Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ใบความรู้

ใบความรู้

Published by thaharnthai1622, 2020-10-31 01:59:08

Description: ใบความรู้

Search

Read the Text Version

ใบความรู บทท่ี 1 ทัศนศิลปไ ทย เร่อื ง จุด เสน สี แสง เงา รปู ราง และรปู ทรงทใ่ี ชในทัศนศลิ ปไทย จดุ หมายถงึ องคประกอบทเ่ี ล็กท่สี ุด จุดเปนส่ิงทบ่ี อกตําแหนงและทิศทางได การนําจุดมาเรียงตอกันใหเปน เสน การรวมกนั ของจดุ จะเกดิ น้ําหนกั ทีใ่ หป ริมาตรแกรูปทรง เปนตน เสน หมายถึง จุดหลายๆจุดที่เรียงชิดติดกันเปนแนวยาว การลากเสนจากจุดหน่ึงไปยังจุดหนึ่งในทิศทางท่ี แตกตางกัน จะเปนทิศมุม 45 องศา 90 องศา 180 องศาหรือมุมใดๆ การสลับทิศทางของเสนที่ลากทําใหเกิดเปน ลกั ษณะตาง ๆ ความรูสึกท่มี ีตอเสน เสนเปน องคประกอบพืน้ ฐานท่สี ําคัญในการสรางสรรค เสนสามารถแสดงใหเกิดความหมายของภาพและให ความรูสึกไดตามลักษณะของเสน เสนท่ีเปนพน้ื ฐาน ไดแ ก เสน ตรงและเสน โคง จากเสนตรงและเสนโคง สามารถนาํ มาสรา งใหเกดิ เปน เสน ใหมท ่ีใหความรูสกึ ทแี่ ตกตา งกนั ออกไปไดดังนี้  เสน ตรงแนวต้งั ใหค วามรสู ึกแขง็ แรง สูงเดน สงางาม นา เกรงขาม  เสนตรงแนวนอน ใหความรสู ึกสงบราบเรยี บ กวา งขวาง การพกั ผอน หยุดนง่ิ  เสน ตรงแนวเฉยี ง ใหความรูสกึ ไมป ลอดภยั การลม ไมหยดุ นง่ิ  เสน ตัดกนั ใหความรูสกึ ประสานกัน แขง็ แรง  เสน โคง ใหความรูสกึ ออนโยนนมุ นวล  เสนคลน่ื ใหค วามรสู ึกเคลอ่ื นไหวไหลเลือ่ น รา เริง ตอเน่อื ง  เสนประ ใหความรสู ึกขาดหาย ลึกลับ ไมสมบรูณ แสดงสวนท่ีมองไมเหน็  เสน ขด ใหความรูสกึ หมุนเวียนมนึ งง  เสนหยัก ใหความรูสกึ ขัดแยง นากลวั ตนื่ เตน แปลกตา ตวั อยา ง ลักษณะเสน สี คือ สที ีน่ ํามาผสมกนั แลวทําใหเ กิดสีใหม ที่มลี ักษณะแตกตา งไปจากสีเดมิ แมส ีมีอยู 2 ชนิด คอื 1. แมส ีของแสง เกิดจากการหักเหของแสงผานแทงแกว ปริซึม มี 7 สี คอื มวง คราม นํา้ เงิน เขยี ว เหลือง แสด แดง 2. แมส ีวตั ถุธาตุ เปนสีทไ่ี ดมาจากธรรมชาติ และจากการสังเคราะหโดยกระบวนทางเคมี มี 3 สี คอื สีแดง สี เหลอื ง และสีนํา้ เงิน เมอื่ นาํ มาผสมกนั ตามหลักเกณฑ จะทาํ ใหเ กดิ วงจรสี

วงจรสี ( Colour Circle) สีขั้นที่ 1 คือ แมสี ไดแ ก สีแดง สีเหลือง สีนา้ํ เงิน สีข้ันท่ี 2 คือ สีท่ีเกิดจากสีข้ันที่ 1 หรือแมส ีผสมกันในอัตราสว นท่เี ทา กัน จะทาํ ใหเกิดสใี หม 3 สี ไดแ ก สีแดง ผสมกับสเี หลอื ง ไดสี สม สแี ดง ผสมกับสีนาํ้ เงนิ ไดสมี ว ง สีเหลือง ผสมกับสีน้ําเงนิ ไดสีเขียว สีขนั้ ท่ี 3 คอื สที ี่เกดิ จากสขี ้นั ที่ 1 ผสมกบั สีข้ันที่ 2 ในอัตราสว นที่เทากัน จะไดส ีอื่น ๆ อกี 6 สี  สีแดง ผสมกบั สสี ม ไดสี สมแดง  สีแดง ผสมกบั สมี วง ไดสีมวงแดง  สีเหลอื ง ผสมกบั สีเขยี ว ไดสเี ขยี วเหลอื ง  สนี ้าํ เงิน ผสมกบั สเี ขยี ว ไดสเี ขยี วนํ้าเงิน  สีนํ้าเงิน ผสมกับสมี วง ไดส มี วงนา้ํ เงนิ  สีเหลือง ผสมกบั สสี ม ไดส สี ม เหลือง วรรณะของสี คือสที ี่ใหค วามรูสึกรอ น-เย็น ในวงจรสจี ะมสี ีรอน 7 สี และสเี ยน็ 7 สี โดยจะมีสีมวงกับสีเหลือง ซ่ึงเปนไดทัง้ สองวรรณะ สตี รงขา ม หรอื สีตดั กัน หรอื สีคปู ฏปิ กษ เปนสที ่ีมีคา ความเขมของสี ตัดกนั อยา งรุนแรง สีกลาง คอื สีทเี่ ขาไดกับสีทกุ สี สีกลางในวงจรสี มี 2 สี คอื สนี ํ้าตาล กับ สีเทา สีน้ําตาล เกิดจากสตี รงขาม กนั ในวงจรสผี สมกนั ในอัตราสวนทเี่ ทา กัน คุณลกั ษณะของสีมี 3 ประการ คือ 1. สแี ท หมายถึง สีทอี่ ยูในวงจรสีธรรมชาติ ท้ัง 12 สี ที่เราเห็นอยูทกุ วนั นีแ้ บงเปน 2 วรรณะ โดยแบง วงจรสี ออกเปน 2 สวน จากสเี หลืองวนไปถึงสมี วง คือ  สีรอน ใหค วามรสู กึ รุนแรง รอน ตืน่ เตน ประกอบดวย สเี หลือง สเี หลอื งสม สสี ม สีแดงสม สีแดง สีมว งแดง สี มว ง

 สเี ยน็ ใหความรสู กึ เย็น สงบ สบายตาประกอบดวย สีเหลือง สีเขยี วเหลอื ง สีเขยี ว สเี ขยี วนาํ้ เงิน สีนํา้ เงิน สี มวงน้าํ เงิน สีมวง เราจะเห็นวา สีเหลอื ง และสีมวง เปน สที ่อี ยูไดทง้ั 2 วรรณะ คือเปน สกี ลางและ เปน ไดทั้งสี รอน และสเี ย็น 2. ความจัดของสี หมายถงึ ความสด หรือความบริสุทธข์ิ องสใี ดสีหน่งึ สีท่ถี ูกผสมดว ย สดี าํ จนหมนลง ความ จดั หรือความบริสทุ ธจ์ิ ะลดลง ความจดั ของสจี ะเรียงลาํ ดบั จากจดั ท่สี ุด ไปจนหมนทีส่ ุด 3. นํ้าหนกั ของสี หมายถึง สที ีส่ ดใส สกี ลาง สที บึ ของสแี ตล ะสี สที ุกสีจะมีนํ้าหนักในตัวเอง ถาเราผสมสีขาว เขาไปในสีใดสีหนง่ึ สนี ้นั จะสวา งขึน้ หรอื มีน้าํ หนักออ นลงถาเพิม่ สขี าวเขาไปทลี ะนอยๆ ตามลาํ ดับ แสงและเงา แสงและเงา หมายถงึ แสงทสี่ องมากระทบพืน้ ผิวทมี่ สี ีออ นแกแ ละพื้นผวิ สูงตํา่ โคง นูนเรียบหรือขรขุ ระ ทาํ ให ปรากฏแสงและเงาแตกตางกัน เชน บรเิ วณแสงสวางจัด,บรเิ วณแสงสวาง,บริเวณเงา,บริเวณเงาเขมจดั และบรเิ วณเงา ตกทอด ความสําคัญของคานํ้าหนัก 1. ใหค วามแตกตางระหวา งรูปและพ้นื หรอื รูปทรงกับที่วา ง 2. ใหความรสู ึกเคล่ือนไหว 3. ใหความรูสกึ เปน 2 มติ ิ แกรูปราง และความเปน 3 มติ ิแกรปู ทรง 4. ทาํ ใหเกิดระยะความต้นื - ลกึ และระยะใกล - ไกลของภาพ 5. ทําใหเกดิ ความกลมกลืนประสานกนั ของภาพ เรื่อง ความหมายและความเปน มาของทศั นศลิ ปไ ทย ศลิ ปะประเภททศั นศิลปท่ีสาํ คัญของไทย ไดแก จิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปตยกรรม มรี ปู แบบที่เปน เอกลักษณไทยท่สี ะทอนใหเห็นวถิ ชี ีวติ ขนบธรรมเนยี มประเพณี ความเชอื่ และรสนยิ ม เก่ียวกบั ความงามของคนไทย ลักษณะของศลิ ปะไทย

จิตรกรรมไทย เปน การสรางสรรคภ าพเขียนที่มลี กั ษณะโดยท่วั ไปมักจะเปน 2 มติ ิ ไมม ีแสงและเงา สพี ้ืนจะ เปน สเี รยี บๆไมฉ ูดฉาด จติ รกรรมไทยมักพบในวัดตา งๆเรียกวา “จติ รกรรมฝาผนงั ” จัดเปน ภาพเลา เรอ่ื งท่เี ขยี นขน้ึ ดวยความคิดจนิ ตนาการของคนไทย มีลักษณะตามอุดมคติของชางไทย คือ เขียนสแี บน เขียนตัวพระ-นาง เขียนแบบ ตานกมอง เขยี นตดิ ตอกันเปนตอน ๆ เขียนประดับตกแตงดว ยลวดลายไทย ประตมิ ากรรมไทย ประตมิ ากรรมเปนผลงานศลิ ปกรรมทเ่ี ปนรูปทรง 3 มิติ ประกอบจากความสงู ความกวา ง และความนนู หรือความลกึ ประติมากรรมเกิดข้นึ จากกรรมวธิ ีการสรา งสรรคแ บบตา งๆ เชน การปน และหลอ การ แกะสลัก การฉลหุ รอื ดนุ เมอ่ื พจิ ารณาภาพรวมของประติมากรรมไทยอาจแบง ประติมากรรมออกเปน 3 ประเภทคือ ประตมิ ากรรมรูปเคารพ ประตมิ ากรรมตกแตง และประติมากรรมเพ่ือประโยชนใชสอย ผลงานประตมิ ากรรมไทย แบง ออกไดเ ปน 4 ประเภท สรุปได ดงั นี้ ประตมิ ากรรมไทยทเ่ี กิดขนึ้ จาก ความเช่ือ ประติมากรรมไทยพวกเคร่ืองใชในชีวิตประจาํ วัน ประติมากรรมไทยพวกของเลน ใบลาน ประตมิ ากรรมไทยพวกเครอื่ งประดับตกแตง สถาปตยกรรมไทย ศลิ ปะการกอ สรางของไทย อนั ไดแก อาคาร บา นเรือน โบสถ วิหาร วงั สถปู และ สิง่ กอ สรางอ่นื ๆ สถาปตยกรรมไทย สามารถจดั หมวดหมู ตามลกั ษณะการใชง านได ประเภท คอื 1. สถาปต ยกรรมทใี่ ชเปนทอ่ี ยูอ าศยั ไดแก บา นเรือน ตําหนกั วงั และพระราชวงั เปน ตน 2. สถาปต ยกรรมที่เกี่ยวของศาสนา ซ่ึงสวนใหญอยใู นบริเวณสงฆ ท่ีเรียกวา วัด ซ่ึงประกอบไปดวย สถาปตยกรรมหลายอยาง ไดแก โบสถ สถูปเปนท่ีฝงศพ เจดีย เปนที่ระลึกอันเก่ียว เนือ่ งกบั ศาสนา ภาพพิมพ การพิมพภ าพ หมายถึง การถายทอดรูปแบบจากแมพมิ พออกมาเปนผลงานท่ีมลี ักษณะเหมือน กันกบั แมพิมพทุกประการ และไดภ าพท่ีเหมือนกันมจี ํานวนต้งั แต 2 ชน้ิ ขึ้นไป การพมิ พภ าพมีองคป ระกอบท่สี ําคญั ดงั น้ี แมพมิ พ เปน สง่ิ ท่สี าํ คัญทีส่ ดุ ในการพมิ พ ,วสั ดุทใี่ ชพมิ พลงไป ,สี ที่ใชใ นการพิมพ, ผูพ มิ พ เรอ่ื ง ความงามและคณุ คาของทศั นศิลปไทย คณุ คาในการยกระดบั จิตใจ คุณคาของศิลปะอยูทีป่ ระโยชน ชวยขจัดความโฉด ความฉอ ฉลยกระดบั วิญญาณความเปน คนเห็นแกตน บทกวขี องเนาวรัตน พงษไพบูลย กวีซไี รตของไทย ไดใหค วามสาํ คัญของงานศลิ ปะใน การยกระดบั วญิ ญาณความเปนคนกค็ ือ การยกระดับจิตใจของคนเราใหสูงขึน้ ดวยการไดช ่ืนชมความงาม และความ ประณตี ละเอยี ดออนของงานศิลปะ การรบั รูคณุ คา ทางศลิ ปะมหี ลายกระบวนการ ดังนี้ 1. ส่ิงสุนทรยี  หมายถึง งานทัศนศลิ ปที่เกิดจากศิลปน ทีต่ ง้ั ใจสรางงานอยางจรงิ จัง มีการพฒั นา งานตามลําดับ ประณตี เรยี บรอย ท้ังในผลงาน กรอบ และการตดิ ตั้งทที่ าํ ใหง านเดน ชัด 2. อารมณรวม หมายถึง สง่ิ สนุ ทรียนัน้ มคี วามงามของเนื้อหาเร่ืองราว รูปรา ง-รปู ทรง สีสัน ท่ี สามารถทาํ ใหผ ูดสู นใจ เพลิดเพลินไปกับความงามของผลงานนน้ั มอี ารมณร วมหรอื คลอยตาม เชน เม่ือเหน็ งาน ทัศนศลิ ปแ ลว เกิดความรสู กึ ประทบั ใจและหยดุ ดูอยรู ะยะหน่ึง เปนตน

3. กาํ หนดจิต เปนขั้นตอเน่ืองจากการมีอารมณรวม กลาวคือในขณะท่ีเกิดอารมณรวม เพลิดเพลินไปกบั งานทัศนศลิ ป ผดู สู ว นใหญจ ะอยูในระดับทเี่ ห็นวา สวยกพ็ อใจแลว เร่ือง การนําความงามของธรรมชาติมาสรางสรรคผ ลงาน ความคิดสรางสรรค เปน สง่ิ ทเี่ กิดจากความคิดสรา งสรรค เปน การดําเนนิ การในลักษณะตาง ๆเพ่ือให เกดิ สิง่ แปลกใหมที่ไมเคยปรากฏมากอน นําไปสกู ระบวนการคิดเพ่ือสรางสิง่ แปลกใหม หรอื เพอ่ื การพัฒนา ของเดิมใหดีขึ้น ทาํ ใหเ กิดผลงานท่ีมลี ักษณะเฉพาะตน เปนตัวของตวั เอง จุดมงหมายของการคิดสรางสรรค งานศิลปะทุก ประเภท จะใหคุณคาท่ีตอบสนองตอมนุษย ในดานที่เปน ผลงานการแสดงออกของอารมณ ความ รูสึกและความคิด เปนการสื่อถึงเร่ืองราวท่ีสําคัญ หรือเหตุการณที่ประทับใจ เปน การตอบสนอง ตอ ความพึงพอใจ ท้งั ทางดานจติ ใจและความสะดวกสบายดานประโยชนใ ชสอยของศลิ ปวตั ถุ องคประกอบของการสรางสรรคงานศิลปะ การสรางสรรคจะประสบความสําเร็จเปนผลงานได นอกจาก ตองอาศัยความคิดสรางสรรค เปนตัวกําหนดแนวทางและรูปแบบแลว ยังตองอาศัยความสามารถที่ยอดเย่ียมของ ศิลปน เรอ่ื ง ความคิดสรางสรรคใ นการนําเอาวัสดุและสิ่งของตา งๆ มาตกแตงรางกายและสถานที่ ความคดิ สรา งสรรค คือ กระบวนการคิดของสมองซึ่งมีความสามารถในการคิดไดหลากหลาย และแปลกใหมจากเดมิ โดยสามารถนําไปประยุกตท ฤษฎี หรอื หลกั การไดอยางรอบคอบและมี ความถูกตอง จนนาํ ไปสูการคิดคนและสรางสิ่งประดิษฐท ่ีแปลกใหมห รือรปู แบบความคิดใหม ศิลปะกับการตกแตงท่ีอยูอาศัย การดํารงชีวิตของมนุษย มีการพัฒนาท่ีอยูอาศัยเพ่ือสนองความตองการ และความพอใจของแตละบุคคล มนุษยจ งึ นาํ พฒั นาการเหลานม้ี าใชใ หเ ปนประโยชน การพัฒนาท่ีอยูอาศัยจึงเปนหนึ่ง ในปจจัยที่สําคัญสําหรับมนุษย แตในการปรับปรุงน้ัน ควรคํานึงถึงสภาพทางภูมิศาสตร และวัฒนธรรมทองถิ่นควบคู กนั ไปการพัฒนาที่อยูอาศัยน้ันจึงจะเหมาะสมและสนองความตองการอยางแทจริง องคประกอบทางศิลปะท่ีนํามาใช ในการจัดแตงแตง ทอ่ี ยอู าศัย ไดแ ก ขนาดและสดั สว นนาํ มาใชใ นการจัดท่ีอยูอาศัย, ความกลมกลืน (Harmony) ความ กลมกลนื ของศิลปะทนี่ ํามา ใชในการจดั ตกแตงทีอ่ ยู, การตดั กัน,เอกภาพ,การซํ้า,จังหวะ ,การเนน ศิลปะของการเนนที่ นาํ มาใชในทอี่ ยูอ าศัย,ความสมดลุ และสี คุณคาของความซาบซึ้งของวัฒนธรรมของชาติ ศิลปะไทย เปนเอกลักษณของชาติไทย ซึ่งคนไทยท้ังชาติตางภาคภูมิใจอยางยิ่ง ความงดงามที่สืบทอดอัน ยาวนานมาตั้งแตอดีต บงบอกถึงวัฒนธรรมท่ีเกิดขึ้น โดยมีพัฒนาการบนพื้นฐานของความเปนไทย ลักษณะนิสัยท่ี ออ นหวาน ละมนุ ละไม รกั สวยรักงาม ทีม่ ีมานานของสังคมไทย ปจจุบันคําวา \"ศิลปะไทย\" กําลังจะถูกลืมเมื่ออิทธิพลทางเทคโนโลยีสมัยใหมเขามาแทนที่สังคมเกาของไทย โดยเฉพาะอยา งย่งิ โลกแหง การสื่อสารไดกาวไปลํา้ ยุคมาก

ความเปนมาของศิลปะไทย ไทยเปนชาติท่ีมีศิลปะและวัฒนธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีของ ตนเองมาชานานแลว เร่ิมตั้งแตกอนประวัติศาสตร ศิลปะไทยจะวิวัฒนาการและสืบเน่ืองเปนตัวของตัวเองในที่สุด เทาทเี่ ราทราบราว พ.ศ. 300 จนถึง พ.ศ. 1800 พระพทุ ธศาสนานาํ เขา มาโดยชาวอินเดยี ประวตั ิศลิ ปะไทย ศลิ ปะไทยแบง ไดเ ปนยุคตา ง ๆ ดังน้ี 1. ยุคกอนประวตั ศิ าสตรไทย คอื 1.1 แบบทวาราวดี ( ราว พ.ศ. 500 – 1200 ) เปนฝมือของชนชาติอินเดยี ซึ่งอพยพมาสสู วุ รรณภูมิ ศูนยก ลางอยูนครปฐมเปนศลิ ปะแบบอุดมคติ รุนแรกเปนฝม ือชาวอนิ เดยี แตมาระยะหลังเปนฝม อื ของชาวพื้นเมอื ง โดยสอดใสอุดมคติทางความงาม ตลอดจนลักษณะทางเช้ือชาติ ศิลปะท่ีสําคัญคือ 1.1.1 ประตมิ ากรรม พระพุทธรปู แบบทวาราวดี สังเกตไดชดั เจนคือพระพุทธรปู น่ังหอ ยพระ บาทและยกพระหัตถขน้ึ โดยสวนมากสลักดวยหนิ ปูน ภาพสลักมากคอื บริเวณพระปฐมเจดีย คอื ธรรมจักรกบั กวางหมอบ 1.1.2 สถาปตยกรรม ที่ปรากฏหลักฐาน บรเิ วณนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี อางทอง สุพรรณบรุ ี ไดแก สถปู ลักษณะเนินดิน ทําเปนมะนาวผาซีกหรือรปู บาตรคว่าํ อยูบนฐานสี่เหล่ยี ม เชน เจดียนครปฐมองคเดิม 1.2 แบบศรีวชิ ยั (ราว พ.ศ. 1200 – 1700 ) เปนศลิ ปะแบบอนิ เดีย - ชวา ศนู ยกลางของศิลปะนี้อยทู ่ี ไชยา มีอาณาเขตของศลิ ปะศรีวิชัย เกาะสุมาตรตรา พวกศรีวิชัยเดิมเปนพวกที่อพยพมาจากอินเดียตอนใต แพรเขามาพรอมกับพระพุทธศาสนาลทั ธิมหายาน ไดส รางสงิ่ มหศั จรรยข องโลกไวอ ยางหนง่ึ โดยสลกั เขาท้ังลูกใหเปน เขาไกรลาศ คอื สถปู โบโรบูเดอร ศิลปะกรรมในประเทศไทย คอื 1.2.1 ประติมากรรม คน พบพระโพธิสตั วอ วโลกิเตศวร ทาํ เปน สัมฤทธิ์ทไ่ี ชยา โดยสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ถือวาเปน ศลิ ปะชั้นเยี่ยมของแบบศรวี ิชยั 1.2.2 สถาปตยกรรม มีงานตกแตง เขามาปนอยใู นสถูป เชนสถปู พระบรมธาตุไชยา สถปู วัด มหาธาตุ 1.3 แบบลพบุรี (ราว พ.ศ. 1700 - 1800) ศิลปะแบบน้ีคลายของขอม ศูนยกลางอยูท่ีเมืองลพบุรี ศาสนาพราหมณเขามามีบทบาทตามความเชื่อ สรางเทวาสถานอันใหญโตแข็งแรงคงทนถาวร เชน ปราสาทหิน พนมรุง นครวัด นับเปนส่งิ มหัศจรรยข องโลก 1.3.1 ประตมิ ากรรมสรางพระพุทธรูป พระโพธิสัตว พระพุทธรูปสมัยลพบุรีเปลือยองคทอนบน พระพักตรเ กอื บเปนสีเหล่ยี ม มฝี ม ือในการแกะลวดลายมาก 1.3.2 สถาปตยกรรมสรางปรางคเปนเทวสถาน การกอสรางใชวัสดุท่ีแข็งแรง ทนทาน ท่ีมอี ยตู ามทองถนิ่ เชน ศิลาแลง หินทราย ศลิ ปะทีส่ าํ คัญไดแก ปรางคส ามยอด กอนสถาปนากรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 1893 พ้ืนที่ภาคกลาง บริเวณสองฟากของลุมแมน้ําเจาพระยา ปรากฏ ศลิ ปกรรมรปู แบบหนึ่งซงึ่ มีลกั ษณะผสมผสานระหวางศิลปะทวารวดี ศิลปะเขมร และศิลปะสุโขทัย กอนท่ีจะสืบเน่ือง มาเปน ศิลปะอยธุ ยา เนอ่ื งจากกรงุ ศรอี ยธุ ยาเปนราชธานีของไทยอยูนานถึง 417 ป ศิลปกรรมท่ีสรางขึ้นจึงมีความผิด แผกแตกตางกันออกไปตามกระแสวัฒนธรรมที่ผานเขามา โดยเฉพาะจากเขมรและสุโขทัย กอนจะพัฒนาไปจนมี รูปแบบที่เปนตัวของตัวเอง งานประณีตศิลปในสมัยน้ีถือไดวามีความรุงเรืองสูงสุดหลังจากราชธานีกรุงศรีอยุธยาถึง คราวลมสลาย เม่ือ พ.ศ. 2310 ก็ถึงยุคกรุงธนบุรี เน่ืองจากในชวงเวลา 15 ปของยุคน้ีไมปรากฏหลักฐานทาง

ศิลปกรรมที่มีรูปแบบเฉพาะ จึงมักถูกรวมเขากับราชธานีกรุงเทพฯ หรือท่ีเรียกวา กรุงรัตนโกสินทร ศิลปะ รัตนโกสินทร ในชวงตนๆมีลักษณะเปนการสืบทอดงานแนวอุดมคติจากอดีตราชธานีกรุงศรีอยุธยาอยางเดนชัด จากนั้นในชวงตั้งแตรัชกาลที่ 4 เปนตนมา อิทธิพลทางศิลปวัฒนธรรมจากตะวันตกไดเร่ิมเขามามีบทบาทเพ่ิมข้ึน เรอ่ื ยๆ จนกระทัง่ กลายมาเปนศลิ ปะแนวใหมทเี่ รยี กวา “ศิลปกรรมรวมสมยั ” ในปจ จบุ นั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook