Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เซลล์ของสิ่งมีชีวิต-2559

เซลล์ของสิ่งมีชีวิต-2559

Published by pattranit2106, 2021-08-09 01:56:47

Description: เซลล์ของสิ่งมีชีวิต-2559

Search

Read the Text Version

เซลลข์ องสง่ิ มชี ีวิต (Cell of organisms) อาจารย์กติ ตศิ ักด์ิ จนั ทร์สขุ สาขาการแพทย์แผนไทยประยกุ ต์ วิทยาลัยสหเวชศาสตร์

การจัดโครงสร้างของเซลล์ (Cellular Organisation) ในปี ค.ศ. 1830 Schwan นักสัตวศาสตร์ และ Schleiden ท้ังสองเป็นชาว เยอรมัน แถลงว่า “พืชและสัตว์ประกอบด้วยหน่วยย่อยซ่ึงเป็นหน่วยท่ีเล็กท่ีสุดของ สิ่งมชี ีวติ ” ตอ่ มาถกู เรียกว่า “เซลล”์ ซึ่งเป็นหน่วยโครงสรา้ งและทาหน้าทข่ี องสิ่งมีชีวติ

เซลล์ เซลล์สามารถเพ่ิมจานวนได้ เซลล์ปกติมีขนาดแตกต่าง กนั ไปแล้วแต่ชนดิ เซลลส์ ่วนใหญม่ ีขนาดเล็ก แมว้ ่าเซลล์จะมีขนาด เล็ก แตเ่ ซลลก์ ็มีพื้นที่ผิวมากสาหรับการผ่านเข้าออกของสารต่างๆ ได้แก่ สารอาหารและของเสีย ภาพ เปรียบเทียบขนาดของเซลล์ สิง่ มีชวี ิตและสว่ นประกอบของเซลล์

เซลล์

เซลล์

เซลล์

โครงสร้างและหนา้ ที่ของเซลล์ (structure and function)

เซลล์

ชน้ั สารเคลอื บเซลล์ (Cell Coat) 1. ผนงั เซลล์ (Cell wall) ผนังเซลล์พบในเซลล์พืช, สาหร่าย, ผนงั เซลล์ของแบคทีเรยี ซ่ึงประกอบดว้ ยสารเพปทโิ ด แบคทีเรีย, เห็ด, รา, ยีสต์ แต่ไม่พบใน ไกลแคน โดยไมม่ เี ซลลโู ลสแต่อย่างใด เซลล์สตั ว์ - เป็นชั้นที่มีความแข็งแรง ทนทาน ชว่ ยใหเ้ ซลลท์ รงรปู อยู่ได้ - ป ร ะ ก อ บ ข้ึ น จ า ก เ ซ ล ลู โ ล ส (Cellulose) เป็นสาคัญ สาหรับในพืช และสาหร่าย - ส่ ว น ใ น แ บ ค ที เ รี ย แ ล ะ สาหร่ายสีเขียวแกมน้าเงินประกอบขึ้น จ า ก ส า ร เ พ ป ทิ โ ด ไ ก ล เ ค น (Peptidoglycan) (สารเชิงซ้อนของ คารโ์ บไฮเดรตและเพปไทด์)

1. ผนังเซลล์ (Cell wall) ชัน้ สารเคลอื บเซลล์ (Cell Coat) สารชนิดอื่นๆ เป็นองค์ประกอบข้ึนกับ DIATOMS สิง่ มีชีวติ เชน่ 1. ในไดอะตอม จะมซี ิลิกา (Silica) 2. ในเหด็ รา จะมไี คติน (Chitin) 3. ในพืชจะมีพวกลิกนิน (Lignin) และเพ คติน (Pectin) เป็นต้น โดยในเซลล์พืชนั้น เซลลโู ลส เปรยี บเสมือนโครงเหล็ก ส่วนลกิ นินและ เพคตนิ เปรยี บเสมอื นคอนกรีตลอ้ มรอบโครงเหล็ก

ช้ันสารเคลอื บเซลล์ (Cell Coat) 2. ไกลโคแคลกิ ซ์ (Glycocalyx) - ชน้ั ออ่ นนุ่มพบในเซลล์ประกอบ ข้ึ น จ า ก ส า ร พ ว ก โ ป ร ตี น แ ล ะ คาร์โบไฮเดรต จึงเรียก ไกลโค โปรตีน (Glycoprotein) - ทาหน้าท่ีรับรู้ระหว่างเซลล์ข้อง เคียง (Recognition) - ถ้าสญู เสยี การรับรู้ระหว่างเซลล์ ข้างเคียงจะทาให้เซลล์แบ่งตัว ไม่หยุดยั้ง ทาให้เกิดเน้ืองอก และเปน็ มะเรง็ ในที่สุด

เย่อื หุม้ เซลล์ (Cell membrane) เยอื่ ห้มุ เซลล์ (Cell membrane) โครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์มี 2 แนวคดิ ทีส่ าคัญ คอื Unit membrane และ Fluid mosaic model 1. เย่ือยูนิต (Unit membrane) : ไขมันจะเรียงตัวเป็น 2 ช้ัน และมีโปรตีนขนาบอยู่ 2 ข้างของไขมนั 2. ฟลอู ิด –โมเสค โมเดล (Fluid – mosaic model) : ไขมนั จะเคลอื่ นทไ่ี ด้และมีโปรตีน ลกั ษณะเปน็ ก้อนแทรกอยูใ่ นระหวา่ งช้นั ของไขมนั นกั ชวี วิทยา ยอมรับฟลอู ิด –โมเสค โมเดลมากวา่

เยื่อห้มุ เซลล์ (Cell membrane) นักชีววิทยายอมรับมากในปัจจุบันคือ ฟลูอิด-โม เซคโมเดล (Fluid mosaic model) ซ่ึงเสนอโดยนักชีววิทยา ที่ชือ่ ว่า Nicolson (1972) ไดเ้ สนอวา่ เยื่อหุ้มเซลล์เป็น fluid phospholipid bilayer โดยมีโมเลกุลของโปรตีนทั้งท่ีเป็นบางส่วน (peripheral protein) และท่ีฝังอยู่ในเยื่อหุ้มเซลล์ (integral protein) โมเดลนี้ถูกสนับสนุนมากเพราะเป็นการศึกษา ภายใต้กล้องจุลทรรศนอ์ ิเล็กตรอน

เยือ่ หุ้มเซลล์ (Cell membrane) โครงสร้างของเย่อื หมุ้ เซลล์แบบฟลอู ิด-ไมเซคโมเดล 1. Phospholipid bilayer Phospholipid เป็นสาร Amphipathic - Hydrophilic head (Polar) - Hydrophobic head (Nonpolar) \"Amphipathic molecule\" หมายความว่าในโมเลกุล มีทั้งส่วนที่เป็น \"hydrophillic\" หรือส่วนท่ีชอบน้า และ ส่วนที่เป็น \"hydrophobic\" หรือส่วนที่ไม่ชอบน้า โดยจะหันส่วนท่ีเป็น Hydrophobic ชนกันอยู่ตรง กลางหันสว่ นที่ชอบนา้ ออกดา้ นนอก

เย่อื หมุ้ เซลล์ (Cell membrane) โครงสร้างของเยอ่ื หุ้มเซลล์แบบฟลูอิด-ไมเซคโมเดล 2. Protein -Peripheral protein - Integral protein 3. สารประกอบอน่ื ๆ - Carbohydrate (Oligosaccharide) - Glycoprotein - Glycolipid - Cholesterol

เยือ่ หุม้ เซลล์ (Cell membrane) หนา้ ทข่ี องเยือ่ หมุ้ เซลล์ แสดงขอบเขตของเซลล์ คัดเลือกสารท่ีจะผา่ นเข้าออกเซลล์ เรียก ว่า มีคุณสมบั ติเป็นเย่ือ เลือ กผ่า น (Semipermeable หรือ Selective หรือ Differentially permeable membrane) ซึ่งเป็นส่วนสาคัญในการดารง สภาวะสมดุลของเซลลช์ ว่ ยให้เซลล์ดารงสภาพอยู่ได้ จึงเป็น ส่วนสาคัญท่ีสุดของเซลล์

เยอ่ื หมุ้ เซลล์ (Cell membrane) หนา้ ท่ีของเยอ่ื หมุ้ เซลล์ กลายเปน็ โครงสรา้ ง ในแบคทีเรีย พบว่า เย่ือหุ้มเซลล์จะยื่นเข้าไปข้างในกลายเป็นโครงสร้างที่เรียกว่า Mesosome ซึ่งเปน็ ตาแหน่งท่ี - สงั เคราะห์ดว้ ยแสงของแบคทเี รียท่ีสงั เคราะหด์ ้วยแสงได้ - ตรงึ ไนโตรเจนในวัฏจกั รของไนโตรเจน - หายใจแบบใช้ O2

เยื่อหมุ้ เซลล์ (Cell membrane) หน้าท่ีของเย่ือห้มุ เซลล์ เพมิ่ พ้ืนทผ่ี วิ เยอื่ หมุ้ เซลลใ์ นเซลลบ์ างชนดิ จะย่ืนออกไป เพ่ือเพิ่มพื้นท่ีผิว เช่น microvilli ของ เซลล์บทุ ่อของหนว่ ยไตและของ villus ลาเลียงสารทจ่ี ะผา่ นเขา้ -ออกเซลล์ โดยที่เย่ือหุ้มเซลล์จะมีโปรตีนที่เป็นพาหะ (Carrier protein) ทาหน้าท่ีลาเลียงสารท่ีเซลล์ต้องการ เช่น ใน กระบวนการลาเลียงสารแบบแอกทีฟทรานสปอร์ต (Active transport) จะตอ้ งอาศัยโปรตีนพาหะเหลา่ นี้

เซลล์

ไซโทพลาซมึ (cytoplasm) Cytoplasmic inclusion เป็นส่วนท่ีไม่มีชีวิต เช่น อาหารสะสม ได้แก่ หยดไขมนั เม็ดแป้งหรือพวกผลกึ ตา่ งๆ Organelle (ออร์แกเนลล์) เป็นโครงสร้างท่ีทาหน้า ท่ีเฉพาะอย่างของเซลล์ เปรียบเสมือนบุคลากรในบริษัท หรือคนงานในโรงงาน Organelle (ออรแ์ กเนลล์) อตุ สาหกรรม แบง่ ออกเป็น 3 ชนดิ 1. มเี ย่ือยูนิตชน้ั เดียว : รา่ งแหเอนโดพลาซึม, กอลจิ คอมเพลกซ์, ไลโซโซม, แวคิวโอล 2. มเี ยอ่ื ยูนติ 2 ชน้ั : ไมโทคอนเดรีย, คลอโรพลาสต,์ นวิ เคลยี ส 3. ไม่มเี ยอื่ หมุ้ : อนิ เทอร์มีเดยี ท ฟิลาเมนต์, ไมโครฟลิ าเมนต์, ไมโครทิวบูล, เซนทริโอล, ไรโบโซม

รา่ งแหเอนโดพลาซึม (endoplasmic reticulum) มลี ักษณะเป็นเย่อื บางๆ ชัน้ เดยี วพบั ซอ้ น ไปมา แบ่งเป็น 2 ชนิด 1 ร่างแหเอนโดพลาซึมชนดิ ขรขุ ระ หรอื ชนดิ หยาบ (Rough endoplasmic reticulum = RER) โครงสร้างเป็น ER ทีม่ ไี รโบโซมเกาะ อยู่มากมายอยู่ 2 ร่างแหเอนโดพลาซึมชนดิ เรยี บ (Smooth endoplasmic recticulum = SER) โครงสร้างเปน็ ER ท่ีไมม่ ีไรโบโซม เกาะอยู่

รา่ งแหเอนโดพลาซมึ (endoplasmic reticulum) หนา้ ที่ สรา้ งโปรตีนส่งออกไปใช้นอกเซลล์ พบมากในตับอ่อน ลาใสเ้ ล็ก ต่อมใตส้ มอง 1. สร้างไขมนั เติมเข้าไปในโปรตนี ทีส่ ร้างจาก RER กลายเปน็ lipoprotein 2. สร้างสารสเตยี รอยด์ จึงพบมากในตอ่ มหมวกไต ชน้ั นอก คอรป์ สั ลเู ทียมในรงั ไข่และเซลล์อนิ เตอร์ สตเิ ชียลในอณั ฑะ 3. กาจัดสารพิษในร่างกายจึงพบ SER มากในเซลล์ ตับ 4. ดดู ซมึ ไขมนั พบมากในเซลลผ์ นังของวิลลสั

กอลจิ คอมเพลกซ์ (Golgi complex) โครงสร้าง ลักษณะเป็นถงุ แบนๆ โดยปลายถงุ พองเป็นกระเปาะ และเรียงซ้อนกนั เป็นตั้งๆ ตงั้ ละ 5-15 ถุง

กอลจิ คอมเพลกซ์ (Golgi complex) หนา้ ท่ี 1. รบั โปรตนี มาจาก RER แล้วนามาตกแตง่ โดย - อดั ให้แน่น - สร้างคาร์โบไฮเดรตเพิม่ เตมิ เขา้ ไปกลายเป็น glytoprotein - สร้างเย่ือลอ้ มรอบโปรตีนและหลุดออกมาเป็นถุง (vesicle) 2. สร้างคาร์โบไฮเดรตโมเลกลุ ใหญ่ เช่น แปง้ ไกลโคเจน เซลลโู ลส 3. สร้างสารอนี าเมล (enamel) เคลอื บฟนั 4. สรา้ งเมือก จงึ พบมากในตอ่ มสร้างเมือก ต่อมนา้ ลาย

ไลโซโซม (lysosome) โครงสร้าง เป็นถงุ กลมๆ ภายในบรรจุเอนไซม์ hydrolytic สาหรบั ยอ่ ยอาหารและบรรจุ เอนไซม์ acid phosphatase พบเฉพาะในเซลลส์ ตั ว์

ไลโซโซม (lysosome) หนา้ ท่ี 1.ย่อยอาหารที่เซลล์กินเข้าไป ซ่ึงย่อยได้ท้ังโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต เทียบได้กับ ลาไส้เล็ก และตบั อ่อน 2. ย่อยสลายออร์แกเนลล์ ตัวเอง และย่อยสลายเซลล์ เ มื่ อ เ ซ ล ล์ อ่ อ น แ อ ห ม ด อ า ยุ เ รี ย ก ก ร ะ บ ว น ก า ร นี้ ว่ า Autolysis 3. กาจดั ส่งิ แปลกปลอมที่เขา้ ไปในเซลล์ เช่น แบคทเี รีย จึงพบมากในเซลลเ์ มด็ เลอื ดขาว

แวคิวโอล (Vacuole) แวคิวโอล (Vacuole) มี 4 ชนดิ 1. Sap vacuole พบในเซลลพ์ ืช หน้าที่ 1. เกบ็ สะสมของเสยี เช่น ผลกึ Calcium oxalate 2. บรรจุรงควัตถุ Anthocyanin ทาให้กลีบดอกมสี แี ดง ชมพู ม่วง น้าเงิน 3. สะสม sucrose, คาเฟอีน, น้ามันหอมระเหย

แวควิ โอล (Vacuole) 2. Food vacuole พบในโพรโตซวั และสตั ว์ช้นั ต่า หนา้ ที่ - บรรจุอาหารท่ีเซลลก์ นิ เขา้ มาเพื่อรอการ ย่อยจากน้ายอ่ ยของไลโซโซม

แวคิวโอล (Vacuole) 3. Contracttile vacuole พบเฉพาะในโพรโตซัวน้าจืด หรือในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ใน อาณาจกั รโพรทสิ ตา ทาหน้าที่ - รักษาสมดลุ ของน้า ขจัดน้าที่ ม า ก เ กิ น พ อ อ อ ก จ า ก เ ซ ล ล์ เทยี บได้กับไตของคนเรา

แวคิวโอล (Vacuole) 4. Fat vacuole พบในเซลลไ์ ขมนั ทาหน้าที่ ทาหน้าทสี่ ะสมหยดไขมนั

ไมโทคอนเดรยี (mitochondria) - เปน็ แหลง่ สร้างพลงั งาน ในรูปสารอินทรยี พ์ ลงั งานสูง (ATP = Adenosine triphosphate) จากการ หายใจแบบ ใช้ O2 ของเซลล์เปรียบเสมอื นเป็นโรงผลติ ไฟฟา้ ของเซลล์ (Powerhouse of cell) - พบมากในแคมเบยี มของพชื ในคนมมี ากท่ีสุดในเซลล์กลา้ มเนอ้ื หวั ใจ

คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) เป็นเม็ดสี (plastid) ที่มีสีเขียวทา หน้าท่ีสังเคราะห์แสงพบเฉพาะในสาหร่าย (ยกเว้นสาหรา่ ยสีเขียวแกมน้าเงิน) และพชื คลอโรพลาสต์เป็นพลาสติด (plastid) ประเภทหนง่ึ ซ่งึ พลาสติดมีดว้ ยกัน 3 ประเภท คือ - ลิ ว โ ค พ ล า ส ต์ ( leucoplast) เป็นพลาสติดท่ีไม่มีรงควัตถุใดๆ ไม่มีสี พบใน การสะสมแปง้ เช่น หัวของพชื ตา่ งๆ - โครโมพลาสต์ (Chromoplast) สะสมสารสีอ่ืนๆ ท่ีไม่ใช่สีเขียว เช่น แคโรที นอยด์ ไฟโคบลิ นิ - คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) บรรจุสารสีเขียว

นิวเคลียส (Nucleus) นิวเคลียส (Nucleus) ประกอบดว้ ย 1. เยือ่ หุ้มนวิ เคลียส (nuclear membrane) - เป็นเยือ่ ยูนิต 2 ชั้น 2. รนู วิ เคลียส (nuclear pore) 3. โครมาตนิ (Chromatin) 4. นิวคลีโอลสั (Nucleolus) - ประกอบด้วย RNA + โปรตีน หนา้ ที่ - คดั เลือกสารทจี่ ะผ่านเขา้ ออกนิวเคลียสกับไซโทพลาซึม - เป็นช่องเล็กๆ ทเ่ี ย่ือหมุ้ นิวเคลียสเป็นช่องใหส้ ารผา่ นเข้า-ออก - บรรจุ DNA ซึ่งเปน็ สารพันธุกรรมควบคมุ กจิ กรรมชวี ติ ของเซลล์ - สร้างไรโบโซม

ไรโบโซม (ribosome) หน้าท่ี สร้างโปรตนี โดยพบอย่ใู นโครงสร้างตอ่ ไป 1. ลอยเปน็ อสิ ระในไซโทพลาซมึ สรา้ งโปรตีนไว้ใช้ในเซลลเ์ อง เช่น พบในเซลล์กลา้ มเน้อื 2. เกาะอยู่ทผ่ี วิ นอกของ ER กลายเปน็ RER ทาหน้าท่ีสร้างโปรตีนส่งไปใช้นอกเซลล์ 3. เกาะอยูท่ ่เี ย่อื หุ้มนิวเคลยี ส 4. บรรจุอยใู่ นไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสต์

เซนทรโิ อล (Centriole) หนา้ ท่ี 1. ประกอบขึ้นจากหลอดโปรตนี ไมโครทบู ูล จัดเรยี งตวั เป็นสูตรรหสั 9 + 0 (nine triplets) 2. เปล่ียนแปลงไปเป็นเบซัลบอดี (basal body) ซึง่ อยู่ทฐี่ านของแตล่ ะซเี ลียและแฟลกเจลลมั เพือ่ ควบคมุ การโบกพัดโดยเบซลั บอดมี ีโครงสร้างเหมือนเซนทริโอล 3. เป็นบริเวณท่ีให้สปินเดลิ (spindle fiber) เกาะ พบเฉพาะในเซลลส์ ัตว์

โครงรา่ งของเซลล์ (Cytoskeleton) ไมโครทวิ บลู (Microtubule) โครงสรา้ ง เปน็ หลอดโปรตีนที่ ประกอบด้วยโมเลกลุ โปรตนี tubulin หนา้ ที่ 1. เป็นองค์ประกอบในเซนทริโอล ซเี ลีย แฟลก-เจลลัม เบซลั บอดแี ละเสน้ ใยสปินเดิล (แฟลกเจลลมั กับซเิ ลยี 2. เป็นองคป์ ระกอบในไซโทพลาซมึ เป็นโครงสรา้ งคา้ จนุ ของเซลล์ (Cytoskeleton) มีโครงสรา้ งแบบ 9+2) 3. การลาเลียงสารออกนอกเซลล์ (exocytosis)

โครงร่างของเซลล์ (Cytoskeleton) ไมโครฟิลาเมนต์ (microfilament) Actin หน้าท่ี 1. เป็นโครงรา่ งของเซลล์ (Cytoskeleton) ร่วมกบั ไมโครทบู ลู 2. กอ่ ใหเ้ กิดซโู ดโปเดยี ม (Pseudopodium) 3. ทาใหเ้ กิดการหดตวั และคลายตวั ของเซลล์กล้ามเนอ้ื 4. ชว่ ยในการแบ่งไซโทพลาซึมของเซลลส์ ัตว์ เมื่อมีการแบง่ เซลล์ 5. ชว่ ยในการยืดหดของไมโครวิลลัส ทาใหด้ ดู ซึมอาหารไดด้ ีขน้ึ

โครงรา่ งของเซลล์ (Cytoskeleton) อนิ เทอร์มีเดียท ฟิลาเมนต์ (intermediate filament) หน้าที่ เปน็ โครงรา่ งของเซลลร์ ่วมกับไมโครทูบูลและไมโครฟลิ าเมนต์

ประเภทของเซลล์

ประเภทของเซลล์ ไวรัส และไวรอยด์ เป็นส่ิงมีชีวิตระดับอนุภาค (living particle) แต่ไม่เป็นเซลล์เพราะว่าไม่มีเยื่อหุ้มเซลล์ และโพรโทพลาซึม โครงสร้างของไวรอยด์ ประกอบด้วยสาร พันธุกรรม RNA เท่าน้ัน ไวรอยด์เป็นสิ่งมีชีวิต ขนาดเล็กท่ีสุด ท้ังไวรัสและไวรอยด์ จัดเป็น สิ่งมีชีวิตเพราะสามารถสืบพันธุ์หรือทวีจานวนได้ เม่ืออยใู่ นเซลล์ของโฮสต์ (Host) โครงสร้างของไวรัส ประกอบด้วยสาร พันธุกรรม DNA หรืออาจเป็น RNA และมี โปรตีนเปน็ เปลือกหุ้มรอบ (Protein coat)

ประเภทของเซลล์

ประเภทของเซลล์

Prokaryotic vs. Eukaryotic

Prokaryotic vs. Eukaryotic

เครอ่ื งมือที่ใชศ้ กึ ษาเซลล์และเนื้อเยือ่ กลอ้ งจลุ ทรรศนท์ ่ใี ชแ้ สง (light microscope) กล้องจุลทรรศนอ์ เิ ลก็ ตรอน (electron microscope)

การเคล่อื นท่ขี องสารผ่านเข้าและออกจากเซลล์

การเคล่อื นท่ขี องสารผ่านเข้าและออกจากเซลล์

การแพร่ธรรมดา (Simple diffusion) Passive transport ไมใ่ ช้พลงั งานจากเซลลแ์ ต่ใชพ้ ลังงานจลนข์ องอนุภาคเอง 1. อนุภาคเคล่ือนที่จากบริเวณที่มี ความหนาแน่นของสารสูงไปยัง บริเวณที่มีความหนาแน่นของสาร นั้นต่ากวา่ 2. เกิดทง้ั ในสิ่งไม่มชี วี ิต (ของแข็ง ของเหลว แก๊ส) และส่งิ มีชีวิต (พืช สัตว์ โพรตสี ต์) เชน่ - การเคลอื่ นทีข่ องแกส๊ ออกซิเจนและคารบ์ อนไดออกไซด์ - การเคลื่อนทข่ี องแอลกอฮอล์ - การเคลือ่ นทข่ี องไอออนบางชนดิ Ca2+, Cl-

ออสโมซสิ (osmosis) Passive transport - การแพร่ของน้าจากบริเวณที่มี สารละลายเจอื จาง (ความหนาแน่นของน้ามาก) ไป ยังบริเวณที่มีสารละลายเข้มข้น (ความหนาแน่น ของน้าน้อย) โดยผ่านเยื่อเลอื กผ่าน เช่น การดดู น้า ของขนราก ลาไส้ใหญ่ เป็นตน้ - ออสโมซิสเกิดขึ้นได้เนื่องจากแรงดัน ออสโมติก (osmotic pressure) ซ่ึงเป็นแรงดันท่ี ก่อให้เกิดการออสโมซิสของน้า โดยน้าจะออสโม ซิสเข้า-ออกเซลล์ โดยข้ึนกับความแตกต่างของ แรงดนั ออสโมติกระหวา่ งสารละลายกบั เซลล์ - ออสโมติกแบ่งออกเปน็ 3 ประเภท

ออสโมซสิ (osmosis) Passive transport สารละลายไฮโปโทนกิ (hypotonic solution) เปน็ สารละลายที่ มแี รงดันออสโมติกต่ากว่า เซลล์ ดังน้ันน้าจะออสโมซิสเข้าเซลล์ทาให้เซลล์เกิด แรงดันเพ่ิมขึ้นภายในเซลล์ เน่ืองจากน้าออสโมซิสเข้า ไป เรียกว่า แรงดันแต่ง Turgor pressure) ทาให้ เซลลเ์ ตง่ ข้ึน เรียกเกิด Plasmoptysis ซ่ึงถ้าเกิดในเซลล์ สัตว์ เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์จะแตกออกเรียก haemolysis


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook