คานา หน้า สารบญั 1 ดาวฤกษ์(sphere) 2 ดาวหางฟลเู กอร์กสู (Flaugergues s Comet) 3 ดาวหางโดนาติ (Donati a Comet) ดาวหางเทพบทุ (Tebbut s Comet) 4 ดาวพธุ (MERCURY) ดาวองั คาร(MARS) 5 ดาวพฤหสั (JUPITER) 6 ดาวเนปจนู (NEPJUNE) 7 ดาวเสาร์(Saturn) 8 ดาวยเู รนสั (URENUS) 9 10 11 12
แหลง่ อ้างอิง 13 หนงั สอื วิทยาศาสตร์นา่ รู้เลม่ นเี ้ป็ นสว่ นหนงึ่ ของวิชา การสร้างหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ซงึ่ ข้าพเจ้าได้รับ มอบหมายจากคณุ ครูให้จดั หนงั สอื เร่ืองนขี ้ นึ ้ ตามความสนใจ โดยบรู ณาการกบั วิชา วิทยาศาสตร์ เนอื ้ หาในหนงั สอื เลม่ นี ้ จะประกอบไปด้วยเร่ืองนา่ รู้ทางวทิ ยาศาสตร์ อาทเิ ช่น เรื่อง ร่างกาย อวยั วะของเรา หรือแม้กระทง่ั เร่ืองของธรรมชาติ สตั ว์ และสงิ่ ของ ซงึ่ ข้าพเจ้าได้รวบรวมไว้ในหนงั สอื เลม่ นี ้ ขอขอบคณุ ครู ปภสั สร กา๋ เขยี ว ให้แนะนา ท่ปี รึกษา และเพ่อื นๆ ทชี่ ่วยให้คาแนะนา ตลอดจนหนงั สอื เลม่ นเี ้สร็จลลุ ว่ งไปด้วยดี หากผดิ พลาดประการใดก็ขออภยั มา ณ ท่ีนดี ้ ้วย
ดาวฤกษ์(sphere) ดาวฤกษ์ คอื วตั ถทุ ้องฟ้ าทเ่ี ป็ นก้อนพลาสมาสวา่ งขนาดใหญ่ที่คงอยไู่ ด้ด้วยแรงโน้มถ่วง ดาวฤกษ์ท่ีอยู่ ใกล้โลกมากท่ีสดุ คอื ดวงอาทติ ย์ ซงึ่ เป็ นแหลง่ พลงั งานหลกั ของโลก เราสามารถมองเห็นดาวฤกษ์อ่นื ๆ ได้บนท้องฟ้ ายาม ราตรี หากไมม่ แี สงจากดวงอาทติ ย์บดบงั ในประวตั ศิ าสตร์ ดาวฤกษ์ที่โดดเดน่ ทส่ี ดุ บนทรงกลมท้องฟ้ าจะถกู จดั เข้าด้วยกนั เป็ นกลมุ่ ดาว และดาวฤกษ์ท่สี วา่ งท่สี ดุ จะได้รับการตงั้ ชื่อโดยเฉพาะ นกั ดาราศาสตร์ได้จดั ทาบญั ชีรายช่ือดาวฤกษ์เพม่ิ เตมิ ขนึ ้ มากมาย เพื่อใช้เป็ นมาตรฐานในการตงั้ ชื่อดาวฤกษ์ตลอดอายขุ ยั สว่ นใหญ่ของดาวฤกษ์ มนั จะเปลง่ แสงได้เน่ืองจาก ปฏกิ ิริยาเทอร์โมนิวเคลยี ร์ฟิวชนั่ ท่แี กนของดาว ซง่ึ จะปลดปลอ่ ยพลงั งานจากภายในของดาว จากนนั้ จึงแผร่ ังสอี อกไปสู่ อวกาศ ธาตเุ คมีเกือบทงั้ หมดซงึ่ เกิดขนึ ้ โดยธรรมชาตแิ ละหนกั กวา่ ฮีเลยี มมีกาเนิดมาจากดาวฤกษ์ทงั้ สนิ ้ โดยอาจเกิดจาก การสงั เคราะห์นวิ เคลยี สของดาวฤกษ์ระหวา่ งทีด่ าวยงั มชี ีวติ อยู่ หรือเกิดจากการสงั เคราะห์นิวเคลยี สของซเู ปอร์โนวา หลงั จากทด่ี าวฤกษ์เกิดการระเบดิ หลงั สนิ ้ อายขุ ยั นกั ดาราศาสตร์สามารถระบขุ นาดของมวล อายุ สว่ นประกอบทางเคมี และคณุ สมบตั ิของดาวฤกษ์อีกหลายประการได้จากการสงั เกตสเปกตรัม ความสวา่ ง และการเคลอ่ื นท่ใี นอวกาศ มวลรวม ของดาวฤกษ์เป็ นตวั กาหนดหลกั ในลาดบั ววิ ฒั นาการและชะตากรรมในบนั้ ปลายของดาว สว่ นคณุ สมบตั อิ ่ืนของดาวฤกษ์ เชน่ เส้นผา่ นศนู ย์กลาง การหมนุ การเคลอ่ื นท่ี และอณุ หภมู ิ ถกู กาหนดจากประวตั ิววิ ฒั นาการของมนั แผนภาพคลู่ าดบั ระหวา่ งอณุ หภมู กิ บั ความสวา่ งของดาวฤกษ์จานวนมาก ที่รู้จกั กนั ในช่ือ ไดอะแกรมของแฮร์ทสชปรุง-รัสเซลล์ (H-R ไดอะแกรม) ช่วยทาให้สามารถระบอุ ายแุ ละรูปแบบววิ ฒั นาการของดาวฤกษ์ได้ดาวฤกษ์ถือกาเนดิ ขนึ ้ จากเมฆโมเลกลุ ที่ ยบุ ตวั โดยมีไฮโดรเจนเป็ นสว่ นประกอบหลกั รวมไปถงึ ฮีเลยี ม และธาตอุ ื่นทีห่ นกั กวา่ อีกจานวนหนงึ่ เม่อื แก่นของดาวฤกษ์ มีความหนาแนน่ มากเพยี งพอ ไฮโดรเจนบางสว่ นจะถกู เปลย่ี นเป็ นฮีเลยี มผา่ นกระบวนการนวิ เคลยี ร์ฟิวชนั่ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง [1] สว่ นภายในทีเ่ หลอื ของดาวฤกษ์จะนาพลงั งานออกจากแกน่ ผา่ นทางกระบวนการแผร่ ังสแี ละการพาความร้อน ประกอบกนั ความดนั ภายในของดาวฤกษ์ป้ องกนั มิให้มนั ยบุ ตวั ตอ่ ไปจากแรงโน้มถว่ งของมนั เอง เม่ือเชือ้ เพลงิ ไฮโดรเจนที่ แกน่ ของดาวหมด ดาวฤกษ์ทม่ี มี วลอยา่ งน้อย 0.4 เทา่ ของดวงอาทิตย์[2] จะพองตวั ออกจนกลายเป็ นดาวยกั ษ์แดง ซงึ่ ในบางกรณี ดาวเหลา่ นจี ้ ะหลอมธาตทุ ่ีหนกั กวา่ ทแ่ี ก่นหรือในเปลอื กรอบแก่นของดาว จากนนั้ ดาวยกั ษ์แดงจะววิ ฒั นาการ ไปสรู่ ูปแบบ
ดาวหางฟลเู กอร์กสู (Flaugergues s Comet) ดาวหางฟลเู กอร์กสู (Flaugergues s Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่และมีหาง 2 หาง ปรากฏในรัชสมยั พระพทุ ธเลิศหล้านภาลยั เม่ือ พ.ศ. 2355 ขณะนนั้ เจ้าฟ้ ามงกฎมีพระชนั ษาราว 8 ปี เมื่อทรงเห็นแล้ว คงจะทรงตดิ ตามศกึ ษาเร่ืองดาวหางอยเู่ สมอ เพราะวา่ ก่อนดวงท่ี 2 จะมาปรากฏ พระองค์ทรงสามารถนิพนธ์ประกาศฉบบั แรกชื่อว่า \"ประกาศดาวหางขนึ ้ อยา่ ได้วิตก\" แจ้งแกป่ ระชาชนดาว หาง
ดาวหางโดนาติ (Donati a Comet) ดาวหางโดนาติ (Donati a Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่มาก นกั ดาราศาสตร์อิตาเลียนค้นพบ ในคนื วนั ที่ 2 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2401 และคืนตอ่ ๆ มา จนถึงวนั ท่ี 4 มีนาคม พ.ศ. 2402 (รวมเวลา 9 เดือน) ชาวไทยคงจะเห็นด้วยตาเปลา่ ระหวา่ งเดือนกนั ยายน-ตลุ าคม พ.ศ. 2401ดาวหางดงั กลา่ วมีลกั ษณะเป็น 2 หาง หางหนงึ่ เหยียดตรง อีกหางหนงึ่ เป็นพโู่ ค้งสวยงามอยรู่ าว 2 เดอื น พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า เจ้าอยหู่ วั ทรงเกรงวา่ เมื่อประชาชนเห็นดาวหางโดนาติ แล้วจะตนื่ เต้นไปตามคาลือตา่ ง ๆ จงึ ทรงออก ประกาศเตือนช่ือวา่ \"ประกาศดาวหางขนึ ้ อยา่ ได้วิตก\" นบั เป็นประกาศทางวทิ ยาศาสตร์ฉบบั แรกของ ประเทศ มีความวา่ \"ดาวหางนีช้ าวยโุ รปได้เห็นมาแล้วหลายเดือน ดาวหางนีม้ ีคตแิ ลทางยาวไปในท้องฟ้ า แล้วก็กลบั มาได้เหน็ ในประเทศนีอ้ ีก เพราะเหตนุ ีอ้ ยา่ ให้ราษฎรทงั้ ปวงต่ืนกนั และคิดวิตกเลา่ ลือไปตา่ ง ๆ ด้วยวา่ มิใชจ่ ะเห็นแตใ่ นพระนครนี ้และเมือง
ดาวหางเทพบทุ (Tebbut s Comet) ดาวหางเทพบทุ (Tebbut s Comet) เป็นดาวหางท่ีมีขนาดใหญ่ หางยาว และสวา่ งกวา่ ดาวหางโด นาติ ปรากฏแกส่ ายตาชาวโลกระหวา่ งเดือนมถิ นุ ายน-กรกฎาคม พ.ศ. 2404 เป็ นดาวที่พระองค์ทรงสนพระ ราชหฤทยั มากย่ิงขนึ ้ ถึงกบั ทรงได้คานวณไว้ลว่ งหน้าวา่ จะปรากฏเม่ือใด และได้ทรงออกประกาศไว้ ลว่ งหน้า มใิ ห้ประชาชนตน่ื ตระหนก ทงั้ นี ้เพราะพระองค์มีพระราชประสงคม์ งุ่ ขจดั ความเชื่อเก่ียวกบั เรื่อง โชคลาง และทรงให้ราษฎรตงั้ อยใู่ นความไมป่ ระมาท เตรียมพร้อมที่จะเผชญิ เหตกุ ารณ์ (ถ้าจะเกิด) อยา่ งมี เหตผุ ลตามแบบวิทยาศาสตร์ในคืนวนั ท่ี 2 มิถนุ ายน พ.ศ. 2401 และคืนตอ่ ๆ มา จนถึงวนั ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2402 (รวมเวลา 9 เดือน) ชาวไทยคงจะเหน็ ด้วยตาเปลา่ ระหว่างเดือนกนั ยายน-ตลุ าคม พ.ศ. 2401 ดาวหางดงั กลา่ วมีลกั ษณะเป็ น 2 หาง หางหนงึ่ เหยียดตรง อีกหางหนงึ่ เป็นพโู่ ค้งสวยงามอยรู่ าว 2 เดือน พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ทรงเกรงวา่ เมื่อประชาชนเห็นดาวหางโดนาติ แล้วจะต่ืนเต้นไปตาม คาลือตา่ ง ๆ จงึ ทรงออกประกาศเตอื นชื่อวา่ \"ประกาศดาวหางขนึ ้ อยา่ ได้วิตก\" นบั เป็นประกาศทาง วทิ ยาศาสตร์ฉบบั แรกของประเทศ มีความวา่ \"ดาวหางนีช้ าวยโุ รปได้เหน็ มาแล้วหลายเดือน ดาวหางนีม้ ีคติ แลทางยาวไปในท้องฟ้ า แล้วก็กลบั มาได้เห็นในประเทศนีอ้ ีก เพราะเหตนุ ีอ้ ยา่ ให้ราษฎรทงั้ ปวงตน่ื กนั และ คดิ วิตกเล่าลือไปตา่ ง ๆ ด้วยวา่ มใิ ชจ่ ะเหน็ แตใ่ นพระนครนี ้และเมืองที่ใกล้เคียงเทา่ นนั้ หามไิ ด้ย่อมได้เหน็ ทกุ บ้านทกุ เมืองทวั่ พภิ พอยา่ งนีแ้ ล\"
ดาวพธุ (MERCURY) ดาวพธุ เป็นดาวเคราะห์ท่ีอย่ใู กล้ดวงอาทิตย์มากท่ีสดุ และเป็นดาวเคราะห์ท่ีเล็กที่สดุ ในระบบสรุ ิยะ ใช้เวลา โคจรรอบดวงอาทิตย์ 87.969 วนั ดาวพธุ มกั ปรากฏใกล้ หรืออยภู่ ายใต้แสงจ้าของดวงอาทิตย์ทาให้ สงั เกตเหน็ ได้ยากที่สดุ ดาวพธุ ไมม่ ีดาวบริวาร ยานอวกาศเพียงลาเดยี วท่ีเคยสารวจดาวพธุ ในระยะใกล้คือ ยานมาริเนอร์ 10เมื่อปี พ.ศ. 2517-2518 (ค.ศ. 1974-1975) และสามารถทาแผนที่พืน้ ผิวดาวพธุ ได้เพียง 40-45% เทา่ นนั้ ดาวพธุ มีสภาพพืน้ ผิวขรุขระเนื่องจากการพงุ่ ชนของอกุ กาบาต ไมม่ ีดวงจนั ทร์เป็นบริวาร และไมม่ ีแรงโน้มถว่ งมากพอท่ีจะสร้างชนั้ บรรยากาศ ดาวพธุ มีแกนกลางเป็นเหล็กขนาดใหญ่ทาให้เกิด สนามแมเ่ หล็กความเข้มประมาณ 1 เปอร์เซ็นตข์ องสนามแมเ่ หล็กโลกล้อมรอบดาวพธุ ไว้ช่ือละตนิ ของดาว พธุ (Mercury) มาจากคาเตม็ วา่ Mercurius เทพนาสารของพระเจ้า สญั ลกั ษณ์แทนดาวพธุ คือ ☿ เป็นรูปคทาของเทพเจ้าเมอควิ รี ก่อนศตวรรษที่ 5 ดาวพธุ มีสองช่ือ คือ เฮอร์เมส เม่ือปรากฏในเวลา หวั ค่า และอพอลโล เม่ือปรากฏในเวลาเช้ามืด เชื่อว่าพีทาโกรัสเป็นคนแรกที่ระบวุ า่ ทงั้ สองเป็นดาวเคราะห์
ดาวองั คาร(MARS) ดาวองั คาร เป็นดาวเคราะห์ลาดบั ที่สี่จากดวงอาทติ ย์เป็นดาวเคราะห์เล็กท่ีสดุ อนั ดบั ที่สองในระบบ สรุ ิยะรองจากดาวพธุ ในภาษาองั กฤษได้ชื่อตามเทพเจ้าแหง่ สงครามของโรมนั มกั ได้รับขนานนาม \"ดาว แดง\" เพราะมีออกไซด์ของเหล็กดาษด่นื บนพืน้ ผวิ ทาให้มีสีออกแดงเร่ือ[15] ดาวองั คารเป็นดาวเคราะห์หนิ ท่ีมีบรรยากาศเบาบาง มีลกั ษณะพืน้ ผวิ คล้ายคลงึ กบั ทงั้ หลมุ อกุ กาบาตบนดวงจนั ทร์ และภเู ขาไฟ หบุ เขา ทะเลทราย ตลอดจนพดิ นา้ แข็งขวั้ ดาวที่ปรากฏบนโลก คาบการหมนุ รอบตวั เองและวฏั จกั รฤดกู าลของดาว องั คารก็มีความคล้ายคลงึ กบั โลกซง่ึ ความเอียงกอ่ ให้เกิดฤดกู าลตา่ ง ๆ ดาวองั คารเป็ นท่ีตงั้ ของโอลมิ ปัส มอนส์ ภเู ขาไฟใหญ่ท่ีสดุ บนดาวองั คารและสงู สดุ อนั ดบั สองในระบบสรุ ิยะเทา่ ท่ีมีการค้นพบ และเป็นท่ีตงั้ ของเวลส์มาริเนริส แคนยอนขนาดใหญ่อนั ดบั ต้น ๆ ในระบบสรุ ิยะ แอง่ บอเรียลิสที่ราบเรียบในซีกเหนือของ ดาวปกคลมุ กวา่ ร้อยละ 40 ของพืน้ ที่ทงั้ หมดและอาจเป็นลกั ษณะการถกู อกุ กาบาตชนครัง้ ใหญ่[16][17] ดาวองั คารมีดาวบริวารสองดวง คือ โฟบอสและดีมอสซง่ึ ตา่ งก็มีขนาดเลก็ และมีรูปร่างบดิ เบีย้ ว ทงั้ คอู่ าจ เป็นดาวเคราะห์น้อยที่ถกู จบั ไว้[18][19] คล้ายกบั ทรอยของดาวองั คาร เชน่ 5261 ยเู รกาก่อนหน้าการบนิ ผา่ นดาวองั คารท่ีสาเร็จครัง้ แรกของ มาริเนอร์ 4 เม่ือปี 1965 หลายคนคาดวา่ มีนา้ ในรูปของเหลวบนพืน้ ผิว ดาวองั คาร แนวคดิ นีอ้ าศยั ผลตา่ งเป็นคาบท่ีสงั เกตได้ของรอยมืดและรอยสวา่ ง โดยเฉพาะในละตจิ ดู ขวั้ ดาวซง่ึ ดเู ป็นทะเลและทวีป บางคนแปลความรอยมืดริว้ ลายขนานเป็นร่องทดนา้ สาหรับนา้ ในรูปของเหลว ภายหลงั มีการอธิบายวา่ ภมู ิประเทศเส้นตรงเหลา่ นนั้ เป็นภาพลวงตา แม้วา่ หลกั ฐานทางธรณีวิทยาท่ี ภารกิจไร้คนบงั คบั รวบรวมชีว้ า่ ครัง้ หนง่ึ ดาวองั คารเคยมีนา้ ปริมาณมากปกคลมุ บนพืน้ ผวิ ณ ชว่ งใด
ดาวพฤหสั (JUPITER) ดาวพฤหสั บดี เป็นดาวเคราะห์ที่อยหู่ า่ งจากดวงอาทติ ย์เป็นลาดบั ที่ 5 และเป็นดาวเคราะห์ท่ีมี ขนาดใหญ่ท่ีสดุ ในระบบสรุ ิยะ นอกจากดาวพฤหสั บดี ดาวเคราะห์แก๊สดวงอื่นๆ ในระบบสรุ ิยะได้แก่ ดาว เสาร์ ดาวยเู รนสั และดาวเนปจนู ช่ือละตนิ ของดาวพฤหสั บดี (Jupiter) มาจากเทพเจ้าโรมนั สญั ลกั ษณ์แทนดาวพฤหสั บดี คือ ♃ เป็นสายฟ้ าของเทพเจ้าซสุ
ดาวเนปจนู (Neptune) ดาวเนปจนู หรือชื่อไทยวา่ ดาวสมทุ ร[1] หรือ ดาวเกตุ คอื ดาวเคราะห์ ในระบบสรุ ิยะลาดบั สดุ ท้ายท่ีอย่หู า่ งจากดวงอาทิตย์ (ขนึ ้ อยกู่ บั การโคจรของดาวพลโู ต ซงึ่ บางครัง้ จะเข้ามาอยใู่ กล้ดวง อาทิตย์มากกวา่ แตป่ ัจจบุ นั ดาวพลโู ตเป็นดาวเคราะห์แคระแล้ว) ตวั ดาวมีขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลาง ใหญ่เป็นอนั ดบั ที่ 4 รองจากดาวพฤหสั ดาวเสาร์ ดาวยเู รนสั และมีมวลเป็ นลาดบั ที่ 3 รองจากดาว พฤหสั และดาวเสาร์ คาวา่ \"เนปจนู \" นนั้ ตงั้ ชื่อตามเทพเจ้าแหง่ ท้องทะเลของโรมนั (กรีก : โปเซดอน) มี สญั ลกั ษณ์เป็น (♆)เป็นดาวเคราะห์เล็กท่ีสดุ อนั ดบั ท่ีสองในระบบสรุ ิยะรองจากดาวพธุ ในต้น ๆ ของอายุ [20] ในปี 2005 เรดาร์เผยวา่ มีนา้ แข็งนา้
ดาวเสาร์(Saturn) ดาวเสาร์ เป็นตวั แทนของเทพแซทเทริ ์น (Saturn) เทพแหง่ การเพาะปลกู ในตานานของชาว โรมนั สว่ นในตานานกรีกมีช่ือวา่ โครนอส (Cronos) ซง่ึ เป็นบดิ าแหง่ ซสู (Zeus) เทพแหง่ ดาว พฤหสั บดี โดยดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ ท่ีอย่หู า่ งจากดวงอาทิตย์เป็นลาดบั ที่ 6 ที่ระยะทาง 1,433 ล้าน กิโลเมตร จดั เป็นดาวเคราะห์แก๊ส มีขนาดใหญ่ที่สดุ เป็นอนั ดบั สองในระบบสรุ ิยะรองจากดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์มีวงแหวนขนาดใหญ่ ท่ีประกอบขนึ ้ จากก้อนหินที่มีนา้ แขง็ ปะปน
ดาวยเู รนสั (URENUS) ดาวยเู รนสั (หรือ มฤตย)ู เป็นดาวเคราะห์ท่ีอยหู่ ่างจากดวงอาทิตย์เป็ นลาดบั ท่ี 7 ในระบบสรุ ิยะ จดั เป็นดาวเคราะห์แก๊ส มีขนาดใหญ่เป็นอนั ดบั ที่ 3. ตงั้ ชื่อตามเทพเจ้า Ouranos ของกรีก สญั ลกั ษณ์ แทนดาวยเู รนสั คือ Uranus symbol.ant.png หรือ สญั ลกั ษณ์ดาราศาสตร์ดาวยเู รนสั (สว่ นใหญ่ ใช้ในดาราศาสตร์) ชื่อไทยของยเู รนสั คือ ดาวมฤตยผู ้คู ้นพบดาวยเู รนสั คอื เซอร์วลิ เลียม เฮอร์เชล(Sir William Herschel) พบในปี พ.ศ. 2324 (ค.ศ. 1781)ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2520 (ค.ศ. 1977) นกั ดาราศาสตร์จากหอดดู าวไคเปอร์แอร์บอร์น (James L. Elliot, Edward W. Dunham, and Douglas J. Mink using the Kuiper Airborne Observatory) ค้นพบวา่ ดาวยเู รนสั มี วงแหวนจางๆโดยรอบและเราก็ได้เหน็ รายละเอียด ของดาวยเู รนสั พร้อมทงั้ วงแหวน และดวง จนั ทร์บริวารในปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) เมื่อยานวอยเอเจอร์ 2 (Voyager 2) เคล่ือนผา่ น
ขอบคณุ จาก: เรื่องน่ารู้ทางวทิ ยาศาสตร์. (ออนไลน์) เข้าถงึ จาก: https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8% B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E 0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%B0 ขอบคณุ จาก: ช่ือผ้แู ตง่ . สารานกุ รมเสรี ปี ท่พี ิมพ์. 24 ธนั วาคม 2562 เวลา 10:53 น. (ออนไลน์) เข้าถงึ ได้จาก:เว็บไซต์ทีน่ าข้อมลู มาใส่
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: