Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Chinese History and Culture

Chinese History and Culture

Published by Kachamat Tawan, 2018-09-20 23:05:34

Description: 中国文化与历史
Chinese History and Culture
ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน

Keywords: Chinese,ChineseHistory,ChineseCulture,中国文化,历史,中国,中国历史,文化,ประวัติศาสตร์,ประวัติศาสตร์จีน,จีน,ประเทศจีน,วัฒนธรรม,วัฒนธรรมจีน

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอนความรู้ทว่ั ไปเกย่ี วกบั ประเทศจนี中 国文化与 历史 Chinese History and Culture ประวตั ศิ าสตรแ์ ละวฒั นธรรมจนี By นางสาวกชามาศ ตะ๊ วนั ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายชนั้ ปที ่ี 6 โรงเรยี นทานตะวนั วทิ ยาลาปาง

คานา เอกสารประกอบการสอนรายวิชาประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนฉบับนี้ มีเน้ือหาหลักอยู่ ดังนี้“ยุคสมัย ภูมิประเทศ อัตลักษณ์ต่างๆ อารยธรรม ขนบธรรรมเนียม วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ ค่านิยมมรดกที่ได้สืบทอดต่อมายาวนานมาจนถึงปัจจุบันในระดับเบ้ืองต้น” ซึ่งจะถ่ายทอดเน้ือหาและเร่ืองราวต่างๆเก่ียวกับประเทศจีนที่ผู้เรียนพึงควรรู้เบื้องต้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนที่มีความสนใจศึกษาเรียนรู้และสามารถแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ท่ีจะได้จากการสนทนาพูดคุยกัน การบอกเล่า การศึกษาค้นคว้า การรับฟัง และจากการอา่ นภายในเอกสารประกอบการสอนน้ี นางสาวกชามาศ ต๊ะวัน ผจู้ ัดทา

จดุ ประสงค์1. เพื่อให้ผเู้ รยี นมีความรู้ท่ัวไปเกี่ยวกับประเทศจนี ในระดบั เบื้องต้น2. เพือ่ ให้ผูเ้ รยี นสามารถนาความรู้ทไี่ ดร้ บั มานาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวันได้3. เพ่ือให้ผเู้ รียนสามารถนาไปตอ่ ยอดหรอื นาไปประยุกต์ใช้ในการเรียนในลาดบั ต่อไปได้

สารบญั 1-6 7-19第一课 中国地势 20-24บทท่ี 1 ภมู ิประเทศของประเทศจนี 25-31 32-39第二课中国历史朝代 40-44บทที่ 2 ยคุ สมยั ประวัติศาสตรข์ องประเทศจนี 45第三课 中华人民共和国บทท่ี 3 อัตลักษณ์ของประเทศจีน第四课 汉字บทท่ี 4 ตวั อกั ษรจีน第五课 中国节日บทท่ี 5 เทศกาลต่างๆของประเทศจีน第六课 中国四大发明บทท่ี 6 สส่ี ่งิ ประดิษฐอ์ ันยง่ิ ใหญ่ของประเทศจีนบรรณานุกรม

~1~ 第一课 中国地势บทที่ 1 ภูมปิ ระเทศของประเทศจนี

~2~ 第一课 中国地势บทที่ 1 ภมู ปิ ระเทศของประเทศจนี中国境内最早的人类 มนษุ ยย์ คุ แรกในอาณาเขตพนื้ ทป่ี ระเทศจนี ยุคหนิ เกา่ประเทศจีนเปน็ ดนิ แดนที่มนุษย์อาศัยเป็นเวลานานที่สุดในทวีปเอเชีย หลักฐานท่ีพบคือมนุษย์หยวนโหม่ว (元谋人) มีอายุประมาณ 1,700,000 ปี ล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1965 ที่มณฑลยูนนาน ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และ พบโครงกระดูกมนุษย์ปักก่ิง (北京人) มีอายุประมาณ 700,000 ปี - 200,000 ปี ล่วงมาแล้วถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1929 ทบ่ี รเิ วณตะวันตกเฉยี งใตข้ องปักกิง่ และพบหลักฐานมนุษย์ถ้า(山顶洞人)มีอายุประมาณ 18,000 ปีล่วงมาแล้ว ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1930ทีบ่ ริเวณตะวันตกเฉยี งใตข้ องปกั กงิ่ ภาพ 1.1 ความเป็นอยแู่ ละเคร่ืองใชข้ องคนยุคหนิ ยุคหนิ กลาง เก่ายุคหินกลาง มีอายุประมาณ 10,000 ปี - 6,000 ปีล่วงมาแล้วใช้ชีวิตกึ่งเร่ร่อน ภาพ 1.2 เครือ่ งใช้ของคนยุคหนิ กลางไม่มีการตั้งหลักแหล่งถาวร มีการพบเคร่ืองถ้วยชาม หม้อ มีการล่าสัตว์ เก็บอาหารเครือ่ งมือหนิ ทีใ่ ช้ในชีวติ ประจาวัน คอื หินสบั ขูด หวั ธนู ยุคหนิ ใหม่ยคุ หินใหม่ มีอายุประมาณ 6,000 ปี - 4,000 ปลี ว่ งมาแล้วเร่ิมต้ังหลักแหล่งเปน็ ชมุ ชน รจู้ ักเพาะปลกู ขา้ วฟา่ ง เล้ียงสัตว์ ทอผ้า ปลูกบ้านมีหลังคา ในยุคหินใหม่นีม้ ีมนุษยท์ าเครอื่ งป้นั ดินเผาที่สวยงามมากขนึ้ และเขยี นลายสี ยุคโลหะ ภาพ 1.3 เครื่องใชข้ องคนยคุ หินใหม่ ภาพ 1.4 เครื่องใช้ของคนยคุ โลหะยุคโลหะ มีอายุประมาณ 4,000 ปีล่วงมาแล้วหลักฐานที่เก่าสุดคือมีดทองแดง แล้วยังพบเครื่องสาริดเก่าที่สุด ซึ่งนามาใช้ทาภาชนะต่าง ๆเช่นที่บรรจุไวน์ กระถาง กระจกเงา มีขนาดใหญ่และสวยงาม มากโดยเฉพาะสมยั ราชวงศซ์ าง และ ราชวงศ์โจว

中国的地理位置 ที่ตง้ั ของประเทศจนี ~3~ ภาพ 1.5 แผนทขี่ องประเทศจีนในปัจจบุ นั ประเทศจีนตั้งอยู่ทางตะวันออกของแผ่นดินใหญ่ยุโรป-ทวีปเอเชีย และต้ังอยู่บนทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิคมีพื้นท่ีท้ังหมด 9,600,000 ตารางกิโลเมตร เป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากประเทศรัสเซียและแคนาดาประเทศจนี มีชายแดนติดกับประเทศอื่นถึง 22,800 กิโลเมตร มปี ระเทศใกล้เคยี งอยู่ 14 ประเทศ ดังน้ี ทศิ ตะวนั ออก : ติดประเทศเกาหลี ทศิ เหนอื : ติดประเทศมองโกลเลยี ทศิ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื : ตดิ ประเทศรัสเซยี ทศิ ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื : ตดิ ประเทศคาซัสสถาน, เคอกสิ สถาน และทาจิคสิ สถาน ทศิ ตะวนั ตกและตะวนั ตกเฉยี งใต้ : ตดิ ประเทศอนิ เดีย อัฟกานิสสถาน เนปาล ภูฐาน และปกกีสถาน ทศิ ใต้ : ตดิ ประเทศพม่า ลาว และเวยี ดนาม ชายฝง่ั ทะเลตะวนั ออกและตะวนั ออกเฉยี งใต้ : ติดประเทศเกาหลี ญีป่ ่นุ ฟิลิปปนิ ส์ บรูไน มาเลเซยี และอินโดเนยี เซยีแมน่ า้ ทส่ี าคญั ของจนี ไดแ้ ก่ แม่น้าฮวงโห แม่นา้ แยงซีเกยี ง และแมน่ ้าจูจยี งอาณาเขตของจนี จากทางเหนอื สดุ ถงึ ทางใต้ คอื จากแนวเสน้ กลางของรอ่ งน้าเดนิ เรอื ในแมน่ ้าเฮยหลงเจียงในอาเภอมอ่ เหอมณฑลหลงเจียง จนถึงแนวหินโสโครกเจิงหม่อู ้นั ซาของหมเู่ กาะหนานซาในทะเลจีนใต้

中国的地形 ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศของจนี ~4~ ภาพ 1.6 พน้ื ทีของประเทศจีนในปจั จุบนั ประเทศจนี มลี ักษณะภูมปิ ระเทศหลากหลายดว้ ยกนั คือ มที ร่ี าบลุ่มอันกว้างใหญ่ มีเนินเขาที่ขึ้นๆลงๆติดต่อกันเป็นพืด และมเี ทอื กเขาสงู มีทรี่ าบลมุ่ สูงอันกว้างใหญ่ที่อย่เู หนือระดับน้าทะเลคอ่ นข้างสูง และยงั มีแอ่งแผน่ ดิน ซง่ึ ถูกล้อมรอบไปดว้ ยพ้นื ทสี่ ูง โดยทั่วไปแล้วลักษณะภูมิประเทศของจีน มีภูเขามาก ท่ีราบน้อย เน้ือที่ภูเขามีประมาณ 2 ใน 3 ข้ึนไปของเนื้อที่ของแผ่นดินท้ังหมดของจีน เขตพื้นที่ราบมีไม่ถึง 1 ใน 3 เขตท่ีอยู่เหนือระดับน้าทะเล 500 เมตรขึ้นไปมีประมาณ 3 ใน 4 ของเน้ือท่ีผืนแผ่นดินทง้ั หมดของจนี เขตทีอ่ ย่เู หนือระดับน้าทะเลนอ้ ยกว่า 500 เมตรมีประมาณ 1 ใน 4 ลกั ษณะทางภมู ปิ ระเทศของจนี ทางทศิ ตะวนั ตกสงู และทางตะวนั ออกตา่ ประกอบกนั ขน้ึ เปน็ รปู บนั ได 3 ขน้ั ดงั น้ีขน้ั แรก คือ ท่รี าบสงู ชิงไห่-ธเิ บต อยเู่ หนือระดบั นา้ ทะเล 3,000-5,000 เมตรขน้ั ทส่ี อง คอื ทร่ี าบสงู มองโกเลยี ใน ที่ราบสงู ดินเหลืองและทรี่ าบสงู หยนุ หนานกุ้ยโจว อย่เู หนือระดับน้าทะเล 1,000-2,000 เมตร(แอ่งแผ่นดนิ ทารมิ แอง่ แผน่ ดินจุงการ์ และแอ่งแผ่นดนิ เสฉวน อยูร่ ะหว่างทรี่ าบสูงเหลา่ น้ี)ขนั้ ท่ีสาม คือ ท่ีราบ 3 แห่งท่ีอยู่ด้านตะวันออกของแนวเทือกเขาฮิงกันใหญ่ ภูเขาไท่หังซาน ภูเขาอูซาน ภูเขาเสวี่ยเฟิงซานและเนินเขาเตี้ยๆทอี่ ยูท่ างใต้ของแม่นา้ แยงซเี กยี งและภาคตะวันออกเฉยี งใต้ ที่ราบ 3 แหง่ อยู่เหนอื ระดับน้าทะเลไม่ถึง 200 เมตรและเนินเขาเต้ยี ๆอย่เู หนอื ระดบั น้าทะเลไมถ่ ึง 500 เมตร

中国的气候 ภมู อิ ากาศประเทศจนี ~5~ เ น่ื อ ง ด้ ว ย ไ ด้ รั บ อิ ท ธิ พ ล จ า ก ต า แ ห น่ ง ท่ี ตั้ ง ท า ง ภู มิ ศ า ส ต ร์ การหมุนเวียนของอากาศชั้นสูง ความต่าสูงของภูมิประเทศ และกิจกรรมของมนุษย์ เป็นต้น จีนจึงแบ่งออกเป็นเขต ภูมอิ ากาศธรรมชาติ 3 เขต ได้แก่ - เขตลมมรสมุ ภาคตะวันออก - เขตแหง้ แลง้ และกงึ่ แหง้ แลง้ ภาคตะวนั ตกเฉยี งเหนือ - เขตหนาวจัดชิงไห่—ธเิ บตภาพ 1.7 ตวั อยา่ งลกั ษณะเขตมรสมุ ของประเทศ ภ า ค ต ะ วั น อ อ ก ข อ ง จี น เ ป็ น เ ข ต ล ม ม ร สุ ม แ บ บ ฉ บั บ ข อ ง โ ล ก จนี เขตสว่ นใหญใ่ นฤดหู นาว อากาศหนาวและแห้งในฤดูร้อน อากาศร้อนและฝนตกชุก ในฤดูหนาว อุณหภูมิของภาคใต้และภาคเหนือมีความแตกต่างกันค่อนข้างมากในภาคเหนือของจีน น้าในแม่น้ามักจะจับตัวเป็นน้าแข็ง และหิมะตกหนัก เหมือนมีอาภรณ์สีขาวคลุมให้ธรรมชาติ กล่าวคือในขณะท่ีชาวฮาร์บนิ ซ่ึงอยูท่ างภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือฝ่าความหนาวเข้าชม“งานบันเทิงโคมไฟแกะสลักน้าแข็ง” เมืองกวางโจวซ่ึงอยู่ในภาคใต้ดอกไม้นานาพนั ธ์ุกาลงั บานสะพรงั่ อยู่ในฤดูร้อน พื้นท่ีส่วนใหญ่ของจีนอากาศร้อนมาก ฝนตกชุก จึงนาประโยชน์แก่การเกษตรเป็นอย่างมาก การกระจายของ ปริมาณน้าฝนในเขตต่าง ๆ ทั่วประเทศก็ไม่เท่ากันจากชายฝ่ังทะเลภาคตะวันออกเฉียงใต้ไป แผ่นดินส่วนในของภาคตะวันตกเฉียงเหนือปริมาณน้าฝนค่อยๆ ลดน้อยลง ภาคตะวนั ออกเฉยี งใต้ฝนตกค่อนข้างมากเช่นโฮซาวเหลียวของมณฑลไต้หวัน ปริมาณน้าฝนประจาปีมากถึง 6557.8 มิลลิเมตรภาคตะวันตกเฉียงเหนือมีฝนตกน้อย อย่างเช่น ภาคกลางของแอ่งทูรฟันในซินเจียง มีปริมาณน้าฝนประจาปไี ม่ถงึ 10 มลิ ลิเมตรฤดูกาลของประเทศจนี โดยทวั่ ไป มีอยู่ 4 ฤดู ดังน้ีฤดูหนาว 冬天 ช่วงเดอื นธนั วาคม – กุมภาพันธ์ฤดใู บไมผ้ ลิ 春天 ชว่ งเดือนมนี าคม – พฤษภาคมฤดรู ้อน 夏天 ช่วงเดือนมถิ นุ ายน – สิงหาคมฤดูใบไม้ร่วง 秋天 ชว่ งเดือนกนั ยายน – พฤศจิกายน ภาพ 1.8 ลักษณะฤดกู าลของประเทศจีน

“กจิ กรรมการเรยี นรบู้ ทที่ 1” ~6~กจิ กรรมที่ 1 แบบฝึกหดั ทา้ ยบทเรยี น จ ง ต อ บ ค า ถ า ม ที่ ก า ห น ด ใ ห้ ดั ง ต่ อ ไ ป น้ี โ ด ย อ ธิ บ า ย พ อ สั ง เ ข ป จ า ก บ ท เ รี ย น เ ร่ื อ ง ภู มิ ป ร ะ เ ท ศ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ จี น(เขียนคาตอบลงในกระดาษรายงานหรือกระดาษ A4) กาหนดสง่ งานในคาบเรยี นถดั ไป1.มนุษย์ยคุ แรกในอาณาเขตพ้ืนท่ปี ระเทศจีน มนษุ ย์ใดเก่าแก่ทส่ี ุดจากการค้นพบ และมีมนษุ ย์อนื่ ๆท่ีถกู คน้ พบอกี หรือไม่ ?2.ประเทศจีนมีท่ตี ั้งอยู่ในบนโลกส่วนใด และมีชายแดนติดกบั ประเทศใดบ้าง?3.จงอธิบายลักษณะภมู ปิ ระเทศของประเทศจีนมาพอสังเขป?4.ประเทศจีนมีลกั ษณะภูมอิ ากาศเป็นอย่างไร และมีฤดูกาลใดบา้ ง?จดุ ประสงคข์ องกจิ กรรมท่ี 1เพ่อื ใหผ้ เู้ รียนไดท้ บทวนบทเรยี นหลังเรยี น และสามารถทาใหผ้ ูเ้ รยี นเข้าใจในบทเรียนมาย่งิ ขึ้นเพอื่ ให้ผู้เรยี นสามารถได้ความรู้เพม่ิ เตมิ จากการศกึ ษาคน้ ควา้ จากนอกเหนือบทเรยี นกจิ กรรมท่ี 2 แบง่ กลมุ่ นาเสนอภายในคาบเรยี นจัดกล่มุ ผู้เรียนเป็นกลุ่ม โดยใช้บทเรยี นในหวั ข้อตา่ งๆที่เก่ยี วข้องกับ ภูมิประเทศของประเทศจีน ซงึ่ ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ทารูปแบบงานนาเสนอในลกั ษณะเป็น แผนผงั ความคิด อย่างใดก็ได้ตามความคดิ สรา้ งสรรค์ของผเู้ รยี น ระยะเวลาภายใน 1 ชว่ั โมงสงิ่ ทตี่ อ้ งเตรยี ม กระดาษชารจ์ , ปากกาเคมสี ีตา่ งๆวธิ กี ารดาเนนิ กจิ กรรม1.ผสู้ อนช้ีแจง้ รายละเอียดกิจกรรมแก่ผเู้ รียนและจัดกลุม่ ผู้เรยี นตามความเหมาะสม จานวน 4 กลุ่ม2.จากนน้ั ใหแ้ ตล่ ะกลุม่ เลือกตัวแทนเพอ่ื มาจบั สลากสุ่มหวั ข้อในการนาเสนอพร้อมนากระดาษชารจ์ กับปากกาเคมใี หแ้ ก่ตัวแทนกลุม่3.เมอื่ แตล่ ะกลุ่มได้หวั ขอ้ ทีต่ ้องนาเสนอเรียบรอ้ ยแล้ว ใหแ้ ต่ละเริม่ ทางานได้ ในระยะเวลาทไ่ี ด้กาหนด4.เมอ่ื ครบระยะเวลากาหนดแลว้ ให้แตล่ ะกลุ่มออกมานาเสนอจดุ ประสงคข์ องกจิ กรรมที่ 2เพื่อใหผ้ เู้ รยี นทบทวนบทเรียนและเข้าใจในบทเรยี นยงิ่ ขึ้นเพ่อื ให้ผเู้ รยี นเรยี นร้กู ารทางานเปน็ กล่มุ

~7~第二课 中国历史朝代บทที่ 2 ยคุ สมยั ประวัตศิ าสตร์ของประเทศจนี

第二课 中国历史朝代 ~8~ บทท่ี 2 ยคุ สมยั ประวตั ศิ าสตรข์ องประเทศจนี 1. ยคุ ก่อนราชวงศ์ (ประมาณ 5,000 ปกี อ่ น) 2. ยุคจีนโบราณ- ราชวงศ์เซ่ยี (夏朝) (2100-1600 ปีก่อนครสิ ต์ศกั ราช)- ราชวงศ์ซาง (商朝) (1600-1046 ปีก่อนคริสตศ์ กั ราช)- ราชวงศ์โจว (周朝) (1027-256 ปีกอ่ นครสิ ต์ศักราช)  ราชวงศ์โจวตะวนั ตก (西周) (1027-771 ปกี อ่ นครสิ ต์ศักราช)  ราชวงศโ์ จวตะวันออก (东周) (770-256 ปีก่อนคริสต์ศักราช)  ยุคชุนชิว (春秋) (770-476 ปกี ่อนครสิ ต์ศักราช)- ยุคเลยี ดก๊ก (战国七雄) 3. สมัยราชวงศแ์ ละจกั รวรรดิ- ราชวงศฉ์ นิ (秦朝) (221-207 ปีก่อนคริสตศ์ กั ราช)- ราชวงศฮ์ ่นั ตะวนั ตก (西汉) (202 ปกี อ่ นคริสต์ศักราช - ค.ศ. 8)- ราชวงศซ์ ิน (ค.ศ. 9-23)- ราชวงศฮ์ ัน่ ตะวันออก (东汉) (ค.ศ. 25-220)- ยุคสามก๊ก (三国) (ค.ศ. 220-280)- ราชวงศจ์ นิ้ ตะวันตก (西晋) (ค.ศ. 265-317)- ราชวงศ์จ้ินตะวันออก (东晋) (ค.ศ. 317-420)- 16 อาณาจักร (十六国) (ค.ศ. 304-439)- ราชวงศเ์ หนอื ใต้ (南北朝) (ค.ศ. 386-589)  ราชวงศ์เหนือ (北朝) (ค.ศ.386-581)  ราชวงศ์ใต้ (南朝) (ค.ศ.420-589)- ราชวงศ์สยุ (隋朝) (ค.ศ. 581-618)

~9~- ราชวงศ์ถงั (唐朝) (ค.ศ. 618-907)- ยคุ ห้าราชวงศส์ บิ อาณาจักร (五代十国) (ค.ศ. 907-960)- ราชวงศซ์ ง่ (宋朝) (ค.ศ. 960-1276)  ราชวงศ์ซ่งเหนือ (北宋) (ค.ศ.960-1127)  ราชวงศ์ซง่ ใต้ (南宋) (ค.ศ.1127-1276)- ราชวงศ์เหลยี ว (辽朝) (ค.ศ. 960-1276)- ราชวงศ์ซีเซยี (西夏朝) (ค.ศ. 960-1276)- ราชวงศ์จิน (金朝) (ค.ศ. 960-1276)- ราชวงศห์ ยวน (元朝) (ค.ศ. 1279-1368)- ราชวงศ์หมิง (明朝) (ค.ศ. 1368-1644)- ราชวงศ์ชิง (清朝) (ค.ศ. 1644-1912) 4. จนี ยุคใหม่- ยคุ สาธารณรฐั จีน (中国华民国) (ค.ศ. 1912-1949)- ยุคสาธารณรฐั ประชาชนจนี (中国民国共和国) (1949–ปัจจบุ ัน)

ยคุ กอ่ นราชวงศ์ (ประมาณ 5,000 ปกี อ่ น) ~10~ภาพ 2.1 ผานกู่ ประเทศจีนมีตานานอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือ ตานานสร้างโลกมนุษย์ของจีน ช่ือตานานว่า 盘古开天 ซ่ึงได้กล่าวถึง ยักษ์ตนหน่ึงนามว่า ผานกู่ 盘古 ได้เป็นสรา้ งโลกขึ้นมา ก่อนที่โลกจะกาเนดิ แมน่ า้ ภเู ขา ทะเล ตอนนน้ั ผานก่ไู ด้ลมื ตา หลังจากเวลาหลายหม่ืนปี เขาพบว่า รอบๆตัวของเขานั้นมืดมิดไม่มีแสงใดๆเลย ดังน้ัน ผานกู่จึงตัดสินใจถอนฟันของตนเองออกมาซี่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนให้มันเป็น ขวานขนาดใหญ่มหึมาและได้แรงท้ังหมดท่ีมียกขวานฝ่าโลกให้แยกออกจากกันเป็น สองซีก คือ ฝ่ังหนึ่งเปน็ ทอ้ งฟ้า และอกี ฝัง่ หนึง่ เป็นแผ่นดิน สว่ นที่เปน็ ทอ้ งฟ้าลอย ขึ้นไปเร่ือยๆ และส่วนที่เป็นแผ่นดินจะค่อยๆลดระดับลงอย่างต่อเน่ือง ผานกู่เองก็ เติบโตขนึ้ ทุกวนั จะโตราวๆวนั ละ 10 ฟุต หรือราวๆ 3 เมตรเม่อื รา่ งกายของผานกูเ่ ตบิ โตข้ึนเรอื่ ยๆ จงึ ทาให้ท้องฟ้าและแผน่ ดนิ หา่ งกันออกไปเร่อื ยๆ ผานกู่จึงตัดสินใจใช้ร่างกายของตัวเองและใชแ้ รงทัง้ หมดที่มีสรา้ งโลกขึ้นมา โดยเขาใช้มอื ท้ังสองขา้ งดันทอ้ งฟ้าข้ึนให้แยกออกห่างจากแผ่นดินตามความสูงของตนเองจนกระท่งั เขาก็ไดห้ มดแรงลงและลม้ ตาย แต่รา่ งกายของผานกู่น้นั ได้เปลย่ี นเปน็ สว่ นหนึ่งของโลก คอื ตาซ้ายเป็น ดวงอาทิตย์ตาขวาเป็น ดวงจันทร์ เหงื่อ เป็น ทะเลสาบ เลือดเป็น เม็ดฝนที่ไหลรวมกันเป็นแม่น้า ร่างกายและกระดูก เป็นภูเขา เส้นผมเป็น ท่งุ หญ้าและปา่ ไม้ ลมหายใจ เปน็ ลมและเมฆ ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของจีน เช่ือว่า อารยธรรมจีนก่อนเกิดราชวงศ์นั่น มีอยู่2แหล่งที่มาโดยตรง คืออารยธรรมแม่น้าเหลืองและอารยธรรมแม่น้าแยงซีเกียง ในช่วงเวลาน้ันมีชนเผ่าอยู่มากมายอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคหิน และค่อยๆพัฒนาการดารงชีวิตต่างๆ ทาให้ก่อเกิดเป็นสังคมแบบชนเผ่าข้ึนและได้เกิดมีผู้นาในการช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในสงั คมขณะน้ัน เช่อื วา่ กษัตรยิ อ์ งคแ์ รก คือ ฝูซี ซึ่งนิทานพ้ืนบ้านบางแห่ง ถือว่าเป็นเทพเจ้าผู้ให้กาเนิดชนชาติจีน ตราบจนเม่ือประมาณ 4600 ปีกอ่ น พระเจา้ หวงและพระเจา้ เหยยี น ทรงเปน็ ผู้นาท่ีมีช่อื เสียงมากท่ีสุดในขณะน้ัน และยังมีอีกชนเผ่าหนึ่ง คือจิ่วหลี ขณะนั้นจ่ิวหลีได้เข้าโจมตีชนเผ่าพระเจ้าเหยียน พระองค์จึงขอความร่วมมือจากชนเผ่าพระเจ้าหวง และได้ร่วมรบกับชนเผ่าจิ่วหลี จนได้รับชัยชนะ จากน้ันพระเจ้าหวงและพระเจ้าเหยียนก็ได้แย่งชิงอานาจกันเป็นหัวหน้าปกครองชนเผ่า สุดท้ายแล้วพระเจ้าหวงได้รบั ชัยชนะ ทาให้ชนเผา่ ท้ังสองชนเผ่า ได้มีการแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆด้วยกันและได้หลล่อหลอมร่วมกันเป็นชนชาติหัวเซ่ียในสมัยพระเจ้าหวงยังมีชนเผ่าท่ีมีช่ือเสียงอยู่ อีก 4 ชนเผ่า คือ จวนซู ตี้คู่ เหยา ซุ่น ถ้าหากรวมพระเจ้าหวง จึงกลายเป็นกลุ่มคนท่ถี ูกเรียกวา่ ห้ามหาราชันย์ 三皇五帝ในสมัยพระเจ้าซุ่นเกิดอุทกภัยคร้ังใหญ่ท่ีแม่น้าฮวงเหอ ทาให้ประชาชนเดือดร้อน พระเจ้าซุ่นจึงส่ังให้ต้าอวี่ไปแก้ไขปัญหาน้ีเขาใช้เวลาไป 13 ปีจึงแก้ไขได้สาเร็จและทาให้พระเจ้าซุ่นได้ทรงตัดสินใจให้ต้าอว่ีเป็นผู้สืบทอดต่อจากเขาและต่อมาต้าอว่ีก็ได้สถาปนาราชวงศเ์ ซี่ยข้ึนมาในปี 2100-1600 ปกี ่อนคริสต์ศกั ราช

~11~ ยคุ จนี โบราณ ราชวงศเ์ ซ่ีย (夏朝) (2100-1600 ปกี ่อนครสิ ต์ศกั ราช) ราชวงศ์เซ่ยี เปน็ ราชวงศแ์ รกในประวัติศาสตรจ์ นี มกี ษตั รยิ ์14ชวั่ 17องค์ กินเวลาประมาณ 500 ปี ศนู ยก์ ลางการปกครองของราชวงศเ์ ซี่ยอยู่ที่บรเิ วณภาคใตข้ องมณฑลซันซีและภาคตะวนั ตกของมณฑลเหอหนานในปจั จุบนั พระเจ้าอวี่ ผู้สถาปนาของราชวงศ์เซี่ยเป็นวีรบุรุษท่ีแก้ปัญหาแม่น้าล้นหลากและสร้างความสงบให้ประชาชน เล่ากันว่าเพราะเขาได้แก้ปัญหาแม่น้าเหลืองท่ีเคยเกิดอุทกภัยบ่อยคร้ังจนสาเร็จจึงเป็นที่ยกย่องสนับสนุนจากประชาชน ในท่ีสุดก็สถาปนาราชวงศ์เซ่ียขึ้น การสถาปนาราชวงศ์เซี่ยนั้นนับเป็นสัญลักษณ์ท่ีสังคมกรรมสิทธิ์ได้เข้ามา แทนท่ีสังคมดึกดาบรรพ์ที่ดาเนินมาเป็นเวลานาน ตั้งแตน่ ั้นเปน็ ตน้ มา จนี ก็ไดพ้ ัฒนาเขา้ สสู่ ังคมระบอบทาส ช่วงปลายของสมัยราชวงศเ์ ซีย่ การเมอื งมคี วามวนุ่ วาย ความขัดแยง้ ระหว่างชนช้นั นบั วนั รนุ แรงยิ่งขึ้น โดยเฉพาพระเจ้าเซย่ี เจ๊ยี ะกษัตริย์สุดท้ายของเซี่ยเม่ือขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ก็ไม่สนใจบริหารประเทศ เย่อหยิ่งฟุ่มเฟือยใช้ชีวิตเละเทะ ใช้เงินเป็นเบ้ียพระเจ้าเซ่ียเจ๊ียะเอาแต่เสวยน้าจัณฑ์สนุกสนานกับพระสนมคนโปรดชื่อเม่ยสี ไม่คานึงถึงความทุกข์ยากลาบากของประชาชน ถ้าขุนนางผู้ใหญ่ทูลทัดทาน พระองค์ก็ประหารขุนนางผู้ใหญ่เหล่านั้นเสีย ด้วยเหตุนี้ นครรัฐต่างๆในราชวงศ์เซี่ยก็พากันเป็นกบฏนครรัฐซังท่ีขึ้นกับราชวงศ์เซี่ยก็ถือโอกาสโจมตีเซ่ียจนทาให้เซ่ียแตกพ่ายพระเจ้าเซ่ียเจ๊ียะหนีออกจากเมืองหลวงในที่สุดก็สิ้นพระชนม์ที่เมืองหนานเฉา ราชวงศ์เซี่ยจึงสิ้นสุดลง ราชวงศซ์ าง (商朝) (1600-1046 ปกี อ่ นคริสตศ์ ักราช)ภาพ 2.2 ตัวอักษรสลัก ราชวงศ์ซาง สถาปนาข้ึนประมาณศตวรรษที่ 16 ก่อนคริสต์ศักราช สิ้นสุดลงเม่ือศตวรรษท่ี 11 บนกระดองเตา่ ก่อนคริสต์ศักราช กินเวลาประมาณ 600 ปี ช่วงแรกราชวงศ์ชางเคยย้ายเมืองหลวงหลายครั้ง ในท่ีสุดได้ต้ังเมืองหลวงข้ึนท่ีกรุงยิน (บริเวณเมืองอันหยางของมณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) พยานหลักฐานทางโบราณคดีพิสูจน์ได้ว่า ในช่วงราชวงศ์ชาง อารยธรรมจีนได้พัฒนาไปถึงระดับสูง พอสมควร สัญลักษณ์ท่ีสาคัญ คือ ตัวอักษรโบราณท่ีสลักไว้บนกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์และ วัฒนธรรมทองสมั ฤทธิ์ราชวงศ์ซางปกครองชนเผ่าต่างๆ ในเขตสองฝั่งลุ่มแม่น้าหวางเหอ แต่อานาจมีอยู่อย่างแท้จริงเฉพาะบริเวณรอบๆ เม่ืองหลวงเทา่ นัน้ กษัตรยิ ์ราชวงศ์ซางยงั ต้องทาสงครามกบั ชนเผา่ ตา่ งๆ อยู่ จงึ ต้องสะสมกาลงั ทหารให้เข้มแข็ง และสร้างระบบความเช่ือและพิธีกรรมทางศาสนามาสนับสนุนความชอบธรรมในการใช้อานาจปกครอง สังคมในสมัยราชวงศ์ซาง มีการแบ่งชนชั้นโดยใช้ฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นตัวกาหนด ชาวชางนับถือเทพเจ้าในธรรมชาติ บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ และเทพเจ้าแห่งสงครามปลายสมัยราชวงศ์ซาง ชนเผ่าท่ตี ้ังอย่ทู างตะวันตกของมณฑลฉ่านซี มีอานาจมากข้นึ และ ยกทัพเข้ามาโค่นล้มอานาจของราชวงศ์ซางพร้อมกับสถาปนาราชวงศโ์ จวขึ้น

ราชวงศ์โจว (周朝) (1027-256 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ~12~ ราชวงศ์โจว เป็นราชวงศ์ท่ีสามหลังจากราชวงศ์เซี่ยและราชวงศ์ซาง สถาปนาข้ึนประมาณปี 1027 ก่อนคริสต์ศักราช และถูกก๊กฉินโค่นในปี 256 ก่อนคริสต์ศักราช กินเวลานานกว่า 770 ปี แบ่งสมัยโดยยึดการย้ายเมืองหลวงของราชวงศ์โจว ช่วงแรกเปน็ ‘โจวตะวนั ตก’ ช่วงหลังเป็น ‘โจวตะวันออก’ โจวตะวันออกยังแบ่งได้อีกเป็น สมัยชุนชิวและจ้ันก๋ัว โจวตะวันตกเร่ิมต้ังแต่ประมาณปี 1027 กอ่ นครสิ ตศ์ ักราช สูญสิ้นลงในปี 771 กอ่ นคริสต์ศกั ราช กนิ เวลาประมาณ 257 ปี กษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์โจว คือพระเจ้าโจวอู่หวาง หลังจากได้ย้ายเมืองหลวงไปสู่เมืองเก๋า (อยู่แถบเมืองซีอันในปัจจุบัน) แล้ว ได้พาทหารพันธมิตรไปโจมตีราชวงศ์ชาง และสถาปนาราชวงศโ์ จวขึ้น เม่ือกษัตริย์องค์ท่ีสองโจวเฉิงหวางผู้เป็นโอรสของโจวอู่หวางขึ้นครองราชย์ เนื่องจากยังทรงพระเยาว์จึงไม่สามารถบริหารประเทศโจวกงผู้เป็นพระปิตุลาของโจวเฉิงหวางจึงเสด็จออกว่าราชการแทน เม่ือปรับปรุงกิจการภายในเสร็จแล้ว โจวกงก็ได้พาทหารไปโจมตีภาคตะวันตกเพ่ือปราบการกบฎ หลังจากนั้น โจวกงได้ใช้มาตรการสาคัญเสริมสร้างความมั่นคงต่างๆ ช่วงที่พระเจ้าโจวเฉิงหวางและพระเจ้าโจวคังหวางผู้เป็นโอรสของโจวเฉิงหวางครองราชย์ นกั ประวัติศาสตรจ์ นี เรียกกันวา่ “ช่วงเจรญิ รุ่งเรืองยคุ เฉิง-คงั ” ระบอบการเมอื งของราชวงศ์โจวมเี อกลกั ษณพ์ เิ ศษของตน สง่ิ ทส่ี าคญั มรี ะบบท่นี าสาธารณะ ระบบสบื ทอดอานาจ ระบบตัวเมอื งชานเมือง ระบบเซน่ ไหวแ้ ละดนตรีสาหรบั การเซน่ ไหว้➟ แนวความคดิ ด้านการปกครอง เช่ือเรอื่ งกษัตริย์เป็น “โอรสแห่งสวรรค์” สวรรคม์ อบอานาจใหม้ าปกครองมนษุ ย์ เรียกว่า“อาณตั ิแหง่ สวรรค์”➟ เร่มิ เตน้ ยุคศกั ดนิ าของจนี➟ เกิดลัทธขิ งจอ๊ื ทม่ี แี นวทาง ภาพ 2.3 เหลา่ นกั ปราชญท์ โี่ ดง่ ดังในราชวงศโ์ จว - เป็นแนวคิดแบบอนรุ กั ษ์นิยม- เน้นความสัมพนั ธแ์ ละการทาหนา้ ทขี่ องผูค้ นในสังคมระหว่างจักรพรรดิกบั ราษฎร บดิ ากับบตุ ร พี่ชายกับน้องชาย สามกี บั ภรรยาเพ่อื นกบั เพ่อื น- เน้นความกตัญญู เคารพผอู้ าวุโส ให้ความสาคญั กับครอบครัว- เน้นความสาคัญของการศกึ ษา➟ เกดิ ลัทธเิ ตา๋ โดยเลา่ จอื๊ ทีม่ แี นวทาง- เนน้ การดาเนนิ ชวี ติ ที่เรยี บงา่ ย ไม่ตอ้ งมรี ะเบยี บแบบแผนพธิ ีรีตองใดใด- เน้นการปรับตัวเข้าหาธรรมชาติ- ลัทธินีม้ อี ิทธพิ ลต่อศิลปนิ กวี และจติ กรจนี➟คาสอนทัง้ สองลัทธเิ ปน็ ทพ่ี ึ่งพาทางใจของผคู้ น ภาพ 2.4 เล่าจอื้

สมยั ราชวงศแ์ ละจกั รวรรดิ ~13~ราชวงศ์ฉนิ (秦朝) (221-206 ปกี ่อนคริสต์ศักราช)ราชวงศฉ์ นิ เปน็ ยคุ แห่งการรวมชาตจิ นี หลงั จากทแี่ ตกแยก ภาพ 2.5 ฉินซฮี ่องเต้เป็นก๊กเป็นเหล่า ในสมัยจ้านกั๊ว 战国 เม่ือรัฐฉินซึ่งอยู่ทางตะวันตกของจ้านก๊ัว ได้รวบรวมก๊กต่าง ๆ สาเร็จก็สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์องค์แรกของแผ่นดินโดยเรียกวา่ “ฉินซีฮอ่ งเต้”秦始皇 ในปี 221 กอ่ นครสิ ตก์ าลกษตั รยิ ์ไดป้ ฏิรปู การปกครองประเทศจีนอย่างขนานใหญ่ การรวมศูนย์อานาจโดยไมค่ านงึ ถงึ รัฐที่ถกู ปกครองการใช้รปู แบบตัวหนังสือระบบเงนิ ตรา ระบบกฏหมาย ระเบยี บงานในราชการ รวมถึงระบบปรัชญาแนวคิดเป็นไปในแบบเดียวกันหมด ฉะนั้นนักปราชญ์ที่แนวคิดตรงข้ามกันจึงถูกจับไปลงโทษหรือถกู ฆา่ ตาราของสานกั หยูหรอื ข่งจื่อถูกเผาท้ิงในด้านการทหาร กษัตริย์ฉินสร้างแนวปกกันพวกป่าเถื่อนจากทางเหนือโดยการสร้างกาแพงต่อเช่ือมกาแพงเดิมท่ีอยู่เดิม จากการก่อสร้างของรัฐต่าง ๆ สมัยจ้านก๊ัว การก่อสร้างนี้ทาให้กลายเป็นกาแพงขนาดยาวนับหม่ืนลี้ จึงเรียกกาแพงน้ีว่า “กาแพงหมื่นล้ี”万里长城 การกอ่ สร้างกาแพงต้องใชเ้ งินทองและแรงงานมหาศาล ผู้คนล้มตายจานวนมากขณะก่อสร้าง ความไม่พอใจจึงเกิดข้ึนทุกที่ ฉะนั้น ทันทีทีฉ่ ินสื่อฮอ๋ งส้ินลงในปี 210 ก่อนคริสตก์ าล ผู้คนท่ไี ม่พอใจเปน็ ทนุ เดิมอย่แู ล้วก็ลกุ ขน้ึ มาล้มล้างทนั ที รวมอายุของราชวงศ์ฉนิ แล้วไม่ถงึ 20 ปี แต่อย่างไรกต็ าม รูปแบบการปกครองกไ็ ดส้ บื ทอดสรู่ าชวงศ์สมัยตอ่ ๆ มาภาพ 2.6 เหลา่ ทหารในสสุ านฉินซฮี อ่ งเต้ ภาพ 2.7 กาแพงเมอื งจนี /กาแพงหมนื่ ล้ี

ราชวงศฮ์ ่นั ตะวนั ตก (西汉) (202 ปีก่อนคริสตศ์ กั ราช - ค.ศ. 8) ~14~ ราชวงศ์ฮ่ันตะวนั ออก (东汉) (ค.ศ. 25-220) ราชวงศ์ฮนั่ ช่วงเวลาตัง้ แตป่ ี 206 ก่อนคริสต์ศกั ราช จนถงึ ปีคริสต์ศักราช 8 เป็นสมัยราชวงศ์ฮ่ันตะวันตก จักรพรรดิฮั่งเกาจู่ ช่ือหลิวปัง สถาปนาราชวงศ์ ฮนั่ และตั้งเมอื งหลวงทก่ี รงุ ฉางอัน (เมืองซอี ันในปจั จบุ นั ) ช่วงเวลา 7 ปีท่ีจักรพรรดิฮ่ันเกาจู่ครองราชย์ ได้เสริมสร้างการปกครองรวมภาพ 2.8 เสน้ ทางการเดนิ ทางเสน้ ทางสายไหม ศูนย์อานาจรัฐ กาหนดนโยบายทางการเมืองท่ี “ผ่อนภาระหน้าท่ีประชาชน” จานวนหน่ึงเพอ่ื เสริมสร้างการปกครองของตนให้ม่ันคงช่วงเวลา 7 ปีที่จักรพรรดิฮั่นเกาจ่คู รองราชย์ ได้เสริมสรา้ งการปกครองรวมศูนย์อานาจรัฐ กาหนดนโยบายทางการเมืองท่ี“ผ่อนภาระหนา้ ที่ประชาชน” จานวนหนงึ่ เพ่ือเสริมสร้างการปกครองของตนให้มัน่ คง ในปี 159 ก่อนครสิ ต์ศักราช จักรพรรดิฮ่ันเกาจู่ถึงแก่สวรรคต จักรพรรดิฮ่ันฮุ่ยตี้รับช่วงตาแหน่งจักรพรรดิต่อ แต่ขณะนั้นอานาจตกอยู่ในมือของพระนางลว่ีจ้ือ พระมเหสีของจักรพรรดิฮั่นเกาจู่ พระมเหสลี ว่จี อื้ ได้ครองอานาจอย่นู าน 16 ปี นับเป็นผ้ปู กครองหญิงในประวัติศาสตร์จีนทมี่ เี พียงไมก่ ่คี น เนื่องจากการเมืองและเศรษฐกิจมีความม่ันคง หัตถกรรม การพาณิชย์ ศิลปะตลอดจนวิทยาศาสตร์ต่างพัฒนาไปอย่างมากได้มีบุกเบิกการแลกเปลี่ยนซ้ือขายในด้านต่างๆ ที่สาคัญ คือ การติดต่อกับต่างประเทศและการค้ากับประเทศเอเชียตะวันตกต่างๆด้วย “เสน้ ทางสายไหม” ซงึ่ มจี างเชยี นเป็นผูบ้ กุ เบกิ เสน้ ทางสายไหม ช่วงเวลาต้ังแต่คริสต์ศักราช 25 จนถึงคริสต์ศักราช 220 เป็นราชวงศ์ฮ่ันตะวันออก จักรพรรดิฮั่นกวางอู่ต้ี พระนามหลิวซ่ิวสถาปนาขึ้นในปีคริสต์ศักราช 25 นายหลิวซิ่วได้โจมตีจักรพรรดิหวางหมางจนแตกพ่าย ด้วยการสนับสนุนจากกองทหารลู่หลินซ่ึงเป็นกองทหารชาวนา และช่วงชิงตาแหน่งจักรพรรดิกลับคืน เปล่ียนช่ือราชวงศ์เป็นฮ่ันอีกครั้ง แต่ต้ังเมืองหลวงที่กรุงลั่วหยางในปีท่ีสองรัชกาลเจี้ยนอู่ จักรพรรดิกวางอู่ต้ีมีคาสั่งให้ปฏิรูปนโยบายเก่าของจักรพรรดิหวางหมาง ปรับปรุงระบอบการเมือง จัดตั้งตาแหนง่ ซ่งั ซู 6 คนแบ่งกันรบั ผิดชอบบริหารกิจการการเมือง เพื่อลดอานาจของเสนาบดีช้ันสูงสุดสามตาแหน่ง ได้แก่ ไทเว่ย ซือถูและซือคงให้น้อยลง “ยกเลิก ทาสหลวง” ตรวจและจัดสรรที่ดิน ทาให้ประชาชนอยู่อย่างมีเสถียรภาพ จนถึงกลางศตวรรษท่ี 1หลงั จากการปกครองประเทศของสามรชั กาลได้แก่ ฮั่นกวงอู่ตี้ ฮัน่ หมงิ ตีแ้ ละฮนั่ จางต้ตี ามลาดับ ราชวงศ์ฮ่ันตะวันออกก็ได้ฟ้ืนฟูความเข้มแข็งเกรียงไกรของฮ่นั ตะวนั ตกในอดีตขนึ้ เร่ือยๆ ชว่ งนค้ี นยคุ หลังเรียกว่า “ชว่ งเจริญรงุ่ เรือนยคุ กวงอู่” ➟ เป็นยคุ ทองดา้ นการค้าของจนี มีการค้าขายกบั อาณาจักรโรมัน อาหรบั และอนิ เดยี โดยเสน้ ทางการคา้ ทเ่ี รยี กวา่“เส้นทางสายไหม”➟ ลัทธิขงจื๊อถกู นามาใชเ้ ป็นหลกั ในการปกครองประเทศ➟ มีการสอบคัดเลอื กบุคคลเขา้ รบั ราชการ เรยี กว่า “จอหงวน”

ราชวงศจ์ ิ้นตะวันตก (西晋) (ค.ศ. 265-317) ~15~ ราชวงศจ์ ้นิ ตะวนั ออก (东晋) (ค.ศ. 317-420) ภาพ 2.9 ซอื หมา่ เหยียนราชวงศ์จ้ิน สถาปนาขึ้นโดยจักรพรรดิจ้ินหวู่ตี้ หรือ ซือหม่าเหยียน พระองค์ได้สานต่อภารกิจของปู่และบิดา คือ การพิชิตสามก๊ก ปราบสามก๊กได้ในปี ค.ศ. 280 และรวมแผ่นดินจีนเป็นหน่ึงเดียวได้สาเร็จ แต่ก็เป็นความสงบสุขเพียงชั่วระยะเวลาส้ันๆรเาทชา่ วนงศ้นั ์จนิ้ แบง่ เป็นสองช่วง คอื จนิ้ ตะวนั ตกและจิ้นตะวนั ออก ราชวงศ์จิ้นล่มสลายในปี ค.ศ. 420 และแตกออกเป็นราชวงศ์หลิวซ่ง เข้าสูย่ ุคราชวงศเ์ หนอื -ใต้ ราชวงศเ์ หนือใต้ (南北朝) (ค.ศ. 386-589) หลงั จากการลม่ สลายของราชวงศ์จ้ินตะวันตก (265 – 316) ภาคเหนือของจีนก็ตกอยู่ในภาวะจลาจลและสงครามชนเผ่าต่างๆแผ่นดนิ ดินถูกแบ่งออกเปน็ สองสว่ น โดยมีแม่นา้ แยงซเี กียงเปน็ เสน้ แบ่ง แตล่ ะสว่ นต่างมีราชวงศ์ต่างๆผลัดเปลี่ยนกันข้ึนมาปกครองจวบจนค.ศ. 386 หัวหน้าเผ่าทั่วป๋าเซียนเปยได้สถาปนาแคว้นเป่ยวุ่ยและตั้งนครหลวงท่ีเมืองผิงเฉิง (ปัจจุบันคือเมืองต้าถงในมณฑลซนั ซี) ยุติความวุ่นวายจากสงครามแย่งชงิ อานาจท่ีเกิดขนึ้ ทางภาคเหนอื ใน ค.ศ. 439 ยุคนถ้ี ือว่าเป็นยคุ ทม่ ีการรบราฆา่ ฟันกันวนุ่ วายทีส่ ดุ อียคุ หน่งึ ของประวัตศิ าสตร์จีน และในขณะเดยี วกัน กเ็ ปน็ ยคุ ทหี่ ลอมรวมวัฒนธรรมระหว่างจนี เหนอื และจีนใต้ครงั้ ใหญ่ด้วย ราชวงศ์สยุ (隋朝) (ค.ศ. 581-618) หลังจากได้ผ่านการต่อสู้แย่งชิงแผ่นดินกันมากว่า 270 ปี ในที่สุดหยางเจียนได้สถาปนาราชวงศ์สุย รวมแผ่นดินเข้าด้วยกันอีกครั้งหน่ึง แต่ความสงบสุขมีได้ไม่นาน เม่ือจักรพรรดิสุยหยางตี้ ผู้สืบราชบัลลังก์ต่อมาเต็มไปด้วยความลุ่มหลงมัวเมาในอานาจพร่าผลาญเงินทองในท้องพระคลังจนหมดสิ้น ใช้ทรัพยากรและแรงงานฝีมืออย่างสิ้นเปลือง ทาลายรากฐานท่ีสั่งสมมาจากคนรุ่นก่อน จุดไฟสงครามแย่งชิงอานาจข้ึนอีกคร้ัง”ปลายราชวงศ์เหนือใต้ หลังจากได้ผ่านการแบ่งแยกและสู้รบกันมากว่า 270 ปีราษฎรต่างก็มุ่งหวังการรวมแผ่นดินเป็นหน่ึงอีกครั้ง แต่ว่า ราชวงศ์เป่ยโจวทางเหนือและราชวงศ์เฉินทางตอนใต้ต่างไม่มีศักยภาพพอต่อเมอ่ื หยางเจียนเขา้ ยดึ อานาจทางการเมืองการปกครองของราชวงศ์เปย่ โจว สถาปนาราชวงศ์สุย ภารกิจการรวมแผ่นดินจึงตกเป็นของหยางเจยี นหรือสยุ เหวนิ ต้ี ราชวงศ์ถัง (唐朝) (ค.ศ. 618-907)ราชวงศถ์ ัง สถาปนาขึ้นโดย “จักรพรรดิถงั เกาจู่ หรือหล่ีเยวียน” หลังจากล่มราชวงศ์สุยได้สาเร็จและรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นแล้ว ก็เกิดการแย่งชิงตาแหน่งรัชทายาทขึ้นระหวา่ งโอรสหลี่เจี้ยนเฉิง หลี่ซ่ือหมิน และหลี่หยวนจี๋ หลี่ซ่ือหมินนั้น มีความดีความชอบ ภาพ 2.10 ถังเกาจู่เนม่อื างกจากรบชนะมาหลายคร้ัง ต่อมา ถังเกาจู่ก็สละราชสมบัติ หลี่ซือหมินน่ันได้ต้ังตนเองเป็นไท่ช่างหวง ยุคน้ีถือว่าเป็นยุคทองของประวตั ศิ าสตร์จีน โดยเฉพาะสมัยจักรพรรดิองค์ที่สองของราชวงศ์ คือ ถังไท่จง หลังจากราชวงศ์ถังล่มสลาย แผ่นดินจีนก็เข้าสู่ยุคความแตกแยกอีกครัง้ นน่ั คอื ยุคหา้ ราชวงศ์สบิ อาณาจกั ร (ค.ศ. 907-960)

ราชวงศซ์ ่ง (宋朝) (ค.ศ. 960-1276) ~16~ พระเจ้าซ่งไท่จู่ รวบรวมจีนเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองไคฟง (มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก มีความ เจริญรุ่งเรืองด้านศิลปวัฒนธรรม มีการจัดระเบียบขันที ทาให้ลดปัญหาจากกลุ่มขันที ลงไป มีความก้าวหนา้ ในการเดนิ เรือสาเภา รู้จักการใช้เข็มทิศ มีการประดิษฐ์ลูกคิด แท่นพิมพ์หนังสือ มีการรักษาโรคด้วยการฝังเข็มนักประวัติศาสตร์เรียกยุคแรกของ ราชวงศ์ว่า “ยุคซ่งเหนือ” กษัตริย์ท่ีครองราชย์ต่อจากพระเจ้าซ่งไท่จู่ เป็นต้นมาเป็น ระยะเวลาทีร่ าชวงศ์อ่อนแอ และมี เปาเจ้งิ (เปาบ้นุ จน้ิ ) เปน็ ขุนนางในยุคนี้ภาพ 2.11 ซง่ ไทจ่ ู่ จีนถูกรุกรานโดยชนเผ่าซีเซี่ย (บริเวณทิเบต) และพวกซีตาน (เมืองเหลียว) ซ่ึงเป็นชนกลุ่มน้อยทางตอนเหนือ จนต้องยอมทาสัญญาสงบศึก ต้องส่งเคร่ืองบรรณาการให้ ต่อมามีชนเผ่าจินบุกเข้าเมืองหลวง - (ค.ศ.1127) จับฮ่องเต้เป็นเชลยถึง 2 พระองค์ต่อมามีเช้ือพระวงศ์คนหนึ่งช่ือ “เจ้าโก้ว” ตั้งตนเป็นกษัตริย์ช่ือ “ซ่งเกาจงฮ่องเต้” ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ท่ีเมืองหลินอาน (หางโจว)นักประวัติศาสตรเ์ รียกยคุ นว้ี ่า “ยุคซง่ ใต”้ แต่ยงั ถูกเผ่าจินเข้ารกุ รานตลอดเวลาราชวงศ์ซง่ จงึ ร่วมมือกับพวกมองโกล เขา้ ปราบปรามเผา่ จนิ เผา่ ซี่เซ่ีย และเผ่าซีตาน แต่หลังจากนั้น กองทัพมองโกลกลับหันเข้ามาตีจีนถงึ กรุงปักกง่ิ หลังจากผู้นามองโกล (เจงกิสขา่ น) เสยี ชีวติ หลานปู่ชื่อ ฮปู เิ ล่ เปน็ ขา่ นคนตอ่ มาชอ่ื วา่ “กบุ ไลข่ า่ น” ยกกองทัพมองโกลเข้ายึดครองราชวงศ์ซ่งใต้ ด้วยความร่วมมือของขุนนางและทหารบางกลุ่มของราชวงศ์ซ่งใต้ กุบไล่ข่านจึงสถาปนาราชวงศ์หยวนปกครองจีนต่อมาราชวงศ์หยวน (元朝) (ค.ศ. 1279-1368)ภาพ 2.12 กบุ ไลขา่ น ราชวงศ์หยวน หรือท่ีเรียกในนามว่าต้าหยวน (大元)เป็นมหาอาณาจักรที่ถูก สถาปนาข้ึนโดยชนชาติมองโกลท่ีอาศัยอยู่บนที่ราบสูงทางตอนเหนือของประเทศจีน ฮ่องเต้องค์แรก คือ กุบไลข่าน หรือ หงวนสีโจ๊วฮ่องเต้ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกใน ประวตั ิศาสตร์ทีม่ ีชนกลมุ่ นอ้ ยสามารถเขา้ ยึดครองอานาจการปกครองทว่ั ทงั้ แผ่นดินจีน ได้ ชาวมองโกลทีเ่ ชี่ยวชาญด้านการสัประยทุ ธ์ ไม่เพยี งแตใ่ ช้กาลังทหารยึดครองเขตภาค กลางและพ้ืนท่ีทางตอนใตข้ องแมน่ ้าฉางเจียง (แยงซีเกียง) ของจีนเทา่ นน้ั แต่ยังได้แผ่ ขยายแสนยานุภาพควบคุมไปจนถึงเขตเอเชียตะวันตก กลางเป็นราชวงศ์ที่มีขอบเขต การปกครองที่กวา้ งใหญ่ทีส่ ดุ นบั ตัง้ แต่มปี ระวัติศาสตร์จนี เปน็ ตน้ มา

ราชวงศ์หมิง (明朝) (ค.ศ. 1368-1644) ~17~ ราชวงศ์หมิง สถาปนาโดยจักรพรรดิหมิงไท่จู่ หรือจูหยวนจาง ถูกยกย่องเป็น \"จักรพรรดิผู้มาจากชนช้ันชาวนา\" ที่ได้ครองแผ่นดินจีนท้ังหมดพระองค์แรกใน ประวัตศิ าสตรจ์ ีน ยุคนอี้ านาจการปกครองแผน่ ดินจนี ไดก้ ลับคืนสู่ชาวฮั่นอีกคร้ัง และราชวงศ์นี้ถือว่าเป็นราชวงศ์สุดท้ายท่ีปกครองโดยชาวฮั่น ทั้งยังเป็นยุคท่ีมี การติดตอ่ กับชาวยุโรปโดยตรงหลงั ยุคฟน้ื ฟูสิลปวิทยาการเปน็ คร้งั แรกอีกดว้ ย ภาพ 2.13 หมิงไท่จู่ราชวงศ์ชงิ (清朝) (ค.ศ. 1644-1912) ราชวงศืชิง สถาปนาโดยจักรพรรดิชิงไท่จง หรือหวงไท่จี๋ เป็นชาวแมนจู แต่สามารถยึด เมืองหลวงปักกิ่งได้ในสมัยต่อมาคือ สมัยจักรพรรดิซุ่นจ้ือ และได้ครองแผ่นดินจีน ท้ังหมดในสมัยจักรพรรดิคังซี ถือเป็นราชวงศ์ท่ีสองในประวัติศาสตร์จีนที่แผ่นดินจีน ทัง้ หมดต้องอยู่ภายใต้การกครองของชนกลุ่มน้อยและถือว่าเปเนราชวงศ์สุดท้ายของยุค ศักดินาด้วย ในยุคน้ีจีนได้รับผลกระทบจากลัทธิล่าอาณานิคมเป็นอย่างมาก ทาใหจ้ ีนได้รับความเสียหายอย่างนักในหลายๆด้านทั้งยังบ่ันทอนความเข้มแข็งราชสานัก อนั เป็นสาเหตุที่ทาให้ราชวงศช์ งิ ล่มสลายในเวลาตอ่ มาภาพ 2.14 ชิงไทจ่ ู่

จนี ยคุ ใหม่ ~18~ ยคุ สาธารณรัฐจีน (中国华民国) (ค.ศ. 1912-1949) เมื่อปี ค.ศ.1911 เกิดการปฏิวัติซินไฮ่ ซ่ึงเป็นการปฏิวัติเป็นสาธารณรัฐโดย ดร. ซุนยัดเซ็น ราชวงศ์ชิงถูกยึดอานาจในปีนั้นและใน ค.ศ.1912 ผู่อี๋ จักรพรรดิองค์สุดท้ายถูกบังคับให้สละราชสมบัติ ถือเป็นจุดอวสานของราชวงศ์ชิง และการปกครองระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชย์ของจนี ดร. ซนุ ยัดเซ็น เป็นผู้นาการเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณยาสิทธิราชย์ซึ่งปกครองด้วยสิทธิขาดของจกั รพรรดิ มาเปน็ ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มจี กั รพรรดเิ ปน็ ประมุขตามอารยะนิยม หลังจากซุนยัดเซ็นเสียชีวิต เป็นช่วงเวลาชิงอานาจระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย คือ เจียงไคเช็ค กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ นาโดย เหมาเจ๋อตุง ช่วงแรกเจียงไคเช็คเป็นฝ่ายชนะและทาการปฏิวัติได้ สาเร็จ สุดท้ายกลุ่มผู้นาพรรคก๊กมินตั๋งรวมตัวกันขับไล่ เจียงไคเช็คหนีไปยังเกาะไต้หวัน และ สถาปนาสาธารณรฐั จีนขึ้นแทน ภาพ 2.15 ซุนยดั เซ็น ยุคสาธารณรฐั ประชาชนจนี (中国民国共和国) (1949–ปัจจุบัน)เรมิ่ ต้ังแตว่ นั ท่ี 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 เมอื่ พรรคคอมมวิ นสิ ต์มชี ยั ชนะเหนอื พรรคกก๊ มินต๋ังในสงครามกลางเมืองจนี เหมา เจ๋อตงุประกาศจดั ตงั้ สาธารณรฐั ประชาชนจีน (PRC) ที่กรุงปักกิง่ บนจัตรุ ัสเทียนอันเหมินเพอื่ ปกครองจนี แผ่นดนิ ใหญ่ เหมา เจ๋อตุง (1949–1976) หลังสงครามภายในจนี และชยั ชนะเป็นของพรรคคอมมิวนสิ ตจ์ นี ของ เหมา เจ๋อตงุ พรรคก๊กมนิ ต๋ังกาลงั ของ เจียง ไคเช็กอพยพไปที่เกาะไต้หวัน ประตชู ยั แรกรวมตรวจ ระบบความเป็นเจ้าของกรรมสทิ ธ์ทิ ่ดี นิ และทีด่ นิ กว้างใหญ่ทาให้ดีขนึ้ จากระบบทดี่ นิ ศักดิ นาทเี่ จ้าของที่ดินของจนี เป็นเจ้าของกรรมสทิ ธ์ิของทด่ี นิ เพาะปลกู และ ชาวไร่ชาวนา คนทางานถกู เคลอื่ นย้ายกบั ระบบการจดั จาหน่ายทีเ่ ทา่ กันมากกว่าในความกรุณากว่า ม่ังมีต่อชาวไรช่ าวนา เหมาเน้นหนักวางบน การต่อสู้หอ้ งเรยี นและงานตามทฤษฎีและ ในปี 1953 เรม่ิ ตน้ การโฆษณาต่างๆเพ่ือปิดบังเจา้ ของทีด่ ินกอ่ นและนายทุนท้ังหลาย เม่อื เหมา เจ๋อตงุ ถงึ แกค่ วามตายและต่อมา เติ้ง เสีย่ วผงิ ก็ได้ขน้ึ มาเปน็ ผู้นาของ สาธารณรัฐประชาชนจนี ในปี 1980 ต่อจากเหมาเจอ๋ ตุงภาพ 2.16 ขณะทเ่ี หมาเจอ๋ ตุงไดป้ ระกาศจัดต้ังสาธารณรฐั ประชาชนจนี ทป่ี กั ก่งิ

~19~“กจิ กรรมการเรยี นรู้บทที่ 2”กจิ กรรม แผนผงั ความคิดรูปแบบต้นไม้ ชแ้ี จงใหผ้ เู้ รียนใช้บทเรยี นเร่อื ง ยคุ สมยั ประวัติศาสตรข์ องประเทศจีน ทาแผนผงั ตน้ ไม้ พร้อมตกแต่งใหส้ วยงาม โดยการจับฉลากสุ่มเลือกหัวข้อราชวงศ์ต่างๆ จัดทาลงในกระดาษ A4 หรือกระดาษร้อยปอร์นขนาดใดก็ได้ และแนะนาให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพิม่ เตมิ นอกเหนือในบทเรยี น ตัวอยา่ ง แผนผงั ความคดิ รูปแบบต้นไม้วธิ กี ารดาเนนิ กจิ กรรม1.ผู้สอนชแ้ี จ้งรายละเอียดกิจกรรมแก่ผเู้ รียนและให้ผู้เรยี นจบั สลากสมุ่ หวั ขอ้ ตา่ งๆ2.จากน้นั ก็ให้ผู้เรียนเริ่มทางานและแจ้งวันเวลาการกาหนดสง่ งานจดุ ประสงคข์ องกจิ กรรมเพื่อใหผ้ ู้เรยี นทบทวนบทเรียนและเขา้ ใจในบทเรยี นยง่ิ ขนึ้เพือ่ ให้ผู้เรียนไดค้ วามรูเ้ พิม่ เติมจากการศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเองเพื่อให้ผูเ้ รียนสามารถไดค้ วามรู้เพม่ิ เตมิ จากการศกึ ษาคน้ ควา้ จากนอกเหนือบทเรยี น

~20~第三课 中华人民共和国 บทที่ 3 อตั ลกั ษณข์ องประเทศจนี

~21~第三课 中华人民共和国บทที่ 3 อตั ลักษณข์ องประเทศ จนี中华人民共和国 (People’s Republic of China) หรอื สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีความหมาย ดังนี้中华 Zhōnghuá ประเทศจีน人民 Rénmín ประชาชน (ประชาชนท่ีอยู่ในสังคม สงั คมนยิ ม การรวมตวั ของชนช้ัน การรวมกลุ่มกันเป็นสังคม ฯลฯ)共和 Gònghé สาธารณรฐั国旗 ธงชาตจิ นี ธงชาติจีน ธงประจาชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีชื่อเรียกทั่วไปว่า ธงแดงหา้ ดาวภาพ 3.1 ธงชาติจีน 1.พื้นสแี ดง หมายถงึ สัญลกั ษณ์ของการปฏิวัตจิ นี 2.ดวงดาวสีเหลือง 5 ดวง ซึ่งเรียงกันคล้ายกับลักษณะแผนที่ประเทศจีน หมายถึง ความเป็นหน่ึงเดียวกันของชาวจีนท้ังประเทศ ภายใต้การนาของ พรรคคอมมวิ นิสต์แห่งชาติจนี 3.ดาวดวงใหญ่ หมายถึง ผู้นาแห่งกิจการงานท้ังปวง ได้แก่ พรรค คอมมวิ นสิ ตแ์ ห่งชาตจิ นี 4.ดาวดวงเล็ก 4 ดวง เปรียบเสมือน ชนชั้นท้ังส่ีในประเทศจีน ได้แก่ ชน ชั้นบัณฑิต ชนช้นั เกษตร ชนชั้นแรงงาน ชนชั้นพอ่ ค้า ในวันท่ี 1 ตุลาคม 1949 เป็นวันท่ีมีการประกาศสถาปนาสาธารณรัฐ ประชาชนจีน ณ จตุรัสเทียนอันเหมิน ได้มีการเชิญธงชาตินี้ขึ้นสู่ยอดเสา เป็นครงั้ แรก

ภาพ 3.2 ธงมงั กรเหลอื ง ~22~ ภาพ 3.3 ธงห้าสี ธงของราชวงศ์ชิง มีช่ือเรียกว่า \"ธงมังกรเหลือง\" เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสี เหลอื ง กลางธงมรี ูปมังกรห้าเลบ็ สีน้าเงิน บริเวณมมุ ธงบนด้านคันธงตรงเหนือ ปากมังกรมรี ปู ไข่มุกสีแดง ถอื กันวา่ ธงนี้ธงชาติจนี แบบแรกสดุ ในประวัติศาสตร์ โดยดดั แปลงจากธงสเี หลืองของกองทัพแปดกองธง ท้งั น้ี สเี หลอื งเป็นสีของ จักรพรรดิจนี ต้ังแต่สมยั โบราณ อนึ่งยงั เป็นสที ี่หมายถึงชนเผ่าแมนจูด้วย ส่วน มงั กรหา้ เล็บเปน็ สัญลกั ษณ์ของพระราชอานาจของจกั รพรรดิ ธงหา้ สี หรือเรยี กวา่ ธงหา้ เช้ือชาติใต้หน่ึงสหภาพ วันที่ 10 มกราคม ปี ค.ศ. 1912 ได้กาหนดให้ธงห้าสีเป็นสัญลักษณ์ของจีน ในตอนแรก ดร.ยุนยัดเซ็นได้เสนอให้ใช้ธง ตะวันฉายฟ้าใส แต่ได้รับมติว่าให้ใช้ ธงห้าสีแทน เพื่อให้เกียรติแก่เช้ือชาติในประเทศจีน แถบท้ัง ห้าสีแนวนอน แทนสัญลักษณข์ องกลมุ่ ชนชาตพิ นั ธหุ์ ลัก 5 กลุ่มของจีน คือ ชาวฮั่น (สีแดง) ชาวแมนจู (สีเหลอื ง) ชาวมองโกล (สีฟ้า) ชาวหยุ (สขี าว) ชาวทิเบต (สีดา)ภาพ 3.4 ธงตะวันฉายฟ้าใส ธงตะวันฉายฟ้าใส หรือเรยี กว่า ธงชาตสิ าธารณรัฐจนี เป็นสญั ลักษณ์ของสาธารณรัฐจีนซึง่ เปน็ ท่รี จู้ กั กนั ดตี งั้ แตส่ มยั ท่สี าธารณรัฐจีนยังอยู่ บนจีนแผ่นดินใหญ่ กระทั่งภายหลังได้ตั้งมั่นอยู่ที่เกาะไต้หวันนับแต่ พ.ศ. 2492 พรรคก๊กมินต๋ังได้เร่ิมใช้ธงดังกล่าวเป็นคร้ังแรกในจีนแผ่นดินใหญ่เม่ือ พ.ศ. 2460 และใชเ้ ปน็ ธงชาตสิ าธารณรฐั จนี อยา่ งเป็นทางการนบั ตงั้ แต่ พ.ศ. 2471 รัศมีท้ัง 12 แฉกของดวงอาทิตย์สีขาวหมายถึงเดือนทั้ง 12 เดือนและระบบการแบ่ง เวลาเปน็ 12 ช่วั โมงแบบจีน ซงึ่ 1 ช่วั โมงจนี เท่ากับ 2 ชว่ั โมงสากล ดังน้ัน 12 ช่ัวโมง จีนจึงเท่ากับ 24 ชั่วโมงสากล หรือเวลาใน 1 วัน ต่อมา ดร. ซุนยัดเซ็นได้เพิ่ม \"แผน่ ดินอดุ มสีแดง\" หรอื พ้นื สแี ดง เพ่ือหมายถึงเลือดของนักปฏิวัติผู้เสียสละตนเอง เพื่อโคน่ ล้มรัฐบาลราชวงศช์ ิงและสถาปนาสาธารณรัฐจีน นอกจากน้ันธงนี้ยังได้สือค วามหมายของหลักลทั ธิไตรราษฏร์ของ ดร. ซนุ ยตั เซ็นไว้ ดังนี้ สีนา้ เงนิ หมายถึง เสรีภาพ และหลกั ชาติพนั ธุน์ ยิ ม สีขาว หมายถงึ ความเสมอภาค และหลกั สทิ ธิมนุษยชนนยิ ม สีแดง หมายถึง ภราดรภาพ หลกั สาธารณนยิ ม

中华人民共和国国徽 ~23~ตราแผน่ ดนิ ของสาธารณรฐั ประชาชนจนีภาพ 3.5 ตราแผ่นดนิ ของประเทศจนี เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงภาพของประตูทางเข้าพระราชวังต้องห้ามท่ี จัตุรัสเทียนอันเหมิน ภายในวงกลมที่คล้ายพวงมาลาพ้ืนสีแดง เหนือประตดู ังกล่าวมีรูปดาว 5 ดวงซึ่งปรากฏอยู่บนธงชาติ หมายถึง ความสามัคคีของคนในชาติจากชนเช้ือชาติต่างๆ 5 เช้ือชาติหลักใน ประเทศจีน โดยนัยหน่ึงอาจหมายถึงชนชั้นท้ัง 5 ระดับตามทฤษฎี การปฏิวัติก็ได้[1] รอบขอบวงกลมมีรูปรวงข้าวโอบล้อมทั้งสองด้าน สะท้อนถึงปรัชญาการปฏิวัติทางเกษตรกรรม ส่วนที่ตรงกลางด้าน ล่างสุดของของตราเป็นรูปฟันเฟืองเป็นสัญลักษณ์แทนแรงงาน อุตสาหกรรม รูปเหลา่ นเ้ี ปน็ สที อง ตราสัญลักษณ์น้ีได้รับการออกแบบโดย คณาจารย์ภาควิชาโยธา มหาวิทยาลัยชิงหัว ภายใต้การนาของศาสตราจารย์เหลียงซือเฉิง สถาปนกิ ชื่อดังของจนี ที่ประชมุ สภาท่ปี รกึ ษาทางการเมืองของจีนได้ ให้การรับรองแบบของตราแผ่นดินเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2493 และประกาศใช้ครั้งแรกในวันท่ี 1 ตุลาคม ปีเดียวกัน พร้อม กบั เพลงชาตแิ ละธงชาติสาธารณรฐั ประชาชนจนี 人民币 สกลุ เงินของจนี ภาพ 3.6 ธนบัตรในปัจจุบนั ของประเทศจีนหน่วยเงนิ พ้นื ฐานของเหรนิ หมินป้ี คอื หยวน (yuán) โดยท่ัวไปจะเขียนโดยใชอ้ กั ษร 元 แตต่ ามแบบแผนแล้ว จะใช้ตัวอักษร 圆เพ่ือป้องกันการปลอมแปลง ในบางครั้งช่ือของเงินตรา (เหรินหมินปี้) ก็สับสนกับคาท่ีใช้เรียกหน่วยเงิน (หยวน). และในบางโอกาส หยวนก็ถกู เรยี กเป็น ดอลลาร์ และคาย่อ RMB¥ บางครง้ั กเ็ ขยี นเปน็ CN$1 หยวน แบ่งเปน็ 10 เจียว (角; jiǎo), 1 เจียว แบง่ เปน็ 10 เฟิน (分; fēn) ธนบัตรเหรนิ หมินปี้ที่มีมูลค่าสูงสุดคือ 100 หยวนส่วนธนบตั รที่มมี ูลคา่ เล็กที่สดุ คือ 1 เฟนิ n ในภาษาจีนกลาง มกั เรยี ก หยวน ว่า ไคว่ (块/塊; kuài) และเรียก เจียว ว่า เหมา (毛; máo)ในสาธารณรัฐประชาชนจีน มักจะเขียนราคาโดยมีสัญลักษณ์ ¥ ข้างหน้าราคา และมักจะมีการเขียนสัญลักษณ์ 元 หลังราคาเช่นกัน บ่อยคร้ังทจี่ ะเขยี นเลขจีนตามแบบแผนเพือ่ ปอ้ งกันการปลอมแปลงและการทาบญั ชีผิด

“กจิ กรรมการเรยี นรบู้ ทที่ 3” ~24~กจิ กรรม แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทเรยี น จ ง ต อ บ ค า ถ า ม ที่ ก า ห น ด ใ ห้ ดั ง ต่ อ ไ ป นี้ โ ด ย อ ธิ บ า ย พ อ สั ง เ ข ป จ า ก บ ท เ รี ย น เ ร่ื อ ง อั ต ลั ก ษ ณ์ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ จี น(เขยี นคาตอบลงในกระดาษรายงานหรือกระดาษ A4)1.คาวา่ “中华人民共和国” แปลวา่ อะไร และแต่คามีความหมายวา่ อย่างไรบ้าง?2.ธงชาติจนี หรอื ธงประจาชาติจีนในปจั จุบนั มีลกั ษณะอย่างไร และมคี วามหมายวา่ อยา่ งไรบ้าง?3. ลกั ษณะของธงเหลอื งมงั กร ธงห้าสแี ละธงตะวันฉายฟา้ ใส มีความหมายว่าอย่างไร?4.ตราแผ่นดินของจีน มีลักษณะและความหมายอยา่ งไรบา้ ง?5.สกลุ เงนิ ของจนี มอี ะไรบา้ ง แล้วเท่ากับกบ่ี าทของประเทศไทย?จดุ ประสงคข์ องกจิ กรรมเพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นได้ทบทวนบทเรียนหลังเรียน และสามารถทาให้ผู้เรยี นเขา้ ใจในบทเรยี นมายิง่ ข้ึนเพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นสามารถไดค้ วามรู้เพ่ิมเตมิ จากการศึกษาค้นควา้ จากนอกเหนอื บทเรียน

~25~第四课 汉字บทที่ 4 ตวั อกั ษรจนี

~26~第四课 汉字 บทที่ 4 ตวั อกั ษรจนีความเปน็ มาของตวั อกั ษรจนี ภาพ 4.1 อกั ษรเจย๋ี กเู่ หวนิ ตัวอักษรจีนเป็นตัวอักษรที่มีการใช้มาเป็นเวลานานที่สุด ใช้กันในพื้นที่กว้างขวางท่ีสุดและมีจานวนคนที่ใช้ก็มากท่ีสุดในโลกการสร้างและการใช้ตัวอักษรจีนไม่เพียงแต่ได้ทาให้วัฒนธรรมจีนพัฒนาไปเท่านั้น หากยังได้ส่งอิทธิพลอย่างลึกซ้ึงต่อการพัฒนาวัฒนธรรมโลกด้วย ในเขตพ้ืนทโ่ี บราณทีม่ ีประวัตยิ าวนานหา่ งจากปัจจบุ ันกว่าหกพันปี เช่น ซากสถานท่ีโบราณปั้นโพเป็นต้น ก็ได้ค้นพบเคร่ืองหมายขดี เขยี นมาก กวา่ 50ชนดิ และมีการเรียบเรยี งอย่างเป็นระเบียบ และมีกฎเกณฑ์ท่ีแน่นอน เครื่องหมายเหล่าน้ีมีลักษณะเป็นตัวอักษรแบบง่ายๆ นกั วิชาการเหน็ วา่ น่อี าจจะเปน็ รูปแบบข้ันต้นของตวั อกั ษรจนี ตัวอักษรจีนเริ่มกลายเป็นตัวอักษรที่มีระบบในสมัยราชวงศ์ซาง ศตวรรษท่ี16ก่อนคริสต์กาล นักโบราณคดีได้พิสูจน์ว่าระยะต้นของราชวงศ์ซาง อารยธรรมจีนได้พัฒนาไปถึงระดับที่ค่อนข้างสูงแล้ว ลักษณะพิเศษท่ีสาคัญประการหนึ่งก็คือ การปรากฎตัวอักษรเจี่ยกู่เหวิน ตัวอักษรแบบเจี่ยกู่เหวินเป็นตัวอักษรโบราณชนิดหน่ึงท่ีแกะสลักบนกระดองเต่าและกระดูกสัตว์ ในสมัยราชวงศ์ซาง กษัตรยิ ์ตอ้ งทาพธิ ีเสี่ยงทายก่อนจะทรงทาพระราชภารกิจใดๆ กระดองเตา่ และกระดูกสัตวก์ ็คืออุปกรณก์ ารเสย่ี งทายในสมัยนน้ั กอ่ นจะนาไปใช้ กระดองเต่าและกระดูกสตั วต์ ้องเอาไปแปรสภาพ ก่อนอื่น ตอ้ ง ขูดล้างเลือดและเนื้อที่เหลืออยู่บนกระดองเต่าและกระดูกสตั ว์ใหส้ ะอาด แล้วเล่อื ยและขัดใหเ้ รียบ ตอ่ จากนน้ั ใช้มีดหรอื อุปกรณอ์ ื่นๆเจาะลึกเข้าไปด้านในของกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์ รอยเว้าเหล่านี้เรียงตัวอย่างมีระเบียบ คนเส่ียงทาย คือพ่อมดจะแกะสลักช่ือของตน วันเวลาในการเสี่ยงทายและปัญหาท่ีต้องการถามลงบนกระดองเต่าหรือกระดูกสัตว์ แล้วใช้ไฟเผารอยลึกบนกระดองหรือกระดูก เม่ือได้รับความร้อนก็จะเกิดรอยร้าว ซึ่งเรียกว่า“เจ้า” พ่อมดก็อาศัยการวิเคราะห์ตามรอยแตกร้าวเหล่านี้ ในการเสี่ยงทาย พร้อมกับแกะสลักไว้บนกระดองหรือกระดูกว่าผลการเสี่ยงทายแม่นยาหรือไม่ เมื่อการเส่ียงทายเกิดผลเรียบร้อยแล้ว กระดองหรือกระดูกท่ีมีรอยแกะสลักเหล่าน้ีก็จะถูกเก็บไว้เป็นหลกั ฐานทางการ

ววิ ฒั นาการอกั ษรจนี ~27~อกั ษรเจยี๋ กเู่ หวนิ (甲骨文) หรือเรยี กวา่ “อักษรกระดองเต่า” เป็นอักษรที่มีการพัฒนามาจากอักษรภาพ แกะอักษร ด้วยมีดลงบนกระดูกสัตว์ หรือบนกระดองเต่า เหตุท่ีเรียกอักษรชนิดนี้ว่า “อักษรกระดอง ภาพ 4.2 เจี๋ยกเู่ หวิน เต่า” เน่ืองจากมีการพบอักษรชนิดนี้สลักบนกระดองเต่ามากที่สุดถึง 1 แสน6 หม่ืนชิ้น เนอื้ หาบนกระดองเตา่ เปน็ เนื้อหาเก่ียวกับการเสี่ยงทาย และคาทานาย รวมถึงชื่อผู้ทานาย และวัน เวลา ปีที่ทานาย หลังจากทาการจารึกแล้วจึงนาไปเผาไฟ ผู้ท่ีทาหน้าท่ีทานายจะ ทานายจากรอยราวที่ปรากฏ พบในสมัยราชวงศ์ซัง ( 商朝 ) อักษรกระดองเต่า เป็น อักษรพืน้ ฐานในการพฒั นาระบบอกั ษรภาษาจีนอกั ษรโลหะ หรอื อกั ษรจนิ เหวนิ (金文) อกั ษรโลหะ เป็นอักษรท่ใี ช้ในสมัยซางตอ่ เน่ืองถึงราชวงศ์โจว (1,100 – 771ปีก่อนคริ สตศักราช) มีชื่อเรียกอกี อยา่ งหน่งึ ว่า ‘จงต่งิ เหวิน’(钟鼎文)หมายถึงอักษรที่ หลอมลงบนภาชนะทองเหลืองหรือสาริด เน่ืองจากตัวแทนภาชนะสาริดในยุคน้ัน ไดแ้ ก่ ‘ต่งิ ’ซ่งึ เป็นภาชนะคล้ายกระถางมีสามขา ใช้แสดงสถานะทางสังคมของคนใน สมัยนนั้ และตัวแทนจากเคร่อื งดนตรีทที่ าจากโลหะ คอื ‘จง’ หรือระฆังภาพ 4.3 จงติง่ เหวินดังนั้นอักษรท่ีสลักหรือหลอมลงบนเคร่ืองใช้โลหะดังกล่าวจึงเรียกว่า ‘จงต่ิงเหวิน’ มีลักษณะพิเศษ คือ มีลายเส้นท่ีหนาหนักรอ่ งลายเสน้ ราบเรยี บท่ไี ดจ้ ากการหลอม ไม่ใชก่ ารสลกั ลงบนเน้ือโลหะ อักษรโลหะในสมัยหลังรัชสมัยเฉิงหวังและคังหวังแห่งราชวงศ์โจว จะมีความสง่างาม สะทอ้ นภาพลกั ษณท์ ่ีสขุ ุมเยือกเย็น เน้ือหาที่บันทึกด้วยอักษรโลหะ โดยมากเป็น คาส่ังการของชนช้ันผู้นา พิธีการบูชาบรรพบุรุษ บันทึกการทาสงคราม เป็นต้นมีการบันทึกการค้นพบอักษรโลหะตั้งแต่รัชสมัยฮั่นอู่ตี้ในราชวงศ์ฮ่ัน (116 ปีก่อนคริสตศักราช) บนภาชนะ ‘ติ่ง’ ที่ส่งเข้าวังหลวงดงั นน้ั จึงมกี ารศึกษาและการทาอรรถาธบิ ายจากปญั ญาชนในยคุ ต่อมา

อกั ษรตา้ จว้ น ( 大篆 ) ~28~ ภาพ 4.4 อกั ษรตา้ จ้วนอักษรต้าจ้วน มีลักษณะคล้ายอักษรภาพ ลักษณะเส้นจะใหญ่หรือหนากว่าอักษรเจ๋ียกู่เหวิน พบช่ือเรียกแตกต่างกันตามยุคสมัยดังนส้ี มยั ราชวงศโ์ จว (周朝) ผู้ประดิษฐช์ ่อื วา่ โจ้ว ( 籀) อกั ษรชนิดนีจ้ งึ เรียกว่า อกั ษรโจว้ ( 籀文 )สมยั ฉนิ สอื่ หวง ( 秦始皇 ) หลงั จากทาการรวมประเทศเป็นปึกแผ่น ทรงส่งั ให้หลี่ซอื ชาระอักษรจนี ประกาศใช้อักษรระบบเดียวกันทว่ั ประเทศเรยี กวา่ จ้วนซู ( 篆书/ 大篆)สมยั ราชวงศ์ซงั และราชวงศโ์ จว ชอ่ื เรยี กตามวัตถุจารึก จนิ เหวิน ( 金文 ) และ จงติง่ เหวนิ ( 钟鼎文 ) ยุคนเี้ ปน็ ยคุ สมั ฤทธิ์และโลหะ มักมีการจารกึ อกั ษรลงบนระฆังหรอื ภาชนะปรุงอาหารและใสอ่ าหารเครื่องด่มื รวมทั้งเหรียญเงินต่าง ๆ อกั ษรจว้ นเลก็ (小篆) จากสมัยชุนชิวจ้นั กว๋อจนถึงยุคการก่อต้ังราชวงศ์ฉิน (770 – 202 ปีก่อนคริสตศักราช) โครงสร้างของตัวอกั ษรจนี โดยมากยงั คงรักษารปู แบบเดมิ จากราชวงศ์โจว ตะวนั ตก ซ่ึง นอกจากอักษรโลหะแลว้ ยังมีอักษรรปู แบบตา่ ง ๆท่เี หมาะกับการบันทึกลงในวัสดุแต่ละ ชนดิ เชน่ อักษรที่ใชใ้ นการลงนามสตั ยาบนั รว่ มระหวา่ งแวน่ แควน้ ทีส่ ลกั ลงบนแผ่นหยก ก็ เรียกว่า หนังสือพันธมิตร หากสลักลงบนไม้ก็เรียกสาส์นไม้ หากสลักลงบนหินก็ เรียก ตวั หนังสือกลองหิน ฯลฯภาพ 4.5 อกั ษรจ้วนเลก็นอกจากนี้ ก่อนการรวมประเทศจีนบรรดาเจ้านครรัฐหรือแว่นแคว้นต่างก็มีตัวอักษรที่ใช้แตก ต่างกันไป ซึ่งส่วนหนึ่ง ได้แก่อักษรจ้วนใหญ่หรือต้าจ้วน (大篆)ซึ่งเป็นต้นแบบของเส่ียวจ้วนในเวลาต่อมา ภายหลังจากจ๋ินซีฮ่องเต้ได้รวมแผ่นดินจีนเข้าด้วยกันในปีค.ศ. 221 แล้ว ก็ทาการปฏิรูประบบตัวอักษรครั้งใหญ่ โดยการสร้างมาตรฐานรูปแบบตัวอักษรท่ีเป็นหน่ึงเดียวกันท่วั ประเทศ กลา่ วกันวา่ ภายใตก้ ารผลักดนั ของมหาเสนาบดหี ลซี่ ือ ไดม้ ีการนาเอาตวั อกั ษรด้งั เดิมของรัฐฉิน(อักษรจ้วน)มาปรับให้เรียบง่ายขึ้น จากนั้นเผยแพร่ออกไปทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ก็ยกเลิกอักษรที่มีลักษณะเฉพาะจากแว่นแคว้นอ่ืน ๆในยุคสมัยเดียวกันอกั ษรท่ผี ่านการปฏริ ูปนี้ รวมเรยี กวา่ อกั ษรเส่ียวจ้วนหรือจ้วนเล็ก (小篆)ถอื เปน็ อกั ษรทใ่ี ชท้ ั่วประเทศจนี เป็นคร้ังแรก

อกั ษรลซ่ี ู ( 隶书) ~29~ ในสมยั ราชวงศ์ฮ่ัน ( 汉朝 ) พบว่าอักษรเสี่ยวจ้วนมีความซับซ้อนยากในการเขียน จึงดัดแปลงเป็นอักษรลี่ซู มีลักษณะเริ่มเป็นอักษรส่ีเหลี่ยม มีเส้นขีดเขยี นทส่ี วยงาม บางครงั้ เรียกวา่ อักษรฮั่นลี่ ( 汉隶 ) ต่อมาอักษรล่ีซูนิยมใชเ้ ปน็ ตราประทับ เนือ่ งจากเป็นอักษรทซี่ บั ซอ้ น จึงยากแกก่ ารปลอมแปลง ภาพ 4.6 อักษรล่ซี ูอกั ษรขา่ ยซู (楷书)อักษรขา่ ยซู เป็นเส้นสัญลักษณ์ท่ีประกอบกันข้ึน ภายใต้กรอบส่ีเหลี่ยม เป็นการหลดุ พน้ จากรูปแบบอกั ษรภาพของตวั อกั ขระยคุ โบราณอยา่ งสิน้ เชิง อักษรข่ายซูมีต้นกาเนิดในยุคปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ภายหลังราชวงศ์วุ่ยจ้ิน(สามก๊ก) (คริสตศักราช 220 – 316) ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย จากการกา้ วเขา้ สู่ขอบเขตขัน้ ใหม่ของอักษรลีซ่ ู พัฒนาตามมาด้วย ภาพ 4.7 อกั ษรขา่ ยซูอักษรข่ายซู เฉ่าซู และสิงซู ก้าวพ้นจากข้อจากัดของลายเส้นที่มาจากการแกะสลัก เม่ือถึงยุคถัง (คริสตศักราช 618 – 907)จงึ ก้าวส่ยู คุ ทองของอกั ษรขา่ ยซอู ยา่ งแทจ้ ริง จวบจนปัจจุบัน อักษรขา่ ยซูยงั เป็นอักษรมาตรฐานของจนีอกั ษรเฉา่ ซู ( 草书 ) ช่วงต้นราชวงศ์ฮั่น มีการนาอักษรล่ีซูไปเขียนเป็นตัวหนังสือหวัด ทาให้เกิดตัวอักษรท่ีเรียกว่าอักษรหวดั ลซ่ี ู นอกจากน้อี กั ษรเฉ่าซู ยังมีพัฒนาการด้านการเขียนจากตัวส่ีเหลี่ยมไปยังตัวหวัดไม่เป็นเหลี่ยมหรือที่เรียกว่า การเขียนหวัดฉวัดเฉวียน ( 狂草 ) เขียนหวัดมาก (大草)เขียนหวัดน้อย ( 小草 ) นอกจากน้ียังมชี ื่อเรียกอีกมากมายตามลกั ษณะการเขยี น อกั ษรสงิ ซู ( 行书 ) ภาพ 4.8 อกั ษรเล่าซู ภาพ 4.9 อกั ษรสิงซูเปน็ รูปแบบตัวอักษรท่อี ยกู่ ่งึ กลางระหว่างอกั ษรข่ายซแู ละอักษรเฉ่าซู เกิดจากการเขยี นอกั ษรตวั บรรจงที่เขยี นอย่างหวดั หรอื อักษรตัวหวดั ท่ีเขียนอยา่ งบรรจง อาจกลา่ วได้วา่ เป็นตัวอกั ษรก่งึ ตวั หวัดและก่งึ บรรจง อักษรสิงซกู าเนดิ ข้นึ ในราวปลายราชวงศฮ์ ัน่ตะวันออก รวบรวมเอาปมเดน่ ของอักษรขา่ ยซูและเฉ่าซูเข้าด้วยกัน และยงั เปน็ อกั ษรที่เฟื่องฟใู นหม่กู วีนักปราชญแ์ ห่งราชวงศซ์ ง่ ( 宋朝 )

อกั ษรจนี ตวั เตม็ (繁体文字) ~30~ ภาพ 4.10 อักษรจนี ตวั เตม็ หลกั จากจ๋นิ ซฮี อ่ งเต้ รวบรวมแผ่นดนิ จีนเป็นปึกแผ่น ได้มีการรวบรวมและกาหนดแบบแผนการเขยี นท่ีชัดเจนเปน็ ระบบข้ึนสาหรับตวั อกั ษรแบบแผน เป็นการพฒั นาตัวอักษรอย่างตอ่ เนอื่ ง โดยเฉพาะสมยั ราชวงศฮ์ น่ั ( 汉代 ) ถัง ( 唐代 )และ ซ่ง ( 宋代 )ความซบั ซ้อนตวั อกั ษรดั่งเดมิ ( 繁体文字 ) ยังเป็นการแสดงถงึ ความอ่อนชอ้ ย วัฒนธรรม และความรุง่ เรืองในอดตี ของจีนอกั ษรจนี ตวั ยอ่ (简体文字阶段) อักษรจนี ย่อ คือ อกั ษรจีนตวั เต็มทถ่ี กู ลดจานวนขีดให้น้อยลง เพื่อประโยชน์และความ สะดวกในการเขียนและง่ายแก่การจา ววิ ฒั นาการอักษรยอ่ มีการพบลักษณะตัวอักษรย่อ ในวรรณกรรมเร่ือง “ซองก๋ัง” ( 水许传 ) เช่น 劉 >刘ภาพ 4.11 อกั ษรจนี ตวั ยอ่ หรือในสมัยไท่ผิงเทียนก๋ัว (太平天国 ) มีการใช้ในเอกสารหรือตราประทับ สมัยต่อมาลู่เฟ่ยขุย (陆费逵 ) ได้ปลุกกระแสการใช้อักษรย่อ จนกระท้ังปี 1934 มีการตพี มิ พห์ นังสือและพจนานกุ รมจีนย่อหลากรูปแบบ หลังจากสถาปนาสาธารณรัฐ ประชาชนจีน เหมาเจ๋อตุงออกนโยบายรณรงค์ใช้อักษรย่ออย่างจริงจัง โดยกาหนดให้ ใช้ในหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ และได้ประกาศใช้รูปแบบอักษรย่อเป็น ทางการเม่อื วนั ที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1956

“กจิ กรรมการเรยี นรบู้ ทที่ 4” ~31~กจิ กรรม แบง่ กลุ่มนาเสนอภายในคาบเรียนจัดกลุ่มผู้เรยี นเปน็ กล่มุ โดยใชบ้ ทเรยี นในหัวข้อตา่ งๆทเี่ กย่ี วข้องกับ วิวัฒนาการตัวอักษรจีน ซึ่งให้แต่ละกลุ่มทารูปแบบงานนาเสนอในลักษณะเป็น แผนผังความคิด อย่างใดก็ได้ตามความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนและแนะนาให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมระยะเวลาภายใน 1 ช่ัวโมงสง่ิ ทต่ี อ้ งเตรยี ม กระดาษชาร์จ , ปากกาเคมสี ีตา่ งๆวธิ กี ารดาเนนิ กจิ กรรม1.ผูส้ อนชแ้ี จง้ รายละเอียดกิจกรรมแก่ผูเ้ รียนและจัดกลุ่มผเู้ รยี นตามความเหมาะสม จานวน 10 กล่มุ2.จากน้ันใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ เลอื กตวั แทนเพ่อื มาจับสลากสุ่มหัวขอ้ ในการนาเสนอพร้อมนากระดาษชาร์จกับปากกาเคมใี ห้แกต่ ัวแทนกลมุ่3.เม่ือแต่ละกลุ่มไดห้ ัวขอ้ ท่ตี ้องนาเสนอเรียบรอ้ ยแลว้ ใหแ้ ต่ละเรมิ่ ทางานได้ ในระยะเวลาทไ่ี ด้กาหนด4.เมื่อครบระยะเวลากาหนดแลว้ ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอจดุ ประสงคข์ องกจิ กรรมเพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นทบทวนบทเรียนและเขา้ ใจในบทเรยี นย่งิ ขนึ้เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนเรียนรู้การทางานเปน็ กลมุ่เพือ่ ใหผ้ เู้ รยี นสามารถได้ความรู้เพิ่มเตมิ จากการศกึ ษาค้นคว้าจากนอกเหนือบทเรียน

~32~ 第五课 中国节日บทที่ 5 เทศกาลตา่ งๆของประเทศจนี

第五课 中国节日 ~33~บทท่ี 5 เทศกาลตา่ งๆของประเทศจนี 春节 เทศกาลตรุษจีนตรุษจีนเป็นหนึ่งในเทศกาลที่สาคัญท่ีสุดของชาวจีน ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามปฎิทินจีน (คล้ายกับวันสงกรานต์ของไทย) ชาวจีนทุกคนให้ความสาคัญกับวันน้ีอย่างมาก มีการหยุดงานเป็นเวลายาว โรงเรียนสถาบันการศึกษาปิดเทอม (ปิดเรยี นฤดูหนาว)ในช่วงนี้ เหลือเพียงแต่บางอาชีพท่ตี ้องทาหน้าที่พเิ ศษที่ไม่สามารถหยุดงานได้ ในวันตรุษจีนหน่วยงานห้างร้านต่างจะหยุดงานเป็นเวลา 3-4 วัน เพือ่ ตระเตรียมจดั งานปีใหมน่ ้ี ภาพ 5.1 สงิ่ ของมงคลในวันตรษุ จีนมกี ารทาความสะอาดบ้านเรือนผา่ นปีใหม่อยา่ งสะอาดสดใส ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ต่างเต็มไปด้วยผู้คนมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้แก่เด็กๆ ซ้ือของขวัญให้แก่ญาติสนิทมิตรสหาย ซ้ือบัตรอวยพรในโอกาสมงคล ในตลาดคราคล่าไปด้วยผู้คน ท่ีมาซื้อปลาเนอ้ื สัตว์ เปด็ ไก่ ฯลฯ ทกุ คนต่างดแู จ่มใสมีความสุข เดก็ ๆ สวมเส้อื ใหม่ ทานลูกกวาด ขนมหวาน เลน่ พลุประทดั อยา่ งร่ืนเรงิทม่ี าของวนั ตรษุ จนี เกิดจากการจัดขึ้น เพ่ือต้ังใจท่ีจะฉลองฤดูใบไม้ผลิ เน่ืองจากช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีนน้ัน ประเทศจีนปกคลุมไปด้วยหิมะ จึงไม่สามารถทาการเกษตรได้ เมื่อเข้าถงึ ฤดใู บไมผ้ ลิ จงึ จะสามารถเพาะปลูกพืชผักได้ตามปกติ ชาวจีนจึงกาหนดให้วันแรกของฤดูใบไม้ผลิตในแตล่ ะปเี ป็นวนั สาคัญท่เี รียกว่า \"วนั ตรุษจนี \"อาหารวนั ตรษุ จนีประเพณีและพิธีกรรมต่างๆ น้ันผูกไว้กับทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ อาหาร ไปจนถึงเส้ือผ้า อาหารค่านั้นประกอบด้วยอาหารทะเล และอาหารนง่ึ เช่นขนมจบี ซง่ึ แต่ละอย่างจะมคี วามหมายต่างๆกนั อาหารอันโอชะอย่างเช่นกงุ้ จะหมายถงึ ชวี ิตที่ร่งุ เรืองและความสุข เป๋าฮ้อืแห้งหมายถึงทุกสงิ่ ทกุ อย่างที่ดี สลัดปลาสดจะนามาซง่ึ โชคดี จไี้ ช่ (ผมเทวดา) สาร่ายดูคล้ายผมแต่กินได้จะนาความความร่ารวยมาให้และขนมต้ม (Jiaozi) หมายถงึ บรรพชนอวยพรเสอื้ ผา้ วนั ตรษุ จนี การใส่เสือ้ ผ้าสีแดงถือเป็นสีที่เป็นมงคล เป็นการไล่ปีศาจร้ายให้ออกไป และการใส่สีดา หรือขาวเป็นส่งิ ต้องหา้ ม ซึง่ สเี หล่านี้ถอื ว่าเปน็ สแี หง่ การไวท้ กุ ข์ หลังจากอาหารค่าทุกคน ในครอบครัวนั่งกันจนเช้าเพื่อรอวันใหม่โดยการเล่นเกม เล่นไพ่ หรือดูรายการทีวีท่ี เก่ียวกับวันตรุษจีน และในวันน้ีจะต้องไม่โกรธ ริษยา หรือ ไม่พอใจ เพ่ือเป็นสิริมงคลที่ดี สาหรบั ปีที่กาลังจะมาถึง ภาพ 5.2 การแต่งกายในวันตรษุ จีน

~34~ องั่ เปา สัญลักษณ์ที่ทุกคนทราบดีในวันตรุษจีนคือ อ่ังเปาสีแดง โดยมีธรรมเนียมคือ ผู้ใหญ่ท่ีผ่านการแต่งงานมาและทางานมีรายได้แล้ว จะมอบซองสีแดง(ท่ีมีเงินจานวนหนึ่งข้างใน) ให้กับเด็กๆที่มีอายุต่ากว่า หรือยังไม่ได้ทางาน พร้อมกล่าวสวัสดีปีใหม่ ซึ่งสีแดงของอ่ังเปาน้ันมีความหมายถึงโชคดี และเงินที่ใส่ในซองอ่งั เปานั้น มักจะมจี านวนเป็นเลขนาโชคของจนี นน่ั คอื เลข 8 ภาพ 5.3 การใหอ้ ั่งเปาในวนั ตรษุ จีนตรษุ จีนน้นั เปน็ ท่รี ู้จักและจาได้ทว่ั ไปว่าเป็น การฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และการฉลองเป็นเวลานานถึง 15 วัน การเตรียมงานฉลองส่วนใหญ่จะเริ่มหนึ่งเดือนก่อนวันตรุษจีน (คล้ายกับวัน คริสต์มาสของประเทศตะวันตก) เมื่อผู้คนเริ่มซื้อของขวัญ, ส่ิงต่างๆเพือ่ ประดับบ้านเรอื น, อาหารและเสื้อผา้ การทาความสะอาดคร้งั ใหญก่ เ็ ริ่มข้ึนในวันก่อนตรุษจีน บ้านเรือนจะถูกทาความสะอาดต้ังแต่บนลงล่าง หน้าบ้านยันท้ายบ้าน ซึ่งหมายถึงการกวาดเอาโชคร้าย ออกไป ประตูหน้าต่างมีการขัดสีฉวีวรรณทาสีใหม่ซ่ึงสีแดงเป็นสีนิยม ประตูหน้าต่างจะถกู ประดบั ประดาด้วยกระดาษที่มคี าอวยพรอย่างเชน่ อยดู่ ีมสี ขุ ร่ารวย และอายุยนื เปน็ ตน้15 วนั แหง่ การฉลองตรษุ จนีวันแรกของปีใหม่ เป็นการต้อนรับเทวดาแห่งสวรรค์และโลก หลายคนงดทานเนื้อ ในวันน้ีด้วยความเช่ือท่ีว่าจะเป็นการต่ออายุและนามาซ่ึงความสขุ ในชวี ติ ให้กับตนวนั ที่สอง ชาวจีนจะไหวบ้ รรพชนและเทวดาทั้งหลาย และจะดเี ปน็ พเิ ศษกับสุนัข เล้ียงดูให้ข้าวอาบ น้าให้แก่มัน ด้วยเชื่อว่า วันท่ีสองน้ีเป็นวันท่สี นุ ัขเกดิวนั ท่ีสามและส่ี เป็นวันของบตุ รเขยทจ่ี ะตอ้ งทาความเคารพแก่พอ่ ตาแมย่ ายของตนวันท่ีห้า เรียกว่า พูวู ซ่ึงวันน้ีทุกคนจะอยู่กับบ้านเพื่อต้อนรับการมาเยือน ของเทพเจ้าแห่งความร่ารวย ในวันนี้จะไม่มีใครไปเยี่ยมใครเพราะจะถอื วา่ เป็นการนาโชครา้ ย มาแก่ท้ังสองฝา่ ยวนั ที่หก ถึงสิบชาวจนี จะเดนิ ทางไปเยยี่ มเยยี นญาตพิ ีน่ ้องเพ่ือนฝูงของ ครอบครวั และไปวัดไปวาสวดมนตเ์ พอื่ ความรา่ รวยและความสุขวันท่ีเจ็ด ของตุรุษจีนเป็นวันที่ชาวนานาเอาผลผลิตของตนออกมาชาวนาเหล่านี้จะทาน้าท่ีทามาจากผักเจ็ดชนิดเพ่ือฉลองวันนี้วันทเ่ี จด็ ถอื เปน็ วนั เกิด ของมนษุ ย์ในวนั นอี้ าหารจะเปน็ หมี่ซว่ั กนิ เพ่ือชีวิตทย่ี าวนานและปลาดิบเพื่อความสาเรจ็วันท่ีแปด ชาวฟูเจียน จะมีการทานอาหารร่วมกันกับครอบครอบอีกครั้ง และเม่ือถึงเวลาเท่ียงคืนทุกคนจะสวดมนต์ของพรจากเทยี นกง เทพแห่งสวรรค์วนั ทเ่ี กา้ จะสวดมนต์ไหวแ้ ละถวายอาหารแก่ เง็กเซยี นฮ่องเต้วันท่ีสิบถงึ วันที่สิบสอง เปน็ วนั ของเพื่อนและญาตๆิ ซ่ึงควรเช้อื เชิญมาทานอาหารเย็น และหลงั จากทที่ านอาหารทีอ่ ุดมไปดว้ ยความมันวนั ทีส่ ิบสาม ถอื เปน็ วนั ทีเ่ ราควรทานขา้ วธรรมดากบั ผกั ดองกมิ กิ ถอื เปน็ การชาระล้างรา่ งกายวนั ที่สบิ ส่ี ความเป็นวนั ท่ีเตรียมงานฉลองโคมไฟซ่งึ จะมขี นึ้ ในคนื ของวนั ทีส่ บิ ห้าแหง่ การฉลองตรษุ จนี

~35~元宵节 เทศกาลโคมไฟเทศกาลโคมไฟ หรือว่า วันหยวนเซียว (元宵節) คือวันท่ี 15 ของเดือน1 ตามปฏิทินจันทรคติ หรือที่เรียกกันว่า ชูสืออู่ นั่นเอง คาว่า 元 หยวนมคี วามหมายวา่ แรก สว่ น 宵 เซยี ว แปลวา่ กลางคืน ภาพ 5.3 เทศกาลโคมไฟในประเทศจนีจงึ ใชเ้ รยี กคนื ที่พระจนั ทร์เต็มดวงคร้ังแรกในรอบปีหลังผ่านพ้นตรุษจีน คล้ายกับเป็นวันตบท้ายเทศกาลตรุษจีนแบบแฮปป้ีเอนด้ิง ซ่ึงในปีนี้ ตรงกับวันท่ี 12 ก.พ. 2549 สาหรับคนื สาคัญน้ี มีประเพณวี ่า ชาวจีนจะต้องรับประทานบัวลอยกันในครอบครัวและออกไปชมโคมไฟที่จะนามาประดบั ประดากนั อย่างสวยงาม ดังน้ัน จงึ มีการเรียกเทศกาลน้ีอีกอย่างว่า เทศกาลโคมไฟ (燈節) ประเพณกี ารชมโคมไฟน้ี เรม่ิ ตน้ ขนึ้ เมื่อสองพนั กว่าปกี ่อนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก จนมาถึงราชวงศ์ถังประเพณีนี้ย่ิงมีความพิถพี ถิ ันมากขนึ้ ภายในพระราชวังหรอื ตามท้องถนน ทุกหนทุกแหง่ ล้วนมีการแขวนโคมไฟ และยังพฒั นาไปเป็นตึกโคมไฟ ต้นไม้โคมไฟหรือวงลอ้ โคมไฟ เปน็ ต้นวันหยวนเซียว ได้รับการสืบทอดเรื่อยมา จนกระทั่งในราชวงศ์ซ่งที่ยิ่งให้ความสาคัญกับเทศกาลโคมไฟนี้ และกิจกรรมต่างๆในเทศกาลดังกล่าวก็ยง่ิ คกึ คกั รวมทั้งมีการฉลองติดต่อกันถึง 5 วัน นอกจากน้ี รูปแบบของโคมไฟท่ีประดับประดาก็ยิ่งหลายหลากมากข้ึนด้วย สาหรับในราชวงศ์หมิง มีการขยายระยะเวลาในฉลองประเพณีโคมไฟน้ีออกไป ยาวนานถึง 10 วัน และเป็นการชมโคมท่ียาวท่ีสุดของจีน ขณะทเี่ มื่อมาถงึ ราชวงศ์ชิง ที่แม้ว่าประเพณีดังกล่าวได้ลดลงเหลือเพียง 3วัน ก็ตาม แต่ความยิ่งใหญ่ตระการตากลับไมไ่ ดล้ ดนอ้ ยลงตามไปด้วยเลย ในวันเทศกาลสาคัญต่างๆ ของชาวจีนนั้น มักจะมีอาหารประจาเทศกาล หรือก็คืออาหารสิริ มงคลนัน่ เอง ซงึ่ สิ่งท่ีขาดไมไ่ ด้สาหรับเทศกาลโคมไฟนี้ ก็คือ การรับประทานถังหยวน หรือว่า บัวลอย เพียงแต่ว่าบวั ลอยที่ว่านีไ้ ม่มไี ข่หวาน ดงั ท่ีคนุ้ ตาและคุ้นปากกนั บวั ลอย หรือวา่ ถงั หยวน ทาจากแปง้ ขา้ วเจา้ ภายในมีทง้ั ไส้หวานและไส้เค็ม ป้ันเป็นลูกกลมๆ แล้วนาไปต้มหรือนาไปทอด ในยุคแรกนั้น ชาวจีนเรียกขนมนี้ว่า ฝูหยวนจึ (浮圓子) ต่อมา ถูกเรียกวา่ ถังถวน (湯糰) หรือวา่ ถังหยวน (湯圓) โดยคาว่าถวนหรอื หยวนนั้นภาพ 5.4 ถงั หยวนออกเสียงใกล้เคยี งกัน อีกท้งั ยงั มคี วามหมายท่ีดีและเปน็ สิรมิ งคลอีกดว้ ย เน่อื งเพราะ ถังหยวนหรือวา่ ถงั ถวนน้ี เป็นตวั แทนของคาว่าถวนถวนหยวนหยวน (團團圓圓) ซึ่งหมายถึง การอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันของคนในครอบครัว นอกจากนี้ ยังหมายถึง หยวนหมา่ น (圓滿) ท่แี ปลวา่ สมบรู ณ์พูนสขุ น่ันเอง

~36~ 端午节 เทศกาลไหว้บ๊ะจ่างภาพ 5.5 บะจ่าง เทศกาล วันไหว้ขนมจ่าง ( บะจ่าง ) หรือ เทศกาลตวนอู่เจี๋ย หรือ เทศกาลตวงโหงว เปน็ เทศกาลทีส่ ืบทอดกันมาแต่โบราณของประเทศจีน ตรงกับวันท่ี 5 เดือน 5 ตามปฏิทินทางจันทรคติ หรือ “โหงวเหว่ยโจ่ว” เปน็ การระลึกถึงวันท่ี คุกง้วน หรือ ชีหยวน หรือ จูหยวน ( 340-278 ปกี ่อนคริสต์ศักราช ) กวผี รู้ กั ชาตแิ หง่ รัฐฉู่นอกจากน้ีในประเทศจนี บรเิ วณแม่นา้ ฉางเจียง ( แยงซเี กียง ) , ฮ่องกง, ไตห้ วัน, มาเกา๊ ยงั มีการละเล่น แขง่ เรือมังกร จัดอย่างยิ่งใหญ่ในวันนด้ี ้วย ทางรฐั บาลจนี ยังกาหนดใหว้ นั ขนึ้ 5 คา่ เดอื น 5 นเ้ี ปน็ วนั กวีจีน อีกด้วย เนื่องจากชหี ยวน นับเป็นอกี ผูห้ นง่ึ ท่ีเปน็ กวคี นสาคัญของจนีตามตานานเล่าวา่ ชีหยวนเป็นขนุ นางท่มี ีความซ่ือสัตย์ ยึดถือคุณธรรม กล้าพูดกล้าทา ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ต่อมาถูกเหล่าขุนนางกังฉินกลั่นแกล้งจนถูกปลดตาแหน่ง และเนรเทศออกจากแควน้ ฉู่ รัฐฉนิ จงึ ถือโอกาสเข้าโจมตรี ัฐฉจู่ นล่มสลาย ชหี ยวนมใี จรกั ชาติแต่ไม่อาจทาส่ิงใดได้ จึงกระโดดแม่น้าเปาะล่อกัง ( บางตาราว่าเป็นแม่น้าแยงซีเกียง ) ตายในวันข้ึน 5 ค่า เดือน 5 น้ันเอง ชาวบ้านที่รู้เรื่องการตายของชีหยวน ระลึกถึงความดีจึงได้ออกเรอื เพอื่ ตามหาศพ ในขณะทค่ี ้นหาพวกเขากเ็ ตรียมข้าวปลาอาหารไปโปรยลงแมน่ า้ ดว้ ย ภาพ 5.6 ชีหยวนนัยว่าเพื่อล่อให้สัตว์น้ามากิน จะได้ไม่ไปกัดกินซากศพของชีหยวน หลังจากนั้นทุกปีเม่ือครบรอบวันตาย ชาวบ้านจะนาเอาอาหารไปโปรยลงแม่น้าเปาะล่อกัง เมื่อทามาได้สองปี ก็มีชาวบ้านผู้หน่ึงฝันเห็นชีหยวนท่ีมาในชุดอันสวยงาม กล่าวขอบคุณเหล่าชาวบ้านที่นาเอาอาหารไปโปรยใหเ้ พ่อื เซ่นไหว้ แตเ่ ขาบอกว่าอาหารถูกเหล่าสตั วน์ ้ากนิ เสียจนหมดเน่ืองจากบริเวณน้ันมสี ตั วน์ ้าอาศัยอยู่มากมาย ชีหยวนจงึ แนะนาให้นาอาหารเหล่านนั้ หอ่ ดว้ ยใบไผ่ หรอื ใบจากก่อนนาไปโยนลงน้า ในปีตอ่ มาชาวบ้านตา่ งก็ทาตามท่ีชีหยวนแนะนา ชีหยวนก็ได้มาเข้าฝันชาวบ้านอีกว่าได้กินมากหน่อย แต่ก็ยังคงโดนสัตว์น้าแย่งไปกินได้ชาวบา้ นต้องการใหช้ ีหยวนได้กินอาหารท่พี วกเขาเซ่นใหอ้ ย่างอิ่มหนาสาราญจงึ ได้ถามชีหยวนว่าควรทาเช่นไรดี จึงได้คาแนะนาว่าเวลาทจี่ ะนาอาหารไปโยนลงแม่น้า ใหต้ กแตง่ เรอื เปน็ รูปมงั กรไป เมื่อสตั วน์ า้ ท้ังหลายได้เหน็ ก็จะนึกวา่ เป็นเครือ่ งเซน่ ของพญามงั กร จะไดไ้ ม่กลา้ เข้ามากนิ ประเพณกี ารแข่งเรอื มังกร และประเพณีการไหวข้ นมจ้าง ( บะ๊ จ่าง ) จึงเกดิ ข้ึนด้วยประการฉะนี้เทศกาลของการไหว้บะจ่าง คนจีนจะไหว้ในตอนเช้า โดยไหว้ด้วยธูป 3 ดอก หรือ 5 ดอก การไหว้ด้วยธูป 5 ดอก เพ่ือระลึกถึงครูบาอาจารย์ พ่อแม่ และส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ จะเข้าหลัก 5 ธาตุ หรือ โหงวเฮ้ง ของจีน ประกอบด้วย ธาตุดิน ทอง น้า ไม้ และไฟ ซึ่งมีส่วนเก่ยี วกับวิถชี ีวิตโดยตรง

~37~中秋节 เทศกาลไหวพ้ ระจนั ทร์เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ เป็นเทศกาลท่ีมีความสาคัญสาหรับคนจีนมากเป็นอันดับสองรองจากเทศกาลตรุษจีน ซึ่งตรงกับวันข้ึน 15 ค่าเดือน8 ของทุกปี โดยจะตรงกับเดือนกันยายน หรือตุลาคม อยู่ในช่วงกลางฤดใู บไมร้ ่วง ชาวจนี จึงเรียกว่า จงชิว แปลว่า กลางฤดใู บไม้ร่วง ภาพ 5.7 ขนมไหวพ้ ระจันทร์เปน็ ประเพณที ่ชี าวจนี ถอื ปฏิบัตสิ ืบตอ่ กนั มานบั พนั ปี ซ่งึ มตี านานเลา่ ขานเกยี่ วกับวันไหว้พระจันทร์ต่างๆ มากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของ เทพธดิ าฉางเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ และ กระตา่ ยบนดวงจันทร์ ตานานเทพธดิ าฉางเออ๋ เหนิ ส่ดู วงจนั ทร์ มเี ร่ืองเลา่ ขานกนั วา่ เมือ่ ครั้งสมัยกอ่ นโบราณกาลนัน้ โลกของเรามีดวงอาทิตย์อยู่ ถึงสิบดวง ทาให้โลกมนุษย์เกดิ ภยั พิบตั ิไปทั่ว แผ่นดินรอ้ นระอุ นา้ เหือดแห้ง ผู้คนไม่มีที่หลบซ่อนอาศัย ต่อมาได้ปรากฏวีรบุรุษนามว่า โฮ่วอ้ีเป็นผู้ท่ีมีฝีมือในการยิงธนูได้แม่นยาอย่างมาก โดยสามารถยิงธนูขึ้นสู่ฟ้าเพียงดอกเดียว ถูกดวงอาทิตย์ถึงเก้าดวง ทาให้เหลือดวงอาทิตย์อยู่เพียงดวงเดียว เป็นการขจัดความทุกข์ให้กับประชาชนทั่วไป จึงได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์ แต่เมื่อโฮ่วอี้ได้ขึ้นเป็นกษัตรยิ ์ ลุ่มหลงในสุรานารี อานาจ ฆา่ ฟนั ผคู้ นตามอาเภอใจ ทาให้ราษฎรโกรธแคน้ ชงิ ชังเขาเป็นทส่ี ดุ เมื่อโฮ่วอี้รู้ตัว ดังนั้นจึงเดินทางไปท่ภี เู ขาคุนหลุน เพ่ือขอยาอายุวฒั นะจากเจา้ แม่หวงั หมู่มากนิ แต่ ฉางเออ๋ ผเู้ ป็นภรรยากลัววา่ ถ้าสามขี องนางมีอายุยืนนาน อาจจะนาพาเอาความเดือดร้อนมาสู่ประชาชนเป็นแน่แท้ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจแอบขโมยยาอายุวัฒนะนั้นมากินเสียเอง เมื่อกินเข้าไปแล้วรา่ งของฉางเออ๋ ก็เบาหวิว และลอยขึน้ ไปสูด่ วงจันทร์ นับแตน่ ัน้ มา บนดวงจันทร์ก็ปรากฏภาพเทพธดิ า ทเี่ ช่ือกันว่าเป็นฉางเออ๋ น้ีเอง ตานานกระต่ายบนดวงจันทร์ ตามตานานกล่าวว่า มีอยู่ปีหนึ่งใน เมอื งปกั ก่ิงเกดิ โรคอหวิ าระบาดหนกั เมื่อเทพธิดาฉางเอ๋อ ซึ่งอยู่ บนดวงจันทร์ได้มองลงมาเห็น ก็ทาให้รู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมาก จงึ ไดส้ ง่ กระต่ายหยกข้างกายที่ปกตติ ายาอยู่บนดวงจันทร์ ให้ลง มารักษาโรคชาวบ้าน กระต่ายหยกแปลงกายเป็นหญิงสาวไป รักษาผ้คู นหายจากโรค ชาวบ้านรู้สึกซาบซ้ึงใจในความช่วยเหลือ จึงไดต้ อบแทนด้วยการใหส้ ิ่งของ แต่กระต่ายหยกก็ไม่ยอมรับส่ิงภาพ 5.8 ฉางเออ๋ ใดเลย เพยี งแคข่ อยมื ชุดชาวบ้านใสเ่ ทา่ นั้นไปถงึ ไหนกจ็ ะเปลย่ี นชดุ ไปเรอื่ ย บางทกี ็เห็นแต่งกายเปน็ คนขายน้ามัน บ้างก็เป็นหมอดูดวง บ้างแต่งกายเป็นชาย บ้างแต่งเป็นหญิงและเพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น กระต่ายหยกจะข่ีม้าบ้าง กวางบ้าง สิงโตบ้าง หลังจากกาจัดโรคภัยให้ชาวเมืองเสร็จเรยี บรอ้ ย กระต่ายหยกก็กลับขึน้ ไปยงั ดวงจนั ทร์ นบั แต่นั้นมาชาวบ้านจึงไดก้ ราบไหวบ้ ชู าเทพเจ้ากระตา่ ยในวนั ไหว้พระจนั ทร์ดว้ ย

~38~ ภาพ 5.9 ขนมไหวพ้ ระจนั ทร์ วันไหวพ้ ระจนั ทร์ เปน็ วนั ท่พี ระจนั ทรส์ ่องแสงงดงามทสี่ ุด และเต็มดวงที่สุด ชาวจีนจึงให้พระจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของความสวยงามเป็นส่ือกลางของการคิดถึงซึ่งกันและกัน เมื่อคนในครอบครัวจากบ้านเกิดไปไกล เม่ือคิดถึงครอบครัวก็ให้แหงนมองดวงจันทร์ส่งความรู้สึกที่ดีและความคิดถึงให้กันผ่านดวงจันทร์ นอกจากนี้ ยังถือได้ว่า วันไหว้พระจันทร์ เป็นวันที่คนในครอบครัวจะได้แสดงความสามัคคกี ัน และได้ชมดวงจนั ทรพ์ รอ้ มหน้ากนั จงึ กล่าวได้ว่าวนั ไหว้พระจันทร์ เปน็ วนั แหง่ การอยู่พร้อมหนา้ ของครอบครัว ภาพ 5.10 พธิ ไี หว้พระจันทร์ประเพณีการไหวพ้ ระจันทร์ จะเรมิ่ ตน้ ตอนหวั ค่าซึ่งดวงจันทร์เริ่มปรากฏบนท้องฟา้ พิธกี ารจะดาเนนิ ต่อไปจนถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม บางบ้านอาจจะไหว้พระจันทร์ที่ลานหน้าบ้าน ดาดฟ้า โดยมีการต้ังโต๊ะ ทาซุ้มต้นอ้อย มีธูปเทียน กระดาษเงินกระดาษทองที่พับเป็นเงินตราจีน โคมไฟ และสิ่งของเซ่นไหว้ หลังเสร็จพิธีทุกคนในครอบครัวจะตั้งวงแบ่งกันกินขนมไหว้พระจันทร์ โดยขนมต้องนามาห่ันแบ่งให้เท่ากับจานวนคนในครอบครัว ห้ามเกินหรือขาด และแต่ละช้ินต้องมีขนาดท่ีเท่ากัน ขนมไหว้พระจันทร์จึงเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความกลมเกลียวคนในครอบครัว ดงั น้ัน รูปลกั ษณะของขนมไหว้พระจนั ทร์ จะตอ้ งทาเปน็ ก้อนวงกลมเทา่ นนั้

“กจิ กรรมการเรยี นร้บู ทที่ 5” ~39~กจิ กรรมท่ี 1 แบบฝกึ หดั ทา้ ยบทเรยี น จง ต อบค า ถ า มที่กาหน ดให้ดัง ต่ อไป นี้ โ ดยอธิบายพ อสั งเ ขป จากบท เ รียน เรื่อง เ ทศ กาลต่ าง ๆ ของ ป ระ เ ทศ จีน(เขียนคาตอบลงในกระดาษรายงานหรือกระดาษ A4)1.เทศกาลใด ท่มี ีตานานมาเก่ยี วกบั บา้ ง? พร้อมอธบิ ายพอสงั เขป?2.ก่อนเขา้ สเู่ ทศกาลตรุษจนี จะตอ้ งมเี ทศกาลใดมากอ่ นหน้านัน้ ?3. เวลาฉลองเทศกาลตรษุ จีน มอี ยู่กว่ี ัน และคนจนี ทาอะไรกนั บ้าง?4.เทศกาลโคมไฟ มลี กั ษณะเดน่ ของเทศกาล คอื อะไรบา้ ง?5.เพราะเหตใุ ดถงึ ตอ้ งมเี ทศกาลไหว้บ๊ะจา่ ง?6.จงอธิบายเกีย่ วกบั เทศกาลไหว้พระจันทรอ์ ย่างพอสังเขป?จดุ ประสงคข์ องกจิ กรรมที่ 1เพื่อให้ผู้เรียนไดท้ บทวนบทเรยี นหลังเรียน และสามารถทาให้ผ้เู รยี นเข้าใจในบทเรยี นมายิ่งขึ้นกจิ กรรมที่ 2 แบง่ กล่มุ นาเสนอจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่ม โดยใช้บทเรียนในหัวข้อต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ เทศกาลต่างๆของประเทศจีน ซ่ึงให้แต่ละกลุ่มทารูปแบบงานนาเสนอในลักษณะเปน็ แผนผังความคดิ อย่างใดกไ็ ด้ตามความคดิ สร้างสรรคข์ องผู้เรียน และใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ มานาเสนอในคาบถดั ไป1.ผสู้ อนช้ีแจง้ รายละเอยี ดกิจกรรมแก่ผเู้ รียนและให้ผ้เู รียนจับสลากส่มุ หวั ข้อตา่ งๆ2.จากนัน้ ก็ใหผ้ ู้เรียนเรมิ่ ทางานและแจ้งวันเวลาการกาหนดสง่ งานจดุ ประสงคข์ องกจิ กรรมที่ 2เพื่อให้ผูเ้ รยี นทบทวนบทเรียนและเข้าใจในบทเรยี นย่ิงขนึ้เพือ่ ใหผ้ ้เู รยี นเรยี นรู้การทางานเปน็ กลุม่เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนสามารถไดค้ วามรเู้ พมิ่ เติมจากการศกึ ษาคน้ คว้าจากนอกเหนอื บทเรยี น

~40~ 第六课 中国四大发明บทท่ี 6 สสี่ งิ่ ประดษิ ฐอ์ นั ยงิ่ ใหญข่ องประเทศจนี

~41~ 第六课 中国四大发明บทที่ 6 สส่ี งิ่ ประดษิ ฐอ์ นั ยงิ่ ใหญ่ของประเทศจนี สงิ่ ประดษิ ฐ์ทัง้ 4 ของจีน หรือทเ่ี รยี กวา่ “จตรุ ประดษิ ฐ์” (四大发明) ปรากฏขนึ้ จรงิ ในประวตั ศิ าสตร์ แสดงถงึ ความกา้ วหน้าและความสาเร็จดา้ นวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยขี องจนี ในอดีตได้ดีทีส่ ดุ อันประกอบไปดว้ ย เขม็ ทศิ (指南针 zhǐ nán zhēn) ภาพ 6.1 เขม็ ทศิ ในยคุ จา้ นก๋ัว ชาวจนี ได้ประดิษฐค์ ิดค้นเครอื่ งมือที่มีลักษณะเป็นหนิ แม่เหลก็ นามาประยกุ ต์ใชก้ ับเครื่องมือในการบอกทิศทางที่เรียกว่า “ซือหนาน” มีลักษณะเป็นช้อนแม่เหล็กต้ังอยู่บนฐานสลักตัวอักษรบอกทิศทาง ซ่ึงคันช้อนช้ีไปทางทิศใต้และปลายอีกด้านหน่ึงช้ีไปทางทิศเหนือ ครั้นถึงสมัยราชวงศ์ซ่งมีการนาแผ่นเหล็กและฐานสลักตัวอักษรบอกทิศทางมารวมกัน เรียกว่า “หลัวผาน”ประเทศจนี จงึ เปน็ ชาติแรกของโลกที่ประดิษฐ์เข็มทศิ ขนึ้ เข็มทศิ นีถ้ ูกนาไปใช้ในการเดนิ เรือในช่วงปลายศตวรรษที่ 11 ภายหลังจากการใชเ้ ขม็ ทศิ อย่างแพรห่ ลายจงึ มกี ารพฒั นาปรบั ปรุงรปู ลกั ษณข์ องเขม็ ทิศให้สะดวกตอ่ การใชง้ านมากยงิ่ ขน้ึ ภาพ 6.2 เข็มทศิ

ดนิ ปนื (火药 huǒ yào ) ~42~ ภาพ 6.3 ดนิ ปืน ส่วนประกอบสาคัญของดนิ ปืน ไดแ้ ก่ ดินประสวิ หรือโพแทสเซียมไนเตรต กามะถนั และผงถ่านรวมเข้าด้วยกัน เบ้ืองต้นการคิดค้นดนิ ปืนมคี วามเก่ียวขอ้ งกบั การกล่ันยาอายวุ ัฒนะในสมยั โบราณ กล่าวคอื นกั ปรงุ ยาไดน้ าแร่ธาตุและพันธ์ุพชื มากมายมาผสมและใส่ลงไปในเตาตม้ รวมกัน ทว่าการปรงุ ยาอายุวัฒนะนนั้ เป็นเรื่องท่ีเปน็ ไปไมไ่ ด้ ในขณะกล่ันยาเตาเกิดระเบิดขึ้น นักปรุงยาจึงพบธาตุที่เป็นชนวนระเบดิ ได้จากการเผาไหม้นัน้ โดยบังเอญิ เปน็ เหตุให้ดนิ ปืนถกู ประดิษฐ์ขน้ึ และนาไปใช้ในงานด้านการทหาร โดยดินปืนนี้คิดค้นได้สาเร็จในสมัยราชวงศถ์ ังตอนปลาย กระดาษ (造纸术 zào zhǐ shù) ภาพ 6.4 กระดาษ ชาวจีนสมัยโบราณใช้วิธีเขียนหนังสือลงบนแผ่นไม้ไผ่ กระดองเต่า และกระดูกสัตว์ แต่ท้ังหมดน้ีมีน้าหนักมาก พกพาไม่สะดวกสมยั ราชวงศ์ฉนิ และราชวงศฮ์ นั่ เร่ิมมคี วามเห็นวา่ การเขยี นลงบนผา้ ไหมดกี ว่าการเขียนลงบนแผ่นไม้มาก แต่ผ้าไหมก็เป็นสินค้าท่ีมีราคาแพงเกนิ ไป กระทงั่ สมยั ราชวงศฮ์ ั่นตะวันออก ขนุ นางผู้หนง่ึ นามวา่ ไช่หลนุ (蔡伦) เป็นผู้ค้นพบวิธผี ลิตกระดาษ โดยนาเปลือกไม้ เศษผ้า และตาข่ายดักปลามาบดผสมกันจนป่น จากนั้นก็นามาตากแห้งจนกลายเป็นแผ่น กระดาษชนิดน้ีจึงมีช่ือว่า “กระดาษไช่หลุน”นับเป็นการประดษิ ฐ์ของชาวจนี ที่นาความภาคภูมใิ จนสี้ ่งตอ่ ไปยังทัว่ โลก

แทน่ พมิ พ์ (印刷术 yìn shuā shù) ~43~ ภาพ 6.5 แท่นพิมพ์ กอ่ นการคิดค้นแทน่ พมิ พ์สาเรจ็ มักใชว้ ธิ คี ดั ลอกตาม ดงั นั้นกวา่ จะไดห้ นงั สอื สักเล่มย่อมไม่ใช่เร่ืองง่าย ต่อมาผู้คนเร่ิมใช้วิธีพิมพ์โดยวางกระดาษทาบลงบนศิลาจารึก สมัยราชวงศ์ถังมีการคิดค้นแม่พิมพ์สลักขึ้น โดยการแกะตัวอักษรลงบนแผ่นไม้ ใช้หมึกทาแล้วเอากระดาษทาบ สมยั ราชวงศ์ซง่ เหนือ ปเ้ี ซงิ คือผทู้ ่คี ดิ คน้ ตวั เรยี งพิมพข์ ึ้น เขาใช้วิธีแกะสลกั ตัวอักษรแต่ละตวั ลงบนดนิ เหนียวทีละก้อนก่อนนาไปเผาไฟให้แข็ง ตอนพิมพ์ให้เรียงตัวอักษรที่ต้องการ ทาหมึกลงไปแล้ววางกระดาษทาบลง ตัวอักษรท่ีแกะสลักเหล่านี้ยังนาไปใชซ้ า้ ได้อีกดว้ ย วธิ กี ารพมิ พข์ องปีเ้ ซงิ เปน็ ตน้ แบบของการพมิ พ์ทใี่ ชต้ ะกวั่ ในยคุ หลงัภาพ 6.6 แท่นพิมพ์

“กจิ กรรมการเรยี นรบู้ ทท่ี 6” ~44~กจิ กรรม แบ่งกลุ่มนาเสนอภายในคาบเรียน จัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่ม โดยใช้บทเรียนในหัวข้อต่างๆท่ีเกี่ยวข้องกับ สี่ส่ิงประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่ของประเทศจีน ซึ่งให้แต่ละกลุ่มทารูปแบบงานนาเสนอในลักษณะเป็น แผนผังความคิด อย่างใดก็ได้ตามความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน และแนะนาให้ผู้เรียนศึกษาค้นควา้ เพ่ิมเติมนอกเหนอื จากบทเรยี น ระยะเวลาทางานภายใน 1 ช่วั โมงสงิ่ ทต่ี อ้ งเตรยี ม กระดาษชาร์จ , ปากกาเคมสี ตี ่างๆวธิ กี ารดาเนนิ กจิ กรรม1.ผสู้ อนชีแ้ จ้งรายละเอยี ดกจิ กรรมแก่ผู้เรียนและจดั กลุม่ ผู้เรยี นตามความเหมาะสม จานวน 4 กลมุ่2.จากนัน้ ให้แตล่ ะกลมุ่ เลอื กตัวแทนเพ่อื มาจับสลากส่มุ หัวขอ้ ในการนาเสนอพร้อมนากระดาษชาร์จกับปากกาเคมใี ห้แกต่ ัวแทนกลุ่ม3.เมื่อแตล่ ะกลุ่มไดห้ ัวข้อท่ตี ้องนาเสนอเรยี บร้อยแล้ว ใหแ้ ต่ละเริม่ ทางานได้ ในระยะเวลาท่ีได้กาหนด4.เมอ่ื ครบระยะเวลากาหนดแลว้ ใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอจดุ ประสงคข์ องกจิ กรรมเพื่อใหผ้ เู้ รยี นทบทวนบทเรียนและเข้าใจในบทเรยี นย่ิงขน้ึเพ่ือใหผ้ ้เู รยี นเรียนรกู้ ารทางานเปน็ กลุ่มเพือ่ ใหผ้ ูเ้ รียนสามารถได้ความรูเ้ พ่มิ เติมจากการศึกษาคน้ คว้าจากนอกเหนอื บทเรยี น

บรรณานกุ รม ~45~จริ วรรณ จริ ันธร.(2553).ประวัติศาสตร์จนี .[เว็บบล็อก].สบื ค้นจาก http://www.jiewfudao.com/ประวตั ศิ าสตร์จนีจริ วรรณ จริ นั ธร.(2553).ภูมิศาสตร์จีน.[เว็บบลอ็ ก].สบื คน้ จาก http://www.jiewfudao.com/ภูมศิ าสตร์ประเทศจีนจิรวรรณ จิรันธร.(2553).วฒั นธรรมจนี .[เว็บบลอ็ ก].สบื ค้นจาก http://www.jiewfudao.com/วฒั นธรรมจีนซันนี.่ (2554,กนั ยายน 06).วิวฒั นาการอกั ษรจนี .[เว็บบล็อก].สบื คน้ จาก http://sunny-tingtong.blogspot.com/2011/09/blog-post.htmlบ้านจอมยุทธ.(2543).ประวตั ิศาสตรจ์ ีน.สบื ค้นจาก https://sites.google.com/site/banjomyuth/บรษิ ทั มริ ามา่ เซอร์วสิ (ประเทศไทย) จากัด.วันไหวพ้ ระจันทร์.[เวบ็ บล็อก].สืบค้นจากhttps://www.wonderfulpackage.com/article/v/124/ประวัติศาสตร์จนี .สืบคน้ เมอ่ื วันท่ี 22 กรกฎาคม 2561,จากวกิ ิพีเดยี https://th.wikipedia.org/wiki/ประวตั ศิ าสตรจ์ ีนประวตั ศิ าสตรจ์ ีน[เวบ็ บล็อก].สบื ค้นจาก http://www.thaichinese.net/History/history-imperial1.htmlโรงเรียนสอนภาษาพรรัตน์.เทศกาลโคมไฟ.[เว็บบล็อก].สืบคน้ จากhttp://www.oecschool.com/Festival/YuanxiaoJie.phpสานกั พมิ พท์ องเกษม.(2557,มกราคม 15).ส่งิ ประดิษฐ์ทัง้ 4 ของจีน.[เว็บบลอ็ ก].สบื คน้ จากhttp://www.thongkasem.com/knowledge.php?kid=68สานกั หอสมดุ กลางมหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.วนั ตรุษจีน และประวัตคิ วามเป็นมา.[เว็บบล็อก].สืบค้นจาก http://www.lib.ru.ac.th/


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook