ความรู้เก่ยี วกบั งานอาชพี
บทท่ี 1 งานอาชีพในงานอาเซยี น
ประชาคมอาเซยี น
3 เสาหลักอาเซยี น
ASEAN Community by 2015 1. ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซยี น มวี ัตถปุ ระสงค์เพือ่ เสริมสร้างและธารงไว้ซ่งึ สนั ติภาพและความม่นั คงของภมู ภิ าค เพื่อให้ประเทศ ในภมู ภิ าคอยรู่ ่วมกันอยา่ งสันตสิ ขุ และสามารถแก้ไขปัญหาและความขดั แยง้ โดยสันติวธิ ี อาเซียนจงึ ไดจ้ ัดทาแผนงานการจดั ตงั้ ประชาคมการเมอื งและความม่ันคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Blueprint) โดยเน้นใน 3 ประการคือ - การมีกฎเกณฑ์และค่านยิ มร่วมกัน ครอบคลมุ ถึงกิจกรรมต่างๆ ที่จะรว่ มกนั ทาเพอื่ สรา้ ง ความเข้าใจในระบบสงั คมวัฒนธรรม และประวตั ศิ าสตร์ทแ่ี ตกตา่ งของประเทศสมาชกิ สง่ เสริม พฒั นาการทางการเมืองไปในทิศทางเดยี วกนั เช่น หลักการประชาธิปไตย การสง่ เสริมและ ค้มุ ครองสิทธิมนุษยชน การสนับสนุนการมสี ่วนร่วมของภาคประชาสงั คม การต่อตา้ นการท จริต การส่งเสริมหลกั นิตธิ รรมและธรรมาภิบาล เป็นตน้ - ส่งเสริมความสงบสขุ และรบั ผิดชอบรว่ มกนั ในการรกั ษาความม่ันคงสาหรบั ประชาชนที่ ครอบคลมุ ในทุกด้านครอบคลุมความร่วมมอื เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในรูปแบบเดมิ มาตรการสรา้ งความไวเ้ นื้อเชื่อใจและการระงบั ขอ้ พิพาท โดยสันตเิ พื่อป้องกันสงครามและให้ ประเทศสมาชิกอาเซยี นอยดู่ ้วยกนั โดยสงบสุขและไมม่ ีความหวาดระแวง และขยายความ ร่วมมือเพื่อตอ่ ต้านภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น การตอ่ ตา้ นการกอ่ การรา้ ย อาชญากรรมข้าม ชาตติ า่ งๆ เช่น ยาเสพติด การค้ามนษุ ย์ ตลอดจนการเตรยี มความพร้อมเพอื่ ปอ้ งกนั และจดั การ ภัยพิบัตแิ ละภัยธรรมชาติ - การมีพลวตั และปฏสิ ัมพันธก์ บั โลกภายนอก เพ่อื เสริมสร้างบทบาทของอาเซยี นในความ รว่ มมือระดับภูมิภาค เช่น กรอบอาเซยี น+3 กบั จนี ญ่ปี นุ่ เกาหลีใต้ และการประชุมสดุ ยอด เอเชยี ตะวนั ออก ตลอดจนความสมั พันธ์ทเี่ ข้มแข็งกบั มิตรประเทศและองคก์ ารระหวา่ งประเทศ เช่น สหประชาชาติ
ASEAN Community by 2015 2. ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น มีวตั ถุประสงค์เพ่ือทาใหอ้ าเซยี นมีตลาดและฐานการผลิตเดยี วกนั และมกี าร เคลอ่ื นยา้ ยสนิ คา้ บริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานมฝี ีมืออย่างเสรี อาเซยี นได้จดั ทาแผนงาน การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซยี น (ASEAN Economic Community Blueprint) ซงึ่ เปน็ แผนงานบรู ณาการการ ดาเนนิ งานในดา้ นเศรษฐกจิ เพอ่ื ใหบ้ รรลุวัตถุประสงค์ 4 ดา้ น ได้แก่ - การเปน็ ตลาดและฐานการผลติ เดยี ว (single market and production base) โดยจะมกี ารเคลือ่ นยา้ ยสนิ คา้ บริการ การลงทุน และ แรงงานมีฝมี อื อยา่ งเสรี และการเคลอื่ นยา้ ยเงนิ ทุนอยา่ งเสรมี ากขน้ึ - การสรา้ งขีดความสามารถในการแขง่ ขันทางเศรษฐกจิ ของอาเซยี น โดยให้ความสาคญั กบั ประเด็นนโยบายทีจ่ ะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทาง เศรษฐกิจ เชน่ นโยบายการแข่งขนั การคุม้ ครองผบู้ ริโภค สทิ ธใิ นทรพั ย์สิน ทางปัญญา นโยบายภาษี และการพัฒนาโครงสรา้ งพ้ืนฐาน (การเงนิ การ ขนส่ง เทคโนโลยสี ารสนเทศ และพลงั งาน) - การพฒั นาเศรษฐกจิ อย่างเสมอภาค ใหม้ กี ารพฒั นาวิสาหกิจขนาด กลางและขนาดยอ่ ม และการเสริมสร้างขดี ความสามารถผ่านโครงการต่างๆ - การบูรณาการเขา้ กับเศรษฐกิจโลก เนน้ การปรบั ประสานนโยบาย เศรษฐกิจของอาเซยี นกับประเทศภายนอกภมู ิภาคเพ่ือให้อาเซยี นมีท่าที รว่ มกันอยา่ งชดั เจน
ASEAN Community by 2015 3. ประชาคมสงั คมและวฒั นธรรมอาเซียน อาเซยี นได้ตงั้ เปา้ เปน็ ประชาคมสงั คมและวฒั นธรรมอาเซียน ในปี 2558 โดย มุ่งหวังเป็นประชาคมท่มี ีประชาชนเปน็ ศนู ย์กลาง มีสงั คมท่ีเออื้ อาทรและ แบง่ ปัน ประชากรอาเซยี นมสี ภาพความเปน็ อย่ทู ดี่ ีและมีการพฒั นาในทุกด้าน เพือ่ ยกระดับคุณภาพชวี ิตของประชาชน ส่งเสรมิ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ อยา่ งยง่ั ยนื รวมทงั้ สง่ เสริมอัตลกั ษณ์อาเซยี น (ASEAN Identity) เพ่อื รองรับการเปน็ ประชาคมสงั คม และวัฒนธรรมอาเซยี น โดยได้จดั ทา แผนงานการจัดต้งั ประชาคมสงั คมและวฒั นธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint)ซึ่งประกอบดว้ ยความ ร่วมมอื ใน 6 ดา้ น ไดแ้ ก่ 1. การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ 2. การคมุ้ ครองและสวสั ดกิ ารสงั คม 3. สทิ ธิและความยตุ ธิ รรมทางสงั คม 4. ความย่งั ยนื ด้านส่ิงแวดล้อม 5. การสรา้ งอตั ลักษณ์อาเซยี น 6. การลดช่องวา่ งทางการพฒั นา
อาชีพในฝันของเดก็ ในอาเซียน ในการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้เดน่ ชัดท่สี ุดเม่อื เรากาลังจะกา้ วเข้าสกู่ ารรวมกันเปน็ ประเทศในประชาคม เศรษฐกจิ อาเซยี นก็คือ การเคลื่อนย้ายแรงงาน หรืออาชีพต่างๆ อยา่ งเสรรี ะหวา่ งประเทศอาเซยี น ด้วยกัน ซึง่ 7 สาขาวิชาชีพท่ไี ดม้ ีการทาความตกลงร่วมกันว่าสามารถประกอบอาชีพในอาเซยี น ได้แก่ อาชีพวิศวกร( Engineering Services) อาชีพพยาบาล (Nursing Services) อาชพี สถาปนิก(Architectural Services) อาชพี การสารวจ (Surveying Qualifications) อาชพี นกั บัญชี (Accountancy Services) อาชีพทนั ตแพทย์ (Dental Practitioners) อาชีพแพทย์ (Medical Practitioners) ดังนั้นกอ่ นท่จี ะก้าวเข้าสู่อาเซียนกันเราลองมาดผู ลการสารวจอาชพี ในฝนั ของเดก็ ๆ ในไทยและใน ประเทศอาเซียนอ่นื ๆ กันค่ะวา่ เด็กๆ อยากจะประกอบอาชีพอะไรกนั ซ่งึ ผลการสารวจ “อาชพี ในฝนั ” ของเด็กในวัย 7-14 ปี ใน 4 ประเทศอาเซียน โดยอเดด็ โก้ (Adecco) พบว่า 5 อาชีพในฝนั ของเด็กไทย คอื 1. แพทย์ 2. วศิ วกร 3. ตารวจ 4. นักธุรกิจ 5. ครู อาชีพทีจ่ ะเปดิ เสรีให้การทางานไดท้ กุ ประเภทเทศในอาเซยี น เพื่อส่งเสรมิ ใหเ้ ป็นตลาดและฐานผลติ เดียวกนั เชน่ การลงทนุ สินค้าและบริการ ต่าง ๆ รวมท้งั แรงงาน ฝีมอื และมกี ารลงทนุ อยา่ งเสรี ได้กาหนดเป้าหมายในปี 2015 ใหเ้ ป็นปที ่มี ีลักษณะของการรวมกลุ่ม ประเทศเปลี่ยนเป็นประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น ซงึ่ ทาใหเ้ กดิ ผลกระทบด้านตา่ ง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดา้ น แรงงาน จะมกี ารถ่ายเทแรงงานด้านฝมี ือเพอื่ ใหส้ ามารถทางานในประเทศสมาชิกไดง้ ่ายขึน้ ใน 8 สาขา อาชพี คอื 1.วิศวกรรม 2.การสารวจ 3.สถาปตั ยกรรม 4.แพทย์ 5.ทนั ตแพทย์ 6.พยาบาล 7.บญั ชี 8.การบริการ/การท่องเท่ยี ว
การใชภ้ าษาอังกฤษกับอนาคตของไทยในอาเซยี น กฎบัตรอาเซยี นข้อ 34 บญั ญัติว่า “The working language of ASEAN shall be English” | “ภาษาทใ่ี ช้ในการทางานของอาเซยี น คอื ภาษาองั กฤษ” ความหมายที่เป็นท่ี เขา้ ใจในขน้ั ตน้ กเ็ ป็นเพียงเร่ืองของทางราชการและภาคธรุ กจิ เอกชนเทา่ นัน้ ซ่งึ หากเปน็ เพียง เทา่ น้ีก็เปน็ เรื่องปรกติธรรมดาของการทางานในโลกปจั จบุ นั อยู่แล้ว แมจ้ ะหมายความเพยี งว่าเป็นการใช้ภาษาองั กฤษในการสื่อสารระหว่างกนั ในการทางาน ร่วมกนั ของเจ้าหนา้ ทร่ี ฐั บาล ตลอดจนองคก์ รและหน่วยงานตา่ งๆที่เกย่ี วขอ้ ง ทัง้ ภาครัฐและ ภาคเอกชน ทว่าความหมายของบทบัญญัตทิ ใี่ หภ้ าษาอังกฤษเป็นภาษาของอาเซียนสาหรบั การทางานร่วมกันน้ันมคี วามหมายกวา้ งไกลไปถงึ ทุกสว่ นของประชาคมอาเซียนดว้ ย หมายความวา่ ประชาชนพลเมอื งใน 10 ประเทศอาเซยี นจะต้องใชภ้ าษาอังกฤษกันมากข้นึ นอกเหนอื จากภาษาประจาชาตหิ รือภาษาประจาถิน่ ของแต่ละชาตแิ ต่ละชมุ ชนเอง เพราะไม่ เพยี งแตเ่ จ้าหนา้ ทร่ี ัฐเทา่ น้ันที่จะตอ้ งไปมาหาสู่รว่ มประชมุ ปรึกษาหารอื และสอื่ สารกนั และไม่ เฉพาะนักธรุ กจิ และคนทามาคา้ ขายระหว่างประเทศเท่านน้ั ทจ่ี ะตอ้ งใช้ภาษาอังกฤษในการ สือ่ สารและการตดิ ตอ่ ธรุ กิจระหวา่ งกนั แต่ในเมือ่ ทกุ คนที่อยู่ในอาเซยี นลว้ นแลว้ แต่เปน็ พลเมอื งของอาเซยี นด้วยกันทุกคน และทกุ คนจะต้องไปมาหาสู่ เดินทางท่องเท่ยี ว ทาความรู้จักคุ้นเคยต่อกนั เรียนรซู้ งึ่ กันและกัน และที่ สาคัญทุกคนจะต้องเดินทางขา้ มพรมแดนเพอื่ หางานทาและแสวงหาโอกาสท่ีดกี ว่าใหก้ บั ชวี ติ ดงั นน้ั ภาษาองั กฤษจึงเป็นเครือ่ งมืออนั ดับหน่งึ สาหรบั พลเมืองอาเซียน ในการสอ่ื สารสรา้ ง สมั พันธส์ ู่โลกกวา้ งของภูมิภาคอาเซียน โลกแห่งมติ รไมตรีที่ขยายกว้างไรพ้ รมแดน โลกแหง่ การแข่งขันไร้ขอบเขตภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม ภาษาอังกฤษจงึ เปน็ ภาษาทส่ี องของชาว อาเซียน เคียงคภู่ าษาทห่ี น่งึ อันเป็นภาษาประจาชาตขิ องแตล่ ะคนส่วนภาษาทีส่ ามของชาว อาเซยี นนั้นกค็ ือภาษาอืน่ ในอาเซยี นภาษาหนงึ่ ภาษาใดหรือมากวา่ หน่ึงภาษา เช่นภาษามาเลย์ ภาษาอินโดนเี ซีย ภาษาจนี ภาษาลาว ภาษาขแมร์ ภาษาเวียดนาม ภาษาพมา่ ภาษาฟิลปิ ปิโน ภาษาฮินดี และ ภาษาทมฬิ นอกจากนนั้ ยงั มีภาษาของประเทศนอกภมู ภิ าคอาเซียนทเ่ี ป็น ประเทศคเู่ จรจาสาคัญของอาเซียนอกี แปดประเทศคือ: จนี ญีป่ นุ่ สาธารณรัฐเกาหลี ออสเตรเลีย นิวซแี ลนด์ อินเดีย สหรัฐอเมรกิ า และ รัสเซยี ซึ่งหมายความว่าจะตอ้ งเรียนรู้ ภาษาทน่ี อกเหนือจากภาษาอังกฤษ คอื ภาษาญีป่ นุ่ ภาษาเกาหลี ภาษารสั เซยี และภาษาท่ีใช้
การใช้ภาษาอังกฤษกับอนาคตของไทยในอาเซยี น ภาษาองั กฤษ : ในฐานะภาษาสาคญั ของโลก ภาษาองั กฤษปจั จบุ นั คอื ภาษานานาชาติ เปน็ ภาษากลางของโลก ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางของมนษุ ยชาติ เป็นภาษาที่มนษุ ยบ์ นโลกใช้ ติดต่อระหว่างกันเป็นหลกั ไม่ว่าแต่ละคนจะใช้ภาษาอะไรเป็นภาษาประจาชาติ เมอ่ื ตอ้ งตดิ ต่อ กับคนอน่ื ท่ีต่างภาษาตา่ งวัฒนธรรมกนั ทุกคนจาเป็นตอ้ งใช้ภาษาองั กฤษเปน็ หลกั อยแู่ ล้ว ดว้ ย เหตุน้ที กุ ชาติทุกภาษาจงึ บรรจุวชิ าภาษาอังกฤษเปน็ ภาษาท่สี องรองลงมาจากภาษาประจาชาติ เป็นแกนหลกั ของหลักสตู รการศึกษาทกุ ระดับ ตัง้ แตป่ ฐมวยั ไปจนถึงการศึกษาตลอดชีวติ แตเ่ ม่ืออาเซยี นกาหนดใหภ้ าษาอังกฤษเป็น “working language” เราจงึ ตอ้ งเข้าใจให้ ถ่องแท้ตามความหมายของถอ้ ยคาว่าเป็น “ภาษาทางาน” ของทุกคนในอาเซยี น ทกุ คนท่ี “ทางานเก่ียวกบั อาเซียน”, “ทางานในอาเซียน”, ทางานรว่ มกบั เพือ่ นอาเซียน”, “มเี ครอื ข่าย ประชาสงั คมอาเซียน”, “แสวงหาโอกาสทางการศกึ ษาในอาเซียน”, “มีเพื่อนในอาเซียน” และ “เดนิ ทางท่องเทย่ี วในอาเซยี น” คนท่ีทางานโดยตรงเกยี่ วกับเรือ่ งของอาเซียน หมายถึงตงั้ แตพ่ นกั งาน เจ้าหน้าทร่ี ฐั ข้าราชการในหนว่ ยงานทเี่ กย่ี วข้องในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซยี น ไปจนถงึ คนทางานใน สานักเลขาธิการอาเซยี น ณ กรุงจาการต์ า ทุกคนต้องใช้ภาษาองั กฤษเปน็ หลัก ขา้ ราชการไทยทกุ กระทรวงทบวงกรม จะต้องมคี วามสามารถใชภ้ าษาองั กฤษได้ และ ใช้ได้ดีด้วย เพราะงานเกย่ี วกับอาเซยี นนนั้ เก่ยี วกบั ทกุ กระทรวงทบวงกรม จากน้ไี ปควรเป็น นโยบายของรฐั บาลในการบรรจขุ ้าราชการทกุ ระดับทกุ หนว่ ยงานโดยคานงึ ถงึ ความสามารถ ในการใชภ้ าษาองั กฤษเปน็ สาคญั ไมว่ ่าตาแหน่งราชการน้นั ๆจะเก่ยี วข้องกบั งานอาเซียน โดยตรงหรอื ไมก่ ็ตาม เพราะถึงอยา่ งไรงานทกุ ระดับในหน่วยราชการจะต้องเกยี่ วข้องกับ อาเซียนท้งั โดยตรงและโดยออ้ มท้งั สน้ิ รัฐบาลควรมี นโยบายระยะส้ันเฉพาะหนา้ ในชว่ งเวลา กอ่ นถึงปี 2558/2015 อันเปน็ ปบี รรลุเปา้ หมายการสร้างประชาคมอาเซียน วา่ จะปรับขีด ความสามารถในการใช้ภาษาองั กฤษของขา้ ราชทุกคนทุกระดบั แล้วปรบั เงนิ เดอื นหรอื ค่าตอบแทนขา้ ราชการทีพ่ ัฒนาขีดความสามารถในการใชภ้ าษาองั กฤษได้แล้วให้ขึ้นไปอกี ระดบั หน่ึง ให้ไดเ้ งินเดอื นสงู พอหรอื สงู เหนือเงินเดอื นปรกตใิ นระบบราชการปัจจบุ นั สูงจนเปน็ ท่ดี ึงดูดคนทีม่ ีขดี ความสามารถสงู หนั มาสนใจรบั ราชการโดยไมล่ ังเลว่าจะไปทางานภาคเอกชน ดกี ว่าหรือไม่ สงู จนมาตรฐานการตอบแทนภาครฐั เทยี บเท่าหรอื ดีกว่าภาคเอกชน
การใชภ้ าษาอังกฤษกับอนาคตของไทยในอาเซียน นโยบายระยะส้ันเฉพาะหน้าของระบบราชการก็คอื พัฒนาบุคคลากรท่ีพัฒนาไดแ้ ล้วปรับเงนิ เดอื นส่วน ทพี่ ฒั นาได้มาตรฐาน ทเี่ หลอื กค็ อ่ ยๆพัฒนาและปรับผลตอบแทนตอ่ ไปในระยะยาว ขา้ ราชการที่ไม่ ปรบั ตัวก็ใหอ้ ยู่อยา่ งปรกติธรรมดาเหมอื นเดิมแบบชีวิตไม่เปลี่ยนแปลงต่อไป เนอ่ื งจากการเรียน ภาษาองั กฤษ หรือภาษาต่างประเทศอนื่ เป็นธรรมชาตขิ องมนษุ ยท์ จี่ ะเรียนรู้ได้เสมอเหมือนกันทกุ คน ทกุ วยั ทกุ วัฒนธรรม ไม่เกยี่ วกบั ภูมิปญั ญาพิเศษใดๆ ใครๆก็เรียนภาษาใหมไ่ ด้ ใครๆก็เรยี น ภาษาอังกฤษได้- ถา้ อยากจะเรียน -ไม่มขี ้ออ้างวา่ ยากจน เรยี นไมไ่ หว หรืออายุมากแลว้ “ล้ินแข็ง” เรียนไมไ่ ด้แลว้ ภาษาเปน็ ทักษะ เรียนรู้ได้ด้วยการฝกึ ฝน ใช้มากๆ ใชบ้ อ่ ยๆ เท่านัน้ เอง ถา้ ขยนั เรียนก็ ใช้ภาษาอังกฤษไดใ้ นเวลาไมน่ าน วธิ สี ร้างแรงจูงใจโดยการปรับขึน้ เงินเดอื นเล่ือนขัน้ เลือ่ นตาแหนง่ ใน ระบบราชการจึงเป็นแรงจงู ใจอย่างมเี หตุผลดใี นการพัฒนาขดี ความสามารถในการใชภ้ าษาองั กฤษ ของข้าราชไทยยคุ ประชาคมอาเซียน นโยบายระยะยาว กค็ วรเป็นการให้ขดี ความสามารถในการใช้ภาษาองั กฤษเป็นมาตรฐานกลาง ของระบบราชการโดยปรบั เงินเดอื นและผลตอบแทนอ่นื ๆใหเ้ ป็นมาตรฐานเดียวกนั ท้ังระบบ หากทาเชน่ วา่ นไ้ี ดก้ ็เปน็ เหตผุ ลที่ชอบธรรมในการปรบั ฐานเงินเดอื นและผลตอบแทนให้ข้าราชการทุกคน พนกั งานประจาสานกั เลขาธิการอาเซียน สาหรบั คนทตี่ อ้ งการจะไปทางานเกยี่ วกับอาเซยี น โดยตรงในสานกั เลขาธกิ ารอาเซยี น ณ กรุงจาการ์ตา หรือสานักงานสาขาในประเทศอืน่ ท่ีจะมีใน อนาคต ตลอดจนผูท้ ี่จะไปทางานใหก้ บั รัฐบาลประเทศสมาชิกอื่นของอาเซยี น กลา่ วโดยตรงก็คอื คนที่ จะไปรบั ราชการในประเทศอาเซียนอืน่ ซง่ึ ในอนาคตจะเป็นเร่ืองจรงิ ท่เี ปน็ ไปได้ เพราะแตล่ ะรัฐสมาชกิ จะมีความจาเปน็ ท่จี ะตอ้ งใช้ผู้รเู้ กยี่ วกบั อาเซียนและรัฐสมาชกิ อนื่ ในระบบการทางานของราชการ (หรือรัฐการ) ของตน ประเทศในอาเซยี นจะมีความต้องการวา่ จา้ งคนไทยทมี่ ีความรคู้ วามสามารถ เรอ่ื งไทยและเร่ืองอาเซียนให้เขา้ รบั ราชการในประเทศของตน ชาวไทยท่ีแสวงหาโอกาสใหมๆ่ ใหก้ ับ ชีวิตกต็ อ้ งเตรยี มพรอ้ มเร่อื งภาษาองั กฤษกอ่ นเร่อื งอนื่ ใด ในยคุ อาณานคิ ม แม้ไทยจะมไิ ดเ้ ปน็ อาณา นิคมของอังกฤษ แตร่ ัฐบาลสยามกจ็ ้างชาวอังกฤษมาเป็นอธบิ ดกี รมป่าไม้คนแรก และจ้างชาวดัทชม์ า รับราชการในกรมชลประทาน และ จา้ งชาวอังกฤษมาเปน็ ครูในพระราชวงั และในระบบการศกึ ษา พน้ื ฐาน ในปจั จบุ ันกระทรวงการต่างประเทศของไทยและของชาตสิ มาชกิ อาเซยี นอืน่ ก็ลว้ นแล้วแต่มี กรมกิจการอาเซียนด่้วยกันทัง้ นั้น และยอ่ มเปน็ ไปไดท้ ่ีแต่ละหนว่ ยงานจะมคี วามจาเปน็ ตอ้ งจ้างชาว ไทยเข้าสรู่ ะบบราชการของแต่ละประเทศดว้ ย ในทางกลบั กนั ระบบราชการไทยกจ็ ะมีความจาเป็นท่ี ต้องจา้ งชาวลาว เขมร พม่า เวียดนาม มาเลเซยี สงิ คโปร์ อนิ โดนเี ซยี บรูไน และ ฟลิ ปิ ปนิ ส์ มาทางาน ในกระทรวงตา่ งๆของไทย ทานองเดียวกันกบั ที่สถาบันการศึกษาต่างๆจา้ งครชู าวต่างชาติ
บทที่ 2 มาตราฐานอาชพี
ความหมายของมาตราฐานอาชพี และคาทเี่ กยี่ วข้อง หมายความวา่ ความรู้ ความสามารถและทกั ษะในการทางานของบุคคลซ่งึ ตอ้ งอาศยั ความเช่ียงชาญและความชานาญเฉพาะดา้ น ทงั้ นี้ ไม่หมายความ รวมถงึ วิชาชพี ขององคก์ รวชิ าชีพท่ีมีกฎหมายจัดต้ังข้ึนเปน็ การเฉพาะคุณวุฒิ วิชาชีพ หมายความว่า การรบั รองความรู้ ความสามารถ และทักษะของ บุคคลในการทางานตามมาตรฐานอาชพี ตามพระราชกฤษฎีกาน้ีมาตรฐาน อาชีพ หมายความว่า การกาหนดระดับสมรรถนะของบุคคลในการ ประกอบอาชพี ตามพระราชกฤษฎกี าจัดตั้งสถาบนั คณุ วุฒวิ ชิ าชพี สมรรถนะ หมายความวา่ การใชค้ วามรูท้ กั ษะ และความสามารถมาประยุกตใ์ ชเ้ พอื่ การประกอบอาชีพดงั นั้น มาตรฐานอาชีพ (Occupational Standard) จงึ เป็นการกาหนดมาตรฐานของสมรรถนะรวมทงั้ ความร้แู ละความเขา้ ใจท่ี คาดหวงั ว่าบคุ ลากรจะบรรลุสาหรับอาชีพหนงึ่ โดยใช้เป็นฐานในการ กาหนดและประเมนิ เพอื่ ให้ไดค้ ุณวุฒวิ ชิ าชพี (Vocational Qualifications - VQ) มาตรฐานอาชพี ทาโดยกลมุ่ อาชพี เฉพาะนน้ั ๆ หรือ เรยี กวา่ มาตรฐานสมถรรนะ
การสร้างมาตราฐานวิชาชีพ “มอื อาชีพ” ที่กาหนดว่าคอื บคุ คลท่ีปฏบิ ัติงานท่ีต้องใช้ความรู้ มปี ระสบการณ์สูง และสามารถปฏิบตั งิ านในสาขาวชิ าหรืองานใดงานหนึ่งได้อย่างดี และขอ้ เสนอในการ พฒั นาการบริหารงานทรัพยากรบคุ คลให้เป็นวิชาชพี ของ Ulrich and Eichinger นั้น จงึ กล่าวได้ว่า มืออาชีพด้านการบริหารทรพั ยากรบุคคล คอื บคุ คลท่ปี ฏบิ ตั งิ านโดย ใชอ้ งค์ความรดู้ ้านการบริหารทรพั ยากรบคุ คล ซง่ึ มีการพัฒนาและเสรมิ สร้างองค์ ความรู้อยา่ งต่อเนอ่ื งและเปน็ ระบบจนเป็นที่ ยอมรบั ร่วมกนั โดยมจี รรยาบรรณวชิ าชีพ เปน็ กรอบแนวทางความประพฤติ และทาให้สามารถปฏบิ ตั งิ านไดอ้ ยา่ งมปี ระสิทธิภาพ และบรรลปุ ระสทิ ธิผลในประเทศไทยไดม้ ีความพยายามจากภาคเอกชนทรี่ วมตวั กันเป็น สมาคม ไดแ้ ก่ สมาคมจดั การงานบุคคลแหง่ ประเทศไทย (Personnel Management Association of Thailand - PMAT) ท่จี ะผลักดันการสรา้ งมาตรฐานวิชาชีพดา้ น การบริหารทรพั ยากรบุคคล โดยใหม้ กี ารประเมินหรือทดสอบเพอื่ รับรองความเป็นมอื อาชีพ (accreditation) และการควบคุมการปฏิบัตงิ านโดยจรรยาบรรณวชิ าชีพ ( ethical code of conduct ) เชน่ เดียวกับการรบั รองและควบคุมผปู้ ระกอบวิชาชีพ แพทย์ วศิ วกร หรือสถาปนกิ โดยความเปน็ มอื อาชีพจะตอ้ งมอี งค์ประกอบ 10 ประการ ซึ่งขณะนี้ได้มีการกาหนดสมรรถนะและแนวทางการขอรบั รองมาตรฐานวชิ าชีพในเบือ้ ง ต้นแล้วในตา่ งประเทศ มีองคก์ รภาคเอกชน และองค์กรท่ีไมแ่ สวงผลกาไรได้จดั ทา หลักสูตรการฝึกอบรมและทดสอบเพอ่ื รับรอง ความเป็นมืออาชพี ด้านบริหารทรัพยากร บคุ คล เช่น International Public Management Association (IPMA) Chartered Institute of Personnel and Development (CIPD) Canadian Council of Human Resources Association (CCHRA) เป็นต้น
บทท่ี 3 มาตราฐานอตุ สาหกรรม
ความรเู้ กยี่ วกบั งานอาชีพ มาตราฐานอตุ สาหกรรม ความหมายของมาตราฐานอสุ าหกรรม (มอก.) มาตราฐานอุตสาหกรรม หรอื เรยี กช่ือย่อวา่ มอก. หมายถึงข้อกาหนดทางวิชาการที่ สานักงานมาตราฐานผลิตภณั ตอ์ ุสาหกรรม (สมอ.)ได้กาหนดขึ้นเพอ่ื เป็นแนวทางแก่ผผู้ ลิตใน การผลติ สนิ คา้ ให้มคี ุณภาพในระดับทเี่ หมาะสมกับการใชง้ านมากที่สุด โดยจดั ทาออกมาเปน็ เอกสารและจดั พมิ พเ์ ป็นเลม่ ภายใน มอก. แตล่ ะเลม่ ประกอบด้วยเนอ้ื หาที่เกยี่ วข้องกับการผลติ ผลติ ภณั ฑ์นน้ั ๆ เชน่ เกณฑ์ทางเทคนิค คณุ สมบตั ทิ ส่ี าคญั ประสิทธิถาพของการนาไปใชง้ าน คณุ ภาพของวตั ถุทนี่ ามาผลิต และวิธกี ารทดสอบ ความสาคญั ของมาตราฐานอตุ สาหกรรม (มอก.) ความสาคญั ของมาตราฐานอตุ สาหกรรม (มอก.) ท่เี ป็นประโยชน์ตอ่ ผเู้ กีย่ วขอ้ ง มีดังต่อไปนี้ ความสาคัญด้านผูผ้ ลติ ได้แก่ ชว่ ยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลติ - ลดรายจา่ ย ลดเครือ่ งจักร ลดขน้ั ตอนการทางานซับซอ้ น - ทาให้สนิ ค้ามีคณุ ภาพดขี ้นึ และมีราคาถกู ลง ความสาคญั ดา้ นผู้บริโภค - ชว่ ยในการตดั สนิ ใจเลือกซอื้ สนิ ค้า และสรา้ งความปลอดภยั ในการนามาใช้ - ในกรณที ชี่ ารดุ ก็สามารถหาอะไหล่ไดง้ า่ ย เพราะสินคา้ มีมาตราฐานเดียวกนั ใชท้ ดแทนกนั ได้ - ได้สนิ ค้าคณุ ภาพดีข้นึ ในราคาทเ่ี ปน็ ธรรมคุ้มคา่ การใช้งาน - วิธีการบารงุ รกั ษาใกล้เคียงกนั ไม่ตอ้ งหัดใชส้ ินคา้ ใหมท่ กุ ครั้ง ความสาคัยดา้ นเศรษฐกจิ ส่วนรวมหรือประโยชน์รว่ มกัน - ช่วยเป็นสอ่ื กลางและบรรทัดฐานทางการค้า ทาให้ผ้ผู ลติ และผบู้ ริโภคมคี วามเข้าใจท่ี ตรงกนั - กอ่ ให้เกดิ ความยุตธิ รรมในการซื้อขาย - ประหยดั การใชท้ รัพยากรของชาติ ทาให้มีการใชท้ รัพยากรอย่างเกิดประโยชน์
ประวัติของการจดั ประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรมสากล ารจดั ประเภทมาตรฐานอตุ สาหกรรมขององคก์ ารสหประชาชาติ (International Standard Industrial Classification of All Economic Activities, ISIC) ไดน้ ามาใชค้ รง้ั แรกเม่ือปี ค.ศ. 1948 ต่อมาคณะกรรมาธิการเศรษฐศาสตรแ์ ละสงั คม ไดเ้ หน็ ชอบในเรอ่ื งของความจาเป็นในการ เปรยี บเทียบขอ้ มลู กบั นานาประเทศในดา้ นสถิตเิ ศรษฐกิจ และคณะกรรมการดา้ นสถิติไดน้ าขอ้ เสนอแนะ ของเจา้ หนา้ ท่ีรฐั มาใชใ้ นการจดั ประเภทมาตรฐานอตุ สาหกรรมขององคก์ ารสหประชาชาติ ไดแ้ ก่ 1) นาระบบ การจดั ประเภทมาใชใ้ หเ้ ป็นมาตรฐานของนานาประเทศ หรอื 2) ปรบั ปรุงขอ้ มลู สถิติใหส้ อดคลอ้ งกบั ระบบนี้ เพ่อื วตั ถปุ ระสงคใ์ นการเปรยี บเทียบกบั นานาประเทศประเทศต่าง ๆ ไดเ้ ห็นประโยชนจ์ ากการใชข้ อ้ มลู ISIC ในการจดั ประเภทกิจกรรมใหส้ อดคลอ้ งกนั ตามประเภทของเศรษฐกิจ เช่น การผลติ หรอื รายไดร้ วมของ ประเทศ การจา้ งงาน ประชากร และอ่ืน ๆ เพ่อื เป็นขอ้ มลู พนื้ ฐานในประเทศ ความสาเรจ็ ท่ีไดจ้ ากการ เปรยี บเทียบขอ้ มลู การจดั ประเภทมาตรฐานอตุ สาหกรรมของประเทศต่าง ๆ กบั การจดั ประเภทมาตรฐาน อตุ สาหกรรมขององคก์ ารสหประชาชาติ คือ การไดร้ ขั ขอ้ มลู ท่ีเป็นประโยชน์ โดยแต่ละประเทศไดจ้ ดั ประเภทและรายละเอียดใหส้ อดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู ของ องคก์ ารสหประชาชาติ ประเทศท่ีปรบั ปรุงการจดั ประเภท กิจกรรมทางเศรษฐกิจใหเ้ ป็นไปตาม ISIC มีจานวน มากขนึ้ องคก์ ารสหประชาชาติ โดยองคก์ ารพฒั นา อตุ สาหกรรมขององคก์ ารสหประชาชาติ (UNIDO), องคก์ ารแรงงานระหวา่ งประเทศ (ILO), องคก์ าร อาหารและการเกษตรกรรมขององคก์ ารสหประชาชาติ (FAO), องคก์ ารการศกึ ษา วทิ ยาศาสตร์ และ วฒั นธรรมแห่งสหประชาชาติ และหนว่ ยงานระหว่างประเทศอ่ืน ๆ ท่ีใช้ ISIC จงึ ไดม้ ีการจดั พมิ พ์ เพ่อื นามาใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดา้ นสถิติ จากการใช้ ISIC ท่ีผา่ นมา ทา ใหอ้ งคก์ ารสหประชาชาติเหน็ ความจาเป็นในการจดั ทาโครงสรา้ ง และคาจากดั ความในการจดั ประเภท มาตรฐานอตุ สาหกรรมตามระยะเวลาและภายใตห้ ลกั การท่ีกาหนดนอกจากนีก้ ารเปล่ียนแปลงกิจกรรมทาง เศรษฐกิจของโลก และกิจกรรมทางเศรษฐกิจท่ีเกิดขนึ้ ใหม่ถือเป็นเร่อื งสาคญั ขณะเดียวกนั ก็มีความตอ้ งการ ดา้ นการพฒั นาวธิ ีการวิเคราะหใ์ หมๆ่ จากระยะเวลาท่ีผา่ นมา มีการใชข้ อ้ มลู ISIC อยา่ งตอ่ เน่ือง และมีการ จดั ประเภทกิจกรรมของแต่ละประเทศในทศิ ทางเดียวกนั แสดงใหเ้ หน็ ว่า ควรมีการเพม่ิ รายละเอียด ขยาย ความหรอื พฒั นาในทางอ่ืน ๆ ดว้ ย เหตนุ ีค้ ณะกรรมการ ดา้ นสถิตจิ งึ ไดเ้ รม่ิ พจิ ารณา ทบทวน และปรบั ปรุง แกไ้ ข ISIC ในปี ค.ศ. 1956 , 1965 , 1979 และ ในปี ค.ศ. 2000 ในขณะระหวา่ งดาเนนิ การปรบั ปรุง ไดม้ ีการเปรยี บเทียบขอ้ มลู ระหวา่ งฉบบั ท่ีปรบั ปรุงแลว้ กบั ฉบบั เดมิ ซง่ึ ถือเป็นเร่อื งสาคญั ของการเปล่ียนแปลง โครงสรา้ งทางเศรษฐกิจและรูปแบบการผลิตท่วั โลก ท่ีตอ้ งจดั สมดลุ และความต่อเน่ืองของขอ้ มลู ISIC ให้ สมั พนั ธก์ นั ดว้ ยความละเอียดรอบคอบ และใช้ เปรยี บเทียบกบั ขอ้ มลู การจดั ประเภทอตุ สาหกรรมอ่ืน ๆ ได้
บทท่ี 4 ข้อมลู อาชพี
ข้อมลู อาชพี ในระบบ ข้อมูลอาชพี ในระบบตามความสนใจ 1.1 การดนตรศี ลิ ปะ เช่น นักแสดงศลิ ปิน ชา่ งภาพ นักดนตรี 1.2การบรหิ ารการเงิน เชน่ สมหุ บ์ ัญชี นักวิเคราะห์การเงิน 1.3กฎหมาย เช่น ตารวจ ทนายความ/อยั การ 1.4ชว่ ยเหลือผู้อ่ืน เช่น ครู นักสังคมสงเคราะห์ 1.5การศกึ ษาเชงิ สังคม เชน่ นกั การเมือง นกั วาน แผนเมือง 1.6การอา่ น เช่น นักเขียน เลขาณกุ ารผสู้ ่ือข่าว
บคุ คลกิ ภาพกบั การเลอื กอาชีพและการศกึ ษาใหเ้ หมาะสมกบั ตวั เอง การเลือกอาชพี และสาขาวิชาท่ีจะศึกษา ใหเ้ หมาะสมกบั ตัวเองโดย เน้นเรอื่ งบคุ ลกิ ภาพ บุคคลแต่ละบุคคลย่อมมบี ุคลกิ ภาพทีแ่ ตกต่าง กนั แตล่ ะคนจะมี ลกั ษณะที่ชเี้ ฉพาะตนไมว่ ่ารูปรา่ ง หนา้ ตา ผิวพรรณ หรือนสิ ยั ใจคอ มนี ักวชิ าการบางทา่ นได้ใหค้ วามหมาย ของคาวา่ “บคุ ลิกภาพ” คือ ลกั ษณะสว่ นรวมของ บคุ คล ซงึ่ ประกอบดว้ ยสงิ่ ที่ปรากฏ ทางร่างกาย นิสยั ใจคอ ความรสู้ ึก นึกคดิ และพฤติกรรมรวมของบุคคลน้นั ซึ่งไดร้ วมอยดู่ ้วยกัน อยา่ งผสมกลมกลืนในตวั บคุ คลนัน้ รวมถงึ สง่ิ ทเี่ ขาชอบและไม่ ชอบ สิ่งทเี่ ขาสนใจและไม่สนใจ เปา้ หมายตา่ ง ๆ ในชวี ิตของเขา ความสามารถด้านต่าง ๆ ของเขา ลักษณะของบคุ ลิกภาพเฉพาะของแตล่ ะคนนั้น หากบคุ คลร้จู กั และ เขา้ ใจบุคลิกภาพจนสามารถมองตนไดต้ ามสภาพความเป็นจริง ย่อมชว่ ยใหบ้ ุคคล ตดั สินใจเลอื กแนวทางชวี ิต การศึกษา และ อาชีพไดอ้ ยา่ งสอดคล้องกับตัวเองมากทส่ี ดุ
บุคลิกภาพสาคัญอย่างไร บุคลกิ ภาพนน้ั เกี่ยวขอ้ งกับอะไรบ้าง 1. ทางกายภาพ หมายถงึ รูปรา่ งหนา้ ตาดี ย่อมส่งผลให้ผู้ สัมภาษณส์ นใจได้บา้ ง และตนเองก็มคี วามภมู ใิ จม่ันใจย่งิ ถ้ามี สุขภาพท่ีแขง็ แรงวอ่ งไวในการทางานยิ่งนา่ ประทับใจ 2. ทางสมอง สมองดีไม่มโี รคภยั ไขเ้ จบ็ ก็จะทาใหเ้ ขามีความ ทรงจาดี เชาวนป์ ญั ญาดี แต่ต้องเป็นผลจากการศกึ ษาอบรม พื้นฐานด้วย 3. ความสามารถ อาศัยประสบการณ์ และความถนดั จากการ ฝึกฝน 4. ความประพฤติ เป็นผอู้ ยูใ่ นศลี ธรรม สุภาพออ่ นโยน มี มนุษยสัมพันธ์ ไมเ่ ปน็ ปฏปิ ักษ์กบั สังคม 5. ชอบเข้าสงั คมมีทศั นคติทีด่ ตี อ่ ผอู้ ืน่ การแสดงออกตอ่ เพ่ือน ฝูง ไมเ่ หน็ แก่ตัว มีน้าใจตอ่ ผู้อ่นื ไม่อวดตัว 6. อารมณด์ ี ใจเย็น ไม่ฉนุ เฉยี ว อดกล้ันโทสะได้ 7. กาลังใจ เป็นคนทจี่ ิตใจเขม้ แข็ง ไมท่ ้อถอย ไมเ่ สียขวัญง่าย
ขอ้ มลู อาชีพ กลุ่มอาชีพอุตสาหกรรมแฟชน่ั 1.อาชีพชา่ งสร้างแบบสาเร็จ หมายถึงอาชีพทีว่ าดและตัดชนิ้ ส่วนตา่ งๆของแบบสาเร็จเสือ้ ชุด เสื้อเชิต้ ชดุ สตรีและเคร่อื งแตง่ กายอ่นื ๆยกเวน้ ผา้ ขนสตั วเ์ พอื่ เป็นแนวทางในการทาเสอ้ื ผ้า สาเร็จรปู 2.อาชพี ตกแต่งตัวเรือน หมายถึงอาชพี ท่ีตกแต่งตัวเรือนเครอื่ งประดบั ต่างๆท่ีได้จากงานหลอ่ น ตัวเรอื นดว้ ยวิธกี ารตระไบเลือ่ ยบัดกรแี ละการขดั หยาบเบ้อื งต้นเพื่อเพ่ิมเติมสว่ นทข่ี าดหายไป หรอื ขจัดสว่ นเกนิ และอุรายลดหรือขยายขนาด 3.อาชพี ออกแบบเส้อื ผ้าผลติ ภณั ฑ์ หมายถงึ การออกแบบลวดหลายผ้าเสื้อผา้ เครื่องแต่งกาย และผลิตภัณฑ์ท่ีสงิ่ ทอสง่ิ ถกั จากจินตนาการประสบการณ์แนวโน้มแฟช่นั และความต้องการของ ลกู คา้ โดยศึกษาวิเคราะห์ตน้ ทุนวัสดเุ ทคนิคออกแบบและควบคมุ การตัดเยบ็ ใหเ้ ป็นไปตาม ออกแบบไว้ 4.อาชพี วิศวกรเคมสี ิ่งทอ หมายถงึ การศึกษาออกแบบควบคมุ จดั การและอานวยการ โครงการวจิ ัยผลิตภณั ฑเ์ คมแี ละปฏิกริ ิยาและกระบวนการทางเคมีสาหรับเคมีภัณฑ์ที่ใช้ใน อุตสาหกรรมท่ที อใหค้ าปรกึ ษากระบวนการผลิตเพอื่ ใหเ้ กิดประโยชนด์ ้านการใช้งานด้าน ความปลอดภัยและไมส่ ่งผลเสียตอ่ สิง่ แวดล้อม 5.อาชีพพนกั งานคุมเครอ่ื งจักตกแตง่ ผืนผา้ ส่งิ ทอส่ิงถกั หมายถึงอาชีพท่ีควบคุมเครือ่ งจกั ร ตกแต่งผืนผ้าสิ่งทอสิง่ ถักตามที่ตอ้ งการเชน่ ขนาดความมันความแขง็ หรอื ความสามารถในการ กันนา้ โดยใช้กรรมวิธที างเชิงกลหรอื ทางเคมีในการตกแตง่ 6.อาชีพพนักงานคุมเคร่อื งซักลา้ งสิง่ ทอสิง่ ถกั หมายถงึ การทาหนา้ ทใี่ นการควบคุมการ ทางานของเครื่องจกั รสาหรับการซักลา้ งสางทอส่งิ ถกั ซึง่ เรม่ิ กระบวนการตงั้ แต่การควบคมุ อณุ หภมู ขิ องน้าเดินเคร่อื งจักรจนนาสิง่ ทอส่งิ ถกั ไปผา่ นการอบเพ่ือทาให้แห่ง 7.อาชีพผู้จัดการด้านตลาดระหวา่ งประเทศ (สนิ คา้ แฟชั่น) หมายถงึ อาชพี ทีท่ าหน้าท่พี ัฒนาและ วางแผนกลยทุ ธท์ างการตลาดเพือ่ สร้างเครอื ขา่ ยการจาหนา่ ยสนิ ค้าแฟชั่นในตา่ งประเทศ รวมถงึ ควบคมุ ดูแลตดิ ตามและประเมินผลการดาเนนิ งานตามแผนกลยทุ ธ์ใหเ้ ป็นไปตาม เป้าหมาย
ข้อมูลอาชีพ กล่มุ อาชีพอตุ สาหกรรมซอฟตแ์ วร์ 1.อาชีพเว็บมาสเตอรน์ กั ออกแบบเว็บไซต์ หมายถึงอาชีพท่ีศกึ ษาวิเคราะหข์ อ้ มลู ออกแบบสรา้ งดดั แปลง ทดสอบและแกไ้ ขปรบั ปรุงเว็บไซตแ์ ละขอ้ มลู ต่างๆจากเว็บไซตใ์ หท้ นั สมยั สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ 2.อาชีพผเู้ ช่ียวชาญดา้ นฐานขอ้ มลู หมายถึง อาชีพท่ีวางแผนศกึ ษาวิเคราะหป์ ระมาณค่าใชจ้ ่าย ออกแบบนาไปใชง้ านทดสอบประเมนิ ผลและบารุงรกั ษาระบบฐานขอ้ มลู และโปรแกรมระบบจดั การ ฐานขอ้ มลู และแกไ้ ขปัญหาต่างๆท่ีเกิดขนึ้ 3.อาชีพวิศวกรซอฟแวร์ หมายถงึ อาชีพท่ีวิจยั วิเคราะหอ์ อกแบบนาไปใชง้ านทดสอบวธิ ีการ/ กระบวนการดแู ลแกไ้ ขแนะนาการใชโ้ ปรแกรมตลอดจนเทคโนโลยีเพ่อื สนบั สนนุ การพฒั นาซอฟแวรท์ ่ี เป็นระบบใหญ่ใหม้ ีคณุ ภาพสงู 4.อาชีพนกั ออกแบบซอฟแวรเ์ ชิงพาณิชย์ หมายถึง อาชีพท่ีวิจยั วิเคราะหอ์ อกแบบนาไปใชง้ านทดสอบ วิธีการ/กระบวนการตลอดจนเทคโนโลยีซอฟแวรไ์ ปใชใ่ นเชงิ พาณิชยโ์ ดยตอ้ งมีความสอดรบั กบั ความ ตอ้ งการและเหตผุ ลของการนาคอมพวิ เตอรเ์ ขา้ มาช่วยในการทางาน 5.อาชีพผเู้ ช่ียวชาญดา้ นซอฟแวรป์ ระยกุ ต์ หมายถึงการวางแผนศกึ ษาวิเคราะหอ์ อกแบบนาไปใชง้ าน ทดสอบประเมนิ ผลบารุงรกั ษาใหค้ าปรกึ ษาและฝึกอบรมโปรแกรมซอฟแวรป์ ระยกุ ตร์ วมทง้ั แกไ้ ขปัญหา ตา่ งๆท่ีเกิดขนึ้ 6.อาชีพวศิ วกรคอมพวิ เตอร์ หมายถงึ การวิจยั ออกแบบพฒั นาศกึ ษาและกาหนดคณุ ลกั ษณะติดตงั้ บรหิ ารกาหนดนโยบายการใชง้ านบารุงรกั ษาระบบคอมพวิ เตอรว์ งจรดิจติ ทลั ระบบงานฝ่ังตวั ระบบ จดั การระบบฐานขอ้ มลู โปรแกรมระบบซอฟตแ์ วรป์ ระยกุ ตร์ ะบบเครอื ข่ายขอ้ มลู และอปุ กรณส์ ่ือสาร 7.อาชีพวิศวกรซอฟแวร์ หมายถงึ อาชีพท่ีวางแผนศกึ ษาวเิ คราะหอ์ อกแบบนาไปใชท้ ดสอบประเมินผล และบารุงรกั ษาการทางานของคอมพวิ เตอรเ์ พ่อื ตอบสนองความตอ้ งผใู้ ชง้ าน
ขอ้ มูลอาชีพ กลุม่ อาชีพอุตสาหกรรมยานยนต์ 1.อาชพี ชา่ งเช่อื มโลหะด้วยกา๊ ช หมายถงึ อาชพี ท่ตี ดั ประกอบและเชือ่ มชนิ้ ส่วนงานโลหะเยใช้ เปลวไฟกา๊ ชออกอะเซทลิ นี หรอื กา๊ ชชนดิ อื่นตามแบบหรือตามคาสง่ั 2.อาชีพช่างซอ่ มบารุงแม่พมิ พ์ หมายถงึ อาชพี ทด่ี แู ลปรับแต่งบารงุ รกั ษาและซ่อมแซมแมพ่ ิมพ์ที่ ใช้ในการผลติ ตัวถงั รถยนตใ์ ห้อย่ใู นสภาพท่ใี ชก้ ารได้ดีทางานภายใต้การแนะนาและควบคมุ ของวิศวกร 3.อาชพี ผู้จัดการฝา่ ยอุตสาหกรรมสัมพนั ธ์ หมายถึงอาชีพท่ีวางแผนกากับดูแลและประสานงาน ด้านนโยบายเก่ียวกับอตุ สาหกรรมสมั พันธก์ ารควบคมุ งานด้านความปลอดภัยในการทางาน ประสานงานและปรึกษาหรือกบั ลกู จา้ งเพือ่ วางกรอบดา้ นแรงงานสมั พันธ์ช่วยกาหนดวธิ กี าร เสนอข้อร้องทกุ ขไ์ กล่เกลยี่ และระงบั ข้อพิพาทและขอ้ ร้องทกุ ข์ท่เี กิดขนึ้ ในองค์กร 4.อาชพี ช่างปรับไฟฟา้ (ยานยนต)์ หมายถึงอาชีพทปี่ รับประกอบและซ่อมชิ้นส่วนเคร่อื งไฟฟา้ ของยานยนต์ในโรงงานผลติ โรงซอ่ มทงั้ ดา้ นระบบจุดระเบิดระบบประจไุ ฟแสงสว่างและ ไฟสญั ญาณเคร่อื งปดั น้าฝนเกจว์ ัดตา่ งๆและอ่นื ๆ 5.อาชีพชา่ งประกอบยานยนต์ หมายถึงการปฏิบตั งิ านภายใตก้ ารควบคมุ ของวิศวกร เคร่อื งกลรถยนต์ทาหนา้ ทป่ี ระกอบชิ้นส่วนของเคร่อื งจักรและเครื่องยนต์หรอื ชนิ้ สว่ นต่างๆ ของยานยนต์ 6.อาชีพวิศวกรโลหะการ หมายถงึ การศกึ ษาค้นควา้ วิจยั และพัฒนาควบคมุ งานแปรรูปโลหะ และโลหะผสมแก้ไขข้อบกพรอ่ งชิ้นงานโลหะออกแบบชน้ิ ส่วนและกาหนดกรรมวิธกี ารผลติ คดั เลือกโลหะผสมเพือ่ ให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน 7.อาชพี นกั วจิ ยั ยานยนต์ หมายถงึ การศกึ ษาวจิ ยั คดิ คน้ ออกแบบพฒั นาทดสอบทดลองและ วเิ คราะหเ์ ชิงปฏิบตั ิเกย่ี วกับยานยนตซ์ ง่ึ รวมถึงสว่ นประกอบคุณสมบตั แิ ละการเปลี่ยนแปลงอาจ เกดิ ข้ึนได้ในงานทางยานยนต์
บทท่ี 5 องคก์ ร การบรหิ ารใน องค์กรและการพัฒนางานอาชีพใน องคก์ ร
ความหมายขององค์กร ในความหมายทเี่ ป็นพื้นฐานทีส่ ุดขององคก์ าร (Organization) นนั้ ก็ คอื การทค่ี นมากกว่าหนึ่งคนได้มารว่ มกันทากจิ กรรมใดกิจกรรมหนึ่ง หรอื หลายกิจกรรม เพือ่ ใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงคร์ ่วมกันวัตถุประสงค์นน้ั อาจเป็นไปเพยี งชว่ั คราว หรอื ตอ้ งใช้เวลายาวนาน อาจมคี วามยากงา่ ย หรือจรงิ จงั แตกตา่ งกนั ไป จึงได้มอี งคก์ ารเกิดขึ้น แตถ่ ้าองคก์ ารนน้ั มี การเตบิ ใหญ่ เริม่ มีระบบระเบยี บ และการยอมรบั จากสังคมมากข้นึ ก็จะ มีสถานะ “เปน็ ทางการ” (Formal Organization) ซ่ึงจะตา่ งจาก องค์การที่ไมม่ ีการระบุวตั ถปุ ระสงค์ และไม่มีระบบระเบียบในการ ดาเนินการเอาไว้ หรอื มีการยอมรบั กนั แตอ่ ย่าง “ไม่เปน็ ทางการ” (Informal Organization) ซ่ึงองคก์ ารอย่างไม่เป็นทางการเหลา่ น้ี อาจไดแ้ กก่ ล่มุ เพือ่ น วงแชร์ การนดั เลน่ ไพ่ หรืองานเลีย้ งฉลอง เปน็ ตน้ ซ่งึ องคก์ ารอย่างไม่เปน็ ทางการเหลา่ นอาจเป็นสง่ิ ที่อยมู่ ีสว่ นซอ้ นอยใู่ น ระบบองค์การที่เป็นทางการอย่แู ล้วด้วย เช่นภายในองคก์ ารอย่างเป็น ทางการน้นั อาจมกี ารเกาะกลุม่ เกดิ องคก์ ารอย่างไม่เป็นทางการขึน้ ได้ เมื่อแตล่ ะคนได ทางานดว้ ยกัน มกี ารพบปะกนั และอาจมผี ลประโยชน์ หรอื ความสนใจสอดคลอ้ งกัน ก็คบคา้ สมาคมกนั ไปองคก์ ารอยา่ งเป็น ทางการอาจได้แก่ หนว่ ยงานราชการ บรษิ ทั ห้างรา้ น อุตสาหกรรม วดั โรงเรยี น มูลนธิ ิ สมาคม สถาบนั ฯลฯ จากการศกึ ษาที่มีมานานแลว้ นับเป็นพนั และเปน็ ร้อยปี องคก์ ารจะมีธรรมชาตดิ งั ต่อไปนี้ คอื
ความหมายขององค์กร 1. การจดั แบ่งไปตามลักษณะพิเศษ (Specialization) เชน่ เมอื่ องค์การมี ขนาดใหญข่ นึ้ กม็ กี ารแบ่งออกเปน็ สายงาน แตล่ ะส่วนงานทถี่ กู จดั แบง่ งานนน้ั ก็ จะมีคนจานวนหนง่ึ ทแี่ ตล่ ะคนตา่ งตอ้ งมกี ารรบั หนา้ ทีแ่ ละความรับผดิ ชอบกัน ไป เชน่ แมแ้ ตร่ า้ นตัดเยบ็ เครอื่ งหนงั เมอ่ื มกี ารขยายงานมากขึ้น ก็มีการ แบ่งแยกกิจกรรมตัดหนังเปน็ สว่ นหนง่ึ งานเยบ็ หนงั เป็นสว่ นหน่ึง และงานตบ แต่งเพือ่ ความสวยงามเป็นอีกสว่ นหนึง่ เป็นตน้ 2. การทาระบบให้เปน็ มาตรฐาน (Standardization) กจิ การใดทม่ี ีการทา กันบ่อยๆ แต่ไมม่ กี ารทาความตกลงกันเกิดเปน็ ความสบั สน ซับซอ้ นยากแก่ ผูป้ ฏบิ ัติงาน กจ็ ะมีการหาข้อยตุ ิ และสามารถหาทางออกในการปฏิบัติได้ เหมอื นๆกนั เช่นการกาหนดอัตราเงินเดือนเป็นบญั ชี ใครมวี ฒุ ิ ประสบการณ์ หรอื ความรับผดิ ชอบอยา่ งไร ก็จะมกี ารกาหนดเปน็ อัตราเงนิ เดอื นเอาไว้ ไมใ่ หเ้ กิดความลกั ล่ัน เกิดความพึงพอใจได้สาหรบั ท้งั แต่ละบุคคล และทัว่ ท้ัง องคก์ าร 3. การทาให้เปน็ ทางการ (Formalization) การทาใหเ้ ปน็ ทางการนั้น คอื การทาใหร้ ะบบการสอื่ สารสงั่ การนน้ั มีกฎ ระเบยี บ และคาส่งั ทีอ่ อกมาน้ันมีผล บังคบั ใช้ ดังน้นั จึงต้องมีการเขยี นออกมาเปน็ ลายลักษณ์อักษร สาหรบั ตาแหนง่ หน้าท่กี ารงานน้นั กต็ อ้ งมีการจดั เป็นระบบเพอ่ื ให้รบั ทราบกนั ภายใน หนว่ ยงาน มิใช่จะตั้งหรอื เรยี กกนั อยา่ งตามใจชอบ ในระบบทหารนัน้ จงึ ต้องมี การจัดทาตาแหนง่ กันเป็นลาดบั มีความรบั ผิดชอบ อานาจหน้าท่ี และตลอดจน ระบบรางวลั คา่ ตอบแทนและสวัสดิการกากับไว้อย่างเป็นทางการชัดเจน
ความหมายขององ์กร 4. การรวมศูนย์อานาจ (Centralization) คือการส่งั การนัน้ เพือ่ ให้มีคนตัดสินใจ ได้ในทา้ ยท่สี ดุ ของแตล่ ะส่วนงานน้นั จะรวู้ ่า การตดั สนิ ใจน้นั ใครคือผรู้ บั ผิดชอบ สงู สดุ ในทศั นะการตัดสินใจสงั่ การนนั้ หน่วยงานในลักษณะนี้จะต้องหลีกเลย่ี งความ สบั สนในการสง่ั งาน ทุกคนจะรู้วา่ ศูนย์กลางของงานนน้ั อยู่ ณ ทใี่ ด และเมื่อแต่ละ ระดบั ไมอ่ ยู่ในสถานะท่จี ะตดั สนิ ใจสั่งการได้นัน้ เขาควรจะตอ้ งฟงั ใครในระดบั ตอ่ ไป 5. ระบบสายงาน (Configuration) หรืออาจเรยี กในภาษาองั กฤษว่า The Shape of the role structure คือเปน็ โครงสร้างท่ีทาใหร้ รู้ ายละเอยี ดของแต่ละ คนว่ามบี ทบาทหนา้ ท่ี และการสังกัดส่วนงานวา่ เปน็ อย่างไร มคี วามเชอื่ มโยงกับ ผู้บังคับบญั ชา และส่วนงานตา่ งๆ ท้งั นี้อาจจะสามารถแสดงใหเ้ ห็นไดด้ ้วยแผนภมู ขิ อง องคก์ ารเปน็ ต้น เพราะเมือ่ ต้องมีการใชค้ นนบั จานวนร้อยหรอื เป็นพันคนในการ ทางานนนั้ อาจเกดิ ความสับสนได้ จึงตอ้ งมกี ารกาหนดระบบสายงาน เพ่อื ใหส้ ามารถ สื่อประสานกนั เชน่ ในองค์การทางทหารนั้นเขาจะมีระบบสายบังคบั บัญชา มกี ารแตง่ กายกันตามลาดับชั้นยศ ทหารระดบั ยศท่ีต่ากว่ากต็ ้องทาความเคารพคนในระดับท่ีสูง กว่าเปน็ ลาดบั ไป แต่ในการส่งั งานตามหนา้ ท่ีน้ัน กต็ อ้ งเปน็ ไปตามสายงานและความ รับผดิ ชอบ จะไมม่ กี ารมากา้ วก่ายกนั 6. ความยดื หยุ่น (Flexibility) เมอ่ื องคก์ ารมีขนาดใหญ่มากๆ กฎเกณฑ์เริ่มตายตวั มีระเบยี บแบบแผนออกมามาก ทา้ ยสุดองค์การกจ็ ะขาดความคล่องตวั สญู เสยี ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั ิงาน จึงมักจะมีความยดื หยุ่นเปิดเอาไว้ ใหเ้ ป็นดุลยพนิ จิ ของผปู้ ฏิบัติงานในแตล่ ะระดบั เพราะในทา้ ยทส่ี ดุ แล้วจะไม่มีกฎเกณฑใ์ ดท่ีจะตายตัว และสามารถใชไ้ ดใ้ นทกุ สภาวะ จาเปน็ ตอ้ งมีความยดื หยุ่นเพ่ือให้สามารถทางานทม่ี ี ความแตกตา่ งกนั ได้
องค์ประกอบขององก์ ร องค์การประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบหลกั 4 ประการ ดังน้ี 1. วตั ถุประสงค์หรอื จุดมุง่ หมาย ในการกอ่ ต้งั องคก์ ารข้นึ มา เพื่อเป็นแนวทางในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 2. โครงสรา้ ง องค์การตอ้ งมีการจัดแบง่ หน่วยงานภายใน โดยอาศัยหลักการกาหนดอานาจหนา้ ที่ การแบง่ งานกนั ทา ตามความชานาญเพาะอยา่ ง และการบังคบั บญั ชาตามลาดับ ช้นั อนั จะเปน็ หนทางนาไปส่กู ารร่วมมือประสานงานเพอื่ ให้ บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ 3. กระบวนการปฏบิ ตั งิ าน หมายถงึ แบบอย่างหรอื วธิ ปี ฏิบัติ กิจกรรมหรืองานทก่ี าหนดข้ึนไว้อยา่ งมีแบบแผน เพอ่ื ให้ทุก คนในองคก์ ารใช้เปน็ หลกั ในการปฏิบัติงาน 4. บุคคล องคก์ ารตอ้ งประกอบดว้ ยกล่มุ บุคคลที่เปน็ สมาชิก โดยกาหนดหน้าทีต่ ามภารกจิ ทไี่ ด้รบั มอบหมาย ภายใต้ โครงสร้างที่จดั ตามกระบวนการปฏิบัติงานท่ีกาหนดไวใ้ ห้ สาเร็จตามวตั ถุประสงค์
องค์ประกอบขององก์ ร องค์การประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบหลกั 4 ประการ ดังน้ี 1. วตั ถุประสงค์หรอื จุดมุง่ หมาย ในการกอ่ ต้งั องคก์ ารข้นึ มา เพื่อเป็นแนวทางในการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม 2. โครงสรา้ ง องค์การตอ้ งมีการจัดแบง่ หน่วยงานภายใน โดยอาศัยหลักการกาหนดอานาจหนา้ ที่ การแบง่ งานกนั ทา ตามความชานาญเพาะอยา่ ง และการบังคบั บญั ชาตามลาดับ ช้นั อนั จะเปน็ หนทางนาไปส่กู ารร่วมมือประสานงานเพอื่ ให้ บรรลุวตั ถปุ ระสงค์ 3. กระบวนการปฏบิ ตั งิ าน หมายถงึ แบบอย่างหรอื วธิ ปี ฏิบัติ กิจกรรมหรืองานทก่ี าหนดข้ึนไว้อยา่ งมีแบบแผน เพอ่ื ให้ทุก คนในองคก์ ารใช้เปน็ หลกั ในการปฏิบัติงาน 4. บุคคล องคก์ ารตอ้ งประกอบดว้ ยกล่มุ บุคคลที่เปน็ สมาชิก โดยกาหนดหน้าทีต่ ามภารกจิ ทไี่ ด้รบั มอบหมาย ภายใต้ โครงสร้างที่จดั ตามกระบวนการปฏิบัติงานท่ีกาหนดไวใ้ ห้ สาเร็จตามวตั ถุประสงค์
คุณสมบตั ิขององค์กรท่ีดี 1.มเี ป้าหมายชดั เจน ทุกคนในองค์กรตอ้ งรู้เป้าหมาย เข้าใจ วตั ถปุ ระสงคท์ ่ีแทจ้ ริงขององค์กรอย่างชัดเจน ถา้ มกี าร เปล่ยี นแปลงหรือปรับปรงุ เปา้ หมายตอ้ งแจ้งให้บุคคลทุก ระดับให้เข้าใจไมใ่ ช่แจ้งใหท้ ราบ 2.สายงานบญั ชาสั้นพร้อมงานบงั คบั บัญชาท่หี ลากหลาย พนกั งานทกุ ระดับชนั้ ต้องพฒั นาความสามารถของตนเองให้ สงู ขน้ึ และรบั ผดิ ชอบในองคก์ รนัน้ พรอ้ มทั้งลดสายการ บังคบั บญั ชาและขนั้ ตอนการทางาน ผบู้ งั คับบญั ชาต้องทางาน อย่างเตม็ ท่ี และมงุ่ มั่นอยู่กับงานที่ทาอย่ตู ลอดเวลา 3.มฐี านขอ้ มูลทส่ี นับสนุนการบรหิ ารงาน มีระบบการจัดการ ทางานดว้ ยความเชือ่ ม่นั และตดั สินใจดว้ ยตนเองใหถ้ ูกตอ้ ง มี ประวตั ิที่ใชเ้ ป็นขอ้ มูลอา้ งอิงเพอ่ื เพมิ่ ประสิทธภิ าพการทางาน มีการนาอุปกรณส์ มยั ใหม่มาประยกุ ต์ใช้ตัวฐานข้อมลู ควร จะต้องเป็นขอ้ มูลปัจจุบัน 4.มีระบบการจดั การทีด่ ี มีระบบการจดั การทางานทม่ี รี ะบบ โดยใชจ้ านวนคนไม่มากท้งั น้ีต้องมีการเตรียมงานที่ดี ทกุ คนรู้ หน้าที่ ไม่พยายามใชร้ ะบบกรรมการ จนเกินขอบเขตการ ทางานทุกอยา่ งจะมีตัวชว้ี ดั อยู่ตลอดเวลา
การจัดองค์กร หลกั ในการจดั องคก์ ารท่ดี ีจะตอ้ งมอี งค์ประกอบและแนวปฏบิ ัติ ดงั ต่อไปนี้ 1. หลักวัตถปุ ระสงค์ (Objective) กลา่ วว่า องค์การตอ้ งมี วัตถุประสงคท์ ่กี าหนดไว้อย่างชดั เจน นอกจากนัน้ ตาแหน่งยังต้องมี วตั ถปุ ระสงค์ยอ่ ยกาหนดไวเ้ พ่อื ว่าบคุ คลที่ดารงตาแหนง่ จะได้ พยายามบรรลวุ ัตถุประสงค์ยอ่ ย ซ่งึ ช่วยใหอ้ งค์การบรรลุ วตั ถปุ ระสงคร์ วม 2. หลักความรคู้ วามสามารถเฉพาะอยา่ ง (Specialization) กลา่ ว ว่า การจัดแบ่งงานควรจะแบง่ ตามความถนดั พนกั งานควรจะรบั มอบ หน้าทเ่ี ฉพาะเพยี งอยา่ งเดียวและงานหนา้ ทีท่ ่คี ลา้ ยกนั หรือสมั พันธ์กนั ควรจะต้องอย่ภู ายใตบ้ ังคับบัญชาของคนคนเดยี ว 3. หลักการประสานงาน (Coordination) กล่าวว่า การ ประสานงานกัน คือ การหาทางทาให้ทุกๆฝ่ายรว่ มมอื กันและทางาน สอดคลอ้ งกนั โดยใชห้ ลักสามัคคธี รรม เพ่ือประโยชนข์ ององค์การ 4. หลักของอานาจหนา้ ที่ (Authority) กลา่ ววา่ ทกุ องคก์ ารตอ้ ง มอี านาจสูงสุด จากบุคคลผูม้ อี านาจสงู สุดนี้ จะมีการแยกอานาจ ออกเป็นสายไปยงั บคุ คลทุกๆคนในองคก์ าร หลักนี้บางทเี รียกว่า Scalar Principle (หลักความลดหลนั่ ของอานาจ) บางทเี รยี กว่า Chain of command (สายการบงั คบั บญั ชา) การกาหนดสาย การบังคับบญั ชานกี้ ็เป็นวธิ ีประสานงานอยา่ งหน่งึ
หลกั การบริหารงานในองคก์ ร 1. ม่งุ ตอบสนองความตอ้ งการของลูกค้า คือการ มุง่ เนน้ ทลี่ กู คา้ 2. บรหิ ารงานอยา่ งเปน็ ผู้นา (Leadership) 3. การมีสว่ นร่วมของพนกั งาน (Involvement of people) 4. การบริหารโดยกระบวนการ (Process Approach to management) 5. การบริหารงานอยา่ งเป็นระบบ (System Approach to management) 6. การปรบั ปรงุ งานอยา่ งต่อเนือ่ ง (Continual Improvement) 7. ใช้ข้อเท็จจริงเป็นพ้นื ฐานของการตัดสนิ ใจ
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: