แผนบรหิ ารการสอนประจำบทท่ี 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรยี น หวั ข้อเน้อื หาประจำบท 1. แนวคดิ การพยาบาลอนามัยโรงเรียน 2. บทบาทพยาบาลในการพยาบาลอนามยั โรงเรียน 3. หลกั การดำเนนิ งานอนามยั โรงเรยี น 4. การตรวจสขุ ภาพนกั เรยี น 5. การสอนสขุ ศกึ ษาในโรงเรยี น (School health education) 6. อนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน (Healthful school living) 7. ความสัมพนั ธข์ องการพยาบาลอนามัยโรงเรียนกบั ระบบสขุ ภาพชุมชน 8. แนวคิดโรงเรยี นสง่ เสริมสุขภาพ 9. แนวคิดทัศนคติ นโยบาย ความรว่ มมอื การเป็นห้นุ ส่วนของโรงเรียนสง่ เสริมสุขภาพ 10. บทบาทพยาบาลอนามัยชมุ ชนกับโรงเรียนสง่ เสรมิ สขุ ภาพ วัตถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เพอ่ื ให้ผู้เรียนสามารถ 1. อธิบายแนวคดิ การพยาบาลอนามยั โรงเรียนได้ 2. บอกบทบาทพยาบาลในการพยาบาลอนามัยโรงเรยี นได้ 3. อธิบายหลกั การดำเนินงานอนามยั โรงเรียนได้ 4. อธิบายหลกั การตรวจสขุ ภาพนักเรยี นและสามารถตรวจสขุ ภาพนักเรียนได้ 5. อธบิ ายหลักการและความสำคัญของการสอนสขุ ศกึ ษาในโรงเรยี นได้ 6. บอกหลักการอนามยั สิง่ แวดลอ้ มในโรงเรียนได้ 7. อธิบายความสมั พนั ธข์ องการพยาบาลอนามยั โรงเรยี นกับระบบสขุ ภาพชมุ ชนได้ 8. อธิบายแนวคดิ โรงเรียนส่งเสริมสขุ ภาพได้ 9. อธิบายแนวคิดทัศนคติ นโยบาย ความร่วมมือการเป็นหุ้นส่วนของโรงเรียนส่งเสริม สุขภาพได้ 10. บอกบทบาทพยาบาลอนามัยชมุ ชนกบั โรงเรียนส่งเสริมสขุ ภาพได้
2? เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพในระบบสุขภาพชมุ ชน วิธสี อนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจำบท 1. วธิ สี อน 1.1 ให้เนอื้ หาอา่ นลว่ งหนา้ (self-study) 1.2 มอบหมายงานใหน้ กั ศึกษาคน้ คว้าหัวขอ้ เรื่องทีจ่ ะเรยี น 1.3 บรรยาย/อภปิ ราย 1.4 จบั คฝู่ ึกสัมภาษณ์ 1.5 ใหน้ ักศึกษานำเสนองานกลุ่มและอภปิ รายร่วมกนั ในหอ้ งเรยี น 1.6 ประเมินความร้หู ลังเรียน 2. กิจกรรมการเรยี นการสอน 2.1 ผู้สอนมีการทดสอบความรู้ก่อนและหลงั การเรยี น 2.2 ผู้สอนบรรยายเนอ้ื หา 2.3 รว่ มกันอภิปรายระหว่างผู้เรียนและผู้สอน 2.4 ผู้เรียนวเิ คราะหส์ ถานการณ์ทีก่ ำหนดให้ 2.5 ผู้เรยี นทำแบบฝึกหัดท้ายบท 2.6 ผู้เรยี นฝกึ การตรวจสุขภาพนกั เรยี นแล้วถ่ายวิดโี อมาส่ง 2.7 ประเมินความรู้ก่อนและหลังเรียน ก่อนเรียนมีการแจ้งนักศึกษาเพื่อประเมิน คะแนนสอบหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบในโปรแกรม Quizizz สือ่ การเรียนการสอน 1. เอกสาร หนังสอื และตำราทเ่ี กีย่ วข้องเชน่ 1.1 เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสร้างเสริมสุขภาพในระบบสุขภาพชุมชนของ กมลภู ถนอมสัตย์ 1.2 หนังสอื เรอ่ื ง อนามยั โรงเรียน (สมศกั ดิ์ จำปาโท, 2562) 1.3 หนังสือเรื่อง การพยาบาลชุมชน: อนามัยครอบครัว อนามัยโรงเรียน อนามัย สงิ่ แวดล้อมและอาชีวอนามยั (ศิวพร อ้ึงวัฒนา และรังสยิ า นารนิ ทร์, 2561) 2. เวบ็ ไซตต์ า่ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งเชน่ 2.1 กระทรวงสาธารณสุข URL:www.moph.go.th 2.2 โครงการเครือข่ายห้องสมุดในประเทศไทย Thai Library Integrated system (ThaiLIS) URL: http://tdc.thailis.or.th/tdc/basic.php 2.3 ฐานข้อมูลของ CINAHL ของคณะพยาบาลศาสตร์ https://search.ebscohost.com 2.4 ฐานข้อมูลของสำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครปฐม Springerlink (E-journals) (E-book) CRCnetBase
บทท่ี 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรยี น@3 2.5 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสขุ URL: http://www.anamai.moph.go.th/ main.php?filename=index2012_1 2.6 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสรมิ สขุ ภาพ http://www.thaihealth.or.th 2.7 สถาบันวจิ ัยระบบสาธารณสุข (สวรส) https://www.hsri.or.th/ 2.8 สำนักงานหลกั ประกันสุขภาพแหง่ ชาติ (สปสช.) https://www.nhso.go.th 3. แบบฝกึ หัดทา้ ยบทเรียน 4. สื่อการเรียนออนไลน์ได้แก่ Learning Management System (LMS), Application การวัดผลและการประเมนิ ผล 1. ประเมินเนื้อหาการวิเคราะห์ประเด็นจริยธรรมจากรายงาน ตรวจสอบการส่งงานตามเวลา ท่กี ำหนด การไมค่ ดั ลอกผลงานผู้อืน่ การอ้างองิ เอกสารโดยใช้ แบบประเมนิ ผลงาน/รายงาน 2. สังเกตการแสดงออกถึงการเคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ โดยการ แสดงออกตอ่ อาจารยแ์ ละเพอ่ื นร่วมช้ันเรียน 3. การทดสอบกลางภาคเรยี น 4. ประเมินการวิเคราะห์จากการอภิปราย และมีส่วนร่วมในการอภิปรายกรณีศึกษาด้วยแบบ ประเมินการทำรายงานและการนำเสนอ 5. ประเมินการแสดงออกของการตระหนักถึงความรับผิดชอบในการเรียนรู้ตามประสบการณ์ การเรียนรู้และการมีส่วนร่วมในการทำงานกลุ่ม โดยใช้แบบประเมินทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และความรับผดิ ชอบ 6. สังเกตและประเมินทักษะการสื่อสาร การนำเสนอและรายงานผลงานทางเทคโนโลยีที่ เกยี่ วขอ้ งโดย แบบประเมินการนำเสนอผลงาน/รายงาน
บทท่ี 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรียน@5 บทที่ 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรียน 1. แนวคิดการพยาบาลอนามยั โรงเรยี น โรงเรียนจัดเป็นสถาบันทางสังคมพื้นฐานที่มีความสำคัญในการพัฒนาเด็กและเยาวชน ซึ่งเป็น กำลังสำคัญของประเทศชาติ โดยมีหน้าที่พัฒนานักเรียนให้มีศักยภาพเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถ ดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข การบริการพยาบาลอนามัยโรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการบริการ อนามัยโรงเรียนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพของประชากรวัยเรียน โดยมีโรงเรียนเป็น ศูนย์กลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการปฏิบัติทางด้านสุขภาพให้กับนักเรียน การจัดบริการ อนามัยโรงเรียนมีลักษณะเป็นบริการสาธารณสุข ผสมผสานซึ่งประกอบด้วยการส่งเสริมสุขภาพ การ ควบคุมป้องกันโรค การรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัยเรียนให้มีการ เจริญเติบโตตามวัย รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ ทัศนคติที่เหมาะสมเกี่ยวกับสุขภาพ และสามารถนำ ความรู้ไปปฏิบัติในการดูแลตนเองและครอบครัวให้มีสุขภาพที่ดีต่อไป (ศิวพร อึ้งวัฒนา และรังสิยา นารินทร์, 2561) นอกจากนี้การบริการอนามัยโรงเรียนยังรวมไปถึงการดูแลสุขภาพของบุคลากรทุกคน ในโรงเรียนอีกด้วย โดยการพยาบาลอนามัยโรงเรียนเป็นหน้าที่ของบุคคลหลายฝ่ายร่วมกันรับผิดชอบ ได้แก่ ครูพยาบาล พยาบาลอนามัยโรงเรียน หรือพยาบาลอนามัยชุมชน ในกรณีที่ไม่มีพยาบาลอนามัย โรงเรียน เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ผู้ปกครองนักเรียน นอกจากนี้ ยังรวมบริการทันตสุขภาพไว้ด้วย ซึ่งการ ดำเนินงานอนามัยโรงเรียนต้องอาศัยความสัมพันธ์และการประสานงานระหว่างโรงเรียน บ้านและชุมชน (จริยาวัตร คมพยัคฆ์ และวนิดา ดุรงค์ฤทธิชัย, 2551) ทั้งนี้เพื่อให้เด็กมีสุขภาพที่ดี ปราศจากโรคอันเกิด จากโรคติดต่อ และไม่ติดต่อที่มีสาเหตุจากพฤติกรรม และสิ่งแวดล้อม อันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาเล่า เรียน เนื่องด้วยหากเด็กเกิดความเจ็บป่วยจะส่งผลให้ศักยภาพในการศึกษาลดลงและอาจก่อให้เกิดการ แพร่กระจายของโรคไปสู่เพื่อนนักเรียน คนในครอบครัวและชุมชนตามมา ซึ่งการบริการอนามัยโรงเรียน นั้นประกอบด้วยบริการสุขภาพแบบผสมผสานครอบคลุมใน 4 มิติ คือ การป้องกันโรค การส่งเสริม สุขภาพการรักษาโรคเบื้องต้น และการฟื้นฟูสภาพ วัตถุประสงค์ของการบริการอนามัยโรงเรียนการ บริการอนามยั โรงเรียนมีวตั ถปุ ระสงค์ ดังนี้ 1. เพือ่ ส่งเสริมสขุ ภาพให้แกน่ กั เรยี น ครู ตลอดจนบุคลากรทกุ คนในโรงเรียน 2. เพื่อเสริมสร้างทัศนคติที่ดีและทักษะในการดูแลด้านสุขภาพแก่นักเรียนและบุคลากรทุกคน ใน โรงเรียน
6? เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสรา้ งเสริมสุขภาพในระบบสุขภาพชุมชน 3. เพื่อจัดและดำเนินงานโครงการอนามัยโรงเรียนที่สอดคล้องกับนโยบายของประเทศ แผนงานของโรงเรยี น และความต้องการของชมุ ชน 4. เพ่อื ปอ้ งกนั และควบคมุ โรคติดต่อภายในโรงเรยี นไดอ้ ยา่ งถูกต้องเหมาะสม 5. เพื่อให้การรักษาพยาบาลเบื้องต้น การปฐมพยาบาล และป้องกันอุบัติเหตุภายในโรงเรียน ถึงการแก้ไขเบือ้ งต้นเพ่ือป้องกนั ความพกิ ารตา่ ง ๆ 6. เพื่อประเมินภาวะสุขภาพอนามัยของนักเรียนและบุคลากรทุกคนในโรงเรียนตลอดจน ดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องได้อย่างเหมาะสม และสามารถจัดการส่งต้องเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง ตอ่ ไป 7. เพ่ือพัฒนางานด้านวิชาการในการรวบรวมข้อมูลสุขภาพ ให้ความรู้ เผยแพร่ความรู้ด้าน สุขภาพ พัฒนางานวิจยั และนวตั กรรมด้านสขุ ภาพในโรงเรียน 2. บทบาทพยาบาลในการพยาบาลอนามยั โรงเรยี น บทบาทพยาบาลในการพยาบาลอนามัยโรงเรียนมีบทบาทหน้าที่ในการบริการอนามัยโรงเรียน ดังนี้ 2.1 บทบาทการใหบ้ ริการสขุ ภาพ 2.1.1 การสร้างเสรมิ สขุ ภาพ ประกอบด้วย 2.1.1.1 การตรวจสุขภาพนักเรียน เป็นการค้นหานักเรียนที่มีโรคหรือมีข้อบกพร่อง ทางด้านสุขภาพ เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือในระยะเริ่มแรก ป้องกันมิให้เป็นโรครุนแรงหรือป้องกัน ความพกิ ารรวมถงึ เปน็ การจงู ใจใหน้ ักเรยี นมีความสนใจปรบั ปรุงสขุ ภาพตนเอง 2.1.1.2การให้ความรู้เร่ืองการประเมินสุขภาพเบื้องต้นแก่ครูหรือนักเรียน เช่น การ ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงโดยนำมาเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน ทำให้เด็กนักเรียนทราบถึงการเปลี่ยนแปลงหรือ การเจริญเตบิ โตท่ผี ิดปกตขิ องร่างกาย 2.1.1.3 การลงบันทึกบัตรสุขภาพ นักเรียนทุกคนต้องมีบัตรบันทึกสุขภาพ ประจำตัวเพื่อติดตามภาวะสุขภาพของนักเรียนแต่ละคนเป็นระยะ ๆ การส่งเสริมในนักเรียนด้านต่าง ๆ ได้แกก่ ารออกกำลงั กาย การรับประทานอาหารท่ีมีประโยชนก์ ารสง่ เสรมิ พัฒนาการ ฯลฯ 2.1.2 การปอ้ งกนั โรค ประกอบด้วย 2.1.2.1 การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโดยจัดทำแผนในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค จดั ทำแผนในการสรา้ งเสริมภูมคิ มุ้ กนั โรคแก่นักเรยี นใหค้ รอบคลุมตามระดับอายุของนักเรียน 2.1.2.2 การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อสุขภาพอนามัยและ ปลอดภยั แกน่ ักเรียนตลอดจนเปน็ ตัวอยา่ งที่ดแี กช่ ุมชน
บทที่ 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรียน@7 2.1.2.3 โรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดกับเด็กได้แก่ โรคที่เกิดจากสุขอนามัย โรคติดต่อ โรคจากพฤติกรรม 2.1.3 การรักษาพยาบาลเบื้องต้นโดยมือตรวจสุขภาพแล้วพบว่ามีนักเรียนที่มีปัญหา สุขภาพเช่น หวัด หิด เหา กลาก เกลื้อน มีบาดแผลเป็นต้น พยาบาลจะต้องให้การรักษาพยาบาล เบื้องต้นในปัญหา สุขภาพที่สามารถรักษาได้ หรือทำการส่งต่อนักเรียนเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง เหมาะสมตอ่ ไป 2.1.4 การฟื้นฟูสุขภาพพยาบาลที่รับผิดชอบงานอนามัยโรงเรียนมีหน้าที่ดูแลไม่ให้โรค สายตาหรือการได้ยินผิดปกติพยาบาลควรจะทดสอบสายและการได้ยินของนักเรียนปีละครั้ง หากพบ ความผิดปกติจะต้องให้การช่วยเหลือ เช่น ให้นักเรียนวัดสายตาประกอบแว่นหรือให้คำแนะนำแก่ ผู้ปกครองเพอื่ ป้องกันไมใ่ ห้นกั เรยี นมีสายตาเละการไดย้ นิ ผดิ ปกติมากขึน้ 2.2 บทบาทในการสนบั สนนุ โรงเรยี นเพอ่ื พฒั นาเปน็ โรงเรยี นสง่ เสรมิ สขุ ภาพ ไดแ้ ก่ การ ร่วมจัดทำโครงการส่งเสริมสุขภาพ ประสานงานให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สนับสนุน วิชาการ สื่อ จัดอบรมแกนนำนักเรียน ติดตามประเมินผลการดำเนินการ นอกจากนี้ พยาบาลยังมี บทบาทในดำเนินการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนงานอนามยั โรงเรยี นใหเ้ หมาะ สมตอ่ ไป 3. หลกั การดำเนินงานอนามัยโรงเรยี น โดยทั่วไป การจดั กจิ กรรมอนามัยโรงเรียนจะต้องดำเนนิ งานใน 4 ดา้ น คือ 3.1 บริการอนามัยในโรงเรียน (School health service) หมายถึง การที่โรงเรียนจัด ให้มีบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับนักเรียนทุกคนเพื่อให้นักเรียนได้รับการตรวจสุขภาพและ เฝ้าระวังภาวะสุขภาพการป้องกันโรค และการรักษาพยาบาลเบื้องต้นจากครูและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ประกอบด้วยกิจกรรมที่สำคัญ คือ การตรวจสุขภาพและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ได้แก่ จัดให้มีบัตร บันทึกสุขภาพประจำตัวนักเรียน การตรวจสุขภาพนักเรียน การรักษาพยาบาลนักเรียนที่เจ็บป่วย การ ติดตามผลการรักษานักเรียนที่เจ็บป่วยทั้งที่บ้านและโรงเรียน การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และการ ส่งเสริมโภชนาการในโรงเรียน 3.2 สขุ ศกึ ษาในโรงเรียน (School health education) 3.3 อนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน (Healthful school giving) เป็นการจัดสิ่งแวดล้อม ในโรงเรยี น ให้ถกู สุขลกั ษณะ 3.4 ความสัมพันธ์ระหว่างบ้านและโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง และเป็นการเสรมิ สรา้ งความเข้าใจอนั ดรี ะหวา่ งเจา้ หนา้ ท่ี ครู และผู้ปกครอง
8? เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสรา้ งเสรมิ สุขภาพในระบบสขุ ภาพชุมชน 4. การตรวจสุขภาพนักเรียน สำหรับการตรวจสุขภาพนักเรียน สามารถจำแนกได้ 5 กลุ่ม (ศิวพร อึ้งวัฒนา และรังสิยา นารนิ ทร์ 2561) ดงั น้ี 4.1 การตรวจสุขภาพโดยแพทย์ นักเรียนควรได้รับบริการตรวจสุขภาพโดยแพทย์เป็น ประจำทุกปี แต่เนื่องจากประเทศไทยยังมีบุคลากรแพทย์ไม่เพียงพอ จึงมีความจำเป็นต้องได้รับการ ตรวจสุขภาพโดยบุคลากรระดับอื่นก่อน เช่น พยาบาลชุมชน หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นต้น ซึ่งเมื่อ พบปัญหาที่ต้องการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมหรือไม่สามารถแก้ไขได้จึงจะส่งไปรับการตรวจสุขภาพจาก แพทย์อย่างละเอียดอีกครั้ง โดยหลักการแล้วนักเรียนที่ควรมีโอกาสเข้ารับการตรวจสุขภาพจากแพทย์ ได้แก่ นักเรียนที่เข้าใหม่ทุกคน นักเรียนที่เรียนอยู่ชั้น ป.6 ม.3 และ ม.6 เนื่องจากเป็นนักเรียนที่จะจบ การศึกษาในแต่ละระดับและอาจมีการโยกย้ายโรงเรียน นักเรียนที่เป็นนักกีฬาของโรงเรียน เพื่อ พิจารณาความเหมาะสมของการเล่นกีฬาประเภทนั้น ๆ นักเรียนที่ป่วยหรือประสบอุบัติเหตุในโรงเรียน และได้รบั การส่งตอ่ จากครหู รือพยาบาล และนักเรยี นท่ีจะออกคา่ ยพกั แรม 4.2 การตรวจสุขภาพของช่องปากโดยทันตแพทย์หรือทันตภิบาล เป็นการส่งเสริมสุขภาพ ปาก ฟัน และรักษาโรคในช่องปากให้แก่นักเรียน ซึ่งอาจทำได้หลายลักษณะตามความเหมาะสมและ ความพร้อมด้านบุคลากรในชุมชน ทั้งนี้หากเป็นไปได้นักเรียนควรได้รับการตรวจสภาพของปากและฟัน โดยทันตแพทย์หรือทันตภิบาลอย่างน้อยปีละครั้ง หากไม่สามารถติดต่อกับทันตแพทย์หรือทันตภิบาลได้ พยาบาลสามารถให้บรกิ ารตรวจสขุ ภาพในชอ่ งปากได้ เมอ่ื พบปญั หาจึงส่งตอ่ ไปรับการดแู ลต่อไป 4.3 การตรวจสุขภาพโดยครู เป็นการตรวจสุขภาพนักเรียนในตอนเช้า (Morning inspection) เพื่อสำรวจความสะอาดของเสื้อผ้า ร่างกาย และความผิดปกติหรืออาการของโรคติดต่อ บางอย่างซึ่งครูสามารถตรวจสุขภาพในเด็กนักเรียนชั้นประถมอย่างสม่ำเสมอทุกวันก่อนเข้าชั้นเรียน และเมือ่ พบความผดิ ปกตกิ ็จะรายงานให้เจ้าหน้าทส่ี าธารณสุขผ้รู ับผดิ ชอบทราบเพอื่ หาทางชว่ ยเหลือ 4.4 การตรวจสุขภาพโดยพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ที่สาธารณสุข การตรวจสุขภาพนักเรียน โดยพยาบาลสาธารณะสุขหรือเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่แพทย์เป็นการคัดกรองนักเรียนที่มีความผิดปกติทางด้าน สุขภาพอนามัยเพื่อให้การรักษาหรือส่งต่อไปรับการรักษาจากแพทย์ได้แก่การใช้น้ำหนักและการวัด ส่วนสูงการวัดสายตาการตรวจสุขภาพช่องปากการทดสอบการได้ยินการตรวจร่างกายการบันทึกสุขภาพ นักเรียนการรกั ษาพยาบาลให้ศึกษาและตดิ ตามผลการรกั ษา 4.5 การตรวจสุขภาพของนักเรียนด้วยตนเอง การตรวจสุขภาพของนักเรียนด้วยตนเอง การดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพได้มุ่งเน้นให้นักเรียนรู้จักดูแลสุขภาพตนเองให้มากขึ้นจึงได้ให้ นักเรียนระดับประถมศึกษาชั้น ป.5 และ ป.6 และนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 มีการบันทึก การตรวจสขุ ภาพด้วยตนเองในหวั ข้อตอ่ ไปนี้
บทที่ 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรียน@9 4.5.1 การตรวจหาความผดิ ปกตขิ องรา่ งกาย 4.5.2 การตรวจดูความเจริญเตบิ โตของร่างกาย 4.5.3 การตรวจความสะอาดของร่างกายและเสื้อผา้ 4.5.4 การสำรวจภาวะสายตา 4.5.5 การได้ยิน 4.5.6 การประเมินความเครยี ด 4.5.7 ความร้เู รอ่ื งพัฒนาการทางเพศของวัยรุ่น โดยนักเรียนจะต้องตรวจสุขภาพตนเองอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เมื่อพบความผิดปกติให้ แจ้งแก่ครูประจำชั้นเพื่อให้การช่วยเหลือหรือส่งต่อเพื่อรับการดูแลรักษาที่เหมาะสมต่อไป ครูประจำช้ัน หรือครูพยาบาลจะนำข้อมูลความผิดปกติบันทึกลงในบัตรบันทึกสุขภาพ ครูประจำชั้นจะเป็นผู้เก็บแบบ บันทึกการตรวจสุขภาพด้วยตนเองและส่งต่อครูประจำชั้นคนใหม่เมื่อนักเรียนเลื่อนชั้น ให้นักเรียนเม่ือ ยา้ ยโรงเรียนอย่างไรก็ตามการตรวจสุขภาพในโรงเรียน บันทึกผลลงในบัตรสุขภาพ และทั้งนี้การตรวจสุขภาพเพื่อให้เห็นส่วนต่าง ๆ ของ รา่ งกายอย่างชดั เจนและรวดเรว็ ควรให้นกั เรยี นทำทา่ 10 ทา่ ตรวจ ดงั ตอ่ ไปนี้ ท่าที่ 1 ยื่นมือออกไปข้างหน้าให้สุดแขนทั้งสองข้าง คว่ำมือกางนิ้วทุกนิ้ว เพื่อสังเกตความ สะอาด ความพิการ ความผิดปกติ รวมทงั้ รอยโรคต่าง ๆ บรเิ วณ แขน มือ นวิ้ งามมือ และเลบ็ ภาพที่ 9.1 การตรวจสขุ ภาพนักเรยี นทา่ ที่ 1 ท่าที่ 2 ยื่นมือออกไปข้างหนหงายมือกางนิ้วออกทุกนิ้ว เพื่อสังเกตสีของฝ่ามือว่าซีดหรือไม่ ปกติฝา่ มอื ควรมีสีชมพู สังเกตความสะอาด ความพิการ ความผิดปกติและรอยโรค ภาพที่ 9.2 การตรวจสขุ ภาพนกั เรยี นทา่ ที่ 2
10? เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสร้างเสริมสุขภาพในระบบสุขภาพชุมชน ท่าที่ 3 งอข้อศอกทั้งสองข้างใช้นิ้วแตะเปลือกตาล่างดึงลงเบาๆ กลอกตาขึ้นบนและลงล่าง แล้วกลอกไปทางซ้ายและขวา เพื่อสังเกตลักษณะขอบตา เยื่อบุเปลือกตา ขนตา ลูกตา แก้วตา ม่านตา ลกั ษณะของข้ีตา รวมท้ังสงั เกตบริเวณหลงั แขนและข้อศอก ภาพที่ 9.3 การตรวจสุขภาพนักเรียนท่าท่ี 3 ทา่ ท่ี 4 ปลดกระดุมหนา้ อกเส้ือออก 1-2 เม็ด ใช้มอื ทั้งสองข้างดงึ คอเสือ้ ใหก้ ว้างหนั หนา้ ไป ข้างซ้ายและขวาเล็กน้อยให้เห็นรอบรอบบริเวณคอด้านข้างด้านหน้าและด้านหลังเพื่อสังเกตความ สะอาดและความผิดปกติของผิวหนังบริเวณคอและหน้าอกเช่นแผลตุ่มผื่นกลากเลื่อนและสังเกตต่อม น้ำเหลอื งทค่ี อและตอ่ มไทรอยดว์ า่ โตหรอื ไม่ ภาพที่ 9.4 การตรวจสุขภาพนักเรียนทา่ ที่ 4 ท่าที่ 5 ให้นักเรียนหันหน้าไปทางซ้าย นักเรียนหญิงใช้มือขวาเปิดผมให้สูงขึ้นเหนือ ด้านหลังหูขวา นักเรียนชายหันหนา้ ไปทางซา้ ยไม่ตอ้ งปัดผม ภาพที่ 9.5 การตรวจสขุ ภาพนักเรยี นทา่ ที่ 5
บทที่ 9 การพยาบาลอนามยั โรงเรยี น@11 ท่าที่ 6 ให้นักเรียนหันหน้าไปทางขวา นักเรียนหญิงใช้มือซ้ายเปิดผมให้สูงขึ้นเหนือ ด้านหลังหูช้ายนักเรียนชายทันหน้าไปทางขวาไม่ต้องปัดผม วัตถุประสงค์ของท่าที่ 5 และ 6 เพื่อสังเกต ความสะอาดบรเิ วณใบหู รอยโรคตา่ ง ๆ เสน้ ผม และไขเ่ หา ภาพที่ 9.6 การตรวจสขุ ภาพนกั เรยี นท่าท่ี 6 ท่าที่ 7 กัดฟันและยิ้มกว้างให้เห็นเหงือกเต็มที่เพื่อสังเกต สีริมฝีปาก ซีด แห้ง แตก มีแผล แผลที่มุมปากตรวจหาฟันผุบริเวณฟันหน้า เหงือกและรอยต่อระวังเหงือกกับฟัน สังเกตผิวหนังทั่ว บริเวณใบหนา้ ภาพท่ี 9.7 การตรวจสขุ ภาพนกั เรียนท่าที่ 7 ท่าท่ี 8 อา้ ปากกวา้ ง แลบลนิ้ ออกมาใหย้ าวท่ีสดุ พรอ้ มทงั้ เงยหน้าเลก็ นอ้ ยและร้อง \"อ\" เพอื่ สังเกตฟันผุและจำนวนซี่ที่ผุ และสังเกตพื้นผิของลิ้นเพื่อดูความผิดปกติ เช่น ชืด เป็นฝ้าขาว แตก หรือ อักเสบ ดูจมูก ภายนอกและในรูจมูกว่ามีแผล น้ำมูก ความพิการ เยื่อบุปาก เหงือก ฟันส่วนใน เพดาน ช่องคอ ต่อมทอนซลิ หลงั จากน้ันใหห้ ุบปากกลืนนำ้ ลายเพ่อื ดูว่าตอ่ มไทรอยดม์ ขี นาดปกตหิ รอื โตผิดปกติ ภาพที่ 9.8 การตรวจสุขภาพนักเรียนทา่ ที่ 8
12? เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสรา้ งเสริมสุขภาพในระบบสุขภาพชุมชน ทา่ ท่ี 9 ใหน้ กั เรียนยืนแยกเทา้ หา่ งกัน 1 ฟุต นกั เรยี นหญงิ จับกระโปรงดงึ ขึน้ เหนอื เขา่ ภาพที่ 9.9 การตรวจสุขภาพนกั เรียนท่าที่ 9 ท่าที่ 10 ให้นักเรียนหันหลังและเดินช้า ๆ ไปข้างหน้า 4-5 ก้าว แล้วเดินกลับมาหาผู้ตรวจ วัตถุประสงค์ท่าที่ 9 และ 10 เพื่อสังเกตบริเวณข่า หน้าแข้ง น่อง ลักษณะของกระดูก ผิวหนัง ท่าทาง การเดนิ ภาพที่ 9.10 การตรวจสขุ ภาพนกั เรยี นท่าท่ี 10 การตรวจร่างกายในนกั เรียนมรี ายละเอยี ด ดังตอ่ ไปน้ี 1. การชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง เป็นการประเมินภาวะโภชนาการของนักเรียนช่วยให้ ทราบว่าร่างกายของนักเรียนมีการเจริญเติบโตเหมาะสมตามวัยหรือไม่โดยการนำผลที่ได้ไปเปรียบเทียบ กับมาตรฐานน้ำหนักและส่วนสูง ซึ่งกองอนามัยโรงเรียนได้จัดทำไว้การชั่งน้ำหนักควรทำทุกเดือนหรือ อย่างน้อยเทอมละครั้ง การวัดส่วนสูงควรทำเทอมละครั้ง การชั่งน้ำหนักคนทำตามมาตราเดียวกันและ ใช้เคร่อื งชง่ั เดยี วกันทกุ ครงั้ การประเมินภาวะโภชนาการด้วยน้ำหนักและส่วนสูงมี 3 วิธคี อื 1.1 น้ำหนักตามเกณฑ์อายุแสดงถึงภาวะพร่องโภชนาการคือ น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์หรือ มีการพร่องด้านความสูง (ความสูงต่างกัน 1 เซนติเมตรอาจทำให้น้ำหนักต่างกันเกือบ 1 กิโลกรัม) หรือ อาจมีภาวะพร่องทางน้ำหนักและส่วนสูงกราฟเทียบน้ำหนักตามเกณฑ์อายุมีข้อด้อยหรือไม่อาจแยกว่า เด็กมีภาวะพร่องด้านน้ำหนักหรือส่วนสูงรวมทั้งไม่สามารถระบุปัญหาโภชนาการเกินได้เพราะเด็กที่มี ปัญหาโภชนาการเกนิ อาจมนี ำ้ หนกั ตามเกณฑอ์ ายุอยใู่ นเกณฑป์ กติ 1.2 ส่วนสูงตามเกณฑ์อายุแสดงระดับการเจริญเติบโตของเด็กได้ชัดเจนกว่ากราฟแสดง น้ำหนักเกณฑ์อายุเพราะเด็กจะต้องไม่สูงเกินปกตินอกจากคนที่มีความผิดปกติของฮอร์โมน จึงควรใช้
บทที่ 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรยี น@13 เป็นตัวบ่งชี้เพื่อประเมินการเจริญเติบโตของเด็ก อย่างไรก็ตามความสูงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ จึง จำเปน็ ตอ้ งติดตามและประเมนิ ผลในระยะยาว 1.3 น้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง ใช้ประเมินภาวะโภชนาการเกิน (อ้วน) และภาวะผอม ควรใช้ควบคู่กบั การเทยี บส่วนสงู ตามเกณฑอ์ ายุ เพราะการท่ีเด็กเต้ียอาจมีน้ำหนักที่สมส่วนกบั ความสงู 2. ผิวหนัง การตรวจผิวหนังใช้วิธีการดูตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้า โดยใช้ท่าตรวจสุขภาพทำ ให้ 1, 2, 3, 5, 6 รว่ มกับการชกั ถามอาการ ดงั น้ี 2.1 ศีรษะ และเส้นผม : ดูเชื้อราบนศีรษะ ดูตัวเหา และไข่เหาบนเส้นผม และดูผื่น แผลผมร่วง และผมหายเปน็ หยอ่ มๆ 2.2 เล็บ : เล็บปกติมีสีชมพู ผิวเรียบ ไม่ขรุขระ ถ้าตัวเล็บหรือเนื้อใต้เล็บผิดปกติ จะทำ ให้สีเปลี่ยน เช่น เชื้อรา ที่เล็บทำให้เล็บเป็นสีขาวขุ่น เล็บสีเหลืองเป็นอาการของโรคตับอักเสบหรือ ร่างกายสะสมวิตามินเอมากเกินไป เล็บซีด แสดงภาวะโลหิตจาง เล็บเขียวคล้ำเป็นอาการของโรคหัวใจ หรอื โรคปอดเร้อื รงั 2.3 สีของผิวหนัง: อาการตัวเหลืองตาเหลือง (ดูที่ตาขาว) เป็นอาการของโรคตับ มาลาเรียและโรคเลือดอาการตัวเหลืองจากการสะสมแคโรทีนมากเกินไปทำให้ผิวหนังมีสีเหลืองส่วนตา ขาวและเหงือกไม่เหลืองซึ่งอาการเหลืองจะหายไปเมื่อหยุดรับประทานอาหารที่มีแคโรทีนเช่น มะละกอ ฟักทอง อาการซดี ดทู เ่ี ลบ็ และฝ่ามือ เปลอื กตา รมิ ฝปี าก เหงอื ก และลนิ้ ซงึ่ แสดงภาวะโลหิตจาง 3. ตา และการวัดสายตา ใช้ถ้าตรวจสุขภาพท่าที่ 3 โดยตรวจไม่เปิดเปลือกตามีขนตาร่วง เป็นยอมยอมของเปลือกตาทั้งบนและล่าง มีตุ่ม เม็ด บวม แดงสังเกต ลักษณะหนังตาตกดูจากด้านข้าง ว่ามีลักษณะตาโปนซึ่งเป็นอาการของต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ดูการเคลื่อนไหวของลูกตาทั้งสองข้างตาขาว คนปกติ ตาขาวมีสีขาวอมฟ้าอ่อนๆ ตาขาวมีสีเหลืองเป็นอาการของโรคตับถ้ามีเส้นเลือดแดงเรื่อ เป็น อาการอักเสบของเย่อื บหุ รอื ถกู กระแทกหากพบแผ่นเนือ้ บาง ๆ งอกจากหัวตา เป็นอาการของก้อนเน้ือ 3.1 ตาดำ: คนปกติตาดำที่อยู่ตรงกลางนัยน์ตาเพื่อมองตรงไม่ควรเอียงไปด้านใด ด้านหนง่ึ 3.2 เยื่อบุตา : ปกติมีสีชมพูอ่อนเยื่อบุตาสีชมพูเข้มหรือแดงแสดงว่ามีตาอักเสบเยื่อบุ ตาซดี แสดงว่ามีภาวะโรคโลหิตจาง 3.3 การวดั สายตา เจ้าหน้าที่สาธารณสุขควรทราบเรื่องการวัดสายตาของนักเรียนที่ถูกต้อง เพื่อ แนะนำครู และนกั เรียนใหส้ ามารถวัดสายตาได้ การวัดสายตาเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อการจัดที่นั่งในห้องเรียน และช่วยเหลือนักเรียนที่มีสายตาผิดปกติให้ได้รับการตรวจแก้ไขอย่างรวดเร็ว ซึ่งนักเรียนควรได้รับการ ตรวจสายตาทุกปีหรือในรายที่ครูรายงานว่ามีอาการปวดศีรษะบ่อย ๆ หรี่ตาขมวดคิ้ว หรือต้องเพ่งเมื่อ
14? เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการสร้างเสรมิ สขุ ภาพในระบบสขุ ภาพชุมชน อ่านหนังสือ ทั้งนี้ผู้ที่สามารถให้บริการวัดสายตาได้แก่เจ้าหน้าที่สาธารณสุข พยาบาลประจำโรงเรียน และครูหรือนักเรียนซึ่งผ่านการอบรมเกี่ยวกับวิธีการวัดสายตาอย่างไรก็ตามนักเรียนตั้งแต่ชั้น ป.1 ขึ้นไป จะตอ้ งได้รบั การตรวจวัดสายตาปีละคร้งั โดยมีข้นั ตอนและวธิ กี ารตรวจวัดสายตาในเดก็ วยั เรียนดงั น้ี ขั้นตอนและวิธีการตรวจวดั สายตาในเดก็ วัยเรยี น 1. การเตรียมอุปกรณ์ 1.1 แผ่นวัดสายตารูปตัวอี (E-CHART) เป็นเครื่องมือวัดความสามารถในการมองเห็น ว่าปกติหรอื ผิดปกติ 1.2 แว่นรูเข็ม เป็นเครื่องมือแยกความสามารถในการมองเห็นที่ผิดปกตินั้นว่ามีสาเหตุ เกดิ จากโรคตาหรอื แยกความสามารถในการมองเหน็ ท่ผี ดิ ปกติ 1.3 เทปวดั ระยะทาง 1.4 กระดาษแข็ง หรอื อปุ กรณอ์ นื่ ทตี่ ดั เปน็ รูปตวั E 2. การเตรียมสถานที่ 2.1 สถานทม่ี ีความยาวไมน่ อ้ ยกว่า 6 เมตร 2.2 มีพนื้ ท่แี ละแผน่ ฝาที่เรยี บทบึ 2.3 มแี สงสว่างในบริเวณน้ันอยา่ งเพียงพอ 3. การติดแผ่นวดั สายตาและเตรยี มตวั ผู้ท่ีวัดสายตา 3.1 ช้ีแจงใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจวิธีวดั สายตา และจุดประสงคใ์ นการวัดสายตา 3.2 ติดแผ่นวดั สายตาทฝ่ี าผนัง ในแถวสดุ ทา้ ยอยู่ในระดับสายตานกั เรียนโดยเฉล่ีย 3.3 ใช้เทปวัดระยะทางจากฝาผนังที่ติดแผ่นวัดสายตา โดยลากเส้นดิ่งถึงพื้นแล้ววัดต่อ อีก 6เมตร แตล่ ะเมตรเขยี นเลขกำกับแตล่ ะเมตรวา่ 1,2,3,4,5,6 ตามลำดบั 3.4 ทรี่ ะยะทางท่ยี ืน ณ จดุ 6 เมตร ควรทำกรอบสเี่ หลย่ี มไวใ้ ห้นกั เรยี นยนื 3.5 ถ้านักเรียนสวมแว่นสายตา ให้ถอดแว่นสายตา วัดก่อน 1 ครั้ง แล้วบันทึกผลใน ช่อง \"วัดสายตา ไม่สวมแว่น\" ต่อมา ให้นักเรียนสวมแว่นแล้ววัดอีก 1 ครั้ง เพื่อจะได้ทราบว่าแว่นสายตา ของนกั เรยี นเหมาะสมกับสายตาหรอื ไม่ แล้วบันทกึ วดั สายตาในช่อง \"วัดสายตาสวมแว่น\" การบนั ทกึ ผลการตรวจวัดสายตา การบันทึกผลความสามารถในการมองเห็น (Visual Acuity = VA) เป็นเศษส่วนโดย เศษ = ระยะทางท่ี นกั เรยี นยืน (6,5,4.3.2,1) ส่วนบน=ระยะตัวอักษรที่อ่านได้บนแผ่นวัดสายตา (6, 12, 18, 24, 36, 60) ซึ่งสามารถ สรปุ ได้ดังนี้ VA = Visual Acuity คือความสามารถในการมองเหน็ วัตถไุ ดช้ ดั
บทที่ 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรยี น@15 1. ความสามารถในการมองเห็น = ระยะทางที่นักเรียนยืน (ผู้ถูกตรวจ) ระยะตัวอักษร ที่อ่านได้บนแผ่นวัดสายุตา (คือระยะทางการเห็นวัตถุได้ชัดเจนของผู้ที่สายตาปกติ) ซึ่งคนปกติมี ความสามารถในการมองเห็น 6/6 2. ระยะตัวอักษรต่าง ๆ ที่อ่านได้บน E-CHART หมายถึง ระยะทางการเห็นวัตถุได้ชัด ของผ้ทู ่ี สายตาปกติ เชน่ - คนท่ีสายตาปกตจิ ะเหน็ ตัวอักษรแถวล่างสุด เมอื่ ยนื ห่างแผ่นภาพ 6 เมตร - คนทีส่ ายตาปกตจิ ะเหน็ ตวั อกั ษรแถวที่ 2 เมอื่ ยืนห่างแผ่นภาพ 9 เมตร - คนท่ีสายตาปกตจิ ะเห็นตวั อกั ษรแถวที่ 3 เมอ่ื ยืนห่างแผน่ ภาพ 12 เมตร - คนทส่ี ายตาปกติจะเหน็ ตวั อักษรแถวท่ี 4 เม่ือยนื หา่ งแผน่ ภาพ 18 เมตร - คนที่สายตาปกตจิ ะเห็นตวั อักษรแถวที่ 5 เมอื่ ยืนห่างแผ่นภาพ 24 เมตร - คนที่สายตาปกติจะเห็นตวั อักษรแถวท่ี 6 เมอ่ื ยนื หา่ งแผน่ ภาพ 36 เมตร - คนที่สายตาปกตจิ ะเห็นตวั อักษรแถวบนสุด เม่ือยืนหา่ งแผ่นภาพ 60 เมตร ภาพท่ี 9.11 ตัวอย่างแผน่ ทดสอบสายตาแบบ E-chart
16? เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการสรา้ งเสริมสขุ ภาพในระบบสุขภาพชมุ ชน 3. กรณีที่นักเรียนยืนอยู่ที่ระยะ 6 เมตร มองเห็นบรรทัดบนสุดได้บรรทัดเดียว ให้ บนั ทกึ ผลวา่ 6/60 หมายถึง สายตาของนกั เรียนที่ยืนในระยะทาง 6 เมตร มองเหน็ เทา่ กบั สายตาคนปกติ ท่ยี นื ในระยะทาง 60 เมตร 4. กรณีนักเรียนยืนที่ระยะ 6 เมตร มองไม่เห็นบรรทัดบนสุดให้นักเรียนเดินมายืนเส้น เท้าชิดกัน ให้บันทึกว่า 5/60 ซึ่งหมายถึงระยะ 5 เมตร แล้วให้อ่านเฉพาะบรรทัดบนสุดเท่าน้ัน ถ้ามองเห็นให้ในระยะทาง 5 เมตร มองเห็นเท่ากับสายตาคนปกติที่ยืนในระยะ 60 เมตร สายตาของ นกั เรยี นท่ยี ืนในระยะท่ี 5 เมตร 5. กรณีนักเรียนยืนที่ระยะ 5 เมตร มองไม่เห็นบรรทัดบนสุดให้นักเรียนเดินมายืนที่ ระยะ 5 เมตรมองไม่เห็นบรรทัดบนสุดให้นักเรียนเดินมายืนเท้าชิดเส้นที่ระยะ 4 เมตร 3 เมตร 2 เมตร และ 1 เมตรตามลำดับ จนกว่านักเรียนจะมองเห็น อักษรบรรทัดบนสุด โดยบันทึกว่า 4/60 หรือ 3/60 หรือ 2/60 หรือ 1/60 ตามลำดับ 6. การบันทึกกรณีท่ีอ่านผิดไม่เกินกึ่งหนึ่งของตัวเลขในบรรทัดนั้น ๆ ให้เขียน เครื่องหมาย - (ลบ) ตามด้วยจำนวนตัวเลขที่อ่านผิด เคยบันทึกที่ส่วน เช่น กรณีนักเรียนยืนท่ีระยะ 6 เมตรอ่านผิด 1 ตวั ให้ บันทกึ เปน็ 6/6-1 (พมิ พ์เป็นยกกำลังทส่ี ่วน) วิธกี ารวัดสายตา 1. วดั สายตาทีละข้าง โดยวัดข้างขวาก่อนเสมอ 2. ใหน้ กั เรยี นยนื ในกรอบ 1 3. นักเรียนปิดตาข้างซ้ายด้วยมือซ้ายเบา ๆ มือขวาถือตัว E แล้วหันไปทางทิศเดียว เดียวกับตัว E ที่ผู้วัดชี้บนแผ่น E-CHART โดยให้นักเรียนอ่านตั้งแต่บรรทัดบนสุดลงมา จนถึงบรรทัด สดุ ทา้ ยที่นกั เรยี นสามารถอ่านไดเ้ กินครง่ึ ของบรรทดั นั้นแลว้ บันทึกในชอ่ ง \"ขวา\" 4. ใหน้ ักเรยี นทำเช่นเดยี วกนั เมอื่ วัดตาข้างซา้ ย 5. ถ้านกั เรียนมีความสามารถในการมองเห็นปกติ ค่า V.A.= 6/6 6. ถา้ นักเรยี นมีความสามารถในการมองเห็นที่ผดิ ปกติ ถือว่าเปน็ คา่ VA. ซงึ่ ผิดปกตคิ า่ V.A จะต่ำกว่า 6/6 ไดแ้ ค่ 6/9 6/12 6/18 6/24 6/36 6/60 5/60 4/60 3/60 2/60 1/60 ค่า VA. ที่ผิดปกติต้องมองผ่านแว่นรูเข็ม(PIN-HOLE) ค่าที่ได้คือ ค่า (PIN-HOLE) ค่าที่ได้ คือคา่ V.A. ������̅ PIN-HOLE สาเหตทุ ี่ทำใหเ้ กดิ การมองเห็นทีผ่ ิดปกติ 1. การมองเห็นที่ผิดปกติซึ่งเกิดจาก สายตาผิดปกติ ต้องมองผ่านแว่นรูเข็ม ค่า VA ������̅ PIN.HOLE จะดีขึ้น ต้องส่งจักษุแพทย์เพื่อ วัดสายตาประกอบแว่น เช่น ค่า V.A. ตาขวา = 6/18 ตาซ้าย = 6/36 คา่ V.A. ������̅ PIN-HOLE ตาขวา = 6/9ตาซ้าย = 6/9
บทที่ 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรยี น@17 ตารางที่ 9.1 การบนั ทกึ ผลการวัดสายตาลงในบนั ทกึ สุขภาพนักเรยี น วัน เดอื น ปี ตา 21 ม.ิ ย. 21 มิ.ย. 21 มิ.ย. 21 ม.ิ ย. 21 มิ.ย. 21 ม.ิ ย. 2558 2558 2558 2558 2558 2558 วัดสายตาไม่ ขวา 6/6 6/9 6/12 6/18 6/18 สวมแวน่ ซา้ ย 6/6 6/9 6/9 6/18 6/18 วัดสายตาสวม ขวา 6/6 แว่น ซ้าย 6/6 วัดสายโดยใช้ ขวา 6/6 Pin-Hole ซ้าย 6/6 การได้ยนิ ขวา ซา้ ย 2. การมองเห็นที่ผิดปกติซึ่งเกิดจากโรคตา ต้องมองผ่านแว่นรูเข็มต้องส่งจักษุแพทย์เพ่ือ ตรวจหาสาเหตุและใหก้ ารรักษา ค่า VA PIN-HOLE จะเปน็ ได้ 2 กรณี 2.1 คา่ V.A. ������̅ PIN-HOLE เท่าเดมิ เช่น ค่า V.A. ตาขวา = 6/18 ตาซา้ ย = 6/36 ค่า V.A. ������̅ PIN-HOLE ตาขวา = 6/18 ตาซา้ ย = 6/36 2.2 ค่า V.A. ������̅ PIN-HOLE เลวลง เช่น ค่า V.A. ตาขวา = 6/18 ตาซ้าย = 6/36 ค่า V.A. ������̅ PIN-HOLE ตาขวา = 6/24 ตาซ้าย = 6/60 การวนิ ิจฉัยภาวะสายตาผดิ ปกติ พิจารณาดังน้ี 1. ความสามารถในการมองเห็น 6/9-6/12 ต้องทำการเฝ้าระวังโดยการวัดสายตาปีละหนึ่ง ครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีอาการปวดศีรษะปวดกระบอกตาสายตามัวลงเป็นต้นภายหลังการใช้ สายตาตอ้ งสง่ พบจักษุแพทย์ 2. ความสามารถในการมองเห็นนอ้ ยกวา่ 6/12 ตอ้ งสง่ พบจักษแุ พทย์ 3. ความสามารถในการมองเห็นของตา 2 ข้าง ต่างกันเกิน 2 แถว เช่น ขวา6/6 ซ้าย 6/24 หรือขวา 6/6 ซา้ ย 6/18 ตอ้ งรบี ส่งจกั ษแุ พทยเ์ พือ่ วัดสายตาประกอบแวน่ อาการเตอื นทีแ่ สดงให้ทราบวา่ สายตานา่ จะผดิ ปกติ ไดแ้ ก่ อาการดังตอ่ ไปน้ี 1.เวลามองมักตอ้ งเอามือเช็ดตา ขยี้ตา เพราะเห็นภาพไมช่ ดั 2 หยตี าเวลามอง เพราะเห็นภาพไมช่ ดั เอียงคอ หนั ขา้ ง เขยี นหนงั สอื ไม่ตรง 3.ตอ้ งจอ้ ง หรือเพ่งตาเวลามองดขู องเล็ก ๆ
18? เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสร้างเสริมสุขภาพในระบบสขุ ภาพชมุ ชน 4. เป็นตากงุ้ ยิงเสมอ หนังตาอักเสบบ่อย ๆ 5. น้ำตาไหล 6. ตาเหล่ เม่อื มองดขู องใกล้ ของไกล ชอบเดนิ ไปดูหน้ากระดานดำ 7. ตาแดง หนงั ตาบวม 8. ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา หลงั ใช้สายตาเป็นประจำ 9. งว่ งนอนเวลาเรยี น 10. เรียนหนงั สอื ไม่ไดด้ ี ผลที่เกิดขึ้นเนื่องจากไม่แก้ไขเมื่อสายตาผิดปกติหากสายตาผิดปกติและไม่ได้รับการแก้ไขจะ ส่งผลให้เกดิ อาการตา่ ง ๆ ดังน้ี 1. มองไมช่ ัด 2. ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดตา 3. เพลยี ตา และใช้สายตาไมท่ น 4. นำ้ ตาไหล 5. บุคคลที่สายตาผิดปกติไม่เท่ากันมาก ๆ แล้วไม่ได้รับการแก้ไข จะทำให้เกิดตาเหล่หรือ ตาบอดแบบไมใ่ ช้งานหรือตาขีเ้ กยี จ (amblyopia) 4. หู และการทดสอบการไดย้ นิ ใช้ถ้าตรวจสุขภาพตาที่ 5, 6 ดูผิวหนังและบริเวณใบหูด้านหน้าและด้านหลังเพื่อค้นหาแผล เบื่อน้ำเหลืองหรือหนองในรูหูซึ่งเป็นอาการของหูน้ำหนวก ส่วนการทดสอบการได้ยินในเด็กนักเรียนที่ครู รายงานว่าขณะฟังจะหันหรือตะแคงศีรษะ ฟัง ตอบไม่ตรงคำถาม พูดเสียงดัง มีสีหน้าสงสัยเมื่อมีผู้พูด ด้วย นักเรียนที่อยู่ในข่ายสงสัยว่าอาจจะมีอาการหูตึงหรือกลุ่มที่ฟื้นจากโรคบางอย่าง เช่น หัด ไข้ หรือ เป็นหวัดบ่อย ๆ การทดสอบการได้ยินอย่างง่ายทำได้โดยให้ผู้ถูกตรวจหันหลังให้ผู้ตรวจผู้ตรวจใช้ นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ถูกันห่างจากหูประมาณ 1 นิ้ว แล้วถามผู้ถูกตรวจได้ยินหรือไม่ซึ่งในคนปกติจะ สามารถได้ยินเสียง หรือทดสอบโดยให้ผู้ถูกตรวจยืนหันหลังห่างจากผู้ตรวจ 5 ฟุตให้ผู้ตรวจเรียกชื่อหรือ ให้ผู้ถูกตรวจทำตามคำสั่งด้วยเสียงดังปกติถ้าผู้ถูกตรวจขานตอบหรือทำตามคำสั่งได้แสดงว่ามีการได้ยิน ปกติ การทดสอบการได้ยินอย่างง่ายต้องกระทำในห้องท่ีเงียบและให้นักเรียนเข้ามาทดสอบทีละคน การ ทดสอบดังกล่าวยังไม่เป็นที่รับรองว่าจะคัดเลือกนักเรียนที่มีความผิดปกติของการได้ยินได้อย่างแน่นอน นอกจากน้นั ยังมีวธิ ีการตรวจงา่ ย ๆ ไดแ้ ก่ 4.1 การตรวจการได้ยินด้วยตนเอง ใช้นิ้วแม่มือและนิ้วถูกันเบาเบาห่างจากรูหูประมาณ 1 น้ิวตรวจดูทลี ะขา้ งทางขา้ งไหนไม่ไดย้ ินเสยี งโทนิว้ ใหส้ งสัยวา่ มีความผิดปกตขิ องการได้ยนิ ของหูขา้ งน้นั
บทที่ 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรียน@19 4.2 การตรวจการได้ยินของผู้อื่น ให้รับการทดสอบยืนหันหลังให้ทำประมาณ 3 ก้าว จากผู้ทดสอบแล้วผู้ทดสอบเรียกชื่อเพื่อนด้วยเสียงดัง ๆ ซ้ำ ๆ กัน 2-3 ครั้ง ถ้าไม่ได้ยินเสียงเรียกชื่อให้ สงสัยวา่ ผูร้ ับการทดสอบมคี วามผดิ ปกติของการได้ยินของหูขา้ งน้นั 4.3 การตรวจการได้ยินโดยการใช้เครื่องมือง่าย ๆ ใช้กระป๋องนมที่หมดแล้ว ล้างให้ สะอาดผูกที่ฝากระป๋องด้วยเชือกเล็ก ๆ ห้อยห่างจากหูประมาณ 1 ฟุต เคาะด้วยไม้ไผ่ขนาดนิ้วก้อย ผู้ใหญ่ยาว 1 คืบ 2-3 ครั้ง ถ้าหูข้างใดไม่ได้ยินให้สงสัยว่ามีความผิดปกติของการได้ยินของหูข้างนั้นใช้ กระดิ่งเล็ก ๆ สั่นห่างจากหูเด็ก 1 ฟุต ทำทีละข้าง ถ้าข้างใดไม่ได้ยิน ให้สงสัยว่ามีความผิดปกติของการ ได้ยินของหูข้างนั้น นักเรียนที่ตรวจแล้วสงสัยว่ามีความผิดปติของการได้ยิน ควรส่งพบแพทย์เพื่อหา สาเหตุตอ่ ไป สำหรับเครื่องตรวจหูที่สามารถตรวจการได้ยินที่ได้ผลแน่นอนกว่า คือ Audiometer ซึ่ง จะต้องไปรับการตรวจที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือที่โรงพยาบาล ผลของการตรวจหูทำให้สามารถ ใหแ้ นะนำแก่ครูในการจดั ทีน่ ่ังแก่นักเรยี นทมี่ ปี ญั หา 5. จมูก ใช้ท่าตรวจสุขภาพที่ 7 เพื่อดูจมูกภายนอก ขนาด รูปร่างปีกจมูกเคลื่อนไหวแรงขณะ หายใจแสดงถึงภาวะหายใจลำบากมีน้ำมูกสีเขียวหรือน้ำใสตรวจในโพรงจมูกและผนังกั้นเพื่อค้นหา จดุ เลือดออก บวมแดง และอักเสบ 6. การตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน ใช้ท่าตรวจสุขภาพท่าที่ 7, 8 เพื่อตรวจดูบริเวณคอ ให้ นักเรียนที่อ้าปาก ร้อง “อ้า” หรือใช้ไม้กดลิ้น และไฟฉายส่องดูภายในทอลซิลที่โต บวม แดง หรือเป็น หนอง ถือว่าผิดปกติทอนซิลที่โตอย่างเดียวไม่ได้แสดงถึงการอักเสบเหลืองหลังต้องดูอย่างอ่ืน ประกอบด้วยเช่น ขรุขระเหมอื นลกู นอ้ ยหน่าหรอื มีหนองปกคลุม การตรวจสุขภาพช่องปากและฟันเป็นการตรวจเพื่อค้นหาโรคในช่องปากและฟันตั้งแต่ระยะ เริ่มต้นเพื่อให้การดูแลรักษาอย่างเหมาะสมต่อไปโรคที่พบบ่อยในช่องปากและฟันของเด็กนักเรียนได้แก่ โรคฟนั ผแุ ละสภาพเหงอื กอกั เสบมรี ายละเอียดดงั นี้ 1. โรคฟันผุ เกิดจากการเสียสมดุลระหว่างแร่ธาตุในน้ำลายและแร่ธาตุบนตัวฟันโดยมี เชื้อจุลินทรีย์เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสภาวะเป็นกรดทำให้ฟันเป็นรูและสามารถลุกลามจนทำให้เสีย ฟนั ทั้งซี่ได้ ซง่ึ แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ 1.1 ระยะที่ยังไม่เห็นรูผุบนฟัน ฟันจะมีลักษณะเป็นรอยขาวขุ่นหรือเป็นจุดสีน้ำตาลยัง ไม่มีอาการใด ๆ การใช้ฟลูออไรด์อย่างสม่ำเสมอร่วมกับการแปรงฟันให้สะอาดจะช่วยหยุด การลุกลาม ของโรคได้ 1.2 ระยะที่เห็นรูผุบนฟัน ระยะนี้การรักษาแบ่งตามการลุกลามของโรค ถ้าฟันผุไม่ทะลุ โพรงประสาทฟันจะใช้การรักษาโดยการอุดฟัน แต่ถ้าผุทะลุโพรงประสาทฟันต้องรักษารากฟันก่อนทำ การอุดหรอื ครอบฟนั ต่อไป แต่หากปล่อยใหฟ้ ันผลุ ุกลามจนไม่อาจรกั ษาได้ก็ตอ้ ง ถอนฟันท่ีผอุ อกไป
20? เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการสร้างเสรมิ สขุ ภาพในระบบสขุ ภาพชมุ ชน 2. สภาวะเหงือกอักเสบ สังเกตเห็นเหงือกมีลักษณะบวมแดง มีเลือดออกง่ายขณะแปรง ฟันหรือถูกกระทบกระเทือน การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนภายในร่างกายช่วงวัยรุ่นและการละเลยต่อการ รักษา อนามัยในช่องปากจะทำให้เสี่ยงต่อการเกิดเหงือกอักเสบได้ง่ายในการตรวจฟันเพื่อให้ง่ายจะแบ่ง ช่องปากออกเป็น 6 ส่วน โดยใช้ฟันเขี้ยวเป็นหลักในการแบ่ง เพื่อตรวจเหงือกทั้งด้านในและด้านนอก ดังนี้ ส่วนที่ 1หนั หลงั บนขวา สว่ นท2่ี ฟนั หนา้ บน ส่วนท3่ี ฟันหลงั บนซา้ ย ส่วนท่ี 6 ฟนั หลงั ลา่ งขวา สว่ นที่5ฟนั หนา้ ล่าง ส่วนที่ 4 ฟันหลังล่างซา้ ย วธิ ตี รวจสขุ ภาพชอ่ งปาก ทำได้โดยจัดให้นักเรียนนั่งหันหน้าเข้าหาแสงสว่าง ผู้ตรวจยืนหรือนั่งหันหน้าเข้าหา นักเรียน โดยให้หันคนที่ถูกตรวจอยู่ในระดับสายตา การตรวจฟันบน ให้นักเรียนเงยหน้าอ้าปาก ถ้าเห็น ไม่ชัด ผู้ตรวจใช้นิ้วมือช่วยดันริมฝีปากบนขึ้น การตรวจฟันล่างให้นักเรียนก้มหน้าอ้าปากถ้าเห็นไม่ชัด ผู้ตรวจใช้นิ้วมือช่วยดึงริมฝีปากล่างลง นักเรียน ชั้นป.1 ถึง ป.6 ควรได้รับการตรวจสุขภาพช่องปากโดย เจ้าหน้า ท่สี าธารณสขุ หรอื ครูอย่างน้อยปีละคร้งั 5. การตรวจรา่ งกาย ก่อนทำการตรวจร่างกาย ผู้ตรวจควรอ่านประวัติสุขภาพของนักเรียนในบัตรบันทึกสุขภาพ ว่าที่ผ่านมานักเรียนมีการเจ็บป่วยและได้รับภูมิคุ้มกันชนิดใดบ้าง ผลการชั่งน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ หรือไม่โดยการเทียบกับตารางมาตรฐานของกรมอนามัยและผลการวัดสายตาเป็นอย่างไรการตรวจ ร่างกายนักเรียนชั้นประถมศึกษาใช้ถ้า 10 ท่าเพื่อความสะดวกและป้องกันการหลงลืมตรวจบ้างระบบ ของร่างกายพร้อมกับวิธีคลำบางระบบและใช้เครื่องมือบางชนิดตรวจเพิ่มเติมภายหลังเช่นการคลำต่อม น้ำเหลืองบริเวณคอการใช้หูฟังตรวจปอดและหัวใจสำหรับนักเรียนชั้น ป.5-6 และนักเรียนระดับ มัธยมศกึ ษาให้ตรวจสขุ ภาพดว้ ยตนเองและบันทึกตามแบบฟอรม์ ของกรมอนามยั 6. การบันทึกสขุ ภาพนักเรยี น โรงเรียนจะต้องจัดให้มีบัตรบันทึกประจำตัวนักเรียนที่เรียกว่า สศ.3 (สามัญศึกษา 3) ไว้ ประจำตัวนักเรียนทุกคนต้ังแต่เริ่มเข้าเรียนชั้น ป.1 และใช้ได้ตลอดระยะเวลาการศึกษามีวัตถุประสงค์ เพื่อใช้บันทึกประวัติทั่วไปประวัติการเจ็บป่วยการเจริญเติบโต การบริการที่นักเรียนได้รับจากเจ้าหน้าที่ สาธารณสุข เช่น การตรวจสุขภาพ ความผิดปกติเกี่ยวกับสุขภาพ การรักษาพยาบาล การติดตาม ผลการรักษา และการสรา้ งเสริมภูมิคุ้มกนั โรค ทั้งนบี้ ตั รบันทึกสขุ ภาพประจำตัวนักเรยี นมปี ระโยชน์ ดงั น้ี 6.1 เพอ่ื ทราบประวตั สิ ุขภาพของนกั เรียนทั้งในอดีตและปจั จบุ ัน 6.2 เพื่อให้ข้อคิดเห็นและเป็นแนวทางสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและครูในการรักษา หรอื แก้ไขภาวะสขุ ภาพทางร่างกายและจติ ใจของนกั เรยี นได้ถูกตอ้ ง
บทท่ี 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรยี น@21 6.3 เพื่อให้นักเรียนแต่ละคนได้ทราบภาวะสุขภาพและการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย รวมถึงบริการสขุ ภาพท่ไี ด้รับ 6.4 เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและ ครูอย่างต่อเนื่องในการบันทึกบัตรสุขภาพครูจะต้องบันทึกประวัติทั่วไปของนักเรียนได้แก่ประวัติส่วนตัว ประวัติครอบครัวประวัติสุขภาพในอดีตและการได้รับภูมิคุ้มกันโรคตั้งแต่วันแรกที่ผู้ปกครองนำนักเรียน มารายงานตัวที่โรงเรียนและบันทึกการเจริญเติบโตผลการตรวจสายตาและบันทึกย่อเกี่ยวกับพฤติกรรม ที่ผิดปกติเกี่ยวกับสุขภาพ บันทึกการรักษาและการติดตามผลการรักษา ส่วนบุคลากรสาธารณสุข เป็นผู้ ลงบันทึกทุกครั้งที่ให้บริการตรวจสุขภาพนักเรียน โดยบันทึกให้ชัดเจนถูกต้องตามเครื่องหมายที่กำหนด สรุปผลตรวจ การรักษา และกรใหค้ ำแนะนำลงในแบบบนั ทกึ พรอ้ มทง้ั ลงช่ือผ้ตู รวจทุกครัง้ 7. การให้การรักษาพยาบาล ให้สุขศึกษา และติดตามผลภายหลังการตรวจสุขภาพ เมื่อพบปัญหาที่สามารถให้การช่วยเหลือได้ ควรจัดยามอบไว้ให้ที่ครูประจำชั้น และเขียนคำแนะนำถึง ผู้ปกครองเกี่ยวกับปัญหาที่พบและการปฏิบัติตัว ในกรณีที่เป็นโรคติดต่อซึ่งอาจเกิดการแพร่ระบาดได้ ง่ายอาจแนะนำให้หยุดเรียน ในกรณีที่เป็นนักเรียนชั้นสูงๆ สามารถให้คำแนะนำบางอย่างแก่นักเรียน. ได้เลย เช่น สุขวิทยาส่วนบุคคล สำหรับในรายที่ไม่สามารถให้การช่วยเหลือรักษาได้ควรส่งต่อให้แพทย์ รักษาหรือแนะนำให้ผู้ปกครองพาไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมต่อไปหลังจากนั้นควรติดตาม ผลการรักษาทั้งที่โรงเรียนและติดตามไปเยี่ยมบ้าน หรือนัดผู้ปกครองมารับคำแนะนำร่วมกับครูและ เจ้าหน้าที่ที่โรงเรียนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโรงเรียนเป็นที่รวมของเด็กจำนวนมากและมาจาก ครอบครัวที่ต่างกัน ทั้งสภาพความเป็นอยู่และเศรษฐกิจ เมื่อเด็กนักเรียนคนใดคนหนึ่งป่วยด้วยโรคติด เชื้อบางอย่างก็อาจเกิดการแพร่กระจายสู่เด็กนักเรียนคนอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็วจนเกิดการระบาดขึ้นได้ จึงจำเป็นต้องมีการป้องกันการเกิดโรคติดต่อที่สามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนในเด็กวัยเรียน ซึ่งเป็นการให้ วัดซนี ต่อเน่ืองจากท่เี คยได้รบั มาต้ังแต่แรก เกิดและวัยก่อนเรยี นโรคติดตอ่ ทป่ี อ้ งกนั ได้ดว้ ยวคั ซนี หมายถึง กลุ่มโรคติดต่อที่มีวัดซีนใช้เพื่อป้องกันการเกิดโรคลักษณะการติดต่อของโรคที่ป้องกันได้ด้วยวัดซีนอาจ แบ่งไดด้ ังน้ี 1. โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ โรควัณโรค คอตีบ ไอกรน หัด หัดเยอรมัน และ คางทูม 2. โรคตดิ ตอ่ ทางเพศสัมพันธ์หรือทางเลอื ด ไดแ้ ก่ โรคไวรัสตับอกั เสบชนิดบี 3. โรคติดต่อโดยการได้รับเชอื้ ทางอจุ จาระเขา้ สปู่ าก ได้แกโ่ รคโปลิโอ 4. โรคตดิ ต่อโดยการไดร้ ับเช้ือเข้าทางบาดแผล ไดแ้ กบ่ าดทะยกั 5. โรคตดิ ตอ่ นำโดยยุง ไดแ้ ก่ โรคไข้สมองอักเสบ
22? เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสร้างเสริมสุขภาพในระบบสขุ ภาพชมุ ชน กำหนดการให้วัคซนี ในนกั เรียนชัน้ ประถมศึกษา การให้วัคซีนแก่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จะต้องตรวจสอบประวัติการได้รับ วัคซีนของเด็กในอดีตจากผู้ปกครอง หรือจากสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ ในการให้วัคซีน ถ้าไม่มีประวัติหรือประวัติไม่แน่ชัด ให้ถือว่า เด็กไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน โดยมีเกณฑ์ ในการใหว้ คั ซนี ดงั นี้ ตารางที่ 9.2 วคั ซีนที่ตอ้ งพจิ ารณา วคั ซีน ขอ้ แนะนำ ชั้นประถมศึกษาปที ่ี 1 - MMR (วัคซีนรวมปอ้ งกันโรคหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน) - เฉพาะผู้ที่ได้รับไม่ครบตาม - HB (วคั ซีนปอ้ งกันโรคตบั อักเสบบี) เกณฑ์ - LAJE (วัคซีนป้องกนั โรคไข้สมองอักเสบเจอชี นิดเช้อื เปน็ ออ่ นฤทธ)์ิ - dT (วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ-บาดทะยกั ) - IPV (วคั ซนี ปอ้ งกันโรคโปลิโอชนิดฉดี ) - ให้ในกรณีที่ไม่มีหลักฐานว่า - OPV (วัคซนี ป้องกันโรคโปลิโอชนดิ รับประทาน) เคยได้รับเมื่อแรกเกิดและไม่ - BCG (วคั ซีนปอ้ งกันวัณโรค) มแี ผลเปน็ - ไม่ให้ในเด็กติดเชื้อ HIV ที่มี ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 5 (นักเรียนหญิง) อาการของโรคเอดส์ HPV1 และ HPV2 (วคั ซีนป้องกันมะเรง็ ปากมดลกู จากเชอ้ื เอชพวี )ี ชั้นประถมศกึ ษาปีท่ี 6 dT (วัคซนี ปอ้ งกันโรคคอตบี -บาดทะยกั ) ตารางที่ 9.2 กำหนดการใหว้ คั ซนี แกเ่ ด็กชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 1 กรณีที่ไดร้ บั วคั ซีนล่าช้า เดอื นที่ วัคซนี ข้อแนะนำ 0 dT1 OPV1
บทท่ี 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรียน@23 เดือนที่ วคั ซีน ขอ้ แนะนำ (เมอื่ พบเดก็ คร้ัง IPV ให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอชนิดฉีด (IPV)เก็บตกเฉพาะเด็กอายุต่ำ กว่า 7 ปี และเดก็ นกั เรียนชน้ั ป.1 แรก) MMR BCG ให้ในกรณีทไ่ี ม่มหี ลกั ฐานวา่ เคยได้รับเมือ่ แรกเกิดและไมม่ ีแผลเป็น 1 - ไม่ให้ในเด็กติดเชอื้ เอชไอวีที่มีอาการของโรคเอดส์ 2 HB1 LAJE1 7 dT2 12 OPV2 HB2 HB3 dT3 OPV3 LAJE2 หมายเหตุ 1. วัคซีนทกุ ชนิดถ้าไมส่ ามารถเริ่มได้ตามกำหนกได้ กเ็ ริ่มใหท้ ันทที ี่พบครง้ั แรก 2. สำหรับวัคซีนที่ต้องให้มากกว่า 1 ครั้ง หากเด็กมารับวัคซีนครั้งต่อไปล่าช้า สามารถให้วัคซีนครั้งต่อไป ได้โดยไม่ต้องเริ่มต้นคร้ังที่ 1 ใหม่ 3. กรณีการให้วัคซีนแก่ผู้ท่ีได้รับวัคซีนไม่ครบถ้วนหรือล่าช้า เด็กจะได้รับวัคซีนตามกำหนดครบภายใน ระยะวลา 1 ปี จากน้นั ใหว้ คั ซนี ตอ่ เนื่องตามทก่ี ำหนดในกำหนดการให้วคั ซีนปกติ ที่มา: แผนงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค กองโรคป้องกันด้วยวัคซีน กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (2563) 5. การสอนสขุ ศกึ ษาในโรงเรียน (School health education) สุขศึกษาในโรงเรียนหมายถึง การที่โรงเรียนจัดกิจกรรมสุขศึกษาทั้งในหลักสูตรการศึกษาและ ผ่านทางกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อมุ่งให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีการฝึกปฏิบัติที่นำไปสู่การมี พฤติกรรมสขุ ภาพทเ่ี หมาะสมต่อการมสี ขุ ภาพดี วัตถปุ ระสงค์ของการสอนสขุ ศกึ ษาในโรงเรยี น
24? เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสร้างเสรมิ สขุ ภาพในระบบสขุ ภาพชุมชน 1. เพื่อให้เด็กวัยเรียนและเยาวชนมีทักษะสุขภาพ (Health Skills) และ ทักษะชีวิต (Life skills) 2. เพื่อให้เดก็ วัยเรยี นและเยาวชนมพี ฤติกรรมสขุ ภาพทเี่ หมาะสมติดตัวไปสวู่ ัยผ้ใู หญ่ การจัดสุขศึกษาในโรงเรยี นควรใช้แนวทางดังน้ี 1. จัดสุขศึกษาให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจสังคม ครอบครัว และชุมชนของเด็ก นกั เรยี น 2. จัดอนามยั ส่งิ แวดล้อมในโรงเรียนใหส้ อดคลอ้ งกับการสอนสุขศึกษา 3. ควรประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของโรงเรียนและเจ้าหน้าท่ี สาธารณสุขและเปน็ ประโยชนต์ ่อเดก็ นกั เรยี น 4. การจัดกิจกรรมระหว่างบ้านและโรงเรียนควรสอดคล้องกันเพื่อเป็นประโยชน์ในการ สอนสุขศกึ ษา วธิ กี ารสอนสขุ ศกึ ษาในโรงเรียน การสอนสุขศึกษามี 3 วิธีหลกั คือ 1. การจัดสอนโดยตรง โดยจัดสอนตามหลักสูตรหรือโครงการสอนวิชาสุขศึกษาตาม กำหนด เวลาหรือชวั่ โมงตามตารางสอน 2. การสอนแบบสหสัมพันธ์ โดยสอนสัมพันธ์กับวิชาอื่นในหลักสูตรเช่น วิชาพละศึกษา วิชาลกู เสอื และเนตรนารี หรอื ผ้บู ำเพ็ญประโยชน์ 3. การสอนตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการสอนให้เหมาะสมกับสภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไปชว่ ง เวลานนั้ ๆ เชน่ การเกิดโรคระบาดในชมุ ชน เร่ืองที่ควรสอนสุขศึกษาในโรงเรียนระดับประถมศึกษาควรสอนเรื่องที่สอดคล้องกับสุข บัญญัติแหง่ ชาติ 10 ประการดงั นี้ 1. ดแู ลรกั ษารา่ งกายและของใชใ้ ห้สะอาด 2. รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟนั ทุกวนั อยา่ งถูกตอ้ ง 3. ล้างมอื ใหส้ ะอาดก่อนกินอาหารและหลงั การขบั ถา่ ย 4. กินอาหารทีส่ ุก สะอาด ปราศจากสารอนั ตรายและหลกี เลี่ยงอาหารสจัด สีฉดู ฉาด 5. งดบหุ รี่ สุราสารเสพติด การพนนั และการสำสอ่ นทางเพศ 6. สรา้ งความสมั พันธ์ในครอบครวั ใหอ้ บอนุ่ 7. ป้องกนั อุบตั ิภยั ดว้ ยการไมป่ ระมาท 8. ออกกำลังกายอย่างสมำ่ เสมอและตรวจสขุ ภาพประจำปี 9. ทำจิตใจใหร้ า่ เรงิ แจม่ ใสอยู่เสมอ 10. มีสำนึกตอ่ สว่ นรวม รว่ มสร้างสรรค์สังคม
บทท่ี 9 การพยาบาลอนามยั โรงเรียน@25 นอกจากนี้นักเรียนควรได้รับการฝึกทักษะเกี่ยวกับการสระผมการล้างมือการเลือกซื้อ อาหารการไม่กินอาหารที่มีสารอันตรายการหลีกเลี่ยงสารเสพติดการป้องกันอุบัติเหตุอุบัติภัยการ หลีกเลี่ยงการพนันและการเที่ยวกลางคืนการจัดการกับความเครียดความปลอดภัยในชีวิตและการถูก ลว่ งละเมิดทางเพศ ระดบั มัธยมศึกษาควรเนน้ การฝกึ ทกั ษะในเรื่องต่อไปนี้ 1. การเลอื กซ้อื อาหาร 2. การไม่กนิ อาหารทมี่ ีสารอันตราย 3. การหลีกเลี่ยงสารเสพตดิ 4. การป้องกนั อบุ ตั เิ หตุอุบัตภิ ยั 5. การหลกี เลี่ยงการพนัน เทย่ี วกลางคนื 6. การจดั การกับความเครียด 7. การหลกี เลย่ี งการมีเพศสัมพันธ์กอ่ นวัยอนั ควร 6. อนามยั สงิ่ แวดลอ้ มในโรงเรียน (Healthful school living) โรงเรียนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาคน โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียนที่จะต้องได้รับการพัฒนา ในทุก ๆ ด้านเพื่อเป็นการเตรียมพื้นฐานที่ดีให้เด็กได้เจริญเติบโตเป็นทรัพยากรกรบุคคลที่มีคุณภาพของ ประเทศ การจัดการให้เอื้อต่อสุขภาพ ตลอดจนมีความปลอดภัยในชีวิตและดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข (สมศักดิ์ จำปาโท, 2562) การจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน หมายถึง การจัดการควบคุมดูแลปรับปรุงภาวะต่าง ๆ และ สิ่งแวดล้อมของโรงเรียนให้อยู่ในสภาพที่ถูกสุขลักษณะเอื้อต่อการเรียนรู้ ส่งเสริมสุขภาพกายจิตและ สังคมรวมถึงการป้องกันโรคและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนโดย คำนงึ ถงึ หลัก 4 ประการ คือ 1. ใหป้ ลอดภยั จากอบุ ัตเิ หตุ 2. ใหป้ ลอดภยั จากโรคตดิ ต่อ 3. ให้เป็นสถานที่ที่นักเรียนจะได้รับความสุขสบายเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพกายและ จติ ใจ 4. ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพสรรี วทิ ยาของนักเรยี นท่ีอยู่ในวยั กำลงั เจรญิ เตบิ โต หลักการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน โรงเรียนควรดำเนินการควบคุม ดูแล และปรบั ปรุงสภาวะตา่ ง ๆ ของโรงเรียนและส่งิ แวดล้อมใหถ้ ูกสุขลกั ษณะใน 9 องค์ประกอบ ต่อไปนี้ 1. สถานท่ตี ้งั พื้นท่ีสร้างโรงเรียนหรอื สถานท่ีตั้ง มหี ลกั พจิ ารณาดงั นี้
26? เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการสร้างเสรมิ สขุ ภาพในระบบสุขภาพชมุ ชน 1.1 ไม่ควรห่างจากย่านชุมชนเกินกว่า 2 กิโลเมตร และมกี ารคมนาคมสะดวก 1.2 เน้นที่มีขนาดเหมาะสมกับจำนวนเด็ก และไม่เป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดอันตราย เช่น สถานที่ ขนถ่ายแก๊ส ปั๊มน้ำมัน บริเวณที่มีสารพิษมีมลภาวะอากาศ แสง และเสียง เช่น โรงงาน อุตสาหกรรม ตลาดสด หากไม่สามารถหลีกเล่ียงได้ต้องมีมาตรการป้องกันหรือบรรเทาอุบัติภัยตามความ จำเปน็ 1.3 บริเวณพ้ืนที่ไมส่ งู ชนั หรอื ลาดเอยี ง 1.4 ไม่ควรอยู่ใกล้ทางรถไฟ หรือถนนสายใหญ่ๆ ที่มีการจราจรคับคั่ง เพราะจะเกิด อุบัติเหตุได้ง่าย และเกิดเหตุรำคาญเนื่องจากเสียง แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องสร้าง ควรห่างจากแนวถนน ไมน่ ้อยกวา่ 20 เมตร มรี ้ัวปอ้ งกนั อันตราย และปลกู ตน้ ไม้ช่วยดดู ซบั มลพษิ 1.5 พื้นดินควรเงินดินที่สำมารถรับน้ำหนักอาคารได้เหมาะสมและควรเป็นพื้นที่น้ำท่วม ไมถ่ งึ 2. อาคารเรียน การก่อสร้างอาคารเรียนจะต้องคำนึงถึงทิศทางลมการระบายอากาศ ทางเข้าของแสงสว่างขนาดของอาคารควรเหมาะสมกับจำนวนเด็กนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียน รูปแบบของอาคารเรียนควรเป็นรูปตัวอักษร E,L,T,UและI เพื่อสะดวกในการขยายและบริหารงานต้อง คำนึงถึงความคงทนแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักนักเรียนบุคลากรและอุปกรณ์จำนวนมากอีกทั้งทนทาน ต่อภยั ธรรมชาติที่อาจเกดิ ข้ึนได้ 2.1 เนื้อท่ี เนื้อที่ของอาคารเรียนไม่น้อยกว่า 1.5 ตารางเมตรต่อเด็กนักเรียน 1 คนละ มเี นอื้ ทสี่ ำหรับใชป้ ระโยชนอ์ ่นื ๆ เชน่ ระเบียง บนั ได อกี 30% ส่วนหอ้ งนำ้ ตา่ ง ๆ ควรมีเน้ือท่ี ดังน้ี 2.1.1 หอ้ งประชมุ ควรมีพืน้ ท่ี 1 ตารางเมตรตอ่ เด็ก 1 คน และเพิ่มพื้นที่ใช้สอยตาม ความจำเป็น 2.1.2 หอ้ งพักครู ควรมีพ้ืนท่ี 4-5 ตารางเมตรต่อครู 1 คน 2.1.3 ห้องสมุด ควรมีพื้นที่ 1 ตารางเมตรต่อเมตรต่อเด็ก 1 คน เพื่อใช้เป็นพื้นที่ อ่านหนังสือและเพิ่มพื้นที่อีก 4-50 เปอร์เซ็นต์เพื่อเป็นพื้นที่สำหรับวางหนังสือและที่ทำงานของ บรรณารกั ษ์ 2.1.4 ห้องพยาบาล ควรอยู่ชั้นล่างของอาคารเรียน อยู่ใกล้ห้องทำงานของครูใหญ่ ใกล้โทรศัพท์และทางเดินทำ สำหรับโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนเกินกว่า 1,000 คน ควรมีเรือนพยาบาล แยกต่างหาก 2.2 ตัวอาคารเรียน ควรหันหน้ารับลมได้สะดวกไม่ควรหันหน้าไปทางทิศตะวันตกหรือ ตะวันออกเพราะจะทำใหร้ บั แสงแดดทง้ั วัน 2.3 พื้น กรณีที่เป็นพื้นดินต้องบดให้เรียบแน่น และควรยกสูงกว่าระดับพื้นดินอย่าง น้อย 1 เซนติเมตร หากเป็นพื้นไม้ควรยกระดับกว่าพื้นดินไม่น้อยกว่า 90 เซนติเมตรสำหรับอาคารที่เป็น
บทท่ี 9 การพยาบาลอนามยั โรงเรยี น@27 คอนกรีตหรือกระเบื้องซีเมนต์ ปาร์เก้ ควรยกสูงกว่าระดับพื้นดินไม่น้อยกว่า 10 เชนติเมตร วัสดุที่ใช้ปู พื้นควรใช้สตูที่ทำความสะอาดง่าย ถ้าเป็นพื้นไม้ควรเรียบไม่มีรูหรือรอยแตก ใช้พื้นกระดานชนิดที่ทำ ความสะอาดไดง้ ่าย ไมค่ วรลงน้ำมันขดั งาเพราะทำใหล้ นื่ และฝุน่ จับได้งา่ ย 2.4 ฝาผนัง ควรทำด้วยวัสดุเรียบ ทาสีอ่อนจะช่วยให้ห้องสว่าง ไม่ควรขัดเงาเพราะจะ ทำให้เกิดแสงสะท้อนและเคืองตาได้ ผนังที่อยู่ต่ำกว่าขอบหน้าต่างควรทาสีเข้มเพื่อป้องกันความสกปรก และผนงั ควรหนาไม่นอ้ ยกว่า 3 เซนติเมตรเพ่ือปอ้ งกันเสียงรบกวนระหว่างห้อง 2.5 ประตูหรือหน้าต่างที่เป็นบานเปิด ควรมีตะขอเกี่ยวหรือติดตั้งอุปกรณ์ยึดเกาะ ในขณะเปดิ เพือ่ ป้องกันการถกู หนีบ 2.6 เพดาน ควรสงู จากพื้นที่อย่างนอ้ ย 35 เมตร ควรทาสอี ่อนๆเพ่อื ชว่ ยเพิม่ แสงสวา่ ง 2.7 หลังคา มีความลาดเอียงประมาณ 30 องศา ควรมุงกระเบื้อง ไม่ควรใช้สังกะสี เพราะจะ ทำให้ร้อนและเมือ่ ฝนตกจะทำให้มเี สยี งดงั รบกวน 2.8 ชายคาและกันสาด ควรทำให้ยื่นออกไปห่างจากฝาประมาณ 1.5-2.0 เมตร หรือ กันฝนสาดได้ 2.9 บันได ไม่ลาดหรือชันกินไป ควรมีวัสดุกันลื่นพื้นบันไดต้องเรียบและสม่ำเสมอ ขั้นบันไดควรกว้างไม่ต่ำกว่า 25 เซนติเมตรระยะสูงระหว่างขั้นบันไดไม่ควรเกิน 18 เซนติเมตรความ กว้างของตัวบันไดไม่ต่ำกว่า 1.5 เมตรถ้าบันไดสูงเกินกว่า 3 เมตรหรือเกินกว่า 14 ขั้นควรทำชานพัก บันไดทางหนไี ฟควรทำด้วยเหลก็ มเี รากว้างอยา่ งนอ้ ย 3 ฟตุ 3. พ้นื ท่ใี ชส้ อยและอุปกรณ์เคร่ืองใช้ 3.1 ห้องเรียน ควรเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด6x8หรือ7x9 เมตร จุนักเรียนได้ไม่เกิน 30-40 คน พนื้ ทห่ี ้องเรียนในโรงเรียนประถมศกึ ษาและมธั ยมศึกษา ควรมีขนาด 1.5-2.0 ตารางเมตร ต่อ เด็ก 1คน ห้องเรียนสำหรับนักเรียนอนุบาลควรมีพื้นที่มากกว่าห้องเรียนสำหรับนักเรียนธรรมดา 50% และควรมหี ้องน้ำ หอ้ งสว้ ม อา่ งลา้ งมอื อยู่ในหอ้ งเรียนหรือบริเวณใกล้เคยี ง 3.2 โต๊ะเรียนและเก้าอี้ โต๊ะต้องจัดขนาดให้เหมาะสมกับตัวเด็ก ความยาวของโต๊ะเรียน ไม่ควรน้อยกว่า 70 เซนติเมตร หรือยาวเท่ากับ 2 ศอก มีความกว้างประมาณ 35 เซนติเมตรพื้นโต๊ะ เรียนควรมีความลาดประมาณ 15 องศา เก้าอี้ ควรมีความสูงขนาดที่นั่งแล้วสามารถวางเท้ากับพื้น เข่า งอเป็นมุมฉากได้ ความกว้างของเก้าอี้จะต้องพอดีกับเด็ก ไม่กว้างหรือแคบจนเกินไป พื้นเก้าอี้ควรเป็น แอ่ง พนกั พิงควรมีช่องวา่ งและสูงไมเ่ กนิ ระดับกระดูกสะบัก โตะ๊ เรียนและเก้าอ้ีควรมคี วามสงู สัมพันธ์กนั 3.3 การจัดวางโต๊ะเรียนและเก้าอี้ ทางเดินระหว่างแถวของโต๊ะควรกว้างไม่น้อยกว่า 45 เซนติเมตร แถวริมสุดจัดให้ห่างจากผนังไม่น้อยกว่า 60 เซนติเมตร แถวหน้าควรห่างจากกระดานไม่ เกิน 2 เมตร โตะ๊ เรียนหลังสุดไมค่ วรหา่ งจากกระดานเกนิ 9 เมตร
28? เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพในระบบสุขภาพชุมชน 3.4 กระดานชอล์กหรือกระดานไวท์บอร์ด ควรทำด้วยวัสดุกนทาน ไม่มีรอยแตกร้าว กระดานไม้ทาสีด้วยสีเขียวแก่หรือดำ ติดไว้กับผนังห้อง เด็กในโรงเรียนประถมศึกษา ควรใช้กระดาน ชอล์กสูงกว่าพื้นเรียนอย่างน้อย 24 นิ้วในโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายให้มีความสูง 28 นิ้วและ 32 นิ้วตามลำดับการติดตั้งกระดานต้องมาให้มีแสงสว่างเข้ามาทางด้านหลังของขอบกระดาน ใช้ชอล์คที่ไม่เป็นผงฝุ่นการทำความสะอาดกระดานใช้แปลงที่ไม่ทำให้ฝุ่นชอล์คฟุ้งกระจายเช่นแต่ฟองน้ำ ผ้าลกั หลาด กระดานชอลค์ ควรมรี างเพอ่ื รองรับผงชอลก์ 3.5 ห้องส้วมและที่ปัสสาวะ โรงเรียนต้องจัดให้มีส้วมที่ปัสสาวะให้เพียงพอสะอาดถูก หลักสุขาภิบาลไม่อยู่ในที่ลับตา โรงเรียนสหศึกษาควรแยกส้วมสำหรับนักเรียนหญิง-ชายไว้มีสัญลักษณ์ หญิงชายอย่างชัดเจนในห้องส้วมหญิงทุกห้องต้องมีถังรองรับขยะมูลฝอยที่ถูกสุขลักษณะจำนวนที่ขอ ส้วมและท่ีปัสสาวะทเ่ี หมาะสมกบั เด็กดงั ตาราง 3.6 ห้องครัวและโรงอาหาร การจัดการโรงอาหารหรือโรงครัวให้ถูกสุขลักษณะ ควร ปฏิบัติตามมาตรฐานการสุขาภิบาลอาหารสำหรับโรงอาหารโดยสามารถสืบค้นได้ใน คู่มือการดำเนินงาน โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2558) โดยสำนักส่งเสริมสุขภาพกรมอนามัย กระทรวง สาธารณสขุ 4. การระบายอากาศ แสงสวา่ งและเสียง 4.1 การระบายอากาศห้องเรียนควรจัดให้มีช่องลม ประตูหน้าต่างให้เพียงพอ เพื่อให้เกิด การถ่ายเทอากาศตามธรรมชาติให้มากที่สุด การจัดการระบายอากาศภายในห้องเรียนด้วยวิธีธรรมชาติ ควรพจิ ารณาถงึ ส่งิ ตอ่ ไปนี้ 4.1.1 ความสูงของห้องเรียน จากพื้นถึงเพดานห้องควรสูงไม่น้อยกว่า 3.5 เมตร เพื่อให้ แต่ละคนในห้องได้อากาศคนละ 3.7 ลูกบาศก์เมตรเป็นอย่างน้อย และทำให้เกิดอากาศหมุนเวียน ชว่ ยระบายกล่ินอบั ได้ 4.1.2 พื้นที่ของประตูและหนต่าง ควรมีพื้นที่ประตูหน้าต่าง 1 ใน4 หรือ 1 ใน 5 ของ พื้นที่ห้องเรียน ประตูหน้าต่างควรมีสิ่งปิดกั้น ความกว้างและความสูงของหน้าต่างไม่น้อยกว่า 1 เมตร ขอบล่างของหน้าต่างควรสูงจากพื้นที่ห้องเรียนไม่เกิน 80-90 เชนติเมตร ความกว้างของประตูควรกว้าง ความกวา้ งของประตไู ม่นอ้ ยกวา่ 1 เมตร และสงู ไมน่ ้อยกว่า 2 เมตร 4.2 แสงสว่าง ห้องเรียนควรมีแสงที่พอเหมาะเพื่อให้เด็กอ่านหนังสืออย่างสบายตา ควรใช้ แสงสว่างจากธรรมชาติโดยใหเ้ ขา้ ทางซา้ ยมือของเดก็ แสงสวา่ งภายในหอ้ งเรยี นจะต้องไมเ่ ปน็ แสงจ้าหาก ใช้แสงสว่างจากไฟฟ้าควรติดตั้งดวงไฟไว้ที่ผนังห้องเรียนติดตามจากเพดาน 3 ฟุตและมีโคมไฟซึ่งจะทำ ให้แสงสว่างสะท้อนกลับไปยังโต๊ะเรียนในหนึ่งห้องควรติดตั้งโคมไฟ 6-8 ดวงหรือจำนวนมากพอที่แสง สว่างสองถึงทุกจุด ถ้าห้องเรียนใช้หลอดไฟชนิดฟลูออเรสเซนท์ต้องมีกำลังทำด้วยพลาสติกขาวและ หลอดไฟควรเป็นสีขาวซึ่งมีประสิทธิภาพในการสองสว่างดีกว่าหลอดไฟธรรมดาและยังให้ความร้อนน้อย
บทท่ี 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรียน@29 กว่าหลอดไฟธรรมดาและยังให้ความร้อนน้อยกว่าหลอดไฟทำธรรมดาความถี่ของการสองสว่างต้อง สม่ำเสมอไม่มไี ฟกระพริบ ระดับความเขม้ ของแสงสว่างในอาคารเรยี น ควรมคี า่ ดังน้ี ตารางที่ 9.2 มาตรฐานระดับความเข้มของแสงสว่างจำแนกตามชนิดของห้อง (สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสขุ , 2560) ชนดิ ของห้อง ระดบั ความเขม้ ของแสงสวา่ ง (ลักซ์) 1. หอ้ งเรยี น 300 2. หอ้ งสมุด หอ้ งทดลองวทิ ยาศาสตร์ 300 3. หอ้ งพิมพด์ ดี ห้องการฝมี อื 500 4. หอ้ งประชาสมั พนั ธ์ หอ้ งพลศกึ ษา 200 5. หอ้ งประชุม ห้องรบั ประทานอาหาร 100 6. หอ้ งพยาบาล 300 7.หอ้ งน้ำ หอ้ งสว้ ม ทางบนั ได และห้องเกบ็ ของ 100 4.3 เสียง ห้องเรียนที่ดีต้องออกแบบให้มีความสามารถป้องกันเสียงรบกวนได้ ภายใน ห้องเรียนไม่ควรมีระดับความดังของเสียงรบกวนเกินกว่า 35-40 เดซิเบล ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ กำหนดเกณฑ์ ความดังของเสียงที่ยอมรับ ดังนี้ เสียงในห้องเรียน 35-40 เดซิเบล โรงอาหาร 50-55 เดซิ เบล บริเวณภายนอกอาคารเรียน ไม่กิน 70 เดซิเบล ห้องพยาบาล ไม่เกิน 45 เดซิเบล และห้องดนตรีไม่ เกิน 40 เดซเิ บล 5. น้ำดื่มน้ำใช้ น้ำดื่มน้ำใช้ในโรงเรียนจะต้องสะอาดถูกสุขลักษณะและจัดให้เพียงพอกับ จำนวนเด็กนักเรียน และบุคลากรทุกคนในโรงเรียน ส่วนใหญ่เป็นน้ำประปาน้ำจากบ่อบาดาลน้ำดื่มแบบ น้ำพุและน้ำดื่มจากเครื่องทำความเย็น น้ำดื่มแบบน้ำพุ (Diking fountains) เป็นวิธีบริการน้ำดื่มท่ี เหมาะสมในโรงเรียน ช่วยให้เด็กมีน้ำดื่มที่สะอาด น้ำดื่มแบบน้ำพุอาศัยแรงตันน้ำในฬ่อดันให้น้ำพุ่งขึ้นใน ลักษณะมุมฉากหรือมุมเฉียงกับพื้น โรงเรียนควรมีบริการน้ำดื่มอย่างน้อย 1 จุดต่อนักเรียน 75 คน ส่วน ระดับความสูงในการติดตั้งควรมีขนาดดังนี้ คือน้ำดื่มจากเครื่องทำความเย็นจะต้องได้รับการตรวจสอบ สายไฟและปลั๊กไฟและต้องติดสายดินเพื่อป้องกันไฟดูดทำความสะอาดภายในภายนอกตู้รางน้ำและก๊อก น้ำให้สะอาดอยู่เสมอนอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงสารตะกั่วที่อาจปนเปื้อนในน้ำดื่มโดยเลือกซื้อเครื่องทำ ความเยน็ ทท่ี ำด้วยเหลก็ ไร้สนมิ ชนิดหนาที่ใช้กบั อาหารไมม่ สี ่วนผสมของสารตะกัว่ 6. การจัดการขยะ ขยะจากโรงเรยี นแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คอื 6.1 ขยะเปียกเช่นเศษอาหารพืชผักต่าง ๆ ขยะประเภทนี้มีความชื้นสูงประมาณ 40 ถึง 70% หากทิ้งไว้นานจะเกิดการเน่าเสียส่งกินเหม็นรบกวนและเป็นแหล่งเพาะพันธ์ของแมลงและสัตว์ พาหะนำโรค
30? เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสร้างเสริมสุขภาพในระบบสขุ ภาพชุมชน 6.2 ขยะแห้ง เช่น ขวดแก้ว ขวดพลาสติก กระดาษ กระป๋อง โลหะ ขยะประเภทนี้ส่วน ใหญ่สามารถนำกลบั มาใช้ใหมไ่ ด้ 6.3 ขยะอันตราย เช่น หลอดไฟ แบตเตอรี่ ถ่านไฟฉาย กระป้องสเปรย์ ขยะประเภทนี้ควร แยกทิ้งจากขยะประเภทอื่น ๆ ทั้งนี้ในโรงเรียนจะต้องภาชนะสำหรับรองรับขยะมูลฝอยซึ่งแยกระหว่าง ขยะเปียกและขยะแห้งทุกห้องในโรงเรียนควรมีถังรองรับขยะมูลฝอยไว้ประจำ การกำจัดขยะของ โรงเรียนในเขตเทศบาลจะเก็บรวบรวมขยะมูลฝอยไว้ในที่พักขยะและให้เทศบาลนำไปกำจัดต่อไป ส่วน โรงเรยี นในชนบททีไ่ มม่ ีบริการดา้ นนม้ี กั ใชว้ ธิ ีฝงั หรือนำไปทำป๋ยุ หมัก 7. การจัดการน้ำเสีย น้ำเสียในโรงเรียนเป็นน้ำเสียที่ผ่านการใช้งานจากกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้ มคี ุณสมบัตเิ ปล่ียนแปลงไปท้งั ทางกายภาพ เคมี และชวี วิทยา วิธีบำบดั นำ้ เสียในโรงเรียนทำได้ ดงั นี้ 7.1 มีรางระบายน้ำเสียจากอาคารต่าง ๆ ควรมีการบำบัดน้ำเสียเบื้องต้น หรือติดตั้งระบบ บำบัดชนดิ ตดิ กับที่ (Onsite treatment system) ก่อนระบายลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ 7.2 ระบายน้ำเสียลงบ่อรับน้ำเสียและจัดทำเป็นบ่อซึม โดยให้น้ำเสียซึมลงดินตามรอยต่อ ของทอ่ ท่วี างไว้ การวางท่อตอ้ งลาดเอียงใหน้ ้ำไหลได้สะดวกหรอื ใช้ถงั เกรอะขนาดใหญ่ 7.3 น้ำเสียจากโรงครัว โรงอาหาร จะมีคราบไขมันปนด้วย จึงควรทำบ่อดักไขมันเพื่อ ป้องกันไขมันปนด้วย จึงควรทำบ่อดักไขมันเพื่อป้องกันไม่ให้ไขมันติดค้างอยู่ตามท่อหรือตามพื้นดิน ซึ่ง จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็น เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวันและสัตว์พาหะนำโรค บ่อดักไขมันใช้หลักการ ลอยตัวของไขมันมี 2 แบบ คือ แบบฝังในพื้นที่ซึ่งสามารถทำได้ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กแบบบ่อเดียว หรือหลายบ่อและแบบลอยซึ่งเป็นชนิดที่ตั้งบนพื้นแยกใช้ในแต่ละร้านทั้ง 2 แบบควรมีตะแกรงกรองเศษ อาหารก่อนปล่อยน้ำลงสู่บ่อดักไขมันบริเวณท่ีติดตั้งต้องรองรับน้ำเสียได้ดีและสามารถเปิดฝาเพื่อตัก ไขมนั ทำความสะอาดไดส้ ะดวก 8. การควบคุมและกำจัดแมลงสัตว์พาหะนำโรคภายในโรงเรียน จะต้องควบคุมและกำจัด แมลงและสตั ว์พาหะนำโรค เช่น ยุง หนู แมลงวนั แมลงสาบ 9. สภาพแวดล้อมและความปลอดภัยในโรงเรียน ควรจัดสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนให้ เอื้อต่อสุขภาพเด็กบุคลากรและผู้มาติดต่อนอกจากนี้ควรเน้นประสบการณ์การปฏิบัติการเรียนรู้และให้ การศึกษาเรื่องความปลอดภัยแก่นักเรียนเพื่อนำไปเผยแพร่ในบ้านและชุมชนที่นักเรียนอาศัยอยู่ สิ่ง สำคญั ทตี่ ้องคำนึงถงึ ในการจดั สภาพแวดล้อมในโรงเรยี น 9.1 การจัดระเบียบการใช้สอยภายในอาคารเช่นคนมีการขึ้นลงบันไดได้อย่างเป็นระเบียบ โดยการจัดเดินชิดขวาเสมอการจัดตัวยาให้เป็นหมวดหมู่เครื่องไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ใช้ในอาคารเรียนจะต้อง ได้รับการตรวจสภาพอย่างสม่ำเสมอทุก 6 เดือน ติดต้ังปลั๊กไฟสูงจากพ้ืน 1.5 เมตร 9.2 การจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ภายนอกอาคาร เช่น ประตูโรงเรียนกรณีที่ทำด้วย เหล็กหรือ อัลลอยด์ที่มีน้ำหนักมาก ควรได้รับการตรวจสภาพให้ดีอยู่เสมอมีให้ชำรุด ควรปลูกต้นไม้
บทที่ 9 การพยาบาลอนามยั โรงเรยี น@31 ไม้ดอก เพื่อความสดชื่นและให้ร่มเงาควรมีสนามใหญ่บริเวณโรงเรียนด้านหน้าเพื่อประโยชน์ในการสอน พลศึกษา กรณีมีบ่อน้ำหรือสระน้ำจะต้องทำอาณาเขตกั้นเพื่อป้องกันมิให้เด็กพลัดตกน้ำ จัดเส้นทาง จราจรภายในโรงเรียนให้ชัดจนสนามเด็กเล่นสำหรับโรงเรียนระดับประถมศึกษาควรปูพื้นด้วยทรายหนา 30 เซนติเมตร หรอื ปูพน้ื ดว้ ยยางสังเคราะหเ์ พื่อป้องกนั การบาดเจ็บจากการพลดั ตก การตดิ ตง้ั เคร่ืองเล่น จะต้องสร้างฐานเครื่องเล่นหรอื ยึดเคร่อื งเล่นติดกับพ้นื มีการตรวจสอบบำรุงรกั ษาสนามและเคร่อื งเล่น 9.3 มีระบบป้องกันอัคคีภัยและสาธารณภัยต่าง ๆ เช่น ติดตั้งระบบสัญญาณเตือนกรณีเกิด เพลิงไหม้ ติดตั้งเครื่องดับเพลิงในที่ที่มองเห็นได้ง่าย โดยให้ส่วนบนสดุ ของตัวเครื่องสูงจากพื้นไม่เกิน 15 เมตรมีคำแนะนำการใช้สะดวกต่อการใช้งานและพร้อมใช้อยู่เสมอสำหรับอาคารที่สูงไม่เกิน 2ชั้น ควร ติดตั้งเครื่องดับเพลิงอย่างน้อย อาคารละ 1 เครื่องในบริเวณโรงเรียนควรติดป้ายแสดงสัญลักษณ์หรือคำ เตือนต่าง ๆ เช่น ป้ายบอกทางหนีไฟ ทางออกฉุกเฉิน และควรเตรียมแผนฉุกเฉินรองรับอุบัติภัย เช่น ไฟ ไหม้ แผ่นดินไหวความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและบ้าน (School and Home Relationship) จาก แนวคิดโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ มุ่งเน้นการทำงานร่วมกับระหว่างโรงเรียน บ้าน และชุมชน ปัจจุบันอาจ ใช้คำวา่ โครงการรว่ มระหว่างโรงเรยี นและชุมชน เพ่อื ใหโ้ รงเรียนได้มีการดำเนนิ โครงการรว่ มระหวา่ ง 1. 7. ความสมั พนั ธข์ องการพยาบาลอนามัยโรงเรยี นกบั ระบบสขุ ภาพชมุ ชน โรงเรียนและชุมชน เพื่อให้โรงเรียนได้มีการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมส่งเสริมสุขร่วมกับ ภาคีต่าง ๆ ในชมุ ชนดงั รายละเอียด 7.1 ร่วมวิเคราะห์สภาพและสาเหตุของปัญหา โดยศึกษาในรายละเอียดว่าโครงการ/ กิจกรรมที่จะดำเนินการนั้นมีสภาพและสาเหตุของปัญหาเป็นเช่นไรอาจต้องสำรวจข้อมูลหรือ ปัจจัยพื้นฐานของโรงเรียนและชุมชนเป็นฐานในการวิเคราะห์เพื่อให้ได้มาซึ่งสภาพและสาเหตุของปัญหา ที่แท้จริงเช่นกรณีมีการระบาดของไข้เลือดออกอาจต้องศึกษาว่าสภาพท้องถิ่นเพื่อต่อการเป็นแหล่งเพาะ พันธ์ยุงลาย หรือไม่ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาอัตราการระบาดของโรครุนแรงมากน้อยเพียงใดสมาชิกในชุมชนมี ความรู้หรือความตระหนักในการป้องกันการระบาดของโรคหรือไม่เพื่อเป็นข้อมูลในการดำเนินงานข้ัน ต่อ ๆ ไป 7.2 ร่วมวางแผน โรงเรียนควรกระตุ้นจูงใจให้ครอบครัวและชุมชนมีส่วนร่วมในการแสดง ความคิดเห็นเพื่อกำหนดเป้าหมายสูงสุดที่ต้องการวัตถุประสงค์ของโครงการกลุ่มเป้าหมายที่ต้องดำเนิน กิจกรรมที่พึงกระทำบุคคลหน่วยงานที่รับผิดชอบและผลสัมฤทธิ์ของโครงการเพื่อให้เกิดความชัดเจนใน การปฏบิ ตั ิ
32? เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการสร้างเสริมสุขภาพในระบบสขุ ภาพชมุ ชน 7.3 ร่วมดำเนินการ โรงเรียน ครอบครัว และชุมชนควรมีส่วนร่วมดำเนินการตามบทบาท หน้าที่ในแผนพร้อมทั้งประชาสัมพันธ์การดำเนินงานทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการให้ชุมชน ได้รบั ทราบ 7.4 ร่วมตรวจสอบทบทวนพัฒนาและปรับปรุง โดยประเมินผลการดำเนินงานที่ผ่านมา อาจประเมินผลโดยการจัดเสวนาประชาคมหมู่บ้าน สัมภาษณ์หรือสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนและ ชุมชนเพื่อนำข้อเสนอแนะที่ได้รับมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงแก้ไขกลวิธีการดำเนินงานให้มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การที่นักเรียนครูบุคลากรในโรงเรียนและชุมชนมีส่วนร่วมในขั้นตอนต่าง ๆ จะ ช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีต่อการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพในโรงเรียน เกิดความร่วมมือ และการ ประชาสัมพันธ์ให้รับรู้การทำงานต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ จะสร้างความรู้สึกพึงพอใจให้แก่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง โครงการรว่ มระหวา่ งโรงเรยี นและชมุ ชนก่อใหเ้ กดิ ผลลพั ธใ์ นทางทพ่ี งึ ประสงค์ ดงั นี้ 7.4.1 การที่ผู้ปกครองและสมาชิกของชุมชนมีส่วนร่วมในขั้นตอนต่าง ๆ ของการ ดำเนินงานก่อใหเ้ กดิ การเรยี นรูเ้ ร่ืองสุขภาพนำไปสเู่ จตคตแิ ละการปฏบิ ตั ิทถี่ ูกต้องเหมาะสม 7.4.2 โรงเรียนและชุมชนได้เอื้อประโยชน์ต่อกันในด้านการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิด ประโยชน์ต่อการส่งเสริมสุขภาพการแลกเปลี่ยนความรู้ข้อมูล ข่าวสารและการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นท่ี สรา้ งสรรค์ 7.4.3 ปัญหาสุขภาพได้รับการแก้ไขหรือปรับปรุงอย่างสอดคล้องกับสภาพปัญหาของ แต่ละท้องถิน่ 7.4.4 ผู้ปกครองและชุมชนเห็นระโยชน์และเกิดความรู้สึกร่วมเป็นเจ้าของโครงการ ส่งเสริมสุขภาพ ก่อให้เกิดความร่วมมือกับโรงเรียนในด้านต่าง ๆ นำไปสู่ชุมชนเข้มแข็งและการพัฒนาท่ี ยั่งยนื สรุปงาน อนามัยโรงเรียนและโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพมาจากแนวคิดเดียวกันที่ว่า \"สุขภาพกับ การศึกษามีความสัมพันธ์กันที่แยกจากกันไม่ได้\"การที่เด็กมีสุขภาพอนามัยที่ดีจะส่งผลให้สามารถศึกษา เลา่ เรียนได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ สว่ นการศกึ ษาเป็นโอกาสใหเ้ ดก็ นักเรียนไดม้ คี วามรเู้ รอื่ งสขุ ภาพ อนามยั ทศั นคติ ทกั ษะและการปฏบิ ตั ทิ ถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม การทโ่ี รงเรยี นจะเปน็ โรงเรยี นสง่ เสรมิ สขุ ภาพไดจ้ ะตอ้ ง อาศัยงานอนามัยโรงเรียนเป็นตัวขับเคลื่อน การบริการอนามัยโรงเรียนเป็นบทบาทหนึ่งของพยาบาล ชุมชนที่มุ่งเน้นให้เด็กนักเรียน ครู และบุคลากรทุกคนมีสุขภาพอนามัยที่ดี โดยใช้หลักการส่งเสริม สุขภาพและการป้องกันโรคครอบคลุมกิจกรรมด้านต่าง ๆ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพการสร้าง ทัศนคติที่ดีด้านสุขภาพแก่เด็กนักเรียน ครู และบุคลากรในโรงเรียน ป้องกันควบคุมโรคติดต่อในโรงเรียน ประเมินสุภาพของเด็กนักเรียน โดยหากพบปัญหาสุขภาพจะต้องให้การดูแลรักษาอย่างเหมาะสม การ บริการอนามัยโรงเรียนประกอบด้วยงานหลัก 4 ด้าน คือ การบริการอนามัยโรงเรียนการสอนสุขศึกษา
บทที่ 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรียน@33 การอนามัยสิ่งแวดล้อม และโครงการร่วมระหว่างโรงเรียนและชุมชน การบริการอนามัยโรงเรียนที่มี ประสทิ ธภิ าพจะเชื่อมโยงไปสูก่ ารมสี ุขภาพอนามยั ทด่ี ีของเด็กวยั 8. แนวคิดโรงเรียนส่งเสรมิ สุขภาพ โรงเรียนส่งเสริมสุภาพมาจากแนวคิดที่ว่า \"สุขภาพและการศึกษามีความสัมพันธ์ที่แยกจากกัน ไม่ได้\" สุขภาพดีจะเกิดผลดีต่อการศึกษานั่นคือ การที่เด็กมีสุขภาพดีทำให้เด็กไม่ขาดเรียน เรียนหนังสือ ได้ดีรู้จักใช้โอกาสทั้งหมดเพื่อการศึกษาเรียนรู้อันจะส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการศึกษา รวมทั้งมี สัมพันธภาพที่ดีกับเพื่อนและผู้อื่นทั้งในและนอกโรงเรียน แนวคิดโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพนั้น ครอบคลุม ด้านสุขภาพอนามัยในทุกแง่มุมของชีวิตทั้งในโรงเรียนและชุมชน นั่นคือความร่วมมือกันผลักดันให้ โรงเรียนใช้ศักยภาพทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อพัฒนาสุขภาพของนักเรียนบุคลากรในโรงเรียนตลอดจนครอบครัว และชุมชนให้สามารถนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ดูแลเอาใจใส่สุขภาพของตนเองและผู้อื่น ตัดสินใจและควบคุมสภาวการณ์และสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อสุขภาพได้ซึ่งแนวคิดดังกล่าวก่อให้เกิด โอกาสในการพัฒนานโยบายระเบียบและโครงสร้างการส่งเสริมสุขภาพทุกเรื่องในโรงเรียนและชุมชน สามารถดำเนินการร่วมกันมีการทำงานเป็นทีมโดยมีผู้นำที่เข้มแข็งโดยทุกคนมีส่วนร่วมแสดงความ คิดเห็นและตกลงกันในเป้าหมายต่าง ๆ ภายใต้การผสมผสานแนวคิดของการพัฒนาด้านการศึกษาและ ด้านสขุ ภาพ (วราภรณ์ บุญเชียง, 2558) ความหมายของโรงเรยี นส่งเสริมสขุ ภาพ องค์การอนามัยโลกได้ให้คำจำกัดความของ\"โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ\" ว่าหมายถึงโรงเรียน ที่มีขีดความสามารถ แข็งแกร่งมั่นคงที่จะเป็นสถานที่ที่มีสุขภาพอนามัยที่ดี เพื่อการอาศัยศึกษา และ ทำงาน สำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (2560) ให้ความหมายของ \"โรงเรียน ส่งเสริมสุขภาพ\" ว่าหมายถึง โรงเรียนที่มีความร่วมมือร่วมใจกันพัฒนาพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมให้เอื้อ ต่อสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเพ่ือการมีสุขภาพดีของทุกคนในโรงเรียนซึ่งสอดคล้องกับแผนพัฒนาสุขภาพ แห่งชาติ ฉบับที่ 12 พศ. 2560-2564 ที่หลักการพัฒนาประเทศที่สำคัญในระยะแผนพัฒนา \"ปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง\" \"การพัฒนาที่ยังยืน\" และ\"คนเป็นศูนย์กลางการพัฒนา\" ที่ต่อเนื่องจาก 2 แผน พัฒนาฯ ฉบับที่ 9-11 ประโยชน์ของการมโี รงเรยี นส่งเสรมิ สขุ ภาพ โรงเรียนทเ่ี ขา้ ร่วมโครงการโรงเรยี นสง่ เสรมิ สขุ ภาพจะไดร้ บั ประโยชน์หลายประการดังน้ี 1. นักเรียนได้เรียนรู้ถีชีวิตในการสร้างพฤติกรรมสุขภาพซึ่งจะปลูกฝังให้เกิดการปฏิบัติ ตนทจ่ี ะนำไปสู่การมสี ุขภาพดตี ง้ั แต่เดก็ ควบคู่ไปกบั การศึกษาเพ่ือให้เด็ก\"เก่ง ดี มีสุข\"
34? เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการสร้างเสริมสขุ ภาพในระบบสุขภาพชมุ ชน 2. ครูผู้ปกครองและสมาชิกของชุมชนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับสุขภาพอนามัยเพื่อนำไป ปฏบิ ัตใิ หเ้ กดิ ทกั ษะการดแู ลสุขภาพที่เหมาะสม 3.ตัวชี้วัดของโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพมีความสอดคล้องกับตัวชี้วัดการประเมินคุณภาพ การศึกษาทั้งด้านผลผลิตและด้านกระบวนการ ก่อให้เกิดผลดีต่อโรงเรียนในการรับการประเมินจาก ภายนอก 4. โรงเรียนมีโอกาสได้รับความร่วมมือช่วยเหลือจากชุมชนและองค์กรต่าง ๆ เพิ่มข้ึน ประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นถือเป็นความท้าทายภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดของทรัพยากร คน เวลาและ งบประมาณของฝ่ายการศึกษาสาธารณสุขและท้องถิ่น ทางเลือกที่เหมาะสมคือ\"การบูรณาการความ ร่วมมือในเรื่องการศึกษาควบคู่ไปกับการมีสุขภาพดี\" โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือภาพลักษณ์ของเด็กวัย เรียนและเยาวชนไทยที่ดีเก่งและมีความสุขอันเป็นความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูป ระบบสุขภาพซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุถึงปรัชญาการพัฒนา\"คน\"อย่างแท้จริงองค์ประกอบของโรงเรียน ส่งเสริมสขุ ภาพ โรงเรียนสง่ เสรมิ สุขภาพน้นั จะต้องมอี งค์ประกอบ 10 ประการดงั นี้ 1. นโยบายของโรงเรียน หมายถึง ข้อความที่กำหนดทิศทางการดำเนินงานด้านการ ส่งเสรมิ สุขภาพของโรงเรยี นซึง่ จะส่งผลต่อกิจกรรมและการจดั สรรทรัพยากรเพอ่ื การส่งเสริมสขุ ภาพ 2. การบริหารจัดการในโรงเรียน หมายถึง การจัดองค์กรและระบบบริหารงานเพื่อให้ การดำเนนิ งานส่งเสริมสขุ ภาพในโรงเรียนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีความตอ่ เนื่อง 3. โครงการร่วมระหว่างโรงเรียนและชุมชนหมายถึง โครงการหรือกิจกรรมส่งเสริม สขุ ภาพที่ดำเนินการรว่ มกนั ระหว่างโรงเรียนผปู้ กครองและสมาชิกของชมุ ชน 4.การจัดสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนที่เอื้อต่อสุขภาพหมายถึง การจัดการควบคุมดูแล ปรับปรุงภาวะต่าง ๆ และสิ่งแวดล้อมของโรงเรียนให้อยู่ในสภาพที่ถูกสุขลักษณะเอื้อต่อการเรียนรู้ ส่งเสริมสุขภาพกายจิตและสังคม รวมถึงการป้องกันโรคและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทั้งต่อนักเรียนและ บุคลากรในโรงเรียน 5. บริการอนามัยโรงเรียนหมายถึงการที่โรงเรียนจัดให้มีบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานท่ี จำเป็นสำหรับนักเรีนทุกคนได้แก่การเฝ้าระวังภาวะสุขภาพการตรวจสุขภาวะและการรักษาพยาบาล เบอื้ งตน้ ในโรงเรียน 6. สุขศึกษาในโรงเรียนหมายถึงการที่โรงเรียนจัดกิจกรรมสุขศึกษาทั้งในหลักสูตร การศึกษาและผ่านทางกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเพื่อมุ่งเน้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และมีการฝึกปฏิบัติท่ี นำไปสูก่ ารมีพฤติกรรมสขุ ภาพท่เี หมาะสมต่อการมีสุขภาพดี
บทที่ 9 การพยาบาลอนามยั โรงเรียน@35 7. โภชนาการและอาหารที่ปลอดภัยหมายถึงการส่งเสริมให้นักเรียนมีภาวะการ เจริญเติบโตสมวัยโดยจัดให้มีอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสะอาดและปลอดภัยให้แก่นักเรียนและ บุคลากรในโรงเรียน 8. การออกกำลังกายกีฬาและนันทนาการหมายถึงการส่งเสริมสนับสนุนให้นักเรียน และบุคลากรในโรงเรียนมีการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพโดยการจัดสถานที่อุปกรณ์และกิจกรรมการออก กำลังกายกีฬาและนันทนาการพร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาใช้สถานที่และอุปกรณ์ หรือเข้า ร่วมกิจกรรมทโี่ รงเรยี นจัดขึ้นตามความเหมาะสม 9. การให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางสังคมหมายถึงระบบบริการให้คำปรึกษาแนะ แนวและช่วยเหลือนักเรียนที่มีปัญหาสุขภาพกายสุขภาพจิตหรือมีภาวะเสี่ยงรวมทั้งพฤติกรรมเสี่ยงของ นักเรียน 10. การส่งเสริมสุขภาพบุคลากรในโรงเรียนหมายถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อกระตุ้น ส่งเสริมให้บุคลากรในโรงเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสมอันจะส่งผลดีต่อสุขภาพของตนเองและ เป็นแบบ อย่างที่ดีแก่นักเรียนในโรงเรียน บริการของโรงเรียน การสอนสุขศึกษา(หลักสูตร) สิ่งแวดล้อม ที่เอื้อต่อสุขภาพ องค์ประกอบโครงสร้างพื้นฐาน การติดตามประเมินผล แหล่งทรัพยากร และบุคลากร โครงการและบรกิ าร 9. แนวคิดทัศนคติ นโยบาย ความร่วมมอื การเป็นหนุ้ สว่ นของโรงเรียนส่งเสริมสขุ ภาพ โรงเรียนที่สามารถเข้าร่วมโครงการส่งเสริมสุขภาพคือ โรงเรียนระดับประถมศึกษาและ มัธยมศึกษาในทุกสังกัดทั้งภาครัฐและเอกชนโดยต้องได้รับการประเมินเพื่อรับรองโรงเรียน 10 องค์ประกอบข้างต้น ซึ่งโรงเรียนที่ผ่านการรับรองจะได้รับประกาศเกียรติคุณซึ่งมี 3 ระดับ ได้แก่ ระดับ ทอง ระดับเงนิ และระดบั ทองแดง ประโยชน์ท่ีเกดิ ขน้ึ จากการเปน็ โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ 1. โรงเรียนได้รับรู้แนวทางการส่งเสริมสุขภาพนักเรียน บุคลากรในโรงเรียนและขยายผลสู่ ชุมชน 2. นักเรียนได้เรียนรู้วิถีชีวิตในการสร้างพฤติกรรม ซึ่งจะปลูกฝังให้เกิดการปฏิบัติตนที่จะ นำไปสู่ การมสี ุขภาพดีต้ังแต่เด็กควบคไู่ ปกบั การศึกษา 3. เพื่อให้เด็ก \"ดีเก่งมีสุข\" ครูผู้ปกครอง และสมาชิกของชุมชนจะได้รับความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ อนามยั เพอ่ื นำไปปฏบิ ัติใหเ้ กิดทักษะการดแู ลสุขภาพทีเ่ หมาะสม
36? เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการสร้างเสรมิ สุขภาพในระบบสุขภาพชุมชน 4. ตัวชี้วัดของโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพมีความสอดคล้องกับตัวชี้วัดการประเมินคุณภาพ การศึกษา ก่อให้เกิดผลดีต่อโรงเรียนในการรับการประเมินจากภายนอกโรงเรียนมีโอกาสได้รับความร่วม มอื และการช่วยเหลอื จากชุมชนและองคก์ รตา่ ง ๆ เพ่ิมขนาด 10. บทบาทพยาบาลอนามัยชุมชนกบั โรงเรียนสง่ เสริมสขุ ภาพ พยาบาลอนามยั ชมุ ชนในงานอนามยั โรงเรยี น มบี ทบาทท่ีเกีย่ วขอ้ งกับงานด้านโรงเรยี น ส่งเสริมสุขภาพ (ปราลีณา ทองศรี และนางสาวอารยา เชยี งของ, 2561) ดังนี้ 1. การประสานโรงเรียน เพือ่ การยอมรบั แนวคดิ โรงเรยี นส่งเสริมสุขภาพ 2. สนับสนุนใหโ้ รงเรียนแสดงเจตจำนงรว่ มเปน็ โรงเรียนสง่ เสริมสขุ ภาพ 3. สนับสนุนให้โรงเรยี นจดั ตัง้ คณะกรรมการสง่ เสริมสุขภาพของโรงเรยี น 4. สนับสนุนโรงเรยี นกำหนดนโยบาย และมีการบริหารจัดการใหเ้ กิดแผนงานโครงการ โรงเรยี นส่งเสรมิ สุขภาพ 5. สนบั สนนุ ดา้ นบรหิ าร และวิชาการให้กบั โรงเรียน ตามแผนงานโครงการท่ีโรงเรียน กำหนดและมีการตดิ ตามผลเพอื่ ใหก้ ำลังใจแก่โรงเรยี นอย่างสม่ำเสมอ 6. สนบั สนุนให้โรงเรยี นประเมินตนเองโดยใชเ้ กณฑม์ าตรฐานการประเมินโรงเรียนส่งเสรมิ สุขภาพ 10 องค์ประกอบ 7. เม่ือโรงเรียนดำเนินการได้ครอบคลุมทุกองค์ประกอบของโครงการโรงเรียนส่งเสริม สุขภาพ และเห็นว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานการประเมินโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพแล้ว บทบาทของพยาบาล ต้องกระตุ้นและสนับสนุนให้โรงเรียนขอรับการประเมินจากคณะกรรมการภายนอกเพื่อรับรองการเป็น โรงเรยี นสง่ เสรมิ สุขภาพ การพัฒนาโรงเรียนสู่โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ ย่อมเกิดจากความตระหนักร่วมกันของทุก ฝ่าย ถึงความสำคัญของการมีสุขภาพดี และความจำเป็นในการสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องตั้งแต่ เด็ก (Holmes et al., 2016) รวมทั้งมุ่งมั่นสร้างโรงเรียนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาความเป็นอยู่อย่าง มีสุขภาพดีของทุกคนในชุมชน ซึ่งเป็นความท้าทายภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดของทรัพยากร คน เวลา และ งบประมาณของฝ่ายการศึกษา สาธารณสุข และท้องถิ่น ทางเลือกที่เหมาะสมคือ การบูรณาการร่วมมือ ในเรื่องการศึกษาควบคู่ไปกับการมีสุขภาพดี โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือ ภาพลักษณ์ของเด็กนักเรียนและ เยาวชนไทยที่ดี เก่ง และมีความสุข อันเป็นความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษาและการปฏิรูประบบ สุขภาพซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุถึงปรัชญาการพัฒนา “คน” อย่างแท้จริงปัญหาและอุปสรรคในการ ดำเนินงานอนามัยโรงเรียนของประเทศไทยที่ผ่านมา คืองบประมาณที่ไม่เพียงพอ ครูโรงเรียน และ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีภาระงานมาก ขาดความร่วมมือและการประสานงาน และขาดการติดตาม
บทท่ี 9 การพยาบาลอนามัยโรงเรียน@37 ประเมินผลการดำเนินงานอนามัยโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ปฏิบัติงานไม่ครบตาม บทบาทท่ีกำหนดไว้ นอกจากนี้ยังขาดการริเริ่มโครงการสร้างสุขภาพ และการติดตามข่าวสาร สถานการณ์เกี่ยวกับสุขภาพอย่างเท่าทันทำให้การด าเนินงานอนามัยโรงเรียนของประเทศไทยยังไม่ ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ดังนั้นพยาบาลอนามัยโรงเรียนในอนาคต จะต้องพัฒนาตนเองในด้าน ความรู้และทักษะให้มีความชำนาญในงานอนามัยโรงเรียนมีการติดตามสถานการณ์ด้านสุขภาพ แสวงหา แนวทางใหม่ๆ ในการริเริ่มโครงการในการสนับสนุนกิจกรรมภายในโรงเรียน พยาบาลอนามัยโรงเรียน ต้องมีความรู้ความสามารถในการสื่อสาร ทักษะการเจรจาต่อรอง เพื่อให้การประสานงานกับโรงเรียน และชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้สถานการณ์การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน มีการเคลื่อนย้าย แรงงานจำนวนมาก ทำให้ลูกหลานแรงงานต่างด้าวเข้ามาเรียนในโรงเรียนของประเทศไทยมากขึ้น ดังนั้นพยาบาลอนามัยโรงเรียน ต้องมีความรู้ทักษะการสื่อสารทางภาษาประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ของ ตนเองและต้องมีความเขา้ ใจในสภาวะสุขภาพของประเทศเพ่ือนบา้ นด้วย ปัจจัยที่ส่งผลให้งานอนามัยโรงเรียนไม่ประสบผลสำเร็จ ได้แก่ การไม่มีเจ้าหน้าที่ประจำห้อง พยาบาล ครูอนามัยโรงเรียนได้จบพยาบาล โดยตรง สื่อสุขศึกษามีน้อยท าให้ขาดแหล่งการเรียนรู้ เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตนเอง โรงเรียนไม่มีนโยบายเรื่องส่งเสริมอนามัยสิ่งแวดล้อมภายในโรงเรียน อาทิเช่น ยังมีการจำหน่ายน้ำอัดลม อาหารทอด ขนมขบเคี้ยวภายในโรงเรียน ไม่มีการจัดการเรื่องสัตว์ เลี้ยง และขยะโดยตรง เป็นต้น ดังนั้น บทบาทของพยาบาลอนามัยชุมชนควรเน้นสู่ความร่วมมือของทุก ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องโดยใช้แนวคิดการสร้างเสริมพลัง (Empowerment) ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อ สุขภาพที่ดีโดยนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียนสามารถเป็นผู้น าในการแก้ไขปัญหาสุขภาพในบริบท ของโรงเรียนและชุมชนซึ่งนอกจากจะพัฒนาบทบาทนักเรียนให้เกิดผู้นำการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพ ของตนเองและเพื่อนนักเรียนแล้วนักเรียน ยังสามารถเป็นผู้นำสุขภาพสู่ครอบครัวและขยายผลสู่ชุมชน ในการสรา้ งสุขภาวะได้อย่างยั่งยืน บทสรปุ โรงเรียนจัดเป็นสถาบันหล่อหลอมนักเรียนซึ่งเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ โดยมีหน้าท่ี พัฒนานักเรียนให้มีศักยภาพเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างปกติสุข การบริการ พยาบาลอนามัยโรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการบริการอนามัยโรงเรียนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนา คุณภาพของประชากรวัยเรียน โดยมีโรงเรียนเป็นศูนย์กลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้และการ ปฏิบัติทางด้านสุขภาพให้กับนักเรียน พยาบาลอนามัยชุมชนมีหน้าที่ในการจัดบริการอนามัยโรงเรียนมี ลักษณะเป็นบริการสาธารณสุข ผสมผสานซึ่งประกอบด้วยการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค การรักษาพยาบาลและการฟื้นฟูสุขภาพ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัยเรียนให้มีการเจริญเติบโตตามวัย
38? เอกสารประกอบการสอนรายวชิ าการสร้างเสรมิ สุขภาพในระบบสขุ ภาพชุมชน รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ ทัศนคติที่เหมาะสมเกี่ยวกับสุขภาพ และสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติในการ ดแู ลตนเองและครอบครัวให้มสี ุขภาพทีด่ ตี ่อไป คำถามทา้ ยบท 1. จงอธบิ ายแนวคดิ การพยาบาลอนามัยโรงเรียน 2. พยาบาลมีบทบาทในการพยาบาลอนามยั โรงเรียนอยา่ งไร 3. จงอธบิ ายหลักการดำเนนิ งานอนามัยโรงเรยี น 4. จงอธบิ ายหลักการตรวจสุขภาพนักเรยี น 5. จงอธบิ ายหลักการและความสำคญั ของการสอนสุขศกึ ษาในโรงเรียนได้ 6. จงบอกหลกั การอนามยั สง่ิ แวดล้อมในโรงเรียน 7. จงอธบิ ายความสัมพนั ธข์ องการพยาบาลอนามยั โรงเรียนกับระบบสขุ ภาพชุมชน 8. จงอธิบายแนวคิดโรงเรียนส่งเสรมิ สขุ ภาพ 9. จงอธิบายแนวคิดทัศนคติ นโยบาย ความร่วมมือการเป็นหุ้นส่วนของโรงเรียนส่งเสริม สุขภาพ 10. พยาบาลอนามยั ชุมชนมีบทบาทในงานโรงเรยี นส่งเสริมสขุ ภาพอย่างไร บรรณานุกรม ปราลีณา ทองศรี และนางสาวอารยา เชียงของ. (2561). บทบาทพยาบาลอนามัยชุมชนในงานอนามัย โรงเรยี น. วารสารพยาบาลสาธารณสุข, 32(2), 203-221. แผนงานสร้างเสรมิ ภมู ิคุ้มกันโรค กองโรคป้องกนั ดว้ ยวัคซีน กรมควบคมุ โรค กระทรวงสาธารณสขุ . (2563). กำหนดการให้วัคซีนตามแผนงานสร้างเสรมิ ภูมคิ มุ้ กนั โรคของกระทรวง สาธารณสุขปี 2563. ค้นเม่อื เมษายน 20, 2563, จาก https://ddc.moph.go.th/uploads/files/1048320191202064105.pdf วนิดา ดุรงค์ฤทธิชัยและจริยาวัตร คมพยัคฆ์. (บรรณาธิการ). (2553). การพยาบาลอนามัยชุมชน: แนวคิด หลักการและการปฏิบัติการพยาบาล. สมุทรปราการ : โครงการสำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยหัวเฉยี วเฉลิมพระเกียรติ.
บทที่ 9 การพยาบาลอนามยั โรงเรียน@39 วราภรณ์ บุญเชียง. (2558). อนามยั โรงเรียน. พมิ พค์ รั้งที่ 2. เชยี งใหม่: คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. ศิวพร อึง้ วฒั นา และรังสยิ า นารินทร์. (2561). การพยาบาลชมุ ชน: อนามัยครอบครัว อนามยั โรงเรยี น อนามยั สิง่ แวดล้อมและอาชวี อนามยั . เชยี งใหม:่ สมาร์ทโคตตงิ้ แอนด์ เซอร์วิส. สมศกั ดิ์ จำปาโท. (2562). อนามยั โรงเรียน. พิษณโุ ลก: สำนกั พมิ พม์ หาวิทยาลัยนเรศวร. สำนักส่งเสรมิ สขุ ภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข. (2560). คู่มอื การดำเนนิ งานโรงเรียนส่งเสริม สขุ ภาพ (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2558). พิมพค์ ร้งั ที่ 3. กรงุ เทพ: สำนกั บรกิ ารวชิ าการ มหาวิทยาลัยศลิ ปากร. Allender, J. A., & Spradley, B. W. (2001). Community health nursing: Concepts and practice. Lippincott Williams & Wilkins. Grand M. (1987). Handbook of community health. 4 th ed. Philadelphia: Lea & Febiger. Holmes, B. W., Allison, M., Ancona, R., Attisha, E., Beers, N., De Pinto, C., . . . Weiss-Harrison, A. (2016). Role of the school nurse in providing school health services. Pediatrics, 137(6), e20160852. Patrick LD, Erickson P. (1993). Health status and health policy. Oxford: Oxford university press.
Search
Read the Text Version
- 1 - 41
Pages: