หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 13 สารชีวโมเลกุลแบบฝึกหัด หน้า 191พจิ ารณาโครงสรา้ งโมเลกุลเพปไทด์ต่อไปนี้ ตอบคาถามข้อ 1-2CH3 S CH2 CH2 CNHH2 O NH O NH CH CH2 C CH C CH3 S (CH2)2 CONH CH2 COOHCO NHCH (CH2)4 NH2 NH COCHH2OCCO(CCHHHN22)NH2CH2OOHCOCH2CNHHCC2H O NH O CH O C CH2 HN Cจากโครงสรา้ งขา้ งต้นให้นักเรยี นตอบคาถามตอ่ ไปน้ี1. สารประกอบเพปไทดน์ เ้ี ป็นโมเลกลุ ทป่ี ระกอบดว้ ยกรดอะมโิ นกโี่ มเลกลุ เรยี กเพปไทด์นี้วา่ อะไรตอบ ประกอบด้วยกรดอะมโิ น 10 โมเลกลุ เรียกวา่ เดคะเพปไทด์2. บอกชอื่ สตู รโครงสร้างและจานวนกรดอะมโิ นแต่ละชนดิ ในสารประกอบน้ี ช่อื กรดอะมิโน สตู รโครงสร้าง จานวนโมเลกุล2.1 เมไทโอนนี (Met) CH3 S CH2 CH2 NCHH2 COOH 22.2 ฟินิลอะลานนี (Phe) CH2 CNHH2 COOH 12.3 ไทโรซีน (Tyr) OH CH2 CNHH2 COOH 12.4 ไกลซีน (Gly) NH2 32.5 กลูตามีน (Gln) H CH COOH 12.6 กลูตามิก (Glu) 1 NH2 NH2 CO CH2 CH2 CH COOH NH2 HOOC CH2 CH2 CH COOH
ชอื่ กรดอะมิโน สูตรโครงสรา้ ง จานวนโมเลกุล2.7 ไลซีน (Lys) 1 NH2 NH2 (CH2)4 CH COOH3. กรดอะมโิ นทแ่ี ตกตา่ งกัน 4 โมเลกุล เมอ่ื รวมกนั จะเกดิ เปน็ เพปไทดก์ ่ีชนดิตอบ กรดอะมิโนทแ่ี ตกตา่ งกนั 4 โมเลกุลจะรวมกันเป็นพอลเิ พปไทด์ได้ 24 ชนดิ4. จงเขยี นสตู รโครงสรา้ งและช่อื ย่อของเพปไทด์ตอ่ ไปนี้อะลานิลซีสเตอีน ซีรลิ เฟนิลอะลานนีCH3 O NHNH2 CH C CH COOH CH2SH NH2HOCCHH2 O CCHH2 COOH C NH Ala -Cys Ser-Pheไกลซิลอะลานิลเวลนี เวลิลไอโซลวิ ซลิ ทริปโตเฟนHO O HNCH C NH CH C NH CH COOH O NH CCHH2 COOHNH2 CH3 CH CH3 OC Val-Ile-Trp CH3 NH2 CH C NH CH Gly-Ala-Val CH3 CH CH3 CH CH3 CH2 CH3 แบบฝึกหดั หน้า 2161. จงบอกความแตกต่างของพันธะทเี่ กดิ ข้นึ ในโครงสรา้ งทุตยิ ภูมิแบบเกลียวแอลฟาและแผ่นพลที บตี า้ตอบ พันธะในโครงสร้างแบบเกลียวแอลฟาเกิดจากการสร้างพันธะไฮโดรเจนระหว่าง C=O ในพันธะเพปไทด์ของกรดอะมิโนตัวหนึ่งกับ N-H ในพันธะเพปไทด์ของกรดอะมิโนถัดไปอีก 4 ตัวในสายเพปไทด์เดียวกัน สาหรับพันธะในโครงสร้างทุติยภูมิแบบพลีทบีต้าเกิดจากการสร้างพันธะไฮโดรเจนระหว่าง C=O กบั N-H ของสายเพปไทดค์ นละสายท่ีอยู่คูก่ นั
2. จงบอกหนา้ ทขี่ องโปรตนี ก้อนกลมและโปรตีนเส้นใย พร้อมทัง้ ยกตวั อยา่ งโปรตีนแต่ละชนดิตอบ โปรตีนก้อนกลม ส่วนใหญ่ทาหน้าท่ีเก่ียวข้องกับกระบวนการต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นภายในเซลล์เช่น เอนไซม์ต่าง ๆ ฮอร์โมนอินซูลิน ทาหน้าท่ีเป็นโปรตีนขนส่ง ซึ่งได้แก่ ฮีโมโกลบิน และโกลบลู นิ ในพลาสมาโปรตีนเส้นใย ส่วนใหญ่ทาหน้าท่ีเป็นโปรตีนโครงสร้าง เพราะมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นสูงเชน่ ไฟโบรอินในเส้นใย อลี าสตินในเอ็น คอลลาเจนในเน้ือเยื่อเก่ียวพัน เคราตินในผม ขน เล็บไมโอซินในกล้ามเนือ้3. หยดสารละลาย A ลงในหลอดทดลองทมี่ ไี ขข่ าวบรรจอุ ยู่ ปรากฏวา่ ทาให้ไขข่ าวจับตวั กนั เป็นกอ้ น 3.1 จงอธบิ ายการเปล่ยี นแปลงทเี่ กดิ ขน้ึ กบั ไขข่ าวตอบ สารละลาย A ที่เติมลงไปมีผลทาให้ไขข่ าวเกิดการแปลงสภาพ ทาให้โครงสร้างสามมิตขิ องโปรตีนถกู ทาลายไป ไข่ขาวจงึ จับตวั เปน็ กอ้ น 3.2 สารละลาย A ควรเปน็ สารใดตอบ สารละลาย A เป็นสารใดสารหน่ึงท่มี ผี ลต่อการแปลงสภาพโปรตนี คือ กรด เบสแอลกอฮอล์ หรอื สารละลายทม่ี ีไอออนของโลหะหนัก 3.2 ถา้ นาไข่ขาวในหลอดทดลองไปทดสอบกับสารละลายไบยูเร็ต ผลจะเปน็ อยา่ งไร อธบิ ายตอบ ไข่ขาวยังคงให้ผลการทดสอบเป็นสีน้าเงินม่วงเหมือนเดิม เน่ืองจากการแปลงสภาพของโปรตีนเป็นการทาลายโครงสร้างสามมิติของโปรตีนเท่านั้น คือโครงสร้าง ทุติยภูมิ ตติยภูมิ หรือจตุรภูมิ แต่โครงสร้างปฐมภูมิยังคงเดิม ไม่มีการทาลายสายพอลิเพปไทด์ กรดอะมิโนยังคงเช่ือมต่อกันดว้ ยพนั ธะเพปไทด์ จึงใหผ้ ลการทดสอบกบั สารละลายไบยูเรต็4. เอนไซม์ซูเครสพบในลาไส้เล็ก ทาหนา้ ที่ย่อยสารอาหารคาร์โบไฮเดรตได้ดที ี่ pH 6 จงอธบิ ายการทางานของซเู ครสเมื่ออยู่ในสภาวะต่าง ๆ ดังน้ี 4.1 ท่ีอณุ หภมู ิ 0๐Cตอบ อตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าของซเู ครสจะลดลง เน่ืองจากอุณหภมู ทิ ี่เหมาะสมต่อการทางานของเอนไซมค์ อื ประมาณ 37๐C 4.2 ที่ pH 11ตอบ อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าของซเู ครสจะลดลง เพราะเอนไซม์จะทางานได้ดีท่ี pH หน่ึง ๆ เท่านั้นpH ท่ีเหมาะสมคือ pH 6 ดังนั้นเม่ืออยู่ในภาวะ pH 11 ซูเครสบางส่วนจึงทางานไม่ได้ เน่ืองจากอาจมีการเสยี สภาพไป
4.3 ในภาวะที่มไี อออนโลหะปนอย่มู ากตอบ อัตราการเกิดปฏิกิริยาของซูเครสจะลดลง เนื่องจากเอนไซม์เป็นโปรตีน ไอออนโลหะหนักสามารถจับกับเอนไซม์ ทาให้เอนไซม์เสียสภาพไป ไมส่ ามารถจบั กับสับสเตรดจึงทางานไมไ่ ด้5. พจิ ารณาข้อความต่อไปน้ีวา่ ถูกหรอื ผิด 1. โปรตนี เป็นพอลิเมอร์ธรรมชาติ เกดิ จากปฏกิ ริ ยิ าพอลิเมอไรเซชนั แบบเตมิ 2. พันธะภายในโมเลกุลของโปรตีนเปน็ พนั ธะโคเวเลนต์ 3. การแปลงสภาพของโปรตีนทาใหล้ าดับของกรดอะมโิ นท่ีเรยี งกนั ในสายพอลเิ พปไทด์ เปล่ียนแปลงไป โปรตนี จึงมสี มบัตติ า่ งไปจากเดมิ 4. โปรตีนที่ถูกแปลงสภาพแล้วจะไม่ให้สีน้าเงินมว่ งเมอื่ ทดสอบด้วยสารละลายไบยเู รต็ 5. นากรดอะมโิ นท่ีแตกต่างกัน 4 ชนิดมาเรียงตอ่ กนั ด้วยพนั ธะเพปไทด์ จะสามารถ จัดเรยี งลาดับกรดอะมโิ นได้ไม่ซา้ กัน 24 แบบ 6. โปรตีนทีถ่ กู ยอ่ ยอยา่ งสมบรู ณ์จะไมใ่ หผ้ ลการทดสอบกับสารละลายไบยเู ร็ต แบบฝึกหัด หน้า 2291. จงอธบิ ายความแตกตา่ งระหว่าง มอนอแซก็ คาไรด์ ไดแซก็ คาไรด์ และพอลิแซ็กคาไรด์ตอบ มอนอแซ็กคาไรด์ เป็นน้าตาลโมเลกุลเด่ียวท่ีประกอบด้วยคาร์บอน 3 ถึง 8 อะตอม มีสูตรท่ัวไปเปน็ CnH2nOnไดแซ็กคาไรด์ เป็นน้าตาลโมเลกลุ คู่ ทป่ี ระกอบด้วยหน่วยยอ่ ยคอื มอนอแซ็กคาไรด์ 2 หนว่ ยพอลแิ ซก็ คาไรด์ เป็นคารโ์ บไฮเดรตท่ีประกอบดว้ ยหน่วยยอ่ ยมากกว่า 10 หนว่ ย2. แป้งและเซลลูโลสต่างก็ประกอบด้วยโมเลกุลของกลูโคส จงอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงมีสมบัติแตกต่างกันตอบ แป้งและเซลลูโลส ประกอบด้วยกลูโคสเหมือนกัน แต่มีการเช่ือมต่อของกลูโคสต่างกันทาให้โครงสร้างโมเลกลุ แตกตา่ งกัน จงึ มีผลทาให้สมบัตแิ ละหน้าท่ีของแป้งและเซลลูโลสต่างกัน
3. สารต่อไปนี้สารใดบา้ งท่ีเป็นคาร์โบไฮเดรตและใหบ้ อกประเภทของคาร์โบไฮเดรตด้วยสาร ประเภทของคาร์โบไฮเดรต สาร ประเภทของคาร์โบไฮเดรตใยฝ้าย พอลิแซ็กคาไรด์ น้าผ้งึ ไดแซ็กคาไรด์เยลล่ี ไมเ่ ป็นคาร์โบไฮเดรต นมถ่ัวเหลือง ไม่เป็นคาร์โบไฮเดรตสาหร่าย พอลิแซก็ คาไรด์ น้าอ้อย ไดแซก็ คาไรด์วนุ้ พอลิแซ็กคาไรด์ วุ้นเส้น พอลิแซ็กคาไรด์แปง้ ข้าวโพด พอลิแซก็ คาไรด์ เสน้ ก๋วยเต๋ียว พอลิแซก็ คาไรด์เสน้ ไหม ไมเ่ ป็นคาร์โบไฮเดรต มนั สาปะหลัง พอลิแซ็กคาไรด์คาชแ้ี จง จากข้อมูลในตาราง จงตอบคาถามต่อไปนี้ 4-5ปฏิกิริยาก่อนต้มกับ H2SO4 ปฏกิ ิริยาหลังต้มกับ H2SO4สาร กับเบเนดกิ ต์ กับไอโอดีน กบั เบเนดิกต์ กบั ไอโอดีนA เกิดตะกอนสีแดงอิฐ - เกิดตะกอนสีแดงอิฐ aB ไม่เห็นการ ไมเ่ หน็ การ เกิดตะกอนสีแดงอิฐ bเปลย่ี นแปลง เปลยี่ นแปลงC ไม่เห็นการ เกิดสารสีน้าเงิน cdเปลย่ี นแปลง4. ให้นักเรียนยกตัวอยา่ งท่ีมสี มบัติแบบเดียวกับ สาร A มาอย่างน้อย 3 ชนิดตอบ กลูโคส กาแลกโทส ฟรกั โทส5. จงบอกการเปลี่ยนแปลง a b c d วา่ เป็นอย่างไรบ้างตอบ a ไมเ่ ห็นการเปลี่ยนแปลง b ไม่เห็นการเปลย่ี นแปลงc เกิดตะกอนสแี ดงอิฐ d ไม่เห็นการเปล่ียนแปลง6. จงพิจารณาปฏิกริ ยิ าและข้อความต่อไปนี้ X Hyhderoaltyte Y yeat Z + แก๊ส S 6.1 ถา้ X เปน็ แป้งหรือนา้ ตาลโมเลกุลคู่ สาร Y , Z , และ แกส๊ S น่าจะเป็นสารใด ตามลาดับจงเขียนสูตรของ สาร Y , Z , และ แก๊ส Sตอบ สาร Y คอื กลูโคส มีสตู ร C6H12O6 สาร Z คอื เอทานอล มสี ูตร C2H5OHแกส๊ S คือคาร์บอนไดออกไซด์ มสี ูตร CO2
6.2 จงบอกชื่อหม่ฟู งั กช์ ันในสาร Yตอบ หมูฟ่ ังก์ชันในสาร Y จะประกอบด้วย หม่ฟู งั ก์ชนั 2 หมู่ คือ หมู่คาร์บอกซาลดีไฮด์ (-CHO)กบั หมู่ไฮดรอกซลิ (-OH) หลายหมูใ่ นโมเลกุล7. กาหนดให้ สมบัติของสารตามตาราง จงตอบคาถามต่อไปน้ีสาร สูตรโมเลกุล สมบัติ A C2H4O ไมม่ ีรสหวาน สถานะเป็นของเหลว B C6H12O6 มรี สหวาน ลักษณะเป็นผลกึ C (C6H10O5)n ไม่มีรสหวาน ไม่ละลายนา้ เป็นผงสีขาว7.1 สารใดเป็นคาร์โบไฮเดรตตอบ B และ C7.2 สารใดต้มกบั กรด HCl จะใหส้ ารใหม่มีรสหวานตอบ สาร C7.3 สารใดทาปฏกิ ิริยากับ Cu2+ ไอออนในเบส จะเกิดตะกอนสแี ดงอิฐตอบ สาร A และ B7.4 จงบอกวิธีทดสอบสาร Cตอบ ใชส้ ารละลายไอโอดีน จะเกิดตะกอนสีนา้ เงิน8. การฉีดกลโู คสใหก้ บั คนไข้ทมี่ อี าการอ่อนเพลยี จะมีผลแตกต่างจากการใหค้ นไข้รับประทานอาหารที่มรี สหวานหรืออาหารจาพวกแป้งอยา่ งไรตอบ การฉีดกลโู คสให้กบั คนไขท้ ี่มีอาการอ่อนเพลยี จะช่วยเพ่ิมปริมาณกลูโคสในเลือดของคนไข้ให้สงู ขึ้นโดยเร็ว ร่างกายสามารถนาไปใช้เป็นแหล่งพลังงานไดท้ นั ที แต่ถ้าคนไขร้ ับประทานอาหารที่มีรสหวานหรืออาหารจาพวกแป้ง อาหารเหลา่ นั้นจะต้องผ่านกระบวนการย่อยให้เป็นกลูโคสเสียก่อน จึงจะนาไปใช้ได้ ทาใหต้ ้องใช้เวลานานกว่า
แบบฝกึ หัด หนา้ 2551. ไขมันชนิดหนง่ึ ประกอบด้วยกรดไขมนั 3 ชนดิ คือ ลอรกิ [CH3(CH2)10COOH] ปาลม์ ติ กิ[CH3(CH2)14COOH] และโอเลอกิ [CH3(CH2)7CH=CH(CH2)7COOH] 1.1 ไขมันชนิดนมี้ สี ูตรโครงสร้างอย่างไรตอบ สูตรโครงสร้างเป็นดังน้ี OCH2 O C (CH2)10CH3 OCH O C (CH2)14CH3 O CH2 O C (CH2)7CH=CH(CH2)7CH3 1.2 จงเขยี นสมการแสดงการสงั เคราะห์ไขมันชนดิ น้ีตอบ สมการเป็นดงั นี้ OCH2 OH CH3(CH2)10COOH CH2 O C (CH2)10CH3 + 3H2OCH OH + CH3(CH2)14COOH O CH O C (CH2)14CH3 OCH2 OH CH3(CH2)7CH=CH(CH2)7COOH CH2 O C (CH2)7CH=CH(CH2)7CH3 1.3 จงเขียนสมการแสดงปฏิกิริยาสะปอนนฟิ เิ คชนั ของไขมนั ในสารละลาย NaOHตอบ สมการเป็นดังน้ี OCH2 O C (CH2)10CH3 CH2 OH CH3(CH2)10COONa OCH O C (CH2)14CH3 + 3NaOH CH OH + CH3(CH2)14COONa OCH2 O C (CH2)7CH=CH(CH2)7CH3 CH2 OH CH3(CH2)7CH=CH(CH2)7COONa ไขมัน กลีเซอรอล สบู่
1.4 ถา้ นาสบูท่ ่ีเกิดขน้ึ จากปฏกิ ริ ยิ าสะปอนนิฟิเคชันไปละลายในนา้ กระด้างทม่ี ี Ca2+ และ Mg2+ละลายอยู่ จะมีสารใดเกิดขึ้น มีสูตรโครงสร้างอยา่ งไรตอบ เกิดไคลสบู่ คอื เกลอื แคลเซียมของกรดไขมนั และเกลือแมกนีเซียมของกรดไขมันลอยอยบู่ นผวิ นา้ มสี ตู รโครงสรา้ งตา่ ง ๆ ดงั นี้(CH3(CH2)10COO)2Ca (CH3(CH2)14COO)2Ca (CH3(CH2)7CH=CH(CH2)7COO)2Ca(CH3(CH2)10COO)2Mg (CH3(CH2)14COO)2Mg (CH3(CH2)7CH=CH(CH2)7COO)2Mg2. ผลการทดลองฟอกจางสีสารละลายโบรมีน โดยการหยดสารละลายโบรมนี ลงในน้ามนั หรอืไขมนั ปริมาณเท่ากัน จนสขี องสารละลายโบรมีนไมจ่ างหายไป ไดผ้ ลดังน้ี ไขมันหรือน้ามนั จานวนหยดของสารละลายโบรมีนนา้ มันข้าวโพด 88นา้ มันถว่ั เหลือง 95นา้ มนั ถั่วลสิ ง 72น้ามนั มะกอก 74น้ามนั หมู 45ไขมันววั 41เนย 39 2.1 เหตใุ ดน้ามนั หรอื ไขมันแตล่ ะชนดิ จงึ ฟอกสีสารละลายโบรมนี ไดไ้ มเ่ ทา่ กันตอบ เพราะนา้ มนั หรือไขมนั แต่ละชนดิ มสี ่วนประกอบท่เี ปน็ กรดไขมนั ไม่อม่ิ ตัวไม่เท่ากนั 2.2 จงเรยี งลาดับนา้ มันหรือไขมนั ตามปริมาณกรดไขมันไมอ่ มิ่ ตวั ที่เปน็ องคป์ ระกอบ โดยเรียงลาดับจากมากไปหาน้อยตอบ เรยี งลาดบั ได้ ดงั น้ี น้ามันถั่วเหลือง > น้ามันข้าวโพด > น้ามนั มะกอก > น้ามนั ถ่ัวลิสง >น้ามันหมู > ไขมันววั > เนย 2.3 จงเปรยี บเทียบปริมาณกรดไขมนั ไม่อ่มิ ตัวในนา้ มันจากพืชและไขมนั จากสัตว์ตอบ น้ามันจากพืชมปี รมิ าณกรดไขมันไม่อมิ่ ตวั เป็นองค์ประกอบมากกวา่ ไขมันจากสัตว์3. ในบทบาทของผู้บริโภค นกั เรียนจงให้เหตผุ ลในการเลอื กบรโิ ภค 3.1 ชนดิ ของไขมันและน้ามัน
ตอบ เลอื กบรโิ ภคนา้ มนั พชื เนื่องจากน้ามันพืชมีปริมาณกรดไขมันไม่อ่ิมตัวสูง และมีปริมาณกรดไขมันอิ่มตัวต่ากว่าไขมันจากสัตว์ ทาให้ลดอัตราความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด3.2 ชนิดของผงซักฟอกตอบ เลือกใช้ผงซักฟอกชนิดอ่อน(LAS) เนื่องจากประกอบด้วยเกลือซัลโฟเนตท่ีมีโครงสร้างเป็นโซ่ตรง สามารถยอ่ ยสลายไดโ้ ดยจลุ นิ ทรีย์ ทาให้ไม่ตกค้างในสงิ่ แวดล้อม ไมท่ าใหเ้ กดิ ภาวะมลพิษ4. การประกอบอาหารประเภททอดท่ีใช้เวลานาน ๆ นักเรียนคิดว่าควรเลือกน้ามันที่ใช้ในการทอดอยา่ งไร อธิบายตอบ การทอดที่ใช้ความร้อนสูงและใช้เวลานาน ควรเลือกใช้น้ามันท่ีมีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัวไม่มากนัก เนื่องจากกรดไขมันไม่อิ่มตัวมีตาแหน่งพันธะคู่ซึ่งว่องไวในการเกดิ ปฏิกิรยิ า เมอ่ื ถูกความร้อนเปน็ เวลานาน ๆ กรดไขมนั ไม่อ่ิมตัวจะถูกเปลี่ยนไปเป็นสารอื่นที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น สารท่ีก่อให้เกิดมะเร็ง ดังนั้นน้ามันที่เหลือจากการทอดแต่ละครั้งจึงควรท้ิงไป ไมค่ วรนากลบั มาใช้อกี5. เกลือของกรดไขมันและเกลือของกรดซลั โฟนกิ มีความแตกต่างกนั ในน้ากระด้างอยา่ งไรตอบ เกลือของกรดไขมันเม่ืออยู่ในน้ากระด้างส่วนของคาร์บอกซิเลตไอออน(ไอออนลบ) จะรวมตวั กบั ไอออนบวกในน้ากระด้าง เชน่ Ca2+ และ Mg2+ เกิดเปน็ ไคลสบู่ ทาให้ไม่สามารถละลายคราบไขมันในสิ่งสกปรกได้ ส่วนเกลือของกรดซัลโฟนิก ซัลโฟเนตไอออนไม่รวมตัวกับไอออนบวกในน้ากระด้าง ทาให้ยังคงประสทิ ธิภาพในการกาจดั คราบสง่ิ สกปรก6. จงบอกความแตกต่างระหวา่ งโครงสรา้ งของไตรกลเี ซอไรดแ์ ละฟอสโฟลิพิดตอบ ไตรกลีเซอไรด์เป็นเอสเทอร์ของกลีเซอรอล ใน 1 โมเลกุลของไตรกลีเซอไรด์เกิดจากการรวมตัวของกลีเซอรอล 1 โมเลกุลกับกรดไขมัน 3 โมเลกุล ส่วนฟอสโฟลิพิดเป็นเอสเทอร์ของกลเี ซอรอลเช่นเดียวกัน แต่ฟอสโฟลิพิด 1 โมเลกุล เกิดจากการรวมตัวของกลีเซอรอล 1 โมเลกุลกับกรดไขมัน 2 โมเลกุลและหมู่ฟอสเฟต 1 หมู่7. กรดไขมันท่ีมีสูตรโครงสร้างต่อไปน้ี A : CH3(CH2)14COOH B : CH3(CH2)16COOH C : CH3(CH2)6CH=CH(CH2)6COOH D : CH3(CH2)7CH=CH(CH2)7COOH E : CH3(CH2)4CH=CH(CH2)2CH=CH(CH2)4COOH7.1 กรดไขมนั ใดเปน็ กรดไขมนั อิม่ ตวั และไมอ่ ม่ิ ตัวตอบ กรดไขมันอ่มิ ตวั คอื A และ B กรดไขมนั ไม่อม่ิ ตัว คอื C D และ E
7.2 กรดไขมันใดมสี ถานะเป็นของเหลวท่ีอณุ หภูมิห้อง เพราะเหตุใดตอบ กรดไขมัน C D และ E เน่ืองจากเป็นกรดไขมันไม่อ่ิมตัว ซ่ึงส่วนใหญ่กรดไขมันไม่อิ่มตัวจะมีจดุ หลอมเหลวต่ากว่าอุณหภูมหิ อ้ ง 7.4 จงเรยี งลาดับจุดหลอมเหลวของกรดไขมันทง้ั 5 ชนิดจากมากไปหานอ้ ยตอบ เรยี งลาดับ ดังน้ี B > A > D > C > E8. นิวคลีโอไทด์ประกอบด้วยหน่วยย่อยอะไรบ้าง และนิวคลีโอไทด์ของ DNA และ RNA เหมือนหรือแตกต่างกนั อย่างไรตอบ นิวคลีโอไทด์ประกอบด้วยหน่วยย่อย 3 ส่วน คือ น้าตาลเพนโทส เบสที่มีไนโตรเจนในโมเลกุลและหมู่ฟอสเฟต นิวคลีโอไทด์ของ DNA และ RNA ประกอบด้วยหน่วยย่อย 3 ส่วนเหมือนกัน แต่มีน้าตาลและเบสบางชนิดท่ีเป็นองค์ประกอบต่างกัน โดย DNA ประกอบด้วยน้าตาลดีออกซีไรโบสและเบสไซโตซีน ไทมีน อะดินีน และ กวานีน ส่วน RNA ประกอบด้วยนา้ ตาลไรโบสและเบสยรู าซิล ไทมีน อะดนิ ีน และ กวานีน9. จงอธบิ ายเปรยี บเทียบโครงสรา้ งของ DNA และ RNAตอบ โครงสร้างของ DNA ประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์ 2 สาย เช่ือมต่อกันด้วยพันธะไฮโดรเจนโครงสร้างสามมิติจึงมีลักษณะเป็นเกลียวคู่ ส่วนโครงสร้างของ RNA ประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์เพยี งสายเดยี วเทา่ นัน้
Search