Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 7 ขวัญชนก129 , พงศกร 132

บทที่ 7 ขวัญชนก129 , พงศกร 132

Description: บทที่ 7 ขวัญชนก129 , พงศกร 132

Search

Read the Text Version

วชิ า อนิ ทอร์เน็ตและพาณิชยอ์ เิ ล็กทรอนิกส์พืน้ ฐาน นางสาวขวัญชนก สบื สิงคาน รหัสนักศกึ ษา 4631071141129 ออกแบบภายในปี 3 ภาคปกติ นายพงศกร โชติธนเจริญนิยม รหสั นกั ศึกษา 4631071141132 ออกแบบภายในปี 3 ภาคปกติ บทท่ี 7 เรอื่ งประเภทของเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ อภิปรายและตอบคาถามในหวั ข้อดงั ต่อไปน้ี 1. จงบอกประเภทของเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ = ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นระบบสื่อสารข้อมูลที่ถูกออกแบบให้มีการใช้ทรัพยากรเครือข่ายร่วมกัน ทั้งนี้ เป็นเพราะอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ผู้ใช้หลายๆ คนสามารถใช้ร่วมกันในระบบเครือข่ายรวมทั้งซอฟต์แวร์ที่มีราคาแพง ซึ่งสามารถใช้หลายๆคนพร้อมกันได้หรือเมื่อมีความต้องการที่จะโอนถ่ายแฟ้มข้อมูลของผู้ใช้ระบ บเครือข่ายโดย เครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถจาแนกได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ ได้แก่ ขนาดกายภาพทางภูมิศาสตร์ของ เครือข่าย ลักษณะหน้าที่การทางานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่าย และระดับความปลอดภัยของข้อมูลรวมถึง ลักษณะการแลกเปลยี่ นข้อมลู ของคอมพวิ เตอร์ โดยทว่ั ไปการจาแนกประเภทของเครือข่ายมีอยู่ 3 วิธี 1. ใช้ขนาดกายภาพทางภมู ศิ าสตรข์ องเครือขา่ ยเป็นเกณฑ์แบ่งออกไดเ้ ปน็ 3 ประเภทดงั น้ี 1.1 เครือข่ายท้องถ่ิน (LAN: Local Area Network) 1.2 เครือขา่ ยในเขตเมอื ง (MAN: Metropolitan Area Network) 1.3 เครือขา่ ยบริเวณกว้าง (WAN: Wide Area Network) 2. ใชล้ กั ษณะหน้าทีก่ ารทางานของคอมพวิ เตอร์ในเครือขา่ ยเปน็ เกณฑ์สามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภทดงั น้ี 2.1 เครือข่ายแบบเทา่ เทยี ม (Peer-to-Peer Network) 2.2 เครอื ข่ายแบบผู้ใชบ้ ริการและผู้ให้บริการ (Client-Server Network) 3. ใชร้ ะดับความปลอดภัยของขอ้ มูลเป็นเกณฑ์สามารถแบ่งได้ 3 ประเภทดังน้ี 3.1 เครือขา่ ยสาธารณะ (Internet) 3.2 เครอื ข่ายสว่ นบคุ คล (Intranet) 3.3 เครอื ข่ายร่วม (Extranet)

2. ระบบเครอื ข่ายคอมพวิ เตอรส์ ามารถจาแนกได้กป่ี ระเภทอะไรบ้าง = สามารถจาแนกประเภทของเครอื ข่ายได้ 3 ประเภท 1. ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอรแ์ บ่งตามขนาดกายภาพทางภูมิศาสตร์ 2. ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอรแ์ บ่งตามหนา้ ที่ของคอมพวิ เตอร์ 3. ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งตามระดบั ความปลอดภัยของขอ้ มูล 3.ประเภทเครอื ข่ายทใ่ี ชข้ นาดทางกายภาพของเครอื ข่ายเปน็ เกณฑ์แบ่งเปน็ กี่ ประเภทอะไรบ้างจงอธิบาย = สามารถแบง่ ประเภทเครอื ขา่ ยที่ใช้ขนาดทางกายภาพของเครอื ข่ายได้ 3 ประเภท 1. เครือข่ายทอ้ งถิน่ (LAN: Local Area Network) เป็นรากฐานของเครือข่ายคอมพิวเตอรท์ ัว่ ไปเป็นการเชื่อมโยง เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ถึงกันท้งั หมดโดยอาศัยส่ือกลาง มีการแบ่งแยกเครือข่ายออกเปน็ 2 รูปแบบการเชื่อมโยงคือ การเชื่อมโยงภายในพื้นที่ระยะใกล้หรอื แลน (LAN) และการเชื่อมโยงระยะไกลหรือแวน (WAN) โดยการเชื่อมโยง เครือขา่ ยแบบแลน มี 3 รูปแบบ 1.1 แบบบัส (Bus) มีการรับส่งข้อมูลด้วยความเร็ว 10-100 MB/s จะเชื่อมต่อกันบนสายสัญญาณเส้น เดยี วกนั โดยจะมีอปุ กรณ์ที่เรียกว่า T-Connector เปน็ ตัวแปลงสัญญาณข้อมูลเพอื่ นาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และ Terminator ในการปิดหัวท้ายของสายในระบบเครือข่ายเพื่อดูดซับข้อมูลไม่ให้เกิดการสะท้อนกลับของสัญญาณ โทโปโลยี (Topology) แบบบัสทุกโหนดในเครือข่ายจะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า BUS หรือ Backbone โหนดจะต้องรอให้บัสว่างก่อนที่จะส่งข้อมูลได้ เนื่องจากมีสายสื่อสารหลักเพียงสายเดียว มิฉะนั้นจะ เกิดการชนกันในกรณีที่มีข้อมูลวิ่งในบัส โหนดแต่ละโหนดจะต้องตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลของตนเองหรือไม่ หาก ไม่ใชก่ จ็ ะไมส่ นใจแต่ถา้ ใชก่ จ็ ะรบั ข้อมูลเขา้ ไป 1.2 แบบริง (Ring) เป็นระบบที่มีการส่งข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันโดยจะมีเครื่อง Server หรือ Switch ในการปล่อย Token เพื่อตรวจสอบว่ามีเครื่องคอมพิวเตอร์ใดต้องการส่งข้อมูลหรือไม่และระหว่างการส่งข้อมูล เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆท่ีต้องการส่งข้อมูลจะต้องทาการรอให้ข้อมูลก่อนหน้านั้นถูกส่งให้สาเร็จเสียก่อน (Topology) แบบวงแหวนข้อมูลข่าวสารจะไหลวนอยู่ในเครือข่ายไปในทิศทางเหมือนวงแหวนแต่ละโหนดจะรับ แพ็กเกจข้อมูล (Token) ที่ไหลผ่านมาและตรวจสอบว่าเป็นข้อมูลที่ส่งมาให้ตนหรือไม่ ถ้าใช้ก็จะคัดลอกข้อมูลนัน้ เก็บไว้แต่ถา้ ไมใ่ ชก่ จ็ ะปล่อยข้อมูลนั้นไปยงั โหนดถดั ไป

1.3 แบบสตาร์ (Star) เปน็ ระบบท่ีมีเป็นการต่อแบบรวมศนู ย์ โดยเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ทุกเครื่องจะต่อสาย เข้าไปที่อุปกรณ์ที่เรียกว่า Hub หรือ Switch โดยอุปกรณ์ที่เรียกว่า Hub หรือ Switch จะทาหน้าที่เปรียบ ศูนย์กลางที่ทาหน้าที่กระจายข้อมูล โดยข้อดีของการต่อในรูปแบบนี้คือหากสายสัญญาณเกิดขาดในคอมพิวเตอร์ เครื่องใดเครื่องหนึ่ง เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นๆจะสามารถใช้งานได้ปรกติแต่หากศูนย์กลางคือ Hub หรือ Switch เกิดเสียจะทาให้ระบบทั้งระบบไม่สามารถทางานไดท้ ั้งระบบ โทโปโลยี (Topology) แบบรูปดาวเป็นการเชื่อมโยง การติดตอ่ สื่อสารที่มีลักษณะคลา้ ยกับรปู ดาวมี ศนู ย์กลางเรยี กวา่ ฮบั เปน็ จุดผา่ นการตดิ ต่อกันระหว่างทุกโหนดใน เครือข่ายศูนย์กลางจึงมีหน้าที่เป็นศูนย์ควบคุมเส้นทางการสื่อสารท้ังหมดภายในนอกจากนี้ศูนย์กลางยังทาหน้าท่ี เปน็ ศูนยก์ ลางข้อมูลอีกดว้ ย การสื่อสารภายในเครือข่ายแบบSTAR จะเป็นแบบ 2 ทิศทางโดยจะอนุญาตให้มีเพียง โหนดเดียวเทา่ น้ันที่สามารถส่งข้อมลู เขา้ สู่เครือขา่ ยจึงไม่มีโอกาสท่ีหลายๆ โหนดจะสง่ ข้อมูลเข้าสู่เครือข่ายในเวลา เดียวกัน เพื่อป้องกันการชนกันของสัญญาณข้อมูลเครือข่ายแบบ STAR เป็นโทโลยีอีกแบบหนึ่งที่เปน็ ที่นิยมใช้กัน ในปัจจบุ นั 2. เครือข่ายในเขตเมือง (MAN: Metropolitan Area Network) คือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่มากจะมี ขนาดครอบคลุมเมืองหรือบริเวณมหาวิทยาลัย ระบบโครงสรา้ งพ้ืนฐานโดยปกตแิ ลว้ จะเป็นระบบไรส้ ายเช่นการใช้ คลื่นไมโครเวฟหรือใช้ ใยแก้วนาแสงเป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างสถานที่ต่างๆเข้าด้วยกัน ตัวอย่างการใช้งานจริง เช่น ภายในมหาวิทยาลัยหรือในสถานศึกษา จะมีระบบแมนเพื่อเชื่อมต่อระบบแลนของแต่ละคณะวิชาเข้าด้วยกันเป็น เครือข่ายเดียวกัน ในวงกว้างเทคโนโลยีที่ใช้ในเครือข่ายแมนได้แก่ ATM FDDI และ SMDS ระบบเครือข่ายแมนท่ี จะเกิดในอนาคตอันใกล้คือระบบที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ภายในเมืองเข้าด้วยกัน โดยผ่านเทคโนโลยี Wi-Max การส่งข้อมูลของเครือข่ายแมนจะขึ้นกับช่องทางการสื่อสาร ที่อาจมีความเร็วปานกลางจนถึงความเร็วสูง ระบบ การส่งข้อมูลที่ใช้ในเครือข่ายแมนนั้นมีทั้งแบบใช้สายสัญญาณและแบบไม่ใช้สายสัญญาณแต่จะใช้คลื่นไมโครเวฟ หรือคลน่ื วทิ ยแุ ทนก็ได้ 3. เครือข่ายบริเวณกว้าง (WAN: Wide Area Network) คือระบบเครือข่ายที่เชื่อมโยงเครือข่ายแบบท้องถิ่น ตั้งแต่ 2 เครือข่ายขึ้นไปเข้าด้วยกันผ่าน ระยะทางที่ไกลมากโดยการเชื่อมโยงจะผ่านช่องทางการสื่อสารข้อมูล สาธารณะของ บริษัทโทรศัพท์หรือองค์การโทรศัพท์ของประเทศต่างๆ เช่น สายโทรศัพท์แบบอนาล็อก สายแบบ ดิจิทัล ดาวเทียม ไมโครเวฟ เป็นต้น LAN เป็นเทคโนโลยีสาหรับการเช่ือมต่อเครือข่ายภายในอาคาร หรือพื้นที่ทีม่ ี รัศมปี ระมาณ 2-3 กโิ ลเมตร สว่ น WAN เป็นเครือข่ายที่ใช้สาหรับการเชื่อมต่อระยะไกล เช่น เครือข่ายภายในหรือ ระหว่างเมืองหรือแม้กระทั่งการเชื่อมต่อระหว่างประเทศทั่วโลก เทคโนโลยีที่จัดอยู่ในประเภท WAN เช่น รีโมท

แอ็กเซสส์ (Remote Access) สายคู่เช่า (Leased Line) ISDN (Integrated Service Digital Network) ADSL (Asynchronous Digital Subscriber Line) และระบบดาวเทยี ม เป็นตน้ 4.ประเภทเครือข่ายทใ่ี ช้ลักษณะหน้าท่ีการทางานของคอมพิวเตอรใ์ นเครือขา่ ยเป็นเกณฑ์ สามารถแบง่ ไดก้ ่ี ประเภท อะไรบา้ งจงอธบิ าย = ประเภทเครือข่ายที่ใช้ลักษณะหน้าที่การทางานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายเป็นเกณฑ์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท 1. เครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer to Peer Network) เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดย เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะสามารถแบ่งทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์หรือเครื่องพิมพ์ซึ่งกันและกัน ภายในเครือข่ายได้ เครื่องแต่ละเครื่องจะทางานในลักษณะที่ทัดเทียมกันไม่มเี คร่ืองใดเครื่องเครื่องหนึ่งเปน็ เครื่อง หลักเหมือนแบบ Client/Server แต่กย็ งั คงคุณสมบัติพ้ืนฐานของระบบเครือข่ายไว้เหมือนเดิม การเชื่อมต่อแบบนี้ มักทาในระบบที่มขี นาดเล็กๆ เช่น หน่วยงานขนาดเล็กทีม่ ีเครื่องใช้ไม่เกิน 10 เครื่อง การเชื่อมต่อแบบนี้มจี ดุ อ่อน ในเรอ่ื งของระบบรักษาความปลอดภัย แตถ่ า้ เปน็ เครอื ข่ายขนาดเล็กและเป็นงานที่ไม่มขี ้อมูลท่ีเปน็ ความลับมากนัก เครือขา่ ยแบบนกี้ ็เป็นรูปแบบท่นี ่าเลอื กนามาใช้ได้เป็นอยา่ งดี 2. เครือข่ายแบบไคลเอนท์เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server Network) เป็นระบบที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องมี ฐานะการทางานท่ีเหมือนๆกันเท่าเทยี มกัน ภายในระบบเครอื ข่ายแต่จะมเี คร่ืองคอมพวิ เตอร์เคร่ืองหน่ึงท่ีทาหน้าที่ เป็นเครื่อง Server ที่ทาหน้าที่ให้บริการทรัพยากรต่างๆ ให้กับเครื่อง Client หรือเครื่องที่ขอใช้บริการซ่ึงอาจจะ ต้องเป็นเครื่องที่มีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างสูง ถึงจะทาให้การให้บริการมีประสิทธิภาพตามไปด้วย ข้อดีของระบบ เครือข่าย Client - Server เป็นระบบที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงกว่าระบบแบบ Peer To Peerเพราะว่าการ จดั การในดา้ นรกั ษ ความปลอดภยั นนั้ จะทากันบนเครื่อง Server เพียงเคร่ืองเดยี ว ทาใหด้ ูแลรกั ษาง่ายและสะดวก มกี ารกาหนดสทิ ธิการเข้าใช้ทรัพยากรต่างๆให้กับเครือ่ งผู้ขอใชบ้ ริการหรือเครื่อง Client 2.1 ประเภทของเซิร์ฟเวอร์ทีใ่ ห้บริการต่าง ๆ เครอ่ื งศนู ย์บริการข้อมูลโดยมักเรียกว่าเครื่องเซิร์ฟเวอร์เป็น คอมพิวเตอร์ที่ทาหน้าที่บริการทรัพยากรให้กับเครื่องลูกข่ายบนเครือข่าย เช่น บริการไฟล์ (File Server) การ บริการงานพิมพ์ (Print Server) เป็นต้น เครื่องเซิร์ฟเวอร์อาจเป็นคอมพิวเตอร์ระดับเมนเฟรมมินิคอมพิวเตอร์ หรอื ไมโครคอมพวิ เตอร์กไ็ ด้ โดยคอมพวิ เตอรท์ อี่ อกแบบมาเพ่ือใช้งานเป็นเซริ ์ฟเวอรน์ ม้ี ักจะมีสมรรถนะสูง รวมถึง ถกู ออกแบบมาเพื่อรองรบั ความทนทานตอ่ ความผิดพลาด (Fault Tolerance) เน่ืองจากตอ้ งทางานหนัก หรือต้อง รองรับงานตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นเครื่องเซิร์ฟเวอร์จึงมีราคาที่สูงมากเมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานทั่วๆ ไป

สาหรับการทางานของเครื่องเซิรฟ์ เวอร์นั้น อาจมีได้หลายลักษณะแล้วแตค่ วามเหมาะสมในการทางานดังตัวอย่าง ตอ่ ไปนี้ 2.1.1 File Server ลักษณะการทางานแบบนี้ เซิร์ฟเวอร์จะเป็นผู้จัดการระบบไฟล์บนดิสก์ในเครื่องของ ตนเอง โดยรับคาสั่งจากเวิร์กสเตช่ันหรือ Client อีกทอดหนึ่งว่าจะอ่านหรือบันทึกข้อมูลกับไฟล์ใด แล้วจึงจัดการ กับไฟล์ในดิสก์หรือส่งข้อมูลกลับไปตามที่ถูกขอมาแต่ถ้าในเวลาเดียวกันมีผู้ใช้หลายคนพยายามจะแก้ไขข้อมูลชุด เดยี วกัน ระบบปฏบิ ัตกิ ารของไฟลเ์ ซิร์ฟเวอร์ก็จะต้องป้องกันข้อมลู ไม่ใหถ้ ูกแก้ไขโดยผู้ใช้หลายคนพร้อมๆ กัน หรือ เรียกว่าการ Lock คือขณะที่คนหนึ่งกาลังแก้ไขข้อมูลอยู่ตัวหนึ่งอยู่จะต้อง Lock ข้อมูลนั้นไม่ให้คนอื่นเข้ามายุ่ง (เรยี กดไู ดแ้ ต่แก้ไขไมไ่ ด้) จนกวา่ จะเสรจ็ คนอื่นๆ ท่ีจะเข้ามาแก้ไขต้องคอยจนกวา่ คนแรกจะยกเลกิ การ Lock ก่อน 2.1.2 Application Server/ Database Server เป็นการทางานที่ซับซ้อนกว่า File Server อีกระดับ หนึ่ง ตัวอย่างที่เราพบบ่อยๆ คือ Database Server หรือ SQL Server ซึ่งจะย้ายหน้าที่การค้นหาข้อมูลจาก ฐานข้อมูลหรือ Database มาไว้ที่เซิร์ฟเวอร์เอง เช่น เมื่อเครื่อง Client ต้องการค้นหาข้อมูลเรคอร์ดหนึ่งที่มี เงื่อนไขตรงตามที่กาหนดแทนที่จะต้องอ่านข้อมูลทุกเรคอร์ด (ทั้งไฟล์) มาเปรียบเทียบ ซึ่งจะต้องมีการส่งข้อมูล จานวนมากผ่านสาย LAN ก็เปล่ียนเป็นทางฝั่ง Client เพียงแค่ส่งชื่อไฟล์และเงื่อนไขที่ต้องการค้นหามาให้ Database Server ค้นหาแล้วส่งเฉพาะเรคอร์ดที่ต้องการกลับไป ซึ่งวิธีส่งเงื่อนไขให้ค้นหาข้อมูลมาที่ Database Server นี้ปัจจบุ ันนิยมใช้เป็นภาษา SQL (Structure Query Language) จึงมักเรียก Database Server อีกอย่าง หน่ึงวา่ SQL Server 2.1.3 Print Server เรียกว่าระบบ SPOOL (Simultaneous Peripheral Operation On-Line) ซึ่งจะ ช่วยให้ผู้ใช้สามารถพิมพ์งานได้พร้อมกันหลายคนโดยเครื่อง Client สั่งพิมพ์งานจะส่งข้อมูลไปให้เครื่องที่เป็น เซิร์ฟเวอร์ซึ่งก็จะรีบเอาข้อมูลน้ันเก็บลงฮาร์ดดิสก์ไว้ก่อน จากนั้นเมื่อมีเวลาวา่ งพอก็จะทยอยเอาข้อมูลของแต่ละ คนท่ีสง่ มาเข้าควิ กนั ไว้นั้นไปพิมพ์จริงๆอกี ทหี นึ่ง 5. ประเภทเครือขา่ ยทีใ่ ช้ระดับความปลอดภยั ของขอ้ มลู เป็นเกณฑ์มอี ะไรบา้ งจง อธบิ าย = ประเภทเครือข่ายท่ีใชร้ ะดับความปลอดภัยของข้อมลู เป็นเกณฑ์สามารถแบง่ ได้ 3 ประเภท 1. อินเทอร์เน็ต (Internet) เครือข่ายสาธารณะหรืออินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งมี คอมพิวเตอร์เปน็ ล้านๆ เครอ่ื งเช่อื มต่อเข้ากับระบบ และยังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆทุกปี อินเทอรเ์ นต็ มีผู้ใช้ทั่วโลกหลาย ร้อยล้านคน และผู้ใช้เหล่าน้ีสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้อย่างอิสระโดยที่ระยะทางและเวลาไม่เป็น อุปสรรค นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเข้าดูข้อมูลต่างๆที่ถูกตีพิมพ์ในอินเทอร์เน็ตได้อินเทอร์เน็ตเชื่อมแหล่งข้อมูล

ต่างๆ เข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ มหาวิทยาลัย หน่วยงานของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งแหล่งข้อมูลบุคคล องคก์ รธรุ กิจหลายองค์กรได้ใช้ อนิ เทอรเ์ น็ตชว่ ยในการทาการค้า เชน่ การตดิ ตอ่ ซ้อื ขายผา่ นอินเทอรเ์ นต็ หรืออีคอม เมริ ช์ (E-Commerce) ซง่ึ เป็นอกี ชอ่ งทางหนึ่งสาหรบั การทาธุรกิจที่กาลังเป็นท่ีนยิ มเนื่องจากมีต้นทุนท่ีถูกกว่าและ มีฐานลูกค้าที่ใหญ่มาก ส่วนข้อเสียของอินเทอร์เน็ตคือ ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากทุกคนสามารถเข้าถึง ข้อมูลทุกอย่างที่แลกเปลี่ยนผ่านอินเทอร์เน็ต ได้อินเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอลที่เรียกว่า “TCP/IP (Transport Connection Protocol/Internet Protocol)” ในการสื่อสารข้อมูลผ่านเครือข่าย ซึ่ง โปรโตคอลนี้เป็นผลจาก โครงการหนึ่งของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ โครงการนี้มีชื่อว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network) ในปี ค.ศ. 1975 จุดประสงค์ของโครงการนี้เพื่อเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลกันและ ภายหลังจึงได้ กาหนดให้เป็นโปรโตคอลมาตรฐานในเครือข่าย ในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นเครือข่าย สาธารณะ ซึง่ ไมม่ ผี ใู้ ดหรือองค์กรใดองค์กรหน่ึงเปน็ เจ้าของอย่างแท้จริง การเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตต้องเชื่อมต่อผ่านองค์กรที่เรียกว่า “ISP (Internet Service Provider)” ซึ่งจะทา หนา้ ทใี่ หบ้ ริการในการเช่ือมต่อเขา้ กับอนิ เทอร์เนต็ นั่นคือ ข้อมูลทกุ อย่างทส่ี ่งผา่ นเครือข่ายทุกคนสามารถดูได้ นอก เสยี จากจะมีการเขา้ รหัสลบั ซงึ่ ผ้ใู ช้ต้องทาเอง 2. อินทราเน็ต (Intranet) เครือข่ายส่วนบุคคลหรอื ตรงกันข้ามกับอนิ เทอรเ์ น็ต อินทราเน็ตเป็นเครือขา่ ย ส่วนบุคคลที่ใชเ้ ทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บ อีเมล FTP เป็นต้น อินทราเน็ตใช้โปรโตคอล TCP/IP สาหรับการ รับส่งข้อมูลเช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งโปรโตคอลนี้สามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์หลายประเภทและสายสัญญาณ หลายประเภท ฮาร์ดแวร์ที่ใช้สร้างเครือข่ายไม่ใช่ปัจจัยหลักของอินทราเน็ตแต่เป็นซอฟต์แวร์ที่ทาให้อินทราเน็ต ทางานได้ อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายที่องค์กรสร้างขึ้นสาหรับให้พนักงานขององค์กรใช้เท่าน้ัน การแชร์ข้อมูลจะอยู่ เฉพาะในอินทราเน็ตเทา่ น้ัน หรือถ้ามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับโลกภายนอกหรืออินเทอรเ์ น็ต องค์กรนั้นสามารถที่ จะกาหนดนโยบายได้ในขณะที่การแชร์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตนั้นยังไม่มีองค์กรใดที่สามารถควบคุมการ แลกเปลี่ยน ข้อมูลได้ เมื่อเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตพนักงานบริษัทของบริษัทสามารถติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอกเพื่อการ ค้นหาข้อมูลหรือทาธุรกิจต่างๆ การใช้โปรโตคอล TCP/IP ทาให้ผู้ใช้สามารถเข้าใช้เครือข่ายจากที่ห่างไกลได้ (Remote Access) เช่น จากที่บ้านหรือในเวลาทีต่ ้องเดินทางเพื่อติดตอ่ ธรุ กิจ การเชื่อมต่อเข้ากับอินทราเน็ต โดย การใช้โมเด็มและสายโทรศัพท์ก็เหมือนกับการเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต แต่แตกต่างกันที่เป็น การเชื่อมต่อเข้า กับเครือข่ายส่วนบุคคลแทนที่จะเป็นเครือข่ายสาธารณะอย่างเช่น อินเทอร์เน็ต การเชื่อมต่อกันได้ระหว่าง อินทราเน็ตกับอินเทอร์เน็ตถือเป็นประโยชน์ที่สาคัญอย่างหนึ่ง ระบบการรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่แยก อนิ ทราเน็ตออกจากอินเทอร์เน็ต เครอื ข่ายอินทราเน็ตขององค์กรจะถูกปกป้องโดยไฟร์วอลล์ (Firewall) ซึง่ อาจจะ

เป็นได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ท่ีทาหน้าที่กรองข้อมลู ท่แี ลกเปลย่ี นกนั ระหว่างอนิ ทราเนต็ และ อินเทอร์เน็ตเมื่อ ทั้งสองระบบมีการเชื่อมต่อกัน ดังนั้นองค์กรสามารถกาหนดนโยบายเพื่อควบคุมการเข้าใช้งานอินทราเน็ตได้ อินทราเน็ตสามารถสนองความตอ้ งการของผู้ใช้ในองค์กรได้หลายอย่าง ความง่ายในการตีพิมพ์บนเว็บทาให้เปน็ ที่ นิยมในการประกาศข่าวสารขององค์กร เช่น ข่าวภายในองค์กร กฎระเบียบ และมาตรฐาน การปฏิบัติงานต่างๆ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งการเข้าถึงฐานข้อมูลขององค์กรก็ง่ายเช่นกัน ผู้ใช้สามารถทางานร่วมกันได้ง่ายและมี ประสิทธิภาพมากขนึ้ 3. เอก็ ส์ทราเน็ต (Extranet) เครือข่ายร่วมหรือเอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) เปน็ เครอื ข่ายกึ่งอินเทอร์เน็ตก่ึง อินทราเน็ตกล่าวคือ เอ็กส์ทราเน็ต คือ เครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างอินทราเน็ตของสององคก์ ร ดังนั้นจะมีบางส่วน ของเครือข่ายท่ีเป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างสององค์กรหรือบริษัท การสร้างอินทราเน็ตจะไม่จากัดด้วย เทคโนโลยี แต่จะยากตรงนโยบายที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ทั้งสององค์กรจะต้องตกลงกัน เช่น องค์กร หนึ่งอาจจะอนุญาตให้ผู้ใช้ของอีกองค์กรหนึ่งล็อกอิน เข้าสู่ระบบอินทราเน็ตของตัวเองหรือไม่เป็นต้น การสร้าง เอ็กสท์ ราเนต็ จะเนน้ ที่ระบบการรกั ษาความปลอดภัยขอ้ มลู รวมถึงการติดต้ังไฟลว์ อลล์หรือระหว่างอินทราเน็ตและ การเข้ารหสั ข้อมูลและสง่ิ ที่สาคัญท่สี ุดกค็ อื นโยบายการรักษาความปลอดภัยขอ้ มูลและการ บงั คบั ใช้


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook