Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศาสนพิธี นวัตกรรมพุทธ

ศาสนพิธี นวัตกรรมพุทธ

Published by วาธิญา วิงวอน, 2020-03-01 20:21:48

Description: ศาสนพิธี นวัตกรรมพุทธ

Search

Read the Text Version

วชิ า พระพทุ ธศาสนา เร่ือง ศาสนพธิ ีของศาสนุทธ ครูผสู้ อน นางสาวพิชชาภา เพญ็ ธง กลุ่มสาระ สงั คมศึกษาศาสนา และวฒั นธรรม

คานา รายงานเล่มน้ีจดั ทาข้ึนเพ่ือเป็นส่วนหน่ึงของวชิ าพระพุทธศาสนา ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 5เพื่อให้ไดศ้ ึกษาหาความรู้ในเร่ื อง ศาสนพิธี ของศาสนาพุทธและไดศ้ ึกษาอยา่ งเขา้ ใจเพื่อเป็ นประโยชน์กบั การ เรียน ผูจ้ ัดทาหวงั ว่า รายงานเล่มน้ีจะเป็ นประโยชน์กับผูอ้ ่าน หรือ นักเรียน นักศึกษา ที่กาลงั หาขอ้ มูลเรื่องน้ีอยู่หากมีขอ้ แนะนาหรือ ขอ้ ผิดพลาดประการใด ผูจ้ ดั ทาขอนอ้ มรับไวแ้ ละขออภยั มาณ ที่น้ี ดว้ ย ผจู้ ดั ทา นางสาวพิชชาภา เพญ็ ธง

สารบญั เรื่อง หนา้ คานา 1 สารบญั 2 คาช้ีแจง 4 ความหมายของศาสนพธิ ี 5 ศาสนพิธีศาสนาพทุ ธ 6 พิธีถวายสงั ฆทาน 6 การอาราธนาศีล 5 7 พธิ ีมงคลอายุ 8 การบวชนาค 9 พิธีทาบุญข้ึนบา้ นใหม่ 13 แต่งงาน 15 วนั วสิ าฆบูชา 18

สารบญั เรื่อง หนา้ เขา้ พรรษา 18 ออกพรรษา 20 พิธีทอดกฐิน 26 วนั มาฆบูชา 30 การสวดพทุ ธมนต์ 33 งานทาบุญอฐั 36 สรุป 38

คำชี้แจง เอกสารประกอบการเรียน การใชห้ นงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ เรื่อง ศาสนพิธี ศาสนาพทุ ธ (E-BOOK) ดว้ ยโปรแกรม MICROSOFT POWERPOINT 2010 สาหรับนกั เรียนประช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 5 ใชเ้ วลาเรียน 6 ชวั่ โมง ในเอกสารประกอบดว้ ย 1.คาแนะนาสาหรับครู 2. คาแนะนาสาหรับนกั เรียน 3.มาตรฐานการเรียนรู้ 4.แบบทดสอบก่อนเรียน 5.เฉลย 6.แบบฝึ กหดั 7.เฉลย 8.แบบทดสอบหลงั เรียน

แบบทดสอบก่อนเรียน 1. “โอวาทปาฏิโมกข”์ เป็นพระธรรมเทศนาท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงใน วนั ใด ก. วนั มาฆบูชา ข. วนั วสิ าขบูชา ค. วนั เขา้ พรรษา ง. วนั ออกพรรษา 2. หลกั ธรรมที่ควรยดึ ถือปฏิบตั ิในวนั อฏั ฐมีบูชา ไดแ้ ก่หลกั ธรรมในเร่ือง ใด ก. ความดี ข. ความมกั นอ้ ย ค. ความวริ ิยะอุตสาหะ ง. ความไม่ประมาม 3. การเวยี นเทียนในวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา พทุ ธศาสนิกชนควรต้งั จิตระลึกส่ิงใดในการ เวยี นเทียนรอบท่ี 1 ก.พระพทุ ธคุณ ข. พระธรรมคุณ ค. พระสงั ฆคุณ ง. พระบริสุทธิคุณ

4. วนั ใดที่พทุ ธศาสนิกชนนิยมนาเทียนพรรษาไปถวายวดั ก. วนั วสิ าขบูชา ข. วนั ธรรมสวนะ ค. วนั เขา้ พรรษา ง. วนั ออกพรรษา 5. ประเพณีท่ีพทุ ธศาสนิกชนนิยมท ากนั ในวนั เขา้ พรรษามีหลายประการ ยกเวน้ ขอ้ ใด ก. ทาบุญตกั บาตร ข. ถวายผา้ อาบน้าฝน ค. ฟังพระธรรมเทศนา ง. ประกอบพธิ ีปวารณา 6. คาวา่ “ศาสนพธิ ี” มีความหมายตรงกบั ขอ้ ใดมากท่ีสุด ก. พิธีกรรมท่ีจดั ข้ึนในพระพทุ ธศาสนา ข. เอกลกั ษณ์ในทางวฒั นธรรมของชาวพทุ ธ ค. ข้นั ตอนพธิ ีกรรมในการปฏิบตั ิของวนั ส าคญั ทางพระพทุ ธศาสนา ง. ระเบียบแบบแผนของพิธีกรรมทางศาสนาท่ีศาสนิกชนปฏิบตั ิตามเป็น แนวทางเดียวกนั 7. ขอ้ ใด ไม่ใช่ประเภทของพทุ ธศาสนพิธี ก. กศุ ลพธิ ี ข. มงคลพิธี ค. ทานพธิ ี ง. ปกิณกพิธี 8. พิธีเวยี นเทียนในวนั ส าคญั ทางพระพทุ ธศาสนา จดั เป็นศาสนพิธีในขอ้ ใด ก. กศุ ลพิธี ข. บุญพธิ ี ค. ทานพิธี ง. ปกิณกพธิ ี

9. ขอ้ ใด คือ คุณค่าและประโยชนข์ องศาสนพธิ ี ก. ทาใหเ้ กิดความสุขกายสบายใจ ข. ผรู้ ่วมพิธีไดร้ ับการยอมรับจากสงั คม ค. ไดร้ ับความสนุกสนานและความบนั เทิง ง. ก่อใหเ้ กิดความศรัทธาต่อพระพทุ ธศาสนา 10. การถวายสงั ฆทาน มีความหมายวา่ อยา่ งไร ก. ทานที่ถวายแด่พระสงฆร์ ูปเดียว ข. สิ่งของเคร่ืองใชท้ ่ีถวายพระสงฆ์ ค. ทานที่ถวายแด่พระสงฆท์ วั่ ไป โดยไม่ก าหนดวา่ จะถวายรูปใด ง. ทานท่ีถวายเพื่อมุ่งหวงั ใหพ้ ระสงฆท์ ่ีรับไดน้ าไปใชป้ ระโยชน

เฉลย 1. ก 2. ข 3. ก 4. ค 5. ง 6. ง 7. ข 8. ก 9. ง 10. ค

หมายถึง ระเบียบแบบแผนหรือแบบอย่างท่ีถือปฎิบัติใน ศาสนา เมื่อนามาใช้ในพระพุทธศาสนา จึงหมายถึงระเบียบ แบบแผนหรือแบบอยา่ งท่ีพึงปฎิบตั ิในพระพุทธศาสนา ศาสน พิธีต่างๆ ช่วยทาให้ความศรัทธาต่อพระพทุ ธศาสนิกชนมีความ แน่นแฟ้นยิ่งข้ึนเป็ นสิ่ งตอกย้าใจให้ระลึกถึงคุณของพระ รัตนตรัยไดอ้ ยา่ งดีเยย่ี ม

การตกั บาตร จดั เป็นศาสนพิธีอยา่ งหน่ึง การถวายภตั ตาหารแก่คณะสงฆเ์ ป็นศาสนพธิ ีทาง พระพทุ ธศาสนาอยา่ งหน่ึงอยา่ งหน่ึง

ศำสนพิธี เป็ นพิธีกรรมทางศาสนาซ่ึงถือปฏิบัติเป็ น แบบอย่าง เป็ นธรรมเนียมสืบต่อกนั มา เพื่อความเป็ น ระเบียบเรียบร้อยสวยงามเป็ นแบบเดียวกัน เหตุให้ เกิดศาสนพิธีน้ีคือความนิยมทาบุญ

พุทธศาสนิกชนซ่ึงไม่ว่าจะปรารภเหตุอะไรทากัน ก็ มกั จะให้ตรงและครบตามหลกั วิธีทาบุญในทางพระพุทธศาสนา ซ่ึงพระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ทรงแนะแนวไว้ 3 หลกั คือ 1ทาน การบริจาควตั ถุส่ิงขอ 2. ศีล การรักษากายวาจาให้สงบ เรียบร้อย 3.ภาวนา การยกระดบั จิตใหส้ ูงข้ึนดว้ ยการอบรมใหส้ งบน่ิงและให้ เกิดปัญญา

ศำสนพธิ ีของศำสนำพุทธ พิธีถวายสงั ฆทาน พธิ ีถวายสังฆทาน ถวายสังฆทาน คือการถวายวตั ถุท่ีควรเป็ นทานแก่สงฆ์ มิได้ เจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหน่ึง หากถวายเจาะจงเฉพาะรูป เรียกว่า \"ปาฏิบุคลิกทาน\" ไม่ต้องมีพิธีกรรมอะไรในการถวาย ส่วน สังฆทานน้ันเป็ นการถวายกลาง ๆ ให้สงฆ์ เฉลี่ยกนั ใชส้ อย จึงมี พิธีกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะการถวายและการ อนุโมทนาของสงฆ์

การอาราธนาศีลและสมาทานศีล เบ้ืองตน้ ของการบาเพ็ญกุศลของพุทธศาสนิกชน ตอ้ งมี พิธีรับสรณคมน์และศีลก่อนแลว้ จึงค่อยอาราธนาพระปริตร ถา้ บาเพ็ญบุญเก่ียวกบั การเทศน์จึงจะอาราธนาธรรม การท่ี ขอเบญจศีลก่อนเสมอไปทุกพิธีน้นั เพ่ือชาระจิตให้บริสุทธ์ิ ให้เป็ นผู้มีศีลสมควรแก่การรองรับพระธรรมสรณคมน์ หมายความว่าขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆเ์ ป็ นที่พ่ึง ก่อนอาราธนาควรกราบพระพุทธรูป ที่โต๊ะหมู่บูชาและ บูชาพระก่อนแลว้ จึงกล่าวคาอาราธนาตามดว้ ยการสมาทาน ศีล

บุญในพิธีกรรมมงคลตา่ ง ๆ พิธีมงคลทาบุญอายุ การทาบุญอายนุ ้นั มกั นิยมทากนั ในเม่ืออายคุ รบ 25 ปี เรียกว่า วยั เบญจเพสคร้ังหน่ึง กบั เม่ืออายคุ รบ 50 ปี กบั เมื่ออายคุ รบ 50 ปี ซ่ึ งจัดว่ามีอายุมาได้คร่ึ งหน่ึงของอายุขัย อีกคร้ังหน่ึง นอกจากน้ีอาจจะมีการทาบุญครบบอบของอายใุ นรอบต่าง ๆ ได้ อีก และโดยทวั่ ไปมีส่ิงอนั พึงตอ้ งปฏิบตั ิ

การบวชนาค โกนผมนาค เริ่มโดยพอ่ แม่และญาติผใู้ หญ่ หรือผทู้ ี่มาร่วมบุญงานบวช พระในคร้ังน้ี ทาการขลิบผมให้นาคเป็ นปฐมฤกษ์ จากน้ัน พระสงฆจ์ ะทาการโกนผมให้นาค ตามประเพณีการบวชพระท่ี ปฏิบตั ิโดยทวั่ กนั น้ัน ผมนาคที่โกนแลว้ จะห่อดว้ ยใบบวั แลว้ นาไปลอยที่แม่น้าหรือวางไวใ้ ตร้ ่มโพธ์ิ โดยเช่ือวา่ จะทาใหเ้ กิด ความร่มเยน็ เป็นสุข ในการปลงผมน้นั จะปลงท่ีบา้ นหรือที่วดั ก็ ไดแ้ ลว้ แตค่ วาม

แต่โดยทวั่ ไปนิยมปลงผมที่วดั มากกว่า เนื่องจากญาติหรือ แขกผูม้ ีเกียรติท่ีมาร่วมงานจะไดม้ ีโอกาสร่วมพิธีตดั ผมนาค อีกท้ังยงั เป็ นการประหยดั เวลาของเจ้าภาพและแขกท่ีมา ร่วมงานอีกด้วย เพราะเม่ือปลงผมเสร็จจะได้ทาพิธีเวียน ประทกั ษิณรอบสีมา และเขา้ อุโบสถประกอบพิธีอุปสมบท ต่อไป

กำรซักซ้อมอันตริยกธรรม อนั ตริยกธรรม แปลว่า ธรรมที่เป็ น อนั ตรายต่อการบวช การซักซ้อมอนั ตริยกธรรม หมายถึง การ ซักซ้อมสอบถามส่ิ งท่ี เป็ นข้อห้ามสาหรับผู้ท่ีจะบวชเป็ น พระภิกษุ เช่น ไม่เป็ นโรคน่ารังเกียจ ไม่ทุพลภาพจนช่วยเหลือ ตนเองไม่ได้ ไม่มีหน้ีสินติดตัว มีอายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ เป็ น ตน้ การซกั ซอ้ มอนั ตรายกิ ธรรมเป็นการทาความเขา้ ใจระหวา่ งพระ คูส่ วดกบั ผทู้ ่ีขอ บวชเป็นพระภิกษุวา่ หากมีขอ้ หา้ มเหล่าน้ีแลว้ บวช เป็ นภิกษุไม่ได้ ซ่ึงผูข้ อบวชจะตอ้ งตอบคาถามเหล่าน้ีตามความ เป็ นจริง ท่ามกลางสงฆ์ จากน้ัน ฟังสวดญตั ติจตุตถกรรมวาจาเพื่อ ยกสามเณรข้ึนเป็ นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็ นช่วงที่ สาคญั ที่สุด เสร็จแลว้ กราบ 3 หน ประณมมือคลานเข่าถอยหลงั ออกไป พอพน้ พระสงฆ์แลว้ ลุกข้ึนไปยืนอยู่ท่ีเดิม ในกรณีที่พระ อุปัชฌายไ์ ม่บอกอนุศาสน์เอง ท่านจะมอบให้พระคู่สวดเป็ นผบู้ อก อนุ ศาสน์ พระคู่สวดเดินตามไปยืนบนอาสนะสวดบอก อนุศาสน์ การสวดบอกอนุสาสน์ท่านจะบอกเป็นภาษาบาลีไวก้ ่อน พระใหม่ฟังสวดอนุศาสน์ไปจนจบ เม่ือกลบั ถึงที่พกั แล้ว พระ อาจารยห์ รือพระพ่ีเล้ียงจะแนะนารายละเอียดเกี่ยวกบั อนุศาสน์อีก คร้ัง

7. กำรกรวดนำ้ อุทศิ ส่วนบุญส่วนกศุ ล 1. ควรเตรียมน้าสะอาดใส่ภาชนะท่ีง่ายแก่การหลง่ั ริน 2. มือขวาใชจ้ บั มือซา้ ยประคองหลง่ั น้า 3. เม่ือพระสงฆเ์ ร่ิมอนุโมทนาบท “ยะถา วาริวหา ปูรา” ให้ เริ่มกรวดน้า 4. น้าที่กรวดควรใหไ้ หลติดต่อกนั ไม่ขาดสายไม่หลงั่ น้าลง บนฝ่ ามือหรือใชน้ ิ้วรองน้า 5. ต้งั ใจอุทิศส่วนบุญในใจไปจนจบหรือกล่าวคาอุทิศส่วน บุญวา่ “อิทงั เม ญาตินงั โหตุ” ขอบุญกศุ ลน้ี จงสาเร็จ ประโยชน์แก่ญาติท้งั หลายของ ขา้ พเจา้ ดว้ ยเถิด 6. เม่ือพระสวดถึงตอนที่วา่ “มะณิ โชติระโส ยะถา” ควร หลงั่ น้าท่ีมีอยใู่ หห้ มดแลว้ ประนมมือรับพรจากพระ

แบบฝึ กหดั 1.จงอธิบายความหมายของศานพิธี 2. พธิ ีมงคลอายมุ ีลกั ษณะเป็นอยา่ งไร

เฉลย 1.ตอบ หมายถึง ระเบียบแบบแผนหรือแบบอยา่ งที่ถือปฎิบตั ิใน ศาสนา เมื่อนามาใช้ในพระพุทธศาสนา จึงหมายถึงระเบียบ แบบแผนหรือแบบอย่างท่ีพึงปฎิบตั ิในพระพุทธศาสนา ศาสน พิธีต่างๆ ช่วยทาใหค้ วามศรัทธาต่อพระพุทธศาสนิกชนมีความ แน่นแฟ้นยิ่งข้ึนเป็ นส่ิ งตอกย้าใจให้ระลึกถึงคุณของพระ รัตนตรัยไดอ้ ยา่ งดีเยย่ี ม 2.ตอบ การทาบุญอายุน้ัน มกั นิยมทากนั ในเมื่ออายุครบ 25 ปี เรียกวา่ วยั เบญจเพสคร้ังหน่ึง กบั เมื่ออายุครบ 50 ปี กบั เมื่ออายุ ครบ 50 ปี ซ่ึงจดั วา่ มีอายมุ าไดค้ ร่ึงหน่ึงของอายขุ ยั

พิธีการทาบุญข้ึนบา้ นใหม่ พิธีการทาบุญข้ึนบา้ นใหม่เพื่อความสุขสวสั ด์ิมงคลของผูเ้ ขา้ ไป อยอู่ าศยั มีความสงบสุข ร่มเยน็ มีความเจริญรุ่งเรืองและป้องกนั สรรพอนั ตรายท้งั หลายท้งั ปวง ขบั ไล่ส่ิงเลวร้ายไม่ให้กล้ากลาย เขา้ มา ตลอดจนปราศจากโรคาพยาธิท้งั ปวง พธิ ีกำร ๑. แบบด้งั เดิมนิมนตพ์ ระสงฆเ์ จริญพระพทุ ธมนตใ์ นตอนเยน็ รุ่ง ข้ึนฉนั เชา้ หรือเพล ๒. ปัจจุบนั นิมนตพ์ ระสงฆส์ วดมนตแ์ ละฉนั เพล ๓. การมงคลยกศาลพระภูมิโดยหมอพ้นื บา้ น

ข้นั ตอนการปฏิบตั ิ ๑. นิมนตพ์ ระสงฆก์ ่อนวนั ทาบุญ ๑-๕ วนั จานวน ๕-๗-๙ รูป ๒. จดั เตรียมสถานที่ประกอบพิธี ประกอบดว้ ย โต๊ะหมู่บูชา ๕, ๗, ๙ แล้วแต่ความเหมาะสมกับพ้ืนที่ พร้ อมอุปกรณ์ ได้แก่ พระพุทธรูป ผา้ ขาว แจกนั คู่ ดอกไม้ ธูปเทียน กระถางธูป เชิงเทียน คู่การจัดวางให้โต๊ะหมู่อยู่ด้านขวามือของพระสงฆ์ และให้ต้ัง พระพุทธรูปหนั หนา้ ไปทางทิศตะวนั ออกหรือทิศเหนือดา้ นขวามือ ของพระสงฆ์ การจดั อาสน์สงฆใ์ หพ้ ระสงฆอ์ ยสู่ ูงกวา่ ฆราวาสและ จดั เตรียมกระโถน แกว้ น้า และของถวายพระ ดอกไม้ ธูปเทียนและ ของปัจจยั (เงิน) การลอ้ มสายสิญจน์

แต่งงาน งานมงคล ไดแ้ ก่ การทาบุญ เพอื่ ความสุขความเจริญ โดย ปรารภเหตุดี เช่น ทาบุญวนั เกิด ทาบุญฉลองอายคุ รบ ทาบุญข้ึน บา้ นใหม่ ทาบุญเน่ืองในงานมงคลสมรส ทาบุญฉลองเกียรติยศ เหลา่ น้ีเป็นตน้ ในงานมงคลมีวธิ ีปฎิบตั ิดงั น้ี 1. อาราธนาพระสงฆ์ เม่ือกาหนดวนั งานที่แน่นอนแล้ว ไป อาราธนาพระตามจานวนท่ีตอ้ งการก่อนถึงวนั งานอยา่ งนอ้ ย 3 ถึง 7 วนั การอาราธนาน้นั ถา้ สามารถเขียนหรือพิมพเ์ ป็ นฎีกานิมนตไ์ ด้ เป็ นการดีท่ีสุด โดยบอกกาหนด วนั เดือน ปี เวลา และงานให้ ละเอียด

2. จานวนพระที่นิมนต์ ตามปกติจานวนน้ีคือ 5 รูป 7 รูป 9 รูป แต่ส่วนมากนิยมนิมนต์ 9 รูป ถือกนั ว่าเลข 9 เป็ นเลข มงคลขลงั ดี งานน้นั จะไดเ้ จริญกา้ วหนา้ ยิ่งๆ ข้ึนไป ถา้ เป็ น งานมงคลสมรสนิยมนิมนต์จานวนคู่คือ 6 รูป 8 รูป 10 รูป ส่วนมากงานมงคลสมรสนิยม 8 รูป ถา้ เป็ นพระราชพิธีนิยม 10 รูป เป็นอยา่ งนอ้ ย •

จากน้นั เจา้ พธิ ีจะอาราธนาพระปริตร หมายถึง การขอใหพ้ ระสงฆ์ เจริญสูตรที่เป็นมงคล เพ่ือกาจดั ทุกขแ์ ละโรคภยั ไขเ้ จ็บ เมื่อ พระสงฆเ์ จริญพระพทุ ธมนตไ์ ปจนถึงบทมงคลสูตร เจา้ พธิ ีจะจุด เทียนชนวนสาหรับใหค้ ู่บ่าวสาวจุดเทียนน้ามนต์ เป็นการขอให้ พระสงฆท์ าน้าพระพทุ ธมนต์ น้ามนตท์ ี่เกิดจากการสวดพระปริตร น้ี ถือวา่ เป็นน้ามนตศ์ กั ด์ิสิทธ์ิใชใ้ นกาลมงคล หรือจะนามาเป็น น้าสงั ขส์ าหรับพิธีหลงั่ น้าพระพุทธมนตแ์ ละประสาทพรตอ่ ไป

พธิ ีวิสาขบชู า ตรงกับวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 6 เป็ นวนั ประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ประชาชนจะพากนั ทาบุญตกั บาตร ฟังพระธรรมเทศนาตอนเชา้ คร้ันตอนย่าค่า ต่างพากนั นา ดอกไมธ้ ูปเทียน เครื่องสักการะไปพร้อมกนั ที่วดั เพ่ือเวียนเทียน โดยยืนเบ้ืองหน้าพระพุทธปฏิมากร กล่าวคาบูชา และ เดินเวียน เทียน ทาวตั รสวดมนต์ และฟังพระธรรมเทศนาต่อไปจนเสร็จพิธี ความหมาย คาวา่ \"วสิ าขบูชา\" หมายถึงการบูชาในวนั เพญ็ เดือน ๖ วิ สาขบูชา ย่อมาจาก \" วิสาขปุรณมีบูชา \" แปลว่า \" การบูชาในวนั เพญ็ เดือนวิสาขะ \" ถา้ ปี ใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน ๘ สองหน ก็เลื่อน ไ ป เ ป็ น ก ล า ง เ ดื อ น ๗ ความสาคญั วันวิสำขบูชำ เป็ นวนั สาคญั ยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็ นวนั ที่พระพุทธเจา้ ประสูติ คือเกิด ไดต้ รัสรู้ คือสาเร็จ ได้ ป ริ นิ พ พ า น คื อ ดั บ เ กิ ด ข้ึ น ต ร ง กั น ท้ั ง ๓ ค ร า ว คื อ

๑. เม่ือเจา้ ชายสิทธตั ถะประสูติท่ีพระราชอุทยานลุมพินีวนั ระหวา่ งกรุงกบิลพสั ดุก์ บั เทวทหะ เม่ือเชา้ วนั ศุกร์ ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ปี จอ ก่อนพทุ ธศกั ราช ๘๐ ปี ๒. เมื่อเจา้ ชายสิทธตั ถะตรัสรู้ เป็นพระพทุ ธเจา้ เม่ือพระชนมายุ ๓๕ พรรษา ณ ใตร้ ่มไมศ้ รีมหาโพธ์ิ ฝ่ังแม่น้าเนรัญชรา ตาบลอุรุ เวลาเสนานิคม ในตอนเชา้ มืดวนั พธุ ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ปี ระกา ก่อนพทุ ธศกั ราช ๔๕ ปี หลงั จากออกผนวชได้ ๖ ปี ปัจจุบนั สถานที่ตรัสรู้แห่งน้ีเรียกวา่ พทุ ธคยา เป็นตาบลหน่ึงของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย ๓. หลงั จากตรัสรู้แลว้ ไดป้ ระกาศพระศาสนา และโปรดเวไนย สัตว์ ๔๕ ปี พระชนมายไุ ด้ ๘๐ พรรษา กเ็ สดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน เมื่อวนั องั คาร ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๖ ปี มะเส็ง ณ สาลวโนทยาน ของมลั ลกษตั ริย์ เมืองกุสินารา แควน้ มลั ละ (ปัจจุบนั อยใู่ นเมืองกุ สีนคระ แควน้ อุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย)

พธิ ีเขา้ พรรษาและออก พรรษา พิธีเขา้ พรรษาและออกพรรษา ปฐมเหตุท่ีจะมีประเพณีเขา้ พรรษาในพระพทุ ธศาสนาน้นั ปรารภเหตุจาก สมยั หน่ึงพระพทุ ธองคป์ ระทบั อยู่ ร กรุง ราชคฤห์ ในขณะน้นั ยงั ไม่มีการอนุญาตเร่ืองจาพรรษา พระภิกษุสงฆจ์ ึงนาเท่ียวจาริกไปตลอดฤดูกาลแมแ้ ต่ในฤดูฝน กย็ งั เที่ยวสัญจรไปมา ทาใหไ้ ปเหยยี บยา่ ขา้ วกลา้ ในนาของ ชาวเมืองจนเสียหายประชาชนพากนั ติเตียน พระพทุ ธองคจ์ ึง ทรงบญั ญตั ิเป็นธรรมเนียมใหพ้ ระภิกษุสงฆต์ อ้ งอยจู่ าพรรษา 3 เดือน นบั ต้งั แตแ่ รม 1 ค่าเดือน 8 จนถึงกลางเดือน 11 หา้ ม มิใหไ้ ปพกั คา้ ง ณ ที่อื่น ยกเวน้ มีเหตุจาเป็น

ถือกันว่าเป็ นวนั พิเศษในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชน ขะมกั เขมน้ ในการบุญกศุ ลยง่ิ กวา่ ธรรมดาบางคนรักษาศีลอุโบสถ ตลอด 3 เดือน (ไตรมาส) บางคนไปวดั ฟังเทศน์ท้งั 3 เดือน บาง คนต้ังใจงดเวน้ บาปท้ังปวงเข้าพรรษา พระภิกษุอยู่จาพรรษา บาเพญ็ สมณธรรมใหย้ ง่ิ ๆ ข้ึนไป พระภิกษุสงฆ์เม่ือใกลถ้ ึงวนั เขา้ พรรษาก็ปัดกวาดเสนาสนะต้งั ใจ บาเพญ็ สมณธรรมยง่ิ ๆ ข้ึนไป

ส่วนพระภิกษุสงฆ์ เม่ือใกล้ถึงวันเข้าพรรษา ก็ปัดกวาด เสนาสนะ ต้งั ใจบาเพญ็ สมณธรรมยง่ิ ๆ ข้ึนไปในวนั เขา้ พรรษา จะประชุมกันในพระอุโบสถ ไหวพ้ ระ สวดมนต์ ทาพิธี เขา้ พรรษา(อธิษฐานพรรษา) แลว้ ขอขมาต่อกนั และกนั คร้ัน ในวนั ถดั ไปก็เอาดอกไม้ ธูป เทียน ไปขอขมาพระเถรานุเถระ ตา่ งวดั ซ่ึงเป็นที่เคารพนบั ถือ

วนั ออกพรรษา พระภิกษุสงฆ์จะทาการปวารณาแทนการทาอุโบสถ คือ เปิ ดโอกาสให้ว่ากล่าวตกั เตือนกนั ไดแ้ ละเม่ือออกพรรษา แล้วพระภิกษุจะไปค้างแรมที่ใดๆ ก็ได้ตามพุทธานุญาต สาหรับพุทธศาสนิกชนเมื่อถึงวนั ออกพรรษาต่างพากนั ไป ทาบุญตกั บาตร รักษาศีล เจริญภาวนา ฟังเทศน์ตาวัดวา อารามตา่ งๆ

ในวนั ออกพรรษาน้ีกิจที่ชาวบา้ นมกั จะกระทากค็ ือ การบาเพญ็ กุศล เช่น ทาบุญตกั บาตร จดั ดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระที่ วดั และฟังพระธรรมเทศนา ของท่ีชาวพุทธนิยมนาไปใส่ บาตรในวนั น้ีก็คือ ขา้ วตม้ มดั ไต้ และขา้ วตม้ ลูกโยน และการ ร่วมกุศลกรรมการ \"ตักบำตรเทโว\" คำว่ำ \"เทโว\" ย่อมำจำก\" เทโวโรหน\" แปลวา่ การเสดจ็ จากเทวโลกการตกั บาตรเทโว จึง เป็ นการระลึกถึงวนั ที่ พระพุทธองค์เสด็จกลบั จากการโปรด พระพุทธมารดาในเทวโลก

ประเพณีการทาบุญกศุ ลเน่ืองในวนั ออกพรรษาน้ี ทุกวดั ในประเทศ ไทยก็มีพิธีเหมือนกนั หมด จะผิดกนั ก็เพียงแต่สถานที่ที่สมมติว่า เป็นสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์เท่าน้นั กิจกรรมตา่ งๆ ที่ควรปฏิบตั ิในวนั ออกพรรษา ๑. ทาบุญตกั บาตรอุทิศส่วนกศุ ลใหแ้ ก่ญาติผลู้ ว่ งลบั ๒. ไปวดั เพ่ือปฏิบตั ิธรรม ฟังพระธรรมเทศนา ๓. ร่วมกศุ ลธรรม \"ตกั บาตรเทโว“ ๔. ปัดกวาดบ้านเรื อนให้สะอาด ประดับธงชาติตามอาคาร บา้ นเรือนและสถานท่ีราชการและ ประดบั ธงชาติและธงธรรมจักร ตามวดั และสถานที่สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา ๕. ตามสถานท่ีราชการ สถานท่ีศึกษาและที่วัด ควรจัดให้มี นิทรรศการ การบรรยาย หรือ บรรยายธรรม เกี่ยวกับวนั ออก พรรษาฯลฯ เพอื่ ใหค้ วามรู้แก่ประชาชนและผสู้ นใจทวั่ ไป

พธิ ีทอดกฐิน การทอดกฐิน เป็ นประเพณีที่สาคญั ของพุทธศาสนิกชนอยา่ งหน่ึง นิยมทา กนั ต้งั แต่วนั แรมค่าเดือนสิบเอด็ ไปจนถึงกลางเดือนสิบสอง คาว่า กฐิน แปลว่า ไมส้ ะดึง คือกรอบไม้ชนิดหน่ึงสาหรับขึงผา้ ให้ตึง สะดวกแก่การเย็บ ในสมัยโบราณเย็บผ้าต้องเอาไม้สะดึงมาขึงผ้าให้ตึง เสียก่อน แลว้ จึงเยบ็ เพราะช่างยงั ไม่มีความชานาญเหมือนสมยั ปัจจุบนั น้ี และ เคร่ืองมือในการเยบ็ ก็ยงั ไม่เพียงพอ เหมือนจกั รเยบ็ ผา้ ในปัจจุบนั การทาจีวร ในสมยั โบราณจะเป็ นผา้ กฐินหรือแมแ้ ต่จีวรอนั มิใช่ผา้ กฐิน ถา้ ภิกษุทาเอง ก็ จดั เป็นงานเอิกเกริกทีเดียว

เช่น ตานานกล่าวไวว้ ่า การเยบ็ จีวรน้ัน พระเถรานุเถระต่างมา ช่วยกัน เป็ นตน้ ว่า พระสารีบุตร พระมหาโมคคลั ลานะ พระ มหากสั สปะ แมส้ มเด็จพระบรมศาสดาก็เสด็จลงมาช่วย ภิกษุ สามเณรอื่น ๆ ก็ช่วยขวนขวายในการเยบ็ จีวร อุบาสกอุบาสิกาก็ จัดหาน้าด่ืมเป็ นต้น มาถวายพระภิกษุสงฆ์ มีองค์พระสัมมา สัมพุทธะเป็ นประธาน โดยนยั น้ี การเยบ็ จีวรแมโ้ ดยธรรมดา ก็ เป็ นการตอ้ งช่วยกนั ทาหลายผูห้ ลายองค์ (ไม่เหมือนในปัจจุบนั ซ่ึงมีจีวรสาเร็จรูปแลว้ )

การทอดกฐิน คือ การนาผา้ กฐินไปวางไวต้ ่อหนา้ พระสงฆอ์ ยา่ งต่า ห้ารูป แลว้ ให้พระสงฆ์รูปใดรูปหน่ึงท่ีไดร้ ับมอบหมาย จากคณะ สงฆท์ ้งั น้นั เป็นเอกฉนั ทใ์ หเ้ ป็นผรู้ ับกฐินน้นั เขตกาหนดทอดกฐิน การทอดกฐินเป็นกาลทาน ตามพระวินยั กาหนดกาลไว้ คือ ต้งั แต่ แรม 1 ค่า เดือน 11 ถึงวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 12 ผมู้ ีจิตศรัทธาเลื่อมใส ใคร่จะทอดกฐิน ก็ให้ทอดไดใ้ นระหว่างระยะเวลาน้ี จะทอดก่อน หรือทอดหลงั กาหนดน้ี กไ็ ม่เป็นการทอดกฐิน แต่มีขอ้ ยกเวน้ พิเศษ ว่า ถา้ ทายกผูจ้ ะทอดกฐินน้นั มีกิจจาเป็ น เช่นจะตอ้ งไปในทพั ไม่ สามารถจะอยู่ทอดกฐินตามกาหนดน้ันได้ จะทอดกฐินก่อน กาหนดดงั กล่าวแลว้ พระสัมมาสัมพุทธะ ทรงอนุญาตใหภ้ ิกษุจะรับ ไวก้ ่อนได้

กำรทอดกฐินในปัจจุบัน ถือว่ำเป็ นทำนพิเศษ กำหนดเวลำปี หนึ่ง ทอดถวำยได้เพยี งคร้ังเดียว ตามอรรถกถาฎีกาต่าง ๆ พอกาหนดได้ วา่ ชนิดของกฐินมีสองลกั ษณะ คือ จลุ กฐิน การทาจีวร พระพุทธเจา้ ทรงบญั ญตั ิสิกขาบท ทุกฝ่ ายตอ้ ง ช่วยกนั ทาให้เสร็จภายในกาหนดหน่ึงวนั ทาฝ้าย ปั่น กรอ ตดั เยบ็ ยอ้ ม ทาใหเ้ ป็นขนั ธ์ไดข้ นาดตามพระวินยั แลว้ ทอดถวายใหเ้ สร็จใน วนั น้นั มหากฐิน คืออาศยั ปัจจยั ไทยทานบริวารเครื่องกฐินจานวนมากไม่ รีบด่วน เพื่อจะไดม้ ีส่วนหน่ึงเป็ นทุนบารุงวดั คือทานวกรรมบา้ ง ซ่อมแซมบูรณของเก่าบา้ ง ปัจจุบนั นิยมเรียกกนั วา่ กฐินสามคั คี

วนั มาฆบูชา คาว่า \"มำฆะ\" น้ัน เป็ นชื่อของเดือน 3 ย่อมาจากคา ว่า \"มำฆบุรณมี\" หมายถึง การบูชาพระในวันเพ็ญ กลางเดือนมาฆะ ตามปฏิทินของอินเดีย หรื อเดือน 3 ก ำ ร ก ำ ห น ด วั น ม ำ ฆ บู ช ำ การกาหนดวนั มาฆบูชาตามปฏิทินจนั ทรคติของไทยน้นั จะตรงกบั วนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 3 แต่ถา้ ปี ใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือน 8 สองคร้ัง วนั มาฆบูชากจ็ ะเล่ือนไปเป็ นวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 4 และมกั ตรงกบั เดือนกมุ ภาพนั ธ์หรือมีนาคม

ความสาคัญของวันมาฆบูชา คือเป็ นวันที่พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง \"โอวำทปำติโมกข์ \" แก่ พระสงฆ์เป็ นคร้ังแรก หลังจากตรัสรู้มาแล้วเป็ นเวลา 9 เดือน ซ่ึงหลกั คาสอนน้ีเป็ นหลกั การ และวิธีการปฏิบตั ิต่าง ๆ หากสรุปเป็นใจความสาคญั จะมีเน้ือหาวา่ \"ทาความดี ละ เวน้ ความชวั่ ทาจิตใจใหบ้ ริสุทธ์ิ\"

กิจกรรมวนั มาฆบูชาที่ควรปฏิบตั ิ การปฏิบตั ิตนสาหรับพทุ ธศาสนิกชนในวนั มาฆบูชา คือ ใน ตอนเช้า ควรไปทาบุญตกั บาตร ไปวดั เพื่อฟังพระธรรมเทศนา หรือจดั สารับคาวหวานไปทาบุญถวายภตั ตาหาร ช่วงบ่าย ฟังพระ แสดงพระธรรมเทศนา เจริญสมาธิภาวนา เมื่อถึงตอนค่า นา ดอกไม้ ธูป เทียนไปเวียนเทียน 3 รอบท่ีพระอุโบสถ โดยการ เวียนเทียนน้ันจะเวียนขวา จานวน 3 รอบ และช่วงเวลาที่เดินอยู่ น้ันให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นอกจากน้ี พทุ ธศาสนิกชนควรบาเพญ็ สาธารณประโยชน์ตามสถานท่ีต่าง ๆ และรักษาศีล สาหรับตามบ้านเรือน สถานที่ราชการ จะมีการ ประดับธงชาติ ธงธรรมจักร เพ่ือระลึกถึงวันสาคัญทาง พระพทุ ธศาสนา

กำรสวดพระพทุ ธมนต์ กค็ ือ การท่ีพระสงฆส์ วดมนตใ์ นงานอวมงคลหรืองาน ปรารภเหตุเกี่ยวกบั การตาย เป็นงานทำบุญหน้ำศพ ๑. อาราธนาพระสงฆม์ าสวดพระพทุ ธมนต์ นิยมจานวนคู่ คือ ๔ - ๘ รูป ๒.ไม่ตอ้ งต้งั ภาชนะน้ามนต์ ไม่วงดา้ ยสายสิญจน์ (ไม่มีการทา น้ามนต)์

3.เตรียมสายโยงหรือภูษาโยงต่อจากศพเอาไว้ สายโยง คือ ดา้ ย สายสิญจน์นั่นเองแต่มี 3 เส้น (งานมงคลใช้ 9 เส้น) ภูษาโยง คือ แผ่นผา้ กวา้ งประมาณ 4 นิ้ว ยาวให้พอต้งั แต่พระองค์แรกตน้ แถว จนถึงพระองค์สุดท้ายปลายแถว และต้องมีสายโยงจากศพมา เช่ือมต่อกบั ภูษาโยงอีก (ควรระวงั เรื่องการเดินสายโยง อยา่ ให้สูง กวา่ พระพุทธรูปในพิธี และอยา่ ใหต้ ่ากวา่ ที่คนนง่ั อยา่ ขา้ มสายโยง หรือภูษาโยง เพราะต่อเน่ืองกบั ศพ มีไวส้ าหรับพระจบั เพ่ือบงั สุกุล การปฏิบตั ิกิจในพิธี เมื่อพระสงฆ์นั่งประจาท่ีแลว้ เจา้ ภาพจุดธูป เทียนบูชาพระรัตนตรัยก่อน แลว้ จุดธูปเทียนที่หนา้ ศพทีหลงั (แต่ บางแห่งนิยมจุดท่ีหน้าศพก่อน เสร็จแลว้ จุดท่ีโต๊ะหมู่บูชาพระ รัตนตรัยทีหลงั ดว้ ยใหเ้ หตุผลวา่ เพื่อใหผ้ ูต้ ายไดบ้ ูชาพระรัตนตรัย ร่วมกนั ขอ้ เท็จจริงเป็ นอยา่ งไรขอใหผ้ ูร้ ู้ควรวินิจฉัยเองเถิด) เสร็จ แลว้ กล่าวคาบูชาพระรัตนตรัย อาราธนาศีล - รับศีล - อาราธนาศีล (บางแห่งไม่ตอ้ อาราธนา พระสงฆส์ วดเลยกม็ )ี

ถา้ มีการเล้ียงพระดว้ ย พอพระฉนั เสร็จพิธีกรหรือเจา้ ภาพคลี่สาย โยง หรือภูษาโยงต้ังแต่พระองค์แรกต้นแถวจนถึงพระองค์ สุดทา้ ยปลายแถว เจา้ ภาพและญาติพ่ีนอ้ งทอดผา้ บงั สุกุลบนสาย โยงหรือภูษาโยงท่ีคลี่ทอดยาวไวแ้ ล้ว ถ้ามีถวายไทยธรรมจะ ถวายพระดว้ ยนิยมกลดั ติดไวก้ บั ผา้ สบง จีวร หรือที่เรียกกนั วา่ ผา้ บงั สุกุลท่ีวางจะทอดน้ัน แลว้ นั่งประจาที่ พอพระสงฆ์ท่านชกั บังสุกุลเจ้าภาพและผูม้ ีเกียรติท่ีมาร่วมงานทุกท่านประนมมือ ต้ังใจฟังจนจบ เม่ือพระสงฆ์อนุโมทนาเริ่มบทว่า “ยถา วาริ วหา……” เจา้ ภาพพึงกรวดน้าอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลท่ีไดบ้ าเพญ็ แลว้ ใหแ้ ก่ผลู้ ่วงลบั ไปแลว้ เม่ือพระสงฆร์ ับพร้อม ๆ กนั วา่ “สัพพี ติโย…” พึงประนมมือรับพรไปจนจบ แลว้ กราบพระ ๓ คร้ัง

งำนทำบุญอฐั ิ พธิ ีฝ่ ายเจา้ ภาพ พึงจดั ตระเตียมทานองเดียวกบั งานทาบุญหนา้ ศพที่กล่าวแลว้ ทุกประการ ต่างแต่เพียงงานน้ีเป็นงานทาบุญหนา้ อฐั ิหรือรูปที่ระลึกของผูท้ ี่ล่วงลบั เป็ นตน้ เจา้ ภาพตอ้ งเตรีมท่ีต้งั อฐั ิหรือที่ต้งั รูประลึกน้ัน ๆ ต่างหากจากโต๊ะบูชา จะใชโ้ ต๊ะหมู่ หรือโตะ๊ อื่นใด ท่ีสมควรก็ได้ ให้มีออกไมต้ ้งั หรือประดบั พองาม ตามแต่จะพึงจดั ได้ และต้งั กระถางธูปกบั เชิงเทียน ๑ คู่ ที่หน้า โต๊ะอฐั ิหรือรูปน้ันดว้ ยเพื่อบูชา จะใชพ้ านหรือกระบะเครื่องห้า สาหรับบูชาแทนกไ็ ด้ ขอ้ สาคญั ใหด้ ูงามเด่นพอควร เป็นใชไ้ ด้

พิธีฝ่ ายภิกษุสงฆ์ ส่วนใหญ่ก็พึงปฏิบัติเช่นเดียวกับงาน ทาบุญหนา้ ศพ ตา่ งแต่ การสวดมนต์ นิยมใชส้ ูตรอื่นจากอนตั ต ลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร และธรรมนิยามสูตร ที่ใช้ สาหรับงานทาบุญศพ ๗ วนั ๕๐ วนั ๑๐๐ วนั หรือหน้าวนั ปลงศพดงั กล่าวแลว้ (ในปัจจุบนั สวดธรรมนิยามสูตรก็มี) ท้งั น้ีแลว้ แต่หัวหน้าสงฆ์ จะกะนัดหมาย หรือเจ้าภาพจานง หมาย เช่น สติปัฏฐานปาฐะ เป็นตน้

แบบฝึ กหดั 1.จงอธิบายพธิ ีทอดกฐิน มาโดยสงั เขป 2.งานทาบุญอฐั คืออะไร 3.นกั เรียนไดค้ วามรู้อะไรจากการเรียนเร่ืองศาสนพิธี ศาสนา พทุ ธบา้ ง

เฉลย 1.ตอบ การทอดกฐิน เป็นประเพณีท่ีสาคญั ของพทุ ธศาสนิกชน อยา่ งหน่ึง นิยมทากนั ต้งั แตว่ นั แรมค่าเดือนสิบเอด็ ไปจนถึง กลางเดือนสิบสอง คาวา่ กฐิน แปลวา่ ไมส้ ะดึง คือกรอบไมช้ นิดหน่ึงสาหรับขึงผา้ ใหต้ ึง สะดวกแก่การเยบ็ ในสมยั โบราณเยบ็ ผา้ ตอ้ งเอาไมส้ ะดึง มาขึงผา้ ใหต้ ึงเสียก่อน แลว้ จึงเยบ็ เพราะช่างยงั ไม่มีความชานาญ เหมือนสมยั ปัจจุบนั น้ี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook