Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore e-bookหน่วยที่1

e-bookหน่วยที่1

Published by nongaimrattikarn086, 2020-08-15 04:40:32

Description: e-bookหน่วยที่1

Search

Read the Text Version

ใบความรู้ หนว่ ยท่ี 2 เรอื่ ง พุทธประวัติ กล่มุ สาระสังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม ช้นั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ประสูติ พระพุทธเจา้ หรือเจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระราชโอรสของพระนางสริ ิมหามายาและพระเจ้าสุทโธทนะ กษัตริยศ์ ากวงศ์โคตมโคตรแห่งกรงุ กบิลพสั ดุ์ ประสูติ ณ ปา่ ลุมพินีวนั หรือพระราชอุทยานลมุ พินีวนั มีอาณาเขต ติดตอ่ กนั ระหวา่ งกรงุ กบลิ พัสด์กุ ับกรงุ เทวทหะในวนั ศุกร์ข้ึน 15 ค่า เดอื น 6 เวลาใกลเ้ ทีย่ ง ก่อนพุทธศกั ราช 80 ปี การบาเพ็ญเพยี ร เมื่อเจ้าชายสิทธตั ถะทรงมีพระชนมายุได้ 29 พรรษา ทรงเบอื่ หนา่ ยทางโลกเพราะทรงเห็น เทวทตู 4 คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะ จึงเสด็จออกบรรพชาเพ่ือคน้ หาทางดบั ทกุ ข์ให้แก่สตั วโ์ ลก

เมอ่ื พระองคเ์ สดจ็ ออกบรรพชาแล้ว พระองค์ไดไ้ ปศึกษาทสี่ า่ นักอาฬารดาบส กาลามาโคตร และ ส่านกั อุทกดาบส รามบุตร แตก่ ไ็ มส่ ามารถหาทางดบั ทกุ ข์ได้ พระองคจ์ งึ ลาอาจารยท์ ั้งสองไปศึกษาหาความรู้ ดว้ ยพระองค์เอง โดยเสดจ็ เดนิ ทางไปจนถึงแม่น้่าคยา ซ่ึงอยู่ทีต่ า่ บลอุรเุ วลาเสนานิคม อันเปน็ สถานท่รี ่มรื่น มีอากาศดี มี ความสงบเงียบ เหมาะสา่ หรับการบ่าเพ็ญเพยี รอย่างยิง่ ในทีส่ ดุ พระองคท์ รงตดั สินพระทยั บ่าเพญ็ เพียรอยู่ทน่ี ่ี โดยทรงบา่ เพ็ญทกุ รกริ ยิ า (ความเพียรทบี่ ุคคลทั่วไปท่าไดย้ าก) ดังน้ี วธิ ที ี่ 1 ขบฟันดว้ ยฟัน คือกดั ฟันเขา้ หากนั อย่างแรง เมื่อท่านาน ๆ จะเกดิ ความร้อนข้นึ ในร่างกาย จนกระทัง่ มีเหง่ือไหลออกจากรักแร้ วิธที ่ี 2 กลั้นลมหายใจ คอื กลน้ั ลมหายใจให้ไดน้ านท่ีสดุ ท้ังปากและจมูก วิธีน้ถี ้าเตม็ ทแ่ี ล้วลมจะออก ทางช่องหู ท่าให้หอู ื้อปวดศีรษะจกุ เสียด เกิดความร้อนทั่วรา่ งกายเหมือนนงั่ อยู่ในกองไฟ วธิ ที ่ี 3 อดอาหาร คือ ไม่กนิ อาหาร วิธีท่า คอื ค่อย ๆลดปริมาณอาหารลงจนกระท่งั ตดั ขาดเลย เม่ือถึง ท่ีสดุ แล้วร่างกายจะผอมเหลือแต่หนังหุม้ กระดกู และหมดเร่ียวแรง พระองค์ทรงบ่าเพ็ญทุกรกริ ิยาดว้ ยวิธีทงั้ สาม จนพระวรกายของพระองคซ์ ูบผอม เหลอื แต่หนังหุ้ม กระดูก กย็ งั ไมส่ ามารถตรสั ร้ธู รรมวิเศษได้ ตอ่ มาคนื หน่ึง เทวดาได้นิมิตดีดพณิ สามสายให้พระองค์ฟัง คือ สายทห่ี นงึ่ ขึงไว้ตงึ เกนิ ไป พอดดี สายก็ ขาด สายท่สี อง หย่อนเกนิ ไป พอดีดเสียงจะไมไ่ พเราะ สายทสี่ าม ขงึ ไว้ปานกลาง พอดีดเสยี งจะไพเราะน่าฟัง มาก เมื่อพระองค์ทรงเหน็ ดังนน้ั พระองคก์ ท็ รงเปรยี บเทยี บกบั การปฏิบตั ขิ องพระองค์ โดยพระองค์ทรงเห็น ว่าการบ่าเพ็ญทกุ รกริ ิยาน้ันเหมอื นกับพิณสายท่ีหนง่ึ คือตงึ เกนิ ไป พระองคจ์ งึ ทรงตัดสินพระทัยเลิกบ่าเพญ็ ทุกร กิริยา ทรงหันมาฝึกปฏิบตั ิทางสายกลางคือฉนั ภัตตาหารตามปกตแิ ละทรงเจรญิ สมาธภิ าวนา

ผจญมาร หลังจากทพี่ ระองค์ทรงเลกิ บ่าเพญ็ ทุกรกิริยาและทรงหนั มาเจริญสมาธภิ าวนาได้ครงึ่ เดอื นก็ถึงวันขนึ้ 15 ค่าเดอื น 6 ตอนเชา้ วันนน้ั นางสุชาดา บตุ รสาวของนายบ้านเสนานิคมไดห้ ุงข้าวมธุปายาส (ข้าวสุกหุงด้วย นมโค) ไปถวายพระองค์ ตอนบา่ ยพระองค์ทรงประทับพักผ่อนท่ีดงไม้สาละ ตอนเยน็ พระองค์ทรงรบั หญ้าคาของนายโสตถยิ ะพราหมณ์ 8 ก่า ต่อจากน้ันทรงลาดหญา้ คาต่าง บัลลงั กท์ รงหนั พระพักตร์ไปทางทศิ ตะวันออก ทรงนง่ั พิงต้นศรีมหาโพธิ์ แล้วทรงอธษิ ฐานวา่ แมห้ นงั เอ็น กระดูกและเนื้อเลือดในกายจะเหือดแห้งไปกต็ าม หากยังไม่บรรลุโมกธรรม จะไมล่ กุ ข้ึนจากทีน่ ั่งตราบนัน้ แต่พระองค์ก็ยงั ทรงประทบั นั่งตามปกติมิไดห้ วนั่ ไหว พระองค์ทรงนึกพระบารมีทีท่ รงบ่าเพญ็ มาทุก ชาตใิ นขณะเดียวกันพระแม่ธรณีไดผ้ ดุ จากพื้นดนิ บิดมวยผมให้น้่าไหลท่วมบรเิ วณนน้ั และเกิดกระแสน้า่ ไหลพัด พวกเสนามารพากันหนี้กระเจิดกระเจงิ พระยามารจงึ ยอมแพ้และยกทัพกลบั ไป ตรสั รู้ หลงั จากท่พี ระองค์ทรงชนะพระยามารแล้ว พระองค์ได้ทรงเจริญสมาธภิ าวนาต่อ ในทสี่ ุดพระองค์ได้ พระองค์ทรงรูแ้ จม่ แจง้ เมื่อตอนใกลร้ ุ่งวันขึน้ 15 ค่า เดือน 6 ปีจอ กอ่ นพทุ ธศักราช 45 ปี ณ ใต้ตน้ ศรี มหาโพธ์ิ ริมฝัง่ แม่นา่้ เนรญั ชราต่าบลอุรเุ วลาเสนานคิ ม รวมพระชนมายุได้ 35 พรรษา และทรงไดร้ ับพระนาม ใหม่ว่า “พระสัมมาสมั พุทธเจ้า”

ปฐมเทศนา หลังจากพระองค์ได้ตรัสรูเ้ ป็นสัมมาสมั พุทธเจา้ แลว้ พระองคป์ ระทับเสวยวิมุตติสขุ (ความสขุ ทีเ่ กิดจาก ความหลดุ พ้นจากกเิ ลส) ตามสถานที่ตา่ ง ๆ รวม 7 แหง่ แห่งละ 7 วนั รวม 7 สปั ดาห์ ในสปั ดาหส์ ุดท้าย พระองค์ไดต้ ดั สนิ พระทัยเผยแผ่ธรรมท่ีพระองค์ทรงตรัสรโู้ ดยทรงเห็นว่ามนุษย์เราเหมอื นดอกบวั 4 เหลา่ เมื่อพระองค์ทรงเล็งเหน็ ดงั นแ้ี ลว้ พระองคจ์ ึงตดั สนิ พระทัยทจ่ี ะแสดงธรรมโปรดผูม้ สี ติปญั ญาเฉลยี ว ฉลาดก่อน คร้ังแรกนึกถึงอาจารยอ์ าฬารดาบส และอาจารย์อุทกดาบส แตท่ า่ นทัง้ สองไดถ้ ึงแกก่ รรมแลว้ จงึ ทรงนกึ ถึงปญั จวคั คยี ์ คือ โกณฑญั ญะ วัปปะ ภทั ทิยะ มหานามะ และอสั สชิ ซง่ึ ทง้ั ห้าท่านนนั้ เคยอุปฏั ฐาก พระองค์ในสมยั บ่าเพ็ญทุกรกิรยิ า ขณะน้ีท่านทงั้ หา้ นน้ั พักอยทู่ ีป่ า่ อสิ ิปตนมฤคทายวนั พระองคจ์ ึงเสด็จไปที่น่นั ในตอนเยน็ วันข้นึ 14 ค่า เดือน 8 พระองคป์ ระทบั พักแรมอย่กู ับปัญจวคั คีย์ 1 คืน พอรงุ่ เช้าซง่ึ ตรงกบั วันขน้ึ 15 ค่า เดอื น 8 พระองค์ก็ทรงแสดงธรรมเทศนากัณฑแ์ รก หรือ เรยี กวา่ ปฐม เทศนา ชอื่ ธัมมจักกปั ปวตั นสูตรโปรดปญั จวัคคยี ์ ในทส่ี ดุ ทา่ นโกณฑัญญะได้ดวงตาเหน็ ธรรมเปน็ คนแรก และได้นามใหม่วา่ อญั ญาโกณฑญั ญ และขอ บวชเป็นพระภกิ ษุในพระพุทธศาสนา จงึ นบั ว่ามีพระสงฆเ์ กิดข้ึนคร้งั แรกในโลก และพระรัตนตรยั ครบ 3 ใน วันนี้เอง ซึ่งตรงกับวันขึน้ 15 ค่า เดอื น 8 ปัจจบุ นั เรยี กวา่ วันอาสาฬหบชู า ปรนิ พิ พาน ภายหลงั ที่พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ตรัสรู้แลว้ พระองค์ทรงบ่าเพญ็ พุทธกจิ เสดจ็ จาริกเทศนา เผยแผพ่ ระ ศาสนาโดยไม่ทรงยอ่ ทอ้ ต่อความเหน่อื ยยากลา่ บาก ทรงเห็นความหลุดพ้นจากทกุ ข์ของสัตว์โลกทีเ่ ป็นทต่ี ั้ง และ ทรงตัง้ พระธรรมวินยั ไวเ้ ป็นหลักพระศาสนาเป็นศาสดาแทนพระองค์ด้วย ทรงรลู้ ่วงหน้าถึงวนั ส้ินพระชนม์ของพระองค์ จนพระชนมายุได้ 80 พรรษา พระองคท์ รงปรินิพพาน ระหวา่ งไม้สาละ 2 ต้น ณ ปา่ ไมส้ าละเมืองกสุ นิ ารา ตอนใกลร้ งุ่ ของวันองั คาร ข้นึ 15 ค่า เดอื น 6