สารเคมใี นชวี ติ ประจาวนั อ.เพชรพงศ์ สทุ ธพิ งศ์
สารเคมที พ่ี บทวั่ ไปในชวี ติ ประจาวนั o อาหาร o ยารกั ษาโรค o เครอ่ื งสาอาง o สารพษิ
เคมขี องอาหาร
อาหาร • คอื สงิ่ ทร่ี บั ประทานเขา้ ไปแลว้ ให้ พลงั งาน และเกดิ ประโยชน์ต่อ ร่างกาย • สารอาหารทใ่ี หพ้ ลงั งานไดแ้ ก่ คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ไขมนั • สารอาหารทไ่ี ม่ใหพ้ ลงั งานไดแ้ ก่ วติ ามนิ เกลอื แร่
โปรตนี (Proteins) • เป็นโพลเี มอรข์ องกรดอะมโิ น จานวน 20 ชนิด • กรดอะมโิ นชนิดจาเป็น (รา่ งกายสรา้ งเอง ไมไ่ ด้ ตอ้ งไดร้ บั จากอาหาร) 9 ชนดิ และ ชนิดไมจ่ าเป็น 11 ชนิด (รา่ งกายสรา้ งได้ จากอาหาร) • กรดอะมโิ น ประกอบดว้ ยธาตุหลกั คอื C, H, O, N มหี มโู่ ซ่ขา้ ง (R group) ทแ่ี ตกต่าง กนั ไปทงั้ 20 ชนดิ • แหลง่ โปรตนี เชน่ เน้อื สตั ว์ ถวั่ ไข่ นม • โปรตนี 1 กรมั ใหพ้ ลงั งาน 4 กโิ ลแคลอรี (Kcal)
หมู่ R groups ที่แตกต่างกนั ในกรดอะมิโนทงั้ 20 ชนิด
โปรตนี (Proteins) • มหี น้าทค่ี อื เป็นโครงสรา้ งของรา่ งกาย (เน้อื เยอ่ื ผวิ หนงั เสน้ ผม เลบ็ กระดูก) ปฏกิ ริ ยิ าในร่างกาย (เอนไซม)์ โปรตนี ขนสง่ และภมู คิ มุ้ กนั (เมด็ เลอื ดแดง เมด็ เลอื ดขาว) • ควรรบั ประทานโปรตนี 1 g ต่อน้าหนกั ตวั 1 kg • หากขาดโปรตนี จะทาใหเ้ จรญิ เตบิ โตชา้ ภมู คิ ุม้ กนั ต่า ภาวะบวมทวั่ ตวั จากขาด โปรตนี อย่างรนุ แรงเรยี กว่า Kwashiorkor
คารโ์ บไฮเดรต (Carbohydrates) • ประกอบดว้ ยธาตุ C, H, O โดยอตั ราส่วน H:O เทา่ กบั 2:1 มสี ตู รโมเลกุลอย่างงา่ ยคอื • (C(H2O))n น้าตาลโมเลกลุ เดย่ี ว (C6H12O6) เช่น กลโู คส ฟรคุ โตส กาแลกโตส • น้าตาลโมเลกุลคู่ (C12H22O11) เช่น ซูโครส มอลโตส แลคโตส • คารโ์ บไฮเดรตโมเลกลุ ใหญ่ เช่น แป้ง เซลลโู ลส ไกลโคเจน เพคตนิ • คารโ์ บไฮเดรต 1 g ใหพ้ ลงั งาน 4 Kcal
คารโ์ บไฮเดรต (Carbohydrates) • พบในอาหารทใ่ี หค้ วามหวาน เชน่ ออ้ ย น้าผง้ึ น้าตาล และพชื ทผ่ี ลติ แป้ง เชน่ ขา้ ว ขา้ วโพด มนั สาปะหลงั มนั ฝรงั่ ฯลฯ • เป็นแหลง่ พลงั งานหลกั ของร่างกาย ช่วยใน การเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ โดยเฉพาะ สมองตอ้ งใชก้ ลโู คสใหพ้ ลงั งาน • ไกลโคเจน (Glycogen) เป็นคารโ์ บไฮเดรต สะสมในรา่ งกาย • ควรไดร้ บั คารโ์ บไฮเดรต 50-100 g/วนั หาก มากเกนิ ไปจะสะสมเป็นไขมนั ทาใหเ้ ป็นโรค อว้ น
ไขมนั (Lipids) • ประกอบดว้ ยธาตุ C, H, O • เกดิ จากปฏกิ ริ ยิ า esterification ของกรด ไขมนั 3 โมเลกลุ และกลเี ซอรอล 1 โมเลกลุ กลายเป็น Triglyceride • 1 g ใหพ้ ลงั งาน 9 Kcal • ไขมนั จากสตั วม์ กั เป็นไขมนั ชนิดอมิ่ ตวั ส่วน ไขมนั จากพชื มกั เป็นไขมนั ชนิดไมอ่ มิ่ ตวั (มี พนั ธะคู่ หรอื พนั ธะสามในโมเลกุล) • แหลง่ ไขมนั เช่นน้ามนั พชื ไขมนั จากสตั ว์ เนย เน้ือสตั ว์ นม
ไขมนั (Lipids) • เป็นแหล่งพลงั งานสะสมและใหค้ วามอบอุ่น แก่รา่ งกาย • เป็นโครงสรา้ งของเยอ่ื หุม้ เซลล์ • เป็นฉนวนปกป้องอวยั วะภายในและรกั ษา อุณหภมู ขิ องร่างกายใหค้ งท่ี • ชว่ ยในการดดู ซมึ ของวติ ามนิ ทล่ี ะลายใน ไขมนั (A, D, E, K) • ไขมนั ดเี ช่น Omega 3, 6, 9 ชว่ ยในการ เจรญิ ของร่างกาย • ไขมนั รา้ ย เชน่ ไขมนั ทรานสใ์ นมาการนี เนยเทยี ม ทาใหเ้ กดิ โรคหลอดเลอื ดหวั ใจ ความดนั โลหติ สงู
วติ ามนิ (Vitamins) • วติ ามนิ ทล่ี ะลายในน้าไดแ้ ก่ C, B1, B2, B5, B6, B12, Biotin • วติ ามนิ ทล่ี ะลายในไขมนั ไดแ้ ก่ A, D, E และ K • เป็นสารอาหารทไ่ี มใ่ หพ้ ลงั งาน • พบในอาหารทกุ ประเภทโดยเฉพาะผกั และ ผลไม้ • รา่ งกายตอ้ งการในปรมิ าณน้อยแต่ขาด ไมไ่ ด้ • ชว่ ยในการทางานของเอนไซม์ (Coenzyme) ทาใหร้ ่างกายเป็นปกติ
วติ ามนิ (Vitamins) • การขาดวติ ามนิ จะทาใหเ้ กดิ โรคต่าง ๆ • ขาดวติ ามนิ ซี ทาใหเ้ ป็นโรคเลอื ดออกตาม ไรฟัน เป็นหวดั งา่ ย • ขาดวติ ามนิ B เชน่ B2 โรคปากนกกระจอก B12 โลหติ จางและโรคเกย่ี วกบั ระบบประสาท • ขาดวติ ามนิ A โรคตาบอดกลางคนื • ขาดวติ ามนิ D กระดกู เปราะ • ขาดวติ ามนิ E โลหติ จาง และอาจแทง้ ลกู ได้ • ขาดวติ ามนิ K เลอื ดแขง็ ตวั ชา้ โลหติ จาง
แรธ่ าตุ (Minerals) • พบมากในผกั และผลไมท้ กุ ชนดิ • ไมใ่ หพ้ ลงั งานและร่างกายตอ้ งการปรมิ าณ น้อย แต่ถา้ ขาดจะทาใหเ้ กดิ โรคต่างๆ • ทาหน้าทค่ี ลา้ ยวติ ามนิ คอื รกั ษาสมดุลของ ร่างกาย • เป็นส่วนประกอบของอวยั วะเช่น Calcium (Ca) เป็นองคป์ ระกอบของกระดกู และฟัน • Sodium (Na) และ Potassium (K) : รกั ษา สมดุลของสารน้าและไอออนในรา่ งกาย
แรธ่ าตุ (Minerals) • Zinc (Zn) : เสรมิ สรา้ งการเจรญิ เตบิ โต ป้องกนั สวิ และผมร่วง • Iron (Fe) : เป็นสว่ นประกอบในเมด็ เลอื ด แดง ป้องกนั โลหติ จาง • Copper (Cu) : ชว่ ยดดู ซมึ ธาตุเหลก็ ทาใหม้ ี พลงั งาน • Phosphorus (P) : สาคญั ต่อการสรา้ ง กระดกู และฟัน และการสง่ สญั ญาณกระแส ประสาท • Manganese (Mn) : สาคญั ต่อการทางาน ของระบบประสาทและระบบสบื พนั ธุ์
ยารกั ษาโรค
ยารกั ษาโรค (Pharmaceutical drugs) • หมายถงึ วตั ถุ และ/หรอื สารเคมที ใ่ี ชใ้ นการรกั ษาโรคภยั ไขเ้ จบ็ ของมนุษย์ และสตั ว์ โดยตอ้ งใช้ ความรทู้ งั้ ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละศลิ ปะมาผนวกในการ ผสม ปรุงแต่ง และแปรสภาพสาระสาคญั และส่วนประกอบอน่ื ตามสตู รตารบั • ยาแผนปัจจบุ นั แบ่งออกไดเ้ ป็น ยาสามญั ประจาบา้ น ยาอนั ตรายและยาควบคุมพเิ ศษ
ยาสามญั ประจาบา้ น (Household remedies) • ยาทส่ี ามารถหาซอ้ื มาใชไ้ ด้ โดยทไ่ี มม่ ี อนั ตราย ใชร้ กั ษาอาการเจบ็ ป่วยเลก็ น้อย ทไ่ี มม่ อี าการรุนแรง • สามารถหาซ้อื ไดต้ ามรา้ นขายยาทวั่ ไปโดย ไมต่ อ้ งมใี บสงั่ แพทย์ • เช่น กลมุ่ ยาแกป้ วดทอ้ ง ทอ้ งอดื ทอ้ งขน้ึ ทอ้ งเฟ้อ ทอ้ งเสยี ยาระบาย ยาถ่ายพยาธิ ยาบรรเทาปวด ลดไข้ ยาแกแ้ พ้ ลดน้ามกู ยาแกไ้ อ ยาดม ยาแกเ้ มารถ ยาใสแ่ ผล ยา บารุงร่างกาย
ยาอนั ตราย (Dangerous drug) • ยาทต่ี อ้ งขายเฉพาะในรา้ นขายยาแผน ปัจจุบนั ภายใตก้ ารควบคมุ ของเภสชั กร • ตอ้ งจาหน่ายทงั้ แผงหรอื ทงั้ ขวด โดยไม่ แบง่ ออกมาจากภาชนะบรรจุเดมิ • มตี วั หนงั สอื “สแี ดง” ทเ่ี ขยี นว่า \"ยา อนั ตราย\" อย่บู นกล่องยา ตาแหน่งใกลก้ บั เลขทะเบยี นยา • เช่น ยาปฏชิ วี นะ (ยาฆา่ เชอ้ื โรคต่างๆ) ยากลุม่ Ergotamine ทใ่ี ชร้ กั ษาโรคไมเกรน เป็นตน้
ยาควบคมุ พเิ ศษ (Controlled substance drug) • ยาแผนปัจจบุ นั ทจ่ี ่ายไดเ้ ฉพาะเมอ่ื มใี บสงั่ แพทยเ์ ทา่ นนั้ • มคี วามเป็นพษิ ภยั สงู และ/หรอื อาจก่อ อนั ตรายต่อสุขภาพไดง้ า่ ยแมจ้ ะใชอ้ ย่าง ถูกตอ้ ง จงึ เป็นยาทต่ี อ้ งถูกจากดั การใช้ • เช่น ยาเพรดนโิ ซโลน (Prednisolone), ยาเดก็ ซ่าเมทาโซน (Dexamethasone), ยาเคมบี าบดั โรคมะเรง็ , ยาฮอรโ์ มนต่าง ๆ ทใ่ี ชร้ กั ษาโรคมะเรง็ , ยารกั ษาโรคตดิ เชอ้ื เอชไอวี เป็นตน้
อาการแพย้ า • เป็นการตอบสนองทผ่ี ดิ ปกตขิ อง ระบบภมู คิ มุ้ กนั ตา้ นทานโรคของ รา่ งกายเมอ่ื ไดร้ บั ยาชนิดใดชนิดหน่งึ • อาการจะหายไปเองภายใน 1–2 วนั แต่ถา้ อาการแพม้ ากหรอื รุนแรง ต้อง ส่งคนไขเ้ ขา้ รบั การรกั ษาใน โรงพยาบาลอย่างฉุกเฉนิ • เชน่ มอี าการผน่ื คนั ลมพษิ ไอ เจบ็ แน่นหน้าอก มไี ข้ บวม หากรุนแรง มากอาจหมดสตแิ ละเสยี ชวี ติ ได้
การใชย้ าทถ่ี กู วธิ ี 1 • อ่านฉลากยาโดยใชย้ าใหถ้ ูกกบั โรค ถูก ขนาด 2 • ใชย้ าใหถ้ กู วยั ถกู วธิ ี เชน่ ยาใชภ้ ายนอกกบั ยา รบั ประทาน และดวู นั หมดอายุของยา 3 • รบั ประทานยาใหต้ รงเวลา หากลมื ใหร้ บั ประทานยา หลงั จากทน่ี ึกได้ 4 • สงั เกตอาการหลงั จากรบั ประทานยาวา่ มอี าการแพ้ หรอื ไม่ และปรกึ ษาแพทยห์ รอื เภสชั กร
เครอ่ื งสาอาง
เครอ่ื งสาอาง • คอื ผลติ ภณั ฑท์ ใ่ี ชท้ าความสะอาดร่างกาย หรอื ทาใหเ้ กดิ ความสวยงามบนเรอื นรา่ งของ มนุษย์ • โดยทวั ่ ไปเคร่อื งสาอางเป็นสารทใ่ี ชภ้ ายนอก รา่ งกายเทา่ นนั้ • เครอ่ื งสาอาง ไมม่ ผี ลในการป้องกนั หรอื รกั ษา โรค และไมม่ ผี ลเปลย่ี นแปลงโครงสรา้ งต่าง ๆ ของรา่ งกาย • แบ่งเป็น เครอ่ื งสาอางควบคมุ พเิ ศษ เคร่อื งสาอางควบคมุ และเครอ่ื งสาอางทวั ่ ไป
สว่ นประกอบในเครอ่ื งสาอาง • สารออกฤทธ(ิ์Active ingredient) เป็นสารทแ่ี สดงคณุ สมบตั ขิ อง เครอ่ื งสาอาง เช่นสารทาความสะอาด สารป้องกนั รงั สยี วู ี • สารเพม่ิ ปรมิ าณ(Diluent) ทช่ี ่วยเจอื จางใหส้ ารออกฤทธมิ์ คี วาม เขม้ ขน้ อยา่ งเหมาะสม • สารยบั ยงั้ เชอ้ื (Preservative) เพอ่ื ป้องกนั การเจรญิ เตบิ โตของ แบคทเี รยี หรอื ของเชอ้ื รา • สารคเี ลต(Chelating agent) มหี น้าทด่ี กั จบั โลหะหนกั • สารตา้ นอนุมลู อสิ ระ(Antioxidants) จะช่วยป้องกนั การเหมน็ หนื • น้าหอม(Fragrance) เพอ่ื ชว่ ยปรบั สภาพกลน่ิ ของเครอ่ื งสาอาง • รงควตั ถุ(Pigment) หรอื สที ใ่ี ชเ้ ป็นสว่ นประกอบ
เครอ่ื งสาอางควบคุมพเิ ศษ • เป็นเครอ่ื งสาอางทส่ี ามารถก่อใหเ้ กดิ อนั ตรายหรอื มี ส่วนประกอบของสารทท่ี าใหเ้ กดิ พษิ กบั ร่างกาย • เช่น Oxalic acid, Resorcinol, Hydrogen peroxide, Thiolactic acid, Potassium hydroxide, Lead acetate, ฯลฯ • ตอ้ งขน้ึ ทะเบยี นตารบั และจดแจง้ แก่ อ.ย. • ตวั อยา่ งเครอ่ื งสาอางกลมุ่ น้ีเช่น น้ายาดดั ผม น้ายา ยดื ผม น้ายายอ้ มผม ครมี แต่งผมดา ผลติ ภณั ฑฟ์ อก สผี ม ผลติ ภณั ฑท์ าใหข้ นรว่ ง ยาสฟี ัน ผลติ ภณั ฑ์ สาหรบั เลบ็
เครอ่ื งสาอางควบคมุ • เป็นเครอ่ื งสาอางทอ่ี าจก่อใหเ้ กดิ อนั ตรายกบั ผบู้ รโิ ภค ได้ แต่มคี วามรนุ แรงน้อยกวา่ เครอ่ื งสาอางควบคมุ พเิ ศษ • สารสาคญั เชน่ Benzyl salicylate, Ethyl diethylaminobenzoate, Oxybenzone, Dihydroxyacetone, Menthylanthranilate,Zinc pyrithione • ไมต่ อ้ งขน้ึ ทะเบยี นตารบั แต่ตอ้ งแจง้ การผลติ ต่อ หน่วยงานรฐั • ผา้ อนามยั ผา้ เยน็ กระดาษเยน็ แป้งฝ่นุ โรยตวั แป้งน้า ผลติ ภณั ฑท์ ม่ี สี ารป้องกนั แสงแดด ผลติ ภณั ฑส์ าหรบั ผมทม่ี รี งั แค
เครอ่ื งสาอางทวั่ ไป • เป็นเครอ่ื งสาอางทไ่ี มม่ สี ารในเครอ่ื งสาอางทงั้ 2 กลมุ่ ท่ี กล่าวมาและพบไดท้ วั่ ไปตามทอ้ งตลาด • กอ่ ใหเ้ กดิ การแพไ้ ดน้ ้อยมาก • ไมต่ อ้ งขน้ึ ทะเบยี นตารบั และไมต่ อ้ งจดแจง้ เลขทะเบยี น แตจ่ ะตอ้ งแสดงสว่ นประกอบบนฉลากผลติ ภณั ฑแ์ ละต้อง แจง้ การนาเขา้ • ตวั อยา่ งเช่น สบู่ แชมพู น้าหอม โลชนั่ เครอ่ื งสาอาง ตกแตง่ ใบหน้า เป็นตน้ • อย. ไดย้ กเลกิ การแบง่ หมวดหมเู่ ครอ่ื งสาอางทงั้ 3 ประเภท และไดป้ ระกาศให้ ‘เครอ่ื งสาอางทุกประเภท เป็น”เครอ่ื งสาอางควบคมุ ”เท่านนั้ โดยมผี ลบงั คบั ใชใ้ น วนั ท่ี 26 กนั ยายน พ.ศ.2551
การใชเ้ ครอ่ื งสาอางอยา่ งถูกวธิ ี 1. ทดสอบการแพก้ อ่ นใช้ (หลงั ใบหู ทอ้ งแขน) 2. เลอื กซอ้ื เครอ่ื งสาอางทม่ี ฉี ลากชดั เจน สงั เกตวนั หมดอายุ 3. ไม่เตมิ สารอน่ื ใดลงไปในเครอ่ื งสาอาง 4. ไม่ใชเ้ ครอ่ื งสาอางรว่ มกบั ผอู้ น่ื
สารพษิ
สารพษิ • คอื สารเคมที ก่ี ่อใหเ้ กดิ อนั ตรายต่อสขุ ภาพของ มนุษยแ์ ละสตั ว์ • แหล่งกาเนิดจากธรรมชาตเิ ช่น ควนั จากภเู ขาไฟ ไฟ ป่า ฝ่นุ ละออง สารพษิ ในพชื และสตั วต์ ่าง ๆ สารพษิ จากเชอ้ื จลุ นิ ทรยี ์ • แหลง่ กาเนิดจากกจิ กรรมของมนุษย์ เช่น สารเคมี จากการเกษตร สารพษิ จากอตุ สาหกรรม น้าเสยี จาก ชมุ ชนและอตุ สาหกรรม • ปนเป้ือนในสงิ่ แวดลอ้ มและเขา้ สรู่ า่ งกายทางการ หายใจ การปนเป้ือนในอาหาร และจากการสมั ผสั ทางผวิ หนงั • สารพษิ แต่ละชนิดก่อใหเ้ กดิ ผลเสยี ตอ่ สขุ ภาพ แตกตา่ งกนั
ประเภทของสารพษิ กดั กรอ่ น • กรดและเบสตา่ ง ๆ เช่น HCl, NaOH, ฟีนอล, น้ายาลา้ งหอ้ งน้า • มฤี ทธทิ ์ าลายเน้อื เยอ่ื กดั กรอ่ นผวิ หนงั ทาใหผ้ วิ หนงั ไหม้ โลหะหนกั • ตะกวั ่ เป็นสารก่อมะเรง็ และทาลายระบบประสาท • แคดเมยี ม : โรคอไิ ต อไิ ต (กระดกู ผุ ปวดบรเิ วณเอวและหลงั ) • ปรอท : โรคมนิ ามาตะ : โรคระบบประสาทสว่ นกลาง สารก่อมะเรง็ • ในพชื เช่น อะฟลาทอ็ กซนิ ทาใหเ้ ป็นมะเรง็ ตบั • แรใ่ ยหนิ ทาใหเ้ ป็นมะเรง็ ปอด • สารอะโรมาตกิ ในสารระเหย บุหร่ี
ประเภทของสารพษิ สารเสพตดิ • กระตนุ้ ประสาท เช่น ยาบา้ (แอมเฟตามนี ) กระทอ่ ม • กล่อมประสาท เช่น กญั ชา มอรฟ์ ีน เฮโรอนี ฝิ่น • หลอนประสาท LSD เฮโรอนี สารระเหย (กาว, ทนิ เนอร)์ สารก่อภมู แิ พ้ • ละอองเกสร ไรฝ่นุ ฝ่นุ ละออง จลุ นิ ทรยี ์ พษิ จากสตั ว์ • โปรตนี ในอาหาร เช่นอาหารทะเล และในน้าลายสตั ว์ สารกมั มนั ตรงั สี • รงั สกี ่อประจเุ ช่น แกมมา่ เบตา้ แอลฟ่า รงั สเี อก๊ ซ์ • แผอ่ อกมาจากแหลง่ กาเนิดทเ่ี ป็นสารกมั มนั ตรงั สเี ช่น แร่ยเู รเนยี ม (U) เรเดยี ม (Ra) ทอเรยี ม (Th) • ทะลผุ ่านเน้อื เยอ่ื และ DNA ทาใหเ้ น้อื เยอ่ื ถูกทาลาย และเป็นสาเหตุของมะเรง็
หลกั การป้องกนั อนั ตรายจากสารพษิ • หลกี เลย่ี งการใชส้ ารพษิ หรอื บรเิ วณทม่ี กี าร ปนเป้ือนสารพษิ • สวมใสอ่ ุปกรณ์ป้องกนั หากตอ้ งทางานหรอื สมั ผสั สารทเ่ี ป็นพษิ • ไมล่ า้ งภาชนะบรรจสุ ารพษิ ในแหลง่ น้าและไม่นา ภาชนะกลบั มาใชใ้ หม่ ใหท้ าลายทง้ิ • ศกึ ษาวธิ กี ารบรรเทาอาการพษิ เบอ้ื งตน้ จากสารพษิ แต่ละชนิดใหถ้ ูกวธิ ี • หากอาการพษิ รนุ แรงตอ้ งนาผปู้ ่วยสง่ แพทยท์ นั ที • ผทู้ ท่ี างานสมั ผสั สารพษิ ควรมกี ารตรวจสุขภาพ ประจาปี
Search
Read the Text Version
- 1 - 35
Pages: