Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รายงานฉบับสมบูรณ์_สพข. 10_5 มี.ค. 64

รายงานฉบับสมบูรณ์_สพข. 10_5 มี.ค. 64

Published by Suphischa Nice, 2021-03-08 08:39:28

Description: รายงานฉบับสมบูรณ์_สพข. 10_5 มี.ค. 64

Search

Read the Text Version

35 ตารางที่ 3-3 ทรัพยากรดินในพ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวัดประจวบคีรีขันธ์ (ตอ่ ) ลาดบั สญั ลกั ษณ์ คาอธิบาย เนอ้ื ที่ ไร่ ร้อยละ 7 Pr-col-slA ดนิ ปราณบรุ ีที่เปน็ ดนิ รว่ นหยาบ มเี นอ้ื ดนิ บนเปน็ ดินรว่ นปน 1,799 0.54 ทราย ความลาดชนั 0-2 เปอร์เซน็ ต์ 8 Pr-col-slB ดนิ ปราณบุรที ี่เป็นดนิ รว่ นหยาบ มเี นอ้ื ดนิ บนเปน็ ดินร่วนปน 805 0.24 ทราย ความลาดชัน 2-5 เปอรเ์ ซ็นต์ 9 Pr-mw-slA ดินปราณบุรีทมี่ ีการระบายน้าดีปานกลาง มเี นอ้ื ดนิ บนเป็นดนิ 1,638 0.50 รว่ นปนทราย ความลาดชนั 0-2 เปอรเ์ ซน็ ต์ 10 Pr-mw-slB ดนิ ปราณบรุ ีท่ีมีการระบายนา้ ดีปานกลาง มีเน้อื ดินบนเป็นดนิ 2,566 0.78 ร่วนปนทราย ความลาดชนั 2-5 เปอรเ์ ซน็ ต์ 11 Pr-mw,col-slA ดนิ ปราณบรุ ีท่ีมกี ารระบายน้าดีปานกลางและดินรว่ นหยาบ 1,911 0.58 มีเน้อื ดนิ บนเป็นดนิ รว่ นปนทราย ความลาดชนั 0-2 เปอร์เซน็ ต์ 12 Tm-slA ชุดดินท่าม่วง มเี นอ้ื ดินบนเปน็ ดินร่วนปนทราย 839 0.25 ความลาดชัน 2-5 เปอรเ์ ซ็นต์ 13 Ty-gslC ชุดดินทา่ ยาง มีเนื้อดนิ บนเปน็ ดินร่วนปนทรายปนกรวด 28,429 8.60 ความลาดชัน 5-12 เปอร์เซ็นต์ 14 Ty-gslD ชุดดินทา่ ยาง มเี นื้อดินบนเปน็ ดินร่วนปนทรายปนกรวด 18,319 5.54 ความลาดชนั 12-20 เปอรเ์ ซ็นต์ 15 Ty-gslE ชดุ ดินทา่ ยาง มเี น้อื ดินบนเปน็ ดนิ รว่ นปนทรายปนกรวด 15,690 4.75 ความลาดชัน 20-35 เปอร์เซ็นต์ 16 SC พ้นื ที่ลาดชันเชงิ ซ้อน มคี วามลาดชนั มากกวา่ 35 เปอร์เซ็นต์ 211,610 64.02 17 U พน้ื ทช่ี ุมชนและสงิ่ ปลูกสร้าง 4,187 1.27 18 W พื้นที่นา้ 6,162 1.86 รวมเนอื้ ท่ที ัง้ หมด 330,583 100.00

36 ภาพที่ 3-4 ทรัพยากรดิน ลุ่มน้าคลองกุย จังหวัดประจวบคีรขี นั ธ์

37 สภาพปัญหาและข้อจากดั ของดิน สภาพปัญหาและข้อจากัดของดินในพ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย ส่วนใหญ่เป็นดินต้ืนและเน้ือดินปนเศษหิน ความอุดมสมบูรณ์ของดินต่า เสี่ยงต่อการขาดแคลนน้าและการชะล้างพังทลายของดิน เนื่องจากพื้นที่มี ความลาดชันสูง โดยแยกเป็น 3 ประเภทหลัก (กรมพัฒนาท่ีดิน, 2561) ซ่ึงพบการกระจายตัวในพื้นท่ี ต่าง ๆ (ตารางท่ี 3-4 ภาพที่ 3-5) โดยมรี ายละเอียด พอสงั เขป ดงั น้ี 1) ปญั หาดินตื้น เป็นดินที่เป็นชั้นดินหนาประมาณ 50 เซนติเมตร ส่วนใหญ่มีเน้ือดินเปน็ ดินร่วน ดินร่วนปนทราย และดินร่วนปนดินเหนียว ชั้นถัดไปเป็นชั้นดินมีเน้ือดินเป็นดินร่วนปนทราย ดินร่วนปนดินเหนียวและดิน เหนียวที่มีปริมาณกรวด หรือเศษหินปะปนมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 35 โดยปริมาตร หรือพบหินพ้ืน ภายในความลกึ 50 เซนติเมตร จากผวิ ดนิ จากลกั ษณะของดนิ ดงั กล่าวถือเปน็ อุปสรรคต่อการเจรญิ เติบโต ของพืชด้านการชอนไชของรากพืช ทาให้การเกาะยึดตัวของดินไม่ดียากแก่ การไถพรวน เกิดการชะล้าง พังทลายได้ง่าย สภาพปัญหานี้พบครอบคลุมเนื้อที่รวม 62,438 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 18.89 ของเน้ือที่ ลุ่มนา้ 2) ปญั หาดินมคี วามอดุ มสมบูรณ์ตา่ เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์การประเมินความอุดมสมบูรณ์ของดินในประเทศไทยนนั้ กรมพัฒนาท่ดี ิน ใช้เกณฑ์การประเมินจากค่าวิเคราะห์ดิน 5 รายการ คือ ร้อยละปริมาณอินทรียวัตถุปริมาณฟอสฟอรัสที่ เป็นประโยชน์ ปริมาณโพแทสเซียมที่เป็นประโยชน์ ความจุแลกเปลี่ยน แคตไอออน และอัตราร้อยละ ความอิ่มตัวเบส ซ่ึงแต่ละรายการจะมีเกณฑ์ประเมินเป็นค่าสูง ปานกลาง ต่า เนื่องจากสภาพทาง ธรรมชาติ โดยดินมีวัตถุต้นกาเนิดดินที่มีแร่ธาตุอาหารตามธรรมชาติต่า ประกอบกับมีการใช้ประโยชน์ ที่ดินอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานาน โดยไม่ได้มีการปรับปรุงบารุงดินเท่าที่ควร ทาให้ดินเส่ือมโทรม ความอุดมสมบูรณล์ ดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลใหพ้ ืชเจริญเติบโตช้า ผลผลิตตกต่า คณุ ภาพไม่ดีสภาพปัญหา นพ้ี บกระจายครอบคลมุ เนื้อทร่ี วม 45,347 ไร่ หรอื ร้อยละ 13.72 ของเนอ้ื ท่ีลุม่ น้า นอกจากนีย้ ังพบปัญหา ดินมคี วามอุดมสมบรู ณ์ปานกลาง ครอบคลุมเนื้อที่รวม 839 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.25 ของเน้ือทล่ี มุ่ นา้ 3) ปัญหาพน้ื ทมี่ คี วามลาดชนั สงู พ้ืนที่ที่มีความลาดชันสูง ส่วนใหญ่มีสภาพการใช้ท่ีดินเป็นป่าไม้ พื้นที่นี้ไม่เหมาะที่จะนามาใช้ ประโยชน์ดา้ นการเกษตร และมคี วามเสีย่ งต่อการชะล้างพังทลายของดินสูง สว่ นใหญ่พบกระจายตัวอยู่ใน พ้นื ที่ตาบลหาดขาม อาเภอกยุ บุรี มเี น้อื ที่ 211,610 ไร่ หรอื ร้อยละ 64.01 ของเนือ้ ที่ลุ่มนา้

38 ตารางท่ี 3-4 สภาพปัญหาของดนิ ในพ้ืนท่ีลุม่ น้าคลองกยุ อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวัดประจวบคีรีขันธ์ คาอธบิ าย เนอ้ื ที่ ร้อยละ ไร่ 1) ดินตืน้ 62,438 18.89 1.1) ดนิ ต้นื ในพ้นื ท่ดี อนถึงชัน้ กอ้ นกรวด ลูกรงั หรอื เศษหนิ 62,438 18.89 2) ดินมคี วามอดุ มสมบูรณ์ตา่ 45,347 13.72 2.1) ดนิ มีความอุดมสมบรู ณต์ ่าท่ีเปน็ ดนิ ลกึ ปานกลาง 15,718 4.76 2.2) ดนิ มีความอุดมสมบรู ณต์ ่าทเี่ ปน็ ดินลึกมาก 29,629 8.96 3) ดินมีความอดุ มสมบูรณ์ปานกลาง 839 0.25 4) ปัญหาพ้ืนที่มีความลาดชนั สูง 211,610 64.01 5) พืน้ ทชี่ ุมชนและสิ่งปลูกสรา้ ง 4,187 1.27 6) พน้ื ท่นี า้ 6,162 1.86 รวมเนือ้ ที่ 330,583 100.00

39 ภาพท่ี 3-5 สภาพปัญหาทรัพยากรดิน ลมุ่ น้าคลองกยุ จงั หวดั ประจวบครี ีขนั ธ์

40 พ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย ลักษณะลุ่มน้าวางตัวตามแนวทิศตะวันตก-ทิศตะวันออก เป็นส่วนหน่ึงของ ลมุ่ นา้ หลกั เพชรบุรี-ประจวบครี ขี นั ธ์ โดยมรี ายละเอยี ด (ภาพที่ 3-6) ดังน้ี ลุ่มน้าสาขาคลองกุย เป็นลุ่มน้าสาขาที่อยู่ตอนกลางของลุ่มน้าเพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์ ครอบคลุมพื้นท่ีอาเภอกุยบุรีและอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ เปน็ ภูเขาลาดชัน มีแม่น้าสายสาคญั คือ แมน่ า้ กยุ บุรี ซึง่ มตี ้นกาเนิดจากสันปนั น้าเทอื กเขาอุทยานแห่งชาติ กุยบุรีทางทิศตะวันตกของพื้นท่ี ไหลจากคลองกุย ห้วยลึก ห้วยแห้ง และห้วยพุบอน ไหลลงสู่อ่างเก็บน้า หว้ ยยางชุม และไหลลงสูอ่ ่าวไทย ลาน้าท่ีสาคัญอื่น ๆ ได้แก่ คลองกุย คลองหก ห้วยดงมะไฟ ห้วยพุบอน ห้วยแพรกซ้าย ห้วยลึก ห้วยสาโหรง หว้ ยหมาหอน หว้ ยแหง้ สาหรบั แหลง่ นา้ ท่สี าคญั ในพ้นื ท่ี ไดแ้ ก่ อา่ งเกบ็ นา้ ยางชมุ อ่างเก็บน้า ห้วยลกึ อ่างเก็บนา้ ห้วยสาโหรง อา่ งเกบ็ น้าบ้านโปง่ กะสนั และ อ่างเก็บนา้ บ้านย่านซ่ือ - แหลง่ นา้ ท่มี ีอยู่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้อยา่ งเต็มท่ี เนื่องจากมขี นาดเล็กและต้ืนเขนิ ขาดระบบ ส่งนา้ และเครื่องสบู น้า ตลอดจนการบริหารจัดการที่ดี - ขาดแคลนน้าเพื่อการอุปโภคบริโภค ตลอดจนแหล่งน้าเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง ในบริเวณพื้นทีใ่ กลล้ าน้าหรอื แหล่งนา้ ขนาดเล็ก - การบุกรุกพ้ืนท่ีแหล่งน้าจากชาวบ้าน บริเวณแหล่งน้าหลายสายถูกบุกรุกจากชาวบ้านเพื่อ นาไปใชเ้ ปน็ พืน้ ท่ีเพาะปลูก โดยเฉพาะการปลูกพืชสวนและไร่นา เป็นตน้ - คุณภาพน้าในลาน้าสายสาคัญบางสายเส่ือมโทรม เนื่องจากการปนเป้ือนของสารเคมีทาง การเกษตรสู่ลานา้ โดยตรง - การพัฒนาพ้ืนท่ีแหล่งน้าท่มี ีอยู่ไมไ่ ด้รบั การพฒั นาและปรับปรุงให้มีประสิทธภิ าพ มีศักยภาพใน การเกบ็ และการระบายน้า - ปัญหาน้าท่วมฉับพลันท่ีเกดิ ข้ึนในบางชุมชน เนื่องจากลาน้ามีความลาดชันสูง ไม่มแี หลง่ เก็บกัก นา้ และชะลอการไหลของน้า อกี ทัง้ ยงั เปน็ พน้ื ท่ที เี่ ป็นทางผา่ นของน้าอีกด้วย แนวโน้มในอนาคตสถานการณป์ ัญหาของแหล่งน้า เชน่ ปญั หาการขาดแคลนนา้ ใชใ้ นช่วงฤดูแล้ง ปัญหาน้าท่วมในช่วงฤดูฝนที่เกิดข้ึนในบางพ้ืนที่ ปัญหาการบุกรุกพื้นท่ีแหล่งน้า ปัญหาการพัฒนาพ้ืนที่ แหล่งน้า และปัญหาคุณภาพแหล่งน้า ในอนาคตเมื่อคานึงถึงความต้องการท่ีเพ่ิมข้ึนของการใช้น้าในด้าน ต่าง ๆ อันเนื่องมาจากการเพิ่มข้ึนของประชากร การเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งจะทาให้เกิด ความไม่สมดุลในด้านการใช้น้าและทรัพยากรธรรมชาติอื่นที่เกี่ยวข้องอาจก่อให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา ปญั หาเหลา่ นย้ี งั คงเป็นปญั หาสาคัญทคี่ วร ได้รบั การแก้ไขอยา่ งต่อเน่อื ง

41 ภาพท่ี 3-6 เส้นทางน้าและระบบคมนาคม ลมุ่ น้าคลองกยุ จงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ์

42 จากการศึกษาสภาพพื้นที่ของลุ่มน้าคลองกุย มีพื้นที่รับน้าเท่ากับ 528.93 ตารางกิโลเมตร (330,583 ไร่) โดยภายในลมุ่ น้าจะมีลานา้ ลาห้วยไหลลงสูล่ าน้าสายหลัก จึงสามารถแบ่งพื้นท่ีภายในเป็น ลมุ่ น้าได้อกี ภาพที่ 3-7 ขอบเขตลุม่ น้าคลองกุย จังหวัดประจวบครี ีขนั ธ์

43 1) ปริมาณนา้ ทา่ โดยวิธี Reginal Runoff equation จากการคานวณปริมาณน้าท่า ด้วยวิธี Reginal Runoff equation ซึ่งอาศัยความสัมพันธ์ แบบรีเกรซช่ัน (regression) ระหว่างปริมาณน้านองสูงสุดเฉล่ียและพ้ืนที่รับน้าฝน ซ่ึงจากข้อมูลพื้นที่ ลุ่มน้าคลองกุยได้แบ่งพ้ืนท่ีรับน้าออกเป็น 5 พื้นท่ี ได้แก่ 168.01 117.65 95.13 71.30 และ 76.83 ตารางกิโลเมตร ตามลาดับ มีพื้นท่ีรับน้ารวมเท่ากับ 528.93 ตารางกิโลเมตร สามารถคานวณปริมาณ นา้ ท่าได้จากสมการ ������ = 0.248������1.007 สามารถวเิ คราะหป์ ริมาณนา้ เฉลย่ี รายปีและพื้นทร่ี ับน้าท่ีได้จากสมการท่ี 3 เท่ากับ 43.18 30.16 24.35 18.21 และ 19.65 ลูกบาศ์กเมตร ตามลาดับ แสดงให้เห็นว่าลุ่มน้าคลองกุยมีศักยภาพในการ พฒั นาดา้ นการเกบ็ กกั นา้ ท่า เพ่ือใช้ในพืน้ ท่ีการเกษตรได้ แนวทางหน่ึงในการแก้ปัญหาทรัพยากรน้าของพ้ืนท่ีควรเร่ิมต้นที่ชุมชนและท้องถ่ินคือการ พัฒนาแหล่งน้าของชุมชนและท้องถ่ิน ว่าควรเป็นการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้าขนาดเล็กด้วยเหตุผลของ ข้อจากัดในงบประมาณ ความรวดเร็ว และการจัดการภายในพ้ืนที่เฉพาะการพัฒนาแหล่งน้าขนาดเล็กจึง เป็นทางเลือกท่ีเหมาะสมและมีความสาคัญต่อชุมชน ดังน้ัน เพ่ือให้เกิดภาพรวมในการแก้ไขปัญหา ทรัพยากรน้าของพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพ และมีความเชื่อมโยงกันระหว่างการพัฒนาทรัพยากรน้าและมิติ อื่น ๆ ทั้งในด้านการอนุรักษ์ดินและน้า การฟ้ืนฟูสภาพป่า และการใช้ที่ดิน อย่างเป็นรูปธรรม ให้เกิด ความรู้ความเข้าใจในศักยภาพของพ้ืนท่ีท้องถ่ินของตนเองว่ามีปริมาณต้นทุนเดิมและความเป็นไปได้ใน การพัฒนาทรัพยากรน้าเพิ่มมากขึ้นเพียงใด ในพ้ืนที่ศึกษาลุ่มน้าคลองกุยที่ผ่านมาในด้านการพัฒนาแหล่ง น้าตน้ ทนุ ไมไ่ ดม้ ีโครงการขนาดใหญ่ มีเพยี งโครงการพัฒนาแหล่งน้าขนาดเล็กโดยหน่วยงานตา่ ง ๆ (ตาราง ที่ 3-5) ตารางท่ี 3-5 แหล่งนา้ ตน้ ทุนทีด่ าเนินการผา่ นโครงการพฒั นาแหล่งนา้ ต้นทนุ อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ลาดับท่ี ประเภทโครงการ บ้าน ตาบล อาเภอ จงั หวดั หน่วยงาน 1 อา่ งเกบ็ น้า รวมไทย หาดขาม กุยบรุ ี ประจวบครี ีขนั ธ์ กรมชลประทาน 2 อ่างเก็บน้า ยา่ นซอ่ื หาดขาม กยุ บุรี ประจวบครี ขี ันธ์ กรมชลประทาน 3 อา่ งเก็บน้า ย่านซอ่ื หาดขาม กุยบรุ ี ประจวบครี ขี นั ธ์ กรมชลประทาน 4 อ่างเก็บนา้ ย่านซ่ือ หาดขาม กยุ บุรี ประจวบครี ีขนั ธ์ กรมชลประทาน ข้อมลู ขอบเขตที่ดนิ ของรฐั ด้านทรัพยากรปา่ ไม้ ดงั ตารางที่ 3-6

44 ตารางท่ี 3-6 ข้อมูลที่ดินของรัฐท่ีใช้ร่วมในการวิเคราะห์ด้านทรัพยากรป่าไม้ อาเภอกุยบุรี และ อาเภอสามรอ้ ยยอด จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์ หนว่ ยงาน และข้อมูลประเภททีด่ นิ สถานะทางกฎหมาย 1. กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพันธ์ุพชื 1.1 อุทยานแห่งชาติ แผนทแ่ี นบท้าย พระราชกฤษฎีกา (พระราชบัญญตั ิอทุ ยานแหง่ ชาติ พ.ศ. 2504 และทีแ่ กไ้ ขเพ่ิมเติม) 1.2 เขตรักษาพนั ธส์ุ ตั ว์ปา่ แผนที่แนบท้าย พระราชกฤษฎีกา (พระราชบัญญัติสงวนและค้มุ ครองสตั ว์ ป่า พ.ศ.2535 พระราชบญั ญตั ิสงวน และคมุ้ ครองสตั วป์ ่า (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2546 และพระราชบญั ญัตสิ งวนและ คุ้มครองสตั ว์ปา่ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ.2557) 1.3 เขตหา้ มลา่ แผนทแี่ นบทา้ ยประกาศกฎกระทรวง 1.4 วนอุทยาน ไม่ระบุ 2. กรมปา่ ไม้ 2.1 ป่าสงวนแหง่ ชาติ ปา่ สงวนแห่งชาติ โดยกฎกระทรวง ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507และท่แี กไ้ ขเพ่ิมเติม 2.2 เขตการจาแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากร มติคณะรฐั มนตรี วนั ที่ 10 และ 17 และดนิ ป่าไม้ในเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ มนี าคม 2535 3. สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ ส่ิงแวดล้อม ชน้ั คุณภาพลมุ่ นา้ มติคณะรฐั มนตรี 4. กรมพฒั นาท่ีดิน ปา่ ไมถ้ าวร มติคณะรฐั มนตรี เมื่อจาแนกพื้นท่ีป่าไม้ตามข้อกาหนดการใช้ท่ีดินประเภท และวัตถุประสงค์ของการประกาศเขตป่า ไมต้ ามกฎหมาย (แนวเขตปา่ ไม้และทด่ี นิ ของรฐั ประเภทอืน่ ไม่ชดั เจนและมีการทบั ซ้อนกนั )สามารถจาแนก พ้ืนท่ีในพืน้ ทล่ี มุ่ นา้ ไดด้ ังน้ี พื้นทล่ี ่มุ น้าคลองกุยอยใู่ นเขตพืน้ ที่เตรยี มการประกาศเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี (กรมอุทยาน แห่งชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธุ์พชื , 2560) เนือ้ ท่ปี ระมาณ 215,197 ไร่ หรือร้อยละ 64.51 ของเนอ้ื ทล่ี ุม่ น้า

45 การจาแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและท่ีดินป่าไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติตาม มติคณะรัฐมนตรีวันท่ี 10 และ 17 มีนาคม 2535 ได้ให้ความเห็นชอบตามมติของคณะกรรมการนโยบาย ป่าไม้แห่งชาติ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่องการจาแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดนิ ป่าไม้ในเขตป่าสงวนแหง่ ชาติ ซ่ึงได้จาแนกเขตปา่ สงวนแห่งชาติ ออกเป็น 3 เขตดังน้ี เขตพื้นที่ป่าเพื่อการ อนุรักษ์ (โซน C) เขตพ้ืนที่ป่าเพ่ือเศรษฐกิจ (โซน E) และเขตพื้นท่ีป่าที่เหมาะสมต่อการเกษตร (โซน A) เมื่อจาแนกป่าตามเขตปา่ สงวนแหง่ ชาติ พบวา่ พื้นทลี่ ุ่มนา้ คลองกุยอยู่ในเขตป่ากยุ บุรี (ตารางที่ 3-7) และ สามารถจาแนกเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและท่ีดินปา่ ไมใ้ นพ้นื ทีป่ ่าสงวนแห่งชาติ (ตารางท่ี 3-8) ตารางที่ 3-7 พน้ื ทีเ่ ขตป่าสงวนแหง่ ชาติในพื้นท่พี ืน้ ทล่ี มุ่ น้าคลองกุย อาเภอกยุ บุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์ ป่าสงวนแหง่ ชาติ เนอ้ื ที่ ไร่ รอ้ ยละ พ้นื ทีป่ า่ สงวนแหง่ ชาติ 278,635 84.29 - ปา่ กยุ บรุ ี 278,635 84.29 ท่มี า: กรมปา่ ไม้ (2560) ตารางที่ 3-8 พ้ืนที่เขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและท่ีดินป่าไม้พ้ืนท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และ อาเภอสามร้อยยอด จงั หวัดประจวบครี ขี ันธ์ เขตป่าจาแนกในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เนอื้ ท่ี ไร่ ร้อยละ พื้นท่ีปา่ อนรุ กั ษ์ (โซน C) 223,840 67.71 พื้นทีป่ า่ เศรษฐกิจ (โซน E) 63,280 19.14 ท่มี า: กรมปา่ ไม้ (2560) ตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกาหนดช้ันคุณภาพลุม่ น้า เพ่ือให้มีการอนุรักษ์ทรัพยากร ท่ี เหมาะสมจงึ ไดแ้ บ่งพ้นื ทชี่ ้ันคุณภาพลุ่มน้าออกเป็น 6 ชัน้ คือ พื้นท่ลี มุ่ น้าช้นั 1A พนื้ ทีล่ มุ่ น้าช้ัน 1 พื้นทลี่ ่มุ น้าช้ัน 2 พนื้ ทลี่ มุ่ น้าชัน้ 3 พ้ืนท่ีลุ่มน้าช้นั 4 และพ้นื ทล่ี ่มุ น้าช้ัน 5 จากข้อกาหนดการใช้ประโยชน์และการ จัดการพ้ืนที่ชั้นลุ่มน้าคุณภาพต่าง ๆ สรุปสาระสาคัญได้ คือ การใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้าช้ัน 1 และพ้ืนที่ ลุ่มน้าชั้น 2 ซ่ึงเป็นพื้นท่ีทรัพยากรธรรมชาติท่ีสาคัญท่ีต้องสงวนรักษาไว้เป็นแหล่งต้นน้าลาธารและเป็น พื้นท่ีป่าไม้ของประเทศ เน่ืองจากมีลักษณะและสมบัติที่อาจมีผลกระทบทางส่ิงแวดล้อมจากการ เปลยี่ นแปลงการใช้ที่ดินได้ง่ายและรนุ แรง ไมค่ วรจะเปลี่ยนแปลงพ้ืนท่เี พื่อใช้ทาการเกษตร สาหรับการใช้ ประโยชน์พ้ืนท่ีลุ่มน้าช้ัน 3 4 และพ้ืนที่ลุ่มน้าชั้น 5 น้ัน ให้ใช้ทาการเกษตรได้แต่ต้องมีมาตรการตามข้อ

46 กาหนดการใชป้ ระโยชน์พนื้ ท่ีล่มุ น้า ไดแ้ ก่ มาตรการดา้ นการอนรุ กั ษด์ ินและน้า และการปอ้ งกนั การชะล้าง พงั ทลายของดนิ เป็นต้น ดังนน้ั ข้อกาหนดต่าง ๆ จงึ มมี าตรการที่เข้มงวดแตกต่างกนั เพื่อปอ้ งกันการเส่ือม โทรมของดิน และให้สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างย่ังยืนต่อไปพ้ืนท่ีโครงการฯ รายละเอียดแสดงใน ตารางท่ี 3-9 ประกอบด้วย ชัน้ คุณภาพลุ่มน้า ดงั น้ี 1) พื้นที่ลุ่มนา้ ช้ัน 1A เปน็ พ้ืนทลี่ ่มุ น้าชัน้ ที่ 1 ซง่ึ มสี ภาพเปน็ ป่าสมบูรณ์ก่อนปี 2525 โดยพ้ืน ที่นี้ควรสงวนรักษาไว้เป็นป่าต้นน้าลาธาร (ห้ามมีการใช้ประโยชน์อย่างอื่น) มีเนื้อท่ีประมาณ 142,166 ไร่ หรอื ร้อยละ 43.00 ของเนอ้ื ทลี่ มุ่ น้า 2) พ้นื ท่ีลมุ่ น้าช้ัน 1B เปน็ พ้นื ท่ีลุม่ นา้ ชั้นที่ 1 ซึง่ สภาพปา่ ถกู บุกรกุ หรอื มีการเปล่ียนแปลงไป เพ่ือพัฒนาการใช้ท่ีดินรูปแบบอื่นก่อน ปี 2525 โดยพ้ืนที่น้ีควรสงวนรักษาไว้เป็นป่าต้นน้าลาธาร และ ควบคุมการใช้ประโยชนเ์ ปน็ พิเศษ มีเนือ้ ทีป่ ระมาณ 290 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.09 ของเน้ือที่ล่มุ นา้ 3) พื้นท่ีลุ่มน้าช้ัน 2 เป็นพื้นที่มีความลาดชันค่อนข้างสูง ซึ่งมีคุณภาพเหมาะสมต่อการเป็น ป่าต้นน้าลาธาร และสามารถนามาใช้ประโยชน์เพ่ือกิจการที่สาคัญ เช่น การทาเหมืองแร่ สวนยางพารา หรอื พืชที่มีความม่ันคงต่อเศรษฐกิจ มีเนื้อที่ประมาณ 57,254 ไร่ หรอื ร้อยละ 17.32 ของเน้อื ท่ีลมุ่ นา้ 4) พื้นท่ีลุ่มน้าช้ัน 3 เป็นพ้ืนที่มีความลาดเทสูง สามารถนามาใช้ประโยชน์ได้ท้ังกิจกรรมทา ไม้ เหมืองแร่ และสามารถใช้พ้ืนที่เพื่อการเกษตรได้โดยถ้าเป็นบริเวณท่ีเป็นดินลึกควรปลูกไม้ผล หรือไม้ ยืนต้น แต่ถ้าเป็นบริเวณที่เป็นดินต้ืนควรปลูกป่าและทุ่งหญ้า มีเน้ือท่ีประมาณ 39,228 ไร่ หรือร้อยละ 11.87 ของเน้อื ทลี่ ุ่มน้า 5) พื้นที่ลุ่มน้าช้ัน 4 เป็นพ้ืนท่ีมีความลาดชันต่า และป่าถูกบุกรุกเป็นพ้ืนที่ใช้ประโยชน์เพื่อ กิจการทาไม้ เหมืองแร่ และสามารถใช้พ้ืนที่เพ่ือการเกษตรได้ โดยถ้าเป็นบริเวณที่เป็นดินลึกและมี ความลาดชันมากควรปลูกไม้ผล แต่ถ้าเป็นบริเวณที่มีความลาดชันน้อยจะใช้ประโยชน์เพ่ือการปลูกพืชไร่ ได้ มีเน้ือที่ประมาณ 66,638 ไร่ หรอื ร้อยละ 20.16 ของเน้ือทีล่ มุ่ น้า 6) พื้นท่ีลุ่มน้าชั้น 5 เป็นพ้ืนที่ราบลุ่ม มีเน้ือท่ีประมาณ 25,007 ไร่ หรือร้อยละ 7.56 ของ เนื้อท่ลี ุ่มน้า

47 ตารางท่ี 3-9 พื้นที่ช้ันคุณภาพลุ่มน้าในพ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ ช้ันคุณภาพลมุ่ นา้ เน้ือที่ ไร่ ร้อยละ พนื้ ที่ลุ่มนา้ ชั้น 1A 142,166 43.00 พน้ื ทล่ี มุ่ นา้ ชั้น 1B 290 0.09 พืน้ ที่ลมุ่ น้าชั้น 2 57,254 17.32 พน้ื ทล่ี มุ่ น้าชน้ั 3 39,228 11.87 พื้นที่ลุ่มน้าชัน้ 4 66,638 20.16 พน้ื ท่ลี ่มุ น้าชน้ั 5 25,007 7.56 รวมเนื้อท่ี 330,583 100.00 ป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี เป็นแนวเขตท่ีดินที่เห็นสมควรรักษาไว้เป็นเขตป่าไม้ โดยมีกรม ป่าไม้เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการนาพ้ืนที่ท่ีคณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้เป็นป่าไม้ถาวรในพื้นท่ี โครงการฯ ประกอบด้วย พื้นท่ีเขตป่าไมถ้ าวรนอกเขตป่า ดังน้ี (ตารางที่ 3-10) ตารางท่ี 3-10 พื้นที่เขตป่าไม้ถาวรนอกเขตป่าในพ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อย ยอด จังหวัดประจวบคีรขี ันธ์ ป่าไมถ้ าวรนอกเขตป่า เนอ้ื ท่ี พ้นื ทป่ี ่าไมถ้ าวร ไร่ ร้อยละ - ป่าหนิ เหลก็ ไฟและกุยบุรี 18,138 5.49 18,138 5.49 ทมี่ า: กรมปา่ ไม้ (2560)

48 ภาพท่ี 3-8 สถานภาพปา่ ไม้ พนื้ ทลี่ มุ่ นา้ คลองกยุ จังหวัดประจวบครี ีขนั ธ์

49 พื้นที่ป่าไม้ในเขตป่าตามกฎหมายวิเคราะห์ จากการซ้อนทับข้อมูลพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ (เขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่า อุทยานแห่งชาติ วนอุทยาน) พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (เขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่า ไม้ในพื้นท่ีป่าสงวนแห่งชาติ) พ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี เร่ือง การกาหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้าป่า ไม้ถาวรนอกเขตป่า เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) แปลงที่ดินทากินตามนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และสภาพการใช้ท่ดี นิ ในพืน้ ที่โครงการ พบว่า มีสถานภาพของทรัพยากรป่าไม้ ดงั ตารางที่ 3-11 ตารางที่ 3-11 สถานภาพทรัพยากรป่าไม้ พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวดั ประจวบครี ขี ันธ์ สถานภาพทรัพยากรปา่ ไม้ เนื้อที่ ร้อยละ ไร่ 85.29 พ้ืนท่ใี นเขตป่าตามกฎหมาย 281,961 70.45 1) ปา่ สมบูรณ์ 232,898 2.41 2) รอสภาพฟื้นฟู 7,983 9.64 3) พน้ื ท่ีมกี ารใช้ประโยชน์เพื่อเกษตรกรรม 31,852 5.63 18,597 3.00 - พืชไร่ 9,909 0.96 - ไมย้ นื ต้น 3,181 0.04 - ไม้ผล 127 0.01 - พชื สวน 38 1.25 - ทงุ่ หญ้าเลย้ี งสัตวแ์ ละโรงเรอื นเลย้ี งสตั ว์ 4,139 0.83 4) พนื้ ที่เบ็ดเตล็ด 2,738 0.71 5) พน้ื ทีช่ มุ ชนและสงิ่ ปลูกสร้าง 2,351 6) พ้ืนทน่ี ้า หมายเหตุ: เนอ้ื ทป่ี า่ ไมต้ ามกฎหมายและปา่ ตามมตคิ ณะรัฐมนตรี คานวณด้วยระบบสารสนเทศภมู ิศาสตร์ สภาพการใช้ท่ีดินในโครงการป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และฟ้ืนฟูที่เกษตรกรรมด้วยระบบ อนุรักษ์ดินน้า พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปี พ.ศ. 2561 ซึ่งเน้ือท่ีรวมทั้งส้ิน 330,583 ไร่ พบว่า สามารถจาแนกประเภทการใช้ที่ดินได้เป็น 5 ประเภทหลกั ดังนี้ 1) พ้ืนที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง (U) มีเน้ือท่ี 4,187 ไร่ หรือร้อยละ 1.27 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า ประกอบด้วย หมู่บ้าน สถานท่ีราชการและสถาบันต่าง ๆ ถนน โรงงานอุตสาหกรรม สถานท่ีพักผ่อน หย่อนใจ และรีสอรท์ โรงแรม เกสต์เฮ้าส์

50 (1) หมบู่ ้าน (U2) มีเนื้อที่ 1,982 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.60 ของเนอ้ื ท่ลี ุ่มน้า ประกอบดว้ ย หมู่บา้ นบน พื้นทีร่ าบ 1,982 ไร่ หรอื ร้อยละ 0.60 ของเนือ้ ทล่ี ุ่มน้า ซึ่งเปน็ ทีอ่ ยู่อาศัยโดยทั่วไป นอกจากตัวเมือง สว่ น ใหญ่เปน็ บ้านพักท่อี ยอู่ าศยั กระจายตวั เปน็ จุด ๆ ห่างกนั ตามแนวถนนเชอื่ มต่อกนั ท่วั ไปท้งั หมบู่ า้ น (2) สถานทร่ี าชการและสถาบันต่าง ๆ (U3) มีเนือ้ ท่ี 2,002 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.60 ของเนอื้ ท่ีล่มุ นา้ (3) สถานคี มนาคม (U4) มเี น้ือที่ 143 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 0.04 ของเนื้อท่ลี มุ่ นา้ ไดแ้ ก่ ถนน (4) สิ่งปลูกสร้างอ่ืน ๆ (U6) มีเน้ือท่ี 60 ไร่ หรือร้อยละ 0.02 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า ประกอบด้วย สถานทีพ่ ักผ่อนหย่อนใจ 60 ไร่ 2) พนื้ ทเ่ี กษตรกรรม (A) มีเนอ้ื ท่ี 71,352 ไร่ หรือร้อยละ 21.58 ของเนือ้ ทีล่ ่มุ น้า (1) พ้ืนทน่ี า (A1) มีเน้อื ท่ี 139 ไร่ หรอื ร้อยละ 0.05 ของเนื้อท่ลี มุ่ นา้ ประกอบดว้ ยนาร้าง มเี นือ้ ท่ี 52 ไร่ และนาข้าว 87 ไร่ (2) พืชไร่ (A2) เปน็ พืชเกษตรกรรมทมี่ ีส่วนมากท่สี ุด มีเน้อื ท่ี 43,271 ไร่ หรือรอ้ ยละ 13.09 ของ เน้ือท่ีลุ่มน้า พ้ืนท่ีพืชไร่ที่สาคัญทางเศรษฐกิจของจังหวดั ประจวบคีรีขันธ์ ได้แก่ สับปะรด (A205) มีเน้ือที่ 42,094 ไร่ หรือร้อยละ 12.73 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า นอกจากน้ียังมีพืชไร่อ่ืน ๆ ได้แก่ ข้าวโพด 118 ไร่ อ้อย 376 ไร่ และวา่ นหางจระเข้ 239 ไร่ (3) ไม้ยืนต้น (A3) มีเนื้อท่ี 18,640 ไร่ หรือร้อยละ 5.64 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า พืชเศรษฐกิจท่ีสาคัญ ของจังหวดั คอื ยางพารา (A302) มเี นื้อท่ี 13,682 ไร่ หรือร้อยละ 4.14 ของเนือ้ ท่ีล่มุ นา้ และปาล์มน้ามัน (A303) มีเน้ือท่ี 4,204 ไร่ หรือร้อยละ 1.27 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า นอกจากน้ียังมีไม้ยืนต้นอ่ืน ๆ ได้แก่ ไม้ยืน ต้นผสม 206 ไร่ ยคู าลิปตสั 196 ไร่ สัก 174 ไร่ และสนประดิพทั ธ์ 179 ไร่ (4) ไม้ผล (A4) มีเน้อื ที่ 8,989 ไร่ หรอื ร้อยละ 2.72 ของเนอื้ ท่ีลุ่มนา้ ประกอบด้วย - มะมว่ ง (A407) มเี น้อื ที่ 5,720 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 1.73 ของเนอ้ื ที่ลุม่ น้า - ไม้ผลผสม (A401) มเี นื้อท่ี 1,263 ไร่ หรอื ร้อยละ 0.38 ของเนอ้ื ทล่ี มุ่ นา้ - มะพรา้ ว (A405) มีเนอื้ ที่ 1,199 ไร่ หรือร้อยละ 0.36 ของเน้อื ท่ีล่มุ นา้ นอกจากนี้ ยังมีไม้ผลอื่น ๆ ที่เกษตรกรปลูกเป็นแปลงเล็ก ๆ อีกหลายชนิดได้แก่ กล้วย 132 ไร่ ฝรงั่ 43 ไร่ และขนนุ 632 ไร่ (5) พืชสวน (A5) มีเนื้อท่ี 127 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 0.04 ของเนอ้ื ท่ลี มุ่ น้า เปน็ พน้ื ทน่ี าหญ้า 127 ไร่ (6) ทุ่งหญ้าเล้ยี งสตั วแ์ ละโรงเรือนเล้ยี งสัตว์ (A7) มีเนือ้ ท่ี 145 ไร่ หรือร้อยละ 0.04 ของเนื้อท่ีลุ่ม นา้ ประกอบดว้ ย ทุ่งหญ้าเล้ียงสตั ว์ 71 ไร่ และโรงเรอื นเล้ียงโค กระบือ และมา้ 74 ไร่ (7) สถานที่เพาะเล้ียงสัตว์น้า (A9) มีเน้ือท่ี 41 ไร่ หรือร้อยละ 0.01 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า ประกอบด้วย สถานทีเ่ พาะเล้ียงสัตว์นา้ ร้าง 41 ไร่ 3) พ้ืนทป่ี า่ ไม้ (F) มีเนอ้ื ที่ 243,280 ไร่ หรือรอ้ ยละ 73.59 ของเนอ้ื ทล่ี มุ่ น้า ประกอบดว้ ย (1) ป่าไม่ผลัดใบ (F1) มีเน้ือที่ 40,741 ไร่ หรือร้อยละ 12.32 ของเนื้อที่ลุ่มน้า เป็นพื้นที่ป่าไม่ ผลัดใบสมบรูณท์ ง้ั หมด (2) ป่าผลัดใบ (F2) มีเน้ือท่ี 202,539 ไร่ หรือร้อยละ 61.27 ของเนื้อที่ลุ่มน้า ประกอบด้วย

51 ป่าผลัดใบรอสภาพฟื้นฟู 8,306 ไร่ หรือร้อยละ 2.51 ของเนื้อทีล่ ่มุ นา้ และปา่ ผลัดใบสมบรูณ์ 194,233 ไร่ หรือร้อยละ 58.75 ของเน้ือท่ีลุม่ นา้ 4) พ้ืนท่ีแหลง่ นา้ (W) มีเน้อื ที่ 6,162 ไร่ หรอื ร้อยละ 1.86 ของเนอ้ื ท่ลี ุ่มน้า ประกอบดว้ ย (1) แหล่งน้าธรรมชาติ (W1) ได้แก่ แม่น้า ลาห้วย ลาคลอง (W101) มีเน้ือที่ 1,349 ไร่ หรือ ร้อยละ 0.41 ของเน้ือที่ลุ่มน้า และ หนอง บึง ทะเลสาบ (W102) มีเนื้อที่ 52 ไร่ หรือร้อยละ 0.02 ของเนื้อที่ลุ่มน้า ทาให้เกิดแหล่งน้าผิวดินท่ีเกิดจากการถูกกระทาของลาน้ากระจายอยู่ท่ัวไป ท้ังลักษณะ หนอง บึง และบางแห่งพบมากเปน็ แหล่งนา้ ชมุ ชนในรปู ฝาย (2) แหล่งน้าทีส่ รา้ งขึ้น (W2) ได้แก่ อ่างเกบ็ นา้ (W201) มเี น้ือท่ี 4,615 ไร่ หรือร้อยละ 1.40 ของ เนอ้ื ที่ลุ่มน้า และบอ่ น้า ในไรน่ า มีเน้ือที่ 146 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.04 ของเนือ้ ทล่ี ่มุ นา้ 5) พ้ืนท่ีเบ็ดเตล็ด (M) มีเน้ือท่ี 5,602 ไร่ หรือร้อยละ 1.69 ของเน้ือที่ลุ่มน้า ประกอบด้วย ทุ่งหญา้ ธรรมชาติ มเี นอ้ื ท่ี 676 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 0.20 ของเน้ือทีล่ ่มุ นา้ ทงุ่ หญ้าสลบั ไม้พมุ่ /ไมล้ ะเมาะ 4,453 ไร่ หรือร้อยละ 1.35 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า พื้นท่ีลุ่ม มีเนื้อท่ี 228 ไร่ หรือร้อยละ 0.07 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า เหมือง แร่ มีเนือ้ ท่ี 84 ไร่ หรอื ร้อยละ 0.03 ของเนอ้ื ทล่ี ุ่มน้า และบอ่ ทราย มีเนื้อท่ี 161 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.05 ของ เน้ือทลี่ มุ่ นา้ ตารางท่ี 3-12 ประเภทการใช้ที่ดินในพ้ืนที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวดั ประจวบคีรีขันธ์ สัญลกั ษณ์ คาอธิบาย เน้ือท่ี ไร่ รอ้ ยละ U : พน้ื ที่ชุมชนและส่ิงปลกู สร้าง 4,187 1.27 U2 หมู่บา้ น 1,982 0.60 U201 หมู่บ้านบนพ้ืนราบ 1,982 0.60 U3 สถานที่ราชการและสถาบนั ตา่ ง ๆ 2,002 0.61 U301 สถานที่ราชการและสถาบนั ต่าง ๆ 2,002 0.61 U4 สถานีคมนาคม U405 ถนน 143 0.04 U6 สงิ่ ปลกู สรา้ งอนื่ ๆ 143 0.04 U601 สถานที่พักผอ่ นหย่อนใจ 60 0.02 60 0.02 A : พน้ื ท่เี กษตรกรรม 71,352 21.59 A1 พ้นื ที่นา 139 0.05 A100 นาร้าง 52 0.02 A101 นาข้าว 87 0.03 A2 พืชไร่ 43,271 13.09

52 ตารางท่ี 3-12 ประเภทการใช้ที่ดินในพื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จงั หวัดประจวบครี ขี นั ธ์ (ตอ่ ) สญั ลักษณ์ คาอธบิ าย เนือ้ ที่ ไร่ ร้อยละ A200 ไร่รา้ ง A202 ข้าวโพด 444 0.13 A203 ออ้ ย 118 0.04 A205 สับปะรด 376 0.11 A225 ว่านหางจระเข้ 42,094 12.73 A3 ไมย้ นื ต้น 239 0.07 A301 ไมย้ นื ตน้ ผสม 18,640 5.64 A302 ยางพารา 206 0.06 A303 ปาล์มนา้ มนั 13,682 4.14 A304 ยูคาลิปตัส 4,204 1.27 A305 สกั 196 0.06 A307 สนประดพิ ทั ธ์ 174 0.05 A4 ไมผ้ ล 179 0.05 A401 ไม้ผลผสม 8,989 2.72 A405 มะพรา้ ว 1,263 0.38 A407 มะมว่ ง 1,199 0.36 A411 กล้วย 5,720 1.73 A414 ฝรง่ั 132 0.04 A416 ขนนุ 43 0.01 A5 พชื สวน 632 0.19 A510 นาหญ้า 127 0.04 A7 ท่งุ หญ้าเลย้ี งสตั ว์และโรงเรือนเล้ียงสตั ว์ 127 0.04 A701 ทุ่งหญ้าเลยี้ งสตั ว์ 145 0.04 A702 โรงเรอื นเลยี้ งโค กระบือ และมา้ 71 0.02 A303 ปาล์มน้ามัน 74 0.02 A304 ยูคาลิปตสั 4,204 1.27 A305 สัก 196 0.06 A307 สนประดพิ ทั ธ์ 174 0.05 179 0.05

53 ตารางที่ 3-12 ประเภทการใช้ที่ดินในพื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบครี ีขนั ธ์ (ตอ่ ) สัญลกั ษณ์ คาอธบิ าย เนื้อท่ี ไร่ รอ้ ยละ A9 สถานที่เพาะเลี้ยงสตั วน์ ้า A900 สถานท่เี พาะเลย้ี งสัตว์น้าร้าง 41 0.01 F: พืน้ ทีป่ ่าไม้ 41 0.01 F1 ปา่ ไมผ่ ลัดใบ 243,280 73.59 F101 ป่าไมผ่ ลัดใบสมบรู ณ์ 40,741 12.32 F2 ป่าผลดั ใบ 40,741 12.32 F200 ป่าผลัดใบรอสภาพฟ้ืนฟู 202,539 61.27 F201 ปา่ ผลัดใบสมบูรณ์ 8,306 2.51 W : พน้ื ทนี่ ้า 194,233 58.75 W1 แหล่งนา้ ธรรมชาติ 6,162 1.86 W101 แม่น้า ลาหว้ ย ลาคลอง 1,401 0.42 W102 หนอง บึง ทะเลสาบ 1,349 0.41 W2 แหลง่ น้าท่ีสรา้ งข้นึ 52 0.02 W201 อ่างเก็บน้า 4,761 1.44 W202 บ่อนา้ ในไรน่ า 4,615 1.40 M : พน้ื ทเี่ บด็ เตล็ด 146 0.04 M1 ทุ่งหญา้ และไมล้ ะเมาะ 5,602 1.69 M101 ทุ่งหญา้ ธรรมชาติ 5,129 1.55 M102 ทงุ่ หญา้ สลบั ไม้พุ่ม/ไมล้ ะเมาะ 676 0.20 M2 พนื้ ทล่ี ุ่ม 4,453 1.35 M201 พืน้ ทีล่ มุ่ 228 0.07 M3 เหมืองแร่ บอ่ ขุด 228 0.07 M301 เหมืองแร่ 245 0.07 M303 บ่อทราย 84 0.03 161 0.05 รวมพ้นื ทที่ ้ังหมด 330,583 100.00

54 ภาพที่ 3-9 สภาพการใช้ทีด่ นิ ลมุ่ นา้ คลองกยุ จังหวัดประจวบครี ขี นั ธ์

55 การชะล้างพังทลายของดินเป็นปัญหาที่สาคัญท่ีส่งผลให้ทรัพยากรท่ีดินเส่ือมโทรม เน่ืองจากทาให้ เกิดการสูญเสียหน้าดิน การสูญเสียธาตุอาหารและอินทรียวัตถุในดิน ส่งผลให้ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลดลง โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในพนื้ ที่ทม่ี ีการใช้ท่ีดนิ ในการปลูกพชื อย่างเขม้ ขน้ ในรอบปี รวมท้ังในพนื้ ทีท่ ่มี ีการ ใชเ้ คร่ืองจักรกลในการไถพรวนดนิ เปน็ สาเหตสุ าคัญที่ทาใหส้ มบตั ิทางกายภาพของดินโดยเฉพาะโครงสร้าง ดินถูกทาลาย ยิ่งส่งเสริมให้เกิดการพังทลายของดินในพ้ืนที่ ผลจากการชะล้างพังทลายของดินจะส่งผล กระทบตอ่ สิ่งแวดล้อมท้ังในพื้นท่ีที่เกิดการชะลา้ งพังทลายของดนิ และพนื้ ทโี่ ดยรอบ และทาให้ผลผลิตต่อ หน่วยพน้ื ทีล่ ดลง เนอื่ งจากความอดุ มสมบูรณ์ลดลง และเกดิ การตืน้ เขินของแม่นา้ ลาคลองจากมีการสะสม ของตะกอนดิน ทาให้ศักยภาพในการเก็บกักน้าของแหล่งน้าต่าลง ปัญหาเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการ เพาะปลูกในฤดูกาลถัดไป ดังนั้น จึงมีความจาเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องมีการป้องกันการชะล้างพังทลายของ ดนิ เพ่อื รกั ษาทรพั ยากรที่ดนิ ให้สามารถใชท้ ีด่ นิ ได้อยา่ งยง่ั ยนื การชะลา้ งพงั ทลายของดินในแต่ละพ้ืนทีจ่ ะมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันไป ขน้ึ อยู่กับลกั ษณะของ ดนิ เอง และปัจจัยจากภายนอก โดยปกติแล้วการชะลา้ งพงั ทลายของดนิ ในประเทศไทยจะเกิดขนึ้ โดยมีฝน เป็นปัจจัยหลักท่ีสาคัญ แต่โดยธรรมชาติแล้วจะเกิดไม่รุนแรงบนพื้นที่ที่มีความลาดชันน้อยและมีสิ่งปก คลุมผิวดินหรือพ้ืนที่ท่ีมีความลาดชันสูงแต่มีสิ่งปกคลุมผิวดินหนาแน่นจนเม็ดฝนไม่สามารถกระทบสู่ พื้นดินได้ แต่จะเกิดรุนแรงมากขึ้นถ้าพ้ืนที่มีความลาดชันมากขึ้นและไม่มีส่ิงปกคลุมผิวดิน โดยมีกิจกรรม การใช้ท่ีดินของมนุษย์เป็นตัวเร่งให้เกิดความรุนแรงมากข้ึน การชะล้างพังทลายของดินนอกจากมี ผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมแล้วยังส่งผลเสียทางด้านเศรษฐกิจ และจากการประเมินการสูญเสียดิน (ตัน/ไร่/ป)ี ในพ้นื ทล่ี มุ่ นา้ คลองกุย สามารถแบง่ ระดับความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินออกเป็น 5 ระดับ (ตารางที่ 3-13 และภาพท่ี 3-10) ดงั น้ี 1) ความรุนแรงของการชะลา้ งพังทลายของดนิ ระดบั น้อย พ้ืนท่ีมีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินในระดับน้อย ซึ่งมีปริมาณการสูญเสียดิน 0-2 ตันต่อไร่ต่อปี โดยมีครอบคลุมเน้ือที่ประมาณ 267,380 ไร่ หรือร้อยละ 80.88 ของเนื้อที่ลุ่มน้าพบ กระจายตัวอยู่ในตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี ซ่ึงบริเวณที่มีสูญเสียดินเลก็ น้อย ส่วนใหญ่มีสภาพพ้ืนท่เี ปน็ ลูกคลื่นลอนลาดเล็กน้อยถึงพ้ืนท่ีราบเรียบหรือค่อนข้างราบเรียบ การใช้ท่ีดินส่วนใหญ่เป็นป่าผลัดใบ สมบูรณ์ และใช้ประโยชน์ในการปลูกสับปะรด ยางพารา และปาล์มน้ามัน แม้ในพื้นที่น้ีซ่ึงมีสถานภาพ ความรนุ แรงในระดบั น้อย แตค่ วรไดร้ บั การจดั การดว้ ยมาตรการอนุรักษ์ดนิ และน้าทเ่ี หมาะสมเพ่ือป้องกัน การสูญเสียดนิ เพื่อใชป้ ระโยชนอ์ ยา่ งเหมาะสม 2) ความรนุ แรงของการชะลา้ งพงั ทลายของดินระดบั ปานกลาง พ้ืนท่ีมีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินในระดับปานกลาง ซึ่งมีปริมาณการสญู เสยี ดิน 2-5 ตันต่อไร่ต่อปี โดยมีเนื้อท่ีครอบคลุมประมาณ 31,010 ไร่ หรือร้อยละ 9.38 ของเน้ือที่ลุ่มน้าพบ กระจายตัวอยู่ในตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี ฝั่งทางทิศตะวันออก สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น พื้นที่ลูกคล่ืนลอนชัน ส่วนใหญ่เป็นป่าผลัดใบสมบูรณ์ ในการปลูกสับปะรด ยางพารา และปาล์มน้ามัน

56 พื้นที่น้ีควรมีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างระมัดระวัง โดยการปลูกพืชตามแนวระดับหรือขวางความลาดเท และควรมกี ารปรบั ปรุงบารุงดินอยา่ งต่อเน่ือง 3) ความรนุ แรงของการชะลา้ งพังทลายของดินระดบั รุนแรง พื้นท่ีมีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินในระดับรุนแรง ซึ่งมีปริมาณการสูญเสียดิน 5-15 ตนั ต่อไร่ตอ่ ปี โดยมีเนอื้ ท่คี รอบคลมุ ประมาณ 19,120 ไร่ หรือรอ้ ยละ 5.78 ของเนือ้ ที่ลุ่มน้า โดยพบ กระจายตัวอยู่พ้ืนท่ีตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี ส่วนใหญ่มีการใช้ท่ีดินในการปลูกสับปะรด ยางพารา และปาล์มน้ามัน พ้ืนที่นี้ควรนามาตรการป้องกันการสูญเสียดินท้ังวิธีพืชและวิธีกลสาหรับป้องกันการ สูญเสียดิน มีการปรับปรุงบารุงดินอย่างต่อเน่ือง เพ่ือการใช้ประโยชน์ท่ีดินทางการเกษตรได้อย่างย่ังยืน ตลอดไป 4) ความรนุ แรงของการชะล้างพังทลายของดนิ ระดบั รุนแรงมาก พื้นท่ีมีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินในระดับรุนแรงมาก ซ่ึงมีปริมาณการสูญเสีย ดิน 15-20 ตันต่อไร่ต่อปี โดยมีเนื้อท่ีครอบคลุมประมาณ 738 ไร่ หรือร้อยละ 0.23 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า โดย ส่วนใหญ่พบกระจายตัวอยู่ในตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี สภาพพน้ื ท่สี ว่ นใหญ่มีความลาดชันสูงและมีการ ใช้ประโยชน์ท่ีดินในการปลูกยางพารา สับปะรด ป่าไม่ผลัดใบสมบูรณ์ ป่าผลัดใบรอสภาพฟ้ืนฟู และป่า ผลัดใบสมบูรณ์ พ้ืนท่ีน้ี หากมีการใช้ประโยชน์ท่ีดินทางการเกษตร จาเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีมาตรการ อนุรกั ษด์ นิ และน้าอยา่ งเครง่ ครดั มกี ารปรับปรงุ บารุงดนิ อยา่ งต่อเน่ือง เพื่อป้องกันการสญู เสยี ดนิ 5) ความรุนแรงของการชะล้างพงั ทลายของดนิ ระดับรุนแรงมากที่สุด พื้นที่มีความรุนแรงของการชะล้างพังทลายของดินในระดับรุนแรงมาก ซ่ึงมีปริมาณการสูญเสีย ดินมากกว่า 20 ตันต่อไร่ต่อปี โดยมีเนื้อที่ครอบคลุมประมาณ มีเนื้อที่ 12,335 ไร่ หรือร้อยละ 3.73 ของ เนื้อท่ีลุ่มน้า โดยพบกระจายตัวอยู่ในตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี พ้ืนที่ส่วนใหญ่มีความลาดเทสูงสภาพ พ้ืนที่ส่วนใหญ่ มีลักษณะเป็นพื้นท่ีลูกคลื่นลอนชัน ส่งผลให้มีอัตราการสูญเสียดินรุนแรงมากท่ีสุดโดย มากกว่า 9.6 มิลลิเมตรต่อปี มีลักษณะของการชะล้างพังทลายของดินเป็น ร่องลึก (gully) เกิดข้ึนทั่วไป และมกี ารใชป้ ระโยชนท์ ีด่ ินในการปลกู ข้าวโพด ข้าวโพด (ไร่หมนุ เวียน) ปา่ ไมผ่ ลัดใบสมบูรณ์ ป่าผลัดใบรอ สภาพฟืน้ ฟู และป่าผลัดใบสมบูรณ์

57 ตารางที่ 3-13 ระดับความรุนแรงของการชะลา้ งพงั ทลายของดิน พน้ื ที่ลมุ่ น้าคลองกยุ อาเภอกยุ บรุ ี และ อาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบครี ขี ันธ์ ระดับความรนุ แรง อตั ราการสญู เสียดนิ เนอ้ื ท่ี (ตัน/ไร่/ปี) ไร่ รอ้ ยละ นอ้ ย 0-2 267,380 80.88 ปานกลาง 2-5 31,010 9.38 รนุ แรง 5-15 19,120 5.78 รุนแรงมาก 15-20 738 0.23 รุนแรงมากทีส่ ดุ มากว่า 20 12,335 3.73 รวมเนอ้ื ที่ทงั้ หมด 330,583 100.00 จากผลการศกึ ษา จะเหน็ ว่า พ้นื ทีส่ ่วนใหญ่มีความรนุ แรงของการชะล้างพังทลายในระดับน้อย โดยมี ปรมิ าณการสญู เสียดิน 0-2 ตันต่อไรต่ ่อปี โดยครอบคลุมเน้ือท่ีคิดเป็นร้อยละ 80.88 ของเนือ้ ที่ลุ่มน้า โดย พบกระจายตัวอยู่ในตาบลหาดขาม อาเภอกุยบุรี ซ่ึงพ้ืนท่ีดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความลาดชันอยู่ในช่วง 0-12 เปอร์เซ็นต์ มีลักษณะสภาพพื้นที่เป็นแบบราบเรียบถึงค่อนข้างราบเรียบ ลูกคล่ืนลอดลาดเล็กน้อย และลูกคล่ืนลอนลาดบางส่วน เม่ือพิจารณาประเภทการใช้ที่ดินเป็นป่าไม่ผลัดใบสมบูรณ์ ป่าผลัดใบรอ สภาพฟื้นฟู และป่าผลัดใบสมบูรณ์ และมีการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในการปลูกสับปะรด ยางพารา และ ปาล์มน้ามัน ซึ่งหากมีปัญหาการชะล้างพังทลายควรได้รับการป้องกันเพ่ือไม่ให้เกิดความเสียหายต่อการ ผลิตและผลผลิตของเกษตรกร อีกท้ังลดต้นทุนการผลิตท่ีสูญหายไปกับการชะล้างของผิวหน้าดินท่ีอาจ เกิดข้ึนอย่างต่อเน่ือง นอกจากนี้ ในพ้ืนที่ท่ีมีสภาพภูมิประเทศแบบเนินเขาแบบสูงชันและแบบสูงชันมาก จะเกิดการชะล้างพังทลายของดินท่ีมีความรุนแรงมากท่ีสุด โดยก่อให้เกิดปริมาณการสูญเสียดินมากกว่า 20 ตันตอ่ ไร่ตอ่ ปี โดยพื้นที่ดงั กล่าวมกี ารใช้ประโยชนท์ ด่ี ินเป็นสบั ปะรด ท้ังน้ี เพื่อเป็นการป้องกันและหยุดการชะล้างพังทลายของดินอย่างย่ังยืน โดยเฉพาะพื้นท่ีท่ีมีความ รุนแรงของการสูญเสียดินปานกลางถึงรุนแรงมากท่ีสุดนั้น ควรมีมาตรการในการจัดระบบอนุรักษ์ดินและ น้าท่ีเหมาะสมสาหรับแต่ละพ้ืนที่ โดยเฉพาะในพ้ืนท่ีบางแห่งท่ีมีการใช้ท่ีดินอย่างไม่เหมาะสม เน่ืองจาก พื้นที่ที่มีความลาดชันสูง ควรปรับเปล่ียนการใช้ท่ีดินให้เหมาะสม และวิธีการจัดการมีความเป็นไปได้จริง วิธกี ารทสี่ ะดวก และเสียคา่ ใช้จ่ายน้อย ไม่ตอ้ งใช้แรงงานมาก และสอดคล้องตามความต้องการของชุมชน ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงการคาดคะเนการชะล้างพังทลายของดินในแต่ละพ้ืนท่ีและแตล่ ะระดับ แม้กระทั้งใน พ้ืนท่ีที่มีการชะล้างพังทลายในระดับน้อยซ่ึงมีปริมาณการสูญเสียดิน 0-2 ตันต่อไร่ต่อปี ซ่ึงไม่ควรเพิกเฉย ต่อการใช้มาตรการอนุรักษ์ดินและน้า และมีจัดการปรับปรุงดินที่เหมาะสม ซ่ึงหากมีการละเลยหรือมีการ จัดการที่ไม่เหมาะสม และถูกต้องตามหลักวิชาการอาจจะส่งผลกระทบท่ีรุนแรงข้ึน ซึ่งเกิดปัญหาต่อการ สูญเสียดิน ปริมาณและคุณภาพผลผลิต และสง่ ผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต การจัดการดนิ น้า ปุ๋ย ทาให้ เกษตรกรในพ้นื ที่มคี า่ ใชจ้ า่ ยที่เพิม่ สงู ข้นึ ตามไปด้วย

58 ภาพท่ี 3-10 การสูญเสียดนิ ลุ่มนา้ คลองกยุ จังหวัดประจวบคีรขี นั ธ์

59 จากการศึกษาข้อมูลสภาวะเศรษฐกิจและสงั คมจากหน่วยงานต่าง ๆ และการสัมภาษณ์เกษตรกรใน พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วย ตาบล หาดขาม ตาบลสามกระทาย ตาบลไรใ่ หม่ และตาบลไร่เก่า โดยมรี ายละเอียดตามตารางท่ี 3-14 1) สภาพท่ัวไป ประชากรของพ้ืนท่ีลุ่มน้าเฉลี่ยประมาณ 5,054 คนต่อตาบล โดยตาบลที่มีประชากรสูงสุดคือ ตาบลสามกระทาย รองลงมาเปน็ ตาบลหาดขาม ตาบลไร่เกา่ และตาบลไรใ่ หม่ ตามลาดับ สัดสว่ นของเพศ ชายและเพศหญิงค่อนข้างใกล้เคียงกัน คือ เป็นเพศชายเฉล่ียประมาณ 2,497 คนต่อตาบล และเป็นเพศ หญิงเฉลี่ยประมาณ 2,557 คนต่อตาบล จานวนครัวเรือนเฉลี่ยประมาณ 1,746 ครัวเรือนต่อตาบล โดย ตาบลหาดขามมีจานวนครัวเรือนสูงสุด รองลงมาเป็นตาบลสามกระทาย ตาบลไร่เก่า และตาบลไร่ใหม่ ตามลาดับ การรวมกลุ่มของเกษตรกรมีทุกตาบล โครงสร้างพ้ืนฐานด้านสาธารณูปโภค (ไฟฟ้า ประปา โทรคมนาคม) ด้านสถานบริการสาธารณะ และหน่วยธุรกิจมีครบถ้วนทุกตาบล แต่มีจานวนแตกต่างกัน ขึ้นอยกู่ ับขนาดของพน้ื ท่แี ละประชากร 2) ดา้ นเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ในทุกตาบลประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ทานา ทาไร่ ทาสวน และเลยี้ งสตั ว์ เปน็ การประกอบอาชพี เกษตรกรรมเพ่ือบริโภคและเพ่ือจาหนา่ ย ส่วนอาชพี อืน่ ๆ มี รับราชการ รัฐวิสาหกิจ พนักงานเอกชน ธุรกิจส่วนตัว รับจ้างทั่วไป ค้าขาย และอ่ืน ๆ จานวนครัวเรือน เกษตรเฉล่ียประมาณ 1,280 ครัวเรือนต่อตาบล คิดเป็นร้อยละ 73.31 ของครัวเรือนท้ังหมด ตาบลที่มี ครัวเรือนเกษตรมากท่ีสุดคือ ตาบลหาดขาม รองลงมาเป็นตาบลสามกระทาย ตาบลไร่เก่า และตาบลไร่ ใหม่ ตามลาดับ มีพื้นท่ีเกษตรเฉลี่ย 16.53 ไร่ต่อครัวเรือน จานวนแรงงานเฉล่ีย 2 คนต่อครัวเรือน มี รายได้ครัวเรือนเฉล่ีย 21,940.86 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน ซ่ึงตาบลที่มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยสูงสุดคือ ตาบลไร่ใหม่ รองลงมาเป็นตาบลไร่เก่า ตาบลสามกระทาย ตาบลหาดขาม ตามลาดับ ลักษณะการถือ ครองท่ีดิน พบว่า ส่วนใหญ่มีที่ดินทากินเป็นของตนเอง มีทั้งท่ีมีหนังสือสาคัญในที่ดิน เช่น โฉนด นส.3 น.ส.3ก เป็นต้น และไม่มีเอกสารสิทธ์ิในท่ีดินทากิน เครื่องมือการเกษตร เกษตรกรส่วนใหญ่ใช้รถไถใหญ่ เครอื่ งพน่ ยา และเครอ่ื งสบู น้า เปน็ ต้น ตารางที่ 3-14 สภาวะเศรษฐกิจและสงั คม สภาวะเศรษฐกจิ และสังคม หาดขาม ตาบล ไร่ใหม่ คา่ เฉลยี่ สามกระทาย ไรเ่ ก่า สภาพสังคมและการรวมกล่มุ เกษตร 1,572 5,054 8,365 2,595 813 2,497 1) ประชากร (คน) 7,681 4,090 1,313 759 2,557 4,275 1,282 (1) ชาย (คน) 3,771 (2) หญงิ (คน) 3,910

60 ตารางที่ 3-14 สภาวะเศรษฐกจิ และสงั คม (ตอ่ ) สภาวะเศรษฐกจิ และสังคม ตาบล คา่ เฉล่ยี 1,746 (3) จานวนครวั เรือน หาดขาม สามกระทาย ไรเ่ กา่ ไร่ใหม่ (หลงั คาเรอื น) 655 23.68 3,113 2,376 839 2.49 2) โครงสร้างพ้ืนฐาน 100.00 0.59 (1) สาธารณปู โภค 100.00 100.00 99.70 99.24 4.58 (ร้อยละ) 100.00 100.00 100.00 9.41 - ครัวเรือนท่ีมไี ฟฟ้าใช้ 100.00 36.14 - ครัวเรือนท่ใี ชน้ ้า 85.71 94.44 98.45 23.14 ประปาตลอดปี 100.00 1,280 - ครัวเรือนที่มี 100.00 100.00 72.00 (73.31) โทรศัพทเ์ คลอื่ นที่ มี 16.53 - การคมนาคมใช้ได้ มี มี มี มี ตลอดท้ังปี มี มี มี มี 2 (2) สถานบริการสาธารณะ มี มี มี 21,940.86 (3) หน่วยธุรกจิ 21.01 (4) การรวมกลุม่ ของ 38.97 22.97 11.75 2.96 เกษตรกร/กลมุ่ อาชีพ 1.21 2.98 2.81 0.06 0.43 1.64 0.20 1.00 สภาพเศรษฐกิจ 5.76 10.93 0.60 15.72 1) การประกอบอาชีพ (รอ้ ยละ) 4.09 5.91 11.91 39.85 (1) เกษตรกรรรม 26.97 28.68 49.05 19.40 (2) ราชการ 22.57 26.89 23.68 (3) พนกั งานรัฐวสิ าหกิจ 1,720 1,508 105 (4) พนักงานบริษทั (55.25) (63.47) 506 (16.03) (5) ธุรกิจสว่ นตัว เช่น 18.44 17.89 (60.31) 14.63 ค้าขาย 15.17 (6) อ่ืน ๆ เช่น รับจ้างทัว่ ไป 22 2 (7) ไมม่ อี าชพี 2 2) ครัวเรอื นเกษตรกร 19,897.46 20,911.33 24,143.93 (ร้อยละของครัวเรอื นทง้ั หมด) 22,810.70 3) พื้นทที่ าการเกษตร (ไร/่ ครวั เรือน) 4) แรงงาน (คน/ครัวเรอื น/ป)ี 5) รายไดค้ รัวเรือน (บาท/ครวั เรือน/เดือน)

61 ตารางท่ี 3-14 สภาวะเศรษฐกจิ และสังคม (ตอ่ ) สภาวะเศรษฐกิจและสงั คม ตาบล ไร่เกา่ ไร่ใหม่ คา่ เฉล่ีย หาดขาม สามกระทาย 2,825.5 512 526 163.25 6) ลักษณะการถอื ครองที่ดิน 57 - (ไร)่ รถไถใหญ่ รถไถใหญ่ (1) หนงั สอื สาคญั ในที่ดนิ 3,137 7,127 เคร่อื งพน่ ยา เคร่อื งพน่ ยา เครื่องสบู น้า เครื่องสบู น้า (โฉนดที่ดิน, นส.3, น.ส.3ก ฯ) (2) ไมม่ เี อกสารสทิ ธิ์ 596 - 7) เครอ่ื งมอื การเกษตร รถไถใหญ่ รถไถใหญ่ เคร่อื งพ่นยา เครื่อง เคร่อื งพน่ ยา สูบนา้ เคร่ืองสบู น้า 3) พืชเศรษฐกจิ ทส่ี าคญั จากการศึกษาสถานการณ์พืชเศรษฐกิจที่สาคัญในพื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรีและอาเภอ สามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปีการผลิต 2563 ได้แก่ ยางพารา ไม้ผลผสม มะม่วง ปาล์มน้ามัน และสับปะรด โดยพิจารณาความรุนแรงออกเป็น 5 ระดับ คือ น้อย (อัตราการสูญเสียดิน 0-2 ตัน/ไร่) ปานกลาง (อัตราการสูญเสียดิน 2-5 ตัน/ไร่) รุนแรง (อัตราการสูญเสียดิน 5-15 ตัน/ไร่) รุนแรงมาก (อัตราการสูญเสียดิน 15-20 ตัน/ไร่) และรุนแรงมากที่สุด (อัตราการสูญเสียดิน 20 ตัน/ไร่) (ตารางท่ี 3-15) 3.1 ยางพารา จากการสุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพื้นที่ที่ปลูกยางพาราที่มีการชะล้างพังทลายของ ดินใน 4 ระดับ คือ น้อย ปานกลาง รุนแรง และรุนแรงมาก พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพ้ืนท่ีปลูก ยางพาราพันธ์ุ RRIT251 และ RRIM600 ผลผลิตท่ีได้จากยางพาราเป็นยางก้อนถ้วย และยางแผ่น ซึ่ง สามารถอธิบายต้นทนุ การผลติ ผลผลิต และผลตอบแทนเหนอื ต้นทนุ ทงั้ หมด ได้ดังนี้ ยางพารา (ยางก้อน) พบว่า พื้นท่ีดินที่มีการชะล้างระดับน้อย เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 475.00 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเทา่ กบั 16.11 บาทตอ่ กโิ ลกรัม ตน้ ทุนการผลิตเทา่ กบั 7,650.00 บาท ต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดเท่ากับ 1,900.73 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้เหนือ ต้นทุนทั้งหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.33 พื้นที่ดินที่มีการชะล้างระดับปานกลาง เกษตรกรมีปริมาณ ผลผลิต 473.50 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 16.11 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 7,628.09 บาทตอ่ ไร่ ผลตอบแทนเหนือตน้ ทุนท้ังหมดเทา่ กับ 1,878.32 บาทตอ่ ไร่ และอัตราผลตอบแทน รายได้เหนือต้นทุนท้ังหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.33 พื้นที่ดินที่มีการชะล้างระดับรุนแรง เกษตรกรมี ปรมิ าณผลผลิต 472.10 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเทา่ กบั 16.11 บาทต่อกโิ ลกรมั ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 7,605.53 บาทตอ่ ไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้งั หมดเท่ากับ 1,840.10 บาทตอ่ ไร่ และอตั ราผลตอบแทน รายได้เหนือต้นทุนทั้งหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.32 และพื้นที่ดินท่ีมีการชะล้างระดับรุนแรงมาก

62 เกษตรกรมปี รมิ าณผลผลิต 469.80 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ ราคาผลผลติ เทา่ กบั 16.11 บาทตอ่ กิโลกรัม ตน้ ทุนการ ผลิตเท่ากบั 7,568.48 บาทตอ่ ไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดเท่ากบั 1,796.07 บาทต่อไร่ และอัตรา ผลตอบแทนรายไดเ้ หนอื ตน้ ทนุ ท้งั หมด (B/C ratio) เท่ากบั 1.31 ยางพารา (ยางแผ่น) พบว่า พ้ืนที่ดินที่มีการชะล้างระดับน้อย เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 280.00 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 40.82 บาทต่อกโิ ลกรมั ต้นทนุ การผลิตเท่ากบั 8,077.31 บาท ต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดเท่ากับ 3,352.29 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้เหนือ ต้นทุนท้ังหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.41 พื้นท่ีดินท่ีมีการชะล้างระดับปานกลาง เกษตรกรมีปริมาณ ผลผลิต 278.63 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 40.82 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 8,100.74 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทนุ ทง้ั หมดเท่ากบั 3,272.94 บาทต่อไร่ และอตั ราผลตอบแทน รายได้เหนือต้นทุนทั้งหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.40 พื้นที่ดินที่มีการชะล้างระดับรุนแรง เกษตรกรมี ปรมิ าณผลผลติ 282.52 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ ราคาผลผลิตเท่ากบั 40.83 บาทตอ่ กิโลกรมั ต้นทนุ การผลติ เทา่ กับ 8,124.53 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือตน้ ทุนทง้ั หมดเท่ากับ 3,410.76 บาทตอ่ ไร่ และอตั ราผลตอบแทน รายได้เหนือต้นทุนท้ังหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.42 และพื้นที่ดินที่มีการชะล้างระดับรุนแรงมาก เกษตรกรมปี รมิ าณผลผลติ 275.53 กโิ ลกรมั ต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากบั 40.82 บาทต่อกิโลกรมั ต้นทุนการ ผลติ เท่ากับ 8,158.42 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 3,388.71 บาทต่อไร่ และอัตรา ผลตอบแทนรายไดเ้ หนอื ตน้ ทุนทัง้ หมด (B/C ratio) เท่ากบั 1.38 จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า กลุ่มตัวอย่างท่ีปลูกยางพาราได้ผลผลิตที่ใกล้เคียงกัน แต่เม่ือ พจิ ารณาตามระดับการชะล้างการพังทลายของดิน พบวา่ ปริมาณผลผลิตมีทศิ ทางท่ลี ดลงตามระดบั ความ รนุ แรงของการชะล้างการพังทลายของดนิ ในประเดน็ ดา้ นราคาผลผลติ มีราคาใกล้เคยี งกัน กลา่ วคอื ราคา ยางก้อนเท่ากับ 16.11 บาทต่อกิโลกรัม และยางแผ่นเท่ากับ 40.82 บาทต่อกิโลกรัม ในด้านต้นทุนการ ผลิตทั้งหมด พบว่า ในทุกระดับการสูญเสียดินมีต้นทุนการผลิตที่ใกล้เคียงกัน แต่เม่ือพิจารณาถึง ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมด พบว่า มูลค่าผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดมีมูลค่าลดลงตามระดับ ความรนุ แรงของการชะล้างการพงั ทลายของดิน 3.2 ไม้ผลผสม จากการสุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพื้นที่ท่ีปลูกไม้ผลผสมที่มีการชะล้างพังทลาย ระดับความรุนแรงน้อย พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นเกษตรกรมีการปลูก มะพร้าว ทุเรียน ขนุน และกล้วย แต่เมื่อทาการหาค่าเฉลี่ยของพ้ืนท่ีในการเพาะปลูกเพ่ือใช้ในการวิเคราะห์ พบว่า ในแปลงการเพาะปลูก เกษตรกรส่วนใหญ่มีการปลูกมะพร้าวในสัดส่วนของพ้ืนท่ีมากที่สุด ในขณะที่ทุเรียน ขนุน และกล้วย มี สัดส่วนในแปลงการผลิตเพียงเล็กน้อย อีกท้ังยังมีการกระจายของข้อมูล ด้วยเหตุนี้ในการวิเคราะห์หา ต้นทุนการผลิต ผลผลิต และผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดของการปลูกไม้ผลผสมในครั้งน้ี จึงคานวณ ต้นทุนของมะพร้าวในแปลงไม้ผลผสมเท่านั้น โดยพันธุ์มะพร้าวที่ใช้ปลูก คือ มะพร้าวน้าหอม มีผลผลิต เฉล่ีย 774.19 ลูกต่อไร่ ราคาผลผลติ เฉลีย่ เท่ากบั 8.80 บาทต่อลูก ต้นทนุ การผลิตเท่ากับ 5,481.87 บาท ต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 1.642.20 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้เหนือ ตน้ ทนุ ทง้ั หมด (B/C ration) เทา่ กบั 1.24

63 3.3 มะม่วง จากการสุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพ้ืนท่ีท่ีปลูกมะม่วงที่มีการชะล้างพังทลายของดินใน 3 ระดับ คือ น้อย ปานกลาง และรุนแรง พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ในพ้ืนท่ีนิยมปลูกมะม่วง พันธ์ุดอกไม้สีทองเพื่อการส่งออก โดยพื้นท่ีดินที่มีการชะล้างระดับน้อย เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 737.50 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 40.10 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 18,245.22 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 11,328.53 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้ เหนือต้นทุนท้ังหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.62 พื้นที่ดินท่ีมีการชะล้างระดับปานกลาง เกษตรกรมีปริมาณ ผลผลิต 735.45 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 40.11 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 18450.32 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 11,048.58 บาทต่อไร่ และอัตรา ผลตอบแทนรายไดเ้ หนือต้นทนุ ท้ังหมด (B/C ratio) เท่ากบั 1.60 และพน้ื ท่ีดินทมี่ ีการชะลา้ งระดบั รุนแรง เกษตรกรมปี ริมาณผลผลติ 735.33 กิโลกรมั ตอ่ ไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 40.10 บาทต่อกิโลกรัม ตน้ ทุนการ ผลิตเท่ากับ 18,543.85 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดเท่ากับ 10,950.24 บาทต่อไร่ และ อตั ราผลตอบแทนรายได้เหนอื ต้นทุนท้ังหมด (B/C ratio) เท่ากับ 1.59 จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า กลุ่มตัวอย่างท่ีปลูกมะม่วงเพื่อการส่งออก ผลผลิตจากมะม่วงมี ปริมาณผลผลิตท่ีใกล้เคียงกัน แต่เมื่อพิจารณาตามระดับการชะล้างการพังทลายของดิน พบว่า ปริมาณ ผลผลิตมีทิศทางท่ีลดลงตามระดับความรุนแรงของการชะลา้ งการพังทลาย ในด้านต้นทุนการผลิตทงั้ หมด พบว่า ในทุกระดับการสูญเสียดินมีต้นทุนการผลิตที่ใกล้เคียงกัน แต่เม่ือพิจารณาถึงผลตอบแทนเหนือ ต้นทุนท้ังหมด พบว่า มูลค่าผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดมีมูลค่าลดลงตามระดับความรุนแรงของการ ชะล้างการพังทลายของดนิ 3.4 ปาล์มน้ามัน จากการสุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพ้ืนที่ที่ปลูกปาล์มน้ามันที่มีการชะล้างพังทลาย ของดินใน 3 ระดบั คอื นอ้ ย ปานกลาง และรนุ แรงมาก พบวา่ กลุ่มตัวอยา่ งเกษตรกรในพน้ื ทที่ ้ังหมดปลูก ปาล์มน้ามันพันธุ์โกลด์เด้นเทเนอร่า โดยพ้ืนที่ดินที่มีการชะล้างระดับน้อย เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 1,145.50 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 2,342.95 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 1,322.65 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้ เหนือต้นทุนทั้งหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.56 พ้ืนท่ีดินที่มีการชะล้างระดับปานกลาง เกษตรกรมี ปริมาณผลผลิต 1,134.82 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิต เท่ากับ 2,343.58 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 1,287.85 บาทต่อไร่ และอัตรา ผลตอบแทนรายได้เหนือต้นทุนท้ังหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.55 พื้นท่ีดินที่มีการชะล้างระดับรุนแรง มาก เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 1,095.54 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 3.20 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเทา่ กับ 2,269.29 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดเท่ากับ 1,236.44 บาทต่อไร่ และอตั ราผลตอบแทนรายไดเ้ หนือต้นทนุ ท้งั หมด (B/C ration) เท่ากับ 1.55 จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นไดว้ ่ากลุ่มตัวอย่างทีป่ ลูกปาลม์ นา้ มนั ได้ผลผลติ จากปาล์มน้ามันมีปริมาณ ผลผลิตท่ีใกล้เคียงกัน แต่เม่ือพิจารณาตามระดับการชะล้างการพังทลายของดิน พบว่า ปริมาณผลผลิตมี ทิศทางที่ลดลงตามระดับความรุนแรงของการชะล้างการพังทลายของดินที่เพ่ิมขึ้น ในประเด็นด้านราคา

64 ผลผลิตมรี าคาใกล้เคียงกัน โดยราคาผลผลิต 3.20 บาทตอ่ กิโลกรมั ด้านต้นทนุ การผลิตทัง้ หมด พบว่า เม่ือ ระดับการสูญเสียดินมีความรุนแรงมากข้ึนส่งผลต้นทุนการผลติ มีราคาสูงข้ึน และมูลค่าผลตอบแทนเหนอื ตน้ ทุนทง้ั หมดมมี ูลค่าลดลงตามระดับความรุนแรงของการชะล้างการพงั ทลายของดนิ 3.5 สบั ปะรด จากการสมุ่ ตัวอยา่ งเกษตรกรในพ้นื ทีท่ ี่ปลกู สับปะรดท่ีมกี ารชะลา้ งพังทลายของดิน ใน 4 ระดับ คือ ปานกลาง รุนแรง รุนแรงมาก และรุนแรงมากท่ีสดุ พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกษตรกรในพืน้ ที่ ทง้ั หมดปลกู สับปะรดพันธุ์ปตั ตาเวยี โดยพื้นท่ดี ินท่ีมีการชะล้างระดับปานกลาง เกษตรกรมีปรมิ าณผลผลิต 6,058.82 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 5.58 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 29,157.72 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 4,636.40 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้ เหนือต้นทุนท้ังหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.16 พ้ืนที่ดินท่ีมีการชะล้างระดับรุนแรง เกษตรกรมีปริมาณ ผลผลิต 6,105.26 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 5.59 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 29,997.23 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดเท่ากับ 4,108.13 บาทต่อไร่ และอัตรา ผลตอบแทนรายได้เหนือต้นทุนทั้งหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.14 พื้นที่ดินที่มีการชะล้างระดับรุนแรง มาก เกษตรกรมีปริมาณผลผลิต 6,075.00 กิโลกรัมต่อไร่ ราคาผลผลิตเท่ากับ 5.58 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 30,004.06 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดเท่ากับ 3,890.94 บาทต่อไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้เหนือต้นทุนทั้งหมด (B/C ration) เท่ากับ 1.13 และพ้ืนที่ดินที่มี การชะลา้ งระดบั รุนแรงมากทสี่ ุด เกษตรกรมปี รมิ าณผลผลติ 5,962.96 กิโลกรมั ต่อไร่ ราคาผลผลิตเทา่ กับ 5.58 บาทต่อกิโลกรัม ต้นทุนการผลิตเท่ากับ 29,663.11 บาทต่อไร่ ผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมด เท่ากบั 3,585.04 บาทตอ่ ไร่ และอัตราผลตอบแทนรายได้เหนอื ตน้ ทุนทงั้ หมด (B/C ration) เท่ากับ 1.12 จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า กลุ่มตัวอย่างที่ปลูกสับปะรดในทุกระดับมีปริมาณผลผลิตต่อไร่ที่ ใกล้เคียงกัน และราคาผลผลิตอยู่ท่ีระดับราคาใกล้เคียงกัน เน่ืองจากในพื้นที่การเพาะปลูกมีตลาดรับซื้อ ผลผลิตที่แน่นอน (โรงงานแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร) ส่งผลให้ราคาของผลผลิตในพื้นท่ีในทุกระดับ ราคามีราคาท่ีเท่ากัน ในด้านต้นทุนการผลิตทั้งหมด พบว่า ในการสูญเสียดินระดับปานกลางถึงระดับ รุนแรงมาก ต้นทุนการผลิตต่อไร่มีมูลค่าเพ่ิมตามระดับความรุนของการชะล้างการพังทลาย ในขณะที่ ระดับความรุนแรงมากที่สุดต้นทุกการผลิตต่อไร่กลับมีมูลค่าลดลง แต่เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนเหนือ ต้นทุนทั้งหมด พบว่า มูลค่าผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดมีมูลค่าลดลงตามระดับความรุนแรงของการ ชะลา้ งการพังทลายของดนิ ตารางที่ 3-15 ต้นทุนการผลิต ผลผลิต และผลตอบแทนเหนือต้นทุนท้ังหมดของการปลูกพืชในพื้นทีท่ ี่มี ระดับการชะล้างการพงั ทลายของดินตา่ งกัน ระดับการชะล้าง ผลผลติ ราคา มูลคา่ ผลผลติ ตน้ ทุน ผลตอบ B/C พชื พงั ทลาย เฉล่ยี (กก./ ผลผลิต (บาท/ไร่) การผลติ ทงั้ หมด แทนเหนือตน้ ทุน Ratio ของดิน* ไร)่ (บาท/กก.) (บาท/ไร)่ ท้ังหมด (บาท/ไร่) ยางพารา น้อย 475.00 16.11 7,650.00 5,749.27 1,900.73 1.33 (ยางก้อน) ปานกลาง 473.50 16.11 7,628.09 5,749.77 1,878.32 1.33 รนุ แรง 472.10 16.11 7,605.53 5,765.43 1,840.10 1.32

65 ตารางที่ 3-15 ต้นทุนการผลิต ผลผลิต และผลตอบแทนเหนือต้นทุนทั้งหมดของการปลูกพืชในพ้ืนท่ที มี่ ี ระดบั การชะล้างการพังทลายของดนิ ตา่ งกัน (ตอ่ ) ระดับการชะล้าง ผลผลติ ราคา มูลคา่ ผลผลิต ต้นทุน ผลตอบ B/C พืช พงั ทลาย เฉลีย่ (กก./ ผลผลติ (บาท/ไร่) การผลติ ทัง้ หมด แทนเหนอื ตน้ ทุน Ratio ของดิน* ไร่) (บาท/กก.) (บาท/ไร)่ ทั้งหมด (บาท/ไร)่ รุนแรงมาก 469.80 16.11 7,568.48 5,772.41 1,796.07 1.31 ยางพารา น้อย 280.00 40.82 11,429.60 8,077.31 3,352.29 1.41 (ยางแผ่น) ปานกลาง 278.63 40.82 11,373.68 8,100.74 3,272.94 1.40 รนุ แรง 282.52 40.83 11,535.29 8,124.53 3,410.76 1.42 รุนแรงมาก 275.53 40.82 11,247.13 8,158.42 3,088.71 1.38 ไมผ้ ลผสม น้อย 774.19 8.80 6,812.90 5,481.87 1,642.20 1.24 (มะพรา้ ว) (ลูก/ไร่) (บาท/ลูก) มะมว่ ง น้อย 737.50 40.10 29,573.75 18,245.22 11,328.53 1.62 ปานกลาง 735.45 40.11 29,498.90 18,450.32 11,048.58 1.60 รนุ แรง 735.33 40.11 29,494.09 18,543.85 10,950.24 1.59 ปาลม์ น้อย 1,145.50 3.20 3,665.60 2,342.95 1,322.65 1.56 นา้ มนั ปานกลาง 1,134.82 3.20 3,631.43 2,343.58 1,287.85 1.55 รุนแรงมาก 1,095.54 3.20 3,505.73 2,269.29 1,236.44 1.55 สบั ปะรด ปานกลาง 6,058.82 5.58 33,794.12 29,157.72 4,636.40 1.16 รุนแรง 6,105.26 5.59 34,105.26 29,997.23 4,108.13 1.14 รนุ แรงมาก 6,075.00 5.58 33,895.00 30,004.06 3,890.94 1.13 รุนแรงมากท่ีสดุ 5,962.96 5.58 33,248.15 29,663.11 3,585.04 1.12 ท่มี า: ผวู้ ิจัย (2563) หมายเหตุ * ระดับการชะล้างพังทลายของดิน 5 ระดับ ซ่ึงมีปริมาณการสูญเสียดนิ คือ น้อย (อัตราการสูญเสียดิน 0-2 ตัน/ไร)่ ปานกลาง (อัตราการสูญเสียดนิ 2-5 ตนั /ไร่) รนุ แรง (อัตราการสญู เสยี ดนิ 5-15 ตัน/ไร)่ รุนแรงมาก (อตั ราการสญู เสียดนิ 15-20 ตัน/ไร)่ และรุนแรงมากที่สุด (อตั ราการสูญเสียดินมากกว่า 20 ตัน/ไร)่ 4) ความรู้ ความเข้าใจ ดา้ นการอนุรกั ษ์ดนิ และน้า จากผลการสัมภาษณ์เกษตรกรกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์ดินและ น้าในพ้ืนที่ล่มุ น้าคลองกยุ อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวัดประจวบคีรีขนั ธ์ โดยมุ่งเน้นข้อมูลเก่ียวกับ 1) ความรู้ ความเข้าใจ การชะล้างพังทลายของดิน 2) ผลกระทบท่ี เกิดขึ้นต่อผลผลิต 3) แนวทางการป้องกันและการแก้ปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และทัศนคติต่อ การป้องกนั สภาพปญั หา (ตารางที่ 3-16) 4.1) ความรู้ ความเข้าใจ การชะล้างพังทลายของดิน จากการสอบถามเกษตรในพื้นท่ีในประเดน็ ด้านความรู้ ความเข้าใจ การชะล้างพังทลายของดิน พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ในพ้ืนท่ีร้อยละ 91.11 พบเจอและมีความเข้าใจปัญหาหน้าดินมีรอ่ งหรือร่องน้าเล็ก ๆ รองลงมาคือน้าไหลพัดพาหน้าดิน คิดเป็น

66 ร้อยละ 81.58 แหล่งน้าตื้นเขินมากขึ้น คิดเป็นร้อยละ 68.42 ในขณะท่ีการใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีหรือยาฆ่า แมลง มากข้นึ และมรี อยทรุดหรือรอยแยกมีสดั สว่ นท่ีเทา่ กนั คดิ เปน็ ร้อยละ 50.00 ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า เกษตรกรมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของการชะล้างพังทลายของ ดินต่อความเสียหายทางทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม โดยดินที่ถูกชะล้างหรือกัดเซาะจะถูกพัดพา ไหลไปตกตะกอนในแหล่งน้า ทาให้แหล่งน้าเกิดความตื้นเขิน ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้าในฤดูแล้ง อีก ทั้งสารเคมีและยาฆ่าแมลงที่ไหลไปปะปนกับตะกอนดินสู่พ้ืนท่ีตอนล่าง ทาให้เกิดมลพิษสะสมในดินและ น้าส่งผลกระทบต่อคน สตั ว์ และพชื 4.2) ผลกระทบต่อผลผลิต ในกรณีที่มีร่องน้า/หน้าดินถูกพัดพาหรือทรุดตัวส่งผลกระทบต่อ เกษตรกรในพ้ืนท่ีคิดเปน็ รอ้ ยละ 83.78 โดยแบ่งระดับผลกระทบต่อผลผลิตออกเป็น 3 ระดับคือ (1) น้อย (ลดลงไม่เกิน 20%) คิดเป็นร้อยละ 38.71 (2) ปานกลาง (ลดลง 20%-40%) คิดเป็นร้อยละ 35.48 และ (3) มาก (มากกวา่ 40%) คดิ เปน็ ร้อยละ 25.81 ในขณะท่เี กษตรกรบางกลมุ่ (รอ้ ยละ 16.22) คิดว่าการชะลา้ งการพังทลายท่ีเกิดข้ึนไมส่ ง่ ผลกระทบต่อผลผลิต 4.3) แนวทางป้องกันชะล้างการพังทลายของดิน จากสภาพปัญหาของการชะล้างการพังทลาย ของดินในพื้นท่ีเพาะปลูกพชื และท่อี ยอู่ าศยั ของเกษตรกร จะเห็นไดว้ ่า เกษตรกรส่วนใหญ่ ร้อยละ 56.76 มีแนวทางในการปอ้ งกันการชะลา้ งการพังทลายของดิน โดยมีแนวทางการป้องกันคือ การก่ออิฐขวางทาง น้า ซ่ึงเป็นวิธีการป้องกันท่ีเกษตรกรป้องกันมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 66.67 รองลงมาคือ การทาร่องน้า คิดเป็นร้อยละ 19.05 การปลูกหญ้าแฝก คิดเป็นร้อยละ 9.52 และการปลูกพืชคลุมดิน คิดเป็นร้อยละ 4.76 ตามลาดับ ในส่วนของเกษตรกรท่ีเหลือร้อยละ 43.24 ที่ไม่ได้ป้องกัน โดยให้เหตุผลของการไม่ ดาเนินการป้องกัน เน่ืองจากไม่มีความรู้ร้อยละ 75 ของเกษตรกรท่ีไม่ได้ดาเนินการป้องกันไม่มีเวลาร้อย ละ 12.50 ไม่มีงบประมาณและไม่มีแรงงานร้อยละ 6.25 เท่ากัน นอกจากน้ี หากมีช่องทางในการป้องกัน การชะลา้ งพังทลายของดนิ โดยหน่วยงานของรัฐให้ความช่วยเหลือเกษตรส่วนใหญ่ร้อยละ 81.25 มคี วาม ต้องการ ตารางที่ 3-16 ความรู้ ความเข้าใจ ด้านการอนุรักษ์ดินและน้า พื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรีและ อาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวัดประจวบครี ีขันธ์ ปีการผลติ 2562 รายการ รอ้ ยละ 1) ลักษณะและสภาพปญั หาดา้ นการชะล้างพังทลายของดินในพ้ืนท่ีปลูกพชื ที่อยู่อาศัย (ตอบได้มากกวา่ 1 ข้อ) (1) หน้าดินมรี ่อง/ร่องน้าเลก็ ๆ 91.11 (2) นา้ ไหลพัดพาหน้าดิน 81.58 (3) แหล่งนา้ ตนื้ เขินมากขนึ้ 68.42 (4) มีการใชป้ ุ๋ย/สารเคมี/ยาฆ่าแมลง มากข้นึ 50.00

67 ตารางที่ 3-16 ความรู้ ความเขา้ ใจ ด้านการอนรุ กั ษด์ นิ และน้า พื้นท่ีลุม่ นา้ คลองกยุ อาเภอกุยบรุ ี และ อาเภอสามร้อยยอด จังหวดั ประจวบคีรขี นั ธ์ ปีการผลิต 2562 (ต่อ) รายการ ร้อยละ (5) มรี อยทรดุ หรือรอยแยก 50.00 2) ผลกระทบตอ่ การผลติ (กรณีทีม่ ีร่องนา้ /หน้าดนิ ถกู พัดพาหรือทรดุ ตวั ) (1) มี โดยมผี ลกระทบอยู่ในระดบั (83.78) - น้อย (ลดลงไม่เกิน 20%) 38.71 - ปานกลาง (ลดลง 20%-40%) 35.48 - มาก (มากกว่า 40%) 25.81 (2) ไม่มี (16.22) 3) แนวทางป้องกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดิน (กรณดี ินถูกน้ากดั เซาะ/น้าพัดพาหน้าดนิ ) (1) ดาเนินการแก้ไขป้องกัน โดยวิธี (56.76) - กอ่ อฐิ ขวางทางน้า 66.67 - ทาร่องนา้ 19.05 - ปลูกหญ้าแฝก 9.52 - ปลูกพืชคลุมดิน 4.76 (2) ไม่ดาเนินการปอ้ งกนั เน่อื งจาก (43.24) - ไม่มีความรู้ 75.00 - ไมม่ เี วลา 12.50 - ไมม่ งี บประมาณ 6.25 - ไม่มีแรงงาน 6.25 * กรณีที่ดินถูกนา้ กดั เซาะ/น้าพดั พาหน้าดนิ มคี วามประสงค์ใหร้ ฐั ช่วยเหลอื (3) ตอ้ งการ (81.25) ระดบั ความต้องการ - มาก 53.85 - ปานกลาง 30.77 - น้อย 15.38 (4) ไมต่ อ้ งการ (18.75) ที่มา: ผู้วจิ ัย (2563) จากข้อมูลข้างต้น จะเห็นได้ว่า เกษตรกรในพ้ืนที่มีความรู้ ความเข้าใจในการรักษาและป้องกันไม่ให้ เกิดการชะล้างพังทลายของดินในแต่ละวิธีการมากหรือน้อยแตกต่างกันออกไป แต่เมื่อสอบถามวิธีการ รกั ษาและปอ้ งกันการชะล้างพงั ทลายของดนิ พบวา่ วธิ กี ารทเ่ี กษตรกรตอ้ งการ 3 อนั ดบั แรก คอื การปลูก

68 หญ้าแฝกขวางทางลาดชัน การงดการถางป่า ตัดไม้ตัดไม้ทาลายป่า การขุดถนน และการทาฝายน้าล้น หรอื คันชะลอความเร็วของน้า (ตารางท่ี 3-17) ตารางที่ 3-17 ความรู้ ความเข้าใจ การรักษาและป้องกันการชะล้างพังทลายของดินพ้ืนที่ ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรีและอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปีการผลติ 2562 วิธกี ารรกั ษาและป้องกัน รอ้ ยละ ลาดบั ความ ใช่ ไม่ใช่ ไม่แน่ใจ ต้องการ 1) ปลกู หญา้ แฝกขวางทางลาดชัน 94.74 2.63 2.63 1 2) การถางป่า ตัดไมท้ าลายป่า การขดุ ถนน 86.84 13.16 0.00 2 ทาใหเ้ กิดการชะลา้ ง พังทลายของดิน 3) ทาฝายนา้ ลน้ หรือคันชะลอความเร็วของน้า 86.84 7.89 5.26 3 4) ใช้วัสดุตา่ ง ๆ อยา่ งง่ายก่อสรา้ งขวางทางระบายน้า 81.58 13.16 5.26 4 เพือ่ ชะลอความเรว็ ของน้าไม่ให้กดั เซาะ 5) ปลกู พชื คลุมดนิ 78.95 15.79 5.26 5 6) ปลกู พชื แบบขนั้ บันได (ปรับพนื้ ท่ีเป็นข้ัน ๆ) 71.05 21.05 7.89 6 7) ทาคนั ดินขวางทางลาดเท 63.16 28.95 7.89 7 8) ยกรอ่ งและปลูกพชื ทาร่องนา้ ไปตามแนวระดับ 57.89 23.68 18.42 8 9) ปลกู พืชหมนุ เวียน/ปลูกพืชแซม/ปลูกพชื เหลื่อมฤดู 50.00 42.11 5.26 9 10) ปลกู พืชสลับเปน็ แถบ 47.37 23.68 18.42 10 11) ใชว้ ัสดตุ ่าง ๆ คลมุ ดนิ เช่น เศษซากพชื พลาสติก 34.21 52.63 13.16 11 กระดาษ เปน็ ต้น ทีม่ า: ผู้วจิ ัย (2563) เมื่อพิจารณาข้อมูลทัศนคติของเกษตรกรเก่ียวกับประเด็นที่เช่ือมโยงกับสภาพปัญหาการชะล้าง พงั ทลายของดิน 3 ด้าน (ตารางท่ี 3-18) ดังน้ี 1) การย้ายถิ่นฐาน จากประเด็นทัศนคติเกี่ยวกับ “กรณีหากเกิดเหตุการณ์ดินถล่มในพื้นที่เส่ียงภัย และภาครัฐต้องการให้เกษตรกรในพ้ืนที่อพยพออกจากพ้ืนท่ีโดยจะจัดหาสถานที่เหมาะสมให้” พบว่า เกษตรกรส่วนใหญ่ รอ้ ยละ 52.63 มีความต้องการยา้ ยออกจากพ้นื ท่ี ในขณะทเ่ี กษตรกรร้อยละ 31.58 ไม่ มีความตอ้ งการยา้ ยออกจากพื้นที่ และร้อยละ 15.79 ไม่แนใ่ จ 2) ความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐในการจัดทาเขตระบบอนุรักษ์ดินและน้า พบว่า เกษตรกร ส่วนใหญ่ร้อยละ 94.74 เห็นด้วยท่ีภาครัฐจะจัดทาเขตอนุรักษ์ดินและน้าในพ้ืนท่ี ในขณะที่ร้อยละ 5.26 ไม่เห็นด้วย 3) ปัญหาด้านการเกษตร พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่เป็นเกษตรกรส่วนใหญ่ในพ้ืนที่ไม่มีปัญหาด้าน การเกษตร คดิ เป็นร้อยละ 57.89 ในขณะที่ร้อยละ 42.11 มีปัญหาทางดา้ นการเกษตร โดยประเด็นปญั หา

69 ท่เี กษตรกรพบเจอมากทส่ี ุดคือ ปญั หาทางดา้ นนา้ ที่ใช้ในการเกษตรไมเ่ พียงพอ รองลงมาคือ สัตวป์ ่าเข้ามา ทาลายผลผลิตทางการเกษตร ศัตรูพืชหรือโรคพืช ผลผลิตถูกน้าชะล้าง และฝนแล้งหรือฝนท้ิงช่วง ตามลาดับ ตารางที่ 3-18 ทัศนคตดิ ้านการยา้ ยถิน่ ฐาน ปญั หาดา้ นการเกษตร และแนวทางแก้ไขของเกษตรกร พ้นื ท่ี ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรีและอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ปกี ารผลติ 2562 รายการ รอ้ ยละ 1) การย้ายถ่ินฐาน (กรณีที่คาดว่าในอนาคตจะเกิดดนิ ถลม่ และ ทางรัฐต้องการให้อพยพออกจากพ้นื ทโ่ี ดยทางรัฐจัดหาสถานทใ่ี ห้) (1) มคี วามต้องการออกจากพนื้ ท่ีไปอยู่ในสถานที่ทางรฐั จัดให้ 52.63 (2) ไมม่ ีความตอ้ งการออกจากพ้ืนท่ี 31.58 (3) ไมแ่ นใ่ จ 15.79 2) ความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐในการจัดทาเขตอนุรักษด์ ิน และน้า (1) เห็นด้วย 94.74 (2) ไม่เหน็ ดว้ ย 5.26 3) ปัญหาด้านการเกษตร (1) ไมม่ ี (57.89) (2) มี (42.11) - น้าในการเกษตรไม่เพยี งพอ 56.25 - สตั วป์ ่า 50.00 - ศัตรพู ชื /โรคพืช 25.00 - ผลผลติ ถูกนา้ ชะลา้ งพงั ทลาย 18.75 - ฝนแลง้ /ฝนท้ิงชว่ ง 18.75 จากการรวบรวมข้อมูลสภาพแวดล้อมทางกายภาพ สังคมและเศรษฐกิจ เพ่ือจัดทาแผนการใช้ ท่ีดินเพ่ือการป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟื้นฟูพื้นท่ีเกษตรกรรม พื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ทาการวิเคราะห์ SWOT โดยศึกษา สภาพการณ์ภายในและภายนอก วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และข้อจากัด ใน 4 ด้าน ได้แก่ ดา้ นทรพั ยากรธรรมชาติ ดา้ นเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านนโยบาย เพื่อนาไปใช้ในการกาหนดมาตรการ ทเ่ี หมาะสมและวางแผนบริหารโครงการ ซ่ึงสามารถสรปุ ได้ดงั น้ี

70 1. ดา้ นทรัพยากรธรรมชาติ (ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม) จดุ แขง็ (Strength) จุดออ่ น (Weakness) - ลักษณะพื้นที่เป็นระบบลุ่มน้า ทาให้สามารถ - พืน้ ทก่ี ารเกษตรบางสว่ นมกี ารชะล้างการพังทลาย บริหารจัดการเชงิ พ้นื ทไ่ี ด้ ของดินระดับรนุ แรงมาก - ทรัพยากรดนิ ทศี กั ยภาพในการทาการเกษตร - มตี ะกอนสะสมมากในแหลง่ นา้ (สระนา้ สาธารณะ อา่ งเก็บน้า เปน็ ตน้ ) โอกาส (Opportunity) ปัญหา (Threat) - เปน็ นโยบายการแกไ้ ขปัญหาดา้ นทรัพยากร - ข้อจากดั ทางกฎหมาย เพราะพ้ืนทีก่ ารเพาะปลูก ธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อมระดับประเทศ ของเกษตรกรกบั พน้ื ทเ่ี ขตปา่ - มีทรัพยากรพื้นฐาน เช่น ฝ่ายชะลอนา้ (องค์กร สว่ นทอ้ งถิ่นจัดทา) อา่ งเก็บน้าในพื้นที่ของกรม ชลประทาน (อ่างย่านซ่ือและอา่ งยางชมุ ) ที่ เหมาะสม ทาไปสู่การบรู ณาการพัฒนาการต่อไป 2. ดา้ นเศรษฐกิจ จดุ แข็ง (Strength) จุดอ่อน (Weakness) - มีตลาดรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรในพื้นท่ี - พื้นที่เกษตรส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารสิทธ์ิในที่ดิน เช่น พ่อค้าท้องถ่ิน โรงงานแปรรูปผลผลิตทาง ทากนิ ทาให้ไมส่ ามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนกู้ยืมใน การเกษตร เปน็ ตน้ ระบบ - ชุมชนในพ้ืนท่ีประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น - เกษตรกรในพ้ืนท่ีนิยมผลิตพืชเชิงเดี่ยวทาให้ สบั ปะรด ยางพารา ปาลม์ น้ามัน เกษตรกรมีรายได้ค่อนข้างต่า ตามกลไกราคา - หน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น เกษตรอาเภอ ตลาด องค์การปกครองสว่ นท้องถ่นิ หรือสถาบันการเงิน - พืชที่ปลูกส่วนหน่ึงได้รับผลกระทบจากภัย ของรัฐ (ธกส.) ให้ความสาคัญในการช่วยเหลือ ธรรมชาติ และ สตั ว์ป่า ตลอดจนพัฒนาอาชีพเกษตรกรในชุมขน โอกาส (Opportunity) ปญั หา (Threat) - นโยบายของรัฐมุ่งเน้นการแก้ไขภาคการเกษตร - ราคาผลผลิต ราคาสนิ ค้าเกษตรไม่แน่นอนทาให้ เพือ่ สรา้ งความเตบิ โตทางเศรษฐกจิ เกษตรกรไม่สามารถวางแผนการผลิต ส่งผล - แผนปฏริ ูปประเทศด้านเศรษฐกจิ ใหค้ วามสาคัญ กระทบตอ่ รายได้ กบั การพฒั นาฟื้นฟูทรัพยากรดินทเ่ี ปน็ พื้นฐาน - ความผันผวนจากราคาปัจจัยการผลิต ส่งผล สาคัญตอ่ การพัฒนาการผลติ ภาคการเกษตร กระทบต่อรายได้ และต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะ การปลกู พืชเกษตรเชงิ เดยี ว

71 3. ดา้ นสงั คม จดุ แขง็ (Strength) จดุ อ่อน (Weakness) - เกษตรกรในพื้นท่ีส่วนใหญ่ให้ความสนใจและ - เกษตรกรส่วนใหญ่อยูใ่ นวัยสงู อายุ ตระหนกั ถงึ ผลกระทบ - ระบบสาธารณูปโภค เช่น นา้ ประปา ไฟฟ้า ยงั ไม่ -มีการรวมกลุ่มเกษตรกรในพ้ืนที่ และผู้นาชุมชน ครอบคลุมเพียงพอในพืน้ ท่ี มคี วามเข็มแข็ง โอกาส (Opportunity) ปญั หา (Threat) -องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้ความสาคัญใน -องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมีงบประมาณจากัด ดา้ นการพฒั นาโครงสร้างพื้นฐาน จงึ ไมส่ ามารถพัฒนาโครงสร้างพน้ื ฐานทั่วถึง -องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินไม่มีบุคคลากรท่ี เชย่ี วชาญทางด้านอนรุ กั ษ์ดินและน้า 4. ดา้ นนโยบาย จดุ แขง็ (Strength) จดุ ออ่ น (Weakness) - กรมฯ ให้ความสาคัญในการคดั เลอื กพนื้ ท่ีตน้ แบบ - ยังขาดการรับรู้ของหน่วยงานผู้ปฏิบัติงานใน ในการบริหารจดั การเชิงพน้ื ท่ีระดบั ลุ่มน้า ระดบั พื้นที่ - กรมฯ กาหนดให้เป็นแผนปฏิบตั กิ ารโครงการระยะ - ยังขาดการเช่ือมโยงงานด้านแผนงาน วิชาการ 20 ปี และปฏิบตั ิการ เพอ่ื ขบั เคลือ่ นงานสูร่ ะดบั พน้ื ท่ี - หน่วยงานมีฐานข้อมลู เชงิ วิชาการในการสนับสนุน และวางแผน โอกาส (Opportunity) ปญั หา (Threat) - แผนบริหารฯ มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ - แผนงาน/โครงการยังไม่สามารถสนับสนุนได้ ชาติ ยุทธศาสตร์ที่ 5: ด้านการเติบโตคุณภาพชีวิต ครอบคลุมทุกสภาพปัญหาของพ้ืนท่ี เน่ืองจาก ท่ีเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แผนแม่บทการบริหาร ขอ้ จากดั ทางด้านงบประมาณ จัดการนา้ ทง้ั ระบบ - ขาดการติดตามและประเมินผลตามตัวชี้วัดท่ี - แผนบริหารฯ อยู่ในแผนแมบ่ ทการบริหารจดั การ ครอบคลุมในทุกมิติทางการภาพ สังคม และ ทรัพยากรน้า 20 ปี ของสานักงานทรัพยากรน้า เศรษฐกจิ แห่งชาติ ในด้านที่ 5 การอนุรักษ์ฟ้ืนฟูพ้ืนที่ เกษตรกรรมในพ้ืนที่ดินเสื่อมโทรมและการชะล้าง พังทลายของดนิ - การดาเนนิ งานเพื่อแก้ไขปญั หาและพฒั นาพ้ืนท่ีมี ความสอดคล้องและเช่อื มโยงกบั หลายหน่วยงาน

72 จาการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในและภายนอก (SWOT Analysis) ในข้างต้นสามารถนาผลการ วิเคราะห์ดังกล่าวมาทาการวิเคราะห์ TOWS Matrix ซ่ึงเป็นการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างจุดแข็ง กับโอกาส จุดแข็งกับข้อจากัด จุดอ่อนกับโอกาส และจุดอ่อนกับอุปสรรค เพ่ือนามากาหนดแนวทางและ มาตรการสาหรับการพัฒนาพ้ืนที่เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินและฟ้ืนฟูพ้ืนท่ีเกษตรกรรม สาหรับเป็นแนวทางในการกาหนดมาตรการด้านการอนุรักษ์ดินและน้า กาหนดแผนงาน/โครงการ สนับสนุนท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนการจัดลาดับความสาคัญของปัญหาในการกาหนดแผนการดาเนินการและ กลไกการขับเคล่อื นแผนบรกิ ารจดั การโครงการในลาดับต่อไป

73 4

74 4 เขตการใช้ที่ดินเป็นผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลสถานภาพของทรัพยากรธรรมชาติและสภาพการใช้ ท่ดี ินรว่ มกบั ข้อกฎหมายที่เกย่ี วข้องภายในพ้ืนทโี่ ครงการฯ โดยการวเิ คราะห์อยูภ่ ายใต้เง่ือนไขทต่ี ้องรักษา สภาพปา่ ไม้และระบบนเิ วศของพ้ืนท่ีไว้ รว่ มกับการใช้พน้ื ท่ใี หเ้ หมาะสมกับศกั ยภาพของที่ดนิ ตามประเภท การใช้ท่ีดิน ภายใต้ข้อจากัดการใชท้ ่ีดินของภาครัฐ และต้องสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจสังคมของชมุ ชน ในพนื้ ท่ตี ามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพียง โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาครัฐในการพิจารณาจัดทา แผนการใช้ที่ดินในพ้ืนท่ีโครงการฯ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์พ้ืนที่อย่างยั่งยืน และคงไว้ซึ่งสมดุลของ ระบบนิเวศรวมท้ังก่อให้เกิดประโยชน์ในแง่ของการฟ้ืนฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติในพ้ืนที่ โครงการฯ ตอ่ ไป จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลเพ่ือการพิจารณากาหนดเขตการใช้ท่ีดินในพ้ืนที่ลุ่มนา้ คลองกุย สามารถ กาหนดเขตการใช้ทดี่ นิ ในพ้ืนที่ ได้เปน็ 6 เขตหลกั คอื 1) เขตพ้ืนทปี่ า่ ไม้ตามกฎหมาย 2) เขตเกษตรกรรม 3) เขตชุมชนและส่ิงปลูกสร้าง 4) เขตแหล่งน้า และ 5) เขตพ้ืนท่ีคงสภาพป่าไม้นอกเขตป่าตามกฎหมาย 6) เขตพ้ืนทอ่ี ่ืน ๆ (ตารางที่ 4-1 และภาพที่ 4-1) โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้ เขตพน้ื ท่ีป่าไม้ตามกฎหมายในพ้นื ท่ีโครงการฯ มเี นื้อที่ 276,873 ไร่ หรือร้อยละ 83.76 ของเน้ือทีล่ ุ่ม นา้ พนื้ ทีใ่ นเขตนเี้ ป็นบริเวณทมี่ กี ารประกาศเป็นเขตป่าไม้ตามกฎหมาย รวมถึงบริเวณท่ีมีมติคณะรัฐมนตรี เกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรท่ีดิน พ้ืนท่ีเขตอุทยานแห่งชาติ พื้นที่เขตรักษาพันธ์ุสัตว์ป่าหรือพ้ืนที่ชั้นคุณภาพ ลุ่มน้าชั้นท่ี 1 และช้ันที่ 2 และเม่ือพิจารณาตามวัตถุประสงค์หลักของการประกาศเขตป่าไม้ ความ เหมาะสมของท่ดี ินต่อการทาเกษตรบนพ้นื ที่สงู ในดา้ นความลาดชันของพื้นที่และความลกึ ของดิน สามารถ กาหนดเขตการใชท้ ีด่ นิ โดยมีรายละเอยี ด ดงั น้ี เขตน้ีมีเน้ือที่ 232,898 ไร่ หรือร้อย ละ 70.45 ของเนื้อทล่ี มุ่ นา้ สภาพพ้ืนท่ปี ัจจบุ นั มลี กั ษณะเปน็ ปา่ สมบูรณ์ ขอ้ เสนอแนะการใช้พน้ื ท่ใี นเขตคมุ้ ครองสภาพปา่ จากการท่ีรัฐบาลมีนโยบายทเ่ี ดน่ ชัดในการรักษาพื้นที่ป่าไม้ โดยเฉพาะบรเิ วณทเ่ี ป็นปา่ สมบูรณ์ให้ คงสภาพอยู่ เพ่ือรักษาความสมดุลของระบบนิเวศภายในพ้ืนท่ีลุ่มน้า ดังนั้นในการใช้พ้ืนที่ดังกล่าวจึงควร ดาเนนิ การ ดังนี้

75 - ควบคมุ มใิ ห้มกี ารเปลีย่ นแปลงสภาพป่าตามธรรมชาตไิ ปใช้ประโยชนใ์ นรปู แบบอน่ื - ควรมกี ารบารุงรักษาสภาพป่าธรรมชาติตามหลกั วชิ าการ - ดาเนินการป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทาลายป่า ให้มีประสิทธิภาพและมีการ ปฏบิ ตั อิ ยา่ งตอ่ เน่ือง รวมท้งั ดาเนินการกับผกู้ ระทาผดิ อยา่ งเดด็ ขาด - ถา้ บรเิ วณนี้มีการบกุ รกุ พื้นท่ีในภายหลงั เจา้ หนา้ ท่ีผรู้ ับผิดชอบในพ้ืนทีค่ วรรีบดาเนินการปลกู ป่า ทดแทนโดยเรว็ และป้องกนั การบกุ รุกเพม่ิ - ควรส่งเสริมใหร้ าษฎรในพ้ืนท่ี และพื้นที่ข้างเคียงเห็นคุณค่าของทรพั ยากรป่าไม้ และมีส่วนร่วม ในการดูแลรักษาป่าไม้ เขตน้ีมีเน้ือที่ 12,547 ไร่ หรือร้อยละ 3.80 ของเน้ือที่ลุ่มน้า พ้ืนท่ีในเขตนี้ปัจจุบันมีสภาพเป็นพ้ืนที่ป่ารอสภาพฟื้นฟู และบาง บริเวณมีการใชป้ ระโยชน์เพ่ือการเกษตร ได้แก่ บริเวณท่ีมีการปลูกสบั ปะรด ในสภาพพ้ืนที่มีความลาดชัน มากกวา่ 50 เปอรเ์ ซ็นต์ สว่ นใหญ่มีการใชพ้ ืน้ ทเี่ พ่ือปลกู สบั ปะรด ปา่ รอสภาพฟืน้ ฟู และท่งุ หญา้ สลับไม้พุ่ม หรือไมล้ ะเมาะ ข้อเสนอแนะการใช้พ้ืนทใ่ี นเขตฟน้ื ฟสู ภาพปา่ ธรรมชาติ - กาหนดมาตรการและแนวทางในการป้องกันมิให้ราษฎรบุกรุกพ้ืนที่ในเขตนี้เพื่อนากลับมาใช้ ด้านการเกษตร รวมทัง้ ป้องกนั มใิ ห้มกี ารเปดิ พนื้ ทปี่ า่ เพ่ือทาการเกษตรเพิม่ - ควรจดั ทาแนวกันไฟเพื่อป้องกันไฟป่าท่ีอาจเกิดข้ึนได้จากธรรมชาติหรือจากกจิ กรรมของมนุษย์ เพื่อให้ปา่ ไมม้ ีการฟน้ื ตวั ตามธรรมชาติทส่ี มบูรณ์ เขตนี้มี เน้ือท่ี 31,428 ไร่ หรือร้อยละ 9.51 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า พื้นท่ีในเขตนี้ปัจจุบันเป็นบริเวณที่มีการใช้ท่ีดินเพื่อ การปลูกยางพารา มะมว่ ง ไม้ผลผสม และสบั ปะรด - เขตพ้ืนที่ท่ีมีการใช้ท่ีดินเพื่อการเกษตรท่ีมีแนวโน้มของการชะล้างพังทลายสูง (หน่วยแผนที่ 131) เขตน้ีมีเนื้อที่ 72 ไร่ หรือร้อยละ 0.02 ของเนื้อที่ลุ่มน้า พ้ืนท่ี เขตนี้ปัจจุบันมีการใช้ที่ดิน เพ่ือการ ปลูกยางพารา มะม่วง ไมผ้ ลผสม ซงึ่ ดินเปน็ ดินต้ืนในสภาพพ้ืนที่มี ความลาดชนั 35-50 เปอร์เซ็นต์ หรือ บริเวณท่ีมีการปลูกสับปะรด ซ่ึงดินเป็นดินลึกในสภาพ พ้ืนท่ีมีความลาดชัน 35-50 เปอร์เซ็นต์ และเป็น บริเวณซ่ึงมีความเสี่ยงต่อการชะลา้ งพังทลายในระดบั รนุ แรงถึงรนุ แรงมากทีส่ ุด - เขตพื้นท่ีที่มีการใช้ท่ีดินเพ่ือการเกษตรที่มีแนวโน้มของการชะล้างพังทลายปานกลาง (หน่วย แผนท่ี 132) มีเน้ือท่ี 6,912 ไร่ หรือร้อยละ 2.09 ของเน้ือที่ลุ่มน้า พ้ืนท่ี เขตน้ีปัจจุบันมีการใช้ที่ดิน เพ่ือ การปลกู ยางพารา สบั ปะรด และมะม่วง ในสภาพพ้ืนที่มีความลาดชัน 12-35 เปอร์เซน็ ต์ และเปน็ บริเวณ ซงึ่ มีความเสยี่ งต่อการชะลา้ งพงั ทลายในระดับปานกลางถงึ รนุ แรง - เขตพ้ืนท่ีท่ีมีการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรที่มีแนวโน้มของการชะล้างพังทลายต่า (หน่วยแผนที่ 133) มเี นอ้ื ที่ 24,434 ไร่ หรอื ร้อยละ 7.39 ของเนอ้ื ที่ลมุ่ นา้ พน้ื ที่เขตน้ี ปัจจบุ นั มกี ารใช้ที่ดนิ เพ่อื การปลูก

76 ยางพารา สบั ปะรด ปาล์มนา้ มนั และมะมว่ ง ในสภาพพื้นทีม่ ีความลาดชันต่ากว่า 12 เปอรเ์ ซ็นต์ และเป็น บริเวณซึง่ มคี วามเส่ยี งตอ่ การชะลา้ งพงั ทลายในระดบั น้อยถึงปานกลาง - เขตพ้ืนท่ีที่มีการใช้ท่ีดินเพ่ือการเกษตรควรมีการปรับรูปแปลงนา (หน่วยแผนที่ 134) มีเนื้อที่ 10 ไร่ หรือร้อยละ 0.01 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า พ้ืนท่ีเขตน้ีปัจจุบันมีการใช้ท่ีดินเพ่ือการทานา ในสภาพพื้นท่ีมี ความลาดชนั ตา่ กวา่ 12 เปอร์เซน็ ต์ ขอ้ เสนอแนะการใชพ้ น้ื ท่ีในเขตฟน้ื ฟทู รัพยากรธรรมชาติภายใต้เง่ือนไข - ให้หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี 30 มิถุนายน2541 เร่ือง มาตรการและแนวทางแก้ไขปญั หาที่ดินป่าไม้ โดยมุ่งเนน้ แก้ไขปญั หาในพ้ืนท่ีป่าอนรุ ักษต์ ามกฎหมาย เชน่ เขตอุทยานแห่งชาติ และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตามมติคณะรัฐมนตรี กาหนดให้กรมป่าไม้สารวจพื้นที่ที่มีการ ครอบครองใหช้ ดั เจน - ใหห้ น่วยงานทีเ่ ก่ยี วขอ้ งปฏิบตั ิตามมติคณะรฐั มนตรี เมอ่ื วันที่ 16 กนั ยายน 2540 เรื่อง แผนการ จัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ระดับพ้ืนท่ี เพ่ือให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้อย่างมี ระบบ โดยให้มีการอนุรักษ์ควบคู่กับการพัฒนาที่ย่ังยืน และสงวนรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรป่าไม้ท่ีเหลืออยู่ รวมถึงฟ้ืนฟูป่าท่ีเส่ือมสภาพ โดยต้องอยู่บนหลักในการลดปัญหาความขัดแย้งของการใช้ทรัพยากรใน พน้ื ท่ี - ควรเพ่ิมมาตรการในการอนุรักษ์ที่เข้มงวด จริงจัง และต่อเนื่อง เพื่อคงสภาพป่าไม้ให้มีความ สมบูรณ์ โดยการพัฒนาด้านต่าง ๆ ต้องคานึงถึงความย่ังยืนของระบบนิเวศและผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มน้า ด้านล่าง โดยเฉพาะแนวทางจัดการให้พ้ืนท่ีป่าไม้เป็นตัวควบคุมปริมาณน้าในลุ่มน้าในเวลาท่ีเหมาะสม เชน่ การสรา้ งฝายชะลอน้าในบรเิ วณท่เี หมาะสม - ควรเร่งปลูกป่าทดแทนและฟ้ืนฟูสภาพป่าเพื่อรักษาระบบนิเวศลุ่มน้าบริเวณพื้นที่ที่มีความลาด ชันสูง และพนื้ ทเี่ สีย่ งต่อการชะลา้ งพังทลาย โดยเพม่ิ มาตรการอนรุ กั ษด์ นิ และน้าท่ีเหมาะสม เช่น การปลูก หญ้าแฝกและสร้างฝายชะลอนา้ เปน็ ตน้ - ควรส่งเสริมและรณรงคใ์ หร้ าษฎรในพื้นที่เหน็ ถงึ คุณคา่ ของทรัพยากรป่าไมแ้ ละมสี ว่ นร่วมในการ ดแู ลและบารงุ รกั ษาผืนปา่ ในพนื้ ทร่ี ว่ มกนั มีเน้ือที่ประมาณ 39,944 ไร่ หรือร้อยละ 12.08 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า พ้ืนที่ในเขตนี้อยู่นอกเขตที่มีการ ประกาศเป็นเขตป่าไม้ตามกฎหมาย ซ่ึงเป็นพ้ืนที่ทากินมีการออกเอกสารสิทธิ์ (โฉนด ส.ป.ก. คทช.) และ จากการพิจารณาสามารถแบ่งพื้นท่ีตามความเหมาะสมของที่ดินตามศักยภาพของพื้นที่ได้เป็น 7 เขตย่อย ดังน้ี มีเนื้อท่ีประมาณ 263 ไร่ หรือร้อยละ 0.08 ของเนื้อที่ลุ่มน้า พื้นที่เขตนี้มีการใช้ประโยชน์

77 ท่ีดินเพื่อการปลูกสับปะรด และยางพารา ในสภาพพ้ืนท่ีมีความลาดชันมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ มี ขอ้ เสนอแนะในการใชพ้ น้ื ทีเ่ ขตฟื้นฟูสภาพพ้ืนทเี่ กษตรกรรม เพ่อื การรกั ษาระบบนิเวศต้นนา้ ดงั นี้ - ภาครัฐควรกาหนดเป้าหมายในการควบคุมการใช้พ้ืนท่ีในเขตดังกล่าวรวมถึงรณรงค์ให้มีการใช้ ประโยชน์ทด่ี ินเพื่อการปลูกปา่ หรือระบบวนเกษตร และสง่ เสริมมาตรการอนุรักษด์ ินและนา้ ทเ่ี หมาะสมกับ สภาพพนื้ ท่ี - ส่งเสริมให้มีการใช้ปุ๋ยและสารปราบศัตรูพืชท่ีเป็นชีวภาพทดแทนการใช้สารเคมีเน่ืองจาก สารเคมจี ะตกคา้ งในดนิ และแหล่งน้า และจะส่งผลตอ่ ระบบนิเวศของพ้ืนทีป่ ลายนา้ มีเน้ือท่ีประมาณ 2,293 ไร่ หรือรอ้ ยละ 0.69 ของเนอื้ ท่ีลุ่มน้า พนื้ ที่เขต นี้มีการใช้ที่ดินเพ่ือการปลูกสับปะรด ในสภาพพื้นที่มีความลาดชัน 20-35 เปอร์เซ็นต์ หรือบริเวณท่ีมีการ ปลูกยางพารา และมะม่วง ในสภาพพื้นท่ีมีความลาดชัน 35-50 เปอร์เซ็นต์ มีข้อเสนอแนะในการใช้พ้ืนที่ เขตพนื้ ท่เี กษตรกรรมทต่ี ้องเรง่ รดั ดาเนนิ การจดั ทาระบบอนรุ ักษด์ ินและนา้ ดังนี้ - ในบรเิ วณพ้ืนทม่ี คี วามลาดชันสูง และเส่ียงต่อการชะล้างพังทลาย ควรจดั ทาระบบอนุรักษ์ดิน และน้า เช่น การปลูกไม้ยืนต้นร่วมกับหญ้าแฝกขวางความลาดเทบนแนวคันดิน ทาอาคารชะลอความเร็วน้า ร่วมกับการใช้หญ้าแฝก ฝายชะลอน้า คันดินเบนน้า คูรับน้ารอบขอบเขา เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลาย ของดิน และช่วยเก็บความชื้นไว้ในดิน รวมทั้งมีการจัดระบบการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพพ้ืนท่ี และ บารงุ ดินด้วยปยุ๋ หมักหรอื ป๋ยุ คอก เพื่อเพม่ิ อนิ ทรียวัตถใุ หด้ ิน - ในกรณีท่ีเป็นดินดีหรือดินลกึ ควรทาเป็นคันดินสาหรับปลูกพืชล้มลุกท่ีมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ สูง หรอื ถ้ามกี ารปลกู ไมย้ ืนตน้ ควรปลกู พืชคลุมดินรว่ มด้วย - ในกรณีที่เป็นดินตื้นไม่ควรปลูกพืชไร่หรือพืชล้มลุก ควรปลูกไม้ยืนต้นขวางความลาดเทของ พ้ืนท่ี และปลูกพืชคลุมดินระหว่างต้นพืช และควรทาคันคูรอบเขาเพ่ือระบายน้า ในกรณีที่ปลูกไม้ยืนต้นและ ต้องการปลกู พชื แซมระหว่างแถวก่อนไมย้ ืนต้นโตน้นั ไม่ควรมีการไถพรวน เน่อื งจากพืน้ ทมี่ ีความลาดชันสูง ทาให้เกิดการสญู เสยี หน้าดินไดง้ า่ ย มีเนื้อท่ีประมาณ 6,216 ไร่ หรือร้อยละ 1.88 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า พื้นท่ีเขตนี้มีการใช้ ที่ดินเพ่ือการปลูกสับปะรด ยางพารา ปาล์มน้ามัน และมะม่วง ในสภาพพื้นท่ีมีความลาดชัน 12-20 เปอร์เซ็นต์ หรือบริเวณที่มีการปลูกยางพารา ปาล์มน้ามัน และมะม่วง ในสภาพพื้นท่ีมีความลาดชัน 20-35 เปอรเ์ ซ็นต์ มีข้อเสนอแนะในการใช้พื้นท่ีเขตพื้นท่ีเกษตรกรรมท่ีควรส่งเสริมมาตรการในการ อนุรักษ์ดินและ น้า โดยในบริเวณพ้ืนที่ที่มีความลาดชนั สูง และเส่ียงต่อการชะล้างพังทลายควรจัดทาระบบอนุรักษ์ดินและ นา้ โดยใช้ระบบพชื ในการอนุรักษด์ ินและน้า เช่น การปลกู แถบหญ้าแฝก ปลกู พืชสลบั เปน็ แถบ หรือปลกู พืช

78 คลุมดิน เพ่ือป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และช่วยเก็บความชื้นไว้ในดินรวมท้ังมีการจัดระบบการ ปลกู พืชให้เหมาะสมกบั สภาพพืน้ ท่ี และบารุงดนิ ด้วยปยุ๋ หมักหรอื ปุ๋ยคอก เพื่อเพม่ิ อินทรียวตั ถใุ ห้ดิน มีเนือ้ ที่ประมาณ 30,457 ไร่ หรือรอ้ ยละ 9.21 ของเนื้อท่ลี ุ่มน้า พ้ืนท่ีเขตน้มี ีการใชท้ ี่ดินเพื่อ การปลูกพชื ไร่ ไม้ผล และไมย้ นื ตน้ ในสภาพพ้นื ท่ีมีความลาดชนั นอ้ ยกว่า 12 เปอร์เซน็ ต์ มขี ้อเสนอแนะใน การใชพ้ ืน้ ทเ่ี ขตพ้นื ทเี่ กษตรกรรมมีความลาดชนั น้อยกวา่ 12 เปอรเ์ ซน็ ต์ ดังนี้ - ควรทาคันดินเบนน้าเพื่อป้องกันน้าท่ีจะไหลบ่าเข้ามาจากพื้นท่ีด้านนอก ซ่ึงอาจจะทาความ เสียหายให้แก่พืชในพ้ืนท่ีได้ และยังช่วยลดการชะล้างพังทลายของดิน และอาจต้องทาทางระบายน้าออก จากพน้ื ทีแ่ ต่ถ้ามที างนา้ ธรรมชาตอิ ยูแ่ ล้วควรรักษาใหอ้ ยู่ในสภาพดี - ควรจัดระบบปลูกพืชให้เหมาะสมโดยการไถพรวน และปลูกพืชขวางความลาดเท และควรจัดใหม้ ี พืชข้ึนปกคลุมหน้าดินตลอดทั้งปี สนับสนุนการปลูกไม้โตเร็วควบคู่กับการอนุรักษ์ดินและน้า เน้นการทา การเกษตรแบบผสมผสานตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง โดยเน้นการปลูกพชื ให้หลากหลายชนิดทั้งไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชไร่ และพชื ผกั - พัฒนากระบวนการผลิตไม้ผล ส่งเสริมการผลิตพืชปลอดสารพิษ เพิ่มศักยภาพการผลิตโดย ปรบั ปรงุ โครงสร้างของดินดว้ ยการปลูกพชื ตระกลู ถั่วในพนื้ ท่ี เพือ่ เพิ่มอินทรียวตั ถุแก่ดิน ส่งเสริมการใช้ปุ๋ย อนิ ทรีย์ และผลติ ภณั ฑ์เทคโนโลยชี ีวภาพทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมแี ละสารเคมี มีเนอ้ื ทปี่ ระมาณ 129 ไร่ หรือร้อยละ 0.04 ของเนื้อท่ลี ่มุ นา้ ซึง่ เป็นบริเวณทม่ี กี ารใช้ทด่ี ินเพ่ือการทานา ดนิ ที่พบในบริเวณน่ีเป็นดินลึก มีการระบายน้าดีปานกลาง และมีการทาคันนา ดินมีความอุดมสมบูรณ์ตาม ธรรมชาติต่า ส่วนใหญ่แหลง่ น้าในเขตนี้พอเพียงสาหรบั การเพาะปลูกในช่วงฤดูฝนเท่านน้ั แต่ถ้าบริเวณใด มีปริมาณน้าพอเพียงก็สามารถปลูกพืชคร้งั ที่สองได้ มีข้อเสนอแนะในการใช้พื้นที่เขตพื้นที่เกษตรกรรมที่มี การทานา ดังน้ี - ควรมีการปรับพ้ืนที่ในแปลงนา เพ่ือรักษาระดับการขังของน้าให้เหมาะสมในระยะที่ข้าว เจริญเติบโต - ควรปรับปรุงบารุงดินโดยการเพ่ิมอินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยพืชสด เพื่อช่วย ปรับปรุงโครงสร้างของดิน และเพ่ิมธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์สาหรับพืช ร่วมกับการใส่ปุ๋ยเคมีใน อัตราสว่ นทเ่ี หมาะสม มีเน้ือที่ประมาณ 551 ไร่ หรือร้อยละ 0.17 ของเนื้อที่ลุ่มน้า โดยปัจจุบันมีสภาพเป็นทุ่งหญ้าธรรมชาติ ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ หรือ โรงเรอื นเลยี้ งสัตว์ มีเน้ือท่ีประมาณ 35 ไร่ หรือร้อยละ 0.01 ของเนื้อทล่ี ุม่ น้า โดยปัจจบุ ันมีสภาพเปน็ พ้ืนทเี่ พาะเล้ยี งสัตว์นา้ ร้าง

79 มีเน้อื ทรี่ วมประมาณ 4,187 ไร่ หรือรอ้ ยละ 1.27 ของเนื้อท่ลี ุม่ นา้ มีเนื้อท่ีรวมประมาณ 6,162 ไร่ หรือร้อยละ 1.86 ของเนื้อที่ลุ่มน้า ได้แก่ แหล่งน้าธรรมชาติ มีเนื้อท่ี ประมาณ 1,401 ไร่ หรือร้อยละ 0.42 ของเนื้อท่ีลุ่มน้า และแหล่งน้าท่ีมนุษย์สร้างขึ้น มีเน้ือที่ประมาณ 4,761ไร่ หรือรอ้ ยละ 1.44 ของเน้ือทล่ี มุ่ นา้ มีเนื้อที่ประมาณ 3,181 ไร่ หรือร้อยละ 0.96 ของเน้ือท่ีลุ่มน้า พื้นท่ีในเขตนี้มีสภาพเป็นป่าค่อนข้าง สมบูรณ์แต่อยู่นอกเขตป่าสงวนแหง่ ชาติ สภาพพ้ืนท่ีโดยท่ัวไปมีความลาดชันค่อนข้างมาก รวมถึงพื้นท่ีดิน ตื้นมีกรวดหินปะปน พื้นท่ีในเขตนี้กระจายตัวอยเู่ ป็นหยอ่ ม ๆ ต่อจาก เขตป่าสงวนแหง่ ชาติ ซ่ึงควรรักษา พื้นทไ่ี ว้ใชป้ ระโยชน์รว่ มกนั หรอื จดั ทาเป็นปา่ ชุมชน ข้อเสนอแนะในการใชพ้ ื้นทีเ่ ขตพื้นที่คงสภาพปา่ ไม้นอกเขตป่าตามกฎหมาย - ควรมีการใช้ประโยชน์พ้ืนที่โดยปลูกไม้โตเร็ว และยึดหลักการใช้ท่ีดินแบบผสมผสานระหว่างป่าไม้ กับการเกษตร - ควรป้องกันและรักษาสภาพป่าไม้ให้คงความสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพ โดยให้ ชมุ ชนมีส่วนรว่ มในการจดั การ เพ่ือใหม้ ีการใช้ประโยชนจ์ ากไมแ้ ละของปา่ ร่วมกันอย่างพอเพียงและยัง่ ยนื มเี นอื้ ทปี่ ระมาณ 236 ไร่ หรอื รอ้ ยละ 0.07 ของเนอ้ื ที่ลมุ่ นา้ ตารางที่ 4-1 แผนการใช้ที่ดินเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้า พื้นท่ีลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จังหวดั ประจวบครี ขี นั ธ์ สัญลักษณ์ เขตการใชท้ ่ีดิน เนื้อที่ ไร่ ร้อยละ 1. เขตพน้ื ทีป่ ่าไม้ตามกฎหมาย 276,873 83.76 11 1.1 เขตคุ้มครองสภาพปา่ ตามกฎหมาย 232,898 70.45 12 1.2 เขตฟนื้ ฟูสภาพปา่ ตามธรรมชาติ 12,547 3.80 1.3 เขตฟ้นื ฟูทรพั ยากรธรรมชาตภิ ายใตเ้ งื่อนไข 31,428 9.51 131 - เขตพน้ื ท่ีที่มกี ารใช้ที่ดนิ เพอื่ การเกษตรที่มีแนวโนม้ ของการชะล้าง 72 0.02 พังทลายสูง 132 - เขตพนื้ ที่ที่มีการใชท้ ่ีดินเพ่อื การเกษตรท่มี ีแนวโนม้ ของการชะลา้ ง 6,912 2.09 พงั ทลายปานกลาง

80 ตารางที่ 4-1 แผนการใช้ท่ีดินเพื่อการอนุรักษ์ดินและน้า พื้นที่ลุ่มน้าคลองกุย อาเภอกุยบุรี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวัดประจวบคีรีขันธ์ (ต่อ) สญั ลักษณ์ เขตการใชท้ ่ีดิน เนอื้ ที่ ไร่ ร้อยละ 133 - เขตพ้ืนที่ทม่ี ีการใช้ท่ดี ินเพ่ือการเกษตรท่ีมีแนวโนม้ ของการชะล้าง 24,434 7.39 พังทลายตา่ 10 0.01 134 - เขตพ้นื ท่ีท่มี ีการใชท้ ด่ี นิ เพื่อการเกษตรควรมีการปรบั รูปแปลงนา 39,944 12.08 2. เขตเกษตรกรรม 0.08 263 0.69 21 เขตฟ้ืนฟูสภาพพ้ืนท่ีเกษตรกรรมเพื่อการรักษาระบบนิเวศตน้ นา้ 2,293 22 เขตพื้นทเ่ี กษตรกรรมทตี่ ้องเร่งรดั ดาเนินการจัดทาระบบอนุรกั ษด์ นิ 6,216 1.88 และนา้ ดว้ ยวธิ ีกลทีเ่ ขม้ ข้น 23 เขตพ้ืนที่เกษตรกรรมท่คี วรสง่ เสรมิ มาตรการในอนรุ กั ษ์ดินและนา้ 30,457 9.21 อยา่ งเขม้ ข้น 129 0.04 24 เขตพ้ืนทเี่ กษตรกรรมทมี่ คี วามลาดชนั นอ้ ยกว่า 12 เปอร์เซน็ ต์ ควร 551 0.17 35 0.01 แนะนาการจดั ระบบปลูกพืช 4,187 1.27 25 เขตพ้ืนท่เี กษตรกรรมทีค่ วรมกี ารปรับรปู แปลงนา 4,187 1.27 26 เขตพฒั นาท่งุ หญ้าเล้ียงสตั ว์ 6,162 1.86 27 เขตพัฒนาการประมง 6,162 1.86 3. เขตชมุ ชนและส่ิงปลกู สร้าง 3,181 0.96 3 เขตชมุ ชนและสิ่งปลกู สร้าง 3,181 0.96 4. เขตแหล่งนา้ 236 0.07 4 เขตแหลง่ น้า 236 0.07 5. เขตพน้ื ท่คี งสภาพปา่ ไมน้ อกเขตปา่ ตามกฎหมาย 330,583 100.00 5 เขตพนื้ ทีค่ งสภาพปา่ ไมน้ อกเขตปา่ ตามกฎหมาย 6. เขตพน้ื ท่อี น่ื ๆ 6 เขตพน้ื ที่อ่ืน ๆ รวมเนอ้ื ที่ทั้งหมด

81 ภาพท่ี 4-1 เขตการใชท้ ่ีดนิ เพ่ือการอนรุ ักษ์ดินและน้า ล่มุ น้าคลองกยุ จังหวดั ประจวบครี ีขนั ธ์

ตารางท่ี 4-2 สรปุ แนวทางแผนการใชท้ ่ีดนิ เพ่อื การอนรุ กั ษ์ดนิ และนา้ พ้นื ที่ล่มุ แม่คลองกุย อาเภอกยุ บรุ ี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จงั หวัดประจวบคีรขี นั ธ์ 82

ตารางท่ี 4-2 สรปุ แนวทางแผนการใชท้ ่ีดินเพ่อื การอนรุ กั ษ์ดนิ และนา้ พ้นื ท่ลี ุ่มแม่คลองกุย อาเภอกุยบรุ ี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จังหวดั ประจวบครี ขี ันธ์ (ตอ่ ) 83

ตารางท่ี 4-2 สรปุ แนวทางแผนการใชท้ ่ดี ินเพ่อื การอนรุ กั ษ์ดนิ และนา้ พ้นื ท่ลี ุ่มแม่คลองกุย อาเภอกุยบรุ ี และอาเภอสามรอ้ ยยอด จังหวดั ประจวบครี ขี ันธ์ (ตอ่ ) 84


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook