ใบความรู้ที่ 1 เซลล์ : หน่วยของส่ิงมชี วี ิต เซลล์ (Cell) ในทางชีววิทยา เซลล์ (Cell) เป็น โครงสร้างและหน่วยทางานที่เล็กท่ีสุดของสิ่งมีชีวิต แทบทุกชนิด ในบางครั้งอาจเรียกว่า หน่วยท่ีเป็นองค์ประกอบของชีวติ (\"building blocks of life\") สิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่น แบคทีเรีย ประกอบด้วยเซลลเ์ พียง 3 เซลล์ (unicellular) แต่สัตว์หลายชนิด เช่น มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ (multicellular) (มนุษย์มีเซลล์อยู่ประมาณ 10,000 ล้านล้าน หรือ 1014 เซลล์) ซึง่ ถูกค้นพบโดย โรเบริ ์ตฮุค เขาใช้กล้องจุลทรรศน์ท่ีประดิษฐ์ข้ึนตรวจดูช้ินไม้คอร์ก ท่ีฝาน บางๆ พบว่า ช้ินไม้คอร์กประกอบด้วย ช่องขนาดเล็กมากมายเขาจึงต้ังช่ือแต่ละช่องว่า เซลล์ (Cell) ชิ้นไม้คอร์ก เป็นเซลล์ท่ีตายแล้ว เหลืออยู่แต่ ผนังเซลล์ (cell wall) ทีแ่ ข็งแรง ประกอบไป ดว้ ยสารพวกเซลลูโลสและซเู บอริน ธีออร์ดอร์ ชวานน์ (Theodor Schwan) และ แมทเธียส ชไลเดน (Matthias Schleiden) นักชีววิทยาชาวเยอรมัน ได้เสนอทฤษฎีของเซลล์ ( Cell theory) มีใจความว่า \"สงิ่ มีชวี ติ ทั้งปวง ประกอบด้วย เซลล์ และผลติ ภณั ฑ์ของเซลล\"์ เซลลใ์ นร่างกายของคน เซลล์ประสาท เซลล์เม็ดเลอื ดแดง เซลลก์ ระดูก เซลล์กลา้ มเนื้อ เซลลผ์ ิวหนงั
รูปรา่ งของเซลล์ เซลลป์ ระสาท เซลลเ์ ม็ดเลือดแดง อะมบี า พารามเี ซียม ยูกลนี า สเปริ ม์ ไฮดรา เซลล์เมด็ เลอื ดขาว เซลลอ์ สจุ ิ พารามเี ซยี ม ยูกลีนา
ใบความรู้ท่ี 2 กล้องจุลทรรศน์ ส่วนประกอบของกลอ้ งจุลทรรศน์ เลนสใ์ กลต้ า ล้ากลอ้ ง แขน REVOLVING NOSEPIECE แทน่ วางวัตถุ เลนส์ใกลว้ ัตถุ ป่มุ ปรับภาพหยาบ ป่ มุ ปรับภำพละเอียด ที่หนบี สไลด์ ภำพ]tgvupupv ไดอะแฟรม ฐาน แหล่งกำเนิดแสง 1. ฐาน (BASE) ท้าหน้าท่ีรับน้าหนักทั้งหมดของกล้องจุลทรรศน์ มีรูปร่างสี่เหล่ียม หรือ วงกลม ทฐ่ี านจะมปี มุ่ สา้ หรบั ปดิ เปดิ ไฟฟา้ 2. แขน (ARM) เป็นส่วนยึดล้ากล้องและฐานไว้ด้วยกัน ใช้เป็นที่จับเวลาเคล่ือนย้ายกล้อง จุลทรรศน์ 3. ลา้ กล้อง (BODY TUBE) เป็นส่วนที่อยตู่ ่อจากมอื จับมีลักษณะเป็นท่อกลวงปลายด้านบน มีเลนส์ใกล้ตาสวมอยู่ด้านบนอีกด้านหน่ึงมีชุดของเลนส์ใกล้วัตถุซึ่งติดอยู่กับจานหมุนท่ีเรียกว่า Revolving Nosepiece 4. แท่นวางวัตถุ (STAGE) เป็นแท่นสา้ หรับวางสไลด์ตัวอย่างท่ีต้องการศึกษา มีลักษณะเป็น แท่นส่ีเหล่ียม หรือวงกลมตรงกลางมีรใู ห้แสงจากหลอดไฟส่องผ่านวัตถุแท่นนี้สามารถเล่ือนข้ึนลงได้ ด้านในของแท่นวางวัตถุจะมีคริปส้าหรับยึดสไลด์และมีอุปกรณ์ช่วยในการเลื่อนสไลด์ เรียกว่า Mechanical Stage นอกจากน้ียังมีสเกลบอกตา้ แหน่งของสไลด์บนแท่นวางวัตถุ ท้าให้สามารถบอก ต้าแหนง่ ของภาพบนสไลดไ์ ด้
5. เลนส์รวมแสง ( CONDENSER ) จะอยู่ด้านใต้ของแท่นวางวัตถุ เป็นเลนส์รวมแสง เพอ่ื รวมแสงผา่ นไปยังวัตถทุ อี่ ยู่บนสไลด์ สามารถเลอื่ นขึ้นลงไดโ้ ดยมปี มุ่ ปรับ 6. ไอริส ไดอะแฟรม ( IRIS DIAPHARM ) คือม่านปิดเปดิ รูรับแสง สามารถปรับขนาดของรู รับแสงได้ตามตอ้ งการ มคี นั โยกสา้ หรับปรบั ขนาดรรู ับแสงอยูด่ า้ นล่างใตแ้ ทน่ วางวตั ถุ 7. เลนส์ใกลว้ ัตถุ (OBJECTIVE LENS) จะติดอยู่เป็นชดุ กับจานหมุน ซ่ึงเป็นส่วนของกล้องที่ ประกอบด้วยเลนส์ ซงึ่ รบั แสงท่ีส่องผา่ นมาจากวัตถุท่ีน้ามาศกึ ษา ( Specimen ) เม่อื ล้าแสงผา่ นเลนส์ ใกล้วัตถุ เลนส์ใกล้วัตถุจะขยายภาพของวัตถุนั้น และท้าให้ภาพที่ได้เป็นภาพจริงหัวกลับ ( rimary Real Image) โดยเลนส์ใกล้วัตถุจะมีก้าลังขยายต่าง ๆ กัน ได้แก่ เลนส์ใกล้วัตถุก้าลังขยายต่้า (Lower Power) ก้าลังขยาย 4X, 10X เลนส์ใกล้วัตถุก้าลังขยายสูง (High Power) 40X เลนส์ใกล้ วตั ถุแบบ Oil Immersion ขนาด 100X 8. REVOLVING NOSEPIECE เป็นส่วนของกล้องท่ีใช้ส้าหรับหมุน เพื่อเปล่ียนก้าลังขยาย ของเลนส์ใกลว้ ัตถุ 9. เลนสใ์ กล้ตา (EYEPIECE LENS หรือ OCULAR LENS) เลนสน์ จี้ ะสวมอยู่กับล้ากลอ้ ง มี ตัวเลขแสดงก้าลังขยายอยู่ด้านบน เช่น 5X, 10X หรือ 15X เป็นต้น กล้องที่ใช้ในปฏิบัติการ จลุ ชวี วิทยาทว่ั ไปนัน้ มีกา้ ลงั ขยายของเลนสต์ าที่ 10X รุ่นที่มเี ลนสใ์ กล้ตาเลนส์เดยี ว เรียก Monocular Microscope ชนดิ ที่มีเลนสใ์ กลต้ าสองเลนส์ เรยี ก Binocular Microscope 10. ปุม่ ปรับภาพหยาบ (COARSE ADJUSMENT KNOB) ใช้เล่ือนตา้ แหน่งของแท่นวางวัตถุ ข้นึ ลง เมอื่ อยใู่ นระยะโฟกัส ก็จะมองเห็นภาพได้ ปมุ่ นม้ี ขี นาดใหญ่จะอยทู่ ี่ดา้ นข้างของตัวกล้อง 11. ปุ่มปรับภาพละเอียด (FINE ADJUSMENT KNOB) เป็นปุ่มขนาดเล็กอยู่ถัดจาก ปุ่มปรับภาพหยาบออกมาทางด้านนอกที่ต้าแหน่งเดียวกัน หรือกล้องบางชนิดอาจจะอยู่ใกล้ ๆ กัน เม่ือปรบั ดว้ ยปุ่มปรบั ภาพหยาบจนมองเหน็ ภาพแล้วจึงหมุนปมุ่ ปรบั ภาพละเอยี ดจะทา้ ให้ได้ภาพคมชัด ยิง่ ขนึ้ การใช้กลอ้ งจุลทรรศน์ การใชก้ ล้องจลุ ทรรศน์แบบใชแ้ สง ( Light microscope) 1. วางกลอ้ งให้ฐานอยู่บนพืน้ รองรับทเ่ี รยี บสม้่าเสมอเพือ่ ใหล้ า้ กล้องตัง้ ตรง 2. หมนุ เลนสใ์ กลว้ ตั ถุ ( objective lens )อันทม่ี ีกา้ ลงั ขยายตา่้ สดุ มาอย่ตู รงกับล้ากล้อง 3. ปรับกระจกเงาใตแ้ ท่นวางวัตถุใหแ้ สงเข้าล้ากล้องเต็มท่ี 4. น้าสไลด์ท่ีจะศึกษาวางบนแท่นของวัตถุ ให้วัตถุอยู่ก่ึงกลางบริเวณที่แสงผ่านแล้วค่อยๆ หมุนปุ่มปรับภาพหยาบ(coarse adjustment knob)ให้ล้ากล้องเลอ่ื นลงมาอยู่ใกลว้ ัตถุมากท่ีสุด โดย ระวังอย่าให้เลนสใ์ กลว้ ตั ถสุ มั ผัสกับกระจกปดิ สไลด์
5. มองผ่านเลนส์ใกล้ตา (eyepiece)ลงตามล้ากล้อง พร้อมกับหมุนปุ่มปรับภาพหยาบข้ึน ช้าๆ จนมองเหน็ วัตถุทจ่ี ะศึกษา แลว้ จึงเปล่ยี นมาหมนุ ปมุ่ ปรับภาพละเอียด(fine adjustment knob) เพ่อื ปรบั ภาพใหช้ ัด อาจเล่ือนสไลด์ไป มาช้าๆ เพ่ือใหส้ งิ่ ที่ต้องการศึกษามาอยกู่ ลางแนวลา้ กล้อง ขณะ ปรับภาพ ถ้าเป็นกล้องสมัยก่อนล้ากล้องจะเคล่ือนที่ข้ึนและลงเข้าหาวัตถุ แต่ถ้าเป็นกล้องสมัยใหม่ แทน่ วางวัตถุจะทา้ หน้าท่ีเลอื่ นขึ้นลงเข้าหาเลนส์วตั ถุ 6. ถ้าต้องการขยายภาพให้ใหญ่ข้ึน ให้หมุนเลนส์ใกล้วัตถุอันที่มีก้าลังขยายสูงขึ้นเข้ามาใน แนวลา้ กล้อง และไม่ควรขยับสไลด์อีก แล้วหมนุ ปรับภาพละเอยี ดเพอื่ ใหเ้ หน็ ภาพชัดเจนย่ิงข้ึน 7. การปรบั แสงทีเ่ ขา้ ในล้ากลอ้ งให้มากหรอื น้อย ให้หมนุ แผน่ ไดอะแฟรม (diaphram) ปรับ แสงตามตอ้ งการ กล้องจลุ ทรรศน์ที่ใช้กันในโรงเรียนจะมีจา้ นวนเลนส์ใกล้วตั ถุตา่ งๆ กนั ไปเช่น 1 อัน 2 อัน หรือ 3 อัน และมีก้าลงั ขยายต่างๆกันไป อาจเป็น ก้าลังขยายต้่าสุด x4 ก้าลังขยายขนาดกลาง x10 ก้าลังขยายขนาดสูง x40, x80 หรือทก่ี ้าลังขยายสูงมากๆ ถึงx100 ส่วนก้าลังขยาย ของเลนส์น้ัน โดยท่ัวไปจะเป็นx10 แต่ก็มีบางกล้องท่เี ป็นx5 หรือx15 ก้าลังขยายของกลอ้ งจลุ ทรรศน์ค้านวณได้จาก ผลคณู ของก้าลงั ขยายของเลนสใ์ กลว้ ัตถกุ ับก้าลังขยายของเลนสใ์ กล้ตา ซึง่ มีก้ากับไว้ทเ่ี ลนส์ การระวังรักษากล้องจุลทรรศน์ เน่ืองจากกล้องจุลทรรศน์เป็นอุปกรณ์ท่ีมีราคาสูง และมีส่วนประกอบท่ีอาจเสียหายง่าย โดยเฉพาะเลนส์ จึงต้องใช้และเก็บรักษาด้วยความระมัดระวังให้ถู กวิธี ซ่ึงมีวิธีปฏิบัติดังนี้ 1. การยกกลอ้ ง ควรใช้มอื หนึ่งจบั ท่ีแขนกล้อง (arm) และอกี มือหนงึ่ วางที่ฐาน(base) และ ต้องใหล้ ้ากล้องตง้ั ตรงเสมอ เพ่อื ป้องกันการเลือ่ นหลุดของเลนสใ์ กลต้ า ซงึ่ สามารถถอดออกไดง้ า่ ย 2. สไลดแ์ ละกระจกปดิ สไลดต์ อ้ งไม่เปียก เพราะอาจทา้ ให้แทน่ วางเกิดสนิม และทา้ ให้เลนส์ ใกล้วัตถชุ ้ืนอาจเกดิ ราทีเ่ ลนส์ได้ 3. ขณะท่ีตามองผ่านเลนสใ์ กล้ตา เม่ือจะต้องหมุนป่มุ ปรับภาพหยาบ ต้องหมุนขึ้นเท่าน้ัน หา้ มหมนุ ลง เพราะเลนส์ใกล้วตั ถอุ าจกระทบกระจกสไลดท์ า้ ให้เลนส์แตกได้ 4. การหาภาพต้องเร่ิมต้นด้วยเลนส์วัตถุก้าลังขยายต่้าสุดก่อนเสมอ เพราะปรับหาภาพ สะดวกท่สี ุด 5. เม่ือใช้เลนส์ใกล้วัตถุท่ีมีก้าลังขยายสูง ถ้าจะปรับภาพให้ชัดให้หมุนเฉพาะปุ่มปรับภาพ ละเอยี ดเท่านนั้ 6. ห้ามใช้มือแตะเลนส์ ในการท้าความสะอาดให้ใช้กระดาษส้าหรับเช็ดเลนส์เท่าน้ัน 7. เมือ่ ใช้เสรจ็ แล้วต้องเอาวตั ถุทศี่ ึกษาออก เชด็ แทน่ วางวตั ถุและเช็ดเลนส์ให้สะอาด
ใบความรู้ท่ี 3 เซลลพ์ ชื และเซลล์สตั ว์ สตั ว์ ส่ิงมีชีวิตทุกชนิดประกอบด้วยเซลล์เซลล์พืชและเซลล์สัตว์แตกต่างกันท้ังรูปร่างและหน้าที่ แต่ที่ส้าคัญคือเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมีส่วนประกอบท่ีส้าคัญ 3 ส่วนท่ีเหมือนกัน ได้แก่ นิวเคลียส ไซโทพลาสซึม และเย่ือหุ้มเซลล์ ซ่ึงเซลลพ์ ืชและเซลล์สตั ว์ มสี ่วนประกอบบางอย่างเหมอื นกันและ บางอย่างแตกตา่ งกัน เซลล์พชื (Plant Cell) พชื เปน็ สงิ่ มชี ีวติ ท่ีมโี ครงสรา้ งของเซลลแ์ ละเนอื้ เยื่อที่แข็งแรงมากกว่าเน้อื เยอื่ ของสตั ว์ เน่ืองจากในเซลลพ์ ชื มีโครงสรา้ งผนังเซลล์ทีแ่ ข็งแรง ดงั รูป กอลจบิ อดี ผนงั เซลล์ แวควิ โอล เยอื่ หมุ้ เซลล์ คลอโรพลาสต์ ไซโทพลาสซึม ไมโทคอนเดรีย นวิ คลีโอลัส นิวเคลยี ส ร่างแหเอ็นโดพลาสมกิ รูปแสดงโครงสร้างทีส่ าคัญของเซลล์พชื เซลล์พชื มีสว่ นประกอบท่ีสา้ คญั และมีหนา้ ที่ดงั น้ี 1. ผนังเซลล์ (Cell wall) เป็นผนังท่ีคลมุ เยือ่ หมุ้ เซลลไ์ ว้ สรา้ งมาจากเซลลโู ลส เป็นโครงสรา้ ง ท่ีท้าให้เซลล์พืชแข็งแรงและคงรูปอยู่ได้ เช่น เน้ือไม้ เป็นต้น ผนังเซลล์มีช่องให้น้า แร่ธาตุ และ สารอาหาร แพร่ผา่ นเข้าและออกจากเซลล์ได้
2. เยื่อหุ้มเซลล์ (Cell membrane) เป็นเยื่อบางๆ ล้อมรอบเซลล์ อยู่ถัดจากผนังเซลล์เข้ามา สรา้ งจากสารโปรตีนและไขมนั ท้าหน้าท่ีควบคุมการแลกเปลีย่ นสารระหวา่ งภายใน- ภายนอกเซลล์ 3. ไซโทพลาสซึม (Cytoplasm) เป็นของเหลวซึ่งเป็นท่ีรวมของส่ิงต่าง ๆ ท่ีอยู่ภายในเซลล์ รวมทั้งเป็นแหล่งที่เกิดปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ท่ีจะช่วยให้เซลล์ด้ารงชีวิตอยู่ได้ หรือเป็นแหล่งท่ีด้าเนิน กิจกรรมต่าง ๆ ภายในเซลล์ของส่ิงมชี วี ติ นั่นเอง 4. คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) เป็นโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นเม็ดกลม ๆ อยู่ใน ไซโทพลาสซึม ภายในคลอโรพลาสต์มีสารสีเขยี วเรียกว่า คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) ท้าหน้าที่ดักจับ พลังงานแสง เพ่อื น้ามาใชส้ ร้างอาหารในกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง เซลล์พชื ที่พบวา่ มี คลอโรพ ลาสต์อย่เู ปน็ จ้านวนมากคือ เซลลใ์ บ เซลลพ์ ชื บางเซลลก์ ไ็ ม่มคี ลอโรพลาสต์ 5. นิวเคลียส (Nucleus) มลี ักษณะเป็นกอ้ นกลมหรือค่อนขา้ งกลม อยู่ในไซโทพลาสซมึ เป็น ส่วนประกอบท่ีส้าคัญของเซลล์ มีหน้าที่ควบคุมการท้างานของเซลล์ และถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมของสงิ่ มชี วี ิตชนดิ นนั้ 6. แวคิวโอล (Vacuole) เป็นช่องว่างภายในเซลล์ ซ่ึงบรรจุของเหลวท่ีเรียกว่า นา้ เลีย้ งเซลล์ อย่ภู ายใน และเป็นท่ีเก็บสะสมของเสยี ภายในเซลล์ เซลลส์ ตั ว์ (Animal Cell) เนอ้ื เย่อื ของสตั วม์ ีลักษณะอ่อนนุม่ ไม่แข็งแกร่งเหมือนเนือ้ เยือ่ ของพชื เน่ืองจากเซลล์พืช และเซลล์สตั วม์ ีโครงสร้างบางอย่างแตกต่างกัน เซลลส์ ัตวม์ ีส่วนประกอบทีส่ า้ คัญ ดังรูป รา่ งแหเอ็นโดพลาสมิก เย่อื หุม้ เซลล์ ไลโซโซม นวิ เคลยี ส ไซโทพลาสซึม แวคิวโอ ไมโทคอนเดรีย นวิ คลโี อลสั กอลจบิ อดี รูปแสดงสว่ นประกอบที่สาคัญของเซลล์สัตว์
เซลลพ์ ชื และเซลล์สัตวม์ โี ครงสร้างบางอย่างตา่ งกัน ดังน้ี เซลลพ์ ชื เซลลส์ ัตว์ มรี ูปรา่ งเป็นเหลี่ยม มีรปู รา่ งกลม หรอื รี มผี นงั เซลล์อยดู่ า้ นนอก ไม่มผี นังเซลล์ แตม่ ีสารเคลอื บเซลล์อยู่ดา้ นนอก มีคลอโรพลาสต์ภายในเซลล์ ไมม่ คี ลอโรพลาสต์ ไมม่ เี ซนทรโิ อล มีเซนทริโอลใช้ในการแบ่งเซลล์ แวคิวโอลมขี นาดใหญ่ มองเห็นได้ชดั เจน แวคิวโอลมีขนาดเลก็ มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ไม่มไี ลโซโซม มีไลโซโซม
สรุปโครงสรา้ งและสว่ นประกอบของเซลลพ์ ืชและเซลล์สตั ว์ โครงสร้าง เซลล์พชื เซลลส์ ัตว์ 1. ส่วนหอ่ หุม้ เซลล์ มี มี - เย่ือหุม้ เซลล์ มี ไม่มี - ผนังเซลล์ มี มี 2. นิวเคลียส มี มี 3. ไซโทพลาสซึม มี มี - ร่างแหเอนโดพลาซึม มี มี - ไมโทคอนเดรีย มี มี - กอลจิคอมเพลกซ์ มี ไมม่ ี - แวควิ โอล ไมม่ ี มี - คลอโรพลาสต์ มี มี - เซนทรโิ อ ไม่มี มี - ไรโบโซม - ไลโซโซม แขง็ แรง อยู่ได้นาน มักอ่อนนมุ่ 4. ความแขง็ แรง รปู เหลย่ี ม รูปกลมรี 5. รูปรา่ งของเซลล์
ใบความรู้ท่ี 4 เรื่อง เซลลท์ เ่ี ปลยี่ นแปลงไปทาหนา้ ทพ่ี ิเศษ เซลลท์ ี่เปลยี่ นแปลงไปเพ่ือท้าหนา้ ทีต่ ่างๆ ของร่างกายมนุษย์ เชน่ รูปร่างของเซลล์ หนา้ ที่ เซลลผ์ ิวหนงั ทา้ หนา้ ทปี่ กคลมุ รา่ งกายและป้องกนั อันตราย ใหแ้ กอ่ วยั วะภายใน เซลล์ประสาท ทา้ หน้าทน่ี า้ ข่าวสารไปทวั่ รา่ งกาย เซลลก์ ล้ามเน้อื สามารถหดตัวและคลายตัว เพือ่ ชว่ ยในการ เซลล์เมด็ เลือดแดง เคลอื่ นไหว เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว เซลลก์ ระดูก ท้าหน้าท่ีล้าเลียงแก๊สออกซิเจน แก๊ส เซลลอ์ สุจิ คารบ์ อนไดออกไซด์ และสารอาหารไปทัว่ เซลลไ์ ข่ รา่ งกาย ทา้ หน้าที่ก้าจดั เชอื้ โรคทเ่ี ข้าสู่รา่ งกาย ท้าหนา้ ที่สร้างกระดูก เพอ่ื เป็นโครงสรา้ งของ รา่ งกาย มีส่วนหัวและสว่ นหางชว่ ยในการเคลือ่ นที่ไป ผสมกับเซลล์ไข่ มีอาหารสะสมไซโทพลาสซึม
ใบความรู้ที่ 5 เรื่อง สิ่งมชี ีวติ เซลล์เดียวและหลายเซลล์ สิง่ มชี วี ติ เซลล์ เดียว ถา้ เพอ่ื นๆ ตกั นา้ จากบ่อหรือสระมาศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยเฉพาะนา้ ท่ีอยูบ่ รเิ วณราก จอก แหน หรือพืชชนดิ อนื่ ๆ อาจพบสงิ่ มชี ีวติ เซลล์เดยี วบางชนิดดังในภาพต่อไปน้ี อะมบี า พารามีเซยี ม ยูกลีนา ไฮดรา พารามีเซยี ม Paramecium พารามีเซียม เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็ก สามารถพบอาศัยได้ในแหล่งน้าจืดตาม ธรรมชาติ ไม่สามารถมองดูด้วยตาเปล่าและท้าให้รู้ได้ว่านี่คือพารามีเซียม แต่เม่ือน้ามาศึกษาดู ลกั ษณะต่างๆ ดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ถึงจะบอกไดว้ ่าเป็น \"พารามีเซียม\" ซึ่งก็จะพบว่ามีรูปร่างลกั ษณะ คลา้ ยกับรองเทา้ แตะ ตวั ของพารามีเซียมได้รวมเอาระบบต่างๆ ทุกระบบที่จ้าเป็นส้าหรับการด้ารงชีวิตมารวมอยู่ ในเซลล์เพียงเซลล์เดียวได้อย่างมหัศจรรย์ พารามีเซียมจะมีขนสั้นๆ อยู่รอบๆ ตัว ขนส้ันๆ นี้ นักวิทยาศาสตร์ตั้งช่ือเรียกว่า \"ซีเลีย (cilia)\" ซ่ึงใช้ส้าหรับการเคล่ือนที่และช่วยในการกินอาหาร อาหารของพารามีเซยี มก็ ได้แก่ แบคทเี รยี เศษเน้อื เยื่อของสตั วต์ า่ งๆ โพรโตซวั อนื่ ๆ รวมถงึ เป็นพวกที่ สามารถใชส้ ารอาหาร ( หรือ nutrients) ท่ลี ะลายอยใู่ นแหลง่ น้ามาใชป้ ระโยชน์ได้โดยตรงอีกดว้ ย พารามีเซยี ม และสิง่ มีชีวิตขนาดเลก็ อ่ืนๆ ยังเป็นส่ิงมีชีวติ ท่ีมีความส้าคัญต่อระบบนิเวศ ช่วย ในการย่อยสลายสารต่างๆ ที่มีขนาดเล็ก พูดง่ายๆ ก็คือ เป็นตัวก้าจัดหรือกนิ ซากเล็กๆ ช้ันเยี่ยมเลย ทเี ดยี ว และเป็นตัวเชื่อมต่อที่ท้าให้วัฏจักรของสารด้าเนินต่อไปได้ ถ้าไม่มีส่งิ มีชีวิตเล็กๆ เหล่าน้ี เราก็ คงจมกองขยะชวี ภาพตายไปแล้ว นอกจากน้ีการท่ีพารามีเซยี มกินแบคทีเรียและโพรติสต์อนื่ ๆ ด้วย ก็ ยงั ชว่ ยควบคมุ จา้ นวนแบคทีเรียใหอ้ ยู่ในสมดุลอกี ด้วย
ส่งิ มชี ีวิตหลายเซลล์ สิ่งมีชีวิตบางชนิดขนาดเล็กมาก แต่ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ สไปโรไจราจัดเป็น สิ่งมชี วี ติ ชนดิ หน่ึงที่มีขนาดเลก็ และมีหลายเซลล์ สไปโรไจรา(Spirogyra) อาศัยอยู่บริเวณผิวน้าตามบ่อหรือแอ่งน้าท่ัวๆ ไปใน ธรรมชาติ ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ที่มีลักษณะเหมือนกัน และต่อกันแบบปลายชนปลายท้าให้ เกิดเป็นสายยาว มีกระบวนการของชีวิตครบท้ัง 7 อย่างเกิดข้ึนในแต่ละเซลล์ สไปโรไจราสามารถ สรา้ งอาหารเองได้ด้วยกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง เนอ่ื งจากมีคลอโรพลาสตเ์ รียงตวั กันอยภู่ ายใน เซลล์
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: