51 ข้อสังเกตและจดจำในการเขยี นภาษาไทย ๑. หลักการประวสิ รรชนีย์ในภาษาไทย - คำท่ีขน้ึ ตน้ ดว้ ยกระ/กะ ในภาษาไทยให้ประวสิ รรชนยี ์ เช่น กระเช้า กระเซา้ กระแส กระโปรง กระทรวง กระทะ กระพริบ กะปิ เปน็ ตน้ ๒. คำทเ่ี ป็นคำประสมที่คำหน้ากอ่ นเป็นเสียงอะ ให้ประวสิ รรชนยี ์ - เชน่ ตาวัน เปน็ ตะวนั , ฉนั นนั้ เปน็ ฉะนนั้ , ฉนั น้ี เปน็ ฉะนี้, หมากมว่ ง เป็น มะมว่ ง, สาวใภ้ เปน็ สะใภ้, วับวับ เปน็ วะวบั , เรื่อยเร่อื ย เป็น ระเรอ่ื ย เปน็ ตน้ ๓. คำที่ยืมมาจากภาษาบาลี สันสกฤต ตัวท้ายที่ออกเสียง อะ ต้องประวิสรรชนีย์ - เ ช ่ น ศ ิ ล ป ะ ม ร ณ ะ ส า ธ า ร ณ ะ ว า ร ะ เ ป ็ น ต้ น ๔ . ค ำ ท ี ่ พ ย ั ญ ช น ะ ต ้ น อ อ ก เ ส ี ย ง อ ะ แ ต ่ ไ ม ่ ใ ช ่ อ ั ก ษ ร น ำ ต ้ อ ง ป ร ะ ว ิ ส ร ร ช ณ ี ย์ - เชน่ ขะมกุ ขะมอม ขะมักเขม้น ทะเล่อทะล่า เป็นตน้ ชนดิ ของคำและความหมายของคำ คำนาม (noun) เป็นคำที่ใช้เป็นประธานหรือกรรมของประโยค บางทีก็ใช้ขยายคำนามด้วยกันได้ (มักจะ หมายถึงวัสดทุ ่ใี ช้ทำ) เชน่ ขวานทองคำ leather bag คำสรรพนาม (pronoun) เปน็ คำที่ใช้แทนคำนามในประโยค เมื่อคำนามนนั้ ถูกกล่าวถงึ หรือเป็นท่ีรู้กันอยู่ แลว้ เช่น ฉนั คณุ he she it คำกริยา (verb) เป็นคำหลักของภาคแสดงในประโยค ใชบ้ อกถงึ ทา่ ทาง อาการและสภาพของสง่ิ ตา่ งๆ เช่น เดิน หนาว have คำวิเศษณ์ หรือ คำคุณศัพท์ (adjective) เป็นคำที่ใช้ขยายความของคำต่างๆ เช่น ฉันหิวมาก the beautiful day คำบุพบท (preposition) เป็นคำที่ใช้เชื่อมคำนามกับคำนาม และแสดงความสัมพันธ์ของคำนามนั้น เช่น กระเปา๋ ของ ฉนั the revolution in 2006 คำสันธาน (conjunction) เป็นคำที่เชื่อมประโยคกบั ประโยค ให้กลายเป็นประโยคความรวมหรอื ประโยค ความซอ้ น เช่น เพราะฉะน้ัน therefore คำอทุ าน (interjection) เปน็ คำทีเ่ สรมิ ขนึ้ มาในประโยค เพือ่ ให้ประโยคมอี รรถรสยง่ิ ขึน้ เชน่ โอโ้ ห อมื ในภาษาอืน่ ๆ อาจมีคำประเภทอนื่ นอกเหนือจากทีก่ ล่าวไว้แลว้ ขา้ งต้น เช่น คำกรยิ าวเิ ศษณ์ (adverb) เป็นคำขยายคลา้ ยกับคำวเิ ศษณ์ แตข่ ยายเฉพาะคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ด้วยกัน เทา่ น้นั เช่น generally continuously หลักการเขียนสะกดคำ
52 ๑. ตั้งใจฟังคำที่ครูบอกให้ชัดเจน โดยนึกถึงความหมายของคำควบคู่กันไปด้วย เพื่อจะได้เขียนได้อย่าง ถกู ต้อง ๒. เขียนตัวหนังสือให้ชัดเจน เช่น อย่าให้หัวขาด หยักให้ถูกที่ อย่าเขียนลายมือติดกัน ซึ่งจะทำให้ ตัวอักษรคล้ายกนั ๓. เขียนหนงั สือตามหลักตวั อักษรไทย วางเคร่อื งหมาย สระ และวรรณยกุ ต์ใหถ้ กู ที่ ๔. อย่าเขียนหนังสอื เล่นหาง หรือเขยี นตวั หนงั สือเหมือนในหนงั สือการต์ ูน ๕. เขยี นใหล้ ายมอื สมำ่ เสมอ อย่าใหโ้ ยไ้ ปหนา้ บา้ งหลงั บา้ ง ๖. อยา่ เขยี นตวั เล็กเกินไป อา่ นแล้วปวดสายตา ๗. อย่าเขียน ลบ ขีด ฆา่ สกปรก นอกจากดไู มง่ ามแลว้ ยังแสดงถึงการทำงานไมเ่ ปน็ ระเบียบเรียบร้อย อกี ด้วย ๘. ควรเขียนดว้ ยหมึกสเี ข้ม สที ่ีนยิ มกนั ว่าสุภาพ คอื “ สีน้ำเงนิ ” อยา่ ใหห้ มึกจางทำใหอ้ ่านไม่ชัด ๙. เว้นช่องไฟ ( เว้นระยะระหว่างตัวอกั ษร ) ใหเ้ ทา่ กัน ๑๐. เขยี นสะกดการนั ต์ ให้ถกู ตอ้ งตามพจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ๑๑. เม่ือเขยี นเสร็จแลว้ ก่อนสง่ ครตู รวจต้องตรวจทานดูความถกู ต้องท้ังหมดอกี ครัง้ หน่งึ กอ่ นเสมอ ๑๒. การประอกั ษร คำหรอื พยางค์ จะประกอบด้วย เสียงพยัญชนะ เสยี งสระ เสียงวรรณยกุ ต์ เป็นอย่าง น้อย ซึง่ มวี ธิ กี ารเขยี นได้ ๔ วธิ ี ๑๒.๑. การประสมสามส่วน ประกอบด้วย พยัญชนะต้น สระ และวรรณยุกต์ อาจเป็น วรรณยุกต์มีรูป หรอื ไม่มรี ปู กไ็ ด้ ๑๒.๒. การประสมสี่ส่วน ประกอบด้วย พยัญชนะตน้ สระ พยัญชนะทา้ ยพยางค์ และวรรณยกุ ต์ ๑๒.๓. การประสมสีส่ ว่ นพเิ ศษ ประกอบด้วย พยญั ชนะต้น สระ พยญั ชนะทา้ ยพยางค์ ท่ีไม่ออกเสียงหรือ ตัวการันต์ และวรรณยุกต์ ๑๒.๔. การประสมหา้ สว่ น ประกอบด้วย พยญั ชนะตน้ สระ พยัญชนะท้ายพยางค์ พยญั ชนะทา้ ยพยางค์ ท่ีไม่ออกเสยี งหรือตวั การนั ต์ และวรรณยกุ ต์ ๑๓. ตวั อยา่ งการเขียนคำภาษาไทย ๑๓.๑ คำที่ประวิสรรชนยี ์ และไมป่ ระวิสรรชนยี ์ ๑๓.๑.๑. พยางค์ท้ายคำที่มีเสียง อะ จะต้องประวิสรรชนีย์ด้วย เช่น ธุระ สุขะ ศิลปะ พละ วรรณะ สาธารณะ ฯ
53 ๑๓.๑.๒. คำไทยแท้ส่วนมาก ประวิสรรชนีย์ ตรงพยางค์ที่ออกเสียง อะ เต็มมาตรา เช่น กะทัดรัด กะทนั หัน กะละมงั ขะมกั เขมน้ คะแนน มะละกอ สะอาด สะดวก สะเทือน อะล้มุ อลว่ ย ฯ ๑๓.๑.๓. คำที่มีอักษรควบกบั ร เมอื่ ออกเสียง อะ ส่วนมากประวิสรรชนีย์ เช่น กระเบียดกระเสียร ตระกลู ฯ ๑๓.๑.๔. พยางค์ที่ออกเสียง อะ ซึ่งกร่อนมาจากคำอื่น ส่วนมากประวิสรรชนีย์ ๑๓.๑.๕. คำที่มาจากภาษาบาลี สันสกฤต ไม่ต้องประวสิ รรชนีย์ ตรงพยางค์ที่ออกเสียง อะ ถึงแม้ จะออกเสียง อะ เตม็ มาตรา และ ไม่ใช่พยางคท์ า้ ยคำ ๑๓.๑.๖. คำที่ออกเสียง อะ ไมเ่ ตม็ มาตรา หรือคำที่เป็นอักษรนำ ไม่ต้องประวสิ รรชนยี ์ ตรงพยางค์ ที่ออกเสียง อะ เช่น ขโมย ขมุกขมัว เฉพาะ ฉบับ ชนวนน ชนิด ชนัก ชวา ทลาย ทแยง เสบียง สบู่ สไบ สกัด ฯ ๑๓.๒. การใช้ บัน บรร ๑๓.๒.๑ บัน- ใช้เป็นพยางคห์ นา้ ของคำบางคำ เช่น บนั ดาล บันได บนั ทึก บนั เทิง บนั ลือ ๑๓.๒.๒ บรร- ใชเ้ ป็นพยางคห์ นา้ ของคำซ่งึ แผลงมาจาก ๑๓.๓. การใช้ อำ- อำม- อัม- มหี ลกั การใช้ดงั นี้ การสรา้ งคำในภาษาไทย คำที่ใช้ในภาษาไทยดั้งเดมิ สว่ นมากจะเป็นคำพยางคเ์ ดียว เชน่ พีน่ ้อง เดือนดาว จอบไถ หมหู มา กิน นอน ดี ช่ัว สอง สาม เป็นต้น เมือ่ โลกวิวฒั นาการ มีสิ่งแปลกใหม่เพิม่ ขนึ้ ภาษาไทยก็จะตอ้ งพฒั นาทง้ั รูปคำและการเพ่ิมจำนวนคำ เพอ่ื ให้มคี ำใชใ้ นการส่อื สาร ให้เพียงพอ กบั การเปล่ยี นแปลงของวัตถุส่งิ ของและเหตกุ ารณต์ ่าง ๆ ด้วยการสร้างคำ ยืมคำ แบบสร้างคำ คือ วธิ ีการนำอกั ษรมาประสมเป็นคำเกิดความหมายและเสียงของแตล่ ะ พยางค์ ใน ๑ คำ จะตอ้ ง มสี ่วนประกอบ ๓ สว่ น เป็นอย่างน้อย คือ สระ พยญั ชนะและวรรณยกุ ต์ อย่างมากไม่ เกนิ ๕ สว่ น คอื สระ พยัญชนะ วรรณยกุ ต์ ตัวสะกด ตวั การนั ต์ รปู แบบของคำ คำไทยท่ใี ช้อยูป่ ัจจุบันมีทัง้ คำทเี่ ป็นคำไทยดงั้ เดมิ คำทม่ี าจากภาษาต่างประเทศ คำศพั ท์เฉพาะ ทางวชิ าการคำทใ่ี ช้เฉพาะในภาษาพูด คำชนดิ ต่าง ๆ เหล่านีม้ ชี อื่ เรียกตามลกั ษณะและ แบบสรา้ งของคำ เชน่ คำมลู คำประสม คำสมาส คำสนธิ คำพอ้ งรูป คำพ้องเสยี ง คำเหล่าน้มี ีลักษณะพิเศษเฉพาะ ผ้เู รียนจะเขา้ ใจลักษณะแตกต่างของคำเหลา่ นี้ไดจ้ ากแบบสรา้ งของคำ ความหมายและแบบสร้างของคำชนิดต่าง ๆ คำมลู คำมูล คอื คำ ๆ เดียวท่ีมิได้ประสมกับคำอน่ื อาจมี ๑ พยางค์ หรือหลายพยางคก์ ็ได้แต่
54 ่เม่ือแยกพยางคแ์ ล้วแต่ละพยางค์ไมม่ คี วามหมาย คำภาษาไทยท่ใี ชม้ าแต่เดมิ ส่วนใหญ่ เป็นคำมูลทีม่ ีพยางคเ์ ดยี วโดด ๆ เชน่ พ่อ แม่ กนิ เดนิ คำประสม คอื คำที่สรา้ งข้นึ ใหมโ่ ดยนำคำมูลตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาประสมกัน เกดิ เป็นคำใหม่ข้ึนอกี คำหน่ึง ๑. เกิดความหมายใหม่ ๒. ความหมายคงเดมิ ๓. ความหมายให้กระชบั ขึน้ ชนิดของคำประสม การนำคำมูลมาประสมกนั เพือ่ ใหเ้ กิดคำใหม่ขน้ึ เรียกว่า “คำประสม” น้ัน มวี ธิ ีสร้างคำ ตามแบบสรา้ ง อยู่ ๕ วิธดี ว้ ยกัน คอื ๑. คำประสมที่เกดิ จากคำมูลท่มี ีรปู เสียง และความหมายต่างกัน เมอ่ื ประสมกนั เกิดเปน็ ความหมายใหม่ ไมต่ รงกบั ความหมายเดมิ คำประสมชนดิ นี้มมี ากมาย เช่น แมค่ รวั ลูกเรอื พอ่ ตา มือลงิ ลกู นำ้ ลกู นอ้ ง ปากกา ๒. คำประสมทีเ่ กดิ จากคำมูลทีม่ ีรูป เสยี ง และความหมายตา่ งกัน เมอ่ื ประสมกนั แลว้ เกดิ ความหมายใหม่แต่ ยงั คงรักษาความหมายของคำเดมิ แต่ละคำได้ ๓. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง ความหมายเหมือนกัน เมื่อประสมแล้วเกิด ความหมายต่างจากความหมายเดิมเล็กน้อย อาจมีความหมายทางเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ การเขียนคำประสมแบบนี้จะใช้ไม้ยมก (ๆ) เตมิ ขา้ งหลงั ๔. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูปและเสียงต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกัน เมื่อนำ มาประสมกนั แลว้ ความหมายไม่เปลีย่ นไปจากเดมิ เช่น ๕. คำประสมท่ีเกดิ จากคำมูลท่มี ีรูป เสยี ง และความหมายต่างกัน เม่ือนำมาประสมจะตัด พยางค์หรือย่นพยางค์ใหส้ ้นั เขา้ คำสมาส คำสมาสเป็นวธิ สี รา้ งคำในภาษาบาลีและสนั สกฤต โดยนำคำต้ังแต่ ๒ คำข้นึ ไปมาประกอบ กนั คล้ายคำประสม แต่คำท่นี ำมาประกอบแบบคำสมาสนั้น นำมาประกอบหน้าศัพท์ การแปล คำสมาสจงึ แปลจากข้างหลงั มาขา้ งหนา้ การนำคำมาสมาสกัน อาจเป็นคำบาลีสมาสกับบาลี สันสกฤตสมาสกับสันสกฤต หรอื บาลี สมาสกับสนั สกฤตกไ็ ด้ ในบางครงั้ คำประสมทเี่ กิดจากคำไทยประสมกบั คำบาลีหรอื คำสันสกฤตบางคำ มีลกั ษณะ
55 คลา้ ยคำสมาสเพราะแปลจากข้างหลังมาขา้ งหนา้ เชน่ ราชวงั แปลว่า วงั ของพระราชา อาจจดั ว่าเป็นคำสมาสได้ ส่วนคำประสมที่มีความหมายจากข้างหน้าไปข้างหลงั และมิไดท้ ำให้ ความหมาย ผดิ แผกแม้คำนัน้ ประสมกบั คำบาลหี รอื สนั สกฤตก็ถือวา่ เปน็ คำประสม เช่น มูลค่า ทรพั ย์สนิ เป็นตน้ การเรียงคำตามแบบสร้างของคำสมาส ๑. ถา้ เปน็ คำทม่ี าจากบาลีและสันสกฤต ใหเ้ รียงบทขยายไวข้ า้ งหน้า เชน่ อทุ กภัย หมายถึง ภัยจากน้ำ อายขุ ยั หมายถงึ สน้ิ อายุ ๒. ถ้าพยางค์ท้ายของคำหนา้ ประวสิ รรชนีย์ ให้ตัดวสิ รรชนยี อ์ อก เช่น ธุระ สมาสกับ กจิ เป็น ธรุ กจิ พละ สมาสกบั ศึกษา เปน็ พลศึกษา ๓. ถ้าพยางค์ท้ายของคำหนา้ มีตวั การันต์ให้ตัดการัตน์ออกเมอื่ เข้าสมาส เชน่ ทัศน์ สมาสกบั ศกึ ษา เป็น ทัศนศกึ ษา แพทย์ สมาสกับ สมาคม เปน็ แพทยสมาคม ๔. ถา้ คำซ้ำความ โดยคำหน่ึงไขความอีกคำหน่ึง ไม่มีวิธเี รยี งคำท่ีแนน่ อน เชน่ นร (คน) สมาสกับ ชน (คน) เปน็ นรชน (คน) วิถี (ทาง) สมาสกับ ทาง (ทาง) เปน็ วิถีทาง (ทาง) คช (ชา้ ง) สมาสกับ สาร (ช้าง) เป็น คชสาร (ช้าง) การอา่ นคำสมาส การอา่ นคำสมาสมหี ลกั อยวู่ า่ ถ้าพยางค์ทา้ ยของคำลงท้ายด้วย สระอะ, อิ, อุ เวลาเขา้ สมาสให้อา่ นออกเสียง อะ อิ อุ นั้นเพยี งคร่ึงเสียง ข้อสังเกต ๑. มีคำไทยบางคำ ทคี่ ำแรกมาจากภาษาบาลีสันสกฤต สว่ นคำหลงั เปน็ คำไทย คำเหลา่ นี้ ไดแ้ ปลความหมาย ตามกฎเกณฑข์ องคำสมาส แตอ่ ่านเหมือนกับวา่ เปน็ คำสมาส ทง้ั นี้ เป็นการอา่ นตามความนยิ ม ๒. โดยปกตกิ ารอ่านคำไทยท่มี ีมากกวา่ ๑ พยางค์ มักอ่านตรง แตม่ คี ำไทยบางคำท่ีเราอา่ นออกเสยี งตวั สะกด ด้วย ทง้ั ทเี่ ปน็ คำไทยมิใช่คำสมาส คำสนธิ การสนธิ คือ การเชอื่ มเสยี งใหก้ ลมกลืนกันตามหลกั ไวยกรณบ์ าลีสันสกฤต เปน็ การเชื่อม อักษรใหต้ ่อเน่อื งกัน เพือ่ ตดั อักษรให้น้อยลง ทำใหค้ ำพูดสละสลวย นำไปใช้ประโยชนใ์ นการแตง่ คำประพนั ธ์ คำสนธิ เกิดจากการเชือ่ มคำในภาษาบาลแี ละสนั สกฤตเทา่ น้ัน ถ้าคำท่นี ำมาเช่อื มกัน ไม่ใช่ภาษาบาลสี ันสกฤต ไมถ่ ือวา่ เปน็ สนธิ เช่น กระยาหาร มาจากคำ กระยา + อาหาร ไม่ใชส่ นธิ เพราะ กระยาเปน็ คำไทยและถงึ แม้วา่ คำท่ี นำมารวมกนั แต่ไมไ่ ดเ้ ชื่อมกัน เปน็ เพยี งประสมคำเท่าน้ัน กไ็ มถ่ ือวา่ สนธิ แบบสรา้ งของคำสนธทิ ใ่ี ช้ในภาษาบาลีและ สันสกฤต มอี ยู่ ๓ ประเภท คอื
56 ๑. สระสนธิ ๒. พยญั ชนะสนธิ ๓. นิคหติ สนธิ สำหรับการสนธิในภาษาไทย สว่ นมากจะใชแ้ บบสรา้ งของสระสนธิ แบบสร้างของคำสนธทิ ใี่ ชใ้ นภาษาไทย ๑. สระสนธิ การสนธิสระทำได้ ๓ วิธี คอื ๑.๑ ตดั สระพยางค์ทา้ ย แล้วใชส้ ระพยางคห์ นา้ ของคำหลังแทน เช่น มหา สนธกิ ับ อรรณพ เปน็ มหรรณพ นร สนธิกับ อนิ ทร์ เปน็ นรินทร์ ปรมะ สนธิกับ อนิ ทร์ เป็น ปรมนิ ทร์ รตั นะ สนธกิ ับ อาภรณ์ เป็น รตั นาภรณ์ วชริ สนธกิ บั อาวุธ เปน็ วชิราวุธ ฤทธิ สนธิกบั อานุภาพ เป็น ฤทธานุภาพ มกร สนธิกับ อาคม เป็น มกราคม ๑.๒ ตดั สระพยางค์ท้ายของคำหนา้ แล้วใช้สระพยางค์หนา้ ของคำหลงั แตเ่ ปลยี่ นรูป อะ เป็น อา อิ เปน็ เอ อุ เปน็ อู หรือ โอ ตวั อยา่ งเชน่ เปลี่ยนรปู อะ เปน็ อา เทศ สนธิกบั อภิบาล เป็น เทศาภบิ าล ราช สนธิกบั อธิราช เป็น ราชาธริ าช ประชา สนธกิ ับ อธปิ ไตย เปน็ ประชาธิปไตย จุฬา สนธกิ บั อลงกรณ์ เปน็ จฬุ าลงกรณ์ เปลีย่ นรูป อิ เป็น เอ นร สนธิกับ อศิ วร เปน็ นเรศวร ปรม สนธกิ บั อนิ ทร์ เป็น ปรเมนทร์ คช สนธิกบั อินทร์ เป็น คเชนทร์ เปล่ยี นรปู อุ เป็น อู หรือ โอ ราช สนธิกบั อุปถัมภ์ เป็น ราชูปถัมภ์ สาธารณะ สนธิกับ อุปโภค เปน็ สาธารณูปโภค วิเทศ สนธกิ บั อบุ าย เปน็ วิเทโศบาย
57 สขุ สนธิกบั อทุ ยั เป็น สโุ ขทยั นย สนธกิ บั อุบาย เป็น นโยบาย ๑.๓ เปลย่ี นสระพยางคท์ ้ายของคำหนา้ อิ อี เปน็ ย อุ อู เป็น ว แลว้ ใชส้ ระ พยางค์หนา้ ของ คำหลังแทน เช่น เปล่ยี น อิ อี เป็น ย มต ิ สนธิกบั อธิบาย เปน็ มตั ยาธิบาย รังสี สนธกิ ับ โอภาส เปน็ รงั สโยภาส, รังสิโยภาส สามัคคี สนธิกับ อาจารย์ เปน็ สามคั ยาจารย์ เปล่ียน อุ อู เปน็ ว สินธุ สนธกิ บั อานนท์ เป็น สนิ ธวานนท์ จกั ษุ สนธกิ บั อาพาธ เป็น จกั ษวาพาธ ธนู สนธิกบั อาคม เป็น ธันวาคม ๒. พยญั ชนะสนธิ พยญั ชนะสนธใิ นภาษาไทยมนี อ้ ย คือเมื่อนำคำ ๒ คำมาสนธิกัน ถา้ หากวา่ พยัญชนะ ตัวสดุ ท้าย ของคำหน้ากบั พยัญชนะตวั หน้าของคำหลงั เหมือนกนั ให้ตดั พยัญชนะท่เี หมอื นกนั ออกเสยี ตวั หนงึ่ ๓. นคิ หติ สนธิ นิคหิตสนธิในภาษาไทย ใชว้ ธิ เี ดยี วกบั วธิ สี นธิในภาษาบาลแี ละสันสกฤต คอื ใหส้ งั เกต พยญั ชนะตวั แรกของคำหลังว่าอยใู่ นวรรคใด แลว้ แปลงนคิ หิตเปน็ พยัญชนะตัวสดุ ท้ายของวรรคนน้ั คำแผลง คำแผลง คือ คำท่ีสรา้ งขึ้นใช้ในภาษาไทยอกี วิธีหน่งึ โดยเปลย่ี นแปลงอกั ษรที่ประสมอยู่ใน คำไทยหรอื คำที่มาจากภาษาอน่ื ให้ผิดไปจากเดิม ดว้ ยวิธตี ดั เติม หรือเปลย่ี นรูป แต่ยงั คงรักษา ความหมายเดมิ หรือเคา้ ความเดมิ อยู่ แบบสรา้ งของการแผลงคำ การแผลงคำทำได้ ๓ วิธี คือ ๑. การแผลงสระ ๒. การแผลงพยัญชนะ ๓. การแผลงวรรณยุกต์ ๑. การแผลงสระ เป็นการเปลีย่ นรปู สระของคำนัน้ ๆ ให้เปน็ สระรูปอืน่ ตวั อยา่ ง คำเดมิ คำแผลง คำเดิม คำแผลง ชยะ ชัย สายดือ สะดือ โอชะ โอชา สุริยะ สรุ ยี ์
58 วชิระ วเิ ชยี ร ดริ จั ฉาน เดรัจฉาน พัชร เพชร พจิ ติ ร ไพจติ ร คะนึง คำนึง พชี พชื ครหะ เคราะห์ กรี ติ เกยี รติ ชวนะ เชาวน์ สุคนธ์ สุวคนธ์ สรเสรญิ สรรเสริญ ยุวชน เยาวชน ทูรเลข โทรเลข สภุ า สุวภา ๒. การแผลงพยัญชนะ การแผลงพยญั ชนะกเ็ ชน่ เดียวกับการแผลงสระ คือ ไมม่ กี ฎเกณฑต์ ายตวั เกิดจาก ความเจริญของภาษา การ แผลงพยัญชนะเป็นการเปลยี่ นรูปพยัญชนะตวั หนง่ึ ให้เป็นอีกตวั หนงึ่ หรอื เพ่มิ พยัญชนะลงไปให้เสียงผดิ จากเดิม หรอื มีพยางคม์ ากกวา่ เดิม หรือตัดรปู พยญั ชนะ การศึกษาทมี่ าของถอ้ ยคำเหล่านีจ้ ะช่วยให้เขา้ ใจความหมายของคำ ไดถ้ กู ต้อง ตวั อย่าง คำเดิม คำแผลง คำเดิม คำแผลง กราบ กำราบ บวช ผนวช เกิด กำเนิด ผทม ประทม, บรรเทา ขจาย กำจาย เรยี บ ระเบยี บ แขง็ กำแหง, คำแหง แสดง สำแดง คูณ ควณ, คำนวณ, คำนณู พร่ัง สะพรงั่ เจยี ร จำเนยี ร รวยรวย ระรวย เจาะ จำเพาะ, เฉพาะ เชิญ อัญเชิญ เฉียง เฉลียง, เฉวียง เพญ็ บำเพญ็ ช่วย ชำร่วย ดาล บันดาล ตรยั ตำรับ อัญชลี ชล,ี ชลุ ี ถก ถลก อบุ าสิกา สกี า ๓. การแผลงวรรณยุกต์ การแผลงวรรณยุกต์ การแผลงวรรณยกุ ตเ์ ปน็ การเปล่ยี นแปลงรูป หรอื เปล่ียนเสียงวรรณยุกต์ เพือ่ ให้เสยี งหรอื รปู วรรณยกุ ตผ์ ิดไปจากเดิม ตัวอยา่ ง
59 คำเดมิ คำแผลง คำเดมิ คำแผลง เพยี ง เพย้ี ง พุทโธ พทุ โธ่ เสนหะ เสนห่ ์ บ บ่ คำซ้ำ คำซำ้ คอื การสร้างคำด้วยการนำคำทีม่ ีเสยี ง และความหมายเหมือนกันมาซำ้ กนั เพอ่ื เปลย่ี น แปลงความหมาย ของคำนั้นให้แตกตา่ งไปหลายลักษณะ ๑. ความหมายคงเดมิ คือ คำทซ่ี ำ้ กันจะมคี วามหมายคงเดมิ แต่อาจจะใหค้ วามหมายออ่ นลง หรอื ไม่แนใ่ จจะมี ความหมายเท่ากับความหมายเดิม เชน่ ตอนเยน็ ๆ ค่อยมาใหม่นะ รสู้ กึ จะอยแู่ ถว ๆ น้ีละ คำว่า เย็น ๆ และ แถว ๆ ดูจะมคี วามหมาย ออ่ นลง ๒. ความหมายเด่นข้นึ เฉพาะเจาะจงขน้ึ กวา่ ความหมายเดมิ เช่น สอนเทา่ ไหร่ ๆ กไ็ ม่จำ พระเอกคนนี้ ล้อหลอ่ เป็นต้น ๓. ความหมายแยกเปน็ สว่ น ๆ แยกจำนวน เชน่ กรุณาแจกเป็นคน ๆ ไปนะ จา่ ยเปน็ งวด ๆ (ทลี ะงวด) เปน็ ตน้ ๔. ความหมายบอกจำนวนเพ่มิ ข้ึนเป็น เดก็ ๆ ชอบวิง่ เธอทำอะไร ๆ ก็ดูดหี มด เป็นตน้ ๕. ความหมายผดิ ไปจากเดิม เช่น เรอ่ื งหมู ๆ แบบนี้สบายมาก (เร่อื งงา่ ย) รู้เพียงงู ๆ ปลา ๆ เท่าน้ัน (รู้ไม่จรงิ ) เปน็ ต้น คำซ้อน คำซ้อน คอื คำประสมชนดิ หนง่ึ ที่เกิดจากการนำเอาคำตัง้ แต่สองคำขนึ้ ไปซ่งึ มเี สยี ง ต่างกนั แตม่ ีความหมายเหมอื นกันหรือคล้ายคลงึ กนั หรอื เปน็ ไปในทำนองเดียวกันมาซ้อนคู่ กนั เชน่ เลก็ นอ้ ย ใหญ่โต เปน็ ต้น ปกติคำท่ีนำมาซ้อนกันนัน้ นอกจากจะมีความหมายเหมอื นกนั หรอื ใกล้เคยี งกนั แล้ว มักจะมีเสียง ใกล้เคยี งกนั ด้วย เพือ่ ใหอ้ อกเสียงง่าย สะดวกปาก คำทน่ี ำ มาซ้อนแล้วทำให้เกิดความหมายน้นั แบง่ เปน็ ๒ ลกั ษณะ คือ ๑. ซ้อนคำแลว้ มีความหมายคงเดิม คำซ้อนลกั ษณะนจ้ี ะนำคำท่ีมีความหมายเหมือนกัน มาซอ้ นกัน เพอื่ ขยายความซ่งึ กนั และกนั เช่น ข้าทาส รูปร่าง ว่างเปลา่ โงเ่ ขลา เป็นตน้ ๒. ซอ้ นคำแล้วมคี วามหมายเปล่ยี นแปลงไปจากเดิม ๒.๑ ความหมายเชงิ อุปมา คำซ้อนลกั ษณะนจ้ี ะเป็นคำซ้อนทค่ี ำเดมิ มีความหมาย เปน็ รูปแบบเมื่อนำมา ซ้อนกับความหมายของคำซ้อนน้นั จะเปลยี่ นไปเป็นนามธรรม เชน่ ออ่ นหวาน ออ่ นมีความหมายว่าไมแ่ ขง็ เชน่ ไม้ออ่ น หวานมคี วามหมายว่ารสหวาน เช่น
60 ขนมหวาน ออ่ นหวาน มีความหมายวา่ เรียบร้อย นา่ รัก เช่น เธอชา่ งออ่ นหวานเหลอื เกนิ หมายถึง กริ ยิ าอาการทแี่ สดงออก ถึงความเรยี บรอ้ ยนา่ รัก คำอ่ืน ๆ เชน่ คำ้ จนุ เด็ดขาด ยงุ่ ยาก เป็นต้น ๒.๒ ความหมายกว้างออก คำซ้อนบางคำมีความหมายกว้างออกไม่จำกดั เฉพาะ ความหมายเดิมของคำสอง คำที่มาซอ้ นกนั เช่น เจบ็ ไข้ หมายถึง อาการเจ็บป่วยของโรคตา่ ง ๆ และคำว่า พนี่ อ้ ง ถ้วยชาม ทุบตี ฆ่าฟัน เปน็ ตน้ ๒.๓ ความหมายแคบเข้า คำซ้อนบางคำมีความหมายเด่นอยู่คำใดคำหนึง่ ซง่ึ อาจจะเป็นคำหนา้ หรือคำหลงั ก็ได้ เช่น ความหมายเด่นอยคู่ ำหนา้ ใจดำ หวั หู ปากคอ บ้าบอคอแตก ความหมายเดน่ อยูค่ ำหลงั หยบิ ยืม เอร็ดอร่อย นำ้ พกั นำ้ แรง วา่ นอนสอนง่าย เปน็ ตน้ ตวั อยา่ งคำซอ้ น ๒ คำ เช่น บ้านเรือน สวยงาม ขา้ วของ เงินทอง มืดค่ำ อดทน เก่ยี วขอ้ ง เยบ็ เจย๊ี บ ทรพั ยส์ นิ รูปภาพ ควบคุม ป้องกนั ลี้ลับ ซับซอ้ น เป็นตน้ ตวั อย่างคำซ้อนมากกว่า ๒ คำ เช่น ยากดีมจี น เจ็บไข้ได้ป่วย ขา้ วยากหมากแพง เวียนว่ายตายเกดิ ถกู อกถกู ใจ จับไมไ่ ด้ไล่ไมท่ ัน ฉกชงิ วง่ิ ราว เป็นตน้
61 ใบงานท่ี 5 เร่ือง หลกั การใชภ้ าษา วิชา พท 21001 ภาษาไทย ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น ให้ผเู้ รยี น ศึกษาส่อื วีดีโอเรือ่ ง วิชาภาษาไทย ภาษาพูด และภาษาเขยี น และศกึ ษาใบความรเู้ ร่อื งหลักการใช้ ภาษา ให้นกั ผเู้ รียนศกึ ษาส่อื วดี โี อเรือ่ ง หลกั การใช้ภาษา (PART 1) , หลักการใช้ภาษา (PART 2) และศึกษาใบ ความรู้เรอ่ื งหลกั การใช้ภาษา
62 ตอนที่ 1 การใช้ระดบั ภาษาท่ีเป็นทางการและไม่เป็นทางการ 1. ให้ผู้เรียนเขียนประโยคภาษาท่เี ปน็ ทางการ และภาษาไม่เปน็ ทางการ อยา่ งละ 3 ประโยค ภาษาท่ีเปน็ ทางการ 1................................................................................................................................................ 2................................................................................................................................................ 3................................................................................................................................................ ภาษาไมเ่ ป็น ทางการ 1................................................................................................................................................ 2............................................................................................................................................... 3................................................................................................................................................ ตอนท่ี 2 คำส่ัง ใหผ้ ู้เรียนเขียนบอกชนดิ ของประโยคตอ่ ไปนีล้ งในชอ่ งวา่ ง ( บอกเล่า, ปฏเิ สธ, คำถาม, คำสั่ง, ขอร้อง, แสดงความต้องการ) 1. คุณไมอ่ ยากไปเรยี นต่อเมอื งนอกหรอื .................................................................................................................................... 2. ผมอยากดเู ขาเชิดหนงั ตะลุง ............................................................................................................................... 3. อยา่ แตะตอ้ งสง่ิ เสพย์ตดิ ทกุ ชนิด .................................................................................................................................... 4. กรณุ าเออื้ เฟื้อที่นง่ั แก่เด็ก สตรี และคนชรา .................................................................................................................................... 5. บา้ นของป้าเปน็ แหลง่ อนุรกั ษ์ศิลปะหตั กรรมการทำตุ๊กตาไทย .................................................................................................................................... 6. คนรุ่นใหมไ่ มส่ ูบบุหรี่ .................................................................................................................................... 7. จงอย่าทจุ ริตในการสอบ มฉิ ะนัน้ จะปรบั ตกทุกวิชา ...................................................................................................................................
63 ตอนท่ี 3 เรอื่ ง การใชค้ ำและการสรา้ งคำในภาษาไทย จงบอกพยางค์ต่อไปน้ี 1. อนุโมทนา ออกเสียงวา่ ............................................................ 2. ยถากรรม ออกเสียงว่า ............................................................. 3. สวรรค์ ออกเสียงวา่ ............................................................. 4. พรหมจรรย์ ออกเสยี งวา่ ............................................................ 5. วทิ ยาลัย ออกเสียงว่า ........................................................... 6. พราหมณ์ ออกเสยี งว่า .......................................................... 7. พสิ ดาร ออกเสียงวา่ ............................................................ 8. ถลอก ออกเสียงวา่ ........................................................... 9. มหศั จรรย์ ออกเสยี งว่า ........................................................... 10. ศิลปกรรม ออกเสียงวา่ .......................................................
64 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 6 กลุ่มสาระการเรยี นรู้พ้ืนฐาน รายวชิ าภาษาไทย พท 11001 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2563 ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ วรรณคดแี ละวรรณกรรม เวลา 40 ชัว่ โมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้ มคี วามรู้ ความเข้าใจ และทกั ษะพนื้ ฐาน เกย่ี วกับภาษาและการส่ือสาร 2. ตัวช้ีวัด อธบิ ายความแตกต่างและคณุ ค่าของวรรณคดี วรรณกรรมปจั จบุ นั และวรรณกรรมท้องถิ่น 3. สาระสำคญั ซ่งึ หลักการใชภ้ าษาเป็นการนำความรทู้ างภาษามาใช้จริงตามลกั ษณะกฎเกณฑ์ของภาษาไทย ประกอบดว้ ยอักษรไทย พยางค์ คำในมาตราตัวสะกด ชนดิ ของคำ ประโยค และอน่ื ๆ 4. จุดประสงค์ ความรู้ ในบทเรยี นนี้ผเู้ รียนจะสามารถ 1. ผูเ้ รยี นอธิบายความแตกตา่ งและคุณคา่ ของวรรณคดี วรรณกรรมปจั จุบนั และวรรณกรรมทอ้ งถิน่ 5. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ขอ้ ท่ี 3 มีวนิ ัย ข้อท่ี 4 ใฝเ่ รยี นรู้ ข้อที่ 6 มงุ่ ม่ันในการทำงาน ขอ้ ที่ 8 มีจิตสาธารณะ 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ 6.1 ครูนำคลปิ วิดโี อ เรื่อง นนทก ให้ผู้เรยี นดู https://youtu.be/8knB1DyMbxI แลว้ รว่ มกันอภิปราย วรรณกรรมดงั กล่าววา่ มลี กั ษณะอย่างไร และให้ผู้เรยี นบอกความรสู้ ึกท่ีมีต่อคลิปวดิ โี อ นนทก 6.2 แบง่ กล่มุ ตามความเหมาะสม ให้แต่ละกล่มุ ร่วมกนั อภปิ รายตามประเดน็ ตอ่ ไปนี้ 1) หลักการพิจารณาวรรณคดี 2) หลกั การพิจารณาวรรณกรรม 6.3 ใหผ้ เู้ รียนนำเสนอผลการอภปิ รายเปน็ แผนท่ีความคิด 6.4 ผู้เรยี นและผู้สอนรว่ มกนั สรปุ ความแตกตา่ งและคณุ ค่าของวรรณดคแี ละวรรณกรรม 6.5 ผเู้ รยี นสรุป ทำใบงานเร่ือง วรรณคดีและวรรณกรรม และบนั ทึกความรูท้ ่ีไดร้ บั ลงในสมุดบันทึกการ เรียนรู้ 7. การเรียนรู้ต่อเนอ่ื ง (กรต.) จำนวน 34 ชว่ั โมง
65 - การเรยี นรู้ด้วยตนเองใหผ้ ้เู รียนจัดทำรายงานเรอ่ื ง ประวตั คิ วามเป็นมาและเรอ่ื งยอ่ ของวรรณคดสี ุภาษติ พระร่วง 8. สอ่ื อปุ กรณ์ และแหล่งการเรียนรู้ 1. ใบกจิ กรรม 2. หนังสอื ภาษาไทย (พท11011) 9. การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ 9.1 วธิ ีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สังเกตพฤติกรรมการรว่ มกจิ กรรม 9.2 เครื่องมือวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบบสังเกตพฤติกรรมการรว่ มกิจกรรม 9.3 เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ เกณฑก์ ารผา่ นจากการสงั เกตพฤตกิ รรมการร่วมกิจกรรมต้องได้คะแนนอยา่ งนอ้ ยรอ้ ยละ 80 4 = ดมี าก 3 = ดี 2 = พอใช้ 1 = ควรปรับปรงุ
66 10. บนั ทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้ รายวิชา....................................รหัสรายวชิ า.........................สัปดาหท์ ่ี...........วนั ท่ี………เดอื น……………….พ.ศ. 2563 แผนการจดั การเรยี นรูค้ รงั้ ท่.ี .........ชื่อหน่วย……………………………………ระดบั .....................กลมุ่ .............................. 10.1 ผลการจดั การเรียนรู้ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………............................................................................................................................... 10.2 ปญั หาและอปุ สรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ..................................................................................................................................................................... 10.3 แนวทางแกไ้ ข ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ..................................................................................................................................................................... 10.4 ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………. ..................................................................................................................................................................... …………….………………….. ผ้บู ันทึก (…………………………………………) ครู........................... ความคดิ เห็น/ขอ้ เสนอแนะของผ้บู รหิ ารสถานศกึ ษา …………………………………………………………………………………………………………………………………………....…………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………...............…. ……………………………………………………… (นางจิดาภา บวั ทอง) ผอู้ ำนวยการ กศน.อำเภอดอนตูม
67 แบบทดสอบก่อนเรยี น เรื่องวรรณคดแี ละวรรณกรรม คำสง่ั ให้เลอื กคำตอบทถี่ ูกต้องทส่ี ุดเพียงคำตอบเดยี ว 1. ขอ้ ใดคอื ความหมายของวรรณคดี ก. หนงั สอื ดีทใ่ี ช้ศิลปะในการแตง่ สร้างจนิ ตภาพ แสดงความรู้ ความคิด เป็นภาพแทนสงั คม ข. หนังสอื ที่ใช้สภาพปัจจุบนั ในการเล่าเร่ืองเป็นภาพ และการแสดงออกทางอารมณ์ ค. หนงั สือท่ีใชเ้ ร่ืองราวในอดีตบอกเล่าผา่ นเร่ืองราวท่เี กิดข้ึนจริงในสงั คม ง. หนังสือที่ใหแ้ งค่ ดิ ท่ีเป็นการเตอื นใจ บอกเล่าความเปน็ จริงในสังคม 2. ข้อใดคอื หลักการพนิ จิ วรรณคดีและวรรณกรรมจากขอ้ ความข้างตัน ก. ทำความเขา้ ใจเรือ่ ง ข. ตีความ วเิ คราะห์ ค. วิจารณ์ ประเมนิ คา่ ง. ถูกทกุ ข้อ 3. ข้อใดเป็นวรรณคดี ก. แต่งขนึ้ เพอ่ื ให้คุณค่าทางอารมณแ์ ละความรู้สึก ข. แต่งขน้ึ เพื่อมงุ่ เน้นความสนกุ สนาน ค. แต่งขึน้ เพื่อแสดงความคิดเหน็ ง. แตง่ ขน้ึ เพ่ือมุ่งเน้นให้ความรู้ 4. ขอ้ ใดเปน็ รสวรรณคดขี องไทย ก. โวหารภาพพจน์ ข. โวหารอตพิ จน์ ค. บุคลาธิฐาน ง. พิโรธวาธัง 5. เพลงพนื้ บ้านประเภทใดตอ้ งใช้ไหวพริบ ก. ใช้ภาษาธรรมดาไมม่ ีบาลีสันสกฤตปน ข. สอดแทรกแนวคดิ ชดั เจน ค. สะท้องสภาพสงั คม ง. เพลงกล่อมเด็ก
68 6. ขอ้ ใดคือลักษณะเด่นของเพลงพ้นื บ้าน ก. ใชภ้ าษาธรรมดาไมม่ บี าลสี ันสกฤตปน ข. เพลงประกอบการละเล่น ค. เพลงปฏิพากย์ ง. จงั หวะอ่อนน่ิม 7. ขอ้ ใดเปน็ เพลงกล่อมเด็ก ก. มอญซอ่ นผ้า ข. รีรขี า้ วสาร ค. นกขม้นิ ง. ผมเปยี 8. จุดประสงคข์ องเพลงกล่อมเด็กคือขอ้ ใด ก. ใหเ้ กดิ ความสนกุ สนานเพลดิ เพลนิ ข. ให้สบายใจได้นอนหลบั ค. ลอ้ เลยี นให้เด็กอารมณ์ดี ง. ปลอบให้หายตกใจ 9. ขาดเสรจ็ เด็ดกันในวนั น้ี ไมม่ อี าลยั เท่าปลายก้อย ถึงพระอนิ ทรล์ งมาก็อย่าคอย ทวี่ ันทองนั้นจะถอย มาคนื ดีบทรอ้ ยกรองดังกลา่ วใช้ศิลปะการประพนั ธแ์ บบใดอย่างไรจึงจะเหมาะสมที่สดุ ก. เกร้ียวกราด ข. เคยี ดแค้น ค. ประชด ง. ย่วั ลอ้ 10. ข้อใดคือคณุ คา่ ทางปญั ญาของวรรณคดีและวรรณกรรม ก. เป็นประสบการณ์ทางอ้อมใหช้ วี ติ ข. ประเทืองอารมณใ์ หอ้ าหารใจ ค. ให้ความสนกุ สนาน ง. กอ่ ใหเ้ กิดมโนภาพ
69 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เร่อื ง วรรณคดีและวรรณกรรม 1. ก 2. ง 3. ก 4. ง 5. ง 6. ก 7. ค 8. ข 9. ข 10. ก
70 ใบความรู้ที่ 6 เร่ือง วรรณคดีและวรรณกรรม วิชาภาษาไทย พท21001 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น วรรณกรรมทอ้ งถนิ่ 1. ความหมาย วรรณกรรมทอ้ งถ่นิ หมายถงึ วรรณกรรมท่ีปรากฎอย่ใู นท้องถน่ิ ภาคต่าง ๆ ของไทย ท้ังท่เี ป็นลายลกั ษณ์ หรอื มขุ ปาฐะ ซ่งึ แตกตา่ งไปจากวรรณกรรมแบบฉบบั เพราะวรรณกรรมทอ้ งถิน่ น้ันชาวท้องถนิ่ สรา้ งขึน้ มา ชาวทอ้ งถ่ิน ใช้ (อา่ น, ฟัง) และชาวท้องถิ่นเปน็ ผู้อนุรักษ์ โดยมีวัดเปน็ ศูนย์กลาง รูปแบบของฉันทลักษณ์จึงเป็นไปตามความ นิยมของทอ้ งถ่ินนั้น ๆวรรณกรรมท้องถิ่นมีเนื้อหาสาระ และคตินิยมเกีย่ วกับพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจาก คนไทยทุกภาพในอดตี มีคตนิ ยิ มในการสร้างหนงั สือถวายวัด โดยเชือ่ กันวา่ จะได้อานสิ งส์อย่างแรง อีกประการหน่ึง วัดก็เป็นสำนักเล่าเรียนของกุลบุตร กุลธิดาของประชาชน ฉะนั้นการสร้างสรรค์วรรณกรรมท้องถิ่นยังมีส่วนให้ นักเรียนได้ฝึกอ่านหรือทวบทวนนอกเหนือไปจากแบบเรียน (จินดามณี ปฐมมาลา ปฐม ก.กา) ซึ่งส่วนใหญ่เปน็ วรรณกรรมประเภทนทิ านคตธิ รรม 2. ความเปน็ มาของการศึกษาวรรณกรรมท้องถ่นิ การศึกษาวรรณกรรมไทยนัน้ เราจะมาเริม่ ศึกษากัน เม่อื สมยั รชั กาลท่ี 5 กลา่ วคอื มีการจัดต้งั โบราณคดีสโมสร ขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2450 ในครั้งนั้นได้รวบรวม ชำระ ซ่อมแซมวรรณกรรมที่กระจัดกระจาย และมีการพิมพ์ เผยแพร่ ซึ่งเป็นการอนุรักษ์วรรณกรรมโบราณของไทยไว้ได้ส่วนหนึ่ง คณะกรรมการโบราณคดีสโมสรได้ศึกษา รวบรวมวรรณกรรมที่ท่านมีประสบการณ์ คือรู้จักและเคยอ่านสมัยเล่าเรียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวรรณกรรมที่ แพร่หลายอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำคือ ขุนนาง นักปราชญ์ ราชบัณฑิต ส่วนวรรณกรรมที่แพร่หลายอยู่ในกลุ่ม ชาวบา้ น หรือชาววัด หรือในทอ้ งถิ่นที่หา่ งไกล เขา้ ใจว่าทา่ นเหลา่ น้นั คงยงั มไิ ด้ศึกษารวบรวม อีกประการหน่ึงใน ชั่วระยะเวลาอันสั้นที่จัดตั้งโบราณคดีสโมสรนั้น ข้อมูลในส่วนกลางหรือราชสำนัก คงมีมากเกินกว่าที่จะศึกษา รวบรวมในระยะเวลาอันสั้น ในสมัยรัชกาลที่6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้จัดตั้งวรรณคดีสโมสรขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2457 คงจะสืบเนื่องมาจาก โบราณคดีสโมสรนน่ั เอง คณะกรรมการชดุ นไ้ี ดพ้ ยายามท่ีจะจดั จำแนกวรรณกรรม โดยพิจารณาวา่ เป็นระยะเวลาใด ควรแก่การยกยอ่ ง ในสมัยจดั ต้ังวรรณคดีสโมสรนั้นเป็นระยะเวลาไม่นานนักก็สิ้นสมัยรัชกาลท่ี 6 จากน้ันกข็ าดแรง สนับสนนุ การศกึ ษารวบรวมวรรณกรรม จงึ อยู่ในวงจำกัด ยังมไิ ด้ขยายขอบเขตไปศกึ ษาวรรณกรรมที่แพร่หลายอยู่ ในกลมุ่ ชาวบา้ น ชาววดั และวรรณกรรมในท้องถ่ินที่หา่ งไกล หลังจากนั้นเป็นต้นมารวมเวลาประมาณกึ่งศตวรรษ กุลบุตร กุลธิดาชาวไทย ก็ได้ศึกษาเล่าเรียนเฉพาะ วรรณกรรมทไี่ ด้ศึกษารวบรวมชำระกนั ในคร้ังน้ันเท่านนั้ ไม่ปรากฎว่า ไดม้ กี ารศกึ ษาชำระ รวบรวมวรรณกรรมอน่ื ๆ ให้กวา้ งขวางต่อไป วรรณกรรมชาวบ้าน ชาววดั เหล่าน้ันจงึ ถูกทอดทง้ิ มาเปน็ เวลาเนิ่นนาน
71 ต่อมาเมื่อราว พ.ศ. 2502 สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาได้แนวคิดมาจากตะวันตกที่นิยมศึกษาเรื่องราว ทางพื้นบ้าน และเสนอเป็นวิทยากรในหลักสูตรเรียกชื่อว่า Folklore จึงนำวิธีการเหล่านั้นมาจัดเข้าในหลักสูตร ระดับอุดมศึกษา เรยี กชื่อว่า \"คติชาวบ้าน\" บา้ ง \"คตชิ นวิทยา\" บ้าง จากการศึกษาวิชาสาขาคติชนวิทยาน้ัน ทำให้เราทราบถึงแนวคิด คตินิยม ปรัชญาชีวิตของสังคมในท้องถ่ิน ต่างๆ ของไทย ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยต่างไปจากคตินิยม ปรัชญาชีวิตและสังคมของภาคกลางเกือบ สิ้นเชิง ฉะนั้นจึงมีการศึกษาที่ลึกซึ้งลงไป ในเอกสารท้องถิ่นต่างๆ จึงพบว่าในเอกสารท้องถ่ินเหล่านั้น เป็นคลัง ของแนวคิด ค่านิยมของสงั คมทอ้ งถ่นิ อนั แอบแฝงอยใู่ นรูปนทิ านเหล่านั้น ฉะนน้ั จงึ ทำใหน้ กั วชิ าการในสาขาอื่นๆ เริ่มตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของข้อมูลทางคติชนวิทยาโดยเฉพาะวรรณกรรม ประจวบกับ เมื่อช่วงปี พ.ศ. 2510- พ.ศ.2520 นักศึกษาเริ่มมปี ฏกิ ิริยาต่อต้านการศึกษาวรรณคดี โดยมีทัศนคติต่อวรรณคดีทีอ่ ยู่ในหลักสูตร ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษานั้น เป็นวรรณคดีของชนชั้นสูง หรือวรรณกรรมเพื่อรับใช้ศักดิ นา ไม่ก่อให้เกดิ แนวคิดสร้างสรรค์ใดๆ รงั แต่ให้เกิดความเบื่อหน่ายฉะนน้ั เมื่อตอนปลายปี พ.ศ.2519 จึงมีการจัด รายวิชาวรรณกรรมท้องถิ่น ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา ส่วนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มีการเสนอใหอ้ ่านวรรณกรรมท้องถ่นิ ของภาคตา่ ง ๆ เป็นหนงั สอื อา่ นประกอบอยู่บา้ ง 3. ขอ้ แตกต่างระหว่างวรรณกรรมแบบฉบบั กับวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ จากการศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่นของภาคเหนอื ภาคอีสาน ภาคใต้ และภาคกลางแลว้ พบวา่ มรี ูปแบบต่างไป จากวรรณกรรมแบบฉบับอยู่มาก ตามลำดับความใกล้ชิดกับรัฐบาลกลางหรือราชสำนักที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่า พื้นฐานของสงั คม มโนทัศนข์ องกวี ตลอดจนบันทึกสภาพสงั คมในสมัยท่กี ำเนิดวรรณกรรมนัน้ ๆ ตามมโนทศั น์ของ กวี วิทย์ ศิวะศรียานนท์ (2504 : 183) กล่าวว่ากวีคนเดยี วกเ็ ปรียบเหมือน 3 คน คือ นอกจากเป็นผู้แต่งหนังสือ แล้ว ยงั เปน็ หน่วยหน่งึ ของคนรุ่นน้นั และเปน็ พลเมอื งดว้ ย เนื่องจากเหตุน้ี นอกจากจะตอ้ งสังวรในอาชพี ประพนั ธ์ ของตนในฐานะที่เป็นกวี ในฐานะที่เป็นหน่วยหนึ่งของคนสมัยนั้น ก็ย่อมจะทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสียกับ เหตุการณ์ที่ตนเห็นตำตาประจักษ์อยู่แก่ใจหาได้ไม่ และในฐานะที่เป็นพลเมืองอีกเล่า ก็จะต้องใส่ใจเหตุการณ์ บา้ นเมอื ง ความเคลื่อนไหวของประเทศชาติ ตลอดจนชนชนั้ และอาชพี ทตี่ นเปน็ หน่วยหน่ึงอีกดว้ ย กวหี รอื ผเู้ ขียนย่อมสอดแทรกสภาพของสังคมสมัยน้ัน ๆ ลงไปในวรรณกรรมทีเ่ ขาไดส้ ร้างสรรค์ และในฐานะที่ เปน็ หนว่ ยหน่ึงของประชาคมนน้ั ยอ่ มจะใส่ความคดิ เหน็ มโนทศั นข์ องตน ลงไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันในบทบาทของกวีหรือนักประพันธ์ จึงเสนอทัศนคติในบทบาทฐานะนั้นอีก ด้วย ฉะน้ันปจั จยั ดงั กล่าวข้างต้น จงึ มสี ว่ นสำคัญที่แยกรูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท้องถิ่นให้ แตกตา่ งกัน เมื่อพิจารณารูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท้องถิ่นที่แตกต่างกันไปนั้น ทำให้เห็นว่า วรรณกรรมแบบฉบบั เป็นวรรณกรรมที่แพรห่ ลาย และเจรญิ อยู่ในราชสำนกั เรมิ่ ตั้งแตก่ วผี สู้ รา้ งสรรค์ ซ่ึงเป็นผู้คง แก่เรียน พื้นฐานการศึกษาสูง และอยู่ในฐานะเหนือกว่าทางด้านสังคม ฉะนั้นค่านิยม สภาวะของสังคม จน ทัศนะที่กวีสอดแทรกในวรรณกรรมน้ันจึงเป็นมโนทัศน์ของสงั คมชั้นสูง ซึ่งต่างไปจากวรรณกรรมท้องถ่ินที่กวเี ป็น ชาวบ้านธรรมดาหรอื ภิกษุ และอยใู่ นภาวะของสังคมแบบชาวบา้ นโดยทั่วไป ฉะนั้นค่านิยม สภาวะของสงั คม และ
72 ทัศนะที่กวีสอดแทรกลงไปในวรรณกรรมที่เขาสร้างสรรค์นั้นจะเป็นมโนทัศน์(คำบาลี สันสกฤต) หรอื บทกวีนพิ นธท์ ซ่ี บั ซอ้ น เชน่ ฉนั ท์ สว่ นใหญ่จะใชก้ วีนิพนธท์ น่ี ยิ มในท้องถนิ่ นน้ั ๆ 4. ประโยชน์ของการศกึ ษาวรรณกรรมท้องถน่ิ ข้อมูลทางคติชนวิทยา เป็นที่สนใจของนักศึกษาทางด้านมานุษยวิทยามาโดยตลอด เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็น ข้อมูลเบื้องต้นที่สืบทอดกันมาในประชาคมท้องถิ่นต่างๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านคติชนนั้นทำให้นัก มานุษยวิทยาสามารถเข้าใจลักษณะของสังคม ค่านิยม ปรัชญาชีวิตและวิถีทางแห่งชีวิต ตลอดจนระบบของสังคม ของกลุ่มชนนัน้ ๆ วรรณกรรมท้องถิน่ เป็นขอ้ มูลสำคัญในข้อมูลทั้งหลาย ทางด้านคติชนวทิ ยา ที่จะสะท้อนให้เห็น สภาวะของประชาคมนนั้ ๆ เป็นอย่างดปี ระโยชน์ในการศึกษาวรรณกรรมทอ้ งถ่นิ สรปุ ได้ 3 ประการ ดงั น้ี 4.1 ประโยชนท์ างด้านวชิ าการ ผ้ศู ึกษาวรรณกรรมท้องถ่ินจะเข้าใจในสิ่งตอ่ ไปน้ี 4.1.1 ปรัชญาชีวิตและสังคมของท้องถิ่น อันเป็นพื้นฐานของสังคม เช่น ความเชื่อ คตินิยม จารีต ประเพณี เปน็ ตน้ 4.1.2 การจดั ระเบียบสังคม หรือการควบคมุ สงั คม อันเป็นพนั ธกรณขี องกลุม่ ชนต้องประพฤติปฏิบัติ เพื่อ ความสงบสขุ ของประชาคมนั้นๆ บทบัญญัตติ ่างๆ อนั เปน็ ปทสั ฐานของสังคมนั้นได้สั่งสอนสบื ต่อกันมาโดยมิได้มีการ จดบันทึกไว้ แต่ก็ปรากฎอยู่ในวรรณกรรมท้องถิ่นเหล่านั้น ในข้อนี้ต้องเข้าใจร่วมกันว่า สังคมชนบทในสมัยอดีต กฎหมายของของรัฐบาลกลางมิได้มีส่วนเกีย่ วข้องในการควบคุมสังคมมากนกั แต่ปรัชญาพุทธศาสนา จารีต ความ เช่ือ คตนิ ิยม ซ่งึ เป็นท่ียอมรบั ของประชาคมจะมีบทบาทควบคมุ สงั คมอย่างยิง่ 4.1.3 ประวัติศาสตร์สังคมของท้องถิ่น วรรณกรรมท้องถิ่นเป็นข้อมูลสำคัญในการศึกษาประวัติศาสตร์ สังคมของทอ้ งถิ่น โดยเฉพาะทางด้านการจัดระบบสงั คมการควบคุมสังคมตลอดจนจารีตประเพณขี องสังคมนนั้ 4.1.4 ภาษาถิ่น วรรณกรรมท้องถิ่นโดยเฉพาะวรรณกรรมลายลักษณ์ทไ่ี ด้บันทึกไว้ตง้ั แต่สมัยอดีตจำเป็น คลังแห่งคำภาษาถิ่น ถึงแม้บางคำจะเลิกใช้ไปแล้วในปัจจุบัน แต่ก็ยังปรากฎในเอกสารวรรณกรรมท้องถิ่น เหล่านั้น นอกจากให้นักภาษาศาสตร์ ยังสามารถเห็นการคลี่คลายของคำภาษาไทยได้ดีจากเอกสารวรรณกรรม ท้องถิน่ ต่าง ๆ ของไทย 4.1.5 เป็นการก้าวหน้าทางวิชาการ การตระหนกั ถึงคณุ คา่ ของวรรณกรรมท้องถ่ิน จนไดม้ ีการนำมาจัดอยู่ ในหลกั สตู รการศึกษาระดบั อดุ มศกึ ษา ซึง่ มีแนวโน้มในการที่จะส่งเสริมการศึกษารวบรวมค้นคว้าวรรณกรรมท้องถิ่น เหล่านน้ั ให้กว้างขวางย่ิงขนึ้ อนั เป็นปจั จัยสำคัญในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมท้องถิน่ ซงึ่ หมายถงึ เอกลักษณ์ของชน ชาติไทย 4.1.6 เปน็ การอนุรักษว์ รรณกรรมทอ้ งถ่นิ ต่าง ๆ ของไทยไมใ่ ห้สาปสญู ก่อนภาวะอนั ควร 4.2 ประโยชนท์ างดา้ นปจั เจกบุคคล 4.2.1 เพื่อให้นักศึกษาหรือผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น มีมโนทัศน์อันกว้าง ยอมรับแนวคิด ปรัชญาชีวิต ของชนทกุ ชัน้ ทกุ ท้องถน่ิ ทกุ สงั คม 4.2.2 ผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น จะทราบถึงความเป็นอัจฉริยะของบรรพบุรุษของตน และของท้องถ่นิ อื่นอกี ดว้ ย 4.2.3 ยอมรับแนวคิดของชนชาติตา่ งทอ้ งถ่นิ ต่างสังคมและต่างยคุ สมยั
73 4.2.4 ได้รับประสบการณข์ องชีวิตกว้างขวางย่งิ ขน้ึ 4.2.5 มีโอกาสได้เรยี นรูภ้ าษาถิ่น วฒั นธรรมของท้องถ่ินอ่ืน ๆ อกี ดว้ ย 4.3 ประโยชนท์ างดา้ นการเมืองการปกครอง 4.3.1 ผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่น จะเกิดความรัก ความเข้าใจ ความภูมิใจในอดีตของท้องถิ่นที่ตนมี ภูมิลำเนาอย่แู ละทอ้ งถ่ินอื่น ๆ ของคตดิ ว้ ย ซง่ึ กอ่ ใหเ้ กิดชาตนิ ิยม ภูมใิ จในวฒั นธรรมของชาติ 4.3.2 ผู้ศึกษาวรรณกรรมท้องถิ่นจะเกิดความรักความเข้าใจในท้องถิ่นของตน ผู้ศึกษาวรรณกรรม ทอ้ งถิ่น จะตระหนักในคุณค่า และย่อมมีความหวงแหนซง่ึ จะก่อใหเ้ กดิ การอนรุ กั ษว์ รรณกรรมทอ้ งถ่นิ อีกด้วย 4.3.3 ทำใหค้ วามเข้าใจอนั ดีระหวา่ งชนในชาติ และยอ่ มมคี วามสมานสามคั คกี ัน 4.3.4 ก่อให้เกิดการพฒั นา ระบบสังคมของชาติย่อมมีทิศทาง โดยอาศัยระบบสังคมท้องถิ่นปรัชญาชวี ิต ในสังคมท้องถิ่น อันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างวรรณกรรมแบบฉบับกับ วรรณกรรมทอ้ งถิ่นมีดังนี้ วรรณกรรมแบบฉบับ วรรณกรรมทอ้ งถ่นิ 1. ชนช้นั สงู เจา้ นาย ขา้ ราชสำนกั มีสิทธิมสี ่วน 1. ชาวบ้านทัว่ ไปมีสทิ ธิเปน็ เจ้าของ เปน็ เจ้าของ - ผู้สรา้ งสรรค์ - ผู้สรา้ งสรรค์ รวมถึงจดบันทึก คัดลอก - ผู้ใช้ - ผู้ใช้ (อ่าน, ฟัง - ผูอ้ นรุ กั ษ์ - ผู้อนรุ กั ษ์ - แพรห่ ลายในหมบู่ ้าน - แพรห่ ลายในราชสำนัก 2. กวีประพันธเ์ ปน็ นกั ปราชญ์ ราชบณั ฑิต หรือ 2. กวี ผ้ปู ระพันธ์ เป็นชาวพน้ื บา้ น หรือ เจา้ นาย ฉะนน้ั ค่านยิ ม มโนทศั น์ ทีเ่ ห็นสงั คมสมยั พระภิกษุ สร้างสรรค์วรรณกรรมข้ึนมาดว้ ย นัน้ จงึ จำกดั อยใู่ นรัว้ ในวงั หรือมีการสอดแทรก ใจรักมากกวา่ \"บำเรอท้าวไธ้ธิราชผ้มู บี ญุ \" สภาวะของสังคมก็เป็นแบบมองเห็นสงั คมแบบ ฉะน้นั มโนทัศน์เกย่ี วกับสภาวะของสงั คม เบื้องบน จึงเปน็ สงั คมชาวบา้ นแบบประชาคมทอ้ งถนิ่ 3. ภาษาและกวโี วหารนิยมการใช้คำศพั ท์บาลี 3. ภาษาทีใ่ ช้เปน็ ภาษาง่าย เรียบ ๆ ม่งุ การ สันสกฤต โดยเชอื่ วา่ เปน็ การแสดงภมู ิปัญญาของ สอื่ ความหมายเป็นสำคัญ สว่ นใหญ่เปน็ กวีแพรวพราวไปดว้ ยกวีโวหารทีเ่ ขา้ ใจยาก ภาษาทอ้ งถนิ่ นนั้ ละเวน้ คำศพั ท์ บาลี สนั สกฤต โวหารนิยมสำนวนทใ่ี ช้ใน ทอ้ งถ่ิน 4. เนอ้ื หาสว่ นใหญ่ มุ่งในการยอพระเกยี รติ ทง้ั 4. เนอ้ื หาส่วนใหญ่มุ่งในทางระบายอารมณ์
74 วรรณกรรมแบบฉบับ วรรณกรรมทอ้ งถ่ิน ทางตรงและทางออ้ ม แตก่ ม็ เี น้ือหาท่ีเกย่ี วกบั การ บนั เทิงใจ แต่แฝงคติธรรมทางพทุ ธศาสนา ผอ่ นคลายทางด้านอารมณ์ และศาสนาอยูไ่ ม่นอ้ ย แมว้ า่ ตวั เอกของเรื่องจะเปน็ กษตั ริยก์ ็ตาม แต่มิได้มงุ่ ยอพระเกียรตมิ ากนัก 5. ค่านิยม อดุ มคติ ยึดปรัชญาชีวติ แบบสงั คม 5. เหมือนกบั วรรณกรรมแบบฉบับ ยกย่อง ชาวพุทธ และยกย่องสถาบนั กษัตรยิ ์อีกด้วย สถาบันกษัตรยิ ์ แต่ไมเ่ น้นมากนัก
75 ใบงานที่ 6 เร่ือง วรรณคดีและวรรณกรรม วิชา พท 21001 ภาษาไทย ระดับมัธยมศึกษาตอนตน้ ใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาวีดโี อเรือ่ ง สอนศาสตร์ ม.ต้น ภาษาไทย พนื้ ฐานวรรณคดไี ทย และใบความรูว้ รรณคดีและ วรรณกรรม ตอนท่ี 1 เรอื่ ง วรรณคดีและวรรณกรรม 1. ใหผ้ ู้เรียนสรปุ ลักษณะของวรรณคดีและวรรณกรรมมาพอสงั เขป “วรรณคดี” มีลักษณะดังน้ี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… “วรรณกรรม” มลี ักษณะดงั นี้ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ใหผ้ ู้เรยี นบอกหลกั การและแนวทางการพิจารณาวรรณคดีมาเป็นขอ้ ๆ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
76 3. การท่ีผู้เรียนจะพินจิ คณุ ค่าวรรณคดแี ละวรรณกรรมมีกี่ประเด็นอะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. การท่ีผู้เรียนพิจารณาคุณค่าวรรณคดดี ้านวรรณศิลปค์ ือการสร้างความงดงามไพเราะสละสลวยของภาษากวี การ สรรคำทำไดอ้ ย่างไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ใหผ้ ้เู รยี นศึกษาส่ือวดี ีโอ เร่ือง ประวตั คิ วามเปน็ มาและเร่ืองย่อของวรรณคดีสุภาษติ พระร่วง และ เร่ืองการวิเคราะห์ วรรณคดี วรรณกรรมและบทละคร เร่ือง ประวัติความเปน็ มาและเรอ่ื งย่อของวรรณคดสี ภุ าษติ พระร่วง เรอ่ื งการวเิ คราะห์ วรรณคดี วรรณกรรมและบทละคร
77 5. ใหผ้ ้เู รียนเลือกศึกษาค้นคว้าหนังสอื วรรณคดีท่ีกำหนดใหค้ นละ 1 เร่อื ง แลว้ พจิ ารณาวรรณคดีแต่ละเรือ่ งในดา้ น วรรณกรรมศลิ ป์และดา้ นสังคม เรือ่ งที่เลือกศึกษาใหส้ าระข้อคิดในการดำเนินชวี ติ อย่างไรบ้าง • สามกก๊ • ราชาธริ าช • กลอนเสภาขนุ ช้างขุนแผน • กลอนบทละครเรอ่ื งรามเกยี รติ์ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ตอนท่ี 2 เร่อื ง วรรณกรรมท้องถ่ิน เพลงพนื้ บ้าน เพลงพื้นเมอื ง ใหผ้ ้เู รยี นตอบคำถามต่อไปนใ้ี ห้ถูกตอ้ ง 6. ใหผ้ เู้ รยี นคิดว่า คำว่า “เพลงพนื้ บ้าน” ความหมายว่าอยา่ งไร ....……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………… 7. “เพลงพนื้ บา้ น” มอี ะไรบา้ ง และในท้องถ่ินของผเู้ รยี นมกี ารละเล่นพน้ื บ้านอะไรบ้าง ....……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
78 8. “เพลงพนื้ บ้าน” ในชมุ ชนหรอื ทอ้ งถนิ่ แต่ละภาคมคี วามเหมอื นกันหรอื แตกตา่ งอย่างไรบา้ ง ยกตวั อยา่ งประกอบ ....……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. ให้ผู้เรยี นค้นควา้ บทเพลงกลอ่ มเด็กทีม่ ีอยใู่ นท้องถนิ่ ของตน บันทกึ ไวพ้ รอ้ มทั้งแปลความหมายหรืออธิบายคำ ภาษาถนิ่ นัน้ ๆ บทเพลงกล่อมเดก็ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คณะผ้จู ัดทำ 79 ทีป่ รกึ ษา ผู้อำนวยการ กศน.อำเภอดอนตมู นางจิดาภา บัวทอง ครูอาสาสมัคร ผเู้ รียบเรยี งตน้ ฉบับและบรรณาธิการ ครู กศน.ตำบล นางสาวจันทะนิตย์ บรู พา ครู กศน.ตำบล นางสาวชัญญา ดำรงคศ์ ิลป์ นายกษิดิศ สังขจ์ นั ทร์ ครอู าสาสมคั ร ครูอาสาสมัคร ผ้สู นับสนุนข้อมูล ครอู าสาสมคั ร นางนวลลออ สทุ ธิงาม ครู กศน.ตำบล นางสาวจันทะนติ ย์ บูรพา ครู กศน.ตำบล นางรนิ นา อนุภาษ ครู กศน.ตำบล นางสุชาดา ตรานกแกว้ ครู กศน.ตำบล นางพัชรณัฐฏ์ อรณุ พนั ธ์ุ ครู กศน.ตำบล นางดลฤดี มีบญุ ญา ครู กศน.ตำบล นางสาวชญั ญา ดำรงค์ศิลป์ ครู กศน.ตำบล นางสาวศิริญา สืบนชุ ครู กศน.ตำบล นางสาวกานตธ์ ีมา แสงสว่าง นายกษิดิศ สังขจ์ ันทร์ นายสายัญ ทองดอนเต้ีย
80
Search