เอกสารประกอบการเรียน รายวชิ าการจดั กจิ กรรมเพ่ือพฒั นาผู้เรียน บทท่ี 1 บทนำ กจิ กรรมพฒั นำผู้เรียน หลกั กำร กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียนมีหลักการสาคัญ ดังน้ี 1. มกี ารกาหนดเป้าหมายของการจัดกิจกรรมท่ชี ดั เจน เป็นรูปธรรมและครอบคลมุ ผู้เรยี นทกุ คน 2. เปน็ ทผี่ ูเ้ รียนไดพ้ ฒั นาตนเองอย่างรอบดา้ นเตม็ ตามศักยภาพตามความสนใจ ความถนัด ความ ต้องการ และความเหมาะสมกบั วัยและวฒุ ิภาวะ 3. เปน็ กจิ กรรมทป่ี ลูกฝังและส่งเสรมิ จติ สานกึ ในการบาเพญ็ ตนให้เป็นประโยชน์ตอ่ สังคมในลักษณะต่าง ๆ ท่ีสอดคล้องกบั วิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่องและสม่าเสมอ 4. เป็นกิจกรรมที่ยึดหลักการมีส่วนรว่ ม โดยเปิดโอกาสใหค้ รู พอ่ แม่ ผู้ปกครอง ผู้นาชมุ ชน ปราชญ์ชาวบ้าน องค์กร และหน่วยงานอนื่ มีสว่ นรว่ มในการจดั กจิ กรรม เปำ้ หมำย การจดั กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนมุ่งพัฒนาให้ผเู้ รียนเกิดสมรรถนะสาคญั 5 ประการ ได้แก่ ความสามารถในการ สอ่ื สาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแกป้ ญั หา ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ และความสามารถ ในการใชเ้ ทคโนโลยี และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8 ประการ ได้แก่ รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซอื่ สตั ยส์ ุจริต มวี นิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง มงุ่ ม่ันในการทางาน รักความเปน็ ไทย และมีจติ สาธารณะ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา ข้นั พืน้ ฐานพุทธศักราช 2551 แนวกำรจดั กจิ กรรม สถานศึกษาจดั ให้ผู้เรียนทุกคนเขา้ รว่ มกจิ กรรมโดยมีแนวการจดั กจิ กรรม ดังนี้ 1. ให้ผเู้ รยี นปฏิบัตกิ ิจกรรมด้วยความสมคั รใจ 2. ให้ผู้เรียนได้ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมผา่ นประสบการณ์ทห่ี ลากหลาย ฝกึ การทางานทสี่ อดคล้องกับชวี ิต จริง ตลอดจนสะท้อนความรู้ ทกั ษะ และประสบการณ์ของผูเ้ รียน 3. จัดกจิ กรรมอย่างสมดุลทง้ั 3 กจิ กรรม คือ กจิ กรรมแนะแนว กจิ กรรมนักเรียน และกิจกรรมเพื่อ สงั คมและสาธารณประโยชน์ มีความสมดุลในการจัดกิจกรรมรายบุคคลและกจิ กรรมกล่มุ รวมทง้ั มีการจัดกจิ กรรมใน และนอกสถานท่ี 4. จัดกจิ กรรมโดยใหผ้ ูเ้ รียนเปน็ ผู้ดาเนินการ โดยมีการสารวจและใชข้ ้อมูลประกอบการวางแผน อยา่ งเป็นระบบเน้นการคดิ วิเคราะหแ์ ละใช้ความคิดสรา้ งสรรคใ์ นการดาเนนิ กิจกรรม 5. ใชก้ ระบวนการมีส่วนร่วมและการเรียนร้แู บบร่วมมอื มากกว่าเนน้ การแขง่ ขันบนพืน้ ฐานการ ปฏบิ ัติตามวิถีประชาธปิ ไตย
ขอบข่ำยกิจกรรมพัฒนำผเู้ รียน สถานศกึ ษาสามารถจดั กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียนได้หลากหลายรูปแบบและวธิ ีการโดยมีขอบข่าย ดงั นี้ 1. เปน็ กจิ กรรมทส่ี ่งเสริมการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ให้กวา้ งขวางลกึ ซึง้ ย่ิงขนึ้ ในลักษณะ เป็นกระบวนการเชงิ บูรณาการโดยยึดหลักคุณธรรมจรยิ ธรรม ตลอดจนสามารถบรู ณาการระหวา่ งกจิ กรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรยี น และกิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ 2. เป็นกิจกรรมท่ตี อบสนองความสนใจ ความถนดั และความตอ้ งการของผู้เรียนตามความแตกต่าง ระหว่างบุคคล เน้นการให้ผูเ้ รียนเห็นคุณค่าของวิชาความรู้ อาชพี และการดาเนนิ ชวี ิตทีด่ ีงามตลอดจนเห็นแนวทาง ในการศึกษาต่อและการประกอบชพี 3. เป็นกิจกรรมทปี่ ลูกฝงั และส่งเสริมจติ สานกึ การทาประโยชน์ตอ่ สงั คมในลักษณะต่าง ๆ สนบั สนุนค่านิยมทีด่ งี ามและเสริมสรา้ งคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 4. เป็นกิจกรรมทฝี่ ึกการทางานและการให้บริการด้านต่าง ๆ ทง้ั ท่เี ป็นประโยชน์ต่อตนเองและต่อ ส่วนรวม เพอ่ื เสริมสรา้ งความมนี า้ ใจ ความเออ้ื อาทร ความเป็นพลเมืองดี และความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเอง ครอบครวั และสังคม โครงสรำ้ งกจิ กรรมพฒั นำผเู้ รียน โครงสร้างเวลาการจดั กิจกรรมพฒั นาผู้เรยี นในแต่ละระดบั ช้ันตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตามหลักการของหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551ไดก้ าหนดโครงสร้างเวลาใน การจดั กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียนในช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 ถึงชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 3ปีละ 120 ชวั่ โมง และช้นั มธั ยมศึกษา ปีที่ 4-6 จานวน 360 ชว่ั โมง เป็นเวลาสาหรบั ปฏบิ ตั ิกิจกรรมแนะแนว กจิ กรรมนักเรยี น และกิจกรรมเพ่ือสงั คมและ สาธารณประโยชน์ สาหรับกิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชนใ์ ห้สถานศกึ ษาจดั เวลาให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ กิจกรรม ดังนี้ ระดบั ประถมศึกษา (ป.1-6 ) รวม 6 ปี จานวน 60 ชว่ั โมง ระดบั มธั ยมศึกษาตอนตน้ (ม.1-3) รวม 3 ปี จานวน 45 ชัว่ โมง ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-6) รวม 3 ปี จานวน 60 ชั่วโมง การจดั สรรเวลาของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนใหข้ ึ้นกับการบริหารจดั การของสถานศกึ ษาทง้ั น้ีใหเ้ ปน็ ไปตาม โครงสรา้ งเวลาของหลกั สูตร และผเู้ รยี นตอ้ งไดร้ บั การพฒั นาและฝกึ ปฏิบัติกิจกรรมทั้ง 3 ลักษณะ อย่างสมา่ เสมอ และตอ่ เนื่องทกุ ปีจนจบการศึกษาตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา ขน้ั พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กำรประเมินกิจกรรมพัฒนำผูเ้ รียน การประเมนิ การจดั กิจกรรมพัฒนาผูเ้ รยี นตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐานพทุ ธศักราช 2551 เปน็ การประเมินโดยผ้เู รียนต้องมเี วลาเขา้ รว่ มกิจกรรม ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมและมผี ลงาน/ชิน้ งาน/คณุ ลกั ษณะผา่ นการ ประเมนิ ตามเกณฑท์ ่สี ถานศึกษากาหนด หลักกำร การประเมินกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รียนตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐานพทุ ธศักราช 2551 เป็นการ ประเมนิ การปฏิบัติกจิ กรรมหรอื ผลงาน/ชน้ิ งาน/คุณลักษณะของผูเ้ รียนเปน็ ระยะอยา่ งต่อเนอื่ ง มุ่งเนน้ ใหผ้ ู้เรยี น ค้นหาศกั ยภาพของตน สะท้อนแนวคิดจากการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม การทางานกลุม่ และการมีจิตสาธารณะ โดยใหท้ กุ ฝา่ ยทเ่ี กย่ี วข้องมสี ว่ นรว่ มในการประเมนิ
แนวทำงกำรประเมิน การประเมนิ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มแี นวทางในการประเมิน ดังน้ี สถานศึกษาควรกาหนดแนวทางท่ชี ดั เจนในการประเมินกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น 2 ประการ คือ การประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี นรายกจิ กรรม และการประเมนิ กจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี นเพ่ือการตดั สิน 1. กำรประเมนิ กิจกรรมพฒั นำผูเ้ รยี นรำยกิจกรรม การประเมินกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี นรายกิจกรรมมีแนวปฏบิ ตั ิ ดังนี้ 1.1 ตรวจสอบเวลาเขา้ รว่ มกิจกรรมของผ้เู รียนให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด 1.2 ประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียนจากการปฏบิ ัติกิจกรรม และผลงาน/ชน้ิ งาน/คุณลกั ษณะของผูเ้ รยี น ตามเกณฑ์ทสี่ ถานศึกษากาหนดดว้ ยวิธีการทีห่ ลากหลาย เนน้ การมสี ่วนร่วมของเกีย่ วข้องในการปฏิบตั กิ ิจกรรม 1.3 ผ้เู รียนที่มีเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม มกี ารปฏิบตั ิกจิ กรรม และมีผลงาน/ช้ินงาน/คุณลกั ษณะตาม เกณฑ์ทส่ี ถานศึกษากาหนด เปน็ ผู้ผ่านการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนรายกจิ กรรม และนาผลการประเมินไป บนั ทึกในระเบียนแสดงผลการเรยี น 1.4 ผู้เรยี นท่มี ีผลการประเมินไมผ่ ่านในเกณฑเ์ วลาการเขา้ ร่วมกิจกรรม การปฏิบัตกิ ิจกรรม และ ผลงาน/ชน้ิ งาน/คณุ ลักษณะตามทส่ี ถานศึกษากาหนด ครหู รือผู้รับผิดชอบต้องดาเนินการซอ่ มเสริมและประเมนิ จน ผา่ น ท้งั นี้ควรดาเนินการให้เสร็จส้นิ ในปกี ารศกึ ษานั้น ๆ ยกเวน้ มีเหตุสุดวิสัยใหอ้ ยใู่ นดลุ พินิจของสถานศึกษา 2. กำรประเมนิ กจิ กรรมพฒั นำผู้เรียนเพอื่ กำรตดั สนิ การประเมนิ กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี นเพ่ือตดั สนิ เล่ือนชัน้ และจบระดบั การศกึ ษาเปน็ การประเมนิ การผ่าน กิจกรรมพัฒนาผูเ้ รยี นเปน็ รายปี/รายภาค เพอ่ื สรุปผลการผ่านในแต่ละกิจกรรม สรปุ ผลรวมเพอ่ื เลื่อนช้นั และ ประมวลผลรวมในปีสุดท้ายเพื่อการจบแตล่ ะระดบั การศกึ ษาโดยการดาเนนิ การดังกลา่ วมีแนวปฏบิ ัติ ดงั นี้ 2.1กาหนดใหม้ ีผูร้ บั ผดิ ชอบในการรวบรวมข้อมลู เกย่ี วกบั การรว่ มกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี นของผู้เรียนทุกคน ตลอดระดบั การศึกษา 2.2 ผู้รบั ผิดชอบสรุปและตัดสินผลการรว่ มกิจกรรมพฒั นาผู้เรียนของผ้เู รยี นเป็นรายบุคคลตามเกณฑท์ ่ี สถานศกึ ษากาหนด เกณฑก์ ารจบแตล่ ะระดับการศึกษาทสี่ ถานศึกษากาหนดน้นั ผเู้ รยี นจะต้องผ่านกิจกรรม 3 กจิ กรรมสาคัญ ดงั น้ี 2.2.1 กจิ กรรมแนะแนว 2.2.2 กจิ กรรมนักเรยี น ไดแ้ ก่ กจิ กรรมลกู เสือ เนตรนารี ยวุ กาชาด ผู้บาเพ็ญประโยชน์ และ นักศึกษาวิชาทหาร และ กิจกรรมชุมนุม ชมรม 2.2.3 กจิ กรรมเพ่อื สังคมและสาธารณประโยชน์ 2.3 ผูร้ บั ผดิ ชอบเสนอผลการประเมินต่อคณะอนุกรรมการกลุม่ สาระการเรยี นรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น เพ่อื ให้ความเหน็ ชอบ 2.4 ผ้รู บั ผดิ ชอบเสนอผ้บู รหิ ารสถานศึกษาพิจารณาเพอ่ื อนุมตั ิผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี นผา่ น เกณฑ์การจบแตล่ ะระดับการศกึ ษา
เกณฑก์ ำรตดั สนิ ผเู้ รียนจะต้องไดร้ ับการประเมินกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียนและผ่านเกณฑ์ตามที่สถานศึกษากาหนด โดยกาหนด เกณฑ์ในการประเมนิ อยา่ งเหมาะสม ดังน้ี 1. กาหนดคณุ ภาพหรอื เกณฑ์ในการประเมินตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานกาหนด ไว้ 2 ระดบั คอื ผา่ น และไม่ผ่าน 2. กาหนดประเดน็ การประเมินให้สอดคล้องตามวตั ถุประสงค์ในแต่ละกิจกรรม และ กาหนดเกณฑ์การผ่าน การประเมิน ดงั นี้ 2.1 เกณฑ์การตัดสนิ ผลการประเมนิ รายกจิ กรรม ผำ่ น หมายถงึ ผ้เู รียนมีเวลาเขา้ ร่วมกิจกรรมครบตามเกณฑ์ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม และมผี ลงาน/ ชนิ้ งาน/คณุ ลักษณะตามเกณฑท์ ส่ี ถานศกึ ษากาหนด ไมผ่ ่ำน หมายถึง ผ้เู รยี นมีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมไมค่ รบตามเกณฑ์ ไมผ่ า่ น การปฏิบัติกิจกรรม หรือมผี ลงาน/ชน้ิ งาน/คุณลกั ษณะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ท่ีสถานศกึ ษากาหนด 2.2 เกณฑก์ ารตัดสนิ ผลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนรายปี/รายภาค ผำ่ น หมายถึง ผูเ้ รยี นมผี ลการประเมินระดบั “ผา่ น” ในกจิ กรรมสาคัญท้งั 3 ลักษณะ คือ กิจกรรมแนะแนว กจิ กรรมนกั เรยี น และกจิ กรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์ ไมผ่ ำ่ น หมายถึง ผู้เรยี นมีผลการประเมนิ ระดบั “ไม่ผา่ น” ในกจิ กรรมสาคัญกจิ กรรมใดกิจกรรม หนงึ่ จาก 3 ลักษณะ คือ กิจกรรมแนะแนว กจิ กรรมนกั เรยี น กจิ กรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์ 2.3 เกณฑก์ ารตัดสินผลการประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผ้เู รียนเพอ่ื จบระดับการศกึ ษา ผำ่ น หมายถึง ผู้เรียนมีผลการประเมินระดบั “ผา่ น” ทุกช้ันปีในระดับการศกึ ษานน้ั ไมผ่ ่ำน หมายถึง ผเู้ รยี นมผี ลการประเมินระดับ “ไมผ่ ่าน” บางชัน้ ปี ในระดับการศึกษานั้น แนวทำงกำรแก้ไขนักเรยี นกรณไี มผ่ ่ำนเกณฑ์ กรณที ่ผี ูเ้ รียนไมผ่ า่ นกิจกรรมใหเ้ ป็นหน้าทข่ี องครหู รือผูร้ ับผิดชอบกิจกรรมนนั้ ๆ ท่ีจะต้องซอ่ มเสริมโดยให้ ผู้เรียนดาเนินกจิ กรรมจนครบตามเวลาท่ขี าดหรือปฏิบตั ิกิจกรรมให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของกิจกรรมนัน้ แลว้ จึง ประเมินให้ผา่ นกิจกรรมเพ่ือบันทึกในระเบียนแสดงผลการเรยี น ยกเว้นมีเหตสุ ดุ วิสัยให้รายงานผูบ้ รหิ ารสถานศกึ ษา ทราบเพื่อดาเนินการช่วยเหลอื ผเู้ รยี นอยา่ งเหมาะสมเป็นรายกรณไี ป ข้อเสนอแนะ การประเมินการเขา้ ร่วมกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี นนัน้ จะต้องคานึงถึงสง่ิ ต่อไปน้ี 1. ผ้เู รียนมเี วลาการเขา้ ร่วมกิจกรรมของผู้เรยี นตามเกณฑ์ทสี่ ถานศึกษากาหนดโดยสถานศึกษาควร กาหนดเวลาไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียนแตล่ ะกจิ กรรม สาหรบั กจิ กรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์ ผเู้ รียนต้องปฏิบัตกิ ิจกรรมครบตามโครงสร้างเวลาเรยี น 2. ผู้เรียนมีผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม และมีผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลกั ษณะตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด โดย อาจจัดให้ผเู้ รยี นแสดงผลงาน แฟม้ สะสมงาน หรอื จัดนทิ รรศการ 3. การจดั กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน หากสถานศึกษามีบุคลากรไมเ่ พียงพอหรอื ไมส่ ามารถจัดกิจกรรมได้อย่าง หลากหลาย สถานศกึ ษาอาจจดั กิจกรรมในลักษณะบูรณาการในกจิ กรรมหรอื โครงการต่าง ๆ เชน่ กจิ กรรมโฮมรูม กจิ กรรมวนั สาคญั กิจกรรมบาเพญ็ ประโยชน์ เปน็ ต้นซ่งึ สถานศึกษาสามารถประเมนิ ผลการเขา้ ร่วมกิจกรรมดงั กลา่ ว และนามาเป็นส่วนหนง่ึ ในการประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนได้
4. การจดั กิจกรรมพัฒนาผ้เู รียนควรมีองค์ประกอบในการดาเนินการ ดงั น้ี 4.1 มีครูทปี่ รกึ ษากจิ กรรม และมีแผนการดาเนนิ กิจกรรม 4.2 มหี ลกั ฐาน ชน้ิ งาน หรอื แฟ้มสะสมงาน 4.3 มีผ้รู บั รองผลการเข้าร่วมกิจกรรม 4.4 มรี ายงานแสดงการเข้ารว่ มกิจกรรม บทบำทของบุคลำกรทเี่ กยี่ วขอ้ ง การดาเนนิ การจดั กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ จาเปน็ อยา่ งยงิ่ ทีต่ อ้ งกาหนด บทบาทหนา้ ท่ีของบุคลากรท่ีเก่ยี วข้อง ซึ่งสถานศึกษาสามารถนาไปเปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ิได้ ตามความเหมาะสม บทบำทของผ้บู รหิ ำรสถำนศึกษำ 1. กาหนดแผนการจดั กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียนไวใ้ นหลักสูตรสถานศกึ ษา และโดยการมีสว่ นรว่ มของ ผเู้ ก่ียวข้องทกุ ฝ่าย 2. ผบู้ ริหารชแี้ จง ทาความเข้าใจ และสรา้ งความตระหนักให้บุคลากรและผู้มสี ว่ นเก่ียวขอ้ งทุกคนเหน็ คณุ ค่า และร่วมมือในการจดั กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น 3. พัฒนาและสง่ เสรมิ สนบั สนุนให้ครูมีความรู้ ความสามารถ ความเช่ยี วชาญ และมีความทนั สมัยในการจัด กิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี นทหี่ ลากหลายสอดคลอ้ งกับความต้องการของผูเ้ รยี นและสถานการณป์ ัจจุบนั อยา่ งต่อเนื่องและ มปี ระสทิ ธิภาพ 4. สร้างเครอื ข่ายและประสานความรว่ มมอื และความเข้าใจอนั ดรี ะหวา่ งสถานศึกษากับผู้เรยี น ผปู้ กครอง ชมุ ชน องค์กรภาครฐั และภาคเอกชนเพ่ือสนบั สนุนการจดั กิจกรรม 5. นิเทศ ตดิ ตาม ให้คาปรกึ ษา ประเมินผล และสรา้ งขวัญกาลงั ใจแกผ่ ูป้ ฏบิ ัตงิ านในการจัดกจิ กรรมพฒั นา ผเู้ รยี น 6. แลกเปลี่ยนเรียนรแู้ ละเผยแพร่ผลงานท่ีประสบผลสาเรจ็ กับหน่วยงานและบุคลากรท่ีเกยี่ วข้อง บทบำทของครผู ู้รบั ผดิ ชอบกิจกรรม 1. ศึกษาหลักการ วัตถปุ ระสงค์ ขอบขา่ ย แนวการจัดกจิ กรรม การประเมินผลพัฒนาผเู้ รียน และจดั กิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียนใหบ้ รรลตุ ามเปา้ หมาย 2. ชี้แจงและทาความเขา้ ใจกับผูเ้ รียนและผู้ปกครองเกี่ยวกับการจัดกจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น 3. ร่วมกบั ผู้เรียนออกแบบกิจกรรมใหส้ อดคลอ้ งกับความสามารถ ความถนัด ความสนใจ ของผู้เรยี น และเปน็ ไปตามหลักการ ปรชั ญา และแนวการจัดกิจกรรมพัฒนานกั เรยี น 4. สง่ เสรมิ กระตุน้ และอานวยความสะดวกใหผ้ เู้ รยี นแสดงความคิดเห็นอย่างอสิ ระในการจดั ทาแผนงาน โครงการ ร่วมปฏบิ ตั ิกิจกรรม และการประเมนิ ผล 5. ใหค้ าปรกึ ษา ดูแล ตดิ ตาม ประสานงาน และอานวยความสะดวกให้แก่ผูเ้ รยี นในการร่วมกจิ กรรมให้ เปน็ ไปตามแผน 6. ประเมินผลการเข้าร่วมกิจกรรมของผู้เรียน และซ่อมเสริมกรณีท่ผี ้เู รยี นไมผ่ ่านเกณฑ์พรอ้ มจดั ทาเอกสาร หลักฐานการประเมนิ ผล 7. รายงานผลการดาเนินกจิ กรรมให้ผ้เู กี่ยวข้องทราบ แล้วนาผลการจดั กิจกรรมมาพัฒนาและปรบั ปรงุ แกไ้ ข 8. แลกเปล่ียนเรียนรูแ้ ละเผยแพร่ผลงานท่ีประสบผลสาเรจ็ กบั หน่วยงานและบุคลากรท่ีเก่ียวขอ้ ง
บทบำทของผู้เรยี น 1. ศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ตนเอง และเขา้ ร่วมกิจกรรมตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถ หรือ ตามข้อเสนอแนะของสถานศึกษา 2. เขา้ รับการปฐมนเิ ทศจากครผู ู้รับผดิ ชอบกจิ กรรม 3. รว่ มประชมุ เลือกตั้งคณะกรรมการฝา่ ยต่าง ๆ ตามลักษณะของกจิ กรรม 4. รว่ มประชุมจดั ทาแผนงาน โครงการ ปฏทิ นิ งาน และปฏิบัติกจิ กรรม ด้วยความเอาใจใส่อยา่ งสม่าเสมอ 5. รว่ มประเมินการปฏิบตั ิกจิ กรรมและนาผลมาพฒั นาตนเอง และนาเสนอผลการปฏิบตั ิกจิ กรรมต่อครู ผ้รู บั ผดิ ชอบ 6. แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ถอดประสบการณ์ ทบทวน และสะท้อนความรสู้ ึกภายหลังการปฏบิ ตั ิกิจกรรม (After Action Review : AAR) รวมทั้งสร้างเครือขา่ ยจติ อาสาและขยายผลต่อยอดสู่ความยง่ั ยืน บทบำทของคณะกรรมกำรสถำนศึกษำ 1. ใหค้ วามเหน็ ชอบและมีส่วนรว่ มในการกาหนดวางแผนดาเนนิ กจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 2. ส่งเสริมสนับสนุนการดาเนนิ การจดั กิจกรรมพัฒนาผูเ้ รยี นตามความเหมาะสม บทบำทของผูป้ กครองและชุมชน 1. มสี ่วนรว่ มในการวางแผนการจดั กจิ กรรม และอาสารว่ มกิจกรรมต่าง ๆ ของ สถานศกึ ษาและชุมชน 2. ยอมรับในศักยภาพของผเู้ รียน ให้โอกาสให้ผเู้ รยี นไดส้ ารวจตนเองเพื่อประกอบ การตัดสนิ ใจในการเลือกแผนการเรยี น การศึกษาต่อ และการประกอบอาชพี 3. ดแู ล เอาใจใส่ผ้เู รียน และใหข้ ้อมลู ที่เปน็ ประโยชน์ตอ่ การพัฒนา ป้องกัน และ แกไ้ ขปัญหาของผูเ้ รียน 4. เปน็ ที่ปรกึ ษาหรือแนะแนวทางการดาเนินชวี ติ ท่ดี งี ามให้แกผ่ ู้เรยี น 5. รว่ มมอื กบั สถานศึกษาเพ่อื ตดิ ตามประเมนิ ผลพฒั นาและการปฏบิ ัติกิจกรรมของผเู้ รียน
บทท่ี 2 แนวกำรจดั กิจกรรมพัฒนำผู้เรยี น (แนะแนว) ขอบขำ่ ยกำรจัดกิจกรรมพัฒนำผ้เู รียน แนวการจัดกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี นตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐานพุทธศักราช 2551 เป็นการ จัดกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี นให้ครอบคลมุ 3 ลักษณะ คือ กิจกรรมแนะแนว กจิ กรรมนกั เรยี น และกิจกรรมเพ่ือสังคม และสาธารณประโยชน์ โดยเสนอไว้เป็นระบบเพื่อใหผ้ เู้ กีย่ วข้องเห็นภาพกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และสามารถนาไป ประยกุ ตใ์ ช้ได้ตามความเหมาะสม ดงั น้ี แนวกำรจัดกิจกรรมแนะแนว กิจกรรมแนะแนวมุ่งสง่ เสริมพัฒนาผเู้ รียนใหพ้ ฒั นาตนเองอยา่ งเต็มตามศกั ยภาพรักและเห็นคณุ ค่าในตนเอง และผอู้ ืน่ พ่ึงตนเอง มีทักษะในการเลอื กแนวทางการศึกษาการงานและอาชีพ ชีวติ และสังคม มสี ุขภาพจิตทดี่ ีและมี จิตสานึกในการทาประโยชน์ต่อครอบครัวสงั คม และประเทศชาติ หลกั กำร หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนดคุณภาพผ้เู รียนระดบั การศึกษาขนั้ พืน้ ฐานไว้ 2 ส่วน เพื่อใหเ้ กิดสมรรถนะสาคัญ 5 ประการ ได้แก่ ความสามารถในการสอื่ สาร ความสามารถในการ คิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต และความสมารถในการใชเ้ ทคโนโลยี และ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 8 ประการไดแ้ ก่ รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ซ่ือสัตย์สจุ ริต มวี ินยั ใฝ่เรียน อยู่อยา่ งพอเพียง มุ่งมน่ั ในการทางาน รกั ความเป็นไทย และจติ สาธารณะ ดังนัน้ การจดั กิจกรรมแนะแนวจึงต้องมีการส่งเสรมิ และสนับสนนุ เพอ่ื พัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรยี นรู้ อันจะ นาไปส่สู มรรถนะที่สาคญั 5 ประการและคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ 8 ประการ นาไปบูรณาการในการจดั กจิ กรรม ตามลักษณะของกจิ กรรมแนะแนวทีร่ ะบไุ ว้ในหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 อีกท้งั สง่ เสรมิ พัฒนาผเู้ รยี นให้มีทกั ษะชวี ิตโดยมงุ่ จดั กจิ กรรมใหส้ อดคล้องกับสภาพปัญหา ความต้องการ ความสนใจ ธรรมชาติของผู้เรียนและวิสัยทศั น์ของสถานศกึ ษา ทีต่ อบสนองจุดมุ่งหมายหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 ให้ครอบคลมุ ทงั้ ด้านการศึกษา การงานและอาชีพ รวมทั้งชวี ิตและสังคมเน้นผู้เรยี นเป็นสาคัญ โดยผ้เู รียนมีอิสระในการคดิ และตัดสนิ ใจดว้ ยตนเอง เรยี นรดู้ ้วยตนเองด้วยการปฏบิ ตั จิ นกระท่ังเกิดทกั ษะชีวิตหรือ การเรยี นรู้ ตลอดจนครูทกุ คนมีส่วนรว่ มในการจัดกิจกรรมโดยมีครแู นะแนวเป็นพี่เลยี้ งและประสานงาน วัตถปุ ระสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ รูจ้ กั เข้าใจ รัก และเหน็ คุณค่าในตนเองและผอู้ ่นื 2. เพื่อให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้ สามารถวางแผนการเรยี น อาชพี รวมท้งั การดาเนนิ ชีวิตสงั คม 3. เพื่อให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ สามารถปรับตัวให้อย่างเหมาะสม และอยรู่ ว่ มกับผู้อ่ืนไดอ้ ย่างมคี วามสุข
ขอบข่ำย การจัดกจิ กรรมแนะแนวมีองค์ประกอบ 3 ด้าน ดงั น้ี 1. ดา้ นการศึกษา ใหผ้ ้เู รียนไดพ้ ัฒนาตนเองในดา้ นการเรียนอย่างเตม็ ตามศกั ยภาพรจู้ ักแสวงหาและให้ ข้อมูลประกอบการวางแผนการเรียนหรือการศึกษาตอ่ ได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพมีนสิ ัยใฝ่เรียน มวี ิธีการเรียนรู้ และ สามารถวางแผนการเรยี นหรือการศกึ ษาต่อได้อยา่ งเหมาะสม 2. ดา้ นการงานและอาชพี ใหผ้ ูเ้ รยี นได้รูจ้ กั ตนเองในทุกด้าน รู้และเขา้ ใจโลกของงานอาชีพอยา่ ง หลากหลาย มีเจตคตทิ ี่ดีตอ่ อาชพี สจุ ริต มกี ารเตรยี มตัวส่อู าชพี สามารถวางแผนเพ่ือประกอบอาชีพตามทต่ี นเองมี ความถนดั และสนใจ 3. ดา้ นชวี ติ และสังคม ใหผ้ ้เู รียนรจู้ ักและเข้าใจตนเอง รกั และเหน็ คุณค่าในตนเองและผู้อนื่ รกั ษ์ สง่ิ แวดล้อม มวี ฒุ ภิ าวะทางอารมณ์ มีเจตคตทิ ่ีดตี ่อการมชี วี ติ ท่ดี มี ีคณุ ภาพ มีทักษะและสมารถปรับตัวให้ดารงชวี ติ อย่ใู นสังคมได้อยา่ งมคี วามสขุ แนวกำรจดั กจิ กรรม 1. สารวจสภาพปญั หา ความต้องการ ความสนใจ และธรรมชาตขิ องผูเ้ รยี น เพ่อื ใช้เปน็ ข้อมลู ในการกาหนดแนวทางและแผนการปฏบิ ัติกิจกรรมแนะแนว 2. ศกึ ษาวิสัยทศั น์ของสถานศกึ ษาและวเิ คราะห์ข้อมลู ของผู้เรียนที่ได้จากฐานข้อมลู ผเู้ รยี นรายบคุ คล หรอื การสารวจเพอ่ื ทราบปัญหา ความตอ้ งการ และความสนใจ เพื่อนาไปกาหนดสาระและรายละเอียดของกจิ กรรม แนะแนว 3. กาหนดสดั ส่วนกิจกรรมด้านการศึกษา การงานและอาชีพ รวมทั้งชวี ติ และสังคมใหไ้ ด้สดั สว่ นทเ่ี หมาะสม โดยยึดสภาพปญั หา ความต้องการ ความสนใจ ตลอดจนธรรมชาติของผเู้ รียนเปน็ หลัก ทงั้ นีค้ รแู ละผเู้ รยี นมสี ่วน ร่วมในการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม 4. กาหนดแผนการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมแนะแนว โดยระดบั ประถมศึกษาจัดเป็นรายปี / ระดับมธั ยมศกึ ษา จดั เป็นรายภาค เมื่อกาหนดสัดส่วนของกจิ กรรมในแตล่ ะดา้ นแลว้ จะตอ้ งระบวุ า่ จัดกิจกรรมแนะแนวในดา้ นใด จานวนก่ชี ว่ั โมง พรอ้ มทั้งจะต้องกาหนดรายละเอยี ดของแต่ละด้านใหช้ ัดเจนวา่ ควรมเี รอ่ื งอะไรบ้าง เพื่อจะไดจ้ ดั ทา เป็นรายละเอยี ดของแตล่ ะกิจกรรมยอ่ ยต่อไป 5. การจัดทารายละเอยี ดของแต่ละแผนการปฏบิ ตั ิกิจกรรม เร่ิมตั้งแตก่ ารกาหนดชือ่ กิจกรรม จุดประสงค์ เวลา เนอ้ื หา / สาระวธิ ดี าเนนิ กิจกรรม สือ่ / อุปกรณ์ และการประเมินผล 6. ปฏิบัติตามแผนการปฏิบตั ิกจิ กรรมแนะแนว วัดและประเมินผล และสรุปรายงาน กำรประเมินกจิ กรรมแนะแนว ในการประเมินผลการจัดกจิ กรรมแนะแนว ครผู รู้ บั ผิดชอบการจดั กิจกรรมแนะแนวผเู้ รียน และผ้ปู กครอง มีภารกิจทร่ี บั ผิดชอบ ดงั นี้ 1. ครูผู้จัดกิจกรรมแนะแนว 1.1 จดั กจิ กรรมเพื่อพฒั นาผูเ้ รียน ใหเ้ กดิ คุณลักษณะตามวตั ถปุ ระสงค์ สอดคล้องกบั วิสัยทศั นท์ ่ี สถานศึกษากาหนดและตามสภาพความต้องการและปญั หาของผู้เรียน 1.2 รายงานเวลาและพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรม 1.3 ศึกษา ติดตาม และพฒั นาผู้เรียนในกรณที ่ผี ้เู รียนไม่เข้ารวมกิจกรรม 1.4 ประเมินผลผ้เู รียน โดยดูจากพัฒนาการของผเู้ รียนตามวัตถปุ ระสงค์ทก่ี าหนดเปน็ สาคัญ ในกรณที ี่ผล การประเมินยังไมผ่ ่านใหค้ รูผู้จดั กจิ กรรมดาเนินการซ่อมเสรมิ โดยผ้เู รียนปฏบิ ัตกิ ิจกรรมซ้าหรอื ปฏบิ ัติกิจกรรม
เพ่ิมเติม จนกระทง่ั ผบู้ รรลุคุณลกั ษณะตามวตั ถปุ ระสงคข์ องกจิ กรรมหรือผ่านการประเมินตามเกณฑ์ทส่ี ถานศึกษา กาหนด 1.5 บันทกึ ผลการติดตามและประเมินผลผ้เู รยี นไว้เปน็ หลักฐาน 2. ผู้เรยี น 2.1 มเี วลาเขา้ ร่วมกจิ กรรมแนะแนวตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด โดยมีหลกั ฐานแสดงเวลาการเขา้ ร่วม กจิ กรรม 2.2 ปฏิบัติกจิ กรรมตามท่ีครูผู้รับผดิ ชอบมอบหมาย ถา้ ไมผ่ ่านให้ปฏิบตั กิ ิจกรรมซา้ หรือปฏบิ ตั เิ พ่ิมเติม และ มชี น้ิ งาน/ ผลงาน / คณุ ลกั ษณะตามที่ครูผูจ้ ัดกจิ กรรมมอบหมายให้ปฏบิ ัติ 3. ผูป้ กครอง ผ้ปู กครองควรมสี ่วนร่วมในการประเมนิ ผลพฒั นาการของผเู้ รยี น และมกี ารบันทึกสรปุ พฒั นาการและการ ปฏิบตั กิ ิจกรรมของผเู้ รียน บทท่ี 3 แนวกำรจัดกิจกรรมนักเรียน หลักกำร กจิ กรรมนักเรียนเป็นกจิ กรรมท่สี ง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนได้เขา้ รว่ มกจิ กรรมตามความถนดั และความสนใจ โดยเนน้ เร่ืองคุณธรรมจรยิ ธรรม ความมรี ะเบียบวินยั การไม่เห็นแก่ตวั ความเปน็ ผนู้ าผ้ตู ามทด่ี ี ความรับผดิ ชอบ การทางาน ร่วมกนั การรูจ้ กั แกป้ ญั หา การตัดสินใจ ความมเี หตผุ ลการชว่ ยเหลอื แบ่งปนั กัน และความเอ้ืออาทรและสมานฉันท์ การจัดกจิ กรรมนักเรียนควรดาเนนิ การ ดังนี้ 1. จดั ใหส้ อดคล้องกบั ความสามารถและความสนใจของผูเ้ รียน 2. เน้นใหผ้ ูเ้ รยี นไดป้ ฏบิ ัติดว้ ยตนเองในทกุ ขัน้ ตอน 3. เนน้ การทางานร่วมกนั เปน็ กลมุ่ ตามความเหมาะสมและสอดคล้องกบั วฒุ ภิ าวะ ของผูเ้ รยี น ตลอดจนบรบิ ทของสถานศกึ ษาและทอ้ งถิ่น วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื พัฒนาผเู้ รยี นให้มรี ะเบียบวินยั มคี วามเป็นผนู้ าผูต้ ามทดี่ ี และมีความรับผดิ ชอบ 2. เพอ่ื พัฒนาผ้เู รียนให้มที ักษะการทางานรว่ มกัน รจู้ กั การแก้ปัญหา มเี หตผุ ล มีการ ตัดสนิ ใจทเ่ี หมาะสม ช่วยเหลอื แบ่งปนั และเอื้ออาทรและสมานฉนั ท์ 3. สง่ เสรมิ สนบั สนุนให้ผเู้ รยี นมีคณุ ธรรมจริยธรรม และคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 4. สง่ เสรมิ และสนบั สนนุ ให้ผู้เรียนไดป้ ฏิบัตกิ จิ กรรมตามความถนัดและความสนใจ ขอบขำ่ ย กจิ กรรมนักเรียน ประกอบดว้ ย 1. กิจกรรมลกู เสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผบู้ าเพญ็ ประโยชน์ และนักศึกษาวชิ าทหารสถานศกึ ษาใหผ้ เู้ รยี น เลือกกจิ กรรมใดกจิ กรรมหนง่ึ ทง้ั นใี้ ห้สอดคล้องกบั ความพร้อมและบริบทของสถานศกึ ษา 2. กิจกรรมชุมนมุ ชมรมสถานศึกษาสง่ เสริมให้ผเู้ รียนจดั กิจกรรมอย่างหลากหลาย และเข้าร่วมกจิ กรรมตามความถนัดและความสนใจทั้งนี้ นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาและมัธยมศึกษาตอนตน้ จะต้องเขา้ รว่ มกจิ กรรมท้ังใน ขอ้ 1 และ 2 สาหรบั นกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลายสามารถเลอื กเข้ารว่ มกจิ กรรมในขอ้ 1 หรือ 2 กิจกรรมใดกิจกรรมหน่ึง
กิจกรรมลูกเสอื เนตรนำรี กระบวนการลูกเสือ คอื กระบวนการพัฒนาเยาวชน มีวัตถุประสงค์เพอ่ื ฝึกอบรม ให้การศึกษาและพฒั นา เยาวชนให้เปน็ พลเมอื งดี โดยไมค่ านึงถึงเชื้อชาติ ศาสนา ทัง้ น้ีเปน็ ไปตามความมุ่งประสงคห์ ลักการ และวธิ กี าร ซง่ึ ลูกเสอื โลกได้กาหนดไว้ปจั จบุ ันกระบวนการลูกเสือถือเปน็ กระบวนการทางการศึกษาสว่ นหน่ึง ซง่ึ ม่งุ พฒั นา สมรรถภาพของบุคคลทั้งทางสมอง รา่ งกาย จิตใจ และศีลธรรม เพ่ือให้เปน็ บุคคลที่มีความประพฤติดีงาม ไมก่ ระทา ตนให้เป็นปญั หาต่อสังคม และดารงชวี ิตอยา่ งมคี วามหมายและสขุ สบาย หลกั กำร กระบวนการลูกเสือมีหลักการสาคัญ ดังนี้ 1. มีศาสนาเปน็ หลักยึดทางจิตใจ จงรักภักดตี ่อศาสนาทีต่ นเคารพนบั ถือ และพึงปฏบิ ตั ศิ าสนกิจด้วยความ จริงใจ 2. จงรักภกั ดีตอ่ พระมหากษัตรยิ ์และประเทศชาตขิ องตนพร้อมด้วยการสง่ เสริมและสนบั สนุนสันตสิ ุขและ สนั ตภิ าพ ความเข้าใจทดี่ ีซ่ึงกันและกนั และความร่วมมือซึง่ กันและกนั ตง้ั แตร่ ะดับท้องถ่นิ ระดับชาติ และระดบั นานาชาติ 3. เข้าร่วมพฒั นาสงั คม ยอมรับและใหค้ วามเคารพในเกยี รตแิ ละศักดศ์ิ รีของผู้อ่นื และเพ่ือนมนษุ ย์ทกุ คน รวมทั้งธรรมชาตแิ ละสรรพสิ่งทงั้ หลายในโลก 4. มคี วามรับผิดชอบต่อการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง 5. ลูกเสอื ทกุ คนต้องยึดม่นั ในคาปฏญิ าณและกฎของลกู เสือ วตั ถุประสงค์ พระราชบญั ญตั ลิ ูกเสือ พ.ศ. 2551 มาตรา 8 ได้กาหนดวัตถปุ ระสงค์ของการฝกึ อบรมลูกเสอื เพ่อื พัฒนา ลกู เสอื ทั้งทางกาย สตปิ ัญญา จติ ใจ และศลี ธรรม ให้เปน็ พลเมอื งดีมีความรบั ผดิ ชอบ และช่วยสรา้ งสรรค์สงั คมให้ เกิดความสามัคคีและมีความเจรญิ ก้าวหนา้ ทงั้ นีเ้ พ่ือความสงบสขุ และความมน่ั คงของประเทศชาตติ ามแนวทาง ดังต่อไปนี้ 1. ให้มีนิสยั ในการสังเกต จดจา เช่อื ฟัง และพึง่ ตนเอง 2. ใหม้ คี วามซ่ือสตั ยส์ จุ ริต มรี ะเบียบวินยั และเหน็ อกเห็นใจผู้อนื่ 3. ให้รู้จกั บาเพญ็ ตนเพื่อสาธารณประโยชน์ 4. ใหร้ ู้จักทาการฝีมือและฝึกฝนการทากจิ กรรมต่าง ๆ ตามความเหมาะสม 5. ใหร้ ู้จักรักษาและส่งเสริมจารตี ประเพณี วฒั นธรรม และความมน่ั คงของประเทศชาติ ขอบข่ำย กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี เปน็ กจิ กรรมท่ีมุ่งปลกู ฝงั ระเบยี บวนิ ัยและกฎเกณฑ์ เพอ่ื การอยู่ร่วมกนั ให้รจู้ ัก การเสยี สละและบาเพ็ญประโยชนแ์ กส่ ังคมและวิถีชีวิตในระบอบประชาธปิ ไตยซึ่งการจัดกจิ กรรมลูกเสือ เนตรนารี ให้เปน็ ไปตามข้อบงั คบั ของสานักงานลูกเสือแห่งชาติ รวมทงั้ ใหส้ อดคล้องกบั หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 โดยกาหนดหลกั สูตร เป็น 4 ประเภท ดงั นี้
1. ลกู เสือสารอง ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1-3 2. ลกู เสือสามัญ ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 3. ลกู เสอื สามัญรุน่ ใหญ่ ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 4. ลูกเสอื วิสามัญ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 4-6 แนวกำรจัดกจิ กรรม การจัดกิจกรรมลูกเสอื เนตรนารี มีแนวทางการจัดกจิ กรรมตามวิธีการลกู เสอื (Scout Method) ซ่งึ มีองค์ประกอบ 7 ประการ คอื 1. คำปฏิญำณและกฎ ถือเป็นหลักเกณฑ์ที่ลกู เสือทุกคนให้คามั่นสัญญา ว่าจะปฏิบตั ติ ามกฎของลูกเสือ กฎ ของลูกเสอื มีไว้ให้ลูกเสอื เปน็ หลักในการปฏบิ ัติ ไมไ่ ด้ “หา้ ม” ทา หรอื “บังคับ” ใหท้ า แต่ถา้ “ทา” กจ็ ะทาใหเ้ กิดผล ดีแกต่ ัวเอง เปน็ คนดี ได้รับการยกยอ่ งว่าเปน็ ผมู้ ีเกียรติเชอื่ ถือได้ ฯลฯ 2. เรยี นรู้จำกกำรกระทำ เปน็ การพัฒนาสว่ นบุคคล ความสาเรจ็ หรือไม่สาเรจ็ ของผลงานอยู่ทก่ี ารกระทา ของตนเอง ทาใหม้ คี วามรทู้ ่ีชัดเจน และสามารถแก้ปญั หาต่าง ๆดว้ ยตวั เองได้ และทา้ ทายความสามารถของตนเอง 3. ระบบหมู่ เป็นรากฐานอันแทจ้ ริงของการลูกเสือ เป็นพื้นฐานในการอยรู่ ่วมกันการยอมรบั ซึง่ กนั และกนั การแบง่ หนา้ ที่ความรบั ผดิ ชอบ การช่วยเหลอื ซึง่ กันและกัน ซ่งึ เปน็ การเรียนรู้ การใชป้ ระชาธิปไตยเบือ้ งตน้ 4. กำรใชส้ ญั ลกั ษณ์ร่วมกัน ฝึกใหม้ คี วามเป็นหน่ึงเดยี วในการเป็นสมาชกิ ลกู เสือเนตรนารี ดว้ ยการใช้ สัญลกั ษณร์ ว่ มกัน ไดแ้ ก่ เครือ่ งแบบ เครื่องหมาย การทาความเคารพ รหัสคาปฏิญาณ กฎ คติพจน์ คาขวญั ธง เป็น ตน้ วิธีการนจี้ ะช่วยใหผ้ เู้ รยี นตระหนักและภาคภูมใิ จในการเปน็ สมาชิกขององค์การลูกเสือโลก ซง่ึ มสี มาชิกอยูท่ ่ัวโลก และเปน็ องค์กรท่ีมีจานวนสมาชิก มากทสี่ ดุ ในโลก 5. กำรศกึ ษำธรรมชำติ คอื สง่ิ สาคญั อันดับหนง่ึ ในกจิ กรรมลกู เสอื ธรรมชาติอันโปร่งใสตามชนบท ปา่ เขา ป่าละเมาะ และพุ่มไม้ เป็นท่ีปรารถนาอย่างยง่ิ ในการไปทากจิ กรรมกับธรรมชาติ การปนี เขา ตั้งคา่ ยพักแรมในสุด สัปดาห์หรือตามวาระของการอยคู่ ่ายพักแรมตามกฎระเบยี บ เปน็ ท่เี สน่หาแกเ่ ด็กทุกคน ถา้ ขาดสิง่ น้แี ลว้ ก็ไมเ่ รยี กวา่ ใชช้ วี ติ แบบลกู เสอื 6. ควำมก้ำวหน้ำในกำรเข้ำรว่ มกิจกรรม กจิ กรรมตา่ ง ๆ ที่จดั ใหเ้ ดก็ ทาต้องใหม้ ีความก้าวหน้าและดงึ ดดู ใจ สร้างใหเ้ กิดความกระตือรือรน้ อยากทจี่ ะทา และวัตถุประสงคใ์ นการจดั แตล่ ะอย่างให้สัมพนั ธ์กบั ความ หลากหลายในการพัฒนาตนเอง เกมการเล่นทส่ี นุกสนานการแขง่ ขันกันก็เปน็ สง่ิ ดงึ ดูดใจและเป็นการจงู ใจที่ดี 7. กำรสนับสนนุ โดยผใู้ หญ่ ผูใ้ หญ่เป็นผทู้ ่ีชแ้ี นะหนทางที่ถูกตอ้ งให้แก่เดก็ เพื่อให้เขาเกิดความม่ันใจในการ ทีจ่ ะตดั สนิ ใจกระทาสง่ิ ใดลงไป ทงั้ คมู่ ีความต้องการซ่ึงกนั และกนั เด็กก็ต้องการใหผ้ ใู้ หญ่ช่วยช้ีนา ผูใ้ หญเ่ องก็ต้องการ นาพาให้ไปส่หู นทางที่ดี ให้ได้รับการพัฒนาอยา่ งถกู ต้องและดีท่สี ุด จงึ เปน็ การร่วมมือกันทั้งสองฝา่ ย เง่อื นไข 1. เวลาในการเข้าร่วมกจิ กรรมการจัดกจิ กรรมลูกเสือ เนตรนารตี ามหลักสตู รในแต่ละระดับชัน้ สถานศกึ ษา อาจจดั เวลาไดต้ ามความเหมาะสมส่วนการจดั กจิ กรรมเพือ่ รับเครือ่ งหมายวชิ าพิเศษของลูกเสอื เนตรนารี แตล่ ะ ประเภทอาจใชใ้ นเวลาเรียนปกติหรอื นอกเวลาเรยี นก็ได้ 2. การจัดกจิ กรรม 2.1 การจดั กิจกรรมลกู เสือ เนตรนารตี ามหลกั สตู ร ควรจัดใหม้ ีการเปิดประชุมกอง ทุกคร้ัง เพ่ือเป็นการฝกึ ความมรี ะเบียบวินยั ในตนเอง โดยปฏิบัตติ ามข้ันตอน ดงั น้ี 2.1.1 พธิ เี ปิด (ชกั ธงขึน้ สวดมนต์ สงบน่ิง ตรวจ แยก) 2.1.2 เกมหรือเพลง
2.1.3 เรยี นตามหลกั สูตร 2.1.4 การเล่าเรือ่ งส้นั ท่เี ปน็ ประโยชน์ 2.1.5 พิธีปิด (นัดหมาย ตรวจ ชกั ธงลง เลกิ ) 2.2 กจิ กรรมการอยู่คา่ ยพักแรม การเดนิ ทางไกลและอย่คู า่ ยพักแรม มีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือฝึกให้ลกู เสอื มคี วามอดทน อย่ใู นระเบียบ วินยั รจู้ ักช่วยตวั เอง รูจ้ กั อยแู่ ละทางานร่วมกับผ้อู ื่น ตลอดจนเรยี นวิชาลูกเสอื เพิม่ เติม ผบู้ ังคบั บญั ชาลูกเสือ จาเป็น ตอ้ งวางแผนนาลูกเสอื ไปเดินทางไกล และอยคู่ า่ ยพักแรมไว้ใหพ้ ร้อมกอ่ นและเน่นิ ๆ ดังน้นั บทบาทผู้บังคับบญั ชา ลกู เสอื ทีม่ หี นา้ ท่ีรับผิดชอบต่อลูกเสอื ต่องานการอยคู่ ่ายพักแรม และตามหนา้ ทขี่ องตนเองจึงจาเปน็ ต้องหาโอกาสให้ ลูกเสอื ของตนได้มีโอกาสในการอยคู่ ่ายพักแรมเสมอ ใหผ้ ู้กากบั ลูกเสือนาลูกเสือไปฝกึ เดนิ ทางไกล และอยูค่ ่ายพักแรมปหี นึ่งไม่น้อยกว่า ๑ ครั้ง ครงั้ หน่งึ ใหอ้ ยู่ ค่ายพักแรมอย่างน้อย 1 คนื 2.3 กจิ กรรมพธิ กี าร สถานศึกษาควรจดั กจิ กรรมพธิ ีการลูกเสือ เชน่ พิธีเข้าประจากองพธิ ที บทวนคา ปฏิญาณและสวนสนาม พิธีถวายราชสดุดี พธิ ีประดับเคร่ืองหมายต่าง ๆ เป็นตน้ เพอ่ื ใหล้ ูกเสอื มคี วามภาคภูมใิ จและ เห็นคณุ คา่ ในการเป็นลูกเสอื 2.4 กจิ กรรมบาเพ็ญประโยชน์ สถานศึกษาควรส่งเสริมการจดั กจิ กรรมให้ลูกเสือได้บาเพญ็ ประโยชนต์ าม อุดมการณข์ องลูกเสือ 3. ผบู้ ังคบั บญั ชาลูกเสือควรผ่านการฝกึ อบรมวชิ าผูก้ ากับลูกเสือขัน้ ความร้เู บ้ืองต้นในแต่ละประเภท 4. สถานศกึ ษาควรใหม้ กี ารจัดตัง้ กลมุ่ หรือกองลกู เสอื ตามข้อบงั คบั คณะลกู เสือแหง่ ชาติ กำรประเมินกจิ กรรม การประเมินกิจกรรมลกู เสอื เนตรนารี เปน็ กระบวนการทดสอบความสามารถและพฒั นาการด้านตา่ ง ๆ ของผเู้ รียนลกู เสือ เนตรนารี ซง่ึ นอกจากพจิ ารณาความร้ตู ามทฤษฎีแล้วตอ้ งพิจารณาดา้ นความประพฤติ พฤติกรรม การเข้าร่วมกิจกรรมทเ่ี น้นทักษะและการปฏบิ ัติต่าง ๆดว้ ยวธิ ีการประเมนิ ทห่ี ลากหลายและการประเมินตามสภาพ จรงิ ซงึ่ แบ่งการประเมินผลออกเป็น 2ส่วน คือ 1. กิจกรรมบังคบั เปน็ การประเมนิ ผลกิจกรรมตามหลักสูตร เพอ่ื ให้ผู้เรยี นผา่ นเกณฑก์ ารตดั สิน เล่อื นชนั้ หรือจบหลกั สตู ร โดยการเข้าร่วมกิจกรรมและผา่ นการประเมินตามเกณฑ์ท่ีสถานศกึ ษากาหนด มกี ารประเมนิ ผล ตลอดภาคเรียน/ปี โดยวิธกี ารสังเกตการเขา้ ร่วมกิจกรรมการซกั ถาม การทดสอบภาคทฤษฎีและปฏิบัติ โดยกาหนด ผลการประเมนิ เปน็ “ผา่ น” และ“ไมผ่ ่าน” ผำ่ น หมายถงึ ผ้เู รยี นมีเวลาเข้าร่วมกจิ กรรมครบตามเกณฑ์ ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมและมี ผลงาน/ ช้ินงาน/คณุ ลักษณะตามเกณฑท์ ่ีสถานศึกษากาหนด ไม่ผ่ำน หมายถึง ผ้เู รียนมเี วลาเข้าร่วมกิจกรรมไม่ครบตามเกณฑ์ ไม่ผา่ น การปฏิบตั ิกิจกรรม หรือมผี ลงาน/ชิ้นงาน/คณุ ลักษณะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ทสี่ ถานศึกษากาหนด 2. วิชำพิเศษ การประเมนิ ผลวิชาพิเศษในแตล่ ะวิชา ใชว้ ธิ ีการทดสอบท้ังภาคทฤษฎแี ละภาคปฏิบัติ ตาม หลักเกณฑใ์ นข้อบังคบั คณะลูกเสอื แห่งชาติ *** วิชาพเิ ศษ คือ วชิ าที่กาหนดขน้ึ เพื่อให้ผเู้ รยี นเลือกเรยี นตามความถนดั และความสนใจนอกเหนือจาก การเรียนตามหลกั สตู รลูกเสือแต่ละประเภท
กิจกรรมยุวกำชำด กิจกรรมยุวกาชาดเป็นกจิ กรรมทม่ี งุ่ พฒั นาผ้เู รยี นให้มีคณุ ธรรมจริยธรรม ระเบียบวินยั มีจิตสานึกในการทา ประโยชน์ให้แก่สงั คม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ของสังคมไทย โดยให้ผู้เรยี นเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเองอย่างครบ วงจร เน้นทกั ษะ กระบวนการต้งั แต่ศึกษาวเิ คราะหว์ างแผน ปฏบิ ัตติ ามแผน ประเมิน ปรบั ปรงุ การทางาน และการ ทางานรว่ มกันเป็นกลุม่ หลักกำร กิจกรรมยวุ กาชาดมีหลักการของการจัดกจิ กรรม ดงั น้ี 1. เป็นกจิ กรรมทีส่ ร้างพื้นฐานในการคิดและปฏิบัตติ ามหลักการกาชาดและยุวกาชาดกฎหมายมนุษยชน และสทิ ธมิ นษุ ยชน รวมท้ังทักษะในการจดั การ ทักษะในการดาเนินชวี ติ สามารถคดิ เป็น ทาเปน็ และแกป้ ญั หาได้ 2. มีความเป็นเอกภาพและมีความหลากหลายในกจิ กรรม กลา่ วคอื เป็นกจิ กรรมท่ีมีโครงสรา้ งหลกั สูตร ยืดหยุน่ ท้งั นเ้ี พื่อความจาเป็นและความสอดคล้องสาหรบั การพฒั นาคุณภาพชีวิต ความเป็นไทย และความเป็น พลเมืองดขี องชาติ 3. สามารถสนองตอบต่อสภาพความต้องการทแ่ี ทจ้ รงิ ของสถานศกึ ษาและท้องถน่ิ วัตถุประสงค์ กจิ กรรมยุวกาชาด เป็นการจัดกจิ กรรมที่มุ่งเนน้ การพฒั นาคณุ ธรรมจริยธรรมในระบบหน่วย กลุ่ม หมู่ เพ่ือให้มีความรู้ ความเข้าใจ และเกดิ ทักษะเกีย่ วกับการปฏิบัติตามหลักการกาชาดและยุวกาชาด การค้มุ ครอง กฎหมายมนษุ ยธรรม สิทธมิ นุษยธรรม การช่วยเหลือ การรักษาสขุ ภาพ และสมรรถภาพทด่ี ี บาเพ็ญตนให้เป็น ประโยชน์ตอ่ สว่ นรวม อนรุ กั ษ์สงิ่ แวดล้อม การสรา้ งสมั พันธภาพและความเข้าใจอนั ดจี ะนาไปสูส่ ันตภิ าพ กอ่ ให้เกดิ ความสุขในการอยรู่ ว่ มกันทุกแห่งหนจึงกาหนดจดุ มงุ่ หมายให้ผเู้ รียนเกดิ คุณลักษณะอันพึงประสงคด์ ังต่อไปนี้ 1. มอี ุดมคติในศานติสุข มคี วามจงรักภักดตี ่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 2. มีความรู้ ความชานาญในเรือ่ งการรักษาอนามัยของตนเองและผู้อ่ืน ตลอดจนพัฒนาตนเองทางร่างกาย จติ ใจ คณุ ธรรม และธารงไว้ซ่ึงเอกลักษณ์ทางวฒั นธรรมของชาติ 3. มคี วามรู้ ความเข้าใจในหลักการและอดุ มการณก์ าชาด มีคุณธรรมจรยิ ธรรม และมจี ติ ใจเมตตากรุณาต่อ เพ่ือนมนุษย์ 4. บาเพ็ญตนใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ ่อผอู้ ่นื ชมุ ชน สงั คม และประเทศชาติ 5. มีจิตสานึกในการอนุรกั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม 6. มีสัมพนั ธภาพและมติ รภาพทด่ี ตี ่อบุคคลท่ัวไป
ขอบข่ำย การจัดกจิ กรรมยุวกาชาด กาหนดโครงสร้างหลกั สูตรยุวกาชาดในสถานศึกษาเป็น 4 ระดับ ดงั น้ี ยุวกาชาดระดบั 1 ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1-3 ยุวกาชาดระดบั 2 ชนั้ ประถมศกึ ษาปีที่ 4-6 ยวุ กาชาดระดบั 3 ชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1-3 ยุวกาชาดระดับ 4 ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4-6 แนวกำรจัดกจิ กรรม การจัดกจิ กรรมยวุ กาชาด ประกอบด้วยกจิ กรรมหลกั และกิจกรรมพเิ ศษ ดังน้ี 1. กิจกรรมหลัก หมายถึง กจิ กรรมซง่ึ เปน็ พ้นื ฐานสาคัญท่ีสมาชิกยวุ กาชาดทุกคนต้องเข้ารว่ มกจิ กรรม กิจกรรมหลักประกอบดว้ ย 4 กลุ่มกจิ กรรม คอื 1.1 กลมุ่ กิจกรรมกาชาดและยวุ กาชาด เปน็ การจัดกิจกรรมเพื่อสง่ เสริมใหส้ มาชิกยวุ กาชาดมีความรู้ ความ เข้าใจในหลกั การและอุดมการณ์ของกาชาด มีศรทั ธาในการเข้ารว่ มกจิ กรรมด้วยความเสียสละ เป็นคนดี มคี ุณธรรม ช่วยสร้างสรรค์สงั คม เปน็ ผู้นาในการเผยแพรก่ จิ กรรมกาชาดและยวุ กาชาด กฎหมายมนุษยธรรมระหวา่ งประเทศ ส่งเสริมศกั ยภาพ คณุ ค่าของความเป็นมนุษย์ บทบาทชาย-หญงิ เปน็ ผมู้ ีทักษะชวี ิตในการจัดการกับปญั หารอบ ๆ ตวั มีความพร้อมเพื่อการปรับตัวเร่อื งตา่ ง ๆ ในอนาคต ประกอบดว้ ยสาระทเ่ี กย่ี วกับเร่อื ง 1.1.1. กาชาดสากล 1.1.2 สภากาชาดไทย 1.1.3 ยวุ กาชาด 1.2 กลุ่มกจิ กรรมสุขภาพ เปน็ การจัดกจิ กรรมให้สมาชกิ ยวุ กาชาดไดศ้ ึกษาและฝึกฝนทักษะการป้องกนั ชวี ติ และสุขภาพ การเสริมสรา้ งสมรรถภาพ มคี วามรู้และทักษะในการรักษาอนามยั ของตนเอง และส่งเสรมิ อนามัย ของผู้อ่ืน การปฐมพยาบาลและเคหยาบาลการเตรยี มตวั ป้องกันอุบตั ิภัยและภยนั ตรายต่าง ๆ เช่น มที กั ษะในการ ป้องกนั ตนเองจากการถูกลว่ งละเมิดชวี ิตครอบครัว อิทธิพลจากสื่อและส่ิงแวดล้อม ประกอบดว้ ยสาระเก่ียวกับเร่อื ง 1.2.1 สขุ ภาพ 1.2.2 การป้องกนั ชวี ติ และสุขภาพ 1.3 กล่มุ กิจกรรมสมั พันธภาพและความเขา้ ใจอันดี เปน็ การจัดกิจกรรมให้สมาชกิ ยุวกาชาดได้รจู้ กั ตนเอง มี ระเบียบวินยั มีบุคลิกภาพที่ดี รูจ้ ักปรับตัวเข้ากับผู้อืน่ และสงั คมได้ดีมคี วามสามคั คี มีสัมพันธภาพและความเขา้ ใจอนั ดกี ับบคุ คลทั่วไป ยอมรับความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลท่ีมีพ้ืนฐานการดารงชวี ติ และวัฒนธรรมท่ีแตกต่างกัน สามารถ ทางานร่วมกบั ผู้อ่ืนได้อยา่ งมีความสุข มีการพบปะแลกเปล่ียนประสบการณ์ของยุวกาชาดท่ปี ฏิบตั งิ านสรา้ งเสรมิ สันติภาพซึ่งเปน็ พื้นฐานของการทางานในดา้ นอ่นื ๆ ตอ่ ไป ประกอบด้วยสาระเกี่ยวกบั เร่ือง 1.3.1 ความสามคั คีและความพร้อมเพรยี ง 1.3.2 ความมีระเบยี บวนิ ัย 1.3.3 สัมพนั ธภาพและความเข้าใจอันดี 1.4 กลุ่มกจิ กรรมบาเพ็ญประโยชน์ เป็นการจัดกิจกรรมเพ่ือสง่ เสริมและสนับสนนุ ให้สมาชกิ ยวุ กาชาดปฏบิ ตั ิ ตนเพ่อื สนองต่ออุดมการณ์และวัตถปุ ระสงคข์ องยุวกาชาด มีความภาคภมู ิใจในวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี และมรดกของชาติ พรอ้ มทจี่ ะอนุรักษ์สภาพแวดล้อมและธรรมชาติ เป็นผทู้ ่ีมีความเสยี สละ และบาเพญ็ ตนใหเ้ ป็น ประโยชน์แก่สว่ นรวมประกอบด้วยสาระเกี่ยวกบั เรื่อง 1.4.1 การบาเพญ็ ประโยชน์ 1.4.2 การอนรุ ักษ์ธรรมชาตแิ ละสิง่ แวดลอ้ ม
ในแต่ละสาระของกจิ กรรมหลักทง้ั 4 กลุ่มกิจกรรม สถานศึกษาสามารถปรับแต่ละสาระมากน้อยแตกตา่ ง กันได้ตามความเหมาะสมกับสภาพท้องถนิ่ สภาพการณป์ จั จุบนั ความต้องการ และความสนใจของผูเ้ รยี น รวมท้ัง ความพร้อมของสถานศกึ ษา ทัง้ นใ้ี ห้อยู่ในดลุ ยพนิ จิ ของสถานศกึ ษา 2. กจิ กรรมพิเศษ เป็นกิจกรรมทีจ่ ดั เสริมกิจกรรมหลักโดยผู้สอนเปน็ ผกู้ าหนดเวลาในการจดั กิจกรรมไดต้ าม ความเหมาะสม มีจดุ ม่งุ หมายเพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นมีความรู้ ความสามารถพ้นื ฐานในการดารงชีวิตในสังคมตามความ เหมาะสมกบั วยั และความตอ้ งการของท้องถิ่น โดยผู้เรยี นสามารถเลือกเขา้ ร่วมกิจกรรมตามความถนัดหรือความ สนใจ และมเี กณฑ์การประเมินตามท่ีกาหนดแต่ละกิจกรรม เมอื่ ผ่านเกณฑผ์ เู้ รียนจงึ จะมีสิทธิประดบั เครื่องหมาย กจิ กรรมพิเศษนน้ั ๆมจี านวน 54 กิจกรรม เง่อื นไข 1. เวลาในการเข้ารว่ มกิจกรรม การจดั กิจกรรมยุวกาชาดตามหลกั สูตรในแต่ละระดบั ชนั้ สถานศกึ ษาอาจจดั เวลาไดต้ ามความเหมาะสม สว่ นการจัดกิจกรรมเพ่อื รบั เคร่อื งหมายกิจกรรมพเิ ศษของยุวกาชาดแต่ละประเภทอาจใช้ในเวลาเรยี นปกติหรือนอก เวลาเรียนก็ได้ 2. การจัดกจิ กรรม ควรจดั ใหม้ พี ิธเี ปิดและพิธปี ดิ กจิ กรรมยุวกาชาดทกุ คร้ังก่อนทีจ่ ะมีการปฏิบตั กิ จิ กรรม เพอื่ เป็นการฝึกความมีระเบียบวินัยในตนเอง โดยปฏบิ ตั ติ ามขั้นตอน ดังนี้ 2.1 พธิ ีเปิดกจิ กรรมยุวกาชาด 2.1.1 เรยี กสมาชกิ เขา้ แถวคร่ึงวงกลมหน้าเสาธง 2.1.2 ชกั ธงยวุ กาชาดข้นึ สยู่ อดเสา 2.1.3 สงบนง่ิ 2.1.4 กล่าวคาปฏญิ าณตนยุวกาชาด 2.1.5 ตรวจและรายงาน 2.1.6 นดั หมายและชแี้ จง 2.2 พธิ ีปิดกิจกรรมยุวกาชาด 2.2.1 เรียกสมาชิกเข้าแถวครึ่งวงกลมหนา้ เสาธง 2.2.2 นัดหมายและชีแ้ จง 2.2.3 ชกั ธงยุวกาชาดลง 2.2.4 เลกิ แถว 2.3 กจิ กรรมพธิ กี าร สถานศึกษาควรจัดกจิ กรรมพิธีการยวุ กาชาด เช่น พิธเี ข้าประจาหมู่ พธิ ที บทวนคา ปฏิญาณตนยวุ กาชาดและสวนสนาม พิธีประดบั เคร่ืองหมายตา่ ง ๆเป็นตน้ 2.4 กิจกรรมบาเพญ็ ประโยชน์ สถานศึกษาควรสง่ เสรมิ ให้ยวุ กาชาดได้บาเพ็ญประโยชนท์ งั้ ใน สถานศกึ ษาและนอกสถานศึกษา 3. ผ้นู ายวุ กาชาดควรผา่ นการฝกึ อบรมหลักสตู รเจา้ หน้าท่แี ละผูบ้ ังคับบญั ชายวุ กาชาด หลักสตู รใดหลักสตู รหน่ึง เช่น หลักสตู รครผู ูส้ อน หลักสูตรผนู้ ายวุ กาชาด เปน็ ตน้ 4. สถานศกึ ษาควรให้มีการจดั ตงั้ หม่ยู ุวกาชาดตามข้อบังคับ กำรประเมนิ กิจกรรม การประเมนิ กจิ กรรมยุวกาชาด เป็นกระบวนการทดสอบความสามารถและพฒั นาการด้านตา่ ง ๆ ของ ผ้เู ขา้ รว่ มกจิ กรรม ซึง่ นอกจากพิจารณาความรู้ตามทฤษฎแี ล้ว ยังต้องพิจารณาด้านความประพฤติ และพฤติกรรม การเข้าร่วมกจิ กรรมทเี่ น้นทกั ษะและการปฏบิ ัตติ ่าง ๆ ด้วยวธิ ีการประเมินท่ีหลากหลายและการประเมินตามสภาพ จรงิ ซ่งึ แบ่งการประเมินผลออกเปน็ 2 ส่วน คือ
1. กจิ กรรมบังคบั เปน็ การประเมินผลเพื่อให้ผู้เรียนผา่ นเกณฑก์ ารตัดสิน เล่ือนช้ันหรือจบหลกั สูตร โดยการ เขา้ รว่ มกิจกรรมและผ่านการประเมนิ ตามเกณฑ์ท่สี ถานศึกษากาหนด มีการประเมินผลตลอดภาคเรยี น/ปี โดย วธิ ีการสงั เกตการเข้ารว่ มกจิ กรรม การซกั ถาม และการทดสอบทงั้ ภาคทฤษฎแี ละปฏบิ ัติ โดยกาหนดผลการประเมิน เป็น “ผ่าน” และ “ไม่ผา่ น” ผำ่ น หมายถงึ ผเู้ รยี นมเี วลาเขา้ รว่ มกจิ กรรมครบตามเกณฑ์ ปฏบิ ัติกจิ กรรม และมผี ลงาน/ ชนิ้ งาน/คุณลักษณะตามเกณฑท์ ส่ี ถานศึกษากาหนด ไมผ่ ำ่ น หมายถงึ ผเู้ รยี นมเี วลาเขา้ ร่วมกจิ กรรมไม่ครบตามเกณฑ์ ไม่ผ่านการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม หรือ มผี ลงาน/ช้ินงาน/คุณลักษณะไมเ่ ปน็ ไปตามเกณฑ์ท่สี ถานศึกษากาหนด 2. วชิ ำพิเศษ เปน็ การประเมินเพื่อใหผ้ ู้เรยี นมีสทิ ธ์ิประดบั เครือ่ งหมายกจิ กรรมพิเศษได้ เมอื่ ผู้เรียนสามารถ สอบผา่ นเกณฑ์ทสี่ ถานศึกษากาหนด กิจกรรมผบู้ ำเพ็ญประโยชน์ กจิ กรรมผบู้ าเพ็ญประโยชนเ์ ปน็ กิจกรรมอาสาสมคั รนานาชาตสิ าหรบั เด็กผหู้ ญิงและสตรีที่สนใจ โดยไม่ จากัดเชื้อชาติ วรรณะ และศาสนา มเี ปา้ หมายเพื่อฝึกเด็กผู้หญิงใหเ้ ปน็ พลเมืองดีมปี ระโยชน์ตอ่ สงั คม ตามหลกั การท่ี Lord Baden Powell ผกู้ อ่ ต้ังกิจกรรมลูกเสือและผู้บาเพ็ญประโยชนไ์ ดก้ าหนดไว้ โดยการฝกึ ทกั ษะตา่ ง ๆ ใหม้ ี ความพร้อมทั้งดา้ นร่างกาย สติปญั ญา อารมณ์สงั คม และคุณธรรม มีคาปฏิญาณและกฎ 10 ขอ้ เปน็ เคร่ืองยดึ เหนี่ยวใหป้ ฏบิ ตั ิตนเป็นพลเมืองดีโดยมกี ารจัดองค์กร การบรหิ ารตามข้อบังคบั และนโยบายขององคก์ ารผูบ้ าเพ็ญ ประโยชน์แหง่ โลก (The World Association of Guides and Girl Scouts) หลักกำร กิจกรรมผบู้ าเพ็ญประโยชน์ เป็นกระบวนการในการทางานเพอื่ ให้เด็กผู้หญิงและเยาวสตรีมีโอกาสเท่าเทยี ม กันในการพัฒนาตนเองให้เต็มตามศักยภาพ โดยในการฝกึ จะตอ้ งให้สมาชิกได้รับการพัฒนาตนเองให้เตม็ ศักยภาพ และครบถว้ นท้ัง 6 ดา้ น คือ รา่ งกาย อารมณ์ สงั คม สติปัญญาจติ ใจ และคุณธรรม วัตถุประสงค์ 1. เพ่ือใหเ้ ด็กผู้หญงิ และเยาวสตรมี อี ุปนิสยั ที่ดตี ามแนวทางของคาปฏิญาณและกฎ 2. เพ่ือเตรยี มเดก็ ผหู้ ญงิ และเยาวสตรีใหม้ ีทักษะชีวติ ทเี่ หมาะสมกับสังคมปัจจบุ ัน 3. เพื่อสรา้ งโอกาสให้เด็กผหู้ ญิงและเยาวสตรไี ดฝ้ ึกทักษะการเปน็ ผูน้ าและผตู้ ามที่ดี 4. เพอื่ สรา้ งโอกาสให้เด็กผหู้ ญงิ และเยาวสตรไี ด้ร้จู ักชว่ ยเหลอื ผูอ้ ืน่ และบาเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสงั คม ขอขอบข่ำย การจดั กิจกรรมผูบ้ าเพ็ญประโยชนม์ ีขอบข่ายทป่ี ระกอบดว้ ย ข้อกาหนด จุดประสงคส์ าระกจิ กรรม กระบวนการฝึก หลักสตู รพนื้ ฐาน พธิ ีการ และเครื่องแบบ โดยจาแนกตามประเภทของสมาชิกผู้บาเพ็ญประโยชน์ ซง่ึ ประกอบด้วย สมาชิกผ้บู าเพ็ญประโยชนท์ ่ีเรียกว่า เยาวสมาชิกผ้บู าเพญ็ ประโยชน์มที ั้งหมด 4 รุน่ คอื รนุ่ ท่ี 1 นกน้อย ไดแ้ ก่ เด็กหญงิ อายุประมาณ 4-6 ปี เรยี นอยใู่ นช้ันอนุบาล 1-3 รุ่นท่ี 2 นกสฟี า้ ไดแ้ ก่ เดก็ หญิงอายุประมาณ 7-11 ปี เรยี นอยใู่ นระดบั ประถมศึกษา (ป.1-ป.6)
รุ่นที่ 3 ผบู้ าเพญ็ ประโยชนร์ ่นุ กลาง ได้แก่ เยาวสตรีอายุประมาณ 12-15 ปีเรียนอยูใ่ นระดบั มธั ยมศกึ ษา ตอนตน้ (ม.1-ม.3) ร่นุ ท่ี 4 ผบู้ าเพ็ญประโยชน์ร่นุ ใหญ่ ไดแ้ ก่ เยาวสตรีอายปุ ระมาณ 16-20 ปี เรยี นอยใู่ นระดับมัธยมศกึ ษา ตอนปลาย (ม.4-ม.6) หรอื สูงกวา่ นั้น แนวกำรจัดกจิ กรรม กิจกรรมผ้บู าเพ็ญประโยชน์ มีแนวการจดั กิจกรรมเฉพาะ 9 ข้อ ดงั นี้ 1. ใหย้ ดึ มนั่ และปฏบิ ัติตามคาปฏญิ าณและกฎของกิจกรรมผู้บาเพ็ญประโยชน์ (Promise and Laws) วิธกี ารนจี้ ะชว่ ยสร้างอุปนิสัยที่ดี มคี ุณธรรมจริยธรรม คา่ นิยมที่พงึ ประสงค์ และตระหนกั ในหนา้ ทีข่ องตนทมี่ ีตอ่ ชุมชนและประเทศชาติ 2. ระบบหมู่ (Patrol System) ฝกึ การทางานรว่ มกันเป็นทมี ท่ีเรียกวา่ ระบบหมู่ โดยให้ทางานร่วมกันเป็น หมเู่ ล็ก ๆ 6-8 คน ฝกึ ความเป็นผ้นู าและผู้ตามในการปกครองตนเอง วธิ ีการนี้ช่วยพฒั นาทักษะความเป็น ประชาธิปไตย 3. เรยี นรู้ดว้ ยการปฏิบตั จิ รงิ วธิ กี ารน้จี ะช่วยให้ผูเ้ รียนไดร้ ถู้ ึงความสนใจ ความสามารถและความต้องการ ของตน 4. ฝกึ พฒั นาตนเองใหก้ า้ วหน้า (Progressive Development) ใหม้ กี ารปรบั ปรุงเปลีย่ นแปลงตวั เอง รูจ้ กั สร้างโอกาสในการทาสิ่งใหม่ ๆ ทท่ี ้าทายความสามารถดว้ ยตนเอง วิธกี ารน้ีจะช่วยใหผ้ เู้ รียนพฒั นาความคดิ ริเร่ิม สรา้ งสรรค์ พฒั นาความสนใจและความสามารถของตนยิ่งข้ึน 5. ให้มคี วามร่วมมืออยา่ งจรงิ จังระหวา่ งเด็กและผใู้ หญ่ (Active Co-operation between Youths and Adults) เป็นความรว่ มมือด้านความคดิ การวางแผน การตัดสนิ ใจ การดาเนนิ กิจกรรมและการประเมนิ ผลร่วมกัน ความร่วมมอื น้ีต้งั อยบู่ นพ้ืนฐานของการสง่ เสรมิ ให้คนรุน่ เยาว์ได้พฒั นาตนเองและมคี วามรับผิดชอบ วิธกี ารนีจ้ ะช่วย สรา้ งความสมั พนั ธ์ท่ีดีระหวา่ งเดก็ และไดเ้ หน็ แบบอยา่ งทด่ี ีของผู้ใหญด่ ว้ ย 6. การใชส้ ญั ลกั ษณร์ ่วมกัน (Symbolism) ฝึกให้มีความเป็นหน่ึงเดยี วกันในการเปน็ สมาชกิ ผู้บาเพญ็ ประโยชนด์ ้วยการใช้สัญลกั ษณร์ ว่ มกัน ได้แก่ เครอื่ งแบบ เคร่อื งหมายการทาความเคารพ รหสั คาปฏิญาณ กฎ คตพิ จน์ คาขวัญ ธง วิธกี ารน้จี ะชว่ ยให้ผเู้ รียนตระหนกั และภาคภูมิใจในการที่เป็นสมาชิกขององค์การผ้บู าเพญ็ ประโยชน์แหง่ โลก ซงึ่ มีสมาชิกอย่ทู ่ัวโลกและเปน็ องค์กรสตรที ่มี ีจานวนสมาชกิ มากท่สี ดุ ในโลก 7. กจิ กรรมกลางแจง้ (Outdoor Activities) ฝึกการใช้ชีวติ รว่ มกบั ผ้อู ่นื และฝึกการเตรียมพร้อมเสมอ ด้วย การใช้กิจกรรมกลางแจ้งและการอยู่คา่ ยพักแรม วธิ กี ารนช้ี ่วยให้ผูเ้ รยี นมีความพร้อมในการดาเนินชีวติ 8. ฝึกให้บาเพญ็ ประโยชนต์ ่อชมุ ชน (Community Service) วธิ กี ารน้จี ะทาให้ผ้เู รยี นได้ฝึกนิสยั การบาเพญ็ ประโยชน์ และมคี วามรบั ผดิ ชอบในการช่วยเหลือผอู้ ่นื ชุมชน ประเทศชาตแิ ละสงั คมโลก 9. เรยี นร้เู ก่ยี วกับนานาชาติ (International Experience) ทงั้ ดา้ นวฒั นธรรมศาสนา และวิถชี วี ติ วธิ ีการนี้ ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนยอมรบั ความแตกตา่ งของบุคคลในชาตแิ ละสงั คมโลก เพ่ือลดข้อขัดแย้งและร้จู กั พงึ่ พาอาศยั กันเป็นการ สร้างสนั ตสิ ุขในโลก
โปรแกรมกำรจดั กจิ กรรมผู้บำเพ็ญประโยชน์ กิจกรรมผบู้ าเพ็ญประโยชน์ มีสาระของกจิ กรรม 10 โปรแกรม ดังนี้ 1. การบาเพญ็ ประโยชน์ (Giving Service) โปรแกรมนี้จะช่วยสง่ เสรมิ และสนับสนนุ ให้เด็กผหู้ ญงิ และเยาวส ตรีไดเ้ รยี นรู้เก่ยี วกบั กิจกรรมผบู้ าเพ็ญประโยชน์ ได้ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ใหเ้ ป็นผู้ทช่ี ว่ ยเหลอื ผู้อ่นื เสมอ แสดงความ เมตตากรุณา เพื่อให้ไปบาเพ็ญประโยชน์ต่อครอบครัว ชมุ ชน และสังคม 2. การเป็นพลเมืองดี (Citizenship) โปรแกรมน้จี ะช่วยให้เด็กผูห้ ญิงและเยาวสตรีได้ฝึกฝนตนเองให้เป็น พลเมืองทด่ี มี ีความรบั ผิดชอบ โดยการปฏบิ ัติหน้าทีต่ อ่ ตนเอง ครอบครวั โรงเรียน ชุมชน ประเทศชาตดิ ว้ ยความเตม็ ใจ ปฏบิ ัตติ ามคาปฏิญาณและกฎของผบู้ าเพ็ญประโยชน์ 3. วฒั นธรรมและมรดกของชาติ (Culture and Heritage) โปรแกรมนี้จะชว่ ยให้เด็กผหู้ ญงิ และเยาวสตรีมี ความรู้ ความเข้าใจ ความภาคภูมิใจในวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณี ความเชอื่ และมรดกของชาติ พร้อมที่ จะอนรุ ักษแ์ ละช่วยเผยแพร่สงิ่ ท่ีดงี ามนแี้ ก่ผอู้ นื่ 4. สง่ิ แวดล้อม (Environment) โปรแกรมนี้จะช่วยสง่ เสรมิ และสนับสนุนใหเ้ ด็กผูห้ ญงิ และเยาวสตรีไดร้ ู้ เขา้ ใจและตระหนักถงึ คณุ ค่าของสง่ิ แวดลอ้ ม ไดท้ ากจิ กรรมตา่ ง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้องกบั การอนุรักษธ์ รรมชาติ และ สิ่งแวดลอ้ ม รวมท้ังการนาไปใชใ้ หเ้ กิดประโยชนอ์ ยา่ งเหมาะสม 5. การอยรู่ ่วมกบั ผู้อ่นื (Relationships) โปรแกรมน้จี ะชว่ ยให้เด็กผู้หญิงและเยาวสตรไี ด้รู้จักตนเองและรจู้ ัก ผอู้ นื่ ดว้ ยการเปน็ มติ ร และเรียนรู้การทางานร่วมกับผูอ้ นื่ โดยกระบวนการของระบบหมู่ 6. สุขภาพ (Health) โปรแกรมนี้จะชว่ ยใหเ้ ด็กผหู้ ญิงและเยาวสตรีมีสุขภาพดี มสี ติปัญญา มอี ารมณ์ มน่ั คง และรู้จกั ปรับตวั เข้ากบั ผูอ้ ืน่ และสงั คมได้เป็นอย่างดี 7. ประสบการณ์นานาชาติ (International Understanding) โปรแกรมนจ้ี ดั ข้ึนเพ่ือใหเ้ ดก็ ผหู้ ญิงและ เยาวสตรไี ด้มีความรู้ ความเข้าใจอันดีระหว่างชาติ และยอมรับความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลซ่งึ มีพ้นื ฐานวิถีชวี ิตและ วัฒนธรรมทแี่ ตกตา่ งกนั โดยการสง่ เสริมและสนบั สนนุ ใหท้ างานร่วมกนั ได้อยา่ งสนั ติ เด็กผู้หญงิ และเยาวสตรจี ะได้ เรียนรู้เกย่ี วกับวฒั นธรรมนานาชาติ ภาษาต่างประเทศและกิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์ของประเทศต่าง ๆ เรอ่ื ง เกยี่ วกับองค์การผบู้ าเพญ็ ประโยชนแ์ หง่ โลกภูมภิ าคเอเชียแปซฟิ กิ และสายใยแห่งความสัมพันธข์ องสมาชกิ ผ้บู าเพญ็ ประโยชน์ทว่ั โลก 8. เทคโนโลยี (Technology) โปรแกรมน้จี ะช่วยใหเ้ ด็กผหู้ ญิงและเยาวสตรีได้เรียนรเู้ ก่ยี วกบั เทคโนโลยี มี ทกั ษะและสามารถนาเทคโนโลยมี าใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้อย่างเหมาะสม 9. ครอบครัว (Family Life) โปรแกรมนี้จะทาให้เด็กผหู้ ญงิ และเยาวสตรีรู้และเข้าใจบทบาทความ รับผิดชอบและหนา้ ที่ของตนเองที่มีตอ่ ครอบครัว เกิดความภาคภมู ใิ จในการเป็นส่วนหน่ึงของครอบครวั และมี พนื้ ฐานในการสรา้ งครอบครัวในอนาคต 10. วิสยั ทัศน์ (My Vision) โปรแกรมนจี้ ัดขึ้นเพื่อให้เด็กผหู้ ญงิ และเยาวสตรไี ด้มโี อกาสค้นหาความต้องการ ความสามารถ ความสนใจ และวิสัยทศั น์ของตนเอง ได้เรยี นรูท้ กั ษะใหม่ ๆ เพื่อเตรยี มตัวเองให้สามารถตดั สนิ ใจทีจ่ ะ เลือกอาชพี ที่ถนดั และสนใจในอนาคตได้เมื่อผูเ้ รียนรวมกลุ่มปฏบิ ตั ิกิจกรรมผบู้ าเพ็ญประโยชน์ตามโปรแกรม 10 โปรแกรมแลว้ ผู้เรียนแตล่ ะคนสามารถเลอื กทาเครอ่ื งหมายแสดงความสามารถ (Efficiency Badges)ท่ตี นสนใจและ ถนดั ได้ เปน็ การประเมนิ ผลขั้นสุดทา้ ยของสมาชิกแต่ละระดับ
เง่อื นไข 1. เวลาในการรว่ มกิจกรรม การจัดกิจกรรมผู้บาเพ็ญประโยชนต์ ามหลักสตู รในแต่ละร่นุ สถานศึกษาอาจจัดเวลาไดต้ ามความเหมาะสม 2. การจัดกิจกรรม 2.1 การจัดกิจกรรมผบู้ าเพ็ญประโยชนต์ ามหลักสูตร ควรจัดให้มีการเปิดชมุ นุม ทุกคร้ังก่อนที่จะมกี ารปฏบิ ัติกิจกรรม เพ่ือเป็นการฝึกความมรี ะเบียบวินัยในตนเอง โดยปฏบิ ัติตามข้ันตอน ดงั น้ี 2.1.1 เปดิ ชมุ นุม (การเปิดชมุ นมุ ของสมาชกิ รนุ่ นกน้อยและนกสีฟา้ ตอ้ ง ทาทุกครั้งที่มีการจัดกจิ กรรม สาหรบั สมาชิกรนุ่ กลางและรุ่นใหญไ่ มจ่ าเปน็ ตอ้ งทาทุกครงั้ แต่อย่างน้อยควรทาเดือน ละ 1 ครัง้ ) 2.1.2 จดั กจิ กรรมตามโปรแกรมหรือตามเครือ่ งหมายแสดงความสามารถ(Efficiency Badges) 2.1.3 ใชว้ ิธีการ (Methods) 9 ข้อ 2.1.4 ใชเ้ พลงหรอื เกมท่สี อดคลอ้ งกับเนอื้ หาที่จดั กิจกรรม 2.1.5 ปดิ ชุมนุม (การปดิ ชุมนุมของสมาชิกรุ่นนกน้อยและนกสฟี า้ ตอ้ งทาทกุ ครั้งทมี่ ีการจัด กจิ กรรม สาหรบั รุ่นกลางและรนุ่ ใหญ่ใช้การปิดชมุ นมุ ทกุ คร้ังด้วยการรอ้ งเพลงเสรจ็ หนงึ่ วัน/Taps) 2.2 กจิ กรรมการอยู่ค่ายพักแรม การเดินทางไกลและการเข้าค่ายพักแรม มีวัตถปุ ระสงค์เพ่ือฝึกให้สมาชิกผู้บาเพ็ญประโยชน์มคี วาม อดทน อยใู่ นระเบยี บวนิ ยั รจู้ กั ช่วยเหลอื ตนเอง รู้จักอย่แู ละทางานรว่ มกับผู้อ่นื ตลอดจนเรยี นรูแ้ ละฝึกทักษะตาม หวั ขอ้ (Theme) ของการเขา้ คา่ ยพักแรม ซึง่ หวั หน้าหมวดผู้บาเพญ็ ประโยชน์และเยาวสมาชิกได้วางแผนไว้ลว่ งหนา้ แล้ว การอยคู่ ่ายพกั แรมสามารถทาได้ตามความเหมาะสมหรืออยา่ งน้อยปีละ 1 ครัง้ 2.3 กจิ กรรมพิธีการ สถานศกึ ษาควรจัดกิจกรรมพธิ ีการของผู้บาเพ็ญประโยชน์เช่น การเปิดชมุ นุม พิธี ปฏญิ าณตน พธิ มี อบเครื่องหมายแสดงความสามารถพิเศษ (Efficiency Badges) พิธีวนั ราลึก (Thinking Day) เป็น ตน้ เพ่ือใหส้ มาชกิ ผบู้ าเพญ็ ประโยชนม์ คี วามภาคภมู ใิ จและเห็นคณุ คา่ ของการเปน็ สมาชิกผบู้ าเพ็ญประโยชน์ 2.4กิจกรรมบาเพ็ญประโยชน์ สถานศึกษาควรส่งเสรมิ การจัดกิจกรรมให้สมาชกิ ผู้บาเพ็ญประโยชน์ได้มี กิจกรรมเพอื่ การบาเพญ็ ประโยชนต์ ามอุดมการณ์ของผบู้ าเพญ็ ประโยชน์ 3. หวั หน้าหมวดผบู้ าเพ็ญประโยชน์ (Leaders) ซ่ึงเป็นผู้รับผดิ ชอบการจัดกิจกรรมผ้บู าเพ็ญประโยชน์ ตอ้ ง ผา่ นการอบรมหลักสตู รหัวหน้าหมวดผูบ้ าเพ็ญประโยชนข์ น้ั พ้ืนฐาน 4. สถานศกึ ษาท่ปี ระสงค์จะจัดกิจกรรมผ้บู าเพญ็ ประโยชนใ์ หข้ ออนุญาตเปิดหมวดผ้บู าเพ็ญประโยชนต์ ่อ สมาคมผบู้ าเพญ็ ประโยชนแ์ หง่ ประเทศไทย ในพระบรมราชินปู ถัมภ์ เลขที่ 5/1-2 ถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 E-mail : [email protected] Website : www.ggat.org โทรศัพท์ 02-245-0242, 245-3599, 245-0641 โทรสาร 02-246-4699 กำรประเมนิ กิจกรรม 1. ประเมนิ จากพฤติกรรมความสนใจในการเขา้ รว่ มกิจกรรม โดยประเมนิ จากจานวนครั้งและเวลาในการจดั กิจกรรม 2. ประเมนิ จากการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมไดต้ รงตามจุดประสงค์ของแต่ละกจิ กรรม โดยประเมินจากผลงานและ การร่วมกิจกรรมกับผู้อน่ื 3. ประเมินพัฒนาการของเยาวสมาชิกด้านต่าง ๆ ไดแ้ ก่ ร่างกาย อารมณ์ สังคม จิตใจสติปญั ญา และ คณุ ธรรม โดยประเมนิ จากผลการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมเพื่อได้รับเคร่อื งหมายแสดงความสามารถ
กจิ กรรมนักศกึ ษำวชิ ำทหำร กจิ กรรมนักศึกษาวิชาทหาร เป็นกิจกรรมที่ม่งุ ให้ผู้เรยี นมรี ะเบยี บวินยั เชอ่ื ฟงั และปฏิบัติ ตามคาสั่ง ปฏบิ ัตติ นอยใู่ นกรอบของประเพณีและวฒั นธรรมทด่ี ี และมสี ุขภาพ พลานามัยทแ่ี ข็งแรง หลักกำร กจิ กรรมนักศึกษาวชิ าทหารเป็นกจิ กรรมท่จี ัดขนึ้ ตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียน มี หลักการสาคญั ดังน้ี 1. เปน็ กจิ กรรมทเ่ี กิดข้ึนตามความสมคั รใจของผู้เรยี น 2. เป็นกิจกรรมทผี่ เู้ รียนตระหนกั ว่าตนเองเปน็ ส่วนหน่ึงของชาติ จึงตอ้ งมีความรกั ความหวงแหน สามารถที่ จะเสยี สละ และอุทิศชีวติ ให้กับชาติ โดยไม่หวังสง่ิ ตอบแทนแต่อย่างใด 3. เป็นกจิ กรรมท่ผี ู้เรยี นมีความรู้และประสบการณ์ในวชิ าทหารทเ่ี หมาะสม มที ัศนคตทิ ีด่ ีเชอ่ื ม่นั ศรทั ธาใน กองทพั และมีความพร้อมทจ่ี ะเข้ารบั ใชช้ าติในฐานะกาลังพลสารอง ทมี่ คี ุณภาพของกองทพั เม่อื สาเร็จการฝกึ วชิ า ทหารตามหลักสูตรดว้ ยความเตม็ ใจ 4. เป็นกิจกรรมทเ่ี ป็นส่ือกลางในการสร้างความเขา้ ใจอันดีระหว่างทหาร กับประชาชนรวมท้ังสามารถเปน็ แบบอยา่ งที่ดีให้กับเยาวชนในสังคม โดยเฉพาะในเร่ืองการรณรงค์ เพือ่ ป้องกนั และต่อตา้ นยาเสพติด วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพือ่ ให้สอดคล้องกบั ความถนดั ความสามารถ และความสนใจของผูเ้ รียน 2. เพอ่ื ให้นักเรียนทัง้ ชายและหญงิ ท่สี มคั ร มคี วามรู้วิชาทหารทงั้ ในทางเทคนิคและทางยุทธศาสตร์ 3. เพื่อปลกู ฝังใหม้ อี ุดมการณ์ เทดิ ทนู และยดึ มนั่ ในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และการปกครองระบบ ประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมขุ และมีจิตสานกึ ในเรื่องชาตินิยม 4. เพื่อเสริมสรา้ งใหเ้ ป็นผู้มีระเบียบวนิ ยั ปฏิบตั ิตนอยูใ่ นกรอบของประเพณีและวัฒนธรรมท่ีดีของชาติ มี สุขภาพพลานามยั แข็งแรง มคี วามอดทน และอดกลน้ั 5. เพ่อื ส่งเสรมิ ให้มีสว่ นรว่ มในการรณรงค์ และดาเนินกจิ กรรมอันเปน็ ประโยชนต์ ่อสาธารณะชนอย่าง กวา้ งขวาง จริงจัง และตอ่ เนื่อง 6. เพือ่ เสริมเสรา้ งให้มคี วามรักและสามัคคีในหมู่คณะดว้ ยกัน รวมท้งั ให้มคี วามสานึกในภาระหนา้ ท่ีของตน ให้บังเกิดเปน็ รูปธรรมและเป็นระบบโดยต่อเนื่อง ขอบข่ำย นกั ศกึ ษาวิชาทหารชน้ั ปีที่ 1 และ 2 ศกึ ษาวิชาทหารเบื้องต้นในระดับลูกแถว บงั เกดิ ความมรี ะเบียบวินยั เสรมิ สรา้ งบคุ ลิกลักษณะนิสัย สามารถใชอ้ าวธุ ประจากาย และทาการยิงอยา่ งไดผ้ ล นกั ศึกษาวชิ าทหารชนั้ ปีที่ 3 ศึกษาวิชาทหารในระดับผ้บู งั คับหมู่ รองผบู้ ังคบั หมวดและผบู้ งั คับหมวด มี ความพร้อมในการควบคุมบังคบั บัญชาหนว่ ยในการปฏิบัติการรบทั้งในแบบและนอกแบบ
แนวกำรจดั กิจกรรม การสมัครเข้าร่วมกจิ กรรมนกั ศกึ ษาวชิ าทหาร ต้องมีคณุ ลกั ษณะและคุณสมบัติ ดงั นี้ 1. เปน็ ชายหรอื หญิงทีม่ ีสญั ชาติไทย 2. ไมพ่ ิการ ทพุ พลภาพ หรอื มโี รคซงึ่ ไม่สามารถจะรับราชการทหารได้ ตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการ ทหาร 3. มขี นาดรอบตัว น้าหนัก และความสูงตามส่วนสัมพนั ธ์ ดงั น้ี 4. มคี วามประพฤติเรยี บร้อย 5. กาลงั ศกึ ษาอยู่ในสถานศึกษาที่หน่วยบัญชาการกาลังสารองเปดิ ทาการฝกึ วชิ าทหาร 6. สาเร็จการศกึ ษาตงั้ แตช่ ้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 หรือเทียบเท่าขนึ้ ไป และมผี ลการศกึ ษาของชัน้ มัธยมศกึ ษาปี ที่ 3 หรือเทยี บเทา่ ต้งั แต่ 1.00 ขึน้ ไป หรอื นักเรียนทเ่ี คยเป็นลกู เสือสามัญรุน่ ใหญ่ และสอบได้วิชาพเิ ศษไมน่ อ้ ยกว่า 8 วชิ า จะต้องมีผลการศึกษาของชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3 หรือเทียบเท่า ไม่ต่ากว่า 1.5 เวน้ แตผ่ ซู้ ่งึ สาเร็จการศกึ ษาต้งั แต่ ชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี 3 หรอื เทียบเทา่ ข้ึนไป และกาลงั ศึกษาอยู่ในโรงเรยี นชา่ งฝีมอื ทหารของกระทรวงกลาโหม หรอื กาลังศกึ ษาอยูใ่ นโรงเรียนตามทก่ี ระทรวงกลาโหมกาหนด ไม่ตอ้ งมีผลการศึกษาของช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรอื เทียบเท่าตามทกี่ องทัพบกกาหนด 7. นกั ศกึ ษาวิชาทหารจะต้องผ่านการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายตามที่กาหนดดังนี้ 7.1 ลกุ -นง่ั 34 ครงั้ ภายในเวลา 2 นาที 7.2 ดนั พื้นที่ 22 ครั้ง ไม่จากัดเวลา 7.3 วงิ่ ระยะทาง 800 เมตร ใชเ้ วลาไม่เกนิ 3 นาที 15 วนิ าที 8. นักศึกษาหญิง จะตอ้ งผ่านการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายตามที่กาหนด ดังนี้ 8.1 ลกุ -น่งั 25 ครง้ั ภายในเวลา 2 นาที 8.2 ดันพนื้ ที่ 15 ครง้ั ภายในเวลา 2 นาที (เดมิ ไม่จากัดเวลา) 8.3 ว่งิ ระยะทาง 800 เมตร ใชเ้ วลาไม่เกนิ 4 นาที (เดิม 5 นาที) เงือ่ นไข 1. เปน็ ผู้เรียนทศ่ี กึ ษาอยูใ่ นระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย 2. สถานศกึ ษาท่เี ปิดรับนักศกึ ษาวิชาทหาร ต้องไดร้ บั อนุมตั ิจากหน่วยบญั ชาการกาลงั สารอง กองทัพบก กระทรวงกลาโหม 3. การจัดกจิ กรรมนักศึกษาวิชาทหารในสถานศึกษาก่อนจะมกี ารปฏบิ ตั กิ จิ กรรมควรปฏิบตั ิดงั น้ีพธิ ีเปิด รวม พลเข้าแถวตอน ชกั ธงชาติขึ้น สวดมนต์ ปฏญิ าณตน และแยกแถวทากิจกรรมพิธีปดิ รวมพลเข้าแถวตอน นัดหมาย ชกั ธงชาติลง และเลกิ 4. เวลาในการเขา้ ร่วมกิจกรรม สถานศกึ ษาอาจจดั เวลาได้ตามความเหมาะสม สาหรับการฝึกภาคสนาม สถานศกึ ษาควรสง่ เสรมิ ใหม้ ีการฝกึ โดยใชเ้ วลาเรียนปกตหิ รอื นอกเวลาเรยี นไดต้ ามความเหมาะสม 5. ผูก้ ากับนกั ศึกษาวชิ าทหาร ตอ้ งผ่านการฝึกอบรมตามหลักสตู รของกองบัญชาการสารอง กองทัพบก กระทรวงกลาโหม 6. การขอเปิดสถานศึกษาวิชาทหาร การฝกึ การสอบ และการปกครองใหเ้ ป็นไปตามระเบียบของหนว่ ย บัญชาการกาลังสารอง กองทัพบก กระทรวงกลาโหม
กำรประเมินกจิ กรรม การประเมนิ กจิ กรรม เปน็ กระบวนการทดสอบความสามารถและพัฒนาการด้านตา่ ง ๆของนักศึกษาวิชา ทหาร ซึ่งนอกจากพิจารณาความรูต้ ามทฤษฎีแลว้ ยงั ต้องพิจารณาดา้ นความประพฤติ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรม ที่เน้นทักษะและการปฏบิ ตั ติ า่ ง ๆ ดว้ ยวิธีการประเมนิ ทีห่ ลากหลาย และการประเมินตามสภาพจริง โดยกาหนดผล การประเมินเป็น “ผ่าน” และ“ไม่ผา่ น” ผ่ำน หมายถึง ผเู้ รยี นมเี วลาเข้าร่วมกจิ กรรมครบตามเกณฑ์ ปฏบิ ัติกจิ กรรมและมผี ลงาน/ชนิ้ งาน/ คณุ ลักษณะตามเกณฑท์ ี่สถานศึกษากาหนด ไมผ่ ่ำน หมายถึง ผูเ้ รยี นมเี วลาเข้าร่วมกจิ กรรมไม่ครบตามเกณฑ์ ไมผ่ ่านการปฏบิ ัติ กิจกรรม หรือมี ผลงาน/ชนิ้ งาน/คณุ ลักษณะไมเ่ ปน็ ไปตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากาหนด กิจกรรมชมุ นมุ ชมรม กิจกรรมชมุ นุม ชมรม เปน็ กิจกรรมนกั เรยี นทส่ี ถานศึกษาสนับสนนุ ให้ผเู้ รยี นรวมกลมุ่ กนั จดั ขน้ึ ตามความ สนใจ ความถนดั วามสามารถของผูเ้ รยี นเพ่ือเติมเต็มความรู้ ความชานาญ ประสบการณ์ ทักษะ เจตคติเพื่อพฒั นา ตนเองศักยภาพ หลักกำร กิจกรรมชุมนุม ชมรม มหี ลกั การทส่ี าคญั ดงั น้ี 1.เปน็ กิจกรรมท่เี กิดจากการสร้างสรรค์และออกแบบกิจกรรมของผู้เรียนตามความสมัครใจ 2. เป็นกิจกรรมที่ผเู้ รยี นรว่ มกันทางานเปน็ ทีม ช่วยกันคิด ชว่ ยกนั ทา และช่วยกันแก้ปัญหา 3. เป็นกิจกรรมท่สี ่งเสรมิ และพัฒนาศักยภาพของผูเ้ รียน 4. เป็นกจิ กรรมท่ีเหมาะสมกับวัยและวฒุ ิภาวะของผเู้ รียน รวมทั้งบริบทของสถานศึกษาและท้องถน่ิ วตั ถุประสงค์ 1. เพ่อื ใหผ้ ้เู รยี นไดป้ ฏบิ ตั กิ จิ กรรมตามความสนใจ ความถนัด และความต้องการของตน 2. เพือ่ ใหผ้ ูเ้ รียนไดพ้ ัฒนาความรู้ ความสามารถดา้ นการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ ใหเ้ กดิ ประสบการณ์ทง้ั ทาง วิชาการและวิชาชพี ตามศักยภาพ 3. เพื่อส่งเสรมิ ให้ผ้เู รยี นใช้เวลาใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม 4. เพ่อื ใหผ้ เู้ รยี นทางานร่วมกับผู้อนื่ ได้ตามวิถปี ระชาธิปไตย ขอบข่ำย กิจกรรมชมุ นมุ ชมรม มขี อบข่ายดงั นี้ 1. เป็นกิจกรรมจดั ตามความสนใจของผเู้ รียน 2. เป็นกจิ กรรมจดั เสรมิ หลกั สูตรสถานศกึ ษาในดา้ นความรแู้ ละทกั ษะปฏบิ ตั ิของผเู้ รยี น 3. สามารถจัดได้ท้ังในและนอกสถานศึกษา และท้ังในเวลาและนอกเวลาเรยี น
แนวกำรจัดกิจกรรมชมุ นุม ชมรม การจดั กจิ กรรมชุมนุม ชมรมของสถานศกึ ษา สามารถปรบั ใชไ้ ด้ตามความเหมาะสมกับบริบทและสภาพของ สถานศกึ ษา ดังน้ี 1. สถานศึกษาบริหารการจดั การให้ผเู้ รยี นดาเนนิ กิจกรรมได้หลากหลาย ทงั้ รูปแบบภายในหรือภายนอก หอ้ งเรยี น และระยะเวลาการจดั กิจกรรม เช่น กิจกรรมระยะเวลา ๑ ภาคเรียนกิจกรรมระยะเวลา 1 ปกี ารศึกษา และกจิ กรรมระยะเวลามากกว่า 1 ปกี ารศึกษา 2. กรณสี ถานศึกษามกี ารจดั ตั้งชุมนมุ หรือชมรมอย่แู ลว้ สถานศึกษาควรสารวจความสนใจของผู้เรียนในการ เลือกเข้ารว่ มชุมนมุ ชมรม 3. กรณีท่สี ถานศกึ ษายงั ไมม่ ีการจัดตง้ั ชุมนุม ชมรม ควรให้ผู้เรยี นร่วมกนั จัดตั้งชมุ นุมชมรม และเชิญครเู ปน็ ท่ีปรกึ ษา โดยรว่ มกันดาเนินกิจกรรมชุมนุม ชมรม ตามระเบียบปฏบิ ตั ิท่สี ถานศึกษากาหนด 4. ถอดประสบการณ์แลกเปลี่ยนเรียนรูแ้ ละเผยแพร่กิจกรรม 5. ครูที่ปรึกษากิจกรรมประเมินตามหลักเกณฑ์การประเมินผล เง่ือนไข 1. การจดั กจิ กรรมชุมนุม ชมรมในแตล่ ะระดับช้ัน สถานศกึ ษาจดั ใหเ้ ปน็ ไปตามโครงสรา้ งของหลกั สูตร สถานศกึ ษา 2. สมาชกิ ของชุมนุม ชมรม ตอ้ งเขา้ ร่วมกจิ กรรมและปฏิบตั ิตามระเบยี บของชมุ นุมชมรม และมผี ลงาน/ ชน้ิ งาน/คณุ ลกั ษณะตามที่กาหนดไว้ของแตล่ ะกจิ กรรม 3. สถานศึกษามรี ะบบการกากบั ติดตาม และประเมนิ ผลการดาเนนิ งานของชมุ นมุ ชมรมอย่างต่อเนื่อง กำรประเมนิ การประเมินกจิ กรรมชุมนุม ชมรม เป็นการตรวจสอบความสามารถและพฒั นาการด้านต่างๆ ตาม วตั ถปุ ระสงค์ท่กี าหนด ด้วยวิธกี ารทห่ี ลากหลายและประเมินตามสภาพจรงิ โดยกาหนดผลการประเมินเป็น “ผา่ น” และ “ไมผ่ า่ น” ผำ่ น หมายถงึ ผู้เรยี นมเี วลาเขา้ ร่วมกิจกรรมครบตามเกณฑ์ ปฏบิ ตั ิกิจกรรม และมีผลงาน/ชน้ิ งาน/ คุณลักษณะตามเกณฑ์ท่ีสถานศึกษากาหนด ไม่ผำ่ น หมายถึง ผเู้ รยี นมเี วลาเขา้ ร่วมกจิ กรรมไม่ครบตามเกณฑ์ ไม่ผา่ น การปฏิบัติกจิ กรรม หรอื มี ผลงาน/ช้ินงาน/คณุ ลักษณะไมเ่ ปน็ ไปตามเกณฑท์ ส่ี ถานศึกษากาหนด
บทท่ี 4 แนวกำรจัดกจิ กรรมเพ่ือสังคมและสำธำรณประโยชน์ กิจกรรมเพอ่ื สงั คมและสาธารณประโยชน์เปน็ กิจกรรมทีส่ ่งเสริมใหผ้ เู้ รยี นบาเพญ็ ตนให้เป็นประโยชนต์ ่อ ครอบครวั ชมุ ชน สังคม และประเทศชาติในลกั ษณะอาสาสมคั ร เพื่อชว่ ยขัดเกลาจิตใจของผูเ้ รียนใหม้ ีความเมตตา กรุณา มีความเสยี สละ และมีจิตสาธารณะ เพอ่ื ช่วยสร้างสรรค์สังคมให้อยรู่ ว่ มกันอย่างมีความสขุ หลักกำร กจิ กรรมเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์เป็นกิจกรรมทต่ี ้องส่งเสรมิ ให้ผูเ้ รียนสามารถพัฒนาตนเองตาม ธรรมชาตแิ ละเตม็ ตามศักยภาพ โดยคานงึ ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพฒั นาการทางสมอง เน้นให้ ความสาคญั ทั้งความรู้และคุณธรรมจรยิ ธรรม จดั กจิ กรรมโดยให้ผู้เรยี นคิดสร้างสรรค์ออกแบบกจิ กรรมเพ่ือ สาธารณประโยชนอ์ ย่างหลากหลายรปู แบบ เพื่อแสดงถึงความรับผดิ ชอบต่อสังคมในลกั ษณะจติ อาสา วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพื่อให้ผู้เรียนบาเพ็ญตนให้เปน็ ประโยชนต์ ่อครอบครัว โรงเรยี น ชมุ ชน สงั คมและประเทศชาติ 2. เพื่อใหผ้ ู้เรียนออกแบบการจัดกจิ กรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชนอ์ ยา่ งสรา้ งสรรค์ตามความถนัด และความสนใจในลกั ษณะอาสาสมัคร 3. เพื่อใหผ้ ู้เรยี นพฒั นาศักยภาพในการจัดกิจกรรมเพื่อสงั คมและสาธรณประโยชนไ์ ด้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ 4. เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นปฏบิ ัติกิจกรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์จนเกดิ คุณธรรมจรยิ ธรรมตามคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ 5. เพ่อื ให้ผู้เรยี นมจี ิตสาธารณะและใช้เวลาวา่ งให้เป็นประโยชน์ ขอบข่ำย เป็นกระบวนการจัดกจิ กรรมในลักษณะกจิ กรรมบาเพ็ญประโยชน์ กิจกรรมอาสาพฒั นาหรือกิจกรรม สรา้ งสรรคส์ งั คม โดยผู้เรียนดาเนนิ การด้วยตนเองในลักษณะอาสาสมัคร เพื่อแสดงถงึ ความรบั ผิดชอบ ความดงี าม ความเสยี สละต่อสังคม และมีจิตสาธารณะ แนวกำรจดั กจิ กรรม การจดั กจิ กรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ เนน้ ใหผ้ เู้ รยี นร่วมกันสารวจและวิเคราะหส์ ภาพปญั หา รว่ มกันออกแบบการจัดกิจกรรม วางแผนการจดั กจิ กรรม ปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามแผน ร่วมสรุปและประเมนิ ผลการจดั กิจกรรม รว่ มรายงานผล พร้อมทงั้ ประชาสัมพันธ์และเผยแพรผ่ ลการจดั กจิ กรรม การจัดกิจกรรมเพ่ือสังคมและสาธารณประโยชน์ ผู้เรยี นสามารถเลอื กจัดกิจกรรมหรือเข้ารว่ มกิจกรรมได้ ทง้ั ภายในและภายนอกโรงเรียน ดงั น้ี 1. จัดกจิ กรรมในลกั ษณะบรู ณาการใน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และประสบการณข์ องผ้เู รียนเอง โดยผู้เรียน สามารถจดั กิจกรรมตามองค์ความรู้ทไี่ ด้จากการเรียนรแู้ ละประสบการณ์ซึง่ สามารถจดั กิจกรรมไดด้ ังน้ี 1.1 จดั กจิ กรรมภายในโรงเรยี น 1.2 จัดกิจกรรมภายนอกโรงเรียน
2. จัดกจิ กรรมลกั ษณะโครงการ โครงงาน หรือกิจกรรม หมายถงึ กจิ กรรมทผี่ เู้ รยี นนาเสนอการจัด กิจกรรมต่อโรงเรียนเพ่ือขอความเหน็ ชอบในการจัดทาโครงการ โครงงานหรือกิจกรรม ซ่ึงมรี ะยะเวลาเร่มิ ตน้ และ ส้นิ สุดที่ชัดเจนโดยสามารถจัดกิจกรรมไดด้ งั นี้ 2.1 จัดกิจกรรมในโรงเรยี น 2.2 จดั กจิ กรรมนอกโรงเรียน 3. จดั กจิ กรรมรว่ มกบั องค์กรอืน่ หมายถงึ กิจกรรมทผี่ ู้เรยี นอาสาสมัครเขา้ รว่ มกิจกรรม กบั หน่วยงานหรอื องค์กรอ่นื ๆ ทจ่ี ดั กิจกรรมในลักษณะเพื่อสงั คมและสาธารณประโยชน์ โดยผเู้ รยี นสามารถเลอื ก เขา้ ร่วมกจิ กรรมได้ ดังนี้ 3.1 ร่วมกบั หน่วยงานอ่ืนทเี่ ข้ามาจัดกิจกรรมในโรงเรียน 3.2 รว่ มกบั หนว่ ยงานอ่นื ทจ่ี ดั กิจกรรมนอกโรงเรียน เง่ือนไข เวลาเขา้ รว่ มกจิ กรรม ผ้เู รยี นเขา้ ร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชนอ์ ย่างต่อเนื่องทุกภาคเรยี น/ปี โดยขนึ้ อยกู่ ับการบรหิ ารจดั การของสถานศึกษา เน้นใหผ้ ู้เรียนเปน็ ผจู้ ัดกจิ กรรมดว้ ยตนเองทุกข้นั ตอนและต่อเน่ือง โดยมคี รูเป็นทป่ี รึกษากิจกรรม ผู้เรียนจะจัดกจิ กรรมหรือแสดงพฤติกรรมเพอ่ื สังคมและสาธารณประโยชน์ในเวลาสถานที่ หรือรปู แบบของ กจิ กรรมใดก็ได้ โดยคานงึ ถึงความเหมาะสมตามบริบทของแต่ละสถานศึกษา และขน้ึ อยู่กบั การบริหารจัดการของ สถานศกึ ษา กำรประเมินกิจกรรม กจิ กรรมเพือ่ สังคมและสาธารณประโยชน์ ผ้เู รียนต้องเขา้ ร่วมกจิ กรรมให้ครบตามกรอบเวลาในโครงสร้าง ของหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐานพทุ ธศักราช 2551 ศึกษา ดังนี้ 1. ระดบั ประถมศึกษา (ป.1-ป.6) มีเวลาเข้ารว่ มกจิ กรรม 60 ชว่ั โมง 2. ระดบั มัธยมศึกษาตอนตน้ (ม.1-ม.3) มเี วลาเข้าร่วมกิจกรรม 45 ช่วั โมง 3. ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6) มเี วลาเข้ารว่ มกจิ กรรม 60 ชั่วโมง ผ่ำน หมายถึง ผู้เรียนเขา้ ร่วมกิจกรรมครบตามเวลา ปฏบิ ตั ิกจิ กรรม และมีผลงาน/ช้ินงาน/ คณุ ลกั ษณะตามเกณฑท์ สี่ ถานศึกษากาหนด ไมผ่ ำ่ น หมายถงึ ผู้เรยี นเขา้ ร่วมกิจกรรมไม่ครบตามเวลา ปฏบิ ัตกิ ิจกรรม หรอื มีผลงาน/ ชน้ิ งาน/คุณลกั ษณะไมเ่ ป็นไปตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากาหนด ในกรณีทผ่ี ู้เรยี นไมผ่ า่ น ครทู ่ปี รกึ ษาต้องให้ผู้เรยี นซ่อม เสรมิ การทากิจกรรมใหค้ รบตามกรอบเวลาท่ีกาหนดในโครงสร้างของหลักสตู ร
Search
Read the Text Version
- 1 - 25
Pages: