Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงานวิฬาร์มาลีสำเหร่

โครงงานวิฬาร์มาลีสำเหร่

Published by akekung9, 2022-06-29 12:34:16

Description: โครงงานวิฬาร์มาลีสำเหร่

Search

Read the Text Version

จัดทาโดย วิฬาโครร์ งมงาานลภี าสษาาเไหทรย่ นายกติ ตธิ รณ์ โสมาลา นายอนันตสทิ ธิ์ แผน่ ศลิ า นางสาววีรยา รตาภรณ์ นักเรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ ๕ ครูท่ปี รกึ ษา ปีการศึกษา ๒๕๖๕ นายสัญญา อาภาสโชคทวี โรงเรยี นมธั ยมวดั สุทธาราม สำนกั งำนเขตคลองสำน กรุงเทพมหำนคร

โครงงานภาษาไทย เร่อื ง วฬิ าร์มาลสี าเหร่ คณะผจู้ ัดทา นายกติ ตธิ รณ์ โสมาลา นายอนันตสิทธิ์ แผน่ ศลิ า นางสาววีรยา รตาภรณ์ นักเรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๕ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๕ คณุ ครูที่ปรึกษาโครงงาน คุณครสู ญั ญา อาภาสโชคทวี โครงงานน้เี ป็นโครงงานภาษาไทย ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๕ โรงเรยี นมัธยมวดั สุทธาราม สานักงานเขตคลองสาน กรงุ เทพมหานคร

โครงงาน : วฬิ ารม์ าลสี าเหร่ สถานศึกษา : โรงเรยี นมัธยมวดั สทุ ธาราม สานกั งานเขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร ผจู้ ัดทาโครงงาน : นายกติ ติธรณ์ โสมาลา ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี ๕ นายอนนั ตสิทธิ์ แผ่นศิลา ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๕ นางสาววีรยา รตาภรณ์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๕ ครทู ี่ปรกึ ษาโครงงาน : นายสัญญา อาภาสโชคทวี ปีทดี่ าเนนิ การ : ปีการศกึ ษา ๒๕๖๕ บทคัดยอ่ โครงงานอาชีพ เรื่อง วิฬาร์มาลีกรุงเทพ ช้ินน้ี มีจุดมุ่งหมายในการทาเพื่อศึกษาประวัติความเป็นมา วิธีการทาบุหงาราไป สารวจและ ศึกษาวรรณคดีที่กล่าวถึงบุหงาราไป และจัดทาบุหงาราไปกล่ินต่าง ๆ และสร้างสรรค์ชิ้นงานในรูปแบบถุงหอมวิฬาร์สาเหร่ พร้อมตั้งชื่อโดยใช้คาคล้องจอง และแต่งคาประพันธ์ ประเภทกาพยเ์ ห่ประกอบ โดยมีวิธีดาเนินการ และทดลองดังนี้ ขั้นวางแผน ประชุมคณะผู้จัดทาเพ่ือหาหัวข้อในการจัดทา โครงงาน นาเสนอหัวข้อโครงงานต่อครูท่ีปรึกษา แบ่งหน้าที่ในการทาโครงงาน หาแหล่งข้อมูลในการศึกษา สอบถามผู้รู้ในเรื่องของแหล่งวัตถุดิบ จัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ สาหรับการจัดทาโครงงาน และ ช้ินงาน ข้ันดาเนินการศึกษา ศึกษาความหมายและประวัติความเป็นมาของคาว่าบุหงาราไปจากสื่อต่าง ๆ เช่น พจนานุกรม หนังสือ การสัมภาษณ์ผู้รู้ หรือบทความในเว็บไซต์ พร้อมเก็บรวบรวมข้อมูล ศึกษาเอกสารที่ เกี่ยวข้องเกี่ยวกับวรรณคดี ทั้งในเร่ืองความหมาย และวรรณคดีท่ีเกี่ยวข้องกับบุหงาราไป พร้อมเก็บรวบรวม ข้อมูล ศึกษาวิธีการแต่งกาพย์เห่ พร้อมเก็บรวบรวมข้อมูล จากน้ันสารวจความพึงพอใจของนักเรียนโรงเรียน มัธยมวัดสุทธาราม เพ่ือจัดลาดับ และปรับปรุงผลงาน อีกทั้งแต่งช่ือน้ากลิ่นของบุหงาราไป เป็นกาพย์เห่ จัดทาบหุ งาราไปและถงุ หอมวิฬาร์สาเหร่ เพอ่ื สร้าง และพฒั นาเปน็ ผลิตภัณฑ์ชุมชน และจัดทารูปเล่มโครงงาน เพอ่ื นาเสนอ ผลการศึกษา และลงมือปฏิบัติพบว่า โครงงานฉบับน้ีสามารถทาได้จริง และทาให้คณะผู้จัดทาได้ฝึก ทักษะต่าง ๆ มากมาย ทั้งด้านวิชาการ ในกลุ่มสาระการเรียนภาษาไทย ทั้ง ๕ มาตรฐาน คือ การอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด หลักการใช้ภาษาไทย และวรรณคดีวรรณกรรม ทั้งยังสอดคล้อง กับแนวทางในการจัดการศึกษาแห่งชาติ และนโยบายทางการศึกษาของกรุงเทพมหานคร ท่ีเน้นให้นักเรียน เป็นผู้มีองค์ความรู้ ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม ผู้มีทักษะในการดารงชีวิตในสังคมโลกแห่งศตวรรษที่ 21 ที่สร้างสรรค์สังคมให้ยงั่ ยนื และเข้มแขง็ สืบไป

กิตตกิ รรมประกาศ โครงงานภาษาไทย เร่ือง วิฬาร์มาลสี าเหร่ ชิ้นน้ีสาเร็จลลุ ว่ งดว้ ยดี โดยความอนเุ คราะห์ การสนับสนุน และความช่วยเหลือจากบุคลากรต่าง ๆ ดังน้ี ๑. นางอรสา พุ่มสวัสด์ิ ผู้อานวยการสถานศึกษาโรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม ผู้เปิดโอกาส ใหค้ ณะผจู้ ดั ทาได้จดั ทาโครงงานชิ้นน้ี ๒. คณุ ครูสญั ญา อาภาสโชคทวี ครูผู้เป็นท่ีปรึกษาโครงงาน ผู้คอยให้คาปรึกษาชี้แนะ และทุนทรัพย์บางสว่ นในการจดั ทาโครงงานชิ้นนี้ ๓. คณุ สกุล อินทกลุ ผเู้ ช่ยี วชาญเรือ่ งงานดอกไม้ ผู้กอ่ ตงั้ พิพิธภณั ฑ์วัฒนธรรมดอกไม้ ผใู้ ห้ความรู้ เก่ยี วกับประวตั ิความเป็นมาของบหุ งาราไป ๔. คณุ บญุ ชยั เหล่าตระกูล เจา้ ของร้านหัวน้าหอมบุญชัย ผ้ใู หค้ าแนะนาวธิ ีการผสมหวั นา้ หอม ๕. คุณครูมหิทธิ เบา้ พิมพา ผู้ใหค้ วามรใู้ นเรือ่ งประวตั ศิ าสตร์ ความเป็นมาในเรือ่ งเครอ่ื งหอม ๖. ผูป้ กครองของคณะผ้จู ดั ทาทุกท่าน ทีใ่ ห้การสนับสนุนปัจจยั ต่าง ๆ และใหก้ าลังใจมาโดยตลอด คณะผู้จดั ทาขอขอบพระคุณทุกทา่ นที่มสี ว่ นเกย่ี วข้องเปน็ อย่างสงู ณ โอกาสน้ี คณะผจู้ ดั ทา ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕

สารบญั หนา้ ๑ บทท่ี ๑ บทนา ๑ - ทมี่ าและความสาคญั ของโครงงาน ๒ - วัตถปุ ระสงค์ในการจดั ทาโครงงาน ๒ - ขอบเขตของการศึกษา ๓ - นิยามศัพท์เฉพาะ ๓ - ประโยชน์ทคี่ าดวา่ จะได้รบั ๔ บทที่ ๒ เอกสารท่ีเก่ียวข้อง ๒๑ บทที่ ๓ วิธีการดาเนินการศกึ ษา อุปกรณ์และวิธีการทดลอง ๒๔ บทที่ ๔ ผลการศกึ ษา และทดลอง ๓๓ บทที่ ๕ สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ ๓๖ บรรณานกุ รม ๓๗ ภาคผนวก

สารบัญตาราง หนา้ ๓๑ ตารางที่ ๑ ตารางสรุปความพงึ พอใจในกลิน่ น้าหอม ที่ใช้ทาบุหงาราไป ของนกั เรยี นโรงเรยี นมธั ยมวดั สุทธาราม คดิ เปน็ ร้อยละ

สารบญั รปู ภาพ หนา้ ๓๐ ภาพ บหุ งาราไป รูปแบบวฬิ าร์สาเหร่

ห น้ า | 1 บทท่ี ๑ บทนำ ท่ีมำและควำมสำคญั ของโครงงำน “วรรณคดีเปน็ สิ่งที่แสดงควำมเจรญิ และควำมม่นั คงของชำติ” จากคากล่าวน้ีแสดงให้เห็นถึงความสาคัญของวรรณคดี ท่ีเป็นสิ่งที่แสดงความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง ความเป็นชาติ นอกจากน้ีวรรณคดียังเป็นแหล่งข้อมูลที่สาคัญต่อการศึกษา ทั้งทางด้านภาษา ด้านสังคมวัฒนธรรม และด้านประวัติศาสตร์ อีกทั้งยังแฝงคติความเช่ือ ข้อคิดสอนใจ ให้กับผู้อ่านอีกด้วย โดยเฉพาะทางด้านประวัติศาสตร์ วรรณคดเี ป็นหลกั ฐานชน้ั ปฐมภูมิ และทุตยิ ภมู ิ เปน็ บนั ทึกทางประวตั ศิ าสตร์ ที่กล่าวถึง สภาพความเป็นอยู่ ระบอบการปกครอง วิถีชีวิต คติความเช่ือ ต่าง ๆ ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูล ทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่าท้ังศาสตร์ และศิลป์ ดังน้ันวรรณคดีจึงเป็นส่ิงที่ชาวไทยทุกคนควรศึกษา เพ่ือให้ทราบถึงรากฐานความเป็นไทย วิถีการดาเนินชีวิตอันดีงามในอดีต ศิลปวัฒนธรรมทั้งศาสตร์ และศิลป์ อีกท้ังคติอันดี เพื่อพัฒนาจิตใจให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ซึ่งทางกระทรวงศึกษาธิการไดเ้ ห็นความสาคัญของสงิ่ น้ี จึงไดจ้ ดั ให้มีการศึกษาวรรณคดไี ทย ท้ังในการศึกษาภาคบงั คบั และขน้ั พน้ื ฐานอกี ด้วย คณะผู้จัดทาเป็นกลุ่มหน่ึงที่ได้ศึกษาวรรณคดี และได้เห็นคุณค่าของวรรณคดีไทยตามที่ได้กล่าวมา ในข้างต้นอย่างชันเจน โดยเฉพาะในด้านสังคมวัฒนธรรม วิถีความเป็นอยู่ของคนไทยในอดีตนั้น เป็นสิ่งท่ีน่าสนใจเป็นอย่างมาก จากการศึกษาหลักการวิเคราะห์คุณค่าของวรรณคดี ในด้านสังคมวัฒนธรรม โดยคุณครูผู้สอน วิชาภาษาไทย ได้อธิบายพร้อมเล่าเร่ืองราวสภาพความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของชาวไทย ในอดีตประกอบ ทาให้คณะผู้จัดทาเกิดความสนใจ และข้อสงสัย เม่ือศึกษาจบคณะผู้จัดทาเกิดคาถามว่า “ในอดีตนั้นไม่มีผงซักฟอก แล้วจะทาให้เสื้อผ้าที่สวมใส่น้ันมีกล่ินหอมได้อย่างไร” จึงได้สอบถามคุณครูผู้สอน และได้รับความรู้มาหลายวิธี แต่วิธีที่ผู้จัดทามีความสนใจมากที่สุดนั่นก็คือ “การอบผ้า” โดยจากการศึกษา ในเรื่องดังกล่าว การอบผ้า คือ การนาเคร่ืองหอมมาเก็บไว้พร้อมกับผ้าท่ีต้องการ เพื่อให้กลิ่นหอม ของเคร่ืองหอมนั้นซึมลงสู่เนื้อผ้า โดยเคร่ืองหอมที่นิยมใช้ในการอบผ้ามีช่ือเรียกว่า “บุหงาราไป” หรือ “บุหงาดอกไม้แห้ง” ซึ่งเป็นการเก็บดอกไม้ชนิดต่าง ๆ ที่มีกลิ่นหอม มารวมกันผึ่งให้แห้ง แล้วนาไปอบผ้า แต่ในปัจจุบันได้มีการพัฒนา เพื่อให้มีกล่ินหอมตามที่ต้องการ และมีกล่ินหอมท่ีคงทนกว่าในอดีต โดยวิธีการ อบ และเคล้าดว้ ยนา้ ปรุง หรอื นา้ หอมอกี ด้วย ด้วยความสนใจ และข้อสงสัยในข้างต้นคณะผู้จัดทาจึงให้ความสนใจ และศึกษาประวัติความเป็นมา ของบุหงาราไป การปรากฏในวรรณคดีไทยว่า มีปรากฏในเรื่องใดบ้าง และมีการกล่าวไว้อย่างไร ตลอดจนวิธีการทา และลองลงมือทาเป็นช้ินงานท่ีมีเอกลักษณ์ของความเป็นกรุงเทพมหานคร และชุมชน สาเหร่ท่ีเป็นชุมชนที่ต้ังของโรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม โดยออกแบบเป็นถุงหอมลวดลายแมววิฬาร์กรุงเทพ ซ่ึงเป็นแมวสายพันธุ์ใหม่ท่ีมีถิ่นกาเนิดในกรุงเทพมหานคร ผสมผสานกับลวดลายของดอกสาเหร่ท่ีมาของช่ือ สาเหร่ชุมชนรอบ ๆ โรงเรียนของคณะผู้จัดทา และผู้จัดทายังต้องการทราบอีกว่า ทั้งยังผสมกลิ่นน้าหอม เพื่อใช้ในการผสมในบุหงาราไปท่ีได้จัดทาขึ้น อีกทั้งต้ังช่ือของกล่ินเหล่านั้น โดยใช้หลักการใช้คาคล้องจอง และแต่งคาประพันธ์ในรูปแบบกาพย์เห่ ท่ีเป็นคาประพันธ์ประเภทโคลงสี่สุภาพ และกาพย์ยานี ๑๑

ห น้ า | 2 โดยใช้ช่ือน้าหอมเหล่านั้นประกอบอีกด้วย จนนามาสู่การจัดทาโครงงานช้ินน้ี ที่คณะผู้จัดทาได้ศึกษาไปมา ประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด เพ่ือตอบวิสัยทัศน์ของแผนการศึกษากรุงเทพมหานครท่ีว่า “นักเรียนกรุงเทพมหานครเป็นพลเมืองท่ีดี มีองค์ความรู้ สร้างสรรค์นวัตกรรม มีทักษะ ในการดารงชีวิต ในสงั คมโลกแห่งศตวรรษท่ี 21” ด้วยเหตุท่ีกล่าวมาทั้งหมดโครงงานชิ้นนี้ จึงมีความสาคัญในการจัดทาขึ้น ทั้งเพ่ือการศึกษาหาความรู้ ผ่านวรรณคดีไทย และใช้ทักษะทางดา้ นวิชาการในรายวิชาภาษาไทย สรา้ งสรรค์ขนึ้ มาเปน็ ช้ินงาน เพอ่ื ต่อยอด เป็นทักษะในการดารงชวี ิต สร้างสรรคช์ นิ้ งานเพอ่ื เป็นเอกลักษณข์ องชุมชนสบื ไป วัตถุประสงคใ์ นกำรจัดทำโครงงำน ๑. เพือ่ ศึกษาประวัตคิ วามเปน็ มา วิธีการทาบหุ งาราไป ๒. เพือ่ สารวจและ ศกึ ษาวรรณคดีท่ีกลา่ วถงึ บุหงาราไป ๓. เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดสุทธารามที่มีต่อกลิ่นของบุหงาราไป ที่ผลติ ข้ึน ๔. เพื่อจัดทาบุหงาราไปกลิน่ ต่าง ๆ และสร้างสรรค์ชน้ิ งานในรูปแบบถุงหอมวิฬาร์สาเหร่ พร้อมต้ังชื่อ โดยใช้คาคล้องจอง และแตง่ คาประพนั ธ์ประเภทกาพย์เห่ประกอบ ขอบเขตของกำรศกึ ษำ โครงงานภาษาไทย : วิฬาร์ มาลี สาเหร่ - การศึกษาครง้ั น้ีม่งุ ศกึ ษาประวัติความเปน็ มา วิธีการทาบหุ งาราไป โดยเนน้ ศึกษาขอ้ มูลจากวรรณคดี - การประดิษฐ์ช้ินงานบุหงาราไปจะใช้ดอกไม้ หรือวัสดุเหลือใช้ และหาง่ายในท้องถิ่น และต่อยอด เป็นผลติ ภฑั ณ์ในชุมชน ทัง้ นขี้ อบเขตและระยะเวลาของการศึกษา และการจัดทาโครงงานสามารถแบง่ ออกได้ ดงั นี้ ๑. ศกึ ษาเร่ืองเก่ียวกบั บหุ งาราไป ๑.๑ สิง่ ทศ่ี กึ ษา : ศึกษาประวตั ิความเปน็ มา วธิ ีการทา สารวจวรรณคดที ีก่ ล่าวถงึ บุหงาราไป ๑.๒ สถานท่ี : โรงเรียนมัธยมวดั สทุ ธาราม ๑.๓ ระยะเวลา : ๒ สปั ดาห์ (๑๕ – ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕) ๒. จัดทาบหุ งาราไป ๒.๑ ส่งิ ทศี่ ึกษา : จดั ทาดอกไม้แหง้ นา้ หอม เตรียมอปุ กรณ์ และจัดทาช้ินงาน ๒.๒ สถานท่ี : โรงเรยี นมัธยมวดั สุทธาราม ๒.๓ ระยะเวลา : ๒ สัปดาห์ (๑ – ๑๕ มถิ นุ ายน ๒๕๖๕) ๓. จัดทารูปเล่ม และเตรียมตัวนาเสนอ ๓.๑ ส่ิงท่ีศกึ ษา : จดั ทารปู เลม่ โครงงาน และเตรียมตัวนาเสนอโครงงาน ๓.๒ สถานท่ี : โรงเรยี นมัธยมวดั สุทธาราม ๓.๓ ระยะเวลา : ๑ สปั ดาห์ (๑๖ – ๒๔ มถิ ุนายน ๒๕๖๕)

ห น้ า | 3 รวมระยะเวลาการจดั ทาโครงงานท้งั ส้นิ ๕ สปั ดาห์ (๑๕ พฤษภาคม – ๒๔ มถิ ุนายน ๒๕๖๕) นิยำมศัพทเ์ ฉพำะ ๑. บหุ งาราไป หมายถึง การนาดอกไม้ทม่ี ีกลน่ิ หอมหลาย ๆ ชนิดมารวมกนั ทง้ั แบบสด และแบบแห้ง แต่ในโครงงานชิ้นน้ี จะกลา่ วถึงเฉพาะแบบแห้งเท่านน้ั ๒. ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย หมายถึง คุณครูสัญญา อาภาสโชคทวี ครูผู้สอนวิชาภาษาไทย และครทู ่ปี รึกษาโครงงานช้ินนี้ ๓. วรรณคดี หมายถึง วรรณคดีท่ีผู้จัดทามุ่งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบุหงาราไป ในที่นี้พบเพียง ๓ เรื่อง คือ กาพย์เห่เรือท่ีประพันธ์โดยเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ บทละครเรื่อง อิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ พระพทุ ธเลศิ หล้านภาลยั และพระอภยั มณีของสุนทรภู่ โดยร่วมกันศกึ ษา และไดร้ ับคาแนะนาจากคุณครูผู้สอน วิชาภาษาไทย ๔. น้าหอม หมายถึง กลิ่นน้าหอมท่ีผู้จัดทาคิดค้นขึ้น เพ่ือใช้เป็นกลิ่นของบุหงาราไปที่เป็นชิ้นงาน ของโครงงานน้ี ๕. วิฬาร์กรุงเทพ หมายถึง ช่ือสายพันธุ์แมวชนิดหน่ึง ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ที่มีถ่ินกาเนิด ในกรงุ เทพมหานคร โดยมีลกั ษณะเด่นคอื มขี นสนี ้าตาลออ่ นคล้ายสกี าแฟ องุ้ เทา้ และจมกู เป็นสชี มพู เปน็ ตน้ ๖. ดอกสาเหร่ หมายถึง ดอกของต้นโคลงเคลง ซึ่งจากคาบอกเล่าของผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้อาวุโส ในชุมชนกล่าวว่า เดิมมีมากในบริเวณนี้ จึงเรียกชุมชนบริเวณน้ีว่า สาเหร่ โดยดอกโคลงเคลง หรือดอกสาเหร่ เป็นดอกไมส้ ีม่วงเข้ม มี ๕ กลีบ และมเี กสรสเี หลอื ง ประโยชน์ทคี่ ำดวำ่ จะไดร้ บั ๑. ไดร้ บั ความรู้เร่ืองประวตั คิ วามเป็นมา วธิ ีการทาบหุ งาราไป ๒. ไดร้ ับความรเู้ รือ่ งวรรณคดีที่กล่าวถงึ บหุ งาราไป ว่ามเี รอ่ื งใดบา้ ง และกล่าวไวอ้ ย่างไร ๓. ได้ทราบความพึงพอใจของนกั เรยี นโรงเรยี นมัธยมวดั สุทธารามที่มีต่อกลิ่นของบหุ งาราไปท่ผี ลิตขึน้ ๔. สามารถทาทาบุหงาราไปกล่ินต่าง ๆ และสร้างสรรค์ช้ินงานในรูปแบบถุงหอมวิฬาร์สาเหร่ พร้อมต้ังชอื่ โดยใช้คาคลอ้ งจอง และแตง่ คาประพันธป์ ระเภทกาพยเ์ หป่ ระกอบ ๕. สามารถนาไปใชป้ ระกอบอาชีพในอนาคต ๖. เป็นประโยชน์ต่อผ้ทู ส่ี นใจและสามารถนาไปเผยแพรเ่ ป็นความรูต้ ่อไป

ห น้ า | 4 บทท่ี ๒ เอกสำรทีเ่ กยี่ วขอ้ ง การศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวข้องในการดาเนินการทาโครงงานบูรณาการ รัญจวนกล่ินวรรณคดีไทย ผจู้ ัดทาขอกล่าวตามลาดับดังตอ่ ไปนี้ ๑. ความหมายของบุหงาราไป ๒. วธิ ีการทาบุหงาราไป ๓. วิธกี ารผสมหัวน้าหอม ๔. ความหมายของวรรณคดี ๕. วรรณคดีท่เี กย่ี วข้องกบั บหุ งาราไป ๖. การแต่งกาพย์เห่ ๗. แมววฬิ าร์กรุงเทพ ๘. ต้นโคลงเคลง หรอื ตน้ สาเหร่ ๙. ความหมายของแบบสารวจ หรอื แบบสอบถาม ๑๐. ประเภทของแบบสารวจ หรือแบบสอบถาม ๑๑. หลักเกณฑใ์ นการสร้างแบบสอบถาม ๑๒. ขอ้ ดี และข้อเสยี ของแบบสอบถาม ๑๓. ความหมายของความพึงพอใจ ๑. ควำมหมำยของบุหงำรำไป มีผใู้ ห้ความหมายของบุหงาราไปไว้ ซง่ึ สามารถสรุปได้ดังน้ี พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พทุ ธศักราช 2525 หมายถงึ ดอกไม้ชนดิ ตา่ ง ๆ ทีป่ รงุ ดว้ ยเครื่อง หอม บรรจใุ นถงุ ผา้ โปรงเล็ก ๆ ทาเป็นรูปตา่ ง ๆ พจนานุกรมราชบณั ฑิตยสถาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒ ไดใ้ ห้ความหมายคาว่า บุหงาราไปไวว้ า่ น. ดอกไม้ ทปี่ รุงดว้ ยเครื่องหอมแลว้ บรรจใุ นถงุ ผา้ โปรง่ เลก็ ๆ ทาเปน็ รูปรา่ งตา่ ง ๆ ,มักเรยี กย่อ ๆ วา่ บุหงา. (ช.). พจนานกุ รมราชบณั ฑติ ยสถาน พุทธศักราช ๒๕๕๔ ได้ใหค้ วามหมายคาวา่ บหุ งาราไปไวว้ ่า น. ดอกไม้ ชนิดต่าง ๆ มีมะลิ กระดังงา กุหลาบ เป็นต้น ท่ีปรุงด้วยเครื่องหอมแล้วบรรจุในถุงผ้าโปร่งเล็ก ๆ ทาเป็นรูป ตา่ ง ๆ ,มักเรียกยอ่ ๆ วา่ บุหงา. (ช.). สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้กล่าวถึงความหมายของบุหงาราไป ไว้ในคา นาของหนงั สือ บหุ งาราไป มีความโดยสรปุ ว่า เป็นสงิ่ ประดษิ ฐ์จากดอกไมส้ ารพัน นอกจากน้ยี ังมผี ้ใู หค้ วามหมายของบุหงาราไปไว้อกี วา่ บหุ งาราไปเป็นคาทีไ่ ทยเรารบั มาจากชวา บหุ งา หมายถึง ดอกไม้ ราไป หมายถงึ เบ็ดเตลด็ บุหงาราไปจึงมคี วามหมายวา่ ดอกไมต้ า่ ง ๆ ดอกไม้หลายชนิด

ห น้ า | 5 จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า บุหงาราไป หมายถึง การนาดอกไม้หลาย ๆ ชนิดมาปรุงด้วย เครื่องหอมแล้วใส่ลงในถงุ ผา้ โปรง่ ให้สวยงาม มที ม่ี าจากภาษาชวามลายทู แ่ี ปลวา่ ดอกไมห้ ลาย ๆ ชนดิ ๒. วธิ ีกำรทำบหุ งำรำไป มีผู้กลา่ วถึงวธิ กี ารทาบุหงาราไปไวห้ ลายแบบ ซง่ึ มีความคลา้ ยคลงึ กัน ทางผจู้ ดั ทาจึงได้สรุปแตล่ ะวิธีไว้ ดังน้ี วธิ ที ่ี ๑ คิดค้นโดย คุณฉวีวรรณ ธิติมงคล เจ้าของรา้ นเครือ่ งหอมฉวีวรรณ ได้ให้วิธีทาไวด้ งั น้ี วตั ถุดบิ : ๑. ดอกไมช้ นิดตา่ ง ๆ จะมกี ลนิ่ หอมหรอื ไม่กไ็ ด้ ๒. กายาน ๓. ผิวมะกรดู แหง้ ๔. นา้ ตาลทรายแดง ๕. พิมเสนบดละเอียด ๖. เทียนอบ ๗. กลน่ิ นา้ ปรงุ อุปกรณ์ : ๑. ทวน (ใชส้ าหรับใสต่ ะกรนั ) ๒. ตะกรนั (สาหรับเผากายาน และใสเ่ ทยี นอบ) ๓. โถอบ (ควรเปน็ เคร่ืองเคลือบมฝี าปดิ มดิ ชดิ ) ๔. เตาถ่าน (สาหรบั เผาตะกรัน) วธิ ีทา : ๑. นาดอกไม้ตัดแต่ง แลว้ ผ่งึ ลมประมาณ ๑ สปั ดาห์ จนแหง้ สนิท ๒. ผสมดอกไมแ้ หง้ เขา้ ด้วยกนั ๓. นาดอกไม้ไปอบด้วยกายาน และควันเทียน โดยในการอบกายานให้นา กายาน ผสมกบั ผวิ มะกรูดแหง้ และน้าตาลทรายแดงในอตั ราสว่ นทเี่ ท่ากัน จากน้ันนาตะกรัน ที่เผาจนร้อนต้ังบนทวน ที่ว่างในโถอบ แล้วจึงใส่กายานท่ีผสมแล้วลงบนตะกรัน จากน้ันปิดฝาโถอบ ท้ิงไว้ ๒ ช่ัวโมง แล้วจึงอบด้วยควันเทียนต่อในระยะเวลาเทา่ กนั จะอบกี่ครั้งก็ไดจ้ นกวา่ จะได้กลน่ิ ตามทต่ี ้องการ ๔. เมอ่ื ครบเวลาแลว้ เปดิ ฝาคนกลีบดอกไมแ้ หง้ ให้เขา้ กนั แล้วจงึ โรยพิมเสนบดลงใน โถอบแลว้ เคล้าใหเ้ ขา้ กนั ๕. นาดอกไม้แห้งที่ได้มาเคล้ากับน้าปรุงท่ีเตรียมไว้ ทิ้งไว้ให้กลิ่นซึมเข้าไปในกลีบ ดอกไม้ประมาณ ๕ – ๑๐ นาที เปน็ อันเสรจ็ การทาบุหงาราไป วิธีท่ี ๒ คิดค้นโดย คุณโสภาพรรณ อมตะเดชะ อาจารย์ประจาภาควิชาคหกรรมศาสตร์ วิทยาลัย ราชภัฏสวนดุสิต ไดใ้ หว้ ิธีทาไวด้ ังน้ี วตั ถุดบิ : ๑. ดอกไมช้ นิดต่าง ๆ จะมกี ลิน่ หอมหรอื ไมก่ ็ได้ ๒. เทยี นอบ

ห น้ า | 6 ๓. กลน่ิ น้าปรุง อปุ กรณ์ : ๑. ทวน (ใชส้ าหรบั ใสต่ ะกรัน) ๒. ตะกรนั (สาหรับใสเ่ ทียนอบ) ๓. โถอบ (ควรเป็นเคร่ืองเคลือบมีฝาปดิ มิดชดิ ) วิธีทา : ๑. นาดอกไม้ตดั แตง่ แล้วผงึ่ ลมประมาณ ๑ สัปดาห์ จนแห้งสนทิ ๒. ผสมดอกไมแ้ ห้งเขา้ ดว้ ยกัน ๓. นาดอกไมไ้ ปอบด้วยควันเทียน ๕ ครง้ั คร้งั ละครงึ่ ช่ัวโมง ๔. เมอ่ื ครบเวลาแลว้ เปดิ ฝาคนกลีบดอกไม้แหง้ ให้เขา้ กนั ๕. นาดอกไม้แห้งท่ีได้มาเคล้ากับน้าปรุงท่ีเตรียมไว้ อบประมาณ ๓ ครั้ง ใช้เวลาคร้ัง ละ ๒ วันเป็นอันเสรจ็ การทาบหุ งาราไป โดยสรุปแล้วการทาบุหงาราไปท้ัง ๒ วิธีมีความคล้ายคลึงกัน โดยวิธีหลัก ๆ คือ การผ่ึงดอกไม้ต่าง ๆ ให้แหง้ ด้วยลม จากนน้ั นามาอบดว้ ยควันเทยี น แล้วจึงเคลา้ ด้วยน้าปรุง ท้ิงไวใ้ หเ้ ข้าท่ี เปน็ อนั เสร็จส้นิ วิธีการทา บุหงาราไป ๓. วธิ กี ำรผสมหัวนำหอม จากการสอบถามวิธีการผสมหัวน้าหอมจากคุณบุญชัย เหล่าตระกูล เจ้าของร้านน้าหอมบุญชัย ไดใ้ ห้ขอ้ มูลในการผสมหัวนา้ หอมไวด้ งั นี้ วัตถุดบิ : ๑. เอทลิ แอลกอฮอล์ ๒. มัสก์ (ตวั ตรงึ กลิน่ ) ๓. หัวนา้ หอม หรอื น้ามันหอมระเหยชนดิ ตา่ ง ๆ อุปกรณ์ : ๑. ขวดมฝี าปดิ ๒. กระบอกสูบสาหรบั ฉีดยา พร้อมเข็ม วธิ ที า ๑. นาเอทิลแอลกอฮอล์ผสมกับมัสก์ในอัตราส่วน ๓ ต่อ ๑ (เอทิลแอลกอฮอล์ ๓ ส่วน : มัสก์ ๑ สว่ น) ทิ้งไว้ ๒ วนั ๒. นาส่วนผสมที่ได้ในข้อ ๑ มาผสมกับหัวน้าหอม หรือน้ามันหอมระเหย ในอัตราส่วน ๓ ต่อ ๑ (ส่วนผสมข้อ ๑ ๓ ส่วน : หัวน้าหอม หรือน้ามันหอมระเหย ๑ ส่วน) คนใหเ้ ข้ากนั เปน็ อันเสรจ็ วธิ ีการผสมน้าหอม

ห น้ า | 7 ๔. ควำมหมำยของวรรณคดี มีผใู้ ห้ความหมายของวรรณคดีไวห้ ลากหลาย ซ่ึงสามารถสรุปได้ดงั น้ี พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายคาว่า วรรณคดี ไว้ว่า น. วรรณกรรมท่ีได้รับการยกย่องว่าแต่งดี มีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ถึงขนาด เช่น พระราชพิธีสิบสองเดือน มทั นะพาธา สามก๊ก เสภาเร่อื งขนุ ชา้ งขนุ แผน. สารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน เล่มท่ี ๒๔ เร่ืองที่ ๑ วรรณคดีมรดก ได้กล่าวถึงความหมายของคาว่า วรรณคดี ไว้วา่ \"วรรณคด\"ี หมายถึง หนังสือทีไ่ ด้รบั การยกย่องว่าแต่งดี ในทน่ี ีจ้ ะไม่นาความหมายเชิงวิชาการ วรรณคดีสากลมาใช้ เพราะมีความเหลื่อมล้ากับความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน สว่ นคุณสมบัตขิ องวรรณคดีนั้น ท้งั ไทยและสากล จะมีคณุ สมบัติเหมือนกัน สรุปไดด้ งั น้ี ๑. มเี นือ้ หาและรูปแบบทีเ่ หมาะสม ไม่ว่าจะเป็นนิทาน นยิ าย บทละคร นวนิยาย ฯลฯ ๒. มศี ิลปะการใช้ภาษาอย่างประณตี ๓. แสดงความนึกคิดที่เฉียบแหลมของผู้แต่ง สอดแทรกประสบการณ์ชีวิต และให้ความรู้ ในเรอื่ งสามญั ของคนทีไ่ ดร้ ับการศึกษา ๔. แสดงพัฒนาการทางอารมณ์ของผู้แต่งอย่างสูง ท้ังด้านความรัก ความทุกข์ ความสุข ความผิดหวงั ฯลฯ ๕. มีคุณค่าทางประวัติวรรณคดี แสดงให้เห็นการแปรเปลี่ยนตามกาลสมัยของการแต่ง วรรณกรรม ๖. มีคุณค่าทางประวัติภาษา แสดงให้เห็นการแปรเปล่ียนตามกาลสมัยของภาษา และการใชภ้ าษา หนังสือใดท่ีมีคุณสมบัติ ๖ ประการดังกล่าว จะได้รับยกย่องจากผู้ท่ีศึกษา และสนใจ ในศิลปะ ทางวรรณคดีว่า สมควรรักษาไว้เป็นมรดกวัฒนธรรมของชาติ วรรณคดีไทยท่ีได้รับการยกย่องอย่างต่อเนื่อง มา ตั้งแต่สมัยสุโขทัย จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน ล้วนมีคุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ และด้านสังคม ท่ีแสดงให้เห็นค่านิยม และความเชื่อของคนไทย ส่วนการแต่งวรรณกรรมก็ได้มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง ท้ังด้านร้อยกรอง และร้อยแก้ว ผู้แต่งวรรณกรรมร้อยกรองเรียกว่า กวี ส่วนผู้แต่งวรรณกรรมร้อยแก้ว มักจะเรียกว่า ผู้ประพันธ์ หรือจะเรียกตามประเภทของวรรณกรรมก็ได้ เช่น ผู้แต่งวรรณกรรมประเภท บทละครจะเรยี กว่า ผู้แต่งบทละคร ผแู้ ตง่ นวนิยายหรอื เรอื่ งสั้นเรียกว่า ผแู้ ตง่ นวนยิ าย พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงษ์ประพันธ์ กล่าวถึงความหมายของวรรณคดีไว้ว่า วรรณคดี คือสง่ิ สุนทร เสฐียรโกเศศ ได้ให้ความหมายของวรรณคดไี ว้ว่า วรรณคดีคือความรู้สกึ นึกคิดของกวี ซ่ึงถอดออกมา จากจิตใจใหป้ รากฏเปน็ รูปหนงั สอื มีถ้อยคาเหมาะเจาะเพราะพริง้ เร้าใจผอู้ า่ นหรอื ผู้ฟงั เกิดความร้สู ึก ร่ืนฤทัย สัจจพันธุ์ ได้ให้ความหมายของวรรณคดี ซ่ึงสามารถสรุปได้ว่า เป็นคาท่ีเกิดขึ้นใหม่ จากคาภาษาอังกฤษว่า literature โดยประกาศใช้เปน็ ทางราชการครงั้ แรกในพระราชกฤษฎีกาวรรณคดีสโมสร

ห น้ า | 8 เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ โดยหนังสือที่วรรณคดีสโมสรกล่าวว่าเหมาะสมกับการเป็นวรรณคดี คือ เป็นหนังสือดี เนื้อเร่ืองมีแก่นสาร มีประโยชน์ ไม่ก่อความขัดแย้ง และแต่งดี หนังสือที่แต่งและเรียบเรียง เป็นอยา่ งดี ถกู ตอ้ งตามหลักภาษาตามยุคตามสมัย โดยสรุป วรรณคดี หมายถึง งานเขียนที่ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เรื่องดีมีประโยชน์ ไม่ก่อความขัดแย้ง และแต่งดี มีคุณค่าทางด้านวรรณศลิ ป์ ใช้ภาษาได้อยา่ งไพเราะงดงาม ถูกต้องตามหลักการ ใชภ้ าษาไทย ๕. วรรณคดที เ่ี ก่ียวข้องกับบุหงำรำไป จากการสารวจเน้ือหาวรรณคดี และสอบถามผรู้ ู้ พบวา่ วรรณคดีท่เี กย่ี วขอ้ งกับบุหงาราไปมที ้ังหมด ๓ เรื่อง คือ ๑. กาพยเ์ หเ่ รือ เจา้ ฟ้าธรรมธิเบศร์ ๒. บทละคร อิเหนา พระราชนพิ นธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลัย ๓. นิทานคากลอน เร่ือง พระอภยั มณี ของสนุ ทรภู่ โดยแต่ละเร่อื งมีรายละเอียดพอสรุปไดด้ ังน้ี ๑. กำพยเ์ หเ่ รือ เจำ้ ฟำ้ ธรรมธเิ บศร์ ผูแ้ ต่ง : เจา้ ฟา้ ธรรมธิเบศร์ ไชยเชษฐสุริยวงศ์ สมัย : อยธุ ยาตอนปลาย ลกั ษณะคาประพนั ธ์ แต่งเป็นกาพย์เห่เรือ โดยเปิดด้วยโคลงสี่สุภาพจานวน ๑ บท ตามด้วยกาพย์ยานี ๑๑ เพอ่ื ขยายความก่บี ทก็ได้ แต่ไม่ควรตา่ กวา่ ๒ บท วตั ถุประสงค์ในการแต่ง แต่งข้ึนเพื่อใช้ในการเห่เรือของพระองค์เอง ในครั้งตามเสร็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทางชลมารค เน้ือหา แบ่งเป็น ๗ สว่ น คือ บทเหช่ มกระบวนเรอื ชมปลา ชมไม้ ชมนก บทเหค่ รวญ บทเห่สงั วาส และบทเห่กากี โดยในบทเห่ชมกระบวนเรือน้ัน มีเน้ือหาเกี่ยวกับกระบวนเรือพระท่ีน่ังว่ามีเรือชนิดใดบ้าง จัดเรียงกันอย่างไร ในบทเห่ชมปลาจะกล่าวถึง การชมปลาท่ีอยู่ในลาคลอง สลับกับการกล่าวถึง นางอนั เป็นทร่ี ัก เช่นเดียวกับการเห่ชมไม้ และชมนก ทีช่ มธรรมชาติโดยรอบทงั้ ต้นไม้ ดอกไม้ และนก สลับกับการกล่าวถึงนางอันเป็นท่ีรัก ในบทเห่ครวญ และเห่สังวาสนั้น จะกล่าวถึงความโศกเศร้า ที่ต้องจากนางอันเป็นที่รักมา สุดท้ายบทเห่กากี กล่าวถึงนิทานชาดกเรื่องกากี ในตอนที่พญาครุฑ มาลกั เอานางกากีไปจากพระเจ้าพรหมทัต เปน็ ต้น

ห น้ า | 9 ๒. บทละคร อเิ หนำ พระรำชนิพนธใ์ นพระบำทสมเด็จพระพุทธเลิศหลำ้ นภำลัย ผ้แู ตง่ : พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั สมัย : รัตนโกสินทร์ ลักษณะคาประพันธ์ กลอนบทละคร มีคลา้ ยคลงึ กับกลอนแปด หรือกลอนสุภาพ แตม่ จี านวนคาในแตล่ ะวรรค นอ้ ยกวา่ โดยนยิ มวรรคละ ๖ – ๘ คา วตั ถปุ ระสงคใ์ นการแต่ง แต่งขึ้นเพื่อใชใ้ นเปน็ บทละคร สาหรับแสดงเปน็ ละครใน เนอ้ื หา ในชวาสมัยโบราณ มีกษัตริย์ปกครองเมืองใหญ่เมืองน้อย กษัตริย์วงศ์เทวาซ่ึงถือว่า เป็นชาติตระกูลสูงสุด ด้วยสืบเชื้อสายมาจากเทวดา ใช้คานาหน้าพระนามว่า ระเด่น ส่วนกษัตริย์ นอกวงศ์นั้น ใช้คาว่า ระตู เริ่มต้นบทละครเรอื่ งน้ี กล่าวถึงกษัตริย์วงศ์ 4 องค์ ต่างเป็นพี่น้องร่วมบิดา มารดา ทรงพระนามว่าทา้ วกุเรปัน ทา้ วดาหา ท้าวกาหลงั ท้าวสิงหัดสา่ หรี ครองเมอื ง 4 เมือง ซึ่งมชี ื่อ เช่นเดียวกับพระนามกษัตริย์ ทุกพระองค์ต่างก็มีมเหสี 5 องค์ ตามประเพณี เรียงลาดับศักด์ิ คือ ประไหมสุหรี มะเดหวี มะโต ลิกู และเหมาหลาหงี ประไหมสุหรีของท้าวกุเรปันและท้าวดาหานั้น เป็นธิดาของกษัตริย์หมันหยาเมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่ง จึงทาให้เมืองหมันหยามีความเก่ียวดองกับ กษัตรยิ ว์ งศ์เทวามากข้ึน ท้าวกเุ รปันมีโอรสกับลิกูองค์หน่ึงทรงพระนามว่า กระหรดั ตะปาตี ซง่ึ ได้หมั้น ไว้กับบษุ บารากา ธิดาของท้าวกาหลงั ซึ่งเกิดจากลิกู ตอ่ มาพระองคป์ รารถนาจะใหป้ ระไหมสุหรีมีโอรส บ้าง จึงได้ทาพิธีบวงสรวง ก่อนประไหมสุหรีทรงครรภ์ก็ได้สุบินว่าพระอาทิตย์ทรงกลดลอยมา ตกตรงหน้า และนางรับไว้ได้ เมือประสูติก็เกิดอัศจรรย์ต่าง ๆ เป็นนิมิตดี องค์ปะตาระกาหลา ซ่ึงเป็นเทวดาต้นวงศ์บนสวรรค์ เหาะนากริชมาประทานให้ พร้อมท้ังจารึกนามโอรสด้วยว่า อิเหนา ต่อมาประไหมสุหรีได้ธิดาอีกหนึ่งองค์ พระนามว่า วิยะดา ฝ่ายท้าวดาหา ประไหมสุหรีก็ประสูติธิดา ไดพ้ ระนามว่า บุษบา ขณะประสตู กิ ็เกดิ อัศจรรย์ก็มี กลิ่นหอมตลบท่ัวเมอื ง หลังจากประสูติบุษบาแล้ว ประไหมสุหรีก็ประสูติโอรสอีก พระนามสียะตรา ท้าวกาหลังมีธิดา พระนามสะการะหนึ่งหรัด ท้าวสิงหัดส่าหรีมีโอรส พระนามสุหรานากง และธิดาพระนาม จินดาส่าหรี กษัตริย์ในวงศ์เทวาจึงได้ จัดให้มีการตุนาหงันกันขึ้น ระหว่างโอรสและธิดาในวงศ์เดียวกันโดยให้ อิเหนาหมั้นไว้กับบุษบา กระหรัดตะปาตีกับบุษบารากา สียะตรากับวิยะดา สุหรานากงกับสะการะหน่ึงหรัด แต่ก่อนจะมี การแต่งงาน ความยุ่งยากก็เกิดข้ึน จุดเร่ิมต้นที่เป็นปัญหาหรืออุปสรรคท่ีทาให้ตัวละครประกอบ ความยุ่งยาก และเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมายอันเป็นการดาเนินเร่ือง ของบทละครเร่ืองนี้ เกิดจาก อัยยิกาของอิเหนาท่ีเมืองหมันหยาส้ินพระชนม์ อิเหนาจึงเสด็จไปในงานพระเมรุแทนท้าวกุเรปัน แต่เสร็จพิธีแล้วอิเหนาไม่ยอมกลับ เพราะหลงรักนาง จินตะหรา ธิดาท้าวหมันหยา จนท้าวกุเรปัน ต้องมีสารไปเตือน เม่ือกลับมากรุงกุเรปันแล้วและใกล้เวลาอภิเษกกับบุษบา อิเหนาก็ไม่ใคร่เต็มใจ จึงออกอุบายทูลลา พระบิดาไปประพาสป่า แล้วปลอมองค์เป็น ปันหยีหรือโจรป่า นามว่า

ห น้ า | 10 มิสาระปันหยีคุมไพร่พลรุกรานเมืองต่าง ๆ เมื่อเสด็จไปถึงเมืองใดก็ได้เมืองน้ันเป็นเมืองขึ้ น ระตูหลายเมืองได้ถวายโอรสและธิดาให้ ที่สาคัญคือระตูปันจะรากันและระตูปักมาหงัน ได้ถวายธิดา คือมาหยารัศมี และสะการวาตี ซึ่งต่อมาได้เป็นชายาของอิเหนา และถวายโอรส คือ สังคามาระตา ซึ่งอิเหนายกย่องให้เป็นน้อง และเป็นทหารคู่ใจ กองทัพของปันหยีรอนแรมไปจนถึงเมืองหมันหยา ท้าวหมันหยาไม่กล้าต่อสู้ และยอมยกธิดาให้ แต่พอรู้ว่าเป็นอิเหนา ท้าวหมันหยาไม่ยอมปฏิบัติ ตามสัญญา อิเหนาจงึ ลอบเข้าหานางจนิ ตะหรา และไดเ้ สียกัน ท้าวหมนั หยากไ็ มส่ ามารถแก้ไขอะไรได้ พอถึงกาหนดการอภิเษกท้าวดาหาก็มีสารถึงท้าวกุเรปันให้เตรียมพิธีอภิเษก แต่อิเหนาบอกปัด ทาให้ท้าวดาหาโกรธมาก จึงประกาศจะยกบุษบาให้กับใครก็ได้ท่ีมาขอ เพราะฉะน้ันเมื่อระตูจรกา กษัตริย์รูปช่ัวตัวดา ให้พ่ีชายคือระตูล่าสาไปสู่ขอบุษบาให้ตน ท้าวดาหาก็ยอมยกให้ ต่อมาท้าวกระหมังกุหนิง ส่งทูตมาสู่ขอบุษบาให้วิหยาสะกาซ่ึงเป็นโอรส แต่ท้าวดาหาปฏิเสธ เพราะได้ยกให้ระตูจรกาไปแล้ว เป็นเหตุให้ท้าวกะหมังกุหนิงโกรธ และยกกองทัพมาล้อมเมืองดาหา ท้าวดาหาจึงขอกาลังจากพระเชษฐา และพระอนุชา ท้าวกุเรปันมีคาสั่งให้อิเหนาไปช่วยรบ อิเหนาจึงจาใจต้องจากนางจินตะหรา และยกกองทัพไปช่วยรบ การศึกคร้ังน้ีอิเหนามีชัยชนะ ท้าวกะหมังกุหนิงถูกอิเหนาฆ่าตาย และโอรส คือ วิหยาสะกาถูกสังคามาระตาฆ่าตาย กองทัพ ท่ีล้อมเมืองดาหาก็แตกพ่ายไป เม่ือชนะศึกแล้ว อิเหนาก็ได้เข้าเฝ้าท้าวดาหา และได้พบกับบุษบา อิเหนาได้เห็นความงามของบุษบาก็หลงรัก และเสียดาย พยายามหาอุบายอยู่ในเมืองดาหาต่อไป และพยายามหาโอกาสใกล้ชิดบุษบา โดยอาศัยสียะตราเป็นสื่อรัก อิเหนาพยายามหาวิธีการทุกทาง เพ่ือจะได้บุษบาเป็นของตน เช่นตอนท่ีท้าวดาหาไปใช้บนท่ีเขาวิลิศมาหรา อิเหนาได้แอบสลักสาร บนกลีบดอกปะหนัน (ลาเจียก) ให้นางแอบเข้าไปในวิหารพระปฏิมา ตรัสตอบคาถามแทนพระปฏิมา ต้อนค้างคาวมาดับไฟแล้วแอบมากอดนาง ตลอดจนคาดค้ันมะเดหวีให้ช่วยเหลือตน เป็นต้น และเม่ือท้าวดาหาจะจัดพิธีอภิเษกระหว่างบุษบากับระตูจรกา อิเหนาก็ใช้วิธีการสุดท้าย โดยการทาอุบายเผาเมือง แล้วลอบพานางบุษบาหนีออกจากเมืองไปซ่อนในถ้าท่ีเตรียมไว้ และได้นางเป็นมเหสี หลังจากอิเหนากับบุษบาเข้าใจกันแลว้ ก็เกิดความยุ่งยากใหม่ข้ึนกับตัวละครอีก เพราะองค์ปะตาระกาหลาทรงพิโรธอิเหนาที่ก่อเหตุวุ่นวายมาตลอด จึงดลบันดาลให้ลมหอบ เอานางบุษบาพร้อมพี่เล้ียงสองนางไปตกในเมืองปะมอตัน ขณะที่อิเหนาเข้าไปในเมืองดาหา เพื่อแกส้ งสยั อิเหนากลับมาไม่พบบุษบาก็ปลอมองค์เปน็ ปนั หยีออกตามหา พร้อมกบั นาวิยะดาไปด้วย กับตน โดยให้ปลอมเป็นปันหยีชื่อ เกนหลงหนึ่งหรัด ผ่านเมืองใดก็รบพุ่งเอาไปเป็นเมืองข้ึนไปตลอด รายทาง จนถึงเมืองกาหลัง จึงได้เข้าไปขอพักอาศัยอยู่ด้วย ส่วนบุษบาหลังจากลมหอบไปยัง เมืองปะมอตันแล้ว องค์ปะตาระกาหลาก็สาแดงตนบอกเล่าเร่ืองราวให้ทราบว่า น่ีเป็นการลงโทษ อิเหนา ท้ังสองจะต้องผจญความลาบากอยู่ระยะหน่ึง จึงจะได้พบกันองค์ปะตาระกาหลาได้แปลงตัว บุษบาให้เป็นชาย มอบกริชจารึกพระนามว่า มิสาอุณากรรณให้มีความสามารถทางการรบ หลงั จากนน้ั อุณากรรณเดินทางเข้าเมืองปะมอตัน ท้าวปะมอตนั รบั เล้ยี งไวเ้ ป็นโอรส ต่อมาอณุ ากรรณ กับพี่เล้ียงก็ยกพลออกเดินทางเพื่อตามหาอิเหนา ผ่านเมืองใดเจ้าเมืองไม่อ่อนน้อมก็รบพุ่งได้ชัยชนะ

ห น้ า | 11 หลายเมือง จนกระทั่งถึงเมืองกาหลัง ได้พบกับปันหยี ทั้งสองฝ่ายต่างก็แคลงใจว่าอีกฝ่าย คือ บุคคลที่ตนเท่ียวหา แต่ก็ไม่กล้าเปิดเผยตัว ได้แต่สังเกต และคุมเชิงกันอยู่ท่ีเมืองกาหลัง ปันหยี และอุณากรรณได้เข้าอ่อนน้อมต่อท้าวกาหลัง ท้าวกาหลังก็ทรงโปรดท้ังสองเหมือนโอรส ต่อมามีศึก มาประชิดเมือง เพราะท้าวกาหลังไม่ยอมยกธิดา คือ สะการะหนึ่งหรัดให้ ปันหยี และอุณากรรณ อาสารบ และสามารถชนะศึกได้อย่างง่ายดาย เหตุการณ์นี้ทาให้ปันหยี อุณากรรณ และสะการะหนง่ึ หรดั ใกล้ชิดสนดิ สนมกันมากยิ่งขน้ึ ทาใหอ้ ณุ ากรรณกลัวความจะแตกว่านางเป็นหญิง กอปรกับต้องการติดตามหาอิเหนาต่อไป จึงทูลลาท้าวกาหลังกลับเมืองปะมอตัน แต่นางออกอุบาย ให้ทหารกลับเมืองตามลาพัง ส่วนนางกับพ่ีเลี้ยงหนีไปบวชชี (แอหนัง) เพื่อหาทางหลบหนี การตามพัวพันของปันหยี ฝ่ายสียะตราแห่งเมืองดาหา คร้ันทาพิธีโสกันต์เสร็จก็แอบหนีพระบิดา ปลอมตัวเป็นปัจจุเหร็จโจรป่าช่ือ ย่าหรัน ออกเดินทางหาอิเหนา และบุษบา องค์ปะตาระกาหลา แปลงเป็นนกยูงมาล่อย่าหรันไปถึงเมืองกาหลังได้เข้าเฝ้า และพานักอยู่ในเมือง ต่อมาย่าหรัน และปันหยีเกิดต่อสู้กัน เพราะเกนหลงหนึ่งหรัดเป็นต้นเหตุ ในท่ีสุดอิเหนา และสียะตราก็จากันได้ เพราะมองเห็นกริชของกัน และกัน ต่อมาปันหยีทราบว่ามีแอหนังบวชบนภูเขา รูปงามละม้ายบุษบา จึงออกอุบายปลอมตัวเป็นเทวดาหลอกนางมายังเมืองกาหลัง เม่ือปันหยีพิศดูนางก็ยิ่งละม้าย นางบุษบา แต่พอเห็นกริชของนาง ชื่ออุณากรรณ ก็เข้าใจว่านางเป็นชายาของอุณากรรณ ฝ่ายพี่เลี้ยง ของปันหยีคิดเล่นหนังทดสอบแอหนัง โดยผูกเรื่องตามชีวิตจริงของอิเหนากับบุษบาทุก ๆ ตอน นางแอหนังฟงั เร่ืองราวก็ร้องไห้ครา่ ครวญ ทัง้ สองฝา่ ยจงึ จากนั ได้ อเิ หนาจึงให้นางสกึ จากชี ระเดน่ ทง้ั สี่ คือ อิเหนา บุษบา สียะตรา และวิยะดา จึงพบกัน และจากันได้หลังจากดั้นด้นติดตามกัน โดยปราศจากทิศทาง (มะงุมมะงาหรา) เสียนาน กษัตริย์วงศ์เทวาได้มาพร้อมกัน ณ เมืองกาหลัง หลังจากทราบเร่ือง และเข้าใจกันดีแล้ว จึงได้มีการอภิเษกสมรสกันข้ึนระหว่างคู่ตุนาหงันในวงศ์เทวา พร้อมทั้งอภิเษกธิดาระตูอื่น ๆ เป็นมเหสีกษัตริย์วงศ์เทวาจนครบตาแหน่ง เช่น อิเหนาอภิเษกกับ บุษบา และจินตะหรา โดยบุษบาเป็นประไหมสุหรีฝ่ายซ้าย จินตะหราเป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวา สะการะวาตีเป็นมะเดหวีฝ่ายขวา มาหยารัศมีเป็นมะเดหวีฝ่ายซ้าย บุษบาวิลิศเป็นมะโตฝ่ายขวา บุษบากนั จะหนาเป็นมะโตฝ่ายซ้าย ระหนากะระติกาเป็นลิกฝู ่ายขวา อรสานารเี ปน็ ลกิ ฝู ่ายซ้าย สหุ รนั กันจาส่าหรี เป็นเหมาหลาหงีฝ่ายขวา หยางหยาเป็นเหมาหลาหงีฝ่ายซ้าย สียะตราอภิเษกกับวิยะดา สุหรานากงกับสะการะหน่ึงหรัด กะหรัดตะปาตีกับบุษบารากา สุหรานากงครองเมืองสิงหัดส่าหรี กะหรัดตะปาตีครองเมอื งกาหลงั เปน็ ตน้ ๓. นทิ ำนคำกลอน เรอื่ ง พระอภยั มณี ของสุนทรภู่ ผแู้ ต่ง : สุนทรภู่ สมยั : รตั นโกสินทร์ ลักษณะคาประพันธ์ กลอนบทนิทาน มีคล้ายคลึงกับกลอนแปด หรือกลอนสุภาพ แต่มีจานวนคาในแต่ละวรรค น้อยกว่า โดยนิยมวรรคละ ๖ – ๘ คา

ห น้ า | 12 วตั ถุประสงค์ในการแต่ง แต่งขน้ึ เพอื่ เป็นนิทานให้ความสนุกสนานเพลิดเพลนิ พร้อมแฝงคติสอนใจ เน้อื หา ท้าวสุทัศน์และพระนางประทุมเกสร ผู้ครองกรุงรัตนา มีพระโอรสสององค์ คือ พระอภัยมณี และศรีสุวรรณ ได้รับสั่งให้โอรสท้ังสองไปเรียนศิลปวิทยา ในท่ีสุดพระอภัยมณีได้เรียนวิชาป่ี ขณะที่ศรีสุวรรณได้เรียนวิชากระบ่ีกระบอง เมื่อสาเร็จวิชา ก็ได้กลับคืนพระนคร ทว่าพระบิดา ทรงกรว้ิ ดว้ ยพระโอรสไปเรยี นวิชาชัน้ ต่า ไมค่ ู่ควรแก่กษตั รยิ ์ จึงไลท่ ัง้ สองออกจากพระนคร ท้ังสองเดินทางมาถึงชายทะเล ได้พบกับสามพราหมณ์คือ โมรา สานนท์ และวิเชียร ไดส้ มคั รเป็นมติ รกนั แล้วพระอภัยมณเี ปา่ ป่ีให้คนท้ังหมดฟัง ทั้งหมดเคลิบเคลิ้มตามเพลงปี่จนหลับไป เพลงป่ีดังไปถึงนางผีเส้ือสมุทรที่อาศัยอยู่ในทะเล เมื่อตามเสียงปี่มาพบพระอภัยมณีก็หลงรัก จึงลักพาตัวพระอภัยมณีไปอยู่กับนางบนเกาะ แล้วจาแลงร่างเป็นหญิงสาวสวยงาม แม้พระอภัยมณี ร้อู ยู่ว่าน่ันคอื นางยักษ์ แตก่ ไ็ มส่ ามารถหนีไปไหนได้ ท้งั สองอยกู่ นิ กันมาจนนางผีเสื้อให้กาเนิดบตุ รชาย คนหนง่ึ ชอ่ื วา่ สินสมุทร ด้านศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์เมื่อต่ืนข้ึนมาไม่พบพระอภัยมณีก็เที่ยวค้นหา จนไปถึง เมืองรมจักรพบศึกติดพัน ศรีสุวรรณกับสามพราหมณ์ช่วยรบป้องกันเมืองได้ ได้พบนางเกษราธิดา ของเจา้ เมอื ง ตอ่ มาศรสี ุวรรณไดอ้ ภิเษกนางเกษรา มีพระธดิ าช่อื นางอรณุ รศั มี วันหนึ่งสินสมุทรออกไปเท่ียวเล่นเจอพ่อเงือกแม่เงือก จึงจับตัวมาให้พระอภัยมณีดู พ่อเงือก แม่เงือกวอนขอชีวิตโดยเสนอจะพาพระอภัยมณีหนี พระอภัยมณีจึงออกอุบายให้นางผีเสื้อไปถือศีล บนเขาสามวัน ระหว่างนั้นเขาก็พาสินสมุทรหนี พ่อแม่เงือกพาพระอภัยมณี และสินสมุทรมาเกือบถึง เกาะแก้วพิสดารแล้ว แต่นางผีเสื้อรู้ตัวติดตามมาทัน จับพ่อแม่เงือกฆ่าเสีย นางเงือกผู้เป็นลูก พาพระอภัยมณีกับสินสมุทรหนีไปจนถึงเกาะแก้วพิสดารได้สาเร็จ บนเกาะน้ีมีพระฤๅษีมีฤทธิ์มาก นางผเี สือ้ จงึ ไม่กล้าทาอะไร ท้ังหมดอาศยั อย่บู นเกาะแกว้ พิสดาร พระอภัยมณไี ดน้ างเงือกเป็นภรรยา ฝ่ายท้าวสิลราชกับพระนางมณฑา ผู้ครองเมืองเมืองผลึก มีพระธิดาองค์เดียวคือ นางสุวรรณ มาลี ทรงเป็นคู่หม้ันอยู่กับอุศเรน เจ้าชายเมืองลังกา วันหนึ่งนางสุวรรณมาลีเกิดนิมิตฝัน โหรทานาย ว่าต้องออกเที่ยวทะเลจะได้พบลาภ ท้ังหมดจึงเดินเรือเท่ียวท่องไป แต่เกิดพายุใหญ่พัดเรือไปถึง เกาะนาควาริน คาทานายของปู่เจ้าทาให้ท้าวสิลราชพากองเรือมุ่งหน้าไปยังเกาะแก้วพิสดาร ไ ด้ พ บ พ ร ะ อ ภั ย ม ณี แ ล ะ รั บ พ ร ะ อ ภั ย ม ณี กั บ สิ น ส มุ ท ร ข้ึ น เ รื อ ไ ป ด้ ว ย เ พ่ื อ อ า ศั ย ก ลั บ บ้ า น เ มื อ ง แต่เมื่อเรือออกจากเกาะ นางผีเส้ือสมุทรก็มาอาละวาดอีกจนเรือแตก ท้าวสิลราชกับบริวารส่วนใหญ่ ส้ินชพี สนิ สมทุ รพานางสวุ รรณมาลหี นีไปได้ พระอภัยมณีเปา่ ปสี่ งั หารนางยักษ์ ทั้งหมดแตกกระจายพลัดพรากจากกัน พระอภัยมณีได้รับความช่วยเหลือจากอุศเรน คู่หมั้นของนางสุวรรณมาลี ท่ีออกเรือมาตามหานางสุวรรณมาลี เพราะหายไปนาน ส่วนสินสมุทร กับนางสุวรรณมาลีได้โจรสุหรั่ง โจรสลัดในน่านน้าน้ันช่วยไว้ได้ แต่โจรคิดทาร้าย สินสมุทรจึงสังหาร โจรแลว้ ยึดเรือมาเอง และได้พบศรีสวุ รรณที่ออกล่องเรือเท่ียวตามหาพช่ี าย ทง้ั หมดเดนิ ทางไปด้วยกัน

ห น้ า | 13 จนมาพบพระอภัยมณีกับอุศเรน สินสมุทรรักนางสุวรรณมาลีอยากได้เป็นแม่ จึงเกิดวิวาทกับอุศเรน พระอภัยมณีไปเมืองผลึกกับนางสุวรรณมาลี และได้ขึ้นครองเมืองแทนท้าวสิลราช อุศเรนแค้น และกลับเมืองลังกายกทัพมาตีเมืองผลึก แต่แพ้อุบายนางวาลีจนสิ้นชีวิต นางละเวงวัณฬา ผู้เป็นน้องสาวคดิ แกแ้ คน้ จึงใช้รูปของตนทาเสนห่ ์สง่ ไปหวั เมืองต่าง ๆ ให้ยกทัพมาตเี มืองผลึก ด้านเกาะแก้วพิสดาร นางเงือกให้กาเนิดบุตรชื่อ สุดสาคร เป็นเด็กฉลาดแข็งแรง วันหนึ่ง สดุ สาครจบั ม้านิลมังกรได้ พระฤๅษสี อนวิชาใหแ้ ลว้ เลา่ เรอ่ื งพระอภยั มณีให้ฟัง สุดสาครจึงออกเดนิ ทาง ตามหาพระอภัยมณีจนไปถึงเมืองการเวก ระหว่างทางถูกชีเปลือยหลอกขโมยไม้เท้า และม้านิลมังกร แตพ่ ระฤๅษีมาชว่ ยไว้ เมอื่ ชงิ ไม้เทา้ และมา้ นิลมังกรคนื มาได้ กเ็ ข้าเมืองการเวก กษตั ริย์เจ้าเมืองรักใคร่ เอ็นดูสุดสาคร จึงเลี้ยงดูเป็นโอรสบุญธรรมอยู่ด้วยกันกับนางเสาวคนธ์ และหัสไชยพระธิดา และพระโอรส จนเติบใหญ่ สุดสาครคิดออกตามหาพ่อ เจ้าเมืองการเวกจึงจัดกองเรือให้ โดยมีนางเสาวคนธ์ และหัสไชยติดตามไปด้วย ทั้งหมดล่องเรือไปถึงเมืองผลึกขณะถูกทัพลังกา และทัพพนั ธมิตรลอ้ มเมอื ง พระอภัยมณี ศรีสุวรรณ สินสมุทร และสุดสาคร ช่วยเมืองผลึกรบจนสามารถเอาชนะ ทัพอ่ืน ๆ ได้ พระอภัยมณีได้รูปวาดนางละเวงท่ีลงเสน่ห์ทาให้เมืองต่าง ๆ พากันยกมารบเมืองผลึก ตามคาขอนางนาง แล้วเกิดต้องมนต์ของนางละเวงเสียเอง พระอภัยมณียกทัพตามไปตีเมืองลังกา แต่รบกันเท่าใดก็ไม่แพ้ชนะเสียที ต่อมาพระอภัยมณีลอบติดรถนางละเวงเข้าไปในวัง เม่ือนางละเวง ได้พบพระอภัยมณีก็ฆ่าไม่ลง กลับหลงรักจนได้เป็นสามีภรรยากัน ส่วนบริวารอื่นของนางละเวง คือนางยุพาผกา ราภาสะหรี และสุลาลีวัน ใช้เสน่ห์กับฝ่ายพระอภัยมณี ได้แก่ ศรีสุวรรณ สินสมุทร และแม้แต่สุดสาครที่ครองตนเป็นฤๅษีก็ต้องมนต์ไปด้วย จนท้ังหมดหลงมัวเมาติดพันอยู่ในลังกา ไม่ยอมกลับเมืองผลึก นางสุวรรณมาลี อรุณรัศมี และเสาวคนธ์จึงมาตาม แต่ไม่เป็นผล จนต้องให้ หัสไชยช่วยแก้เสนห่ ์ให้ลุง และพนี่ ้อง กษัตริย์ทง้ั หมดยอมสงบศึกต่อกัน แต่นางเสาวคนธ์แค้นสุดสาคร จึงหนีไปเมืองวาหโุ ลม สดุ สาครตอ้ งตดิ ตามไปจนภายหลังจึงได้อภิเษกกนั ด้านกรุงรัตนา ท้าวสุทัศน์สิ้นพระชนม์ พระอภัยมณีกับเหล่ากษัตริย์จึงเดินทางไปทาศพ มังคลาบุตรของพระอภัยมณีกับนางละเวงได้ครองเมืองลังกา แต่ถูกบาทหลวงยุแหย่จึงแค้นเคือง เหล่ากษัตริย์ จับตัวนางสุวรรณมาลี และพระญาติมาขังไว้ หัสไชยกับสุดสาครยกทัพมาช่วย แต่ไม่สาเร็จ แม้แต่นางละเวงผู้เป็นมารดาเองก็ห้ามปรามไม่ได้ พระอภัยมณีกับศรีสุวรรณยกทัพ ตามมาจึงเอาชนะศึกได้ จบศึกแล้วพระอภัยมณีอภิเษกโอรสท้ังหลายให้ครองเมืองต่าง ๆ แล้วออกบวชพรอ้ มกับนางละเวง และนางสวุ รรณมาลี สรุป จากการสารวจ และศึกษาวรรณคดีที่มีส่วนเก่ียวข้องกับบุหงาราไป พบว่ามีวรรณคดีจานวน ๓ เรื่อง ทีม่ ีความเกี่ยวขอ้ งดังทก่ี ล่าวไว้ข้างต้น ซงึ่ เป็นวรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนปลายถงึ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้

ห น้ า | 14 ๖. กำรแต่งกำพย์เห่ จากการศกึ ษาหาขอ้ มูลในเร่อื งกาพยเ์ ห่ สามารถสรปุ ขอ้ มูลได้ ดังน้ี กาพยเ์ ห่นั้นเป็นคาประพนั ธ์ชนิดหนึง่ ทมี่ ีจุดประสงค์ในการแต่ง เพื่อใช้ในการเห่ร้องในกิจกรรมต่าง ๆ เชน่ กาพยเ์ หเ่ รือ กาพยเ์ ห่กลอม กาพยเ์ หช่ ม เปน็ ตน้ โดยกาพยเ์ ห่นน้ั ประกอบดว้ ยคาประพนั ธ์ ๒ ชนดิ คือ โคลงสส่ี ภุ าพจานวน ๑ บท และกาพย์ยานี ๑๑ ก่ีบทก็ไดเ้ พ่ือขยายความ เปน็ ตน้ โคลงสีส่ ภุ ำพ เปน็ คาประพันธป์ ระเภทโคลงชนดิ หน่ึง ซงึ่ มีรายละเอียดดังน้ี ลกั ษณะคาประพนั ธ์ - ๑ บทมี ๘ วรรค แบ่งเป็น ๔ บาท บาทที่ ๑ – ๓ วรรคแรกมี ๕ คา วรรคท่ี ๒ มี ๒ คา สว่ นบาทที่ ๔ วรรคแรกมี ๕ คา วรรคท่ี ๒ มี ๔ คา - บังคับคารปู วรรณยุกต์เอก ๗ คา และคารปู วรรณยกุ ตโ์ ท ๔ คา ดงั นี้ บาทท่ี 1 วรรคแรก คาที่ 4 เอก และคาที่ 5 โท บาทที่ 2 วรรคแรก คาที่ 2 เอก วรรคหลงั คาแรก เอก คาที่ 2 โท บาทที่ 3 วรรคแรก คาที่ 3 เอก วรรคหลงั คาที่ 2 เอก บาทที่ 4 วรรคแรก คาที่ 2 เอก คาที่ 5 โท วรรคหลัง คาแรก เอก คาที่ 2 โท - สัมผัสบังคับในคาสุดท้ายของบาทแรกกับคาท่ี ๕ ของบาทท่ี ๒ และ ๓ และคาสุดท้าย ของบาทที่ ๒ กับคาที่ ๕ ของบาทสดุ ท้าย - มคี าสร้อยได้ ๒ ตาแหนง่ คือ ท้ายบาทที่ ๑ และทา้ ยบาทที่ ๓ ฝังคาประพนั ธ์ การใชค้ าแทน การแต่งโคลงทุกชนิดมีการบังคับให้ผู้แต่งใช้คาที่มีรูปวรรณยุกต์เอกและโท แต่มีข้ออนุโลม ในการหาคามาใชแ้ ทนคาท่ีมรี ปู วรรณยกุ ต์เอกและโทได้ดงั นี้ การใชค้ าตายแทนคารปู วรรณยุกต์เอก (ใช้แทนได้ทุกตาแหนง่ ) คำตำย - คาทไี่ มม่ ีตวั สะกดประกอบกบั สระเสียงส้ัน - คาทีม่ ีตัวสะกดอยูใ่ นแม่ กก กบ และ กด (กบด) ***ข้อควรระวัง*** คาท่ีใช้สระ อา ไอ ใอ เอา ถึงแม้จะเป็นสระเสียงสั้น แต่ไม่เป็นคาตาย เน่ืองจาก สระเหล่านม้ี ีเสนี งตัวสะกดท่ไี มใ่ ชแ่ ม่ กก กบ และกด จงึ เป็นคาเปน็ การใช้คาเอกโทษ โทโทษ เป็นการใชก้ ฎการผนั วรรณยกุ ต์ดังนี้ อักษร/วรรณยุกต์ สำมัญ เอก โท ตรี จัตวำ อักษรสูง ข่า ขา้ ขา อกั ษรตา่ คา คา่ ฆ่า คา้

ห น้ า | 15 โดยหากต้องการคาที่ใช้รูปวรรณยุกต์เอก แต่อยู่ในตาแหน่งที่บังคับคารูปวรรณยุกต์โท สามารถเปลย่ี นรปู วรรณยกุ ตแ์ ละพยญั ชนะต้นจากอักษรต่าเปน็ อักษรสูง เช่น ชมพู่ เปน็ ชมผู้ คา่ เปน็ ข้า รา่ ง เปน็ หร้าง เล่า เป็น เหล้า เปน็ ตน้ หากต้องการคาท่ีใช้รูปวรรณยุกต์โท แต่อยู่ในตาแหน่งท่ีบังคับคารูปวรรณยุกต์เอก สามารถเปลีย่ นรูปวรรณยกุ ต์และพยัญชนะตน้ จากอักษรสเู้ ปน็ อักษรต่า เชน่ ให้ เป็น ไฮ่ สร้าง เปน็ ซ่าง ผ้า เปน็ พา่ ฝ้าย เปน็ ฟ่าย ทั้งน้ีกฎข้อน้ีมิได้สนใจความหมายของคา สนใจเพียงรูปวรรณยุกต์และเสียงของคา ๆ นั้นว่าตรงกับ ที่ผู้เขยี นต้องการจะส่ือหรือไม่ การใช้คาสร้อย คาสรอ้ ยเปน็ คาทใี่ ช้เตมิ ลงทา้ ยวรรคบ้าง ทา้ ยบาทบา้ ง ทา้ ยบทบ้าง เพือ่ ความไพเราะ หรือเพอ่ื ทาให้ ขอ้ ความสมบรู ณ์ คาสร้อยทนี่ ยิ มใช้ กนั มาแต่โบราณนัน้ มที ั้งหมด ๑๘ คา ดงั นี้ ๑. พ่อ ใช้ขยายความเฉพาะบคุ คล เช่น ฤทธพิ์ อ่ , น้ีพอ่ , นาพ่อ ฯลฯ ศัตรูหมพู่ าลา พาลพ่าย ฤทธิ์พอ่ ๒. แม่ ใชข้ ยายความ เฉพาะบคุ คล หรอื เป็นคา รอ้ งเรยี ก เชน่ แมแ่ ม่, มาแม่ ฯลฯ แสนศกึ แสนศาสตรซ์ ้อง แสนพัน มำแม่ ๓. พี่ ใช้ขยายความ เฉพาะบคุ คล เป็นสรรพนามบรุ ุษท่ี ๑ หรอื ๒ กไ็ ด้ เชน่ ฤๅพี่ สองเขอื พห่ี ลบั ไหล ลืมต่ืน ฤๅพี่ ๔. เลย ใช้ในความหมาย เชงิ ปฏิเสธ เช่น เรียมเลย, ถึงเลย ฯลฯ ประมาณก่ึงเกศา ฤๅห่าง เรียมเลย ๕. เทอญ มีความหมาย ในเชิงขอใหม้ ี หรือขอให้เป็น เช่น ตนเทอญ ฯลฯ สารพัดเขตจักรพาล ฟังดา่ บลเทอญ ๖. นา ดังน้ัน เชน่ นน้ั จาบาราศบุญเรือง รองบาท พระนำ ๗. นอ มคี วามหมาย เช่นเดียวกบั คาอุทานวา่ 'หนอ' หรือ 'นัน่ เอง' ยอกไหล่ยอกตะโพกปาน ปืนปัก อยนู่ อ ๘. บารนี สร้อยคานี้ นิยมใช้มากในลิลติ พระลอ มคี วามหมายวา่ 'ดังนี้' 'เช่นนี้' กนิ บัวอร่อยโอ้ เอาใจ บำรนี ๙. รา มีความหมาย ละเอียดว่า 'เถอะ' 'เถิด' วานจวนชาระใจ ความทุกข์ พร่ี ำ ๑๐. ฤๅ มีความหมาย เชงิ ถาม เหมือนกบั คาวา่ หรือ มกุฏพิมานมณ ฑิรทพิ ย์ เทยี มฤๅ ๑๑. เนอ มคี วามหมายวา่ ดงั นนั้ 'เช่นนนั้ ' วันรงุ่ แมก่ องทวิ ทศพวก นำยเนอ ๑๒. ฮา มคี วามหมาย เช่นเดียวกบั คาสร้อย นา กวดั เท้าท่ามวยเตะ ตงึ เมือ่ ย หำยฮำ ๑๓. แล มคี วามหมายว่า อย่างน้นั เปน็ เช่นนนั้ กัลยาเคยเชอื่ ไว้ วางใจ มำแล ๑๔. กด็ ี มีความหมาย ทานองเดียวกับ ฉนั ใดก็ฉันนน้ั นทิ านนิเทศท้าว องค์ใด ก็ดี ๑๕. แฮ มคี วามหมายวา่ เป็นอย่างนน้ั นนั่ เอง ทานองเดียว กบั คาสรอ้ ย แล อัชฌาสยั แหง่ สามัญ บุญแต่ง มำแฮ ๑๖.อา สรอ้ ยคาน้ี ไมม่ ีความหมายแนช่ ดั แต่จะวางไว้หลังคาร้องเรยี ก ใหค้ รบพยางค์ เช่น พอ่ อา แม่ อา พีอ่ า หรอื เปน็ คา ออกเสยี งพดู ในเชิง ราพึง แสดงความวิตกกังวล เป็นไฉนจึงดว่ นทิ้ง น้องไป พอ่ี ำ

ห น้ า | 16 ๑๗. เอย ใช้เมือ่ อยู่หลงั คารอ้ งเรียก เหมอื นคาวา่ เอ๋ย หรือวางไว้ ให้คาครบตามบงั คับ จาปาจาเปรยี บเนื้อ นางสวรรค์ กเู อย ๑๘. เฮย ใช้ในลักษณะ ที่ต้องการเน้น ให้มีความเห็น คล้อยตามข้อความ ที่กล่าวมาข้างหน้า สร้อย คาน้ี มาจากคาเขมรว่า \"เหย\" แปลว่า \"แล้ว\" ดังนั้นเม่ือใช้ ในคาสร้อย จึงน่าจะมีความหมายว่า เป็นเช่นนั้น แลว้ ได้เชน่ กนั ขนึ้ ด่ังชัยพฤกษพ์ รอ้ ม มรุ ธา ภิเษกเฮย คาสร้อยทัง้ ๑๘ คาที่กล่าวมาน้ี เปน็ คาสรอ้ ยแบบแผนที่ใชก้ ันมาแต่โบราณจนถงึ ปจั จบุ ัน นอกจากนี้ ยังมีคาสร้อย อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า \"สร้อยเจตนัง\" เป็นคาสร้อยที่กวี ต้องการให้เป็นไปตามใจของตน หรือใช้คาสร้อยนั้น โดยจงใจ ผู้ท่ีเร่ิมฝึกหัดการประพันธ์ ควรใช้แต่สร้อยที่เป็นแบบแผนหลีกเล่ียงการใช้ สร้อยเจตนัง ในงานกวีนิพนธ์ ทเี่ ปน็ พิธีการก็ไมค่ วรใชเ้ ช่นกัน สร้อยแบบน้ี พบไมบ่ อ่ ยนัก จงึ หาตวั อย่างได้ยาก เช่น หายเห็นประเหลนชุ นอนเงอ่ื ง งงงว่ ง พวกไทยไลต่ ามเพลิง เผาจดุ ฉำงฮือ ลทั ธทิ า่ นเครง่ เขมง เมอื งท่าน ออื ฮือ การใชค้ าสร้อย ของกวใี นอดีต แต่ละทา่ นมคี วามนิยม แตกตา่ งกัน ในงานประพนั ธ์ บางชิ้นทไ่ี ม่ทราบ ว่าท่านใดเป็นผู้ประพันธ์ อาจใช้รูปแบบความนิยมในการใช้คาสร้อย เป็นส่ิงช่วยวินิจฉัยว่า ผลงานน้ันเป็น ของกวีทา่ นใด กำพย์ยำนี ๑๑ เป็นคาประพันธป์ ระเภทกาพย์ชนิดหนึ่ง ทใ่ี นหน่ึงบาทจามจี านวนคาทัง้ หมด ๑๑ คา โดยในวรรคแรกมี ๕ คา วรรคท่ี ๒ มี ๖ คา มฉี ันทลกั ษณด์ งั ตอ่ ไปน้ี ลักษณะคาประพันธ์ - ๑ บท มี ๔ วรรค วรรคแรกและวรรคท่ี ๓ มีจานวน ๕ คา ส่วนวรรคท่ี ๒ และวรรค สดุ ท้ายจะมี ๖ คา - สัมผัสระหว่างวรรค จะเริ่มจากคาสุดท้ายของวรรคที่ ๑ สัมผัสกับคาที่ ๓ ของวรรคท่ี ๒ และคาสุดท้ายของวรรคที่ ๒ จะสัมผัสกับคาสุดท้ายของวรรคท่ี ๓ สามารถท้ิงสัมผัสวรรคท้ายได้ แต่หากต้องการให้เกิดความไพเราะในมากขึ้น สามารถส่งสัมผัสจากคาสุดท้ายของวรรคท่ี ๓ มายัง คาที่ ๓ ของวรรคที่ ๔ ได้ - สัมผัสระหว่างบท จะมีต่อเม่ือแต่งกาพย์ยานีตั้งแต่ ๒ บทเป็นต้นไป โดยคาสุดท้าย ของวรรคท่ี ๔ ในบทแรก จะส่งสัมผัสไปยังคาสุดท้ายของวรรคท่ี ๒ ในบทท่ี ๒ โดยร้อยสัมผัสเช่นน้ี ต่อไปเรอ่ื ย ๆ จนแตง่ จบ แผนผงั คาประพันธ์

ห น้ า | 17 ๗. แมววิฬำรก์ รงุ เทพ มผี ู้กล่าวถึงวิฬาร์กรงุ เทพ ไว้หลากหลาย ซง่ึ มีความคลา้ ยคลึงกัน ทางผู้จัดทาจึงไดส้ รุปไว้ ดังนี้ ก่ิงกาญจน์ วัฒนา กรรมการสมาคมแมวไทยโบราณนานาชาติ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิฬาร์กรุงเทพ ผ่านสื่อออนไลน์ SpokeDarkTV โดยมีเนื้อหาสรุปได้ว่า แมววิฬาร์กรุงเทพ เดิมมีช่ือเรียกว่า ไหมทอง และได้มีการส่งดีเอ็นเอของแมวสายพันธ์ุนี้ไปตรวจสอบยังประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากแมวชนิดน้ีมีสี และลักษณะที่แปลกตา ซึ่งผลที่ได้นั้นพบว่า เป็นแมวสายพันธ์ุใหม่ท่ีไม่เคยพบมาก่อน จึงได้ต้ังชื่อใหม่ว่า วิฬาร์กรุงเทพ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า แมวนี้มีถิ่นกาเนิดที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในปัจจุบันพบ แมวสายพันธุ์นี้อยู่ทั้งหมด ๒๕ – ๓๐ ตัว อาศัยอยู่กรุงเทพมหานคร โดยแมวชนิดนี้มีลักษณะพิเศษ คือ มีขนสี น้าตาลออ่ น ดวงตาสเี หลอื ง จมูก และอ้งุ เท้ามสี ชี มพู เป็นตน้ นันทิศิลป์ เจริญ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับวิฬาร์กรุงเทพไว้ในนิตยสารออนไลน์ Howl Magazine โดยมีเน้ือหาสรุปได้ว่า วิฬาร์กรุงเทพ เป็นสายพันธ์ุแมวไทยที่ถูกค้นพบล่าสุด โดยตัวแรกถูกพบอาศัยอยู่ที่ กรุงเทพฯ เป็นแมวจรท่ีอาศัยอยู่แถว ๆ สีลม ต่อมายังพบแมวอีก 15 ตัวในเขตกรุงเทพฯ กระจายอยู่ คนละแห่ง และไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกันแต่อย่างใด รวมไปถึงยังพบอีกหลายตัวตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ อีกด้วย เมื่อได้ทาการศึกษาวิจัยจนรู้ว่าแมวไทยสายพันธ์ุนี้ไม่ตรงกับ DNA ของแมวชนิดใดบนโลก รวมถึง การตรวจพันธุกรรมก็ไม่พบพันธุกรรมใด ๆ ท่ีเหมือนกับแมวชนิดอ่ืน จึงทาให้ทราบว่าน้ีอาจเป็นแมวไทย สายพนั ธุใ์ หม่ ปัจจุบนั กาลงั มีโครงการตามหาแมวพนั ธ์ุน้ี ซึง่ ตอนน้ีพบประมาณ 25 ตัวแล้ว ตอนเริม่ แรกวิฬาร์ กรุงเทพ ถูกเรียกกันอย่างง่าย ๆ ในช่ือ แมวมอคค่า เน่ืองจากสอดคล้องกับยีนส์สีขนท่ีมีลักษณะสีคล้าย เครื่องด่ืมมอคค่า ซ่ึงชื่อมอคค่าน้ีมาจากชาวต่างชาติที่สนใจแมวพันธ์ุน้ีในไทยด้วยเช่นกัน แต่ทางกลุ่มนักวิจัย แมวไทยคิดว่าชื่อน้ียังไม่เหมาะสมและได้เปิดโหวตช่ือใหม่ให้กับแมวพันธุ์นี้ จนเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ท่ีผ่านมา ไดม้ ีการประกาศเปลี่ยนชื่อจากแมวไทยมอคคา่ เป็น แมววิฬารก์ รุงเทพ โดยคาวา่ วิฬาร์ ในภาษาบาลี-สันสกฤต หมายถึง แมว ส่วนคาว่า กรุงเทพ ก็คือเมืองหลวงของไทยในปัจจุบัน และเลิกใช้ชื่อ แมวมอคค่าโดยถาวร สาเหตุหนึ่งในการต้ังชื่อใหม่เป็น “วิฬาร์กรุงเทพ” ก็เพื่ออ้างสิทธ์ิในความเป็นไทยแท้ ท่ีมีต้นกาเนิดพันธุกรรมท่ีพบได้มากในกรุงเทพฯ ซึ่งหากสังเกตจะพบว่าแมวท่ัวโลกส่วนมากมักจะถูกต้ังชื่อ ตามช่ือเมืองหรือประเทศ เพ่ืออ้างสิทธิ์ความเป็นประเทศนน้ั ๆ ลักษณะของแมววิฬาร์กรุงเทพน้ัน จะมีดวงตา โทนสีฟ้า สีฟ้าอมเขียว หรือสีเขียวอมเหลือง จุดเด่นอยู่ที่ขนมีสีน้าตาลทอง ปลายจมูกมีสีชมพู แต่สันจมูกนั้น มีสีเข้มคล้ายแมวใสห่ นา้ กาก มรี อยแต้ม 9 แห่ง แบบแมววิเชียรมาศ แตจ่ ะเป็นสีจางมาก ๆ รอบดวงตาเป็นวง มีสีซีดคลา้ ยแมวใสแ่ วน่ องุ้ เท้าสีชมพู เป็นตน้ สรุปแล้ว แมววิฬาร์กรุงเทพน้ัน เป็นแมวสายพันธ์ุใหม่ท่ีมีถิ่นกาเนิดอยู่ในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบัน พบในปริมาณ ๒๕ – ๓๐ ตัว ท่ีมาของช่ือ วิฬาร์กรุงเทพ คือ การแสดงจุดยืนในสถานะของแมวสายพันธุ์น้ีว่า เป็นแมวท่ีเกิดในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ลักษณะของแมวชนิดนี้คือ มีขนสีน้าตาลอ่อนคล้ายสีกาแฟ อุ้งเทา้ และปลายจมกู มสี ชี มพู ดวงตามสี เี หลือง หรอื เหลืองอมเขยี ว เปน็ ต้น ๘. ตน้ โคลงเคลง หรือต้นสำเหร่ มีผู้กล่าวถึงต้นโคลงเคลง หรือต้นสาเหร่ไว้หลากหลาย ซ่ึงส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกัน จึงสามารถ สรปุ ได้ ดังน้ี เจา้ คณุ พระพศิ าลประชานาถ ได้กลา่ วถึง ต้นโคลงเคลง หรือตน้ สาเหร่วา่ “ชื่อ สาเหร่ มาจากดอกสาเหร่ท่ีแต่ก่อนมีเยอะมากในชุมชนแถวน้ี เพราะแถวน้ีเป็นร่องสวน ตน้ สาเหร่เลยมีเยอะ แต่ตอนนีไ้ มเ่ หลือแลว้ หาดยู ากเหลอื เกนิ เหน็ ว่า ดอกมันสมี ว่ ง ๆ ต้นใชท้ ายาได้”

ห น้ า | 18 บุษกร ผึ้งภักดี ได้กล่าวถึง ต้นโคลงเคลง หรือต้นสาเหร่ไว้ในบทความออนไลน์คลังทรัพยากร การศึกษาแบบเปิดสรุปได้ว่า มังเร เป็นภาษาใต้ ถ้าเป็นภาษากลาง เรียกว่า สาเหร่ ต้นสาเหร่ หรือ โคลงเคลง เป็นช่ือต้นไม้ชนิดหนึ่ง ลาต้น และใบมีขนปกคลุม ดอกมีม่วงแดง ผลเม่ือสุกสีดา รสหวานกินได้ มีสรรพคุณ เปน็ ยาพนื้ บ้าน ต้นตม้ น้ากนิ แกค้ อพอก แก้อาเจียนเป็นเลือด ถา่ ยเปน็ เลอื ด รากแกร้ ้อนใน เปน็ ต้น เมย์วิสา ได้กล่าวถึง ต้นโคลงเคลง หรือต้นสาเหร่ไว้ในบทความออนไลน์เทคโนโลยีชาวบ้านสรุปได้ว่า ชุมชนสาเหร่มาจากช่ือ ของต้นโคลงเคลงท่ีอีกช่ือเรียกว่า ต้นสาเหร่ ซ่ึงในอดีตมีมากในบริเวณแถบน้ัน โดยตน้ สาเหร่น้ันเปน็ พืชสมุนไพรชนิดหนง่ึ อีกดว้ ย สรุปได้ว่า ต้นโคลงเคลง หรือต้นสาเหร่น้ัน เป็นที่มาของช่ือ ชุมชนสาเหร่ เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง เกิดอยหู่ ลายพืน้ ที่ หลายภมู ิภาค ดอกนั้นมสี ีมว่ ง ผลสามารถทา่ นได้ ๙. ควำมหมำยของแบบสำรวจ หรอื แบบสอบถำม ความหมายของ แบบสารวจ หรือแบบสอบถามสามารถสรุปไดด้ ังน้ี แบบสอบถาม คือ ชุดของข้อความหรือข้อคาถามที่สร้างขึ้นมาเพื่อสอบถามความคิดเห็น ความตอ้ งการ ความสนใจ เจตคติ ของผู้ตอบท่มี ีตอ่ ส่งิ ทผ่ี ู้สร้างตอ้ งการทราบรูปแบบของแบบสอบถาม ๑๐. ประเภทของแบบสำรวจ หรือแบบสอบถำม ประเภทของแบบสอบถามสามารถแบง่ ไดต้ ามรูปแบบดังน้ี แบบสอบถามมีรูปแบบทน่ี ยิ มใช้ 3 แบบ คือ 1. แบบสอบถามชนิดปลายเปิด (Open Form) เป็นแบบสอบถามท่ีไม่ได้กาหนดคาตอบไว้ ผู้ตอบ จะตอบคาถามตามความคิดเห็นได้อย่างเต็มท่ี เช่น ทาไมท่านจึงเลือกเรียนท่ีสถาบันการพลศึกษาวิทยาเขต ชมุ พร ท่านมีความคิดเห็นอยา่ งไรตอ่ ครูผู้สอน เปน็ ต้น 2. แบบสอบถามชนดิ ปลายปิด (Close Form) เป็นแบบสอบถามท่ีจากัดคาตอบให้ผตู้ อบเลอื กคาตอบ ตามแบบท่กี าหนดใหเ้ ทา่ นนั้ แบบสอบถามชนดิ ปลายปดิ แบง่ ได้ 3 แบบ ดังนี้ 2.1 แบบสารวจรายการ(Check List) แบบสอบถามชนิดน้ีต้องการทราบข้อเท็จจริง ต่าง ๆ จากผู้ตอบ โดยไม่มีการประเมินระดับของความรู้สึก หรือข้อเท็จจริงน้ัน ต้องการให้ตอบแต่ เพียงว่า มี - ไม่มี เห็นดว้ ย - ไมเ่ ห็นดว้ ย เชื่อ - ไมเ่ ช่ือ ใช่ - ไมใ่ ช่ เช่น สถาบนั การพลศึกษา วิทยาเขตชมุ พรเปน็ สถานทน่ี า่ เรียน ( ) ใช่ ( ) ไมใ่ ช่ เรียนท่สี ถาบันการพลศกึ ษา วิทยาเขตชมุ พรแลว้ ภูมใิ จ ( ) เห็นด้วย ( ) ไมเ่ หน็ ด้วย 2.2 แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) แบบสอบถามชนิดน้ีมีลักษณะคาถาม คล้ายกับแบบสารวจรายการ แต่เปล่ียนแปลงลักษณะการตอบให้มีมากระดับข้ึน โดยผู้ตอบ ตอ้ งประเมินว่าตนมีคณุ ลักษณะน้ัน ๆ มากนอ้ ยเพียงใด ระดบั ของการประเมินจะมีก่ีระดบั ขนึ้ อยู่กับ ผู้วัดว่าจะต้องการผลละเอียดเพียงใด ท่ีนิยมใช้กันมากมี 3 หรือ 5 ระดับ เช่น ดีเยี่ยม ดีมาก ดี พอใช้ และควรปรับปรงุ เปน็ ต้น 3. แบบจัดอันดับความสาคัญ แบบสอบถามชนิดนี้ต้องการให้ผู้ตอบจัดเรียงอันดับ ความสาคัญของข้อคาถามตามความรู้สึกของผู้ตอบ เช่น ท่านมีความต้องการอุปกรณ์การเรียน การสอนในโรงเรยี น ในเรอ่ื งใดมาก (โปรดเรียงอันดับตามความตอ้ งการ)

รำยกำรควำมต้องกำร ห น้ า | 19 1. เครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ 2. สไลด์ อันดบั ควำมต้องกำร 3. เครือ่ งฉายภาพทบึ แสง …………………… 4. ปากกาเขียนแผ่นใส …………………… 5. ลกู ฟตุ บอล …………………… 6. ลูกวอลเลยบ์ อล …………………… 7. ลูกขนไก่ …………………… 8. ลกู เทนนสิ …………………… 9. ลกู ตะกรอ้ …………………… 10. อ่นื ๆ (โปรดระบุ …………………… …………………… …………………… ๑๑. หลกั เกณฑใ์ นกำรสร้ำงแบบสอบถำม หลักเกณฑ์ในการสรา้ งแบบสอบถามน้ัน สามารถสรปุ ไดด้ ังน้ี การสร้างแบบสอบถามแต่ละชุดให้มีคุณภาพดีน้ัน เป็นเรื่องท่ีต้องใช้เวลาและต้องมี หลักเกณฑ์พอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาเป็นต้องคานึงเสมอว่าแบบสอบถามนั้นต้องสามารถให้ข้อมูลหรอื การวดั ไดต้ รงกบั สภาพความเปน็ จริงของผู้ตอบให้มากท่ีสดุ โดยควรกระทาตามขน้ั ตอนให้ถกู ตอ้ งดงั นี้ 1. กาหนดขอบขา่ ยของสิ่งทจ่ี ะถามโดยกาหนดเป็นหวั ข้อใหญ่ หรอื เปน็ ดา้ น ๆ 2. กาหนดคาถามหรือข้อความในแต่ละด้านเพ่ือถามรายละเอียดในแต่ละด้าน 3. พิจารณาและจดั อันดบั ข้อคาถามจากคาถามทนี่ ่าสนใจไปสคู่ าถามท่เี ปน็ ปญั หาลึกซึ้ง 4. จัดวางรูปแบบและคาชี้แจงให้สะดวกในการตอบ อธิบายให้ผู้ตอบเห็นความสาคัญ และให้ผตู้ อบมนั่ ใจได้วา่ การตอบนี้ไม่กระทบกระเทือนต่อสถานภาพของตนเอง 5. ควรมีการประเมินแบบสอบถามก่อนนาไปใช้ โดยพิจารณาถึงข้อคาถาม รูปแบบ คาชี้แจง มีความเหมาะสมหรอื ไม่ ๑๒. ข้อดี และข้อเสียของแบบสอบถำม ข้อดแี ละประโยชนท์ ่ีได้จากแบบสอบถาม การใช้แบบสอบถามมีข้อดแี ละประโยชน์ดังน้ี 1. สน้ิ เปลืองเวลาน้อย โดยสามารถใช้ถามคนจานวนมาก ๆ ในเวลาเดยี วกันได้ 2. สามารถใหผ้ ้ตู อบเลอื กตอบไดต้ ามเหตผุ ลของตนเองมีทางทจ่ี ะปรบั ปรุงแบบสอบถามให้ดี ขึ้นได้โดยใชเ้ ทคนิคทางสถติ ิ ขอ้ เสยี ของแบบสอบถาม 1. ไมอ่ าจหวังในความรว่ มมือจากผู้ตอบไดเ้ ต็มที่ 2. ข้อคาถามมโี อกาสตคี วามไดห้ ลายแง่หลายมมุ อย่บู ่อย ๆ

ห น้ า | 20 3. บางครัง้ อาจต้องใช้คาถามยาว ๆ หลาย ๆ ข้อจงึ จะครอบคลุมเนอ้ื หาท่ตี อ้ งการ ซ่ึงทาให้ เกิดความราคาญแก่ผ้ตู อบและเสียเวลาในการตอบ 4. การตอบคาถามขนึ้ อยู่กับความจรงิ ใจของผูต้ อบ ถ้าผู้ตอบตอบดว้ ยความไม่จริงใจ กจ็ ะได้ ขอ้ มลู ท่ีเชื่อถือไมไ่ ด้ ๑๓. ควำมหมำยของควำมพึงพอใจ นักวชิ าการได้ใหค้ วามหมายของความพงึ พอใจตา่ ง ๆ พอสรปุ ได้ดังน้ี ทวีพงษ์ หินคา ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจว่าเป็นความชอบของบุคคลที่มี ต่อสิ่งหน่ึงส่ิงใด ซึงสามารถลดความดึงเครียดและตอบสนองความต้องการของบุคคลได้ทาให้เกิด ความพึงพอใจตอ่ สิ่งนัน้ ธนียา ปัญญาแก้ว ได้ให้ความหมายว่า ส่ิงท่ีทาให้เกิดความพึงพอใจท่ีเกี่ยวกับลักษณะ ของงาน ปัจจัยเหล่าน้ีนาไปสู่ความพอใจในงานท่ีทา ได้แก่ ความสาเร็จ การยกย่อง ลักษณะงาน ความรับผืดชอบ และความก้าวหน้า เม่ือปัจจัยเหล่าน้ีอยู่ต่ากว่า จะทาให้เกิดความไม่พอใจงานที่ทา ถ้าหากงานให้ความก้าวหน้า ความท้าท้าย ความรับผิดชอบ ความสาเร็จและการยกย่อง แก่ผูป้ ฏิบัติงานแลว้ พวกเขาจะพอใจและมแี รงจูงใจในการทางานเปน็ อย่างมาก วิทย์ เท่ียงบูรณ ให้ความหมายของความพึงพอใจว่า หมายถึง ความพอใจ การทาให้ พอใจ ความสาแก่ใจ ความหนาใจ ความจุใจ ความแน่ใจ การชดเชย การไถ่บาปการแก้แค้น ส่ิงท่ชี ดเชย วิรุฬ พรรณเทวี ให้ความหมายไว้ว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกภายในจิตใจของมนุษย์ ท่ีไม่เหมือนกัน ซ่ึงเป็นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะคาดหมายกับส่ิงหนึ่ง ส่ิงใดอย่างไร ถ้าคาดหวัง หรือมีความตั้งใจมากและได้รับการตอบสนองด้วยดี จะมีความพึงพอใจมากแต่ในทางตรงกันข้าม อาจผิดหวังหรือไม่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองตามที่คาดหวังไว้ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับ สิ่งท่ีตนตงั้ ใจไวว้ า่ จะมีมากหรือนอ้ ย กาญจนา อรุณสุขรุจี กล่าวว่า ความพึงพอใจของมนุษย์ เป็นการแสดงออกทางพฤติกรรม ที่เป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็นเป็นรูปร่างได้ การที่เราจะทราบว่า บุคคลมีความพึงพอใจ หรือไม่ สามารถสังเกตโดยการแสดงออกที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน และต้องมีส่ิงท่ีตรงต่อความต้องการ ของบุคคล จึงจะทาให้บุคคลเกิดความพึงพอใจ ดังนั้นการสร้างสิ่งเร้าจึงเป็นแรงจูงใจของบุคคลนั้น ให้เกิดความพงึ พอใจในงานนน้ั Carnpbell กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกภายในที่แต่ละคนเปรียบเทียบระหว่าง ความคิดเห็นต่อสภาพการณ์ที่อยากให้เป็นหรือคาดหวัง หรือรู้สึกว่าสมควรจะได้รับ ผลท่ีได้จะเป็น ความพงึ พอใจหรือไมพ่ ึงพอใจเป็นการตดั สินของแตล่ ะบคุ คล Domabedian กล่าววา่ ความพึงพอใจของผรู้ ับบริการ หมายถงึ ผู้บริการประสบความสาเร็จ ในการทาให้สมดุลระหว่างส่ิงท่ีผู้รับบริการให้ค่ากับความคาดหวังของผู้รับบริการ และประสบการณ์ นั้นเป็นไปตามความคาดหวัง จากความหมายท่ีกล่าวมาทั้งหมด สรุปความหมายของความพึงพอใจได้ว่า เป็นความรู้สึกของบุคคล ในทางบวก ความชอบ ความสบายใจ ความสุขใจต่อสภาพแวดล้อมในด้านต่าง ๆ หรือเป็นความรู้สึกท่ีพอใจ ต่อสิ่งท่ที าให้เกดิ ความชอบ ความสบายใจ และเปน็ ความร้สู ึกทีบ่ รรลถุ ึงความตอ้ งการ

ห น้ า | 21 บทท่ี ๓ วธิ กี ำรดำเนนิ กำรศกึ ษำ อุปกรณ์ และวธิ ีกำรทดลอง ผู้จัดทาได้ดาเนินการศึกษา และทดลองโดยมีเคร่ืองมือที่ใช้ในการศึกษา อุปกรณ์ และวิธี การดาเนินการ ดงั นี้ เคร่อื งมือที่ใชใ้ นกำรศกึ ษำ ๑. หนงั สอื แบบเรยี นวชิ าภาษาไทยชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๕ ๒. หนังสอื บทละคร เร่ืองอิเหนา ๓. หนังสือแบบเรียนวชิ าภาษาไทยช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ ๖ ๔. หนงั สือ นิทานคากลอนเร่ืองพระอภยั มณี ๕. เอกสารขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วกับบุหงาราไป อุปกรณท์ ่ใี ชใ้ นกำรสร้ำงชินงำน และกำรทดลอง ๑. กลีบกหุ ลาบ (ได้มาจากการบชู าท้าวเวสสวุ รรณในวดั สุทธาราม ) ๒. กระดง้ สาหรบั ผง่ึ ดอกไม้ ๓. เทยี นอบขนมกล่นิ มะลิ ๔. โถอบ ๗. ไม้แขวนเสื้ออลูมีเนียม (เนื่องจากทวน และตะกรันน้ันหายาก จึงประยุกต์ใช้ไม้แขวนเสื้อ นามาดัดเป็นขาสาหรบั ตัง้ เทียนอบขนม) ๘. เอทิลแอลกอฮอล์ ๙. มสั ก์ (ตวั ตรงึ กลิ่น) ๑๐. หัวนา้ หอมกลน่ิ ต่าง ๆ วธิ ีกำรดำเนินงำน ๑. ขนั้ วางแผน ๑.๑ ประชมุ ผูจ้ ัดทาเพ่ือหาหวั ขอ้ ในการจัดทาโครงงาน ๑.๒ นาเสนอหัวขอ้ โครงงานตอ่ ครูทป่ี รกึ ษา ๑.๓ แบ่งหน้าทีใ่ นการทาโครงงาน ๑.๔ หาแหลง่ ขอ้ มลู ในการศกึ ษา ๑.๕ สอบถามผูร้ ู้ในเรื่องของแหล่งวตั ถุดิบ ๑.๖ จดั เตรียมอปุ กรณ์ตา่ ง ๆ สาหรบั การจดั ทาโครงงาน และชิน้ งาน ๒. ขั้นดาเนนิ การศกึ ษา ๒.๑ ศึกษาความหมายของคาว่าบุหงาราไปจากส่ือต่าง ๆ เช่น พจนานุกรม หนังสือ หรอื บทความในเว็บไซต์ พร้อมเกบ็ รวบรวมข้อมลู ๒.๒ ศึกษาประวัติความเป็นมาของบุหงาราไปจากส่ือต่าง ๆ เช่น หนังสือ หรือบทความในเวบ็ ไซต์ พรอ้ มเกบ็ รวบรวมข้อมลู

ห น้ า | 22 ๒.๓ ศกึ ษาเอกสารท่ีเกี่ยวข้องเกย่ี วกับวรรณคดี ท้ังในเรอื่ งความหมาย และวรรณคดี ทีเ่ กย่ี วขอ้ งกับบหุ งาราไป พร้อมเกบ็ รวบรวมข้อมลู ๒.๔ ศึกษาวิธีการทาบุหงาราไปจากส่ือต่าง ๆ เช่น หนังสือ หรือบทความในเว็บไซต์ พรอ้ มเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เพื่อประยกุ ตใ์ ชส้ ตู รให้เหมาะสม ๒.๕ ศึกษาประวัติความเป็นมา และลักษณะของแมววิฬาร์กรุงเทพ จากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสอื หรือบทความในเว็บไซต์ พร้อมเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๒.๖ ศึกษาประวัติความเป็นมาของช่ือ ชุมชนสาเหร่ จากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือ หรอื การบอกเล่าของบุคคลผ้ทู รงคุณวฒุ ิในชมุ ชน พรอ้ มเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๒.๗ ศึกษาลักษณะของดอกโคลงเคลง หรือดอกสาเหร่จากส่ือต่าง ๆ เช่น หนังสือ หรือบทความในเว็บไซต์ พร้อมเก็บรวบรวมขอ้ มูล ๒.๘ ศึกษาวิธีการแต่งกาพย์เห่จากสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือ หรือบทความในเว็บไซต์ พรอ้ มเก็บรวบรวมข้อมลู พรอ้ มเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ๓. ขั้นดาเนินการ ๓.๑ ขันกำรทำบหุ งำรำไป ๓.๑.๑ นาดอกไมม้ าตดั แตง่ และผึ่งลมให้แหง้ ๓.๑.๒ ผสมหัวน้าหอมตามสูตรที่ได้ศึกษามา เพ่ือเตรียมไว้สาหรับคลุก ดอกไม้ ๓.๑.๓ นาดอกไม้แห้งใส่โถอบ เพื่ออบควันเทียน โดยอบจานวน ๓ คร้ัง ครั้งละ ๓๐ นาที ๓.๑.๔ นาดอกไม้ทีอ่ บเสร็จไปคลุกกับน้าหอมกล่ินต่าง ๆ ท่ผี สมไว้ โดยคลุก ทง้ั หมด ๔ ครั้ง ห่างกนั คร้ังละ ๓๐ นาที ๓.๒ ขันกำรทำถุงใสบ่ หุ งำรำไปรปู แบบวฬิ ำรส์ ำเหร่ ๓.๒.๑ นาผ้าสีม่วงอ่อนมาวาดลายดอกสาเหรด่ ้วยปากกาสาหรับเขียนผ้า ๓.๒.๒ วัด และตัดผ้าสีน้าตาลที่ใช้แทนสีของวิฬาร์กรุงเทพให้ได้ ขนาดที่ต้องการ ๓.๒.๓ วัด และตัดผ้าสีม่วงอ่อนท่ีวาดลายไว้แล้วตามขนาดท่ีต้องการ เพื่อนาไปตัดเย็บ ๓.๒.๔ นาผ้าที่ไดท้ งั้ ๒ ชิ้นมาเยบ็ ติดกนั ให้เปน็ ถงุ สาหรบั ใส่บุหงาราไป ๓.๒.๕ นาปากกาสาหรับเขียนผ้ามาวาดลายแมววิฬาร์กรุงเทพ กอ่ นนาไปบรรจบุ ุหงาราไป ๓.๓ ขันกำรสำรวจควำมพงึ พอใจ และตงั ช่อื กลิน่ ของบุหงำรำไป ๓.๓.๑ ออบแบบสารวจความพงึ พอใจทมี่ ีตอ่ กล่ินบหุ งาราไปท่ีผลิตข้ึน ๓.๓.๒ ลงทาแบบสารวจกับกลุ่มประชากรนักเรียนมัธยมวัดสุทธาราม จานวน ๑๐๐ คน โดยเลอื กแบบเฉพาะเจาะจง ๓.๓.๓ สรุปผลการสารวจ และตั้งชือ่ กล่ินนา้ หอม

ห น้ า | 23 ๔. ขน้ั สรุปผลการดาเนินงานการศึกษา สรุปผลการศึกษาเป็นรูปเล่ม และชิ้นงาน ซ่ึงอยู่ภายในบทที่ ๔ ของโครงงานฉบับน้ี โดยนาเสนอผลการศึกษาเปน็ ความเรยี ง ตาราง และรูปภาพ (บทที่ ๔ ข้อ ๑ – ๓) ๕. ขั้นสรุปผลการดาเนินการ สรปุ ผลเปน็ ชิ้นงาน และนาเสนอผลงานในรูปตารางประกอบความเรยี ง (บทที่ ๔ ข้อ ๔ – ๖) ๖. ข้นั ปรบั ปรุงและพัฒนา ๖.๑ พัฒนากล่นิ น้าหอม จากกล่ินเดิมที่มีอยู่ เพื่อให้สามารถใช้ได้กับสตั ว์เลีย้ งในบ้าน ๖.๒ พัฒนาชน้ิ งานโดยประยุกตใ์ ช้ สรา้ งงานประดษิ ฐอ์ น่ื ๆ

ห น้ า | 24 บทท่ี ๔ ผลกำรศกึ ษำ และผลกำรทดลอง จากการดาเนนิ การดังทกี่ ลา่ วมาแลว้ ผู้จดั ทาขอเสนอผลการดาเนนิ การศกึ ษา และผลการทดลอง ดงั นี้ ตอนท่ี ๑ ผลการศึกษาประวัติความเป็นมา และผลการสารวจวรรณคดีท่ีเก่ียวข้อง กับบุหงาราไป ตอนที่ ๒ ผลการศึกษาวธิ กี ารทาบหุ งาราไป การทาน้าหอม และจดั ทาบุหงาราไป ตอนที่ ๓ ผลการศึกษาเร่อื งวฬิ าร์กรงุ เทพ และท่มี าของชื่อชมุ ชนสาเหร่ ตอนที่ ๔ ผลจัดทาถงุ หอมวิฬาร์สาเหร่ ตอนท่ี ๕ ผลการสารวจความพึงพอใจในกลน่ิ น้าหอม ท่ใี ช้ทาบุหงาราไป ของนักเรยี นโรงเรยี น มธั ยมวัดสุทธาราม ตอนท่ี ๖ ผลการตัง้ ช่อื บุหงาราไปทง้ั ๖ กล่ิน ด้วยการแต่งคาประพนั ธก์ าพยเ์ ห่ชม ตอนที่ ๑ ผลกำรศกึ ษำประวัติควำมเป็นมำ และผลกำรสำรวจวรรณคดที เี่ กยี่ วข้องกบั บุหงำรำไป จากการศึกษาหาข้อมูลประวัติความเป็นมาของบุหงาราไปนั้น ผู้จัดทาพบว่า บุหงาราไปเกิดข้ึน ครั้งแรกในประเทศไทยสมัยอยุธยาตอนปลาย จากการศึกษาในส่วนของความหมาย รากศัพท์น้ันพบว่า คาว่า บหุ งาราไป เปน็ คาที่มาจากภาษาชวามลายู ดงั ข้อมูลต่อไปน้ี พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายคาว่า บุหงาราไปไว้ว่า น. ดอกไม้ที่ปรุงด้วยเครื่องหอมแล้วบรรจุในถุงผ้าโปร่งเล็ก ๆ ทาเป็นรูปร่างต่าง ๆ ,มักเรียกย่อ ๆ ว่า บุหงา. (ช.). พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายคาว่า บุหงาราไปไว้ว่า น. ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ มีมะลิ กระดังงา กุหลาบ เป็นต้น ท่ีปรุงด้วยเคร่ืองหอมแล้วบรรจุในถุงผ้า โปร่งเล็ก ๆ ทาเป็นรูป ต่าง ๆ ,มกั เรยี กยอ่ ๆ วา่ บหุ งา. (ช.). ทง้ั นีต้ ัวยอ่ (ช.) ในพจนานุกรมน้ัน หมายถึง คาทีม่ าจากภาษาชวามลายู สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้กล่าวถึงความหมายของบุหงาราไป ไว้ในคานาข้อ หนังสือ บุหงาราไป มีความโดยสรุปว่า เป็นส่ิงประดิษฐ์จากดอกไม้สารพัน โดยเป็นคา จากภาษาชวา นอกจากนี้ยังมีผู้ให้ความหมายของบุหงาราไปไว้อีกว่า บุหงาราไปเป็นคาท่ีไทยเรารับมาจาก ชวา บุหงา หมายถึง ดอกไม้ ราไป หมายถึงเบ็ดเตล็ด บุหงาราไปจึงมีความหมายว่าดอกไม้ต่าง ๆ ดอกไมห้ ลายชนดิ จากขอ้ มูลขา้ งต้นช้ีให้เหน็ วา่ บุหงาราไป เป็นคาจากภาษาชวา ซง่ึ สามารถอนุมานไดว้ ่า บุหงาราไปน้ัน อาจจะเป็นวัฒนธรรมท่ีมาจากชวาที่ไทยรับมาอีกด้วย และเม่ือศึกษาวรรณคดีที่เก่ียวข้องกับบุหงาราไป ผลการศึกษาท่ีได้สามารถชี้ได้อย่างเจนว่า ชาวไทยอาจเริ่มรู้จักบุหงาราไป ครั้งแรกในสมัยอยุธยาตอนปลาย กล่าวคือบุหงาราไปปรากฏครั้งแรกตามหลักฐานท่ีเป็นลายลักษณ์อักษร คือ ปรากฏในกาพย์เห่เรือ

ห น้ า | 25 เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ ที่เป็นวรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนปลาย ในช่วงพุทธศักราช ๒๒๔๘ – ๒๒๙๘ โดยปรากฏในคาประพันธว์ า่ “ลาดวนหวนหอมตรลบ กลิ่นอายอบสบนาสา นกึ ถวิลกลนิ่ บุหงำ รำไปเจา้ เศร้าถงึ นาง” จากคาประพันธ์ข้างต้น กล่าวถึงกล่ินหอมของดอกลาดวนท่ีหอมสดชื่น ทาให้นึกถึงกลิ่นบุหงาราไป ของนางอนั เปน็ ท่ีรัก เมอื่ นึกถงึ แลว้ ก็แสนเศร้าใจ อีกท้ังคาว่า บุหงาราไป น้ันมาจากภาษาชวามลายู ยังสอดคล้องกับวรรณคดีเร่ือง อิเหนา และดาหลัง ท่ีเป็นวรรณคดีดัดแปลงมาจากนิทานชวา โดยท้ัง ๒ เร่ืองน้ันเป็นพระนิพนธ์ในเจ้าฟ้าหญิงกุณฑล และเจ้าฟ้าหญิงมงกุฎพระราชธิดาในพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ซึ่งอยู่ในยุคเดียว สมัยเดียวกันกับกาพย์เห่เรือ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ จึงสามารถสรุปได้ว่า บุหงาราไป อาจเป็นเคร่ืองหอมที่มาจากชวา และเริ่มนิยมทาคร้ังแรก ในสมยั อยธุ ยาตอนปลาย หลักฐานที่ช้ีชัดอีกประการหน่ึงว่า บุหงาราไป เป็นวัฒนธรรมชวา และเป็นที่รู้จักของชาวไทย ในสมัยอยุธยาตอนปลายน้ันก็คือ บุหงาราไปได้ปรากฏอยู่ในวรรณคดีเรื่อง บทละคร อิเหนา พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ที่พระองค์ทรงเอาต้นแบบมาจากอิเหนาเล็ก (อิเหนา) ท่ีเป็นวรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยดูจากความตรงกันของเนื้อเร่ือง ซ่ึงหลักฐานสามารถดูได้จาก คาประพนั ธ์ที่ว่า สาหรับงานฉลองกองกุศล “อันอเิ หนาเอามาทาเป็นคาร้อง แต่เรอื่ งตน้ ตกหายพลัดพรายไปฯ” ครั้งกรุงเกา่ เจ้าสตรีเธอนิพนธ์ จากคาประพันธ์ข้างต้นกล่าวถึงที่มาของบทละคร อิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาท สมเด็จ พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ว่าพระองค์ได้ทรงแต่งโดยนาเค้าโครงมาจากอิเหนาครั้งกรุงเก่า (อยุธยา) ซ่ึงอิเหนา เม่ือครั้งกรุงเกา่ น้นั มเี พียงฉบับท่เี จ้าฟา้ กุณฑล และเจ้าฟ้ามงกฎุ ประพนั ธ์ไวเ้ ท่านน้ั โดยพระองค์พระราชนิพนธ์ ขน้ึ ใหม่จากต้นฉบับเดมิ ที่เหลืออยู่ เนือ่ งจากตน้ ฉบบั เดมิ ไมค่ รบถว้ นสมบรู ณ์ หลกั ฐานเก่ียวกับบุหงาราไปที่ปรากฏในวรรณคดี บทละคร อเิ หนานั้น มีอยทู่ ั้งหมด ๓ ช่วง ดังน้ี ตอน อเิ หนาปลอมดนู างบุษบาเมื่อขากลับ ท่ีกลา่ วว่า “แสงโคมประทีปทองส่องสวา่ ง กระจา่ งจบั พุ่มไม้ไพรระหง ดอกพะยอมหอมหวนลาดวนดง สาวหยดุ ประยงค์โยทะกา หอมกลนิ่ กลว้ ยไม้ที่ใกลท้ าง บอกบาหยันพลางแล้วแลหา ลมหวนอวลกล่ินสมุ าลย์มา ระคนกลิน่ บุหงำรำไป” ซึ่งจากคาประพันธ์ข้างต้น กล่าวถึงนางบุษบา และนางบาหยันพี่เล้ียง ท่ีออกมาเก็บดอกไม้ ยามค่าคนื นางทั้งสองไดก้ ลิ่นหอมของดอกไม้ชนดิ ต่าง ๆ ท่หี อมอบอวล เคลา้ กบั กล่ินของบุหงาราไป อีกตอนที่พบการกล่าวถึง บุหงาราไป คือ ตอน ตอน บุษบาชมศาลเล่นธาร มีการกล่าวถึง บหุ งาราไปเอาไว้วา่ “แลว้ หยุดนงั่ ยังแผน่ ศลิ าลาด เตยี นสะอาดใต้ร่มโศกใหญ่ จงึ สงั่ สาวสรรค์กานลั ใน ใครเก็บดอกไม้ไดใ้ หเ้ อามา เราจะทาบุหงำรำไป ยงั ขาดสิ่งใดใหเ้ รง่ หา

ห น้ า | 26 จะได้ไปถวายเทวา ให้ทันในเวลาเยน็ น้ี บัดนั้น หมนู่ างกานัลสาวศรี ได้ดอกไม้มาดว้ ยยนิ ดี ถวายพระบุตรีทันใด แล้วชวนกันเลือกเก็บบุหงำ ทก่ี ล่นิ กล้ารน่ื รสสดใส ก็ได้ถว้ นทกุ พรรณดอกไม้ แต่ปะหนนั ยงั ไม่ไดม้ า” จ า ก ว ร ร ณ ค ดี ต อ น น้ี ท า ใ ห้ รู้ ว่ า บุ ห ง า ร า ไ ป นั้ น ท า จ า ก ด อ ก ไ ม้ ท่ี มี ก ล่ิ น ห อ ม ห ล า ย ช นิ ด รวมท้ังดอกปะหนันหรือดอกลาเจียกด้วย จุดประสงค์ในการทาบุหงาราไปก็เพื่อถวายพระ หรือ ถวายเทวดาอารักษ์ การทาบุหงาราไปของนางบุษบาในตอนน้ีเป็นการทาบุหงาราไป คอื ใช้ดอกไมส้ ดท่ีมีกลน่ิ หอมหลายชนดิ นามาปลดิ เอาเฉพาะกลบี “เมื่อนั้น ระเดน่ บษุ บามารศรี น่ังปลดิ บหุ งามาลี กับพ่ีเลย้ี งนารีกานลั ” แล้วนากลีบดอกไม้มาเคล้ากัน ห่อด้วยผ้าโปร่ง เพียงเท่านี้ก็ได้บุหงาราไปเพ่ือถวายพระ หรือถวายเทวดาอารกั ษ์ เปน็ ตน้ “พกิ ลุ จะกรองอุบะ ลาดวนจะรอ้ ยเปน็ สร้อยใส่ จะทาบุหงำรำไป วางไวข้ ้างที่ไสยา” นอกจากทาข้ึนเพ่ือถวายแด่เทวดาแล้ว ยังใช้เป็นเคร่ืองหอม ดังเช่นคาประพันธ์ข้างต้นกล่าว ไวอ้ กี ดว้ ย จากท่ีกล่าวมาข้างต้นว่า บุหงาราไปยังปรากฏหลักฐานท่ีสามารถยืนยันได้อีกว่าบุหงาราไปน้ัน เป็นวัฒนธรรมชวา ท่ีอาจเข้ามาเป็นท่รี ู้จกั ของชาวไทยในสมัยอยุธยาตอนปลาย และเริ่มแพร่หลาย อีกท้ังนิยม ทาในสมัยรัตนโกสินทร์ก่อนได้รับอิทธิพลตะวันตก (สมัยรัชกาลท่ี ๑ – ๔) นั่นคือ บุหงาราไปได้ปรากฏวิธีการ ทาในวรรณคดีเอกของสุนทรภู่ น้ันก็คือ นิทานคากลอนเรื่องพระอภัยมณี อยู่ในตอน สินสมุทรเท่ียวชม เกาะแก้วพิสดาร ทีก่ ลา่ ววา่ “สารภยี ่ีสุน่ พกิ ุลเกด กระทินเทศกระทุ่มออกดอกไสว พวกผู้หญิงชิงชว่ งดวงดอกไม้ บา้ งชงิ ไดด้ อกประดู่ซ่อนชชู้ ม บ้างทิง้ เถาสาวหยุดฉดุ กระชาก เกบ็ บญุ นาคนางแยม้ มาแซมผม บ้างเดนิ เดด็ ดอกกลอยสอยสุกรม ห่อผา้ ห่มเอาไปใส่ใต้ทน่ี อน” จากคาประพนั ธข์ ้างตน้ บอกถึงการทาบุหงาราไป โดยการเก็บดอกไมห้ อมหลายชนดิ เอาผา้ ห่อ แลว้ นาไปใส่ไว้ในท่ีนอน เปน็ ต้น จากหลักฐานข้างต้นนี้ย่ิงเป็นการชี้ได้อย่างชัดเจนว่า บุหงาราไปน้ัน เริ่มแพร่หลายมากข้ึน ในสมยั รัตนโกสินทร์ชว่ งก่อนไดร้ บั อิทธพิ ลตะวันตกอกี ด้วย สรุป จากการศึกษาประวัติความเป็นมา และสารวจวรรณคดีท่ีมีส่วนเก่ียวข้องกับบุหงาราไป พบว่า บุหงาราไปเป็นวัฒนธรรมท่ีมาจากชวา และสันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นท่ีรู้จักของชนชาวไทยคร้ังแรก ในสมัยอยุธยาตอนปลาย และเริ่มแพร่หลายในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงก่อนได้รับอิทธิพลตะวันตก จากหลักฐาน ท่ีปรากฏในวรรณคดีท้ัง ๓ เร่ืองที่มีความเก่ียวพันกัน ซึ่งผลของการสารวจวรรณคดีที่เก่ียวข้องกับบุหงาราไป

ห น้ า | 27 พบว่ามีวรรณคดีท่ีเก่ียวข้องเพียง ๓ เรื่อง ดังท่ีกล่าวไว้ข้างต้น โดยบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการกล่าวถึงเรื่อง บุหงาราไปมากท่ีสุด ทั้งวัตถุดิบ วิธีการทา และการนาไปใช้อกี ดว้ ย ตอนท่ี ๒ ผลกำรศกึ ษำวิธีกำรทำบุหงำรำไป กำรทำนำหอม และจดั ทำบหุ งำรำไป จากการศึกษาวิธีการทาบหุ งาราไปนั้น ผ้จู ัดทาพบวิธีการทาหลายวธิ ี จากหลายสถาบัน แตท่ กุ สถาบัน นั้นมวี ิธีที่เปน็ วิธีหลักนัน่ กค็ ือ การผงึ่ ดอกไม้ดว้ ยลม การอบควนั เทียน และการคลุกนา้ หอม โดยผู้จัดทาได้ศกึ ษา วธิ กี ารทาบุหงาราไป และประมวลวิธกี ารทาจากสตู รการทา ๒ สตู รนี้ สูตรที่ ๑ โดย คุณฉวีวรรณ ธติ มิ งคล เจ้าของร้านเคร่ืองหอมฉวีวรรณ ได้ให้วิธที าไว้ดังนี้ วตั ถุดบิ : ๑. ดอกไมช้ นดิ ต่าง ๆ จะมีกล่ินหอมหรือไม่ก็ได้ ๒. กายาน ๓. ผวิ มะกรูดแห้ง ๔. นา้ ตาลทรายแดง ๕. พมิ เสนบดละเอียด ๖. เทยี นอบ ๗. กลน่ิ นา้ ปรุง อุปกรณ์ : ๑. ทวน (ใชส้ าหรับใส่ตะกรัน) ๒. ตะกรนั (สาหรับเผากายาน และใส่เทยี นอบ) ๓. โถอบ (ควรเปน็ เครือ่ งเคลือบมีฝาปิดมิดชดิ ) ๔. เตาถ่าน (สาหรบั เผาตะกรัน) วิธที า : ๑. นาดอกไม้ตัดแตง่ แลว้ ผึง่ ลมประมาณ ๑ สัปดาห์ จนแหง้ สนิท ๒. ผสมดอกไม้แห้งเขา้ ดว้ ยกัน ๓. นาดอกไม้ไปอบดว้ ยกายาน และควันเทียน โดยในการอบกายานใหน้ า กายาน ผสมกบั ผิวมะกรดู แหง้ และน้าตาลทรายแดงในอตั ราส่วนที่เท่ากนั จากนนั้ นาตะกรัน ทีเ่ ผาจนร้อนตั้งบนทวน ทวี่ ่างในโถอบ แลว้ จงึ ใสก่ ายานทผ่ี สมแลว้ ลงบนตะกรนั จากนั้นปดิ ฝาโถอบ ทงิ้ ไว้ ๒ ช่วั โมง แลว้ จึงอบด้วยควนั เทยี นตอ่ ในระยะเวลาเท่ากนั จะอบกี่ครง้ั ก็ไดจ้ นกว่าจะได้กลนิ่ ตามทีต่ ้องการ ๔. เมอื่ ครบเวลาแลว้ เปดิ ฝาคนกลีบดอกไม้แห้งใหเ้ ข้ากนั แลว้ จึงโรยพิมเสนบดลงใน โถอบแล้วเคล้าใหเ้ ข้ากัน ๕. นาดอกไม้แหง้ ท่ีไดม้ าเคล้ากับนา้ ปรุงท่เี ตรียมไว้ ทิ้งไว้ให้กลิน่ ซึมเขา้ ไปในกลีบ ดอกไมป้ ระมาณ ๕ – ๑๐ นาที เปน็ อันเสร็จการทาบุหงาราไป สตู รท่ี ๒ โดย คณุ โสภาพรรณ อมตะเดชะ อาจารย์ประจาภาควิชาคหกรรมศาสตร์ วทิ ยาลยั ราชภัฏ สวนดุสติ ได้ให้วิธที าไวด้ งั นี้ วตั ถุดิบ : ๑. ดอกไม้ชนิดต่าง ๆ จะมีกล่ินหอมหรือไม่ก็ได้

ห น้ า | 28 ๒. เทยี นอบ ๓. กล่นิ นา้ ปรงุ อปุ กรณ์ : ๑. ทวน (ใช้สาหรับใส่ตะกรัน) ๒. ตะกรัน (สาหรับใส่เทียนอบ) ๓. โถอบ (ควรเปน็ เครื่องเคลือบมฝี าปิดมิดชิด) วิธที า : ๑. นาดอกไม้ตัดแต่ง แลว้ ผ่ึงลมประมาณ ๑ สปั ดาห์ จนแหง้ สนิท ๒. ผสมดอกไม้แหง้ เข้าด้วยกัน ๓. นาดอกไม้ไปอบด้วยควันเทียน ๕ ครั้ง ครั้งละครึ่งชัว่ โมง ๔. เมอื่ ครบเวลาแล้ว เปิดฝาคนกลบี ดอกไม้แห้งใหเ้ ขา้ กัน ๕. นาดอกไม้แห้งที่ได้มาเคลา้ กบั นา้ ปรุงทเ่ี ตรยี มไว้ อบประมาณ ๓ ครั้ง ใช้เวลาครง้ั ละ ๒ วันเป็นอนั เสร็จการทาบหุ งาราไป จากการศึกษาท้ังสองสูตร พบว่าสูตรที่ ๑ น้ันใช้ต้นทุนในการทาค่อนข้างสูง เนื่องจากพิมเสนบด และกายานราคาค่อนข้างสูง และอุปกรณ์บางชิ้นหายากจนเกินไป เช่น ทวน ตะกรัน อีกทั้งยังมีวิธีการทา ท่ีซับซ้อน จึงเลือกสูตรท่ี ๒ เป็นสูตรหลัก โดยดัดแปลงอุปกรณ์เท่าท่ีหาได้ คือ ทวน ใช้ไม้แขวนเส้ืออลูมิเนียม ดดั เปน็ รปู แทน จงึ ได้ดดั แปลงสตู รและวธิ ีในการทาดงั น้ี วตั ถดุ ิบ : ๑. ดอกไม้กุหลาบ ๒. เทยี นอบ ๓. กลิน่ นา้ หอม อปุ กรณ์ : ๑. ไม้แขวนเสอื้ อลมู เิ นยี มดดั เปน็ โครง ๒. โถอบ ๓. ภาชนะคลกุ ดอกไม้ วธิ ที า : ๑. นาดอกไม้ตดั แตง่ แลว้ ผ่งึ ลมประมาณ ๓ – ๔ วัน จนแหง้ สนทิ ๒. นาดอกไม้แหง้ ใสล่ งโถอบ ๓. นาดอกไม้ไปอบดว้ ยควนั เทยี น ๓ คร้งั ครั้งละ ๓๐ นาที ๔. เมื่อครบเวลาแล้ว เปิดฝาคนกลบี ดอกไม้แห้งให้เข้ากัน ๕. นาดอกไม้แห้งที่ได้มาเคล้ากับน้าหอมที่เตรียมไว้ อบ ๔ คร้ัง ใช้เวลาครั้งละ ๓๐ นาทีเปน็ อันเสรจ็ การทาบหุ งาราไป ทั้งนี้บุหงาราไปสูตรน้ีได้ทดลองทา ซึ่งผลท่ีได้เป็นท่ีน่าพอใจเช่นเดียวกับสูตรท่ี ๒ แต่ใช้เวลาน้อยกว่า อกี ท้ังยังต้นทนุ ต่ากว่าสูตรท่ี ๑ อกี ดว้ ย จงึ เป็นสตู รท่สี มควรพัฒนาต่อไป ตอนที่ ๓ ผลกำรศกึ ษำเรอื่ งวฬิ ำร์กรงุ เทพ และทม่ี ำของชื่อชมุ ชนสำเหร่ จากการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวิฬาร์กรุงเทพ และที่มาของชุมชนสาเหร่นั้น คณะผู้จัดทาพบข้อมูล ดังนี้ วิฬาร์กรุงเทพ เป็นสายพันธ์ุแมวไทยที่ถูกค้นพบล่าสุด โดยตัวแรกถูกพบอาศัยอยู่ท่ีกรุงเทพมหานคร เดิมเป็นแมวจรที่อาศัยอยู่ในย่านสีลม ต่อมาพบแมวชนิดน้ีอีก 15 ตัวในเขตกรุงเทพมหานคร กระจายอยู่

ห น้ า | 29 คนละแห่ง และไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด รวมไปถึงยังพบอีกหลายตัวในจังหวัดต่าง ๆ ท่วั ประเทศอีกดว้ ย เม่ือได้ทาการศึกษาวิจยั จนพบว่าแมวไทยสายพนั ธนุ์ ี้ไมต่ รงกบั DNA ของแมวชนิดใดบนโลก รวมถึงการตรวจพันธุกรรมก็ไม่พบพันธุกรรมใดที่เหมือนกับแมวชนิดอื่น จึงทาให้ทราบว่านี้อาจเป็นแมวไทย สายพันธุ์ใหม่ ปัจจุบันกาลังมีโครงการตามหาแมวชนิดนี้ ซึ่งตอนน้ีพบแล้วประมาณ 25 ตัว ตอนเร่ิมแรก วิฬาร์กรุงเทพ ถูกเรียกกันอย่างง่าย ๆ ในชื่อ แมวมอคค่า หรือไหมทอง เนื่องจากสอดคล้องกับยีนส์สีขน ท่ีมีลักษณะสีคล้ายเครื่องด่ืมมอคค่า ซ่ึงช่ือมอคค่าน้ีมาจากชาวต่างชาติท่ีสนใจแมวพันธ์ุน้ีในไทยด้วยเช่นกัน แต่ทางกลุ่มนักวิจัยแมวไทยคิดว่าชื่อนี้ยังไม่เหมาะสม และได้ให้ช่ือใหม่กับแมวพันธ์ุนี้ จนเม่ือวันท่ี 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ท่ีผ่านมา ได้มีการประกาศเปล่ียนช่ือจากแมวไทยมอคค่า หรือไหมทอง เป็น แมววิฬาร์กรุงเทพ โดยคาว่า วิฬาร์ ในภาษาบาลี – สันสกฤต หมายถึง แมว ส่วนคาว่า กรุงเทพ คือ เมืองหลวงของไทยในปัจจุบัน ถิ่นกาเนิดของแมวชนิดนี้ และเลิกใช้ช่ือแมวมอคค่าโดยถาวร สาเหตุหน่ึง ในการต้ังช่ือใหม่เป็น “วิฬาร์กรุงเทพ” ก็เพ่ืออ้างสิทธ์ิในความเป็นไทยแท้ที่มีต้นกาเนิดพันธุกรรมท่ีพบได้มาก ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งหากสังเกตจะพบว่าแมวท่ัวโลกส่วนมากมักจะถูกต้ังชื่อตามชื่อเมือง หรือประเทศ เพ่ืออ้างสิทธ์ิความเป็นประเทศนั้น ๆ ลักษณะของแมววิฬาร์กรุงเทพนั้น จะมีดวงตาโทนสีฟ้า สีฟ้าอมเขียว หรือสีเขียวอมเหลือง จุดเด่นอยู่ท่ีขนมีสีน้าตาลทอง ปลายจมูกมีสีชมพู แต่สันจมูกน้ันมีสีเข้มคล้ายแมว ใส่หน้ากาก มีรอยแต้ม 9 แห่ง แบบแมววิเชียรมาศ แต่จะเป็นสีจางมาก รอบดวงตาเป็นวง มีสีซีดคล้ายแมว ใส่แว่น มีองุ้ เท้าสชี มพู เป็นตน้ สรุปแล้ว แมววิฬาร์กรุงเทพน้ัน เป็นแมวสายพันธุ์ใหม่ที่มีถิ่นกาเนิดอยู่ในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบัน พบในปริมาณ ๒๕ – ๓๐ ตัว ท่ีมาของช่ือ วิฬาร์กรุงเทพ คือ การแสดงจุดยืนในสถานะของแมวสายพันธุ์น้ีว่า เป็นแมวท่ีเกิดในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ลักษณะของแมวชนิดน้ีคือ มีขนสีน้าตาลอ่อนคล้ายสีกาแฟ อุ้งเท้า และปลายจมกู มีสีชมพู ดวงตามสี ีเหลือง หรอื เหลืองอมเขยี ว เปน็ ต้น ในส่วนของท่ีมาของชุมชนสาเหร่นั้น คณะผู้จัดทาได้สืบค้นหาข้อมูลจากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ ท้ังหนังสือ บทความทางวิชาการ และการสัมภาษณ์จากผทู้ รงคณุ วุฒใิ นชมุ ชน ซ่ึงไดข้ ้อมูลตรงกนั ดงั น้ี จากการสัมภาษณ์ท่านพระเดชพระคุณเจ้าคุณพระพิศาลประชานาถ เจ้าอาวาสวัดสุทธาราม ท่านได้ กล่าวถึง ทีม่ าของชุมชนสาเหร่ไว้ว่า “ชื่อ สาเหร่ มาจากดอกสาเหร่ที่แต่ก่อนมีเยอะมากในชุมชนแถวน้ี เพราะแถวนี้เป็นร่องสวน ต้นสาเหรเ่ ลยมีเยอะ แต่ตอนน้ีไม่เหลอื แลว้ หาดยู ากเหลอื เกิน เห็นวา่ ดอกมันสมี ว่ ง ๆ ต้นใชท้ ายาได้” จากคากล่าวข้างต้นสอดคล้องกับข้อมูลของคุณเมย์วิสา ที่ได้กล่าวถึง ท่ีมาของชุมชนสาเหร่ไว้ใน บทความออนไลน์เทคโนโลยีชาวบ้านสรุปได้ว่า ชุมชนสาเหร่มาจากชื่อ ของต้นโคลงเคลงที่อีกชื่อเรียกว่า ต้นสาเหร่ ซ่ึงในอดีตมีมากในบริเวณแถบน้นั โดยตน้ สาเหร่นั้นเปน็ พืชสมนุ ไพรชนดิ หน่งึ อีกดว้ ย นอกจากน้ีคุณบุษกร ผึ้งภักดี ยังได้กล่าวถึง ต้นสาเหร่ไว้ในบทความออนไลน์คลังทรัพยากร การศกึ ษาแบบเปิดสรุปได้ว่า ต้นสาเหร่ หรือ โคลงเคลง ในภาษาถ่นิ ภาคใต้เรียกตน้ มงั เร เป็นช่ือต้นไมช้ นดิ หนึ่ง ลาต้น และใบมีขนปกคลุม ดอกมีม่วงแดง ผลเม่ือสุกสีดา รสหวานกินได้ มีสรรพคุณ เป็นยาพื้นบ้าน ต้นต้มน้า กนิ แก้คอพอก แกอ้ าเจียนเปน็ เลือด ถา่ ยเป็นเลอื ด รากแกร้ อ้ นใน เป็นต้น จากข้อมูลท้ังหมดสรุปได้ว่า ชื่อชุมชนสาเหร่น้ันมีที่มาจากต้นสาเหร่ หรือต้นโคลงเคลงที่เคยมีมากใน พ้ืนท่ีชุมชนนี้แต่เดิมที่เคยเป็นสวนมาก่อน ซึ่งต้นสาเหร่นั้นเป็นพืชสมุนไพรชนิดหน่ึง ท่ีมีจุดเด่นท่ีดอก มีสมี ่วงเข้ม มีห้ากลีบ เกสรสีเหลอื งสดตดั กนั สวยงาม

ห น้ า | 30 ตอนที่ ๔ ผลจดั ทำถงุ หอมวิฬำรส์ ำเหร่ จากการออกแบบและจัดทาช้ินงาน ถุงหอมวิฬาร์สาเหร่ ทางคณะผู้จัดทาได้สร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมา และคดิ คาณวนต้นทนุ ดงั น้ี ถุงหอมวฬิ ำรส์ ำเหร่ แนวควำมคิด การทาบุหงาราไปน้ัน หากไม่มีถุงใส่ท่ีน่าสนใจ และมีเอกลักษณ์ก็ไม่สามารถดึงดูด ความสนใจของผู้คนได้ ด้วยเหตุน้ีคณะผู้จัดทาจึงออกแบบถุงหอมวิฬาร์สาเหร่ โดยสร้างถุงหอมลวดลายแมววิฬาร์กรุงเทพแมวท่ีมีถ่ินกาเนิดในกรุงเทพมหานคร และดอกสาเหร่ดอกไม้ที่เป็นชื่อของชุมชนขึ้น เพ่ือสร้างความน่าสนใจ และเอกลักษณ์ ให้กับช้ินงาน และสามารถตอ่ ยอดเป็นผลติ ภณั ฑ์ในชุมชนสืบไป วัสดุ - ผา้ ดิบแบบโปร่งขนาด ๑๒ x ๒๔ เซนตเิ มตร ๑ ช้ิน - ผ้าดิบสีม่วงอ่อนขนาด ๑๒ x ๑๕ เซนตเิ มตร ๑ ชิ้น - ปากกาสาหรบั เขียนผ้าสีดา สเี ขยี ว สมี ว่ งสลี ะ ๑ ดา้ ม - ริบบ้นิ ขนาดยาว ๖ เซนติเมตร ๑ ชน้ิ - กระดุม ๑ เมด็ - จกั รเยบ็ ผา้ ๑ คนั วธิ ีกำรทำ - นาผ้าดิบสีม่วงอ่อนมาวาดลวดลายดอกสาเหร่ด้วยปากกาสาหรับเขียนผ้าตามที่ได้ วางแผนออกแบบเอาไว้ - นาผ้าดิบสีน้าตาล และผ้าดิบสีม่วงอ่อนท่ีวาดลายเสร็จแล้วมาเยบ็ ประกบติดกันจน กลายเป็นถุง - นาริบบ้ินมาเย็บปลายทั้ง ๒ ด้านติดกัน และเย็บติดกับมุมปากถุง เพื่อให้กลัด กระดุม - เยบ็ กระดุมในจดุ ที่กาหนด เพอื่ ให้สามารถนาริบบ้นิ มาคล้องปดิ ถงุ ได้ - วาดลวดลายหน้าแมวลงบนผ้าดิบสนี ้าตาย - นาบหุ งาราไปมาใสใ่ นถุง รำคำตน้ ทุนตอ่ ชนิ ๑๕ บำท ภาพ บหุ งาราไป รปู แบบวิฬาร์สาเหร่

ห น้ า | 31 สรุปคณะผู้จัดทาสามารถจัดทาช้ินงานถุงหอมวิฬาร์สาเหร่ขึ้นได้สาเร็จ สามารถใช้งานได้จรงิ อีกทงั้ ยงั มรี ปู ลกั ษณท์ แ่ี ปลกตา นา่ สนใจ และมีเอกลกั ษณ์ ซึง่ สามารถนาไปตอ่ ยอดเป็นสินคา้ ประจาชุมชนได้ ตอนท่ี ๕ ผลกำรสำรวจควำมพึงพอใจในกล่ินนำหอม ท่ีใช้ทำบุหงำรำไป ของนักเรียนโรงเรียน มธั ยมวัดสทุ ธำรำม จากการสารวจความพึงพอใจในกล่ินน้าหอม ที่ใช้ทาบุหงาราไป ของนักเรียนโรงเรีย นมัธยม วดั สุทธาราม ไดผ้ ลดังตารางต่อไปนี้ ตำรำงท่ี ๑ ตำรำงสรุปควำมพึงพอใจในกลิ่นนำหอม ที่ใช้ทำบุหงำรำไป ของนักเรียนโรงเรียน มัธยมวัดสทุ ธำรำม คิดเปน็ ร้อยละ กลิ่นนำหอม / พงึ พอใจมำก พงึ พอใจ พงึ พอใจ พงึ พอใจน้อย พึงพอใจน้อยมำก พอสมควร ระดบั ควำมพึงพอใจ ทส่ี ุด มำก กลน่ิ ท่ี ๑ ๔๐.๐๐ ๒๒.๕๐ ๒๑.๖๗ ๑๒.๕๐ ๓.๓๓ กลิน่ ท่ี ๒ ๑๗.๕๐ ๒๕.๘๓ ๒๕.๘๓ ๒๐.๘๓ ๑๐.๐๐ กลน่ิ ท่ี ๓ ๒๑.๖๗ ๒๙.๑๗ ๒๙.๑๗ ๑๖.๖๗ ๓.๓๓ กลิ่นที่ ๔ ๓๔.๑๗ ๓๓.๓๓ ๑๕.๘๓ ๑๑.๖๗ ๕.๐๐ กลิ่นที่ ๕ ๓๙.๑๗ ๒๑.๖๗ ๒๑.๖๗ ๑๐.๐๐ ๗.๕๐ กลน่ิ ที่ ๖ ๓๑.๑๗ ๒๙.๖๗ ๒๑.๖๗ ๑๐.๐๐ ๗.๕๐ จากตารางสามารถสรุปได้ว่า กล่ินน้าหอมท่ีนักเรียนโรงเรียนมัธยมวัดสุทธารามพึงพอใจมากที่สุดคือ กลิ่นท่ี ๑ มผี ู้พงึ พอใจมากทส่ี ุดในกลิน่ นีค้ ิดเป็นร้อยละ ๔๐.๐๐ ของผู้ตอบแบบสอบถามทง้ั หมด อนั ดับที่ ๒ คือ กลน่ิ ที่ ๕ มผี ูพ้ ึงพอใจมากที่สุดในกลิ่นน้ีคิดเปน็ ร้อยละ ๓๙.๑๗ ของผู้ตอบแบบสอบถามท้งั หมด อันดบั ที่ ๓ คอื กล่นิ ที่ ๔ มผี พู้ งึ พอใจมากท่สี ุดในกลน่ิ น้คี ิดเปน็ ร้อยละ ๓๔.๑๗ ของผู้ตอบแบบสอบถามทง้ั หมด อนั ดบั ท่ี ๔ คือ กล่ินท่ี ๖ มีผู้พงึ พอใจมากทีส่ ุดในกลิ่นนคี้ ิดเป็นร้อยละ ๓๑.๑๗ ของผตู้ อบแบบสอบถามท้งั หมด อันดับที่ ๕ คอื กล่ินที่ ๓ มีผู้พึงพอใจมากท่ีสุดในกล่ินน้ีคิดเป็นร้อยละ ๒๑.๖๗ ของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด และอันดับ สดุ ทา้ ยคือ กลิ่นที่ ๒ ท่ีมีผู้พงึ พอใจมากทีส่ ุดในกลิ่นนคี้ ดิ เปน็ ร้อยละ ๑๗.๕๐ ของผู้ตอบแบบสอบถามท้ังหมด ตอนท่ี ๖ ผลกำรตังชื่อบหุ งำรำไปทัง ๖ กล่ิน และกำรแตง่ คำประพนั ธ์กำพย์เหช่ ม จากการศึกษาวิธีการแต่งกาพย์เห่ ที่ประกอบไปด้วย โคลงส่ีสุภาพ ๑ บท และกาพย์ยานี ๑๑ เพ่ือขยายความ คณะผู้จัดทาได้นาความรู้มาประยุกต์ใช้ในการแต่งคาประพันธ์ท่ีสอดคล้องกับช่ือของกล่ิน บุหงาราไปทัง้ ๖ กลนิ่ ทไ่ี ดจ้ ดั ทาข้ึน ดงั ตอ่ ไปน้ี “บุหงาสง่ กล่ินฟงุ้ ตรงึ ใจ พเ่ี อย หกกลิ่นลวงหทัย พ่ีเฝ้า คะนงึ นกึ ฝันใฝ่ ถึงนุช แม่นา ยอดรกั พ่คี อื เจ้า นชุ น้องหนงึ่ เดยี ว บุหงาราไปหอม หกกลิ่นกลอ่ มปรงุ ดวงจิต คะนงึ ถึงยอดมิตร ผู้แนบชิดสนิทใจ กลิน่ แรก สรำญรมย์ ดังได้ชมยอดหทยั กลน่ิ สองนาม ชมไพร ครั้งอยใู่ กลม้ ิหา่ งกัน

ห น้ า | 32 กลิ่นสาม ใจพิสทุ ธิ์ งามเหมอื นนุชน้องในฝนั กลน่ิ สี่ ดจุ สวรรค์ เคียงคู่กันมิพรากไกล กลิ่นหา้ จันทรก์ ระจ่ำง แสงสว่างส่องฤทยั กล่ินหก กลำงดวงใจ คอื อรทยั ยอดชวี ัน” โดยผู้จัดทาได้ตั้งช่ือกลิ่นบุหงาราไป โดยใช้หลักการเขียนคาคล้องจอง ซึ่งมีรายชื่อที่เรียงร้อยต่อกันได้ ดงั นี้ สราญรมย์ ชมไพร ใจพสิ ทุ ธ์ิ ดุจสวรรค์ จนั ทร์กระจำ่ ง กลำงดวงใจ ซ่งึ ตรงตามหลกั การสร้างคาคล้องจอง และคาขวัญในวชิ าภาษาไทย โดยชอ่ื แรกนั้นจะเปน็ ช่ือท่มี ีผู้ตอบ แบบสอบถามความพงึ พอใจมากทีส่ ดุ เรยี งลาดบั จนถึงลาดบั ที่ ๖ อีกดว้ ย

ห น้ า | 33 บทที่ ๕ สรปุ ผล อภปิ รำยผล และข้อเสนอแนะ สรปุ อภปิ รำยผลกำรศกึ ษำ และกำรทดลอง จากการจัดทาโครงงานภาษาไทย เรื่อง วิฬาร์มาลีสาเหร่ คณะผู้จัดทาได้ศึกษา สารวจ และลงมอื ปฏบิ ัติ ซง่ึ สามารถสรุป และอภปิ รายผลไดด้ งั นี้ ๑. จากการศึกษาประวัติความเป็นมา และสารวจวรรณคดีที่มีส่วนเก่ียวข้องกับบุหงาราไป พบว่า บุหงาราไปเป็นวัฒนธรรมท่ีมาจากชวา และสันนิษฐานได้ว่าอาจเป็นที่รู้จักของชนชาวไทยคร้ังแรก ในสมัยอยุธยาตอนปลาย และเร่ิมแพร่หลายในสมัยรัตนโกสินทร์ช่วงก่อนได้รับอิทธิพลตะวันตก จากหลักฐาน ที่ปรากฏในวรรณคดีท้ัง ๓ เร่ืองที่มีความเก่ียวพันกัน ซ่ึงผลของการสารวจวรรณคดีที่เกี่ยวข้องกับบุหงาราไป พบว่ามีวรรณคดีท่ีเกี่ยวข้องเพียง ๓ เร่ือง ดังท่ีกล่าวไว้ข้างต้น โดยบทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย มีการกล่าวถึงเรื่อง บุหงาราไปมากท่ีสุด ท้ังวัตถุดิบ วิธีการทา และการนาไปใช้อกี ดว้ ย ๒. จากการศึกษาสูตรการทาบุหงาราไปท้ังสองสูตร พบว่าสูตรที่ ๑ นั้นใช้ต้นทุนในการทาค่อนข้างสงู เนื่องจากพิมเสนบด และกายานราคาค่อนข้างสูง และอุปกรณ์บางชิ้นหายากจนเกินไป เช่น ทวน ตะกรัน อีกท้ังยังมีวิธีการทาท่ีซับซ้อน จึงเลือกสูตรที่ ๒ เป็นสูตรหลัก โดยดัดแปลงอุปกรณ์เท่าท่ีหาได้ คือ ทวน ใช้ไม้แขวนเสื้ออลูมิเนียมดัดเป็นรูปแทน ซึ่งผลที่ได้ไม่ต่างจากสูตรแรก จึงได้ดัดแปลงสูตร และวิธีในการทา ข้ึนใหม่ ท้ังน้ีบุหงาราไปสูตรท่ีได้ทดลองทานั้น ผลที่ได้เป็นที่น่าพอใจเช่นเดียวกับสูตรท่ี ๒ แต่ใช้เวลาน้อยกว่า อีกทัง้ ยังตน้ ทนุ ต่ากว่าสตู รที่ ๑ อกี ดว้ ย จึงเป็นสตู รทสี่ มควรพัฒนาต่อไป ๓. จากการศึกษาเรื่องวิฬาร์กรุงเทพ และที่มาชองช่ือชุมชนสาเหร่ พบว่าแมววิฬาร์กรุงเทพนั้น เป็นแมวสายพันธุ์ใหม่ที่มีถ่ินกาเนิดอยู่ในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันพบในปริมาณ ๒๕ – ๓๐ ตัว ท่ีมาของช่ือ วิฬาร์กรุงเทพ คือ การแสดงจุดยืนในสถานะของแมวสายพันธุ์น้ีว่า เป็นแมวท่ีเกิดในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ลกั ษณะของแมวชนดิ น้คี ือ มีขนสนี า้ ตาลอ่อนคลา้ ยสกี าแฟ อ้งุ เทา้ และปลายจมูกมีสชี มพู ดวงตา มีสีเหลือง หรือเหลืองอมเขียว เป็นต้น ในส่วนของที่มาของช่ือชุมชนสาเหร่นน้ั พบว่าชื่อชุมชนสาเหรน่ ั้นมีท่ีมา จากต้นสาเหร่ หรือต้นโคลงเคลงท่ีเคยมีมากในพื้นที่ชุมชนนี้แต่เดิมที่เคยเป็นสวนมาก่อน ซึ่งต้นสาเหร่น้ัน เป็นพืชสมนุ ไพรชนดิ หนง่ึ ทีม่ จี ุดเด่นท่ีดอกมสี ีม่วงเขม้ มหี ้ากลีบ เกสรสเี หลืองสดตัดกนั สวยงามอีกด้วย ๔. จากการจัดทาชิ้นงานถุงหอมวิฬาร์สาเหรค่ ณะผู้จัดทาสามารถจัดทาช้ินงานถุงหอมวิฬาร์สาเหร่ข้ึน ได้สาเร็จ สามารถใช้งานได้จริง อีกท้ังยังมีรูปลักษณ์ที่แปลกตา น่าสนใจ และมีเอกลักษณ์ ซ่ึงสามารถนาไป ต่อยอดเป็นสินค้าประจาชุมชนได้ ๕. คณะผู้จดั ทาไดส้ ารวจความพึงพอใจต่อกลิน่ ของบหุ งาราไปทไ่ี ด้ผลิตขนึ้ จากกลุ่มประชากรนกั เรียน โรงเรียนมัธยมวัดสุทธารามจานวน ๑๐๐ คน โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ซ่ึงได้ผลเป็นท่ีน่าพอใจ และใช้ผล ทีไ่ ด้สาหรบั ปรบั ปรงุ ผลงานต่อไป อกี ทง้ั นามาเรียงลาดบั เพื่อตง้ั ชอ่ื กล่ินอกี ด้วย ๕. คณะผู้จัดทาสามารถใช้ทักษะการแต่งคาประพันธ์กาพย์เห่ ซ่ึงประกอบไปด้วยโคลงสี่สุภาพ และกาพย์ยานี ๑๑ โดยอธิบายสอดคล้องกับช่ือของกลิ่นของบุหงาราไปได้ท้ัง ๖ กลิ่น และสามารถนาช่ือ มาเรยี งเปน็ คาคล้องจอง เหมอื นคาขวญั ได้อีกด้วย จากท่ีกล่าวมาทั้งหมดข้างต้นเป็นการยืนยนั ว่า โครงงานฉบับนี้สามารถทาได้จริง และทาให้ผู้จัดทาได้ ฝกึ ทกั ษะต่าง ๆ มากมาย ท้ังด้านวิชาการ ในกลุม่ สาระการเรยี นภาษาไทย ทั้ง ๕ มาตรฐาน คือ

ห น้ า | 34 มาตรฐานท่ี ๑ การอา่ น ท ๑.๑ ม ๔ – ๖/๒ ตีความ แปลความ และขยายความเร่อื งทีอ่ ่าน ท ๑.๑ ม ๔ – ๖/๓ วิเคราะหแ์ ละวจิ ารณ์เรอื่ งที่อ่านในทกุ ๆ ด้านอยา่ งมเี หตผุ ล ท ๑.๑ ม ๔ – ๖/๔ คาดคะเนเหตกุ ารณ์จากเรื่องท่ีอ่าน และประเมนิ คา่ เพือ่ นาความรู้ ความคดิ ไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหาในการดาเนินชีวิต ท ๑.๑ ม ๔ – ๖/๕ วิเคราะห์ วิจารณ์ แสดงความคดิ เหน็ โตแ้ ยง้ กบั เรอ่ื งท่ีอา่ น และเสนอ ความคิดใหมอ่ ยา่ งมเี หตุผล ท ๑.๑ ม ๔ – ๖/๗ อา่ นเรือ่ งตา่ ง ๆ แลว้ เขียนกรอบแนวคิดผงั ความคดิ บนั ทกึ ยอ่ ความ และรายงาน ท ๑.๑ ม ๔ – ๖/๘ สงั เคราะหค์ วามรู้จากการอ่านสือ่ สิ่งพมิ พ์ สอ่ื อิเล็กทรอนกิ สแ์ ละ แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ มาพัฒนาตน พฒั นาการเรียน และพฒั นาความรู้ ทางอาชีพ มาตรฐานท่ี ๒ การเขยี น ท ๒.๑ ม ๔ – ๖/๑ เขยี นสอ่ื สารในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ตรงตามวตั ถปุ ระสงค์ โดยใช้ภาษา เรยี บเรยี งถกู ต้อง มขี ้อมูล และสาระสาคญั ชดั เจน ท ๒.๑ ม ๔ – ๖/๓ เขียนยอ่ ความจากสอ่ื ทม่ี ีรูปแบบ และเนือ้ หาหลากหลาย ท ๒.๑ ม ๔ – ๖/๔ ผลิตงานเขียนของตนเองในรปู แบบต่าง ๆ ท ๒.๑ ม ๔ – ๖/๕ ประเมนิ งานเขยี นของผูอ้ ื่น แลว้ นามาพัฒนางานเขียนของตนเอง ท ๒.๑ ม ๔ – ๖/๖ เขยี นรายงานการศกึ ษาคน้ ควา้ เรื่องทีส่ นใจตามหลักการเขียนเชงิ วชิ าการ และใช้ขอ้ มูลสารสนเทศอ้างอิงอย่างถกู ต้อง มาตรฐานท่ี ๓ การฟงั การดู และการพูด ท ๓.๑ ม ๔ – ๖/๑ สรปุ แนวคดิ และแสดงความคดิ เห็นจากเร่ืองทฟ่ี งั และดู ท ๓.๑ ม ๔ – ๖/๒ วิเคราะห์ แนวคดิ การใช้ภาษา และความน่าเช่ือถอื จากเร่ืองที่ฟังและดู อย่างมเี หตุผล ท ๓.๑ ม ๔ – ๖/๓ ประเมินเร่ืองท่ีฟังและดู แล้วกาหนดแนวทางนาไปประยกุ ตใ์ ชใ้ น การดาเนินชวี ิต ท ๓.๑ ม ๔ – ๖/๔ มวี จิ ารณญาณในการเลอื กเร่อื งที่ฟงั และดู ท ๓.๑ ม ๔ – ๖/๕ พดู ในโอกาสต่าง ๆ พูดแสดงทรรศนะโตแ้ ย้ง โน้มน้าวใจ และเสนอแนวคิดใหม่ ด้วยภาษาถกู ตอ้ งเหมาะสม มาตรฐานที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย ท ๔.๑ ม ๔ – ๖/๕ แตง่ บทรอ้ ยกรอง มาตรฐานที่ ๕ วรรณคดวี รรณกรรม ท ๕.๑ ม ๔ – ๖/๒ วเิ คราะห์ลกั ษณะเดน่ ของวรรณคดีเชื่อมโยงกบั การเรยี นรู้ ทางประวตั ศิ าสตร์และวถิ ีชีวิตของสังคมในอดีต ท ๕.๑ ม ๔ – ๖/๓ วิเคราะห์และประเมนิ คุณคา่ ดา้ นวรรณศิลปข์ องวรรณคดแี ละวรรณกรรม ในฐานะทเ่ี ปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของชาติ ท ๕.๑ ม ๔ – ๖/๔ สงั เคราะหข์ อ้ คดิ จากวรรณคดีและวรรณกรรมเพ่ือนาไปประยกุ ต์ใช้ ในชีวติ จริง

ห น้ า | 35 ทั้งยังสอดคล้องกับแนวทางในการจัดการศึกษาแห่งชาติ และนโยบายทางการศึกษาของ กรุงเทพมหานคร ที่เน้นให้นักเรียนเป็น ผู้มีองค์ความรู้ ผู้สร้างสรรค์นวัตกรรม ผู้มีทักษะในการดารงชีวิต ในสังคมโลกแหง่ ศตวรรษที่ 21 ทสี่ ร้างสรรค์สังคมให้ยง่ั ยืนและเข้มแข็งสบื ไป ปญั หำและขอ้ เสนอแนะ ๑. ปัญหาอุปสรรค ๑.๑ พน้ื ทใ่ี นการผ่ึงดอกไมม้ จี ากัด จึงไม่สามารถผงึ่ ดอกไม้ครั้งละมาก ๆ ได้ ๑.๒ อุปกรณ์บางอยา่ งหาค่อนข้างยาก เช่น ทวน ตะกรนั เป็นต้น ๑.๓ วัตถดุ บิ บางชนิดค่อนข้างแพง เช่น กายาน พมิ เสน ๒. การแกไ้ ขปัญหาอุปสรรค ๒.๑ ขอใชส้ ถานที่อืน่ เชน่ บรเิ วณหนา้ ห้องพักครู เพื่อใชใ้ นการผง่ึ ดอกไม้ ซง่ึ มพี ้นื ทก่ี ว้างกว่า ในหอ้ งเรียน อีกท้งั ยงั ไม่มีสิ่งรบกวน ๒.๒ ดัดแปลงวัสดุให้มีความคล้ายคลึงกับอุปกรณ์ท่ีเราต้องการ เช่น ทวน และตะกรัน ใช้ไมแ้ ขวนเสือ้ อลูมิเนียมดัดเป็นโครงแทน เป็นต้น ๒.๓ ปรับปรุงสูตรที่ใช้ได้คล้ายกันแทน เช่น อบควันเทียนนานขึ้นแทนการอบกายาน ใชก้ ล่ินน้าหอมแทนกลิน่ พมิ เสน ๓. ข้อเสนอแนะ ๓.๑ ควรเตรียมการทาโครงงานแต่เน่ิน ๆ เน่ืองจากใช้เวลาทาค่อนข้างนาน เพราะเป็นงาน ท่ีละเอยี ดอ่อน ๓.๒ ควรผ่ึงดอกไม้แต่ในรม่ เทา่ นนั้ และควรเปน็ ทล่ี มผ่านได้ ไมเ่ ช่นนัน้ ดอกไมจ้ ะเน่า ๓.๓ สามารถนาช้ินงานที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในงานประดิษฐ์อื่น ๆ ได้อีกหลายอย่าง และสามารถนาไปใชต้ อ่ ยอดอาชีพในอนาคตได้ ๓.๔ สามารถต่อยอด และเผยอแพร่ความรู้ และทักษะท่ีได้สู่ชุมชนโดยรอบ เพ่ือพัฒนา เป็นสินค้าประจาชมุ ชนสาเหรต่ อ่ ไป

ห น้ า | 36 บรรณำนุกรม กุหลาบ มลั ลกิ ะมาส. ควำมรทู้ ั่วไปทำงวรรณคดีไทย. กรุงเทพมหานคร: สานักพมิ พม์ หาวิทยาลยั รามคาแหง, ๒๕๕๕ ครูแป๋ว กัลยานี. บุหงาราไป. https://www.gotoknow.org/posts/539184 เข้าถึงเมื่อ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เคร่ืองหอมไทยฉวีวรรณ. การทาบุหงาราไป.https://www.youtube.com/watch?v=xFcP giny3u8 เขา้ ถึงเมอ่ื วนั ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ จับเขาเล่าเร่ืองประวัติศาสตร์. บุหงาราไป. https://th-th.facebook.com/thaihistorytalk/ posts/397036370426686 เขา้ ถงึ เมื่อ วันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ดอกไม้ไทย. ดอกไม้หอมไทย. https://sites.google.com/site/dxkmihxmthiy/dxkmi-hxm-ni- wrrnkhdi เข้าถงึ เม่ือ วันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ นนั ทวัน กล่นิ จาปา. เครื่องหอมไทย ภูมปิ ัญญำไทย. กรุงเทพมหานคร: สานักพมิ พ์เอเชยี เพรส, 2545. นาวินี หลาประเสรฐิ . หลกั ภำษำไทย และกำรใชภ้ ำษำไทย ชันมัธยมศกึ ษำปที ี่ ๑. กรุงเทพมหานคร: สานกั พิมพ์ บรษิ ัทพัฒนาคุณภาพวชิ าการ (พว.) จากัด, ๒๕๕๘ บษุ กร ผง้ึ ภกั ดี. มังเร .https://oer.learn.in.th/search_detail/result/268555# เขา้ ถึงเมื่อ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เพื่อนคู่คิด. การทาบุหงาราไ ป .https://www.youtube.com/watch?v=QrDGA5B4PH0 เขา้ ถงึ เม่อื วันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ รน่ื ฤทยั สัจจพันธ์ุ. ควำมรู้ทวั่ ไปทำงภำษำไทย ตอนที่ ๓ วรรณคดีไทย. กรงุ เทพมหานคร: สานกั พิมพ์มหาวิทยาลยั รามคาแหง, ๒๕๕๖ วิศัลยศ์ ยา รดุ ดิษฐ์ . วรรณคดีและวรรณกรรม ชนั มธั ยมศกึ ษำปที ่ี ๑. กรุงเทพมหานคร: สานักพมิ พ์ บริษทั พฒั นาคณุ ภาพวชิ าการ (พว.) จากัด, ๒๕๕๘ เมย์วิสา.โคลงเคลง นักเลงกินโคลงเคลง แล้วไปโคลงเรือ หรือ…โค-ลงเรือ เรือจึงโคลงเคลง. https: / / www. technologychaoban. com/ flower- and- decorating- plants/ article_124722 เขา้ ถึงเมอื่ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ Howl. วิฬาร์กรุงเทพ . https://www.readhowl.com/2018/03/20/wila-krungthep/เข้าถึง เมอ่ื วันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ SporkDarkTV. แมววิฬำร์กรุงเทพ .https://www.youtube.com/watch?v=XcJ2xHCrDXQ เข้าถงึ เม่อื วนั ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕

ห น้ า | 37 ภาคผนวก

ห น้ า | 38 บันทึกกำรประชมุ ครงั้ ท่ี ๑ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ วาระที่ ๑ ประธานในท่ีประชมุ แจง้ ใหผ้ ู้รวมประชมุ ทราบถงึ หัวข้อในการทาโครงงาน วาระท่ี ๒ – วาระท่ี ๓ ประธานแบ่งใหผ้ ู้เข้ารว่ มการประชมุ แบง่ หน้าที่ของตนเองในการทาโครงงาน โดย นายกิตติธรณ์ รบั หน้าทศี่ ึกษาเนื้อหาต่าง ๆ นางสาววีรยา รับหนา้ ท่ีจัดทาแบบสอบถาม และนายอนนั ตสิทธิ์รบั หน้าท่ีจดั เตรียมอปุ กรณ์ วาระที่ ๔ ผเู้ ขา้ รว่ มประชมุ ทาตามหน้าทที่ ี่ได้รับมอบหมายไป วาระที่ ๕ – ........................................................ ผู้บนั ทกึ การประชุม (นายกติ ติธรณ์ โสมาลา) ...................................................... รบั รองการประชมุ (นายสญั ญา อาภาสโชคทว)ี

ห น้ า | 39 บันทึกกำรประชมุ คร้งั ท่ี ๒ วนั ที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕ วาระท่ี ๑ ประธานในท่ปี ระชุมแจง้ ผลการทาโครงงานท่ีคืบหน้าไป วาระที่ ๒ รับรอง วาระที่ ๓ ประธานติดตามงานทใี่ ห้สมาชิกแต่ละคนดาเนนิ งาน โดย นายกิตตธิ รณ์ รบั หนา้ ทศี่ ึกษาเนื้อหาตา่ ง ๆ และไดท้ ดลองทาไดผ้ ลเปน็ ทน่ี า่ พึงพอใจแลว้ นางสาววีรยา รับหน้าท่จี ดั ทาแบบสอบถาม และได้ลงมือสารวจเรียบร้อย พรอ้ มสรุปผลแล้ว และนายอนันตสิทธ์ิรบั หน้าที่จัดเตรยี มอุปกรณ์ไดเ้ กือบครบถว้ นสมบูรณ์แล้ว วาระท่ี ๔ ผ้เู ข้ารว่ มประชุมก็บรวมรวมและสรุปผลการดาเนินงานวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๕ วาระท่ี ๕ – ........................................................ ผู้บนั ทกึ การประชุม (นายกติ ติธรณ์ โสมาลา) ...................................................... รับรองการประชุม (นายสัญญา อาภาสโชคทว)ี

ห น้ า | 40 แบบสำรวจควำมพึงพอใจในกลนิ่ นำหอม ทใ่ี ช้ทำบุหงำรำไป ของนกั เรียนโรงเรยี นมธั ยมวัดสุทธำรำม กลิน่ นำหอม / พงึ พอใจมำก พึงพอใจ พงึ พอใจ พึงพอใจน้อย พึงพอใจน้อยมำก ระดบั ควำมพึงพอใจ ท่ีสดุ มำก พอสมควร กลิ่นที่ ๑ กลน่ิ ท่ี ๒ กลน่ิ ที่ ๓ กล่ินท่ี ๔ กลน่ิ ท่ี ๕ กลิน่ ท่ี ๖

ห น้ า | 41 ภำพกำรจัดทำโครงงำนภำษำไทย “วฬิ ำร์ มำลี สำเหร”่ ภำพที่ ๑ กำรศกึ ษำหำขอ้ มลู จำกส่ือตำ่ ง ๆ ภำพที่ ๒ วตั ถุดบิ ที่ใช้ในกำรทำบุหงำรำไป

ห น้ า | 42 ภำพที่ ๓ อปุ กรณท์ ่ใี ชท้ ำบุหงำรำไป ภำพท่ี ๔ คณะผจู้ ดั ทำกำลังลงมอื ทำชินงำนบหุ งำรำไป

ห น้ า | 43 ภำพท่ี ๕ คณะผจู้ ดั ทำกำลังลงมือทำชนิ งำนบุหงำรำไป ภำพที่ ๖ คณะผจู้ ดั ทำออกแบบลำยผ้ำดอกสำเหร่


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook