาความสะอาดเวรฯ กำรประเมินกจิ กรรมแนะแนว มี 2 ลักษณะ 4 ใฝ่เรยี นรู้ 1.ห้องสมดุ มชี วี ิต 1. ประเมนิ เพอื่ พฒั นาผเู้ รียน = ครู ผูเ้ รียน ผู้ปกครอง 2. การสอนแบบโครงงาน 2. ประเมนิ เพ่อื ตดั สนิ ผลการเรยี น = ผา่ น ไม่ผา่ น 3. รักการอา่ น 2. กจิ กรรมนักเรยี น 4. ชุมนมุ คอมพิวเตอร์ มุ่งพัฒนาความมีระเบียบวินัย ความเป็นผู้นาผู้ตามท่ี ดี 5 อยู่อยา่ งพอเพยี ง 1. กจิ กรรมการงานอาชพี ฯ รับผิดชอบทางานรว่ มกัน 2. ใช้แหลง่ ภมู ปิ ญั ญาท้องถิน่ หลักการ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เข้าร่วม 3.ประกันคุณภาพชวี ติ กิจกรรมตามความถนัดและความสนใจ 4. บันทึกรายรับ รายจ่าย การดาเนนิ กิจกรรม ควรจดั ทาดังน้ี 6 มงุ่ มั่นในการทางาน 1.กิจกรรมกลมุ่ สี 1. จัดใหส้ อดคล้องกบั ความสารถและความสนใจ 2. กจิ กรรมอื่นๆ 2. จดั ให้ผ้เู รียนมที ักษะในการทางานร่วมกัน 7 รกั ความเปน็ ไทย 1. ชุมนมุ ดนตรี นาฏศลิ ป์ 3. สง่ เสริมสนบั สนุนใหผ้ ูเ้ รยี นมคี ุณธรรม จรยิ ธรรม 2. การละเล่นไทย 4. ส่งเสริมให้ผเู้ รียนปฏิบัตติ ามความถนัดและสนใจ ขอบขำ่ ยกิจกรรม 3.มารยาทไทย 1. กิจกรรมลกู เสือ เนตรนำรี ยวุ กำชำด ผ้บู ำเพ็ญฯ นศท. 8 มจี ติ สาธารณะ 1.ปลูกต้นไม้ในวนั สาคญั 2. กาจดั ลกู นา้ ยงุ ลาย 1.1 กิจกรรมลูกเสือ เนตรนำรี = เป็นกิจกรรม 3. อาสาพฒั นา 4. เพื่อนชว่ ยเพื่อน กระบวนการพัฒนาเยาวชนให้เป็นพลเมืองดี หลกั การ 1. หลักศาสนาเป็นหลกั ยึดทางจิตใจ 2. จงรกั ภักดีตอ่ ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ 3. เข้าร่วมพฒั นาสงั คม กจิ กรรมพฒั นำผูเ้ รยี น 4. รับผิดชอบ หลักกำร 5. ยดึ มัน่ ในกฎ คาปฏญิ าณ 1. มกี ารกาหนดเปา้ หมายของกิจกรรมท่ชี ดั เจน ขอบขา่ ย ลูกเสอื มี 4 ประเภท “เสียชีพอย่าเสยี สัตย์” 2. ผเู้ รยี นไดพ้ ัฒนาตนเองอยา่ งรอบดา้ นเต็มศักยภาพ 3. ปลกู ฝังจติ สานึกในการบาเพ็ญตนให้เปน็ ประโยชน์ตอ่ สงั คม 1. ลูกเสือสารอง ( ป.1 –ป.3 ) จงทาดี ดวงดาว 4. ยดึ หลักการมีส่วนรว่ ม เปดิ โอกาสให้ครู พอ่ แม่ ผ้ปู กครอง มีส่วน รว่ มในการจดั กิจกรรม ดวงที่ 1 2 3 หมู่ 2 – 6 หมู่ หมลู่ ะ 4 – 6 คน ( 6 - 10ปี ) เปำ้ หมำย 2. ลูกเสอื สามญั ( ป.4 – ป.6 ) จงเตรยี มพรอ้ ม มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ และ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 8 ประการ ลูกเสือ ตรี โท เอก หมู่ 2 – 6 หมู่ หมู่ละ 6 – 8 คน ( 11 - แนวกำรจดั กจิ กรรม 16ปี ) สถานศกึ ษาจัดให้ผ้เู รียนทกุ คนเข้ารว่ มกิจกรรม ดังน้ี 1. ใหผ้ ู้เรียนปฏบิ ตั ิกิจกรรมดว้ ยความสมคั รใจ 2. ลกู เสอื สามัญรุนใหญ่ ( ม.1 – ม.3 ) มองไกล 2. ใหผ้ เู้ รียนปฏบิ ัติกจิ กรรมผา่ นประสบการณ์ทีห่ ลากหลาย 3. จัดกจิ กรรมท้ัง 3 อยา่ ง สมดุล (แนะแนว,นกั เรียน , เพ่ือสงั คมฯ) ลูกเสอื โลก ช้ันพเิ ศษ หลวง หมู่ 2 – 6 หมู่ หมูล่ ะ 4 – 8 คน 4. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเป็นผู้ดาเนินการ มีการสารวจและใช้ข้อมูล ประกอบการวางแผนอยา่ งเปน็ ระบบ เน้นการคดิ วิเคราะห์ ( 14 - 18ปี ) 5. ใช้กระบวนการมีส่วนร่วม การเรยี นร้แู บบรว่ มมือมากกวา่ การแขง่ ขัน 2. ลูกเสือวสิ ามญั ( ม.4 – ม.6 ) จงเตรียมพรอ้ ม เตรยี มลูกเสือวิสามัญ สารวจตนเอง วิชาพเิ ศษ หมู่ 2 – 6 หมู่ หมู่ละ 4 – 6 คน ( 16 – 25 ปี )
1.2 กิจกรรมยุวกำชำด = เป็นกิจกรรมที่มุงพัฒนาผู้เรียนให้มี แนวคดิ กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรูเ้ พื่อพัฒนำผ้เู รียน คุณธรรม จรยิ ธรรม ระเบียบวนิ ยั จติ สานึกในหารทาประโยชนแ์ กส่ งั คม หลักการ 1. สรา้ งพ้นื ฐานในการคิด ในโรงเรียน นอกห้องเรยี น 2. หลากหลายในกจิ กรรม สถำนศึกษำ 1. หอ้ งเรยี น โตะ๊ เก้าอ้ี 1. ทกุ ที่ กวา้ งใหญ่ 3. ตอบสนองความต้องการแท้จรงิ ในสถานศกึ ษา ขอบข่าย ยุวกาชาด มี 4 ระดบั แหลง่ เรียนรู้ 2. ครู หนังสอื ตารา 2. ผูร้ ู้ ปราชญช์ าวบา้ น 1. สมาชกิ ยุวกาชาด ระดบั 1 ชั้น ป.1 – ป.3 2. สมาชกิ ยุวกาชาด ระดับ 2 ชนั้ ป.4 – ป.6 วิธกี ำรเรยี นรู้ 3. นักเรยี น ผ้รู ับความรู้ 3. ผู้ปฏิบัติการเรียนรู้ 2. สมาชิกยุวกาชาด ระดับ 3 ชั้น ม.1 – ม.3 2. สมาชิกยุวกาชาด ระดบั 4 ชัน้ ม.4 – ม.6 บรรยำกำศ 4. ในโลกส่เี หล่ียมแคบๆ 4. ในโลกกว้างใหญ่ 1.3 กิจกรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์ = เป็นกิจกรรมอาสาสมัคร นานาชาตสิ าหรับเดก็ ผหู้ ญิงและสตรีไม่จากดั เช้ือชาติ ทกั ษะ 5. การรับรู้ 5. กาสารวจ รวบรวม เปา้ หมาย เดก็ ผหู้ ญิงใหเ้ ปน็ พลเมืองดมี ีประโยชนต์ อ่ สงั คม กำรออกแบบกิจกรรมนอกห้องเรียนเพื่อพัฒนำทักษะ และ ขอบข่าย ผู้บาเพญ็ ประโยชน์ มี 4 รนุ่ 1. รุ่นท่ี 1 นกนอ้ ย อนุบาล 1 – 3 ควำมสำมำรถตำมจุดเน้นกำรพัฒนำคณุ ภำพผเู้ รียน 2. รุ่นท่ี 2 นกสฟี า้ ป.1 – 6 2. รุน่ ท่ี 3 รนุ่ กลาง ม.1 – 3 แนวทำงกำรดำเนนิ กำร 2. ร่นุ ที่ 1 ร่นุ ใหญ่ ม.4 – 6 1.4 กิจกรรมนักศึกษำวิชำทหำร = มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีระเบียบวินัย 1. กำหนดเป้ำหมำย = ระบุทักษะ ความสารถท่ีต้องการพัฒนา เช่ือฟังปฏิบัตติ ามคาสงั่ เกดิ ข้นึ จากความสมคั รใจของผ้เู รียนเอง ขอบขา่ ย นศท มี ระดับ ตามจดุ เนน้ 1. นศท ช้ันปีที่ 1 , 2 ศึกษาวิชาทหารเบ้ืองตน้ ระดับพืน้ ฐาน 2. นศท ช้ันปีท่ี 3 ศึกษาระดบั บังคับหมู่ 2. ปรบั ตำรำงเรียน = จัดสัดส่วนท้ังในห้องเรียนนอกห้องเรียนให้ 2. กจิ กรรมชุมนมุ ชมรม สถานศึกษาสนับสนุนให้ผู้เรียนนวมกลุ่มกันจัดข้ึนตามความ สมั พนั ธ์กนั สนใจ 1. ชมุ นุม = รวมกลมุ่ ตามความสนใจความถนดั เรอื่ งเดยี วกัน ตวั อยา่ ง 2. ชมรม = มคี วามมุง่ หมายอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงร่วมกนั 3. กิจกรรมเพอื่ สงั คมและสำธำรณประโยชน์ ชว่ งเชา้ 1. จดั กิจกรรมโฮมรูม กิจกรรแนะแนว เหตุการณ์ ส่งเสริมให้ผู้เรียนบาเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และท้องถิ่น จามความสนใจในลักษณะอาสมคั ร ขา่ วส้ันๆ จัดทุกวนั วันละ 30 นาที หลักกำร คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล เน้นให้ความสาคัญท้ัง ความรู้ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม 2. จดั ให้ผู้เรยี นเรียนรู้ในกลุ่มสาระหลกั ไทย คณิต กำรจดั กจิ กรรม 1. ภายในโรงเรยี น = กจิ กรรมวถิ ชี ีวติ เพือ่ ปลกู ฝงั จิตสานึก วิทย์ อังกฤษ สังคม 2. ภายนอกโรงเรยี น = กจิ กรรมอาสาสมคั รเพอ่ื สงั คม แนวกำรจดั กิจกรรม ไทย คณิต เรยี นทุกวนั วนั ละ 1 ชม. ขน้ั ตอนที่ 1 สารวจ ศกึ ษา ปญั หาต่างๆ ขั้นตอนท่ี 2 วเิ คราะห์ สาเหตขุ องปัญหา ประวัตศิ าสตร์ สปั ดาหล์ ะ 1 ชม. ขนั้ ตอนที่ 3 วางแผนออกแบบกจิ กรรม ขั้นตอนท่ี 4 ปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามแผน ภาษาองั กฤษ สปั ดาห์ละ 1 ชม. ขั้นตอนท่ี 5 แลกเปลยี่ นเรยี นรู้ สถำนศึกษำจัดสรรเวลำดังนี้ ช่วงบ่าย ลงมอื ปฏิบตั กิ ิจกรรมของกลมุ่ สาระ ป.1 – ป.6 รวม 60 ชม. ปลี ะ 10 ชม. 3. ออกแบบกิจกรรมกำรเรียนรู้ ม.1 – ม.3 45 ชม. ปลี ะ 15 ชม. ตัวช้วี ดั ภาพความสาเร็จการพัฒนาคณุ ภาพผูเ้ รียนระดบั โรงเรยี น ม.4 – ม.6 60 ชม. ปีละ 20 ชม. กาหนดแผนเดนิ ทางสู่ความสาเรจ็ แนวทำงกำรจัดกำรเรยี นรู้นอกหอ้ งเรียน 1. เกิดขน้ึ ได้ทกุ ที่ ทกุ เวลา ระยะท่ี 1 เริม่ ต้นวเิ ครำะห์ ทบทวนสงิ่ ท่มี ีอยู่แล้ว 2. ชุมชน ทอ้ งถิน่ เปน็ ศูนยร์ วมชีวติ และวถิ ีชวี ติ ของผ้คู น เป็นแหล่ง ขอ้ มลู ผูเ้ รียนรายบุคคล เรยี นรู้ทงั้ ทางธรรมชาติ สังคมการเมอื ง 3. การเรียนรู้จากวิถีชีวิตในชุมชน เป็นการเรียนรู้ที่มีความหมาย มแี ผนพัฒนาผเู้ รยี นตามจุดเน้น และเชื่อมโยงกับชวี ติ ของผูเ้ รียน มแี หลง่ เรยี นรู้เพียงพอ ตารางเรยี นทย่ี ืดหยุน่ มกี จิ กรรมนอกห้องเรยี นไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 30 เครื่องมือวัดที่หลากหลาย ระยะที่ 2 บม่ เพำะประสบกำรณ์ ผู้เรยี นสืบคน้ ทาโครงงาน ครใู ช้แหล่งเรียนรูท้ ีค่ มุ่ คา่ จัดบรรยากาศท่เี อือ้ ตอ่ การเรียนรู้ ชุมชนเขา้ ใจร่วมมือฯ ครูพัฒนากระบวนการทีม่ ปี ระสทิ ธิภาพ แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ระยะท่ี 3 สำนตอ่ องค์ควำมรู้ ปรบั ปรุงกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียน วจิ ัยผ้เู รียนอยา่ ตอ่ เนือ่ ง รายงานผลความก้าวหน้า สรา้ งเครอื ขา่ ยแลกเปลีย่ นเรียนรู้ ระยะท่ี 4 นำวิถคี ณุ ภำพ มนี วตั กรรมเพื่อพฒั นาผเู้ รียน มีนวตั กรรมตามจุดเนน้ มเี คร่ืองมอื วัดผลทม่ี ีคุณภาพ มีการเผยแพร่งานวิจยั ระยะที่ 5 มีวัฒนธรรมกำรเรียนร้ใู หม่ ผู้เรยี นเรยี นรอู้ ยา่ งมคี วามสุข ครูเป็นมืออาชีพ โรงเรยี นมีการจัดการความรู้ มีเครอื ข่ายรว่ มพฒั นาทเี่ ขม้ แขง็ สาธารณชน ยอมรับและพงึ พอใจ
แนวทำงในกำรช่วยเหลือและพัฒนำผ้เู รียน ลีลำกำรเรียนรู้ Learning style หรอื รปู แบบกำรเรียนรู้ อัตมโนทัศน์ ( Self concept ) = เจตคติ ความรู้สึก และการยอมรับ เด็กแตล่ ะคนจะมีลีลาการเรียนรู้หรือรูปแบบการเรยี นรู้ไมเ่ หมือนกนั ของแตล่ ะบุคคลทีม่ ตี ่อตนเอง “ การมีความรู้สึกเก่ียวกับจนเองเช่นไร จะ Learn how to learn การสอนให้เด็กเรยี นรวู้ ธิ ีท่ีถกู ตอ้ ง สะท้อนให้เหน็ ว่าตนเองมองคนอ่นื อย่างไร ” กำรเรียนรขู้ องมนษุ ยม์ ี 3 ทำง 1. กำรเรียนรู้โดยกำรมองเห็น (ทำงสำยตำ) Visual percepters กำรจดั กำรเรยี นกำรสอน พฒั นำกำรตำมวัย เรียนรไู้ ดด้ ีจากรปู ภาพ แผนภูมิ แผนผัง เขียนเรื่องราวเน้ือหาเป็นรูปภาพ ได้ ลักษณะคาพดู ของกล่มุ นคี้ ือ “ฉนั เห็นหรือฉันเหน็ เป็นภาพ” ระดับชน้ั ประถมศกึ ษำตอนต้น ( ป.1 – ป.3 ) ( 6 – 9 ปี ) ควรแนะนาใหเ้ รยี นทางด้าน สถาปัตยกรรม การออกแบบ มัณฑนาการ o ด้ำนร่ำงกำย = ครูควรให้เด็กพักผ่อนบ่อยๆ และให้ได้มีส่วนร่วม พวก Visual percepters 60 -65 % ของประชากร ในกิจกรรม เดก็ วยั น้มี ปี ญั หาเกี่ยวกับการควบคุมกล้ามเนื้อ ครูผู้สอน 2. กำรเรยี นร้ทู ำงโสตประสำทหรือกำรไดย้ นิ Aduditory percepters ควรระมัดระวัง จะเรียนร้ไู ดด้ ีถา้ ไดฟ้ ังหรอื ไดพ้ ดู จะไมส่ นใจรปู ภาพ ไม่สร้างภาพ o ดำ้ นสงั คม = ครูควรจัดกิจกรรมศึกษาสัมพันธภาพของเด็กๆ ทกั ษะกลุ่มน้ีคอื ได้ยนิ และได้ฟงั เหนอื กว่าคนอนื่ ชอบพดู วา่ “ฉันไดย้ ินมา เด็กวยั นจี้ ะปฏบิ ตั ติ ามเกณฑ์เครง่ ครดั ครูควรคอยช้แี นะ ว่า ได้ฟงั มาเหมอื นกนั ว่า ” o ดำ้ นอำรมณ์ = ครคู วรระมัดระวังหลกี เลยี่ ง คาพูดถากถาง ครูควรแนะนาให้เรียนดา้ นดนตรี ด้านกฎหมาย นักการเมือง นักจิตวิทยา ครูควรมอบหมายงานให้เดก็ ทาอยา่ งทัว่ ถงึ พธิ ีกร ดเี จ ฯ o ดำ้ นสตปิ ญั ญำ = ครคู วรเปิดโอกาสให้เดก็ ทกุ คนตอบ พวก Aduditory percepters 30 -35 % ของประชากรทั้งหมด ครูควรจัดกิจกรรมสนองการเรียนรู้ท่ีแตกต่างกัน 3. กำรเรยี นรู้ทำงรำ่ งกำยและควำมรสู้ กึ kinesthetic percepters ของเดก็ ได้ เป็นพวกท่ีเรียนรู้ผ่านทางความรู้สึกการเคล่ือนไหวและร่างกายเรียนรู้ได้ จากการสมั ผสั และความรู้สึกที่ดีต่อส่งิ ทเี่ รียน เวลานง่ั ในห้องจะนง่ั ไม่ติดท่ี ไม่ ระดบั ชั้นประถมศึกษำตอนปลำย ( ป.4 – ป.6 ) ( 9 – 12 ปี ) สนใจบทเรยี น “ครูสามารถจดั คาพดู สาหรบั เด็กวา่ ฉันรสู ึกวา่ ….” o ด้ำนร่ำงกำย = ครูควรใหค้ วามรเู้ รอ่ื งเพศศกึ ษาแก่เด็ก เดก็ กล่มุ น้ีจะมปี ัญหามากหาครผู ู้สอนใหเ้ ด็กไปยืนเล่าเร่ืองราวหน้าห้อง ครูควรอธิบายและชักจูงให้ไปทากิจกรรมอย่างอ่ืน ครูควรแนะนาใหเ้ ด็กเรยี น การกอ่ สร้าง การเต้นรา พลศึกษา เชน่ การเล่นกีฬาฯ พวก kinesthetic percepters 5 – 10% ของประชากรทัง้ หมด ครคู วรสนบั สนุนให้เดก็ ทางานทใี่ ชค้ วามปราณตี o ดำ้ นสังคม = ครูควรพยายามลดความซาบซ้ึงท่ีนักเรียนมีลงแต่ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ไมค่ วรทาเปน็ เรอื่ งตลก o ด้ำนอำรมณ์ = ครูควรให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นมากกว่าการ การส่งเสรมิ ป้องกนั และการช่วยเหลอื แก้ไขปญั หา ทอ่ งจา กระบวนการทางานมีองคป์ ระกอบสาคญั 5 ประการ ดงั น้ี ครูควรให้เด็กตั้งเกณฑ์เกี่ยวกับระเบียบวินัยใน 1. กำรรู้จกั นักเรยี นเป็นรำยบคุ คล ห้องเรยี น o ดำ้ นสตปิ ัญญำ = ครูควรทากิจกรรมหลายอย่างและให้เลือกว่าชอบ - ระเบยี นสะสม - การประเมนิ พฤติกรรม SDQ กิจกรรมใดมากท่สี ดุ - การสมั ภาษณ์นกั เรยี น - การเยยี่ มบ้านนกั เรยี น ครูควรอดทนให้มากทสี่ ุด - บนั ทึกขอ้ มลู สขุ ภาพ - สงั เกตพฤตกิ รรมนักเรียน 2. กำรคัดกรองนกั เรียน ระดบั ช้ันมัธยมศึกษำตอนตน้ ( ม.1 – ม.3 ) ( 12 – 15 ปี ) - แบ่งนักเรยี นเปน็ กล่มุ ปกติและกลมุ่ เสยี่ ง o ด้ำนรำ่ งกำย = เด็กวัยนี้เริ่มเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ครูควนสอนเร่ือง 3. กำรสง่ เสริมนักเรยี น เพศศกึ ษา ครคู วรชแี้ จงสร้างความเข้าใจท่ถี กู ตอ้ งให้แก่เดก็ - จดั กิจกรรมโฮมรูม - จดั ประชมุ ผูป้ กครอง o ด้ำนสงั คม = ครคู วรให้ความสนิทสนมและเปน็ กนั เองแก่เดก็ 4. กำรป้องกันและแกไ้ ขปญั หำ ทางโรงเรียนจัดกิจกรรมเกี่ยวกับการวางตัวและ - ใหค้ าปรกึ ษา การคบเพื่อนต่างเพศ - จดั กจิ กรรมปอ้ งกนั แก้ไขปญั หา เสริมหลักสูตร (กิจกรรมวัน o ดำ้ นอำรมณ์ = เด็กวัยนี้จะไม่มีอารมณ์แน่นอน ครูควรมีความคง ตอ่ ตา้ นยาเสพติด วันภาษาไทยฯ) เส้นคงวา ในการปฏบิ ตั ติ ่อเด็กแสดงการยอมรบั และให้เกยี รติ - ประสานงานกับชุมชน o ดำ้ นสติปัญญำ = ครูควรหากิจกรรมที่ท้าทายให้เด็กทา แต่ทั้งน้ีครู - การตรวจปัสวะนกั เรยี นกลุม่ เส่ียงอยา่ งต่อเนอื่ ง ต้องมีความอดทนในการอธิบายไม่แสดงอาการเบ่ือหน่ายหรือเยาะ 5. กำรส่งตอ่ เยย้ 1. ทมี นา(ผอ.สถานศึกษา)ประชมุ ภาคเรยี นละ 1 คร้ัง ระดบั ช้ันมธั ยมศกึ ษำตอนปลำย ( ม.4 – ม.6 ) ( 15 – 18 ปี ) 2. ทมี ประสาน(รองผอ.)ประชุมเดอื นละ1ครง้ั o ด้ำนร่ำงกำย = เดก็ โตเต็มท่คี รคู วรให้คาแนะนาทดี่ ีแกเ่ ด็กวยั น้ี 3.ทมี ทา(หัวหนา้ ระดบั ช้นั )ประชมุ สัปดาหล์ ะ1ครัง้ o ด้ำนสังคม = เด็กชอบทาตามกลุ่มมีความขัดแย้งกับผู้ใหญ่มาก ขน้ึ ครคู วรให้คาแนะนาท่เี หมาะสมและยอมรับความคิดเหน็ ของเดก็ ขั้นตอนระบบดูแลชว่ ยเหลือนกั เรียน o ดำ้ นอำรมณ์ = เด็กวัยนี้จะมีความขัดแย้งกับพ่อแม่ ครูควรให้ 1.รจู้ กั นกั เรียนเป็นรายบุคคล ความเหน็ อกเหน็ ใจและคาปรึกษาท่ดี ี 2. คดั กรองนักเรียน เด็กจะมกี ารแสดงออกทแ่ี ข็งกรา้ ว ครูตอ้ งพยายาม เขา้ ใจพฤตกิ รรมเหลา่ นัน้ สง่ เสรมิ ให้เขาพิสูจน์ความเป็นผู้ใหญ่ในการ กลุ่มพเิ ศษ กลุ่มปกติ กลมุ่ เสยี่ ง กลุ่มมีปญั หา ทากิจกรรมทีเ่ ขาถนัด o ดำ้ นสติปัญญำ = ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กทากิจกรรมที่หลากหลาย 3.ส่งเสริมและพฒั นา 4.ป้องกันและแกไ้ ขปัญหา เพ่ือพัฒนาศกั ยภาพในตวั เดก็ วัยน้ีจะคานึงถึงการมี “ปรชั ญาชวี ติ ” โดยมงุ่ เกย่ี วกบั ศีลธรรม ศาสนา ดีข้นึ พฤตกิ รรมดีขนึ้ หรอื ไม่ ครคู วรเปิดโอกาสให้เด็กมีการอภิปรายถึงสิ่งต่างๆ ไม่ดี ทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การมีชวี ิต 5. ส่งต่อ (ครูแนะแนว ครฝู า่ ย ปกครอง หรือ ครทู ่านอ่นื ในโรงเรยี น )
5. กำรบรหิ ำรจดั กำรชัน้ เรียน กำรจดั บรรยำกำศในช้นั เรยี น Classroom management ควำมหมำย คำจำกดั ควำม ควำมหมำยของ นักกำรบรหิ ำรกำรศกึ ษำ เป็นการจัดสภาพแวดล้อมในชั้นเรียนให้เอ้ือต่อการเรียนการสอนช่วย Moore = การบริหารจัดการช้ันเรียนเป็นกระบวนการของการ สง่ เสริมกระบวนการสอนให้ดาเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยสร้างความสนใจ จัดระบบระเบยี บ และนากิจการของหอ้ งเรียนใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ ใฝ่รู้ ใฝ่ศกึ ษา ตลอดจนสร้างความมรี ะเบยี บวินยั Kauchak , Eggen = การบริหารจัดการช้ันเรียนประกอบด้วย ควำมสำคัญ ความคิด การวางแผน และการปฏิบัติทั้งหลายทั้งปวงของครูท่ี 1. การเรยี นการสอนดาเนนิ ไปอยา่ งราบรื่น สร้างสรรค์สภาพแวดล้อมอย่างเป็นระบบระเบียบ และส่งเสริมการ 2. สรา้ งเสรมิ ลักษณะที่ดงี าม ความมรี ะเบียบวนิ ัยใหแ้ กผ่ ้เู รียน เรยี นรู้ มเี ป้าหมาย 2 ประการคอื 3. สง่ เสรมิ สุขภาพที่ดใี ห้แก่ผู้เรยี น o 1. รังสรรค์ส่ิงแวดล้อมต่างๆท่ีจะส่งเสริมให้การ 4. สง่ เสริมการเรียนรู้ สร้างความสนใจในบทเรียนให้มากย่งิ ข้นึ เรียนรู้มีความเป็นไปได้มากที่สุด ครูสะท้อนการ 5. สง่ เสริมการเปน็ สมาชิกท่ดี ขี องสังคม ปฏิบัติงานของตนเอง 6. สร้างเจตคติทด่ี ีต่อการเรยี น การมาโรงเรียน o 2. พัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพในการจัดการและ สรุป การจดั บรรยากาศในช้ันเรียนช่วยส่งเสริมและสร้างเสริมผู้เรียนในด้าน นาตนเองใหส้ ามารถเรยี นรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง สติปญั ญา รา่ งกาย อารมณ์ และสังคม ทาให้นักเรียนเรียนด้วยความสุข รัก Profee โปรฟี = การที่ครูสร้างและคงสภาพส่ิงแวดล้อมในการเรียนรู้ได้ การเรยี น ใฝ่เรียนรใู้ นท่ีสดุ ด้วยตนเองในการเรียนรู้ ท่ีนาไปสู่การจัดการเรียนการสอนท่ีประสบ ลักษณะ บรรยำกำศท่พี ึงปรำรถนำในช้ันเรยี น มี 6 ลกั ษณะ ดงั น้ี ความสาเรจ็ ท้งั ในด้านสงิ่ แวดลอ้ มการสรา้ งกฎระเบียบ 1. บรรยากาศทท่ี า้ ทาย (Challenge) = ครูกระตุ้นใหก้ าลังใจนกั เรียน Berden เบอร์เดน = เป็นยุทธศาสตรแ์ ละการปฏิบตั ิท่ีครูใช้เพ่ือคงสภาพ 2. บรรยากาศท่ีมอี ิสระ (Freedom) = มโี อกาสไดค้ ดิ ไดต้ ัดสนิ ใจ ไม่เครยี ด ความเปน็ ระเบียบเรยี บรอ้ ย 3. บรรยากาศทมี่ ีการยอมรบั นับถอื (Respect) = นกั เรยี นเปน็ บคุ คลสาคัญ สรุ ำงค์ โคว้ตระกูล = การสร้างและรักษาสิ่งแวดล้อมของห้องเรียน เพื่อ 4. บรรยากาศท่ีอบอุ่น (warmth) = เป็นบรรยากาศด้านจิตใจ ส่งเสริมการ เอ้ืต่อการเรยี นรู้ของนักเรียน เรียนรู้ สรุป >>>> การบริการจัดการช้ันเรียนหมายถึง การจัดบรรยากาศการ 5. บรรยากาศแหง่ การควบคุม (Control) = ฝกึ ความมีระเบยี บ วนิ ัย เรียนรู้ การจัดmการจัดทาข้อมูลสารสนเทศและเอกสารประจาชั้นเรียน 6. บรรยากาศแห่งความสาเร็จ (Success) = ผู้เรียนเกิดความรู้สึกประสบ การกากับดแู ลนักเรยี นรายชนั้ หรือรายวิชา เพ่ือส่งเสริมการเรียนรู้อย่างมี ความสาเรจ็ ความสขุ และปลอดภยั ของผู้เรียน ประเภท บรรยำกำศในช้นั เรียน มี 2 ประเภท ดงั นี้ สงิ่ ที่จะไดจ้ ำกกำรจัดกำรในช้ันเรยี น 1. บรรยำกำศทำงกำยภำพ Physical = การจดั สภาพแวดล้อมในชั้นเรียน 1. การเรียนการสอนทม่ี ปี ระสิทธภิ าพ มรี ำยละเอยี ด ดังน้ี 2. สภาพแวดล้อมของช้นั เรยี นที่เอ้อื ตอ่ การเรียนรู้ 1.1 กำรจัดโตะ๊ เก้ำอีน้ ักเรียน ขนาดเหมาะสมกับรูปร่างและวยั ของนกั เรียน 3. ความมีระเบยี บวนิ ัย เคารพกฎระเบียบ ลดทอนปญั หาทางพฤตกิ รรม ใหม้ ชี ่องวา่ งระหวา่ งแถว เพ่ือความสะดวกและทากิจกรรม 4. ความสมั พันธท์ ด่ี ีระหว่างครูกับเดก็ เด็กกบั เด็ก ใหม้ คี วามสะดวกต่อการทาความสะอาด และการเคล่ือนย้าย 5. บรรยากาศทางจรยิ ธรรมและสังคมประชาธิปไตย กระบวนกำรจดั กำรในช้ันเรียน 4 ข้ันตอน มีรูปแบบทไี่ มจ่ าเจ เชน่ T U O เปน็ ต้น 1. กำรกำหนดสภำพทีพ่ ึงปรำรถนำ ( Specifying Desirable condition ) ทนี่ ่งั ทกุ จุดอ่านกระดานได้ชดั เจน แถวหน้าของโต๊ะนกั เรียนหา่ งกระดานไมน่ อ้ ยกวา่ 3 เมตร = การทาให้ชั้นเรียนอยู่ในสภาพที่เกิดการเรียนรู้เต็มศักยภาพให้ประโยชน์ 1.2 กำรจัดโตะ๊ ครู ให้อยใู่ นจดุ ที่เหมาะสมหรอื (ด้านหลงั ของหอ้ งเรยี น) 2 ประการ คอื ให้มคี วามระเบยี บเรียบรอ้ ยทงั้ บนโตะ๊ และในลิ้นชัก 1.1 ครูมที ิศทางท่ีแน่นอน 1.2 ครมู ีพฤติกรรมท่ีมงุ่ สเู ป้าหมายท่ตี ้งั ไว้ สามารถประเมินผลได้ 1.3 กำรจัดป้ำยนเิ ทศ 2. กำรวิเครำะห์สภำพห้องเรียนอยำ่ งท่ีเป็นอยูใ่ นปจั จบุ นั ออกแบบใหส้ วยงาม สร้างความดึงดดู ใจ ( Analyzing Existing Classroom Conditions ) จัดเนอื้ หาสาระให้สอดคล้องกับบทเรียน 3. กำรเลือกใช้ยทุ ธวธิ ีกำรจดั กำรในช้ันเรยี น จดั ใหใ้ หมอ่ ยเู่ สมอ (Selecting and Utilizing Managerial Strategies ) จดั ตดิ ผลงานนกั เรยี น 4. กำรประเมินประสิทธิภำพกำรจดั กำรในชน้ั เรยี น o แนวการจัดปา้ ยนเิ ทศ ( Assessing Managerial Effectiveness ) 3.1 กาหนดเนื้อหา , ศึกษาเนือ้ หา วธิ ีกำรจัดกำรในชัน้ เรยี น 3.2 กาหนดวัตถุประสงคใ์ นการจัด 1. Weber ประกอบดว้ ย 3.3 กาหนดชอ่ื เรือ่ ง (ส้นั ๆได้ใจความ) 1. การใช้อานาจ 2. การขม่ ขู่ 3.4 วางแผนการจัดคร่าวๆไวใ้ นใจ 3. การให้อสิ ระ 4. การทาตาม 3.5 ออกแบบการจัดการทีแ่ น่นอน 5. การจดั การเรียนการสอน 6. การปรบั พฤตกิ รรม 3.6 ลงมือจัดเตรยี มชน้ิ สว่ นต่างๆ 7. การสร้างบรรยากาศทางอารมณแ์ ละสงั คม 8. กระบวนการกลมุ่ 3.7 ลงมอื จัดจริงจามแบบท่วี างไว้ 2. ชิคเคด แดนซ์ ประกอบดว้ ย 1.4 กำรจดั สภำพหอ้ งเรยี นใหถ้ ูกสขุ ลกั ษณะ 1. วิธีการจัดการตามมุมมองด้านพฤติกรรมศาสตร์ พื้นฐานจาก การ 4.1 อากาศถ่ายเท 4.2 แสงสว่างพอเหมาะ เสริมแรง 4.3 ปราศจากสง่ิ รบกวนต่างๆ 4.4 สะอาด 2. วธิ กี ารจดั การตามมมุ มองด้านจติ วิทยา ครูต้องใหค้ วามรกั ความเข้าใจ 1.5 กำรจัดมุมตำ่ งๆในหอ้ ง 3. วิธีการจัดการตามมุมมองการจัดการกับกลุ่ม การเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ 5.1 มุมหนงั สือ, มมุ รกั การอา่ น 5.2 มมุ เสริมความรู้ ทางสงั คม 5.3 มุมแสดงผลงานนักเรียน 5.4 ต้เู กบ็ ส่ือการเรียน 5.5 การประดับตกแต่งหอ้ งเรียน 5.6 มุมเกบ็ อุปกรณ์ความสะอาด
2. บรรยำกำศด้ำนจิตวิทยำ Phychological = บรรยากาศด้านจิตใจ มี กำรสรำ้ งบรรยำกำศกำรเรยี นร้อู ยำ่ งมคี วำมสุข รายละเอียด ดังน้ี 1. ผู้เรียนมสี ุขภาพจิตดี มคี วามสขุ สดช่นื เบิกบาน 2.1 บคุ ลิกภำพของครู 2. ผู้เรยี นเกดิ กาลังใจ ใฝเ่ รยี นรู้ ไม่ท้อแท้ ทอ้ ถอย การเดิน ยนื นัง่ ทา่ ทาง เหมาะสมกับความเป็นครู 3. ผเู้ รยี นมีจิตใจทดี่ งี าม 2.2 พฤติกรรมกำรสอนของครู ครูต้องใชเ้ ทคนคิ ทักษะทส่ี อดคล้องเหมาะสม 4. ผู้เรียนเห็นคุณคา่ ของตวั เอง ตอบสนองพฤติกรรมโดยใช้เทคนคิ การเสรมิ แรงทเ่ี หมาะสม เปดิ โอกาสให้นกั เรียนแสดงความคดิ เหน็ 5. ผูเ้ รียนได้เรียนรกู้ ารอย่รู ว่ มกับผู้อื่น ฝึกการทางานเป็นกลุ่ม ประเภทของกำรเรียนรู้อย่ำงมคี วำมสขุ (ตำมท่ำน พระธรรมปฎิ ก) ใชเ้ ทคนคิ และวธิ ีการสอนท่ีไมเ่ บื่อหนา่ ย มี 2 แบบ ดงั น้ี 2.3 เทคนิคกำรปกครองชน้ั เรียนของครู ควรยดึ หลกั ดังต่อไปนี้ หลกั ประชาธิปไตย 1. ควำมสุขท่ีอำศัยจำกปัจจัยภำยนอก = เกิดจากสภาพแวดล้อม มี หลกั พรหมวหิ าร 4 หลกั ความยุติธรรม กัลยาณมิตร เช่น ครู อาจารย์ เป็นผู้สรา้ งบรรยากาศแห่งความรกั หลกั ความใกลช้ ิด 2. ควำมสขุ ทเ่ี กดิ จำกปจั จัยภำยใน = ซง่ึ เกิดจากภายในตวั ผ้เู รียนเอง ซ่ึง 2.4 ปฏสิ มั พนั ธ์ ( Interaction ) เปน็ ควำมสัมพันธ์ทำงสังคมระหว่ำง ควรมงุ่ สร้างความสุขจากปจั จัยภายใน บุคคล 2 คน หรือ 2 ฝ่ำย มี 3 ลกั ษณะคือ ขอ้ คำนงึ ในกำรจดั กำรเรยี นรู้ 1. ครกู ับนักเรยี น 2. นกั เรียนกับนักเรยี น 1. ควรเร่ิมจากง่าย ไปสู่ ยาก คานึงถึง วุฒิภาวะความสารถในการรับรู้ 3. ทางวาจา ของเด็กแต่ละวัย หลกั ปฏิสมั พันธ์ทางวาจา มีดงั น้ี 2. เรียนสนกุ ไมน่ า่ เบ่ือตอบสนองความสนใจของนกั เรยี น 3.1 สรา้ งความเขา้ ใจอันดีตอ่ กัน 3. ทุกข้ันตอนมงุ่ พัฒนาสง่ เสริมกระบวนการคดิ 3.2 การเรียนไดผ้ ลดี ความหมายถกู ต้อง 4. การเรยี นรู้สมั พนั ธส์ อดคลอ้ งกับธรรมชาติ 3.3 นักเรียนรู้สกึ สบายใจทจี่ ะรบั วิชาการ 5. กิจกรรมหลากหลายสนกุ ชวนใหน้ กั เรยี นสนใจต่อบทเรียน 3.4 นักเรยี นเกิดความไว้วางใจในครู 6. ส่อื ที่ใช้ ควรเรา้ ใจให้เกิดการเรยี นรู้ 3.5 แกป้ ญั หาการเรยี นการสอนในชนั้ เรียนได้ดี 7. การประเมินผล มุง่ เน้นพฒั นาการของผูเ้ รียน 3.6 สรา้ งบรรยากาศท่ีเออ้ื อานวยให้เกิดเจตคติ ส่ิงทำสำคัญที่สุดครูต้องมีบุคลิกภำพที่เหมำะสมมีควำมสำรถใน หลักกำรจดั กำรชั้นเรียน กำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ 1. ยดื หยุ่นไดต้ ามความเหมาะสม ดำ้ นบคุ ลิกภำพ ด้ำนกิจกรรมกำรเรยี นรู้ 2. จัดชั้นเรยี นเพอื่ เสริมความร้ทู ุกด้าน กิริยา วาจา เหมาะสม เกม เพลง นามาใช้ 3. จัดให้มสี ภาพแวดล้อมทด่ี ี ภาษาแจ่มชดั ปลูกใจให้มน่ั คดิ 4. จดั ชัน้ เรยี นเพ่อื เสรมิ สร้างลักษณะนิสัยทด่ี งี าม ขจดั ความลาเอียง ไม่เกาะตดิ ในห้องเรยี น 5. จดั ชัน้ เรยี นเพื่อเสรมิ สร้างความมรี ะเบียบวนิ ยั หลกี เลีย่ งการตาหนิ ผลดั เปลย่ี นเวียนรายงาน 6. จดั ช้ันเรียนเพือ่ เสริมสร้างประชาธปิ ไตย คิดรเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์ บูรณาการทกุ วิชา - การทางานกล่มุ แลกเปลยี่ นทัศนะ อารมณ์ขนั แทรกสร้าง สรรหาส่อื หลาหลาย - การสลับทน่ี ั่ง สมั พนั ธฉ์ ันมติ ร เลกิ บรรยายใหป้ ฏบิ ัติ - การหมุนเวียนการเปน็ ผู้นากลมุ่ ทันโลกเสมอ จัดทาหลัก Child - Centered 7. การจดั ชนั้ เรยี นให้เอื้อต่อหลักสูตร ค้นเจอความสามารถ บุคลิกภำพของครู ลกั ษณะชั้นเรียนที่ดี ประเภทท่ี 1 1. สีสันนา่ ดู สบายตา อากาศถา่ ยเท ถ้าครแู สดงความเปน็ มติ ร นักเรยี นจะอบอนุ่ ใจ 2. จัดโต๊ะ เกา้ อ้ี เออ้ื ต่อการเรยี นการสอน ถ้าครยู ิม้ แยม้ นกั เรยี นจะแจม่ ใส 3. ให้ผูเ้ รยี นเรียนอยา่ งมคี วามสขุ ถา้ ครอู ารมณ์ขนั นกั เรยี นจะเรยี นสนุก 4. ใช้ประโยชน์ในชน้ั เรียนใหม้ คี ณุ ค่า ถ้าครูกระตอื รือร้น นักเรยี นจะกระปร้ีกระเปรา่ 5. จดั ชน้ั เรยี นให้มคี วามพร้อมตอ่ การสอนในแตล่ ะคร้ัง ถา้ ครมู ีน้าเสียงนมุ่ นวล นักเรียนจะสภุ าพออ่ นนอ้ ม 6. สร้างบรรยากาศใหอ้ บอุ่น ถ้าครูแต่งตัวเรยี บร้อย นักเรยี นจะเคารพ รูปแบบกำรจดั ชัน้ เรยี น ถา้ ครูให้ความเมตตาปราณี นักเรียนจะมจี ิตใจออ่ นโยน แบง่ ตำมวิธีกำรสอนได้ 2 แบบ ดังนี้ ถ้าครใู ห้ความยุติธรรม นักเรียนจะศรทั ธา 1. ชน้ั เรยี นแบบธรรมดำ “ครเู ป็นศูนยก์ ลำง”ไมเ่ อ้ือตอ่ หลกั สูตรใหม่ โต๊ะเรียนอาจเปน็ โต๊ะเด่ยี วหรือคู่ ประเภทท่ี 2 ครเู ป็นศนู ยก์ ลางคอยปอ้ นใหผ้ ู้เรยี นตลอดเวลา ถา้ ครเู ข้มงวด นักเรยี นจะหงุดหงดิ 2. ชน้ั เรยี นแบบนวัตกรรม “เออ้ื ตอ่ กำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนกำรสอน” โตะ๊ ครไู มจ่ าเปน็ ตอ้ งอยู่หน้า อาจเคล่ือนยา้ ยไปตามมุมต่างๆ ถา้ ครูหน้านวิ่ คิว้ ขมวด นกั เรียนจะรสู้ กึ เครียด ครพู ดู นอ้ ยลง ใหน้ กั เรยี นไดค้ ิด ซกั ถาม แกไ้ ขปัญหา ถา้ ครฉู นุ เฉยี ว นกั เรียนจะอึดอดั ถา้ ครูปั่นปงึ่ นักเรยี นจะกลวั ถ้าครูแตง่ กายไมเ่ รียบรอ้ ย นักเรียนจะขาดความเรียบร้อย ถ้าครูใช้นา้ เสียงดดุ ัน นกั เรยี นจะหวาดกลัว ประเภทที่ 3 ถา้ ครูท้อถอย นักเรียนจะทอ้ แท้ ถา้ ครูเฉยเมย นักเรยี นจะเฉือ่ ยชา ถา้ ครูเชอื่ งชา้ นักเรยี นจะหงอยเหงา ถ้าครูน้าเสยี งราบเรียบ นกั เรียนจะไมส่ นใจฟัง ถา้ ครูปล่อยปะละเลย นักเรยี นจะขาดระเบยี บวนิ ัย
กำรบริหำรชัน้ เรียนแบบคละช้นั 3. กำรจัดบรรยำกำศที่เอ้ือต่อกำรเรียนรู้แบบคละชั้น มีองค์ประกอบ สำคัญ 2 ประกำร คอื การจัดช้ันเรียนแบบคละชั้นเป็นการบริหารจัดการในโรงเรียนขนาดเล็ก 3.1 กำรจดั สภำพแวดล้อมในห้องเรียน ให้คานึงถงึ ลักษณะกจิ กรรม เร่ิมในโรงเรียนตน้ แบบ 800 โรงเรียนปกี ารศึกษา 2557 การเรยี นรู้ ท้ังทเ่ี ป็นกลุม่ ใหญ่ กลุม่ ย่อย รายบุคคล ดงั น้ี - มุมสงบ มมุ ทางานเดยี ว ควำมหมำย เป็นการนานักเรียนต่างกลุ่ม ต่างอายุ ต่างความสามารถมา - ศูนย์ทดสอบ เรยี นร้พู ร้อมกนั ในหอ้ งเดียวกัน มีครูคนเดยี วจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ - บรเิ วณท่คี รใู ชส้ อนทง้ั ชนั้ รวมกนั - มมุ ทางานแบบจับคู่ แนวคิดหลกั กำรกำรจัดกำรเรยี นรู้แบบคละช้นั - บริเวณที่จดั ไวส้ าหรับทางานกลุม่ ยอ่ ย 1. เสริมสร้างปฏสิ ัมพนั ธใ์ นการเรยี นรูร้ ว่ มกัน - ศูนยโ์ สตศึกษา ค้นควา้ เอกสาร 2. จัดการเรียนรู้เต็มศักยภาพ (เป็นห้องเรียนแบบธรรมชาติที่สอดคล้อง - บริเวณทคี่ รูสอนกลุ่มยอ่ ย กบั วิถกี ารดารงชวี ิตปกติ เดก็ ทุกคนมีครสู อนดแู ลไดต้ ลอดเวลา) - มีปา้ ยนิเทศหรือปา้ ยแสดงผลงานนักเรียน 3.จบั กลุ่มเดก็ ทีม่ ีพัฒนาการระดบั ความสามารถในการเรียนรู้ใกล้เคียงกัน 3.2 ลักษณะชน้ั เรยี น เอ้อื ตอ่ กำรเรียนรู้ กว้ำงขวำง มที จ่ี ัดกิจกรรม ไวด้ ว้ ยกัน 3.3 กำรจดั บรรยำกำศแหง่ กำรเรียนรู้ คำนึงถึงเรือ่ ง ดงั น้ี 4. จดั ประสบการณใ์ หเ้ กดิ การเรยี นรู้ ดว้ ยตนเองและจากผอู้ นื่ - นักเรยี นมสี ่วนรว่ มในกระบวนการเรยี นรู้ - สร้างแรงจูงใจเมอื่ เด็กเกดิ ความสนใจ กำรบรหิ ำรชัน้ เรียนแบบคละช้ัน สถำนศึกษำควรคำนึงถึงองค์ประกอบ - จัดการเรียนรู้ทีต่ อบสนองความแตกต่างของนักเรยี น ดังต่อไปน้ี มี 3 ข้อ ดงั นี้ - ใช้สือ่ ทห่ี ลากหลาย 1. กำรจัดครเู ข้ำสอน - จดั ประสบการณ์เรียนรูท้ ที่ า้ ทาย 1.1 ด้ำนควำมรู้ ครูควรมีควำมรูใ้ นเรอื่ งต่อไปน้ี - ห้องเรยี นสะอาด จัดเก็บอปุ กรณเ์ ปน็ หมวดหมู่ - เทคนิคการจดั ชนั้ เรียนคละชนั้ ประกอบดว้ ย - นักเรยี นมคี วามรสู้ ึกปลอดภัย มีสมั พนั ธ์ทด่ี ีตอ่ กัน มีวิธกี ารหลากหลายในการจัดชน้ั เรยี น - มีปา้ ยนเิ ทศ ทจ่ี ัดแสดงผลงานเหมาะสม จัดกจิ วตั รประจาวันให้เด็กคุ้นเคยสามารถเรียนรู้ต่อเน่ือง 3.4 กำรจดั ตำรำงเรียน ได้ ควรจัดให้สอดคล้องกับโครงสร้างของหลักสูตรสถานศึกษา มีประสทิ ธิภาพสูง หรอื จดุ เนน้ ของสถานศกึ ษา วธิ กี ารสอนหลากหลาย เชน่ การสอนเปน็ ทีม ฯ ช่วงเชา้ เน้น ภาษา และ คณิตศาสตร์ - ความรู้เร่อื งประโยชน์ผลดีของการสอนแบบคละชน้ั ช่วงบ่าย จัดตารางแบบบูรณาการเป็นหน่วยการเรียนรู้โดย - การจัดโครงสร้างหลักสูตรท่ีสมดุล ครอบคลุมการสอนท้ังรายวัน เน้นทักษะการแสวงหาความรู้ เช่น การคิด การทางานร่วมกับผู้อื่น รายสปั ดาห์ รายภาคเรยี น รายปี การสื่อสาร ฯ - การจดั พ้นื ท่ใี นหอ้ งเรยี น - วธิ กี ารประเมนิ ผล ทีป่ ฏิบัตไิ ด้ และมปี ระสทิ ธิภาพ 1.2 ดำ้ นทักษะและสมรรถนะ ครผู สู้ อนควรมดี ังนี้ - ทกั ษะในการจดั การช้นั เรียน (มปี ฏสิ ัมพนั ธ์เชงิ บวกแกผ่ เู้ รยี น) - ทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ระดับความสามารถของเด็กเปน็ รายบุคคล - ทักษะการจัดกระบวนการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เอ้ือต่อการ เรียนรู้ ทีต่ อบความสามารถของผ้เู รยี น - ทักษะการจัดทา/หาส่ือ ส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรูแ้ บบคละชนั้ - ทักษะการวัดและประเมินผลทหี่ ลากหลายตรงตามสภาพจริง 1.3 ดำ้ นทศั นะคติ - มีความเช่ือว่าการสอนแบบคละช้ันจะเกิดประโยชน์แก่เด็กทั้ง ดา้ นพัฒนาการทางสติปัญญา สังคม อารมณ์ - เชอื่ ว่าผเู้ รียนสามารถเรยี นร้ไู ดด้ ว้ ยตนเอง เรยี นร้รู ว่ มกันได้ - ผู้ปกครองเห็นประโยชนการสอนแบบคละช้ัน ท้ังด้านวิชาการ อื่นๆ - การจัดการเรียนการสอนแบบคละชั้นช่วยแก้ปัญหาการขาด แคลนครู 1.4 กำรเสริมสร้ำงวนิ ัยเชิงบวก ครูกาหนดขอ้ ตกลงในการเรียนรรู้ ว่ มกนั ดังนี้ - จัดทาระเบยี บขอ้ ตกลงรว่ มกนั ให้นักเรียนมสี ว่ นรว่ ม - จานวนข้อไม่มาก - ภาษาเข้าใจง่าย บง่ บอกถงึ พฤติกรรมทตี่ อ้ งการใหเ้ กิด - ภาพประกอบมีสสี ัน/เป็นคากลอน 2. กำรจดั ช้ันเรยี นแบบคละชน้ั ครูควรคำนึงถึงเร่ืองตอ่ ไปนี้ 2.1 พฒั นาการหรือระดับความสามารถของเดก็ 2.2 ระดับการเรียน ความสนใจ ความพึงพอใจในกลุ่มเพ่ือน ภาษา ถนิ่ ที่เดก็ ใชใ้ นชวี ิตประจาวัน 2.3 ปริมาณเด็กในชน้ั เรยี น ครู 1 คน ไมค่ วรเกนิ 20 คน
6. กำรวจิ ัยทำงกำรศกึ ษำ ควำมหมำยของกำรวิจยั 6. แบง่ ตำมลกั ษณะของข้อมลู 2 ประเภท 1. กำรวิจัยเชิงปริมำณ Quantitive research = เน้นข้อมูลตัว นักกำรศึกษำกบั ควำมหมำย เลขท่เี ป็นหลกั ฐานยนื ยันความถกู ต้องของข้อคน้ พบ นนั ทนนั สชุ ำโต = กระบวนการแสวงหาข้อเทจ็ จริง หรอื การพยายามคน้ หา 2. กำรวิจัยเชิงคุณภำพ Qualitative research = เน้นอธิบาย คาตอบหรอื หาความร้คู วามเข้าใจในปรากฏการณต์ ่างๆ ปรากฏการณ์ทางสงั คมและความสมั พันธ์ปรากฏการณ์สภาพแวดลอ้ ม ศิริชัย กำญจนำวสี = กระบวนการแสวงหาหรือพัฒนาองค์ความรู้ ท่ีมี รูปแบบของกำรวิจัย ลกั ษณะเป็นนยั ท่วั ไปอย่างมีระเบยี บแบบแผน 1. กำรศึกษำเฉพำะรำยกรณี Case Study ศึกษาข้อเท็จจรงิ ปัญหาที่เกิดข้ึนเฉพาะกรณี สุชำติ ประสิทธ์รฐั สนิ ธุ์ = กระบวนการแสวงหาความรู้ความเช้าใจท่ีถูกต้อง 2. กำรศกึ ษำแบบสำรวจ Survey Design ในสิ่งท่ีตอ้ งการศกึ ษา มีการเก็บรวบรวมข้อมูล การจดั ระเบยี บข้อมลู การสารวจเพ่อื รวบรวมข้อมลู สรุปได้ว่ำ การวิจัย หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้อย่างเป็นระบบ 3. กำรศึกษำแบบกำรทดลอง Experimental Design การหาความสัมพันธเ์ ชิงเหตผุ ลของปรากฏการณ์ต่างๆ โดยใชห้ ลกั และวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ วตั ถปุ ระสงค์ของกำรวจิ ัย คำถำมท่ดี ใี นกำรวิจยั 1. คน้ หาคาตอบในเร่ืองท่ียังไม่รู้ 1. เป็นประเด็นหรือคาถามที่ทาให้นักวิจัยต้องศึกษา เชิงทฤษฎี ปฏิบัติ ผสมผสานกนั 2. ศกึ ษาหาความสมั พันธร์ ะหวา่ งปรากฏการณต์ า่ งๆท่เี กิดข้นึ 2. มีความนา่ สนใจ เช่อื มโยงกับความร้แู ละงานวจิ ยั ทผ่ี ่านมา 3. สร้างหลักเกณฑ์ทฤษฎแี นวคิดใหมๆ่ 3. ควรอธบิ ายใหเ้ ห็นจดุ ประสงค์และขอบเขตของการวจิ ยั อยา่ งชัดเจน 4. เป็นพนื้ ฐานในการวางแผน ลำดับข้นั ตอนในกำรทำวิจัย แบ่งได้ 5 ข้ันดงั นี้ 5. แก้ปญั หาต่างๆ 1. ข้นั กำหนดปญั หำ Problem เปน็ ข้อสงสัยใคร่ร้ขู องผวู้ จิ ัยในปรากฏการณท์ ่เี กิดขนึ้ หรือพบเหน็ ประเภทของกำรวจิ ัย 2. กำรตงั้ สมมตฐิ ำน Hypothesis การคาดคะเนคาตอบของปญั หา 1. แบ่งตำมประโยชนก์ ำรนำผลไปใช้ 3 ประเภท 3. ขัน้ ทดลองและเกบ็ ข้อมลู Experimental and data Collection ข้ันตอนท่ผี ู้วจิ ยั ทาการศึกษาสิ่งที่เกยี่ วกับข้อปัญหาท่กี าหนดไว้ 1. วจิ ัยพนื้ ฐำนหรือวิจัยบรสิ ทุ ธิ์ Basic or pure research 4. ขัน้ กำรวิเครำะห์ขอ้ มูล Data analysis การนาขอ้ มูลจากขอ้ 3 มาจัดกลมุ่ หมวดหมดู่ ว้ ยวิธกี ารทางสถิติเป็นข้อมูล วิจยั เพ่ือขยายขอบขา่ ยของความรใู้ ห้กว้างออกไป เชงิ ปริมาณท่ปี ระกอบดว้ ยตัวเลขตา่ งๆ 5. ขน้ั กำรสรุปผล Conclusion 2. กำรวจิ ัยประยุกต์ Applied research เปน็ การนาข้อมลู ที่ได้จากขอ้ 4 มาสรปุ ผลเป็นการตอบคาถามวิจัยข้อที่ 1 มุ่งนาผลไปใชเ้ พือ่ ปรบั ปรุงสภาพของสังคมและความเป็นอยู่ ลักษณะของงำนวจิ ยั ทดี่ ี 3. กำรวิจัยเชิงปฏิบัตกิ ำร Action research 1.ควำมถกู ตอ้ ง Correctness = สาระถกู ตอ้ ง แม่นยา มหี ลักฐาน 2. เป็นเหตุผล Cogency = สาระของวจิ ัยมเี หตผุ ลน่าเชื่อถอื เพอื่ พัฒนาทักษะหรือวธิ กี ารใหมๆ่ นามาแก้ปัญหาการทางานโดยตรง 3. ควำมกระจ่ำงแจ้ง Clarity = โครงการวิจัย ชัดเจน แจ่มแจ้ง ไม่ กากวม 2. แบ่งตำมวตั ถปุ ระสงคแ์ ละกำรนำเสนอข้อมลู 5 ประเภท 4. ควำมสมบูรณ์ Completeness = มีสาระสาคัญครบทุกหัวข้อตาม ขนั้ ตอน 1. กำรวิจยั ขนั้ สำรวจ Exploration research 5. ควำมกะทดั รัด Concise 6. ควำมสม่ำเสมอ คงเสน้ คงวำ Consistency การรวบรวมข้อมลู พน้ื ฐานเบื้องต้น เพ่ือหาข้อเทจ็ จรงิ ต่างๆ 7. ควำมสัมพนั ธ์เชอื่ มโยงสอดคล้อง Correspondence 2. กำรวจิ ัยเชงิ บรรยำย Descriptive research กำรเขยี นเค้ำโครงวจิ ยั ต้องการหาคาตอบว่า อะไร อยา่ งไร มากกว่า ทาไม ไม่มีการคาดคะเน ประโยชนก์ ำรเขยี นเค้ำโครงกำรวิจยั 1. ใชเ้ ปน็ กรอบในการดาเนินการตามแนวทางทเ่ี สนอ โดยไมห่ ลงทางหรือ 3. กำรวิจัยเชิงอรรถำธบิ ำย Explanatory research ทาเกนิ ขอบเขต 2. สาหรับไวต้ ดิ ตามความกา้ วหน้า และประเมินผลการดาเนินงานวิจัย การวจิ ยั ท่พี ยายามช้ีหรืออธิบายใหเ้ หน็ ว่าตวั แปรใดมีความสัมพนั ธ์ 3. เปน็ ข้อมูลใหผ้ รู้ ู้ ใหข้ อ้ เสนอแนะ และปรบั ปรุงคณุ ภาพงานวิจัย 4. เป็นเคร่ืองมือยืนยันความสาคัญและคุณค่างานวิจัย และใช้ขอรับการ 4. กำรวจิ ยั เชิงคำดคะเน Predictive research สนบั สนนุ ทรัพยากรได้ พยายามชใี้ ห้เห็นหรอื คาดคะเนเหตกุ ารณใ์ นอนาคต 5. กำรวิจัยเชิงวนิ ิจฉัย Diagnostic research เป็นการวจิ ัยเพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาท่ีเกดิ ข้ึน 3. แบง่ ตำมควำมสำมำรถในกำรควบคมุ ตวั แปร 3 ประเภท 1. กำรวจิ ยั เชิงทดลอง Experimental research การวจิ ัยที่ผู้ จัดสร้างสถานการณแ์ ละเง่อื นไขต่างๆมาทดลอง 2. กำรวิจยั เชิงกงึ่ ทดลอง Quasi experimental research ผูว้ ิจัยสามารถสรา้ งสถานการณเ์ ง่อื นไขไดบ้ า้ งเปน็ บางประเดน็ 3. กำรวิจัยเชงิ ธรรมชำติ Naturalistic research การวิจยั ทไ่ี ม่มีการจดั สร้างสถานการณ์ 4. แบง่ ตำมระเบียบวิธกี ำรวจิ ัย 3 ประเภท 1. กำรวจิ ยั เชิงประวตั ิศำสตร์ History research การวิจัยท่ีใช้ระเบยี บวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ในลักษณะศกึ ษาหาข้อเท็จจริง 2. กำรวิจยั เชงิ บรรยำย Descriptive research การบรรยายปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนคืออะไร 3. กำรวจิ ัยเชิงทดลอง Experimental research การศึกษาหาขอ้ เทจ็ จริงดว้ ยการทดลองภายใตก้ ารควบคมุ ตัวแปร 5. แบง่ ตำมระเบยี บวธิ กี ำรวจิ ัยทั่วไป 6 ประเภท 1. การวิจยั เชิงทดลอง 2. การวจิ ยั เชิงประวัตศิ าสตร์ 3. การวิจัยเชิงย้อยรอย 4. การวจิ ยั เชิงสารวจ 5. การวิจยั เชงิ ชาติพนั ธ์ วรรณะ 6. การวจิ ยั เชงิ ประเมินผล
กำรเขยี นเค้ำโครงวจิ ัยมหี วั ขอ้ เป็นลำดับ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. ชื่องำนวิจัย - ต้องตังชื่อเร่ืองให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเราจะทาอะไร 1.5 เลือกแบบสุ่มหลำยๆขั้น, กำรสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม Multi – Stage sampling กบั ใคร อย่างไร ให้ชัดเจน - เปน็ การสุม่ กับประชากรที่มีจานวนมากๆ มีข้อมูลประชากรเพียงพอแต่ - ควรระบุชอื่ ตัวแปรสาคัญ คอื กรณไี ม่มขี ้อมูลประชากรจะพิจาณาจากลักษณะที่จัดกล่มุ ตามธรรมชาติ ตัวแปรอิสระ Independent - สุ่มแบบแบ่งชั้นประชากรออกเป็นลาดับช้ันต่างๆ เช่น ภาค จังหวัด อาเภอ เขตพ้ืนที่ ตัวแปรตาม Dependent 2. Non – probability sampling - ควรระบกุ ลุ่มเปา้ หมายทีเ่ ปน็ แหล่งข้อมูล เพื่อจะ การเลอื กกลุ่มตัวอย่างไม่ให้หน่วยของตวั อยา่ งมโี อกาสถกู เลอื กเท่าๆกัน - เลือกโดยการวินิจฉัย Judgement sampling อาศัยเกณฑ์บางอย่างที่ ให้รู้ว่าเก็บข้อมูลที่ไหน หรือกลุ่มเป้าหมายมีลักษณะ วางไว้ - เลือกโดยกาหนดโควตา Quota sampling ผวู้ ิจยั ใชว้ ินจิ ฉยั ผสมการสุ่ม อย่างไร กำรกำหนดตวั แปร - ควรบอกวธิ ีการวิจัยครา่ วๆ ว่าทาวจิ ยั ประเภทใด ตัวแปร Variable = ลกั ษณะคุณสมบัตทิ ีผ่ ู้วิจัยสนใจจะศึกษา ซึ่งลักษณะ (ถ้าพอจะบอกได้) ดงั กล่าวจะต้องวดั ได้ อย่างน้อยตอ้ งมี 2 คา่ หรอื 2 ลักษณะ - ชื่อวิจยั ไมน่ ิยมตัง้ เป็นคาถาม เราแบ่งประเภทตัวแปรตามลกั ษณะได้ 3 ชนดิ คอื 1. ตัวแปรตน้ , ตวั แปรอสิ ระ Independent 2. วตั ถุประสงค์ - เขียนวตั ถปุ ระสงค์ให้สอดคล้องกับชื่อเร่ือง กาหนดขนึ้ เพ่อื ทดสอบสมมติฐาน 3. ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปัญหำ 2. ตัวแปรตำม Dependent - เป็นการให้เหตุผลสนับสนุนการที่เราเลือกทา ตัวแปรทเี่ ปลย่ี นแปลงไปตามตวั แปรต้นหรือผลของตวั แปรตน้ 3. ตวั แปรควบคมุ วิจยั เร่ืองน้ี ตวั แปรทสี่ ่งผลตอ่ การทดลอง 4. ขอบเขตกำรวจิ ัย - บอกกรอบของงานวิจัยว่ามขี อบเขตแค่ไหน กำรตงั้ สมมติฐำนในกำรวิจัย 5. สมมติฐำนกำรวิจยั - การคาดเดา หรือ ทายเหตุของปัญหาหรือผลท่ี สมมตฐิ ำน Hypothesis = ผลการวิจัยทคี่ าดว่าจะเป็น เป็นลักษณะของ จะได้รับจากการวจิ ยั การคาดเดาหรือทายเหตุของปัญหาหรือผลท่ีจะได้รับจากการวิจัยแบ่งเป็น 2 ประเภท คอื 6. ขอ้ ตกลงเบอ้ื งต้น - การกาหนดข้อตกลงในการทาวิจยั ลว่ งหนา้ 1. สมมตฐิ ำนเชิงบรรยำย 7. ควำมจำกดั ในกำรทำวิจยั – เป็นการกลา่ วถงึ ปัญหาท่ีไมอ่ าจควบคมุ ได้ 2. สมมตฐิ ำนเชิงสถติ ิ 8. นิยำมศัพท์เฉพำะ - คาจากดั ความทีใ่ ช้ในการวิจยั แต่ละเรอ่ื ง ลักษณะของสมมตฐิ ำนท่ีดี 1. สอดคลอ้ งกับจดุ มงุ่ หมาย 9. ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ – การแสดงความคาดหวัง เม่ือทาการวิจัยแล้ว 2. สอดคล้องกับสภาพความเปน็ จรงิ 3. ทดสอบไดด้ ้วยข้อมลู หรือหลกั ฐาน จะได้ประโยชนอ์ ยา่ งไร 4. อธิบายหรือตอคาถามไดห้ มด 5. สมเหตุสมผลตมทฤษฎคี วามรพู้ น้ื ฐาน 10. วธิ ดี ำเนนิ กำรวิจยั - กล่าวถึงประชากร กลุ่มตัวอย่างที่เราจะใช้เป็น 6. ภาษาทเ่ี ขียนตอ้ งงา่ ยตอ่ การเข้าใจ 7. มอี านาจในการพยากรณส์ ูง นาไปใช้อธิบายสภาพการณ์คลา้ ยๆกันได้ กลมุ่ เปา้ หมายในการวิจยั ข้อมูล 11. ผูร้ บั ผิดชอบกำรวิจัย - ชื่อผวู้ ิจัยเอง ประชำกรและกลมุ่ ตวั อยำ่ ง Population ขอ้ มูล Data มี 2 ประเภท 1. เชิงปริมาณ ลักษณะของตัวอย่ำงท่ีดี 2. เชิงคณุ ภาพ 1. มปี ระสทิ ธภิ าพใหข้ ้อมลู ท่เี ปน็ ประโยชน์ แบง่ ตำมทีม่ ีมี 2 ชนดิ 1. ปฐมภูมิ Primary 2. เป็นตัวแทนของประชากรท้งั หมด (เลือกมาโดยการส่มุ ) 2. ทตุ ิยภมู ิ Secondary 3. มคี วามเชือ่ ถือได้ เคร่อื งมอื 4. มีความยืดหยุ่น เพิ่มลด ตัวอย่างได้โดยไม่ทาให้ผลการวิเคราะห์ข้อมูล เครือ่ งมอื Tool or Instrument = สิง่ ท่ใี ชว้ ดั ตวั แปรเพอ่ื ให้ไดผ้ ลการวัด ที่เรียกวา่ ข้อมูล ผดิ พลาด กำรเลอื กตัวอย่ำงเพื่อใช้ในกำรวจิ ัย 2 กลุ่มใหญ่ เคร่ืองมือที่ใช้ในกำรวิจัย = ส่ิงที่เราจะใช้ในการเก็บข้อมูล ซ่ึงเราต้อง สร้างขนึ้ ใหส้ อดคลอ้ งกับวตั ถุประสงคข์ องการวิจัย 1. Probability Sampling เลือกกลมุ่ ตัวอยำ่ งแบบสุ่ม ลกั ษณะของเครอ่ื งมอื ทดี่ ี 1.1 เลือกแบบสุ่มอย่ำงง่ำย Simple random sampling 1.มีควำมเทย่ี งตรง Validity = วัดได้ในสง่ิ ท่ีต้องการจะวัด 2. มีควำมเชือ่ ถอื ได้ Reliability = วัดไดค้ งทแ่ี นน่ อน - สุ่มจากหน่วยย่อยของประชากรที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน เปิดโอกาสให้ 3. มีประสทิ ธภิ ำพ Efficiency 4. มีอำนำจจำแนก Discrimination = แบ่งแยกช้ีได้ว่ากลุ่มตัวอย่างหรือ หนว่ ยยอ่ ยของประชากรทกุ หนว่ ยมสี ทิ ธิ์ได้รบั เลอื กเท่าๆกนั ประชากรทเี่ ราศึกษามที ัศนะคตทิ ีด่ ีหรือไมด่ ี - สุ่มโดยใชห้ ลักสถิติ - สุ่มกับประชากรที่สมาชิกไม่มากนัก โดยสมาชิกทุกหน่วยมีหมายเลข กากับ เช่น รหัสบตั รประชาชน รหัสนกั ศึกษา นามาหมายเลขมาจับสลากหรือใช้ ตารางเลขสุ่ม 1.2 เลือกแบบสุ่มตำมระดับช้ัน , แบบแบ่งข้ัน Stratified random sampling - สุ่มตัวอย่างจากหนว่ ยย่อยของประชากรเป็นพวกหรือขนั้ Stratum - สุ่มกับประชากรที่มีสมาชิกจานวนมากๆ โดยจาแนกสมาชิกท้ังหมด ออกเปน็ ระดบั ขัน้ ตามตัวแปรอิสระ เชน่ เพศ ชว่ งอายุ เกรดเฉลีย 1.3 เลือกแบบมรี ะบบ , เปน็ ระบบ Systematic sampling - สมุ่ จากประชากรทม่ี ลี กั ษณะใกล้เคยี งกัน สมุ่ เปน็ ช่วงๆ - สุ่มกับประชากรท่ีมีสมาชิกจานวนมากๆ โดยสมาชิกทุกหน่วยมี หมายเลขกากับ และแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่มย่อยๆจะได้กลุ่มตัวอย่างท่ี สมาชกิ ทุกหนว่ ยมีโอกาสถูกเลือกอย่างเหมาะสม 1.4 เลอื กตัวอย่ำงแบบ Area or Cluster sampling - สุ่มจากประชากรที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มมีลักษณะภายในที่ หลากหลาย
กำรตรวจสอบคณุ ภำพเครื่องมอื กำรวจิ ัย รูปแบบกำรเขียนรำยงำนกำรวิจยั 1. ความเที่ยงตรง มีค่า IOC ≥ 0.5 2. ความเชอ่ื ม่ัน มคี ่า ไม่นอ้ ยกวา่ 0.8 1. สว่ นนำ ปกหน้า , ปกใน , คานา , บทคดั ยอ่ , สารบัญ , สารบญั ตาราง 3. คา่ ความยาก Difficulty คา่ P ทีย่ อมรับไดอ้ ยูร่ ะหว่าง 0.2 − 0.8 2. เนื้อหำ บทที่ 1 บทนำ คา่ P ทดี่ ีมากอยรู่ ะหวา่ ง 0.4 − 0.6 4. ค่าอานาจจาแนก ( r ) มคี า่ ตง้ั แต่ 0.2 − 1.0 - ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา หลกั เกณฑก์ ำรในกำรสรำ้ งเครือ่ งมอื วิจัย - วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั 1. สรา้ งความเขา้ ใจอนั ดีแกผ่ ้ตู อบคาถาม 2. กาหนดขอบขา่ ยของคาถาม - ขอบเขตของการวจิ ัย 3. จดั ลาดบั คาถามเปน็ ไปอยา่ งเหมาะสม 4. วางรปู แบบ คาช้ีแจงใหเ้ หมาะสม - ข้อตกลงเบ้อื งตน้ 5. พยายามถามให้ผตู้ อบตอบตามความจรงิ 6. ใช้คาถามท่ีเหมาะสม - คาจากัดในการวิจัย กำรวิเครำะหข์ ้อมูล มี 4 ขน้ั ตอน ดงั นี้ - นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 1. เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 2. นาเสนอข้อมลู - ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะไดร้ ับ 3. วิเคราะหข์ ้อมูล 4. ตคี วามขอ้ มลู บทท่ี 2 เอกสำรและงำนวิจัยทเ่ี ก่ียวข้อง ระดับกำรวัดตัวแปร มี 4 ระดับ ดังน้ี บทที่ 3 วธิ ีกำรดำเนนิ งำนวิจยั 1. นามบญั ญัติ = ช่ือคน ภมู ิลาเนา เชอื้ ชาติ - กลุ่มตัวอยา่ งและวธิ ีการสุม่ ตวั อย่าง 2. เรียงลาดบั = ลาดับผลการเรียน ผลรางวัล 3. อันตรภาค = อุณหภูมิ คะแนนที่ได้จากการสอบ - เคร่อื งมอื ทใี่ ช้ในการวิจยั 4. อตั ราส่วน = ความยาว พนื้ ท่ี ส่วนสงู - การรวบนวมขอ้ มูล มำตรวดั - การวิเคราะห์ขอ้ มลู 1.แบบตรวจสอบรำยกำร = ใชว้ ัดพฤติกรรม โดยมีรายการให้ตรวจสอบ เชน่ มี/ไม่มี ทา/ไมท่ า - สถติ ทิ ใ่ี ช้ในการวิจยั 2. แบบมำตรำสว่ นประมำณคำ่ = ใชป้ ระเมนิ พฤตกิ รรม มี 5 ระดับ เช่น ทกุ วนั /บ่อยๆ/นานๆคร้งั /ไม่เคยเลย บทที่ 4 ผลกำรวิเครำะห์ขอ้ มูล สถติ ทใี่ ช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล บทท่ี 5 สรุปผลกำรวจิ ัย 1. เชงิ บรรยำย = เปน็ กำรสรปุ ผลจำกกำรสุ่มตวั อย่ำง 3. ส่วนเอกสำรอ้ำงองิ 2. เชงิ อ้ำงองิ = สรปุ ผลจำกกลุ่มตวั อย่ำงอำ้ งอิงไปยงั ประชำกร *** ควำมแตกตำ่ ง บรรณำนกุ รม เชงิ บรรยำย ไมม่ กี ำรทดสอบนัยสำคญั ทำงสถติ ิ เชิงอ้ำงอิง มกี ำรทดสอบนยั สำคัญทำงสถติ ิ ภำคผนวก คณุ สมบตั ิของนกั วจิ ยั ที่ดี หลกั กำรแปลผลสรุปผลกำรวิจัย 1. มีความสงสยั 2. มวี ิจารณญาณ 1.ผูว้ ิจยั ต้องเขำ้ ใจควำมหมำยของตวั เลขหรอื คำ่ สถติ ิ 2. แปลผลให้อยู่ในขอบเขตของข้อมลู วตั ถุประสงค์ ประชำกรที่ศกึ ษำ 3. ใจกวา้ ง 4. รเิ ริ่มสร้างสรรค์ 3. แปลผลกำรวเิ ครำะห์ให้สอดคล้องขอ้ จำกัดของขอ้ มูลทำงสถิติ 4. พจิ ำรณำผลทไ่ี ด้ แปลผลในลกั ษณะใดจงึ จะถูกต้อง 5. ซ่ือสตั ย์ 6. ขยัน หมน่ั เพียร มานะอุตสาหะ กำรสรุปผลกำรวจิ ยั 7. มีความสขุ กบั การทางาน 1. มองเห็นโดยสว่ นรวมของงานวจิ ัยช้ินน้ี 2. การอภิปราย อาจมกี ารกล่าวพาดพงิ ถึงทฤษฎใี ดทฤษฎีหน่งึ จรรยำบรรณนกั วิจยั 3. ข้อเสนอแนะ การแสดงขอ้ คดิ เห็นของผู้ทาการวจิ ัย 1. ซื่อสัตย์ กำรเขียนรำยงำนกำรวิจัย/วัตถุประสงคก์ ำรวิจัย มี 4 ประกำร 1. เป็นหลกั ฐานรายงานแสดงคณุ ค่าของงานวจิ ยั 2. ตระหนักถงึ พันธกรณใี นการทาวจิ ัย 2. เชือ่ มโยงความรู้ที่มมี าแตเ่ ดิม 3. เปน็ สารสนเทศของผูท้ ีเ่ ก่ยี วขอ้ ง 3. มีพ้นื ฐานความรู้ในสาขาวิชาการท่ที าการวจิ ัย 4. เป็นหลักฐานแสดงศักยภาพด้านการวจิ ยั ของนกั วจิ ัย 4. รับผิดชอบ 5. เคารพศกั ดิ์ศรี 6. มอี สิ ระทางความคิด 7. นาผลงานไปใช้ประโยชนใ์ นทางทชี่ อบ 8. เคารพความคดิ เหน็ ทางวิชาการของผอู้ ่นื 9. รับผดิ ชอบต่อสงั คมทุกระดบั กำรวจิ ยั ในชั้นเรียน ควำมสำคญั การวิจัยในชั้นเรียนมีเป้าหมายท่ีสาคัญ คือ เพ่ือพัฒนา คุณภาพการเรียนการสอนใหเ้ กดิ ผลดีที่สุดด้วยครูเอง บทบำทของครูกบั กำรวจิ ัยในชนั้ เรียน 1. ครูในฐานะนักการสอน 2. ครูในฐานะนกั พฒั นาหลกั สตู ร 3. ครใู นฐานะนักวจิ ยั ขอบเขตของกำรวิจัยในช้นั เรยี น ขอบเขตของการวิจัยในชั้นเรียน จะให้ความสาคัญการคิดค้น นวัตกรรมเพอ่ื แกป้ ญั หาหรอื พฒั นาการสอน แบง่ ได้ 2 ลักษณะคือ 1. สือ่ การเรียนการสอนที่เปน็ สง่ิ ประดิษฐ์ 2. กจิ กรรมพฒั นาหรอื เทคนิคการสอน
7. สื่อ นวตั กรรม และเทคโนโลยีทำงกำรศกึ ษำ 2. Willbure young จำแนกตำมคุณสมบัตไิ วด้ ังน้ี ควำมหมำยของสือ่ กำรสอน ( Instruction Media ) 1. ทศั นวัสดุ Visual Materials = กระดานดา กระดาน หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ หรือ วิธีการใดๆ ก็ตามท่ีเป็นตัวกลางในการ สาลี แผนภูมิ รปู ภาพ แผนภูมิ ฟิล์มสตริป สไลด์ ถา่ ยทอดความรู้ ทัศนะคติ และประสบการณ์ไปส่ผู ู้เรยี น 2. โสตวัสดุ Audio Materials = เครื่องบันทึกเสียง คุณสมบตั ิของสือ่ กำรสอน 3 ประกำร เคร่ืองรับวิทยุ หอ้ งปฏบิ ัตกิ ารทางภาษาฯ 1. สามารถยึดประสบการณ์ กิจกรรมต่างๆไว้ ได้อย่างคงทนถาวร ท้ังอดีต 3. โสตทัศนวัสดุ Audio visual materials = ภาพยนตร์ และปัจจุบัน โทรทัศนฯ์ 2. จดั แจงจัดการประสบการณ์ต่าง ๆ ให้ใช้ได้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 4. เคร่ืองมือหรืออุปกรณ์ Equipments = เคร่ืองฉาย ของการเรยี นการสอน ภาพยนตร์ เคร่อื ง ฉายฟลิ ์มสตรปิ เคร่ืองฉายสไลด์ 3. แจกจ่ายขยายขา่ วสารออกเปน็ หลายๆ ฉบับ เพื่อเผยแพร่สู่คนจานวน 5. กิจกรรมต่างๆ Activities = นิทรรศการ การสาธิต ทัศน มากใช้ ซ้าๆได้หลายคร้ัง ศึกษา ฯ คณุ คำ่ ของส่อื กำรเรียนกำรสอน 3. Louis Shores จำแนกสื่อกำรสอนตำมแบบดงั นี้ 1. ส่ิงตีพิมพ์ Printed Materials = หนังสือแบบเรียน 1. ชว่ ยใหเ้ ดก็ ท่มี ปี ระสบการณเ์ ดมิ เขา้ ใจประสบการณใ์ หม่ไดใ้ กล้เคียงกนั เอกสารการสอน 2. ขจดั ปญั หาเก่ยี วกับเร่ืองสถานที่ ประสบการณต์ รง หรือการเรียนรู้ 2. วัสดุกรำฟิก = แผนภูมิCharts , แผนสถิติGraph , 3. เด็กไดป้ ระสบการณ์ตรงจากสง่ิ แวดลอ้ มและสงั คม แผนภาพ Diagram 4. สอ่ื การเรียนการสอนชว่ ยใหเ้ ดก็ มคี วามคดิ รวบยอดอยา่ งเดยี วกัน 3. เคร่อื งฉำยและวสั ดุฉำย = ภาพยนตร์ สไลด์ 5. เด็กมมี โนภาพเริม่ แรกอย่างถกู ต้องสมบรู ณ์ 4. วัสดุถำ่ ยทอดเสยี ง Transmission = เคร่ืองบันทกึ เสยี ง 6. เด็กมคี วามสนใจตอ้ งการเรียนในเรื่องต่างๆมากขึ้น เช่น การอ่าน การ 4. ส่ือกำรสอนตำมลกั ษณะกำรใช้ คิดริเรม่ิ สร้างสรรค์ ทัศนคติ การแกป้ ัญหา 1. เครื่องมอื หรืออปุ กรณ์ Hardware 7. สรา้ งแรงจูงใจและเรา้ ความสนใจ 2. วสั ดุ Software 8. ผู้เรียนมีประสบการณจ์ ากรปู ธรรมส่นู ามธรรม 3. เทคนคิ วธิ ีการ Techinques or Methods ทฤษฎสี ี หลักกำรใช้สี ตัวอักษร และภำพในกำรสรำ้ งส่อื กำรสอน คุณคำ่ ของสื่อสอน 3 ดำ้ น 1. ดำ้ นวิชำกำร = ผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรง/ส่งเสริมความคิด/ แมส่ หี ลกั 3 สี = แดง เหลือง นำ้ เงนิ การแก้ปญั หา/จาเร่ืองราวไดน้ าน แมส่ วี ทิ ยำศำสตร์ 3 สี = แดง เขยี ว มว่ ง 2. ด้ำนจิตวทิ ยำ = เกิดความสนใจต้องการเรียนรู้ในส่ิงต่างๆ/เร้า แม่สจี ติ วทิ ยำ 4 สี = แดง เหลอื ง นำ้ เงนิ เขียว ความสนใจ/เกิดความพึงพอใจ ควำมหมำยของสี 3. ด้ำนเศรษฐกจิ กำรศกึ ษำ = ทาให้ผู้เรียนท่ีเรียนช้าเรียนได้เร็ว 1. สีแดง = ความเขม้ แข็ง พละกาลัง ความโกรธ กิเลศ ความหมกหมุ่น และมากข้ึนประหยดั เวลาในการทาความเขา้ ใจ ทางเพศ ประเภทของส่อื กำรสอน แบ่งตำมคุณลักษณะ ได้ 4 ประเภท 2. สชี มพู = อบอุ่น มพี ลงั สมดลุ กระตอื รอื ร้น มีชีวิตชวี า พละกาลงั 1. ประเภทวสั ดุ = สไลด์ แผ่นใส เอกสาร ตารา สารเคมี สิ่งพิมพ์ 3. สีสม้ = โรแมนตกิ ความรกั มิตรภาพ ผู้หญงิ คู่มอื ตา่ งๆ 4. สีน้ำตำล = เทศการพเิ ศษ พนื้ ดนิ 2. ประเภทอปุ กรณ์ = ของจริง หุ่นจาลอง เครื่องเทปเสียง วีดีทัศน์ 5. สที อง = ความรา่ รวย พระเจา้ ชยั ชนะ เครื่องฉายแผน่ ใส อุปกรณเ์ คร่ืองมือในห้องปฏิบัติการ 6. สเี หลอื ง = พระอาทติ ย์ ฉลาด ความทรงจา 3. เทคนิควิธกี ำร = การสาธิต การอภิปราย การฝึกปฏิบัติ 7. สีเขยี ว = แผน่ ดนิ แม่ การแพทย์ การเกษตร การฝึกงาน การจดั นิทรรศการ สถานการณ์จาลอง 8. สีน้ำเงิน/ฟำ้ = การตดิ ต่อ การสอ่ื สาร โชคดี ฉลาดหลักแหลม 4. คอมพิวเตอร์ = CAI การนาเสนอข้อมูลด้วยcomputer 9. สมี ว่ ง = อิทธิพล ดวงตาทีส่ าม การทรงเจ้า Internet E-mail www. กำรจำแนกส่อื กำรสอนตำมประสบกำรณ์ 10. สขี ำว = ความบริสทุ ธ์ิ เทวดา 11. สีเทำ = ความปลอดภัย เช่อื ถอื ได้ 1. เอดกำร์ เดล = ประสบการณ์ตรงท่ีเป็นรูปธรรม จะทาให้เกิด 12. สีดำ = ความตาย การปกปอ้ ง การมอี านาจ การเรียนรตู้ ่างกบั ประสบการณ์ที่เปน็ นามธรรม ดังนนั้ จึงจาแนกส่ือการสอนโยยึด หลกั ในกำรประดิษฐต์ วั อกั ษร ประสบการณ์เป็นหลัก เรียงจากง่าย(รูปธรรม)ไปสู่ยาก(นามธรรม) มี 10 ขั้น 1. บทบำทของตวั อักษร = การนาตัวอกั ษรมาประกอบกัน การจาวัสดุประเภท เรยี กวา่ “กรวยประสบการณ์ Cone of experience” ตา่ งๆ โดยท่ัวไปมบี ทบาทตา่ งๆกันดงั น้ี ขั้นที่ 1 ประสบการณ์ตรง Direct experience = เป็นรูปธรรมมากที่สุด - บอกชือ่ เรอ่ื ง - บอกเร่อื งราวของตน - บรรยายภาพ เช่น เล่นกีฬา ทาอาหาร ปลกู ผกั เลีย้ งสัตว์ - อธิบายภาพ - ใชส้ รปุ /ย่อเรือ่ ง - บอกรายละเอียดอืน่ ๆ ขั้นที่ 2 ประสบการณ์รอง Verbal Symbals = หุ่นจาลอง ของตัวอย่าง 2. ตวั อกั ษรทเี่ หมำะสมกบั ส่อื ต่ำงๆ ขั้นที่ 3 ประสบการนาฏการ Dramatic = การแสดงละคร หุ่นชีวิต การ หวั กลม = เหมาะกับที่เป็นงานทางการ แสดงบทบาท หัวตดั = เหมาะกับงานกึง่ ทางการ อา่ นงา่ ย ปา้ ยนิเทศ ขนั้ ที่ 4 การสาธติ Demonstration ไมม่ หี วั = งานอกแบบต่างๆ ปกหนังสือ ขัน้ ท่ี 5 การศกึ ษานอกสถานท่ี Field Trip แบบคัดลำยมอื = งานพธิ ตี า่ งๆของไทย ประกาศนยี บัตร ขั้นที่ 6 นทิ รรศการ Exhibts ตวั ประดษิ ฐ์ = หวั เรอ่ื ง งานโฆษณา งานเฉพาะทาง ขั้นที่ 7 โทรทัศน์และภาพยนตร์ Television and motion picture 3. ขนำดของตวั อักษร ควำมเหมำะสมของช่องไฟ ขนำดของพ้ืนท่ี จำนวนคำ ขั้นที่ 8 ภาพนง่ิ วทิ ยุบนั ทกึ เสยี ง Still Picture - ระยะห่างผูด้ ู มรี ะยะห่าง 32 ฟตุ โดยตัวอักษรไม่ต่ากวา่ 1 นว้ิ ข้นั ที่ 9 ทัศนสญั ลกั ษณ์ Visual Symbol - ถา้ ตวั อกั ษรกบั งานถา่ ยทาควรมขี นาดเปน็ อตั รา 4 ส่วนกับระยะทาง ขั้นท่ี 10 วัจนสัญลักษณ์ Verbal Sysbols = คาพูด คาอธิบาย หนังสือ - ตัวอักษร 1 นิว้ บนจอ : ระยะห่าง 20 ฟตุ เอกสาร แผน่ ปลิว - แผน่ ใส ¼ นว้ิ บนแผน่ ใส
ลกั ษณะของภำพทคี่ วรใช้ในกำรเรยี นกำรสอน นวัตกรรม หลักกำรเลอื กภำพ ควำมหมำย 1. เลอื กใหต้ รงจดุ มุง่ หมาย 2. เลือกให้เหมาะสมกบั ผดู้ ู เดิมใช้คาวา่ นวกรรม มาจากภาษ ละติน แปลว่า ทาส่ิงใหม่ขึ้นมา ซ่ึงอาจ 3. มีจดุ สนใจที่ชัดเจน 4. ภาพตรงกับเน้ือหาวิชา หมายถึง การประดิษฐ์ส่ิงใหม่ๆข้ึนท้ังที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อนหรือการดัดแปลง ลกั ษณะของภำพท่คี วรใช้ ของเดิมให้มีประสทิ ธภิ าพกว่าเดิม 1.ผูเ้ รยี นชอบภาพสมี ากกว่าภาพขาวดา ในวงการศึกษา เอามาใช้เรียกว่า นวัตกรรมทางการศึกษา Education 2. ชอบภาพถา่ ยมากกว่าภาพลายเสน้ Innovation และเรยี กผกู้ ระทาหรือนาการเปลย่ี นแปลงใหม่ๆมาใช้เรยี ก นวัตกร 3. ชอบภาพจรงิ มากกวา่ ภาพวาด ควำมหมำยตำมนกั กำรศึกษำ ทอมัธ ฮวิ ซ์ = เป็นการนาเอาวิธีใหม่ๆ มาปฏิบัติหลังจากผ่าน 4. ชอบภาพง่าย (สาหรบั เด็ก) 5. ชอบภาพยาก (สาหรับผใู้ หญ่) การทดลองหรอื พฒั นาการมาเป็นขน้ั ๆ สรุปสอ่ื กำรสอนประเภทต่ำงๆ มอร์ตนั = การทาใหม่อีกคร้ัง การปรับปรุงของเก่า การ ประเภทตั้งแสดง พฒั นาบุคลากร ไชยยศ กระดำนชอล์ก = ตั้งอยู่ขอบล่างของสายตา ผู้เรียนอยู่ในอาณา = วธิ ีการปฏบิ ัติใหมๆ่ ทแี่ ปลกไปจากเดิม เขต 60 องศา และอยู่ห่างจากกระดานอย่างน้อย 3 m นวตั กรรมแบง่ ออกเปน็ 3 ระยะ คอื เวลาลบให้ลบจากบนลงล่าง 1. ระยะเรม่ิ มกี ารประดิษฐค์ ิดค้น Innovation ป้ำยนิเทศ = ขนาด 2 × 3 , 2 × 4 2. ระยะพัฒนาการ Development ป้ำยสำลี = ขนาด 61 × 22 ซม. 3. การนาเอาไปปฏิบตั ิในสถานการณท์ วั่ ไป กระเป๋ำผนงั = เป็นแผ่นป้ายสาหรับใส่บัตรคา ภาพมักสอน กำรนำนวัตกรรมมำใช้ในกำรศกึ ษำตอ้ งคำนึงถึง เกย่ี วกบั รปู แบบคา ประโยค ไวยากรณ์ 1. ประสทิ ธิภาพ Efficiency = ผู้สอน ผู้เรียนได้ทาเตม็ ความสามารถ ประเภทกรำฟกิ 2. ประสิทธิผล Productivity = สอนให้บรรลุจดุ ประสงค์ แผนสถิติ = แสดงความสมั พันธ์ระหวา่ งปริมาณกบั เวลา 3. ประหยดั Economy แผนภำพ = ความสัมพนั ธ์ในส่งิ ท่เี ป็นนามธรรม ข้อสงั เกตนวตั กรรม แผนภมู ิ = ความสัมพันธ์เกี่ยวกับข้อเท็จจริง ความรู้ การ 1. เปน็ ความคิดใหม/่ ปรบั ปรงุ ดัดแปลงของเดิม เปรยี บเทียบ พฒั นาการ การวเิ คราะห์ 2. ถกู พสิ จู นด์ ้วยงานวจิ ยั ภำพโฆษณำ = ใชเ้ พือ่ จูงใจ ดงึ ดูดใหก้ ระทาตาม เรา้ ความสนใจ 3. มีองคป์ ระกอบ 3 สว่ น สีสนั สะดุดตา 3.1 ข้อมลู ท่ีใส่เขา้ ไป ประเภทกจิ กรรม 3.2 กระบวนการ นำฏกำร = การแสดงต่างๆ 3.3 ผลลพั ธ์ บทบำทสมมติ = ให้ผแู้ สดงแสดงตามสถานการณท์ ก่ี าหนด 4. ยังไม่เป็นส่วนหนง่ึ ของระบบงาน กำรแสดงหุ้นต่ำงๆ = หุ่นละคร หุ่นมอื นวัตกรรมกำรศึกษำ Education Innovation = นวัตกรรมที่ช่วยให้ กำรสำธิต = สอนโดยการอธิบายประกอบการใช้เครือ่ งมือ การศึกษาและการเรยี นการสอนมีประสทิ ธภิ าพดยี ิง่ ขึ้นผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ประเภทเครือ่ งฉำย อยา่ งรวดเรว็ มีประสทิ ธภิ าพสงู กวา่ เดมิ เครื่องฉำยวัสดุทบึ แสง= นาเสนอภาพให้ปรากฏเป็นภาพทม่ี ขี นาดใหญ่ แนวควำมคิดพื้นฐำนทำงกำรศึกษำท่ีทำให้เกิดนวัตกรรม มี 4 ประกำร เครอ่ื งฉำยฟลิ ์มสตริป = เปน็ มว้ น ขนาด 35 ฟุต ยาวม้วน 3 ฟุต คือ เครื่องฉำยฟิล์มสไลด์ = ขนาด 2 × 2 นิ้ว ลักษณะโปร่งใส มีกาลังส่อง 1. ควำมแตกตำ่ งระหว่ำงบคุ คล Individual different สว่าง 150 – 500 วัตต์ ตวั อย่ำง เชน่ คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน CAI เครอ่ื งฉำยขำ้ มศีรษะ = กระดานชอลก์ ไฟฟา้ ใช้สาหรับฉายภาพวัสดฯุ แบบเรียนสาเร็จรปู Programmed Text Book บทบำทของเทคโนโลยีนวัตกรรมกำรศึกษำกับกำรเตรียมกำรเรียน เครือ่ งสอน Teaching Machine กำรสอน การสอนเป็นคณะ Team Teaching 1. ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนไดก้ ว้างมากขน้ึ การเรียนแบบไมแ่ บง่ ช้ัน Non-Graded School 2. สนองความแตกต่างระหว่างบคุ คล 2. ควำมพรอ้ ม Readiness 3. ใหม้ กี ารจดั การศกึ ษาท่ีดขี ้นึ มกี ารคน้ คว้าการวิจัย การทดลอง ตัวอยำ่ ง เช่น ศนู ยก์ ารเรยี น Learning center 4. มบี ทบาทสาคญั ต่อการพัฒนาสือ่ การสอน การจดั การเรยี นในโรงเรยี น 5. ทาใหก้ ารเรียนรไู้ ม่เน้นเฉพาะด้านความรู้เพียงอย่างเดียวแต่เน้นทัศนะ การสอนเป็นคณะ เจตคติ ทกั ษะแก่ผู้เรยี นดว้ ย 3. กำรใชเ้ วลำเพ่อื กำรศกึ ษำ 6. เพ่ิมโอกาสทางการศึกษาของผู้เรียน เช่น การศึกษา นอกระบบ ตวั อย่ำง เชน่ การจดั ตารางสอนแบบยดื หย่นุ การศึกษาตามอธั ยาศัย สำเหตุทน่ี ำเอำเทคโนโลยแี ละนวัตกรรมมำใช้ทำงกำรศึกษำ มหาวิทยาลัยเปดิ การเรียนแบบสาเรจ็ รปู 1. เพิม่ จานวนประชากร การเรียนทางไปรษณยี ์ 2. การเปลีย่ นแปลงทางเศรษฐกิจและสงั คม 4. ประสทิ ธิภำพในกำรเรยี น กำรขยำยตัวทำงวิชำกำร กำรเปลี่ยนแปลง 3. ความก้าวหน้าทางวทิ ยาการใหม่ๆ ทำงสังคม สรุป เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษา คือการนาความก้าวหน้าของ ตัวอยำ่ ง เชน่ มหาวิทยาลัยเปดิ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งวัสดุอุปกรณ์ฯ เทคนิควิธีการมาใช้ประกอบการจัด การเรยี นทางวทิ ยุ โทรทัศน์ กจิ กรรมการเรียนการสอน มุง่ หวังให้เกิดประสทิ ธิภาพสูงสุดต่อการเรยี นรู้ การเรยี นทางไปรษณยี ์ แบบสาเร็จรปู ชดุ การเรียน
เทคโนโลยี สรุปหลกั กำรเลอื กใชส้ ื่อ ควำมหมำย 1. เลือกใหส้ อดคลอ้ งกบั จดุ มุ่งหมาย ชำร์ลส์ เอฟ โฮบำน = มิใช่คนหรือเครื่องจักร แต่เป็นการจัดระเบียบมี 2. ส่งเสรมิ ใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ ความคดิ ความสนใจ และนักเรยี นปฏิบตั ิจริงจัง การบรู ณาการและความซับซ้อนของความคดิ 3. เหมาะสมกบั ความสามารถ และประสบการณ์ของผู้เรียน คำร์เตอร์ วี กู้ด = การนาวิทยาศาสตร์มาประยุกต์มาใช้ในวงการศึกษา สาขาตา่ งๆทาให้มีการเปล่ยี นแปลงท่ีดขี นึ้ 4. มีในทอ้ งถ่นิ สามารถจดั หาได้งา่ ย ราคาไม่แพง เพมิ่ เตมิ เอดกำร์ เดล = เทคโนโลยีท่ีมิใช่เคร่ืองมือแต่เป็นการวิธีทางานอย่างเป็น ระบบ เวบ๊ ไซต์ เปรียบไดก้ ับ หนังสอื เล่มหนึ่ง ก่อศักดิ์ สวัสดีพำณิชย์ = การนาเอาวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาใช้ในวง โฮมเพจ เปรียบไดก้ บั ปกหน้ำหนังสอื การศกึ ษาต่างๆ เว๊บเพจ เปรยี บได้กบั หน้ำของเนอ้ื หำหนังสือ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ = ศาสตรท์ ่ีวา่ ดว้ ยวธิ กี ารอยใู่ นการจัดรปู 3 ข้อ คือ 1. ขอ้ มลู ทใี่ สเ่ ข้าไป = การกาหนดปญั หา PMOC = สำนักนำยกรัฐมนตรี 2. กระบวนการ = การลงมอื แกป้ ญั หา MOC = กระทรวงฯ 3. ผลลพั ธ์ = ผลทไ่ี ด้จากการแก้ปัญหา DOC = สพฐ. AOC = สพท. สรุป เทคโนโลยี คือ การนาเอากระบวนการ วิธีการ แนวความคิดใหม่ๆ SOC = โรงเรยี น มาใช้หรือประยุกต์ใช้อย่างมีระบบ เพื่อให้การดาเนินงานเป็นไปอย่างมี ประสิทธภิ าพ ID PLAN = กำรพัฒนำบคุ ลำกร เทคโนโลยีกำรศกึ ษำ E – Content = กำรเรยี นผำ่ นสอ่ื อเิ ล็กทรอนกิ ส์ ควำมหมำย การนาเอาความรู้ แนวคิด กระบวนการ และ E – Office = สำนักงำนอัตโนมัติ ผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ มาใช้ร่วมกันอย่างมีระบบ เพื่อแก้ปัญหาและ พฒั นาการศกึ ษาใหก้ ้าวหน้า E – Filling = ระบบงำนสำรบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ระดับของเทคโนโลยีทำงกำรศกึ ษำ มี 3 ระดับ ดังนี้ บทเรียนโมดูล = เอกสำรประกอบกำรสอนท่ีแบ่งเนื้อหำแต่ละ 1. ระดับอุปกรณ์การสอน เปน็ การใชเ้ ทคโนโลยีเปน็ เคร่ืองช่วยสอนของครู บทเปน็ หนว่ ยย่อยๆ 2. ระดบั วิธสี อน เป็นการใช้เทคโนโลยีแทนการสอนของครูเอง โดยผู้สอนไม่ จาเป็นต้องอยู่ในสถานที่แหง่ เดียวกับผู้เรยี นเสมอไป 3. ระดบั การจัดระบบการเรียนการสอน เป็นการใช้เทคโนโลยีระดับกวา้ งตอบสนองผู้เรียนไดม้ าก นวัตกรรมและเทคโนโลยกี ำรศึกษำทส่ี ำคญั ของไทยในปัจจุบนั 1. Computer Assisted Instruction CAI คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน วิธีการสอนรายบุคคลโดยอาศัยความสามารถของเครื่อง คอมพวิ เตอร์ 2. Mutimedia มลั ตมิ ิเดีย การใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับโปรแกรมซอฟต์แวร์ในการส่ือ ความหมายโดยการผสมผสานสอื่ หลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟกิ 3. Tele Conference กำรประชุมทำงไกล ก า ร น า เ อ า เ ท ค โ น โ ล ยี ส า ข า ต่ า ง ๆ เ ช่ น Computer กล้องโทรทัศน์ ระบบสือ่ สารมาผสมผสานกนั 4. Programed Instruction บทเรยี นสำเรจ็ รูป บทเรียนท่ีผู้สอนจัดทาข้ึนเพ่ือใช้เป็นเคร่ืองมือในการจัด กิจกรรม 5. Leraning Packeg ชดุ กำรสอน ก า ร น า เ อ า ร ะ บ บ ส่ื อ ป ร ะ ส ม ท่ี ส อ ด ค ล้ อ ง กั บ เ น้ื อ ห า วิ ช า ประสบการณ์ของแต่ละหน่วยงานมาช่วยในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การเรยี นรู้ 6. E – Book หนังสอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ 7. E – Learning กำรเรียนรู้ผำ่ นเครือข่ำยอินเตอร์เน็ต การเรียนรู้ตามความสามารถของผู้เรียนเอง ตอบสนองความ แตกต่างระหว่างบคุ คล
ควำมหมำย หลักกำรวดั ผลกำรศึกษำ 1. ตอ้ งวัดใหต้ รงกบั จดุ มุง่ หมายของการเรียนการสอน การวัดผล Measurement = กระบวนการหาปรมิ าณหรือจานวนสอื่ ต่างๆโดยใช้ 2. เลอื กใชเ้ คร่ืองมือวดั ที่ดแี ละเหมาะสม เครื่องมอื อย่างใดอยา่ งหนง่ึ เกยี่ วกับคณุ ภาพและปริมาณ การวัดผลเป็นส่วนหน่ึงของ 3. ระวงั ความคลาดเคลอื่ น การประเมินผล 4. ประเมนิ การวดั ใหถ้ ูกต้อง 5. ใชก้ ารวดั ใหค้ ุม้ คา่ การประเมินผล Evaluation = เป็นกระบวนการรวบรวมข้อมูลหรือหลักฐาน สาหรบั การตดั สินใจ โดยคานึงถงึ คณุ ค่าของสง่ิ ท่ตี ้องการทาการวัดนั้น หรือการตัดสิน ประโยชน์ของกำรวัดผลและประเมนิ ผลกำรศึกษำ หรือพจิ ารณาวนิ ิจฉยั ตัวเลขท่ไี ด้จากการประเมินผล 1. ประโยชน์ต่อครู = ทราบพฤตกิ รรมเบ้ืองต้นของนักเรยี น 2. ประโยชน์ตอ่ นกั เรยี น = รูว้ ่าตัวเอง ออ่ น เกง่ วชิ าใด การวัดผล = กระบวนกำรใดๆก็ตำมซ่ึงจะ การประเมนิ ผล = กระบวนกำรที่ต่อเนื่อง 3. ประโยชนต์ อ่ การบริหาร = ชว่ ยวางแผนการเรียนการสอน ไ ด้ ม ำ ซ่ึ ง ข้ อ เ ท็ จ จ ริ ง เ กี่ ย ว กั บ ป ริ ม ำ ณ จำกกำรวัดผล นำผลกำรวัดมำวินิจฉัย 4. ประโยชนต์ อ่ การวจิ ัย =วินจิ ฉัยขอ้ บกพรอ่ งในการบรหิ ารงานของ คุณภำพหรือลกั ษณะของบคุ คลหรอื ส่งิ ของ โดยอำศัยเกณฑ์หรือมำตรฐำน เป็นตัว โรงเรยี น โดยอำศัยเคร่อื งมอื ในกำรวัดผล ซ่งึ ผลของ เปรียบเทียบ ผลท่ีได้ออกมำเป็นเชิง 5. ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง = ทราบวา่ เดก็ ในการปกครองของตนน้ันมี กำรวัดจะออกมำเป็น เชิงปริมำณ คือ คุณภำพ เช่น สงู – เตี้ย อ้วน – ผอม ความเจรญิ งอกงามเปน็ อย่างไร ตวั เลขมหี น่วยกำกับ 1. การวัดผล = ทราบ เคร่อื งมือวัดและประเมินผลกำรศกึ ษำ 1 . คณุ ลกั ษณะของสิ่งที่ สภาพความเป็นจรงิ ของ ตอ้ งการ เช่น นา้ หนกั สิ่งท่ีจะประเมิน 1. กำรสงั เกต Observation = พิจารณาปรากฏการณ์ต่างๆท่เี กดิ ขนึ้ สว่ นสูง ความสามารถใน 2. กำรสัมภำษณ์ Interview = การสนทนาหรือพูดโต้ตอบกันอย่างมี วชิ าคณติ ศาสตร์ กระบวนกำร 2. เกณฑห์ รอื มาตรฐาน จดุ หมาย ประเมนิ ผล พจิ ารณาตัดสนิ วา่ สิง่ ใด 3. แบบสอบถำม Questionnaire = ประกอบด้วย ลักษณะ 2. เครอ่ื งมือทใ่ี ช้วดั เชน่ สาคัญ ตราชั่ง ไมเ้ มตร ดี – เลว 3.1 ชนิดปลายเปิด Open – ended Form = ไม่กาหนด แบบทดสอบ คาตอบไว้ เปดิ โอกาสให้ผู้ตอบ ตอบอยา่ งอิสระ ประเภท 3. การตดั สิน = การชี้ ของการ 3. ผลท่ไี ดจ้ ากการวัด หนัก ขาดระหว่างผลการปฏิบตั ิ 3.2 ชนิดปลายปิด Closed – ended form = ประกอบด้วย วดั ผล 40 kg สูง 160 cm สอบ ข้อคาถามและตวั เลือก ได้ 100 คะแนน 4. กำรจัดอันดับ Rank Order = การจัดลาดบั ความสาคญั และคณุ ภาพ 5. กำรประเมินตำมสภำพจริง Authentic Assessment = ด้านกายภาพ = วัดในส่ิงท่ี กระบวนการสงั เกต การบันทกึ และการรวบรวมขอ้ มูล เป็น รู ปธร ร ม คว ามสู ง ความเร็ว วัดได้ไม่ยากและ ความสาคญั ของการประเมินตามสภาพจรงิ คงท่ี - เอ้อื ให้ผเู้ รียนเรยี นรู้อยา่ งเต็มศักยภาพ - เอ้อื ตอ่ การเรียนที่เนน้ ผูเ้ รียนเปน็ ศูนยก์ ลาง ด้านจิตวิทยา = วัดในส่ิงที่ - เน้นให้นักเรยี นได้สร้างงาน เป็นนามธรรม ไม่มีตัวตน - ผสมผสานกิจกรรมการเรียนรู้ และ การ เชน่ ความรู้ เจตคติ ประเมนิ ผล องค์ประกอบตำ่ งๆ - ลดภาระงานซอ่ มเสริมของครู กำรแบง่ พฤติกรรมกำรวัด ตำมแนวคดิ ของ Bloom มี 3 ลกั ษณะ ดังน้ี 6. กำรวัดผลภำคปฏิบัติ Performance Assessment = เป็นการ 1. ดา้ นพุทธพิสยั = วัดความรู้ ความคดิ (วดั ดา้ นสมอง) วัดผลท่ใี หน้ กั เรียนลงมอื ปฏิบัติ ทัง้ กระบวนการ และผลงาน 2. ดา้ นจิตพสิ ยั = วดั ความรู้สกึ นึกคิด (วัดดา้ นจิตใจ) 7. กำรประเมินผลโดยใชแ้ ฟ้มสะสมผลงำน Portfolio 3. ดา้ นทักษะพิสยั = วัดกล้ามเน้ือและประสบการณ์ (การปฏิบตั ิ) 8. แบบทดสอบ Test จุดมุงหมำยของกำรวัดผลและประเมนิ ผลกำรศึกษำ ลักษณะของเครือ่ งมอื วดั ผลทด่ี ี 1. เพอ่ื พัฒนำสมรรถภำพของนกั เรยี น 1. ควำมเที่ยงตรง Validity เพอ่ื ดวู า่ นักเรียนบกพร่องหรือไมเ่ ขา้ ในเร่อื งใด วดั ได้ตรงตามสภาพทเี่ ปน็ จรงิ ตรงตามวตั ถุประสงค์ 2. เพื่อวินิจฉัย 2. ควำมเชอื่ มน่ั Reliability เพื่อค้นหาข้อบกพร่องแล้วนาไปแก้ไขปรับปรุง (การวัดผล วัดได้คงเสน้ คงวา หลายครั้งก็คงที่ ยอ่ ย) 3. ควำมยำก Difficulty 3. เพื่อจัดอนั ดบั หรือจดั ตำแหน่ง วดั ความสามารถทางมอง ขอ้ สอบนนั้ คนตอบถูกมากหรือน้อย การตัดสินแบบอิงกลุ่ม การเลือกคนเข้าทางาน เป็นการดู 4. อำนำจจำแนก Discrimination ความสามารถของนักเรยี น เรยี นเกง่ ตอบถกู ไมร่ ตู้ อบผดิ แยกแยะจาแนกเด็กเกง่ เด็กอ่อน 4. เพื่อเปรยี บเทยี บหรือเพื่อทรำบพัฒนำกำรของผ้เู รยี น ประสทิ ธภิ าพของขอ้ สอบในการแบ่งผู้สอบออกเป็น 2 กลุม่ เพ่ือเปรียบเทียบตนเองดูความงอกงาม เปรียบเทียบก่อน 5. ควำมเปน็ ปรนยั objectivity เรยี น – หลังเรียน ความชัดเจนของเคร่ืองมือวัด ความชดั เจนทางภาษา อ่านง่าย 5. เพอ่ื พยำกรณ์ เขา้ ใจตรงกัน ถกู ต้องตามหลักวิชา เพ่อื ทานายอนาคตตอ่ ไป เชน่ วัดความถนดั เชาวป์ ญั ญา 6. เพ่อื ประเมินผล ประเภทของควำมเทย่ี งตรง มี 3 ประเภท ดังน้ี เพ่อื ไปเปรียบเทยี บกบั เกณฑ์ทก่ี าหนดไว้ 1. ความเท่ยี งตรงเชิงเนอ้ื หา Content Validity 2. ความเทย่ี งตรงเชงิ โครงสรา้ ง Construct Validity 3. ความเที่ยงตรงตามเกณฑ์ทเ่ี ก่ียวข้อง Criteria 1. ความเที่ยงตรงเชิงสภาพ Concurrent 2. ความเทีย่ งตรงเชงิ พยากรณ์ Predictive
กำรวิเครำะห์คุณภำพข้อสอบรำยข้อ ระดับกำรวัด 1. แบบองิ กลุ่ม 1. มำตรำนำมบัญญตั ิ Nominal Scale เป็นการวัดระดับต่าสุด กาหนดขึ้นเพ่ือใช้เรียกชื่อการจัด 1.1 ใชเ้ ทคนคิ 27% ผสู้ อบจานวนมาก คะแนนแจกแจงแบบปกติ ประเภท เชน่ หมายเลขมือถือ ภูมิลาเนา ช่ือคน เช้ือชาติ อาชีพ “ตัวเลข 1.2 ใชเ้ ทคนคิ 35% คะแนนแจกแจงไมป่ กติ ในมาตรานี้เปรยี บเทยี บกนั ไม่ได้” 2. มำตรำเรียงลำดบั Ordinal Scale 2. แบบอิงเกณฑ์ เป็นการกาหนดตัวเลขให้กับลกั ษณะข้อมูลตามความมากน้อย 2.1 กำรพิจำรณำค่ำควำมยำกคำ่ P ซึง่ มีค่ำตัง้ แต่ 0.00 – 1.00 เช่น อันดบั ผลการเรียน (1,2,3) ผลรางวลั “ตัวเลขในมาตราน้ีบวกลบกัน มิได”้ P ทีพ่ อเหมาะ ควรมคี า่ ต้ังแต่ 0.2 – 0.8 3. มำตรำอนั ตรภำคชนั้ Interval Scale ตอบถกู หมด P = 1.00 แสดงว่า ง่ายมาก การกาหนดตัวเลขให้เข้ากับส่ิงที่ต้องการวัด เช่น อุณหภูมิ คะแนนท่ไี ดจ้ ากการทดสอบ “ตัวเลขในมาตรานีเ้ ปรียบเทียบอตั ราส่วนกนั ตอบผดิ หมด P = 0.00 แสดงวา่ ยากมาก มิได”้ 4. มำตรำอัตรำสว่ น Ratio Scale เกณฑใ์ นการพจิ ารณาคา่ ความยาก P เป็นการวัดระดับสูงสุด ส่วนมากมักเป็นข้อมูลด้านกายภาพ 0.80 < ������ ≤ 1.00 ง่ายมาก ควรปรบั ปรุงหรือตดั ทงิ้ เช่น ความยาว พ้ืนที่ ส่วนสูง “ตัวเลขในมาตรานี้นามาเปรียบเทียบ อัตราส่วนกนั ได้” 0.60 ≤ ������ ≤ 0.80 คอ่ นข้างงา่ ย – ดี กำรประเมนิ ตำมสภำพจริง 0.40 ≤ ������ ≤ 0.60 ยากง่ายปานกลาง – ดมี าก หลักกำร 0.20 ≤ ������ ≤ 0.40 ค่อนข้างยาก – ดี 1. ประเมินความกา้ วหนา้ และการแสดงออกของนกั เรียน 2. มรี ากฐานบนพฒั นาการ และการเรยี นรู้ของนักเรียนท่แี ตกต่างกนั 0.00 ≤ ������ ≤ 0.20 ยากมาก ควรปรับปรงุ หรือตดั ท้งิ 3. การประเมินจากสภาพจริงและการพัฒนาหลักสูตรต้องจัดให้ส่งเสริม 2.2 กำรพิจำรณำค่ำอำนำจจำแนกค่ำr ซึง่ มคี ำ่ ต้ังแต่ -1.00 - +1.00 ซง่ึ กนั และกนั 4. การประเมินจากสภาพจริงและหลักสูตรต้องพัฒนามาจากบริบทบน 2.00 ขนึ้ ไป ขอ้ สอบดี รากฐานทางวัฒนธรรมทีน่ ักเรียนอาศัยอยู่ 0 ลงไป คนเก่งทาไม่ได้ คนออ่ นทาได้ ต้องปรบั ปรุง 5. ผ้สู อนตอ้ งสามารถบรู ณาการปรับขยายหลกั สตู รไดเ้ หมาะสม เกณฑใ์ นการพิจารณาค่าความยาก P ลักษณะกำรประเมินตำมสภำพจรงิ 1. เนน้ พฤติกรรมทแี่ สดงออกจากความสามารถท่ีแท้จริง 0.40 ≤ ������ ≤ 1.00 เป็นข้อสอบที่ดี 2. ทาไปพร้อมๆกบั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 3. ใหค้ วามสาคัญกบั จุดเดน่ ของผเู้ รยี น 0.30 ≤ ������ ≤ 0.39 ขอ้ สอบดีพอสมควรมีปรับปรุงบา้ ง 4. ตงั้ อยู่บนพน้ื ฐานสถานการณจ์ ริง 5. มีการใชข้ อ้ มูลทีห่ ลากหลาย 0.20 ≤ ������ ≤ 0.29 พอใชไ้ ด้ แตต่ อ้ งปรับปรงุ 6. ตอบสนองการเรยี นรู้และความสามารถของผ้เู รยี นอยา่ งกว้างขวาง 7. สนบั สนุนการสร้างองค์ความรขู้ องผ้เู รยี น −1.00 ≤ ������ ≤ 0.19 จาแนกไมไ่ ดต้ ้องปรับปรุงหรอื ตดั ท้ิง 8. เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นประเมินตนเอง กำรวิเครำะหค์ ุณภำพข้อสอบท้ังฉบบั 9. เกิดความร่วมมอื ระหว่างครู ผ้ปู กครองและผู้เรยี น 10. ตอบสนองหลกั สตู รท่ีเน้นการเรียนร้ใู นสภาพจรงิ 1. กำรตรวจสอบควำมเทยี่ งของแบบทดสอบอิงกลมุ่ การประเมนิ ตามสภาพจริงแบง่ เปน็ 2 ลักษณะดังน้ี 1.1 กำรหำค่ำดัชนีควำมสอดคล้อง กับข้อคำถำมกับจุดประสงค์ค่ำ 1. การประเมนิ อยา่ งเป็นทางการ = ขอ้ สอบมาตรฐาน 2. การประเมนิ อย่างไมเ่ ปน็ ทางการ มี 4 ด้าน ดงั น้ี บุคลกิ ภาพ , IOC กระบวนการ , ผลผลิต , แฟม้ สะสมผลงาน *** มีเครอื่ งมือในการประเมนิ คือ แบบบันทึก 1.2 เกณฑก์ ำรคดั เลือกคำถำม แบบทดสอบ 1.2.1 คาถามทีด่ มี ีค่า IOC = 0.5 -1.00 คดั เลอื กไวใ้ ชไ้ ด้ 1.แบบทดสอบ เป็นการช้ีให้เห็นความสอดคล้องระหว่างผลหรือการ 1.2.2 คาถามท่มี ีค่า IOC ต่ากว่า 0.5 ควรพจิ ารณาปรับปรุง ปฏบิ ัตกิ บั วตั ถปุ ระสงค์ทีว่ างไว้ Pre – Assessment = การประเมินก่อนเรียนเพ่ือค้นหาข้อบกพร่อง หรือตดั ทิง้ ของผ้เู รียนระหวา่ งเรยี น Formative test = การสอบเพ่ือใช้ประเมินความก้าวหน้าของ 2. กำรตรวจสอบควำมเท่ียงตรงของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ ผเู้ รยี น การสอบย่อยบ่อยๆ Summative test = การประเมินผลสรุปของผู้เรียน เช่น สอบ 2.1 ตรวจสอบเทย่ี งตรงเชิงเนอื้ หาใช้ IOC ประจาภาค ความรอบรู้ 2. ขอ้ สอบ 2.2 ตรวจสอบเท่ียงตรงเชงิ โครงสร้างใช้ คาร์เวอร์ , สัมพนั ธแ์ บบฟี่ 2.1 ปรนัย(กากบาท) = การทดสอบกับกลุ่มผู้เรียนขนาดใหญ่ 2.3 ตรวจสอบความเทยี่ งตรงตามเกณฑ์ เชิงสภาพ , เชงิ พยากรณ์ แบบทดสอบนามาใช้ได้อกี คะแนนที่ไดน้ า่ เชอ่ื ถอื 2.4 ปจั จยั ท่สี ่งผลต่อความเท่ยี งตรง กล่มุ ผรู้ บั ทาการทดสอบ , เวลา 2.2 อัตนยั (เขียน) = การทดสอบกับกลุ่มนักเรียนขนาดเล็ก ไม่นา ขอ้ สอบกลบั มาใชอ้ กี ส่งเสรมิ ทกั ษะในการเขียนและแสดงความคิด ทัศนะ 3. กำรตรวจสอบควำมเชอ่ื มัน่ 3.1 แบบอิงกลุ่ม = การสอบซา้ , คู่ขนาน , ภายใน 3.2 แบบองิ เกณฑ์ 4. วดั ควำมคงท่ภี ำยใน 4.1 วัดแบบครึ่ง = เสปยี ร์แมน บราวน์ , กัตแมน , รูลอน 4.2 คูเตอร์ – ริชาร์ดสนั 4.3 ครอนบาค ปัจจัยที่สง่ ผลตอ่ ควำมเช่อื ม่นั 1. จานวนข้อสอบ ความยาวของแบบทดสอบ 2. ลกั ษณะคาถาม 3. ความคงทข่ี องการใหค้ ะแนน 4. ระดบั ความยาก 5. ลักษณะของผ้รู บั การทดสอบ 6. วิธีหาคา่ ความเช่อื ม่ัน 7. สภาพแวดลอ้ มในการดาเนินการสอบ ตำแหน่ง ( ค่ำน้อยกว่ำคะแนน ณ ตำแหนง่ น้นั ) 1. เปอรเ์ ซนไทล์ = บอกใหท้ ราบวา่ มขี อ้ มูลกส่ี ว่ นจาก 100 สว่ น 2. เดไซล์ = บอกใหท้ ราบวา่ มีขอ้ มูลกีส่ ่วนจาก 10 ส่วน 3. คลอไทล์ = บอกใหท้ ราบว่ามขี ้อมลู กส่ี ว่ นจาก 4 สว่ น
กำรวัดผลและกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ตำมหลักสูตรแกนกลำง เกณฑ์ในกำรวัดผลและกำรประเมินผลกำรเรียนรู้ตำมหลักสูตร กำรศกึ ษำข้ันพ้นื ฐำน 2551 แกนกลำงกำรศกึ ษำขน้ั พน้ื ฐำน 2551 จุดม่งุ หมำย 2 ประกำร 1. กำรตดั สนิ ผลกำรเรียน 1.เพือ่ ตดั สนิ ผลกำรเรยี น 2.เพอื่ พัฒนำผเู้ รียน ในการตัดสนิ ผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้ การอ่าน คิด วิเคราะห์ มี 4 ระดับ คือ และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ผู้สอนต้องคำนึงถึงพัฒนำกำรผู้เรียนแต่ 1. ระดับช้ันเรียน = อยู่ในกระบวนกำรเรียนรู้/อยู่ในรำยวิชำ/เป็น ละคนเปน็ หลกั และต้องเกบ็ ข้อมูลของผูเ้ รยี นทกุ ดา้ นอยา่ งสม่าเสมอและต่อเนื่อง กิจกรรมท่คี รูสอน ในแต่ละภาคเรยี น รวมทง้ั สอนซอ่ มเสริมให้ผู้เรยี นพัฒนาจนเต็มศักยภาพ 2. ระดับสถำนศกึ ษำ = ตรวจสอบผลกำรเรยี นเปน็ รำยปี/รำยภำค ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา ผลกำรประเมนิ กำรอ่ำนคดิ วิเครำะหแ์ ละเขียน/คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1 ผู้เรยี นมีเวลาเรยี นไม่น้อยกวา่ รอ้ ย 1 ตัดสินผลการเรียนเป็นรายวิชา ละ 80 ของเวลาเรียนท้ังหมด ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดภาค กิจกรรมพฒั นำผูเ้ รียน/กำรอนุมัตผิ ลกำรเรยี น/กำรเล่อื นชนั้ เรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของ 3. ระดับเขตพ้ืนท่ีกำรศึกษำ = เป็นกำรประเมินผู้เรียนในระดับเขต เวลาเรยี นทงั้ หมดในรายวชิ านัน้ ๆ พ้ืนที่กำรศึกษำ เพ่ือใชเ้ ป็นข้อมูลในกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำของเขต 2 ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุก 2 ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินทุก 4. ระดับชำติ = สถำนศึกษำต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้น ป.3 ตัวชี้วัดและผ่านตามเกณฑ์ที่ ตั ว ชี้ วั ด แ ล ะ ผ่ า น ต า ม เ ก ณ ฑ์ ท่ี ป.6 ม.3 ม.6 เข้ำรับกำรประเมิน สถานศึกษากาหนด สถานศึกษากาหนด กำรสอบ O – net ( Ordinary National Education test ) จัดสอบ 3 ผู้เรยี นต้องไดร้ บั การตัดสินผลการ 3 ผู้เรียนต้องได้รับการตัดสินผลการ โดย สทศ. สถำบนั ทดสอบทำงกำรศกึ ษำแหง่ ชำติ เรยี นทุกรายวชิ า เรยี นทุกรายวิชา ป.6 = 4 วชิ า 8 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ (ไทย,คณิต) , (สุขฯ,ศิลป,การงาน) 4 ผเู้ รยี นต้องได้รับการประเมินและ 4 ผู้เรียนต้องได้รับการประเมินและมี มผี ลการประเมินผา่ นตามเกณฑ์ที่ ผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่ , (สงั คม,วิทย)์ , ภาษา E สถานศึกษากาหนดในการ อ่าน สถานท่ีกาหนดในการคิดวิเคราะห์ คิ ด วิ เ ค ร า ะ ห์ แ ล ะ เ ขี ย น และเขยี นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ม.3 = 4 วชิ า 8 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ (ไทย,คณิต) , (สุขฯ,ศิลป,การงาน) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และ และกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น , (สังคม,วทิ ย)์ , ภาษา E ม.6 = 6 วิชา 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ไทย,คณิต , ,สังคม,วิทย์ , ภาษา E , (สุขฯ,ศลิ ป,การงาน) การพิจารณาเลื่อนชั้นทั้งระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา ถ้า กำรสอบ LAS (Local Assessment System) ผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อยและสถานศึกษาพิจารณาเห็นสามารถพัฒนา LAS คือ การประเมินคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับเขตพ้ืนที่ และซอ่ มเสริมได้ให้อยู่ในดุลพินจิ ของสถานศกึ ษาท่จี ะผ่อนผันให้เล่ือนชัน้ ได้ สาหรับนักเรียนระดับชั้น ป.2, ป.5, ม.2 และ ม.5 ของทุกโรงเรียนในเขตพ้ืนที่ แต่หากผูเ้ รยี นไม่ผา่ นรายวิชาจานวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหา การศึกษา ปัจจุบันจะมีการทดสอบให้ ครบทั้ง 8 กลุ่มสาระวิชา ได้แก่ สังคม ต่อการเรียนในระดับสูงข้ึน สถานศึกษาต้ังคณะกรรมการพิจารณาให้นักเรียน ศึกษา, คณิตศาสตร์, ภาษาอังกฤษ, ภาษาไทย, วิทยาศาสตร์, สุขศึกษาและพล เล่ือนซ้าชั้นได้ ท้ังน้ีให้คำนึงถึงวุฒิภำวะและควำมรู้ควำมสำมำรถของผู้เรียน ศึกษา, ศิลปะ, และการงานอาชพี เทคโนโลยี เปน็ สำคญั กำรสอบ NT (National Test) ๒.กำรให้ระดับผลกำรเรียน NT คอื การทดสอบการศกึ ษาขนั้ พื้นฐานระดบั ชาติ ซ่ึงมคี วามหมายเดียวกับ 2.1 ระดับประถมศึกษำ O-NET แตกต่างกันตรงท่ีหน่วยงานที่รับผิดชอบในการดาเนินงาน ซ่ึง NT จัด ระดบั ผลการเรียนรายวชิ า การประเมนิ การอา่ น การประเมินกิจกรรม สอบโดย สพฐ. ในระดับช้ัน ป.6 ส่วนการทดสอบระดับช้ัน ม.3 และ ม.6 ซ่ึง คดิ /วิเคราะห์/เขียน/ พัฒนาผเู้ รียน ดาเนินการโดย สทศ. จะเรียกว่า การสอบ O-NET ชั้น ม.3 และชั้น ม.6 คณุ ลกั ษณะอนั พึง กำรประเมินผลในดำ้ นตำ่ งๆ ประสงค์ 1. กำรวัดและประเมินผลตำมหลักสูตรแกนกลำง 2551 ได้กำหนด -ระบบตัวเลข ดีเยีย่ ม ผ่าน(ผ) จุดมุ่งหมำย ให้ผู้เรียนเป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีขีด -ระบบตัวอักษร ดี ไมผ่ ่าน(มผ) ความสามารถในการแข่งขนั ในเวทีระดับโลก -ระบบรอ้ ยละ ผา่ น 2. กำรประเมินผลตำมกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ เป็นการท่ีครูผู้สอนวัดและ -ระบบที่ใช้คาสาคัญสะท้อน ไมผ่ า่ น ประเมินผลการเรียนรผู้ ูเ้ รยี นเปน็ รายวิชาพน้ื ฐานของตัวชว้ี ัดในรายวิชาพน้ื ฐาน มาตรฐาน 3. กำรประเมินกำรอ่ำน คิด วิเครำะห์ และเขียน เป็นการประเมิน 2.2 ระดบั มธั ยมศึกษำ ศักยภาพผู้เรียนในการอ่านเอกสารและส่ือต่างๆ เพ่ือหาความรู้เพิ่มพูน ระดับผลการเรียนรายวชิ า การประเมนิ การอา่ น การประเมนิ กิจกรรม ประสบการณ์ คดิ /วิเคราะห์/เขยี น/ พัฒนาผ้เู รยี น 4. กำรประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นการประเมินคุณลักษณะท่ี คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ตอ้ งการให้เกิดข้ึนกับผูเ้ รียน ประสงค์ 5. กำรประเมินกิจกรรมพัฒนำผู้เรียน เป็นการปฏิบัติกิจกรรมและผลงาน ของผ้เู รียน ตัวเลขแสดงระดับผลกำร ดีเยย่ี ม ผ่าน (ผ) เรียนเปน็ 8ระดบั ดี ไมผ่ ่าน (มผ) ผ่าน ไม่ผ่าน 3.กำรรำยงำนผลกำรเรยี น ตดิ ต่อเทอมละกีค่ รง้ั การรายงานผลการเรียนเป็นการส่ือสารให้ผู้ปกครองและผู้เรียนทราบ ความก้าวหน้า ในการเรียนรขู้ องผู้เรียน ซ่งึ สถานศกึ ษาต้องสรปุ ผลการประเมิน และจัดทาเปน็ เอกสารรายงานผลการเรียนให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆหรือ อยา่ งนอ้ ยภาคเรยี นละ 1 ครง้ั การรายงานผลการเรยี นสามารถรายงานเปน็ ระดบั คณุ ภาพการปฏบิ ัติของ ผู้เรยี นที่สะทอ้ นมาตรฐานของกลุม่ สาระการเรยี นรู้
4. เกณฑ์กำรจบกำรศึกษำ ผลกำรประเมนิ คุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพ้ืนฐำน กำหนดเกณฑ์กลำงสำหรับ ดีเย่ยี ม = ผู้เรียนปฏิบัติตนตามคุณลักษณะจนเป็นนิสัย กำรจบกำรศึกษำเป็น 3 ระดับ คือ ระดับประถมศึกษำ ระดับมัธยมศึกษำตอนต้น และนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวัน ระดับมัธยมศกึ ษำตอนปลำย ดี = ผู้เรียนมีคุณลักษณะในการปฏิบัติตามเกณฑ์ เกณฑ์การจบระดบั ประถมศกึ ษา เพ่อื ใหเ้ ปน็ การยอมของสงั คม 1 ผู้เรียนรายรายวิชาพื้นฐาน และรายวิชา/กิจกรรมเพ่ิมเติมตามโครงสร้าง ผ่าน = ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติตามเกณฑ์และเง่ือนไข เวลาเรยี นท่ีหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐานกาหนด ตามทสี่ ถานศกึ ษากาหนด 2 ผ้เู รียนตอ้ งมผี ลการประเมินรายวิชาพื้นฐาน ผ่านเกณฑ์การประเมินตามท่ี ไมผ่ า่ น = ผู้เรียนรับรู้และปฏิบัติตามเกณฑ์ละเง่ือนไขที่ สถานศกึ ษากาหนด สถานศึกษากาหนด โดยพิจารณาการประเมินระดับผ่านตั้งแต่ 1 3 ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ในระดับผ่าน คณุ ลักษณะ เอกสำรหลกั ฐำนทำงกำรศึกษำ เกณฑก์ ารประเมนิ ตามท่ีสถานศกึ ษากาหนด 4 ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การ 1. บันทึกข้อมูลในการดาเนินการจัดการเรียนการสอนและ ประเมนิ ผลการเรยี น ประเมนิ ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด 5 ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การ = แบบรายงานประจาตัวนักเรียน 2. ติดต่อ สื่อสาร รายงานข้อมูล และผลการเรียนของผู้เรียน ประเมินตามทีส่ ถานศกึ ษากาหนด = แบบรายงานประจาตัวนักเรยี น , ระเบยี นสะสม เกณฑก์ ารจบระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ เกณฑ์การจบระดบั มธั ยมศึกษา 3. เอกสารหลักฐานแสดงวุฒิ/รับรองผลการเรียนของผู้เรียน ตอนปลาย 1 ผเู้ รยี นรายรายวิชาพน้ื ฐานเพ่ิมเติมไม่ = ระเบียนแสดงผลการเรียน ประกาศนียบัตร เกิน 81 หน่วยกิต โดยรายวิชา ผู้เรียนรายรายวิชาพ้ืนฐานเพิ่มเติมไม่ แบบรายงานผสู้ าเร็จทางการศึกษา ใบรบั รองผลการเรียน พ้ืนฐาน 66 หน่วยกิต และรายวิชา เกิน 81 หน่วยกิต โดยรายวิชาพื้นฐาน เพม่ิ เตมิ ตามทสี่ ถานศึกษากาหนด 41 หน่วยกิต และรายวิชาเพ่ิมเติม เอกสำรหลักฐำนทำงกำรศึกษำ ตำมหลักสูตรแกนกลำง ตามที่สถานศกึ ษากาหนด 2 ผู้เรีย นต้องได้หน่วย กิต ตลอ ด ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิต ตลอดหลักสูตร 2551 มี 2 ประเภท คือ หลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต ไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็น 1. เอกสำรหลกั ฐำนกำรศกึ ษำ กระทรวงศกึ ษำธกิ ำรกำหนด โดยเป็นรายวิชาพ้ืนฐาน 66 หน่วย รายวิชาพื้นฐาน 41 หน่วยกิต และ 1.1 ระเบยี นแสดงผลกำรเรยี น (ปพ.1) กิต และรายวิชาเพ่ิมเติมไม่น้อยกว่า รายวิชาเพิ่มเติมไม่น้อยกว่า 36 หน่วย = เอกสารสาหรับบันทึกข้อมูลผลการเรียนของ 11 หนว่ ยกิต กิต ผู้เรียน เช่น ผลการเรียนตามกลุ่มสาระ ผลการอ่านคิด ผู้เรียนมีผลการประเมินการอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขยี น คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ และ กิจกรรม 3 ผเู้ รียนมีผลการประเมินการอ่าน คิด วเิ คราะห์ และเขียน ในระดับผ่านเกณฑ์ พฒั นาผู้เรยี น วิเคราะห์ และเขียน ในระดับผ่าน การประเมิน ตามทสี่ ถานศกึ ษากาหนด 1.2 ประกำศนยี บัตร(ปพ.2) เ ก ณ ฑ์ ก า ร ป ร ะ เ มิ น ต า ม ท่ี = เอกสารที่มอบให้แก่ผู้จบการศึกษาภาคบังคับ สถานศึกษากาหนด ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และข้นั พน้ื ฐาน (ม.3 , ม.6) และมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การ 1.3 แบบรำยงำนผสู้ ำเรจ็ กำรศกึ ษำ (ปพ.3) 4 ผู้เรียนเขา้ รว่ มกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ประเมนิ ตามทีส่ ถานศึกษากาหนด = เอกสารอนุมตั ิการจบหลกั สตู รแกนกลาง (ป.6 , และมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การ ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ม.3 , ม.6) ประเมินตามท่สี ถานศกึ ษากาหนด และมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การ 2. เอกสำรหลกั ฐำนกำรศึกษำท่สี ถำนศกึ ษำกำหนด ประเมินตามท่ีสถานศึกษากาหนด 2.1 แบบบนั ทกึ ผลกำรเรียนประจำรำยวิชำ 5 ผูเ้ รยี นเข้ารว่ มกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน = เอกสารท่ีครูผู้สอนใช้บันทึกข้อมูลการวัด และ และมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์การ ประเมินผลการเรียนตามแผนการจัดการเรียนการสอน ประเมนิ ตามทสี่ ถานศึกษากาหนด 2.2 แบบรำยงำนประจำตวั นกั เรยี น = เอกสารทีส่ ถานศกึ ษาจัดทาข้ึนเพ่ือบันทึกข้อมูล ผลกำรประเมินระดับกำรอำ่ น/คิด/วิเครำะห์/เขียน การประเมินผลการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านต่างๆของ ผเู้ รยี นแตล่ ะคน ดเี ยย่ี ม = มผี ลการเรียนแสดงถึงความสามารถในการอา่ นคิดวิเคราะห์ 2.3 ใบรับรองผลกำรเรียน และเขยี นที่มคี ุณภาพดีเลศิ อยเู่ สมอ = เอกสารท่ีสถานศึกษาจัดทาข้ึนเพื่อรับรอง สถานภาพความเป็นผ้เู รียนในสถานศกึ ษาทีก่ าลงั ศกึ ษาอยู่ ดี = ผลงานที่แสดงถึงความสามรถในการอ่านคิดวิเคราะห์ และ 2.4 ระเบยี นสะสม เขียน เปน็ ที่ยอมรับ = เอกสารที่บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของ ผู้เรียนในด้านต่างๆเป็นรายบุคคลอย่างต่อเนื่อง ตลอด ผ่าน = มผี ลการเรยี นที่แสดงถึงความสามาในการคิดวิเคราะห์ และ การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน 12 ปี เขียน เป็นที่ยอมรบั แต่ยังมขี อ้ บกพรอ่ งบา้ งบางประการ เพิ่มเติม ไมผ่ า่ น = ไม่มีผลงานที่แสดงถึงความสามารถในการอ่าน /คิด / วิเคราะห์/หรือถ้ามีผลงงาน ผลงานน้ันยังมีข้อบกพร่องท่ีต้องได้รับการแก้ไขหลาย กาหนดเกณฑ์การตัดสนิ ผ่านแต่ละวิชาร้อยละ50 ประการ มส = ผู้เรียนไมม่ สี ิทธิเข้ารับการสัดผลปลายภาคเรียน เน่ืองจากมเี วลาเรียนไมถ่ ึงร้อยละ80ของเวลาเรยี นทัง้ หมด ร = รอการตัดสินและยังตัดสินผลการเรียนไม่ได้ เน่ืองจากไมม่ ีข้อมูลการเรยี นรายวชิ าครบถ้วน
9. ลักษณะงำนท่ีปฏิบตั ิตำมมำตรฐำนตำแหน่ง มำตรฐำนตำแหน่งและมำตรฐำนวิทยฐำนะของข้ำรำชกำรครูและบุคลำกร มำตรฐำนตำแหน่ง ชอื่ ตำแหนง่ ครูผูช้ ่วย ทำงกำรศกึ ษำ หนำ้ ทแ่ี ละควำมรบั ผดิ ชอบ หนงั สอื สำนกั งำน ก.ค.ศ. ที่ ศธ 0206.3/ ว17ลงวันท่ี 21 ตลุ ำคม ปฏิบัติหน้าท่ีเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอน การส่งเสริมการเรียนรู้ 2548 เรื่องมำตรฐำนตำแหนง่ และมำตรฐำนวทิ ยฐำนะของขำ้ รำชกำรครูและ พฒั นาผเู้ รียน ปฏิบัติงานทางวิชาการของสถานศกึ ษาและมีหนา้ ทใ่ี นการเตรียมความ พร้อมและพฒั นาอยา่ งเขม้ กอ่ นแตง่ ตง้ั ใหด้ ารงตาแหน่งครู และปฏิบัติหน้าท่ีอ่ืนตามที่ บคุ ลำกรทำงกำรศกึ ษำ ได้รบั มอบหมาย ลักษณะงำนเพื่อปฏิบัติ ประเภท สายงาน ช่ือตาแหน่ง วทิ ยฐานะ ผ้สู อนใน กำรสอน ครูผ้ชู ่วย 1. ปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนและส่งเสริมการเรียนรู้ของ หนว่ ยงาน ครู ครูชำนำญกำร ผูเ้ รียนดว้ ยวธิ กี ารที่หลากหลายโดยเน้นผู้เรียนเปน็ สาคญั การศกึ ษา บริหำร ครูชำนำญกำรพเิ ศษ สถำนศกึ ษำ รองผอู้ ำนวยกำรสถำนศึกษำ ครเู ช่ยี วชำญ 2. จัดอบรมสั่งสอนและจัดกิจกรรมเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่ ผู้บริหาร ผู้อำนวยกำรสถำนศกึ ษำ ครูเช่ยี วชำญพิเศษ พงึ ประสงค์ สถานศึกษา รองผูอ้ ำนวยกำรชำนำญ 3. ปฏบิ ัตงิ านวิชาการของสถานศึกษา กำร 4. ปฏิบตั งิ านเกี่ยวกับการจดั ระบบการดแู ลชว่ ยเหลือผ้เู รยี น รองผูอ้ ำนวยกำรชำนำญ 5. ปฏบิ ตั งิ านอ่ืนตามท่ีได้รับมอบหมาย กำรพิเศษ คุณสมบตั ิเฉพาะสาหรับผดู้ ารงตาแหน่ง รองผอู้ ำนวยกำร 1. มวี ฒุ ิไม่ตา่ กวา่ ปรญิ ญาตรที างการศึกษาหรอื ทางอนื่ ท่ี ก.ค.ศ. กาหนด เชย่ี วชำญ เป็นคุณสมบตั ิเฉพาะสาหรบั ตาแหนง่ นั้น ผู้อำนวยกำรชำนำญกำร 2. มใี บอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ผอู้ ำนวยกำรชำนำญกำร กำรใหไ้ ดร้ บั เงนิ เดอื น พิเศษ ให้ได้รับเงินเดือนอันดับครผู ชู้ ว่ ย ผอู้ ำนวยกำรเช่ียวชำญ ผ้อู ำนวยกำรเชีย่ วชำญ มำตรฐำนตำแหนง่ ชอ่ื ตำแหน่ง ครู พิเศษ หนำ้ ทแ่ี ละควำมรบั ผิดชอบ ผ้บู ริหาร บรหิ ำร รองผูอ้ ำนวยกำรสำนักงำน รองผ้อู ำนวยกำรสำนักงำน ปฏิบัติหน้าท่ีเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน การส่งเสริมการเรียนรู้ การศกึ ษา กำรศึกษำ เขตพืน้ ที่กำรศึกษำ เขตพื้นท่ีกำรศึกษำ พัฒนาผู้เรียน ปฏิบัติงานทางวิชาการของสถานศึกษา พัฒนาตนเองและวิชาชีพ ผอู้ ำนวยกำรสำนกั งำนเขต ชำนำญกำรพิเศษ นาเสนอความร่วมมือกับผู้ปกครองบุคคลในชุมชนและหรือสถานประกอบการเพ่ือ พืน้ ท่ีกำรศึกษำ รองผอู้ ำนวยกำร ร่วมกันพัฒนาเรียนรู้ การบริการสังคมด้านวิชาการ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามท่ี ผู้ช่วยผอู้ ำนวยกำรสำนักงำน สำนักงำนเขตพ้นื ที่ ได้รับมอบหมาย เขตพื้นที่กำรศึกษำ กำรศกึ ษำเชย่ี วชำญ ลักษณะงำนเพื่อปฏบิ ัติ เจ้ำหนำ้ ทบ่ี ริหำรกำรศึกษำ ผู้อำนวยกำรสำนกั งำน 1. ปฏิบัติเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอนและส่งเสริมการเรียนรู้ของ ขนั้ พน้ื ฐำน เขตพ้ืนที่กำรศึกษำ ผเู้ รยี นดว้ ยวิธกี ารทห่ี ลากหลายโดยเนน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ เจำ้ หน้ำทบ่ี ริหำรกำรศึกษำ เช่ียวชำญ ผอู้ ำนวยกำรสำนกั งำน 2. จัดอบรมส่ังสอนและจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่ เขตพื้นท่ีกำรศึกษำ พงึ ประสงค์ เชย่ี วชำญพเิ ศษ 3. ปฏบิ ัตงิ านวิชาการของสถานศึกษา บุคลากรทางการ นเิ ทศ ศึกษำนิเทศก์ ศึกษำนิเทศกช์ ำนำญกำร 4. ปฏิบัติงานเกยี่ วกับการจัดระบบการดแู ลชว่ ยเหลือผู้เรยี น ศึกษำนิเทศกช์ ำนำญกำร 5. ประสานความร่วมมือกับผุปกครองและบุคคลในชุมชนเพื่อร่วมกัน ศึกษาอืน่ กำรศกึ ษำ พิเศษ พฒั นาผูเ้ รียนตามศกั ยภาพ 6. ทานุ บารุง ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม แหล่งเรียนรู้และภูมิปัญญา ศึกษำนเิ ทศกเ์ ช่ียวชำญ ทอ้ งถนิ่ ศกึ ษำนเิ ทศก์เช่ียวชำญ 7. ศึกษา วิเคราะห์วิจัย และประเมินพัฒนาการของผู้เรียนเพ่ือนามา พิเศษ พฒั นาการเรยี นการสอน 8. ปฏิบัตงิ านอนื่ ตามทไ่ี ด้รบั มอบหมาย 1. มำตรฐำนตำแหน่ง ประเภท ผู้สอนในหน่วยงำนกำรศึกษำ คุณสมบัติเฉพำะสำหรบั ผูด้ ำรงตำแหนง่ สำยงำน กำรสอน 1. มวี ุฒไิ มต่ ่ากว่าปรญิ ญาตรีทางการศกึ ษาหรือทางอื่นท่ี ก.ค.ศ. กาหนด ลักษณะงำนโดยทว่ั ไป เป็นคณุ สมบตั เิ ฉพาะสาหรบั ตาแหน่งน้ี 2. ปฏิบัติหน้าที่ในตาแหน่งครูผู้ช่วยเป็นเวลา 2 ปีโดยผ่านการประเมิน สายงานการสอน มีลักษณะงานที่ปฏิบัติเก่ียวกับการทาหน้าท่ีหลักด้าน การเตรยี มความพร้อมและพัฒนาอย่างเข้มตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ศึกษาใน กฎ การจดั การเรียนการสอน และส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย ก.ค.ศ. หรือดารงตาแหนง่ อน่ื ที่ ก.ค.ศ. เทียบเทา่ มกี ารศึกษา วิเคราะห์ วิจัย เพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้โดยเน้นความสาคัญทั้ง 3. มใี บอนญุ าตประกอบวิชาชีพครู ความรู้ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นยิ มทดี่ งี ามและปฏบิ ัตงิ านอน่ื ทเ่ี กย่ี วข้อง กำรใหไ้ ดร้ ับเงินเดอื น ให้ได้รับเงินเดือนอันดับ คศ.1ผู้ดารงตาแหน่งครูผู้ใดผ่านการประเมินมี วิทยฐานะครูชานาญการ ครชู านาญการพเิ ศษ ครูเช่ยี วชาญ หรือครูเช่ียวชาญพิเศษ ตามหลักเกณฑแ์ ละวิธีการที่ ก.ค.ศ. กาหนด ให้ได้รับเงินเดือนอันดับ คศ. 2 คศ. 3 คศ. 4 หรือ คศ. 5 ตามลาดบั
มำตรฐำนวทิ ยฐำนะชอ่ื วทิ ยฐำนะ ครชู ำนำญกำรพเิ ศษ 2. มำตรฐำนตำแหนง่ และมำตรฐำนวทิ ยฐำนะ ประเภทบคุ ลำกรทำงกำรศกึ ษำอนื่ หน้ำทแ่ี ละควำมรบั ผดิ ชอบ สำยงำน นเิ ทศกำรศึกษำ ลักษณะงำนโดยท่ัวไป ปฏิบัติหน้าท่ีหลักเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน การส่งเสริมการ เรียนรู้ พัฒนาผู้เรียนปฏิบัติงานทางวิชาการของสถานศึกษา พัฒนาตนเองและ สำยงำนนิเทศกำรศึกษำ มีลักษณะงานที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการนิเทศ วิชาชีพ ประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองบุคคลในชุมชนหรือสถานประกอบการ การศึกษาท้ังสถานศึกษาของรัฐสถานศึกษาของเอกชนและสถานศึกษาของบุคคล เพื่อร่วมกันพัฒนาผเู้ รียน การบริการสังคมด้านวิชาการ และปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่ ครอบครวั องค์กร และสถาบันตา่ ง ๆ การศึกษาคน้ คว้าทางวิชาการ การวิเคราะห์ ได้รับมอบหมาย วจิ ยั ติดตามตรวจสอบและประเมินผลการพัฒนางานวิชาการและการจัดการศึกษา คณุ ภำพกำรปฏบิ ัตงิ ำน เพ่ือให้สถานศึกษามีความเข้มแข็งในการบริหารงานวิชาการอย่างมีคุณภาพ และ ปฏิบตั ิงานอืน่ ทเ่ี กี่ยวข้อง มีความรู้ ความเข้าใจในสาระหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ท่ีรับผิดชอบใน ชือ่ ตำแหน่งศกึ ษำนเิ ทศก์ ระดับพื้นฐานมีความสามารถในการออกแบบการเรียนรู้ บริหารจัดการชั้นเรียน ชือ่ วิทยฐำนะ พัฒนาผเู้ รยี น โดยแสดงความเห็นว่ามีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีการปรับประยุกต์ จากแนวทางท่หี ลักสูตรกาหนดและการพฒั นาตนและพัฒนาวิชาชีพ ศึกษานิเทศก์ชานาญการ ศกึ ษานเิ ทศก์ชานาญการพิเศษ มีทักษะการจัดการเรียนรู้และประเมินผลท่ีเหมาะสมกับสาระหรือกลุ่ม ศึกษานเิ ทศก์เชี่ยวชาญ สาระการเรียนที่รับผิดชอบและความแตกต่างของผู้เรียนสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี ศกึ ษานเิ ทศกเ์ ชีย่ วชาญพเิ ศษ คุณภาพมาตรฐานการเรียนรู้ของสาระหรอื กล่มุ สาระการเรยี นรูเ้ ปน็ ผูม้ วี ินยั คุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวิชาชพี มำตรฐำนตำแหน่ง ชื่อตำแหน่ง ศกึ ษำนิเทศก์ คุณสมบัตเิ ฉพำะสำหรบั วิทยฐำนะ หนำ้ ท่แี ละควำมรบั ผดิ ชอบ 1. ดารงตาแหน่งครูที่มีวิทยฐานะครูชานาญการหรือดารงตาแหน่งอ่ืนที่ ปฏิบัติหน้าที่เก่ียวกับงานวิชาการและงานนิเทศการศึกษาเพื่อปรับปรุง ก.ค.ศ. เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี และผ่านการประเมินตามหลักเกณฑ์และ การเรียนการสอนให้ได้มาตรฐานการศกึ ษา ค้นคว้าทางวิชาการ และวเิ คราะห์ วิจัย วธิ กี ารที่ ก.ค.ศ. กาหนด หรือดารงตาแหนง่ อน่ื ท่ีมวี ทิ ยฐานะชานาญการพเิ ศษ ติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้มี ประสิทธภิ าพย่ิงข้นึ และปฏบิ ตั ิหนา้ ทีอ่ นื่ ตามทไี่ ดร้ ับมอบหมาย 2. ผ่านการพัฒนาตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ี ก.ค.ศ. กาหนดการให้ ลักษณะงำนทปี่ ฏิบตั ิ ได้รับเงินเดือนและเงินวทิ ยฐานะให้ได้รับเงินเดอื นอันดับ คศ. 3 และให้ได้รับเงินวิทย ฐานครชู านาญการพิเศษ 1. การนิเทศการศึกษา โดยส่งเสริมให้สถานศึกษาบริหารหลักสูตร สถานศกึ ษา จัดกระบวนการเรียนรู้ มีระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา มำตรฐำนวทิ ยฐำนะ ชอื่ วทิ ยฐำนะ ครเู ชย่ี วชำญ ตามมาตรฐานการศกึ ษาชาติ พฒั นาการวดั และประเมินผลการศกึ ษา การพัฒนาส่ือ หน้ำทแ่ี ละควำมรับผิดชอบ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศกึ ษาไดอ้ ย่างมีคณุ ภาพ ปฏิบัติหน้าท่ีหลักเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอน การส่งเสริมการ 2. การศกึ ษาค้นคว้าทางวิชาการ เพื่อจัดทาเป็นเอกสาร คู่มือ และส่ือ เรียนรู้ พัฒนาผู้เรียนปฏิบัติงานทางวิชาการของสถานศึกษา พัฒนาตนเองและ ใชใ้ นการปฏบิ ัตงิ านและเผยแพร่ใหค้ รไู ด้ใชใ้ นการพฒั นาการจัดกระบวนการเรียนการ วิชาชีพ ประสานความร่วมมือกับผู้ปกครองบุคคลในชุมชนและหรือสถาน สอน ประกอบการเพ่ือร่วมกันพัฒนาผู้เรียน การบริการสังคมด้านวิชาการและปฏิบัติ หน้าทีอ่ น่ื ตามทไี่ ด้รบั มอบหมาย 3. การวิเคราะห์วิจัยเก่ียวกับการพัฒนาหลกั สตู รกระบวนการเรยี นรู้ สือ่ คณุ ภำพกำรปฏบิ ตั งิ ำน นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศึกษา เพื่อพัฒนาระบบการบริหารงาวิชาการ พัฒนามาตรฐาน และการประกันคุณภาพการศึกษาเพ่ือใช้ในการปฏิบัติงานและ มีความรู้ ความเข้าใจในสาระหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่รับผิดชอบใน เผยแพรแ่ กผ่ บู้ รหิ ารสถานศกึ ษา ครู และผสู้ นใจท่ัวไป ระดับสูง มีความสามารถในการออกแบบการเรียนรู้ บริหารจัดการช้ันเรียน โดย แสดงให้เห็นว่ามีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ คิดค้น วิจัย และนาผลไปใช้ในการ มำตรฐำนตำแหนง่ ตำแหน่งประเภท ทว่ั ไป พฒั นาการเรียนการสอน และมกี ารพฒั นาตนเองและพฒั นาวชิ าชีพ สำยงำน นกั ประชำสัมพนั ธ์ ลักษณะงำนโดยทวั่ ไป มที กั ษะการจัดการเรียนร้ทู ี่เหมาะสมกับธรรมชาติของสาระหรอื กล่มุ สาระ การเรียนรู้ท่ีรับผิดชอบและความแตกต่างของผู้เรียน รวมทั้งมีการพัฒนานวัตกรรม สายงานนค้ี ลมุ ถงึ ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ ทีป่ ฏบิ ตั งิ านประชาสมั พนั ธซ์ ง่ึ มีลักษณะ การจัดการเรียนรู้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ของ งานที่ปฏิบัติเกี่ยวกับการสารวจ รวบรวม รับฟังความคิดเห็นของประชาชน การ สาระหรือกลุ่มสาระการเรียนรู้เป็นผู้มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ เก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารและเอกสารความรู้ในด้านต่าง ๆ เพ่ือการดาเนินการ วชิ าชีพ ประชาสัมพันธ์ การจัดปาฐกถา การจัดสัมมนาการจัดนิทรรศการ เพื่อเผยแพร่ คุณสมบัติเฉพำะสำหรบั วทิ ยฐำนะ ข่าวสารความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับการดาเนินงาน หรือผลงานของหน่วยงานทาง การศึกษาหรือของรัฐบาลหรือนโยบายของรัฐบาล การเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมของ 1. ดารงตาแหน่งครู ที่มีวิทยฐานะครูชานาญการพิเศษหรือดารง ชาติ เพ่ือเป็นสื่อเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลกับประชาชน การควบคุม การตรวจสอบ ตาแหน่งอื่นที่ ก.ค.ศ. เทียบเท่ามาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และผ่านการประเมินตาม การดาเนินงาน กระจายเสียง ทั้งทางสถานีวิทยกุ ระจายเสียงและสถานีวิทยโุ ทรทัศน์ หลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กาหนด หรือดารงตาแหน่งอื่นที่มีวิทยฐานะ ให้เป็นไปตามแผนงานและนโยบาย การประชาสัมพันธ์หรือตามกฎหมาย และ เชย่ี วชาญ หรอื ปฏบิ ตั ิหน้าทีอ่ ่นื ทเ่ี กย่ี วข้อง 2. ดารงตาแหนง่ ครู ที่มวี ทิ ยฐานะครชู านาญการมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และ ผา่ นการประเมินตามหลกั เกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กาหนด 3. ผ่านการพัฒนาตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.ค.ศ. กาหนดการให้ ได้รับเงินเดือนและเงินวทิ ยฐานะให้ไดร้ ับเงนิ เดอื นอันดับ คศ. 4 และให้ได้รับเงินวิทย ฐานะครูเชยี่ วชาญมาตรฐานวทิ ยฐานะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: