รายงาน เรอื่ ง การพัฒนาระบบสารสนเทศ และ ทมี งานพัฒนาระบบ จัดทาโดย นางสาว ธณฐั ฐา พกุ สอาด สาขา คอมพวิ เตอรธ์ ุรกจิ ระดบั ชนั้ ประกาศณยี บตั รวชิ าชพี ช้นั สงู ปีที่ 1 รหสั นักศกึ ษา 6132040001 เสนอ ครู อภิสร สงิ หพ์ นั ธุ์รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหน่งึ ของวชิ า ระบบสารสนเทศในการจดั การ รหสั วิชา3204-2105 ภาคเรยี นท่ี 1ปีการศกึ ษา 2561 วทิ ยาลัยอาชีวศึกษาเทศบาลพระพทุ ธบาท
คานา รายงานนี้เป็นส่วนหน่ึงของวชิ า ระบบสารสนเทศเพือ่ การจัดการ จัดสรา้ งขนึ้ เพ่ือเปน็ ข้อมลู การเรียน การศึกษา เกี่ยวกบั หลกั ในการพฒั นาระบบและวงจรการพฒั นาระบบสารสนเทศ หากพบข้อผดิ พลาดประการใดต้องขอ อภยั ไว้ ณ ท่ีน้ี ผู้จดั ทา นางสาว ธณัฐฐา พุกสอาด
สารบัญ หน้า 1เรือ่ ง 1การพัฒนาระบบสารสนเทศ 2ความสาคัญของผู้ใช้ต่อการพฒั นาระบบข้อบกพรอ่ งของระบบสารสนเทศในการดาเนนิ งานขององคก์ าร 3ปัจจัยในการพัฒนาระบบนักวิเคราะหร์ ะบบ 4ทีมงานพัฒนาระบบ 5วิธีพนื้ ฐานในการพฒั นาระบบ 6ข้นั ตอนการพัฒนาระบบสารสนเทศ 7สรุป 8
1การพัฒนาระบบสารสนเทศ (Information System Development) 1. การพัฒนาระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศสามารถแบ่งออกเป็นระบบย่อยได้มากมาย เช่น ระบบประมวลผลข้อมูลระบบสารสนเทศเพ่ือการจัดการ ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ หรือระบบผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น ซึ่งระบบสารสนเทศแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันในการดาเนินงาน และการใช้ฐานข้อมูล จึงต้องได้รบการพฒั นาขึ้นตามคุณสมบัติเฉพาะ อย่างไรก็ตามการพัฒนาระบบสารสนเทศจะมีลักษณะร่วมกันของการดาเนินงานที่เป็นระบบและต้องอาศัยความเข้าใจในข้ันตอนการดาเนินงาน การศึกษาเร่ืองการพัฒนาระบบ (SystemDevelopment) จึงเปน็ สิง่ สาคัญ ไม่แตเ่ ฉพาะบคุ คลที่ปฏบิ ตั ิงานเกีย่ วกับสารสนเทศแตม่ ีความจาเป็นสาหรบัสมาชิกอ่นื ขององคอื การท่ีต้องเก่ยี วข้องในฐานะผใู้ ชร้ ะบบ การพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นกระบวนการที่ใช้เทคนิคการศึกษา การวิเคราะห์ และการออกแบบระบบสารสนเทศขององค์การให้สามารถดาเนินงานอยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยบางคร้ังจะเรยี กวิธกี ารดาเนินงานในลักษณะน้ีว่า “การวิเคราะห์และออกแบบระบบ (System Analysis and Design)” เน่ืองจากผู้พัฒนาระบบต้องศึกษาและวิเคราะห์กระบวนการ การไหลเวียนของข้อมูล ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยนาเข้า ทรัพยากรดาเนินงาน และผลลัพธ์ เพ่ือทาการออกแบบระบบสารสนเทศใหม่ แต่ในความเป็นจริงการพัฒนาระบบมิไดส้ ้ินสุดท่ีการออกแบบ ผพู้ ัฒนาระบบจะตอ้ งดูแลการจัดหา การติดต้งั การดาเนินงาน และกระประเมินระบบว่าสามารถดาเนินงานได้ตามต้องการหรือไม่ ตลอดจนกาหนดแนวทางในการพัฒนาระบบในอนาคต อย่างไรก็ดีจะใช้ท้ัง “การพัฒนาระบบ” และ “การวิเคราะห์และออกแบบระบบ” ในความหมายที่ทดแทนกัน การพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นงานท่ีละเอียดอ่อนเกี่ยวข้องกับบุคลากรและส่วนประกอบขององค์การในหลายดา้ น จงึ ต้องมแี นวทางและแผนดาเนินงานท่ีเป็นระบบ เพอ่ื ท่จี ะให้ระบบทถี่ ูกพฒั นาขึ้นมคี วามสมบูรณ์ตรงตามความต้องการและสร้างความพอใจแก่ผู้ใช้ แต่ถ้าระบบที่พัฒนาข้ึนมีปัญหารหรือขาดความเหมาะสมก็อาจก่อให้เกิดผลเสียท้ังโดยตรงและทางอ้อมแก่ธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านค่าใช้จ่ายท่ีสูงและความเชื่อม่นั ทีส่ ูญเสยี ไป2. ความสาคัญของผใู้ ช้ตอ่ การพฒั นาระบบ ผู้ใช้ระบบ (System User) หมายถึง ผู้จัดการท่ีควบคุมและดูแลระบบสารสนเทศขององค์การและหรือเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานกับระบบสารสนเทศ ผู้ใชจ้ ะเป็นบุคคลท่ีใชง้ านและปฏิสัมพันธ์กับระบบสารสนเทศโดยตรง เช่น จัดเก็บ ปรับปรุง ประมวลผลข้อมูล และนาข้อมูลมากใช้งาน เป็นต้น ดังนั้นผู้ใช้ระบบสมควรมีบทบาทที่สาคัญในการพัฒนาระบบสารสนเทศ ตั้งแต่เร่ิมต้นที่จะพัฒนาระบบให้กับองค์การ โดยบุคคลหรือกลุ่มสมควรที่จะมีการทางานที่ใกล้ชิดกับทีมงานผู้พัฒนาระบบ หรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานผู้พัฒนาระบบ เพื่อให้การพัฒนาระบบใหม่สาเร็จลงด้วยดีทั้งในด้านงบประมาณ กรอบของระยะเวลาและตรงตามวัตถุประสงคท์ ีต่ อ้ งการ ปกติการพัฒนาระบบสารสนเทศอาจอาศัยแนวทางการค้นพบปัญหาที่มีอยู่และ/หรือโอกาสในการแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ เพ่ือให้การดาเนินงานมีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน ดงั น้ันเม่ือเร่ิมต้นที่จะพัฒนาระบบ ผู้ใช้ในฐานะบุคคลทมี่ ีประสบการณ์ตรง (Firstname Experience) กบั ระบบงานจะตอ้ งใหข้ ้อมูลสาคัญแกท่ ีมงาน พัฒนาระบบโดยแจกแจงรายละเอยี ดเก่ียวกบั ข้อมลู ต่อไปน้ี
2 1. สารสนเทศท่ีองค์การหรือหน่วยงานต้องการ แต่ยังไม่มีระบบใดในปัจจุบันท่ีจะช่วยให้ได้มาซ่ึง ข้อมูลหรือสารสนเทศนน้ั 2. ผู้ใช้ระบบไม่พอใจตอ่ สิ่งใด ขั้นตอนหรือส่วนประกอบใดในระบบปัจจุบัน เปน็ ต้นว่าระบบเดิมมีการทางานที่ยุ่งยากหรอื มีหลายขั้นตอนในการเขา้ ถงึ และจัดการข้อมูล ทาให้ผใู้ ชต้ ้องเสยี เวลานาน และสารสนเทศทไ่ี ดม้ าอาจมคี วามผิดพลาดไมท่ ันเวลา หรือไม่ตรงตามต้องการ เปน็ ต้น 3. ผู้ใช้ระบบมีความต้องการให้ระบบใหม่มีรูปแบบและคุณลักษณะอย่างไร มีส่วนประกอบอะไรบ้างและสามารถทางานไดอ้ ย่างไร ข้อมลู จากผู้ใชร้ ะบบเป็นข้อมูลเรมิ่ ตน้ ที่ทีมงานพัฒนาระบบนามาประกอบการพฒั นาระบบใหมใ่ ห้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ ซ่ึงจะช่วยให้ผู้ใชร้ ะบบมีส่วนร่วม และมีความพงึ พอใจท่ีจะใช้ระบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นซึ่งจะมผี ลทางจิตวิทยาตอ่ การยอมรับและการนาระบบใหม่ไปใชง้ าน3. ขอ้ บกพร่องของระบบสารสนเทศในการดาเนนิ งานขององค์การปจั จบุ ันหลายองค์การได้พฒั นาระบบและใช้งานระบบสารสนเทศในระบบที่แตกต่างกนั เชน่ บางหน่วยงานอยู่ในช่วยเร่ิมต้นของการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ ขณะท่ีบางองค์การได้บูรณาการเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ากับทุกส่วนงาน เป็นต้น แต่ไม่วา่ ระบบสารสนเทศ จะมีความก้าวหน้าเพียงใดก็ไม่สามารถรักษาความสมบูรณ์ได้ตลอดเวลา การเปลี่ยนแปลงท่ีไม่หยุดย้ังของเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ หรือลักษณะของปัญหาที่เกิดข้ึน ทาให้ระบบงานปัจจุบันขาดความสามารถในการตอบสนองต่อปัญหาท่ีเกิดข้ึนได้โดยเฉพาะปัญหาบางอย่างที่เกิดข้ึนอาจส่งผลให้การดาเนินงานเป็นไปอย่างไปมีประสิทธิภาพ ทาให้ผู้ใช้ระบบไม่พึงพอใจต่อการใช้ระบบปัจจุบัน จึงเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดความคิดในการท่ีจะพัฒนาระบบใหม่ขึ้นมาทดแทน หัวข้อนี้จะสรุปถึงปัญหาหรือข้อบกพร่องสาคัญที่อาจเกิดขึ้นกับระบบสารสนเทศ ดังต่อไปนี้ 1. ความต้องการ ระบบปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองความตอ้ งการท่ีแท้จริงของผู้ใช้ ทาให้ผู้ใช้ระบบไม่มีความพงึ พอใจและไม่อยากทจ่ี ะใชง้ าน เช่น ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลท่ีต้องการหรอื ระบบไม่สามารถทางานตามทตี อ้ งการ เป็นตน้ 2. กลยทุ ธ์ ระบบปัจจุบันไม่สามารถสนับสนุนการดาเนนิ งานระดับกลยุทธ์ของธรุ กิจ ระบบสารสนเทศที่พัฒนาข้ึนอาจเหมาะสมกับการดาเนินงานในขณะนั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไประบบดังกล่าวอาจไม่สามารถตอบสนองต่อการเปล่ียนแปลง และไม่สามารถท่ีจะถูกพัฒนาให้มีขีดความสามารถในการสนับสนุนการดาเนินงานข้นั สงู ของธรุ กิจ เน่อื งจากมิไดเ้ ตรยี มการสาหรับสถานการณใ์ นอนาคต 3. เทคโนโลยี ระบบปัจจุบนั มีองค์ประกอบของเทคโนโลยีท่ีไม่เหมาะสม โดยเฉพาะเทคโนโลยีท่ีใชอ้ ยู่ในปัจจุบันอาจล้าสมัย มีต้นทุนสูง ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบารุงรักษามาก และมีประสิทธิภาพที่ต่าเม่ือเปรียบเทยี บกับเทคโนโลยีทมี่ อี ย่ใู นปจั จบุ ัน 4. ความซับซอ้ น ระบบปจั จุบนั มีข้ันตอนในการใชง้ านยุง่ ยากและซับซ้อน ก่อให้เกิดความไม่สะดวกในการเรียนรู้ การใช้งาน การควบคุมกลไกในการดาเนินงาน การตรวจสอบข้อผิดพลาด และรวมไปถึงการบารงุ รักษาข้อมูล ชุดคาสั่ง และอุปกรณ์
3 5. ความผิดพลาด ระบบปัจจุบันดาเนินงานผิดพลาดบ่อยครั้ง ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียท้ังโดยทางตรงและทางออ้ มแกอ่ งค์การ โดยเฉพาะระบบสารสนเทศท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การตัดสนิ ใจของผู้บรหิ ารท่ีต้องการข้อมลู ที่มปี ระสทิ ธภิ าพ ตรงตามความตอ้ งการของปัญหา มีความถูกต้อง และชดั เจน 6. มาตรฐาน ระบบเอกสารในระบบปัจจุบันมีมาตรฐานต่า ซ่ึงจะก่อให้เกิดความยากลาบากในการปรบั ปรุงระบบงานและผลลัพธ์ บางครงั้ ความตอ้ งการหรอื ขอ้ บกพรอ่ งเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย แตไ่ ม่สามารถแกไ้ ขไดท้ ันที เพราะขาดเอกสารอ้างอิงสาหรับระบบ ซึ่งจะเป็นอันตรายมาก ถ้าข้อบกพร่องน้ันเป็นปัญหาใหญ่และซบั ซ้อนแต่ไมส่ ามารถแก้ไขได้ทนั ตามข้อจากัดของระยะเวลาและสถานการณ์4. ปจั จยั ในการพัฒนาระบบ เราจะเห็นว่าการวิเคราะห์ การออกแบบ และการพัฒนาระบบเป็นงานท่ีมีความซับซ้อนเกี่ยวข้องกับผู้ใช้และบุคคลที่มีหลากหลาย และประการสาคัญเก่ียวข้องกับกระบวนการปฏิบัติงานในองค์การ ดังน้ันการที่ทีมงานพัฒนาระบบจะสามารถพัฒนาระบบสารสนเทศให้สาเร็จตามตารางเวลา อยู่ในกรอบของงบประมาณและผูใ้ ช้มคี วามพงึ พอใจจึงตอ้ งพิจารณาปัจจยั ดังตอ่ ไปน้ี 1. ผู้ใช้ระบบ สมควรต้องมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการพัฒนาระบบ โดยเฉพาะผู้นาหรือบุคคลที่บทบาทสาคัญและมีอานาจในกลุ่มผู้ใช้ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาระบบตั้งแต่เร่ิมต้นจนเสร็จสมบูรณ์เนื่องจากการพัฒนาระบบงานจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงกระบวนการดาเนินงานปัจจุบัน ซ่ึงต้องการขอ้ มลู ความเหน็ และการตดั สินในที่เดด็ ขาดจากผู้นากล่มุ 2. การวางแผน ระบบงานท่ีมีประสิทธิภาพจะเกิดจากการวางแผนการพัฒนาระบบอย่างรอบคอบและเป็นข้ันตอนที่ชัดเจน เพราะการวางแผนท่ีดีเป็นหลักประกันในระดับหนึ่งว่า ระบบท่ีพัฒนาข้ึนจะสาเร็จลุลว่ งด้วยดี เพราะมีการกาหนดแนวทางในการพัฒนาอยา่ งถกู หลักการหรืออยา่ งมอื อาชีพ 3. การทดสอบ ทีมงานพัฒนาระบบตอ้ งออกแบบกระบวนการดาเนนิ งานของระบบที่กาลังศกึ ษา แล้วจึงทาการกาหนดคุณลักษณะของชุดคาส่ังให้สามารถปฏิบัติงานได้เหมาะสมกับระบบงาน จากน้ันจึงทาการออกแบบและทดสอบชดุ คาสัง่ ใหส้ อดคล้องกับแนวทางการออกแบบระบบ 4. การจัดเก็บเอกสาร การพัฒนาระบบต้องมีระบบจัดเก็บเอกสารที่สมบูรณ์ ชัดเจนถูกต้อง ง่ายต่อการค้นหา และอ้างอิง โดยเฉพาะเมื่อเกิดปัญหาหรือความไม่เข้าใจขึ้น ปกติข้อมูลในการพัฒนาระบบจะมีปริมาณมาก และมีความหลากหลาย นักวิเคราะห์และพัฒนาระบบที่มีประสบการณ์มักจะจัดทาแฟ้มข้อมูลและกาหนดคณุ ลกั ษณะข้อมูลต้ังแตเ่ รม่ิ ตน้ งาน 5. การเตรียมความพร้อม มีการวางแผนสร้างความเข้าใจและฝึกอบรมผู้ใช้ระบบ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและสร้างความมั่นใจว่าผู้ใช้ระบบจะมีความพอใจ และสามารถปฏิบัติงานกับระบบงานใหม่ท่ีพัฒนาขึน้ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ 6. การตรวจสอบและประเมินผล โดยดาเนินการเป็นระยะ ๆ ภายหลังจากการติดตั้งระบบ เพ่ือที่จะพิจารณาว่าระบบสารสนเทศใหม่ มีความสมบูรณ์ ข้อจากัด หรือข้อบกพร่องหรือไม่ ต้องปรับปรุงอย่างไรให้เหมาะสมกบั สถานการณจ์ รงิ และสอดคล้องกับความตอ้ งการของผใู้ ช้ 7. การบารุงรักษา ระบบสารสนเทศท่ีดีมีเพียงแต่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องออกแบบให้กระบวนการบารุงรักษาสะดวก ง่าย และประหยัด เพราะ กระบวนการบารุงรักษาที่ง่ายจะทาให้
4ระบบได้รับการดแู ลอย่างสม่าเสมอ ทาให้ระบบไม่บกพร่อง และสามารถถูกใช้งานอย่างเต็มท่ีตลอดอายุการใช้งาน 8. อนาคต เตรียมพร้อมสาหรับพัฒนาการในอนาคต ทีมงานพัฒนาระบบสมควรออกแบบระบบให้มีความยืดหยุ่น และสามารถท่ีจะพัฒนาในอนาคต เน่ืองจากระบบงานในปัจจุบันย่อมต้องล้าสมัย และไม่สามารถสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างสมบูรณ์ แต่การพฒั นาระบบแต่ละครั้งจะมีค่าใชจ้ ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อมที่สูง การออกแบบและเปลี่ยนระบบงานบ่อย ๆ คงเป็นไปได้ยาก และไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ดังนั้นทมี งานพัฒนาระบบจังต้องศกึ ษาทิศทางและแนวโน้มของเทคโนโลยีและระบบงานในอนาคตประกอบการออบแบบระบบ เพอ่ื เปน็ แนวทางสาหรบั การพัฒนาระบบอยา่ งตอ่ เน่อื ง การพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นงานที่ท้าทายและต้องดาเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบนั ท่ีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทาให้องค์การตอ้ งปรับตวั อย่างเหมาะสมภายใต้ข้อจากัดของระยะเวลาและทรัพยากร เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทสาคัญในการดาเนินงานและการแข่งขันของธุรกิจ แต่เทคโนโลยีท่ีทันสมัยในวันนี้ก็หลีกไม่พ้นท่ีจะล้าสมัยในอนาคตเช่นเดียวกับความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญของบุคคล นักวิเคราะห์และออกแบบระบบไม่เพียงแต่เป็นนักปฏิบตั ทิ ี่ทางานตามอาชพี ยังเปน็ ศิลปนิ ท่ีสร้างผลงานเฉพาะที่ไดป้ ระโยชนใ์ นปัจจุบัน และสามารถต่อเติมใหค้ งประโยชน์ในอนาคต ต้องมีความเข้าใจและวิสัยทัศน์ท่ีสามารถสมบรู ณาการความรู้ทางเทคโนโลยี ระบบธุรกิจและทกั ษะด้านมนษุ ยส์ ัมพนั ธอ์ ย่างเหมาะสม5. นกั วิเคราะห์ระบบ นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) หรือท่ีเรียกว่า SA บางครั้งเรียกนักพัฒนาระบบ (SystemDeveloper) เป็นบุคคลท่ีศึกษาระบบงานโดยตรวจสอบกระบวนการปฏิบัติงาน ข้อมูลนาเข้า และสารสนเทศเพ่ือหาวิธีการพัฒนาให้การทางานมีประสิทธิภาพ ถ้าพิจารณาจากความหมายนี้เราจะพบว่า SA จะเป็นงานที่ครอบคลุมเน้ืองานท่ีกว้าง โดยเฉพาะกับงานในปัจจุบันที่ต้องนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าประยุ กต์ บางองค์การต้องจ้าง SA ที่มีความรู้และความชานาญในเทคโนโลยีสารสนเทศเข้าบริหารระบบ ขณะท่ีบางองค์การเพยี งตอ้ งการบุคคลที่เข้าใจกระบวนการทางานและสามารถพัฒนาระบบสารสนเทศตามความตอ้ งการของผู้ใช้ในแตล่ ะหน่วยงานไม่วา่ จะเปน็ งานทซ่ี ับซอ้ นหรือเรียบง่าย SA จะทางานเกยี่ วกับการศึกษา วเิ คราะห์ และปรับกระบวนการบุคลากร และการนาเทคโนโลยีมาประยุกต์ให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลข้ึนซ่ึงการทางานของ SA จะมบี ทบาท (Role) สาคัญ 3 ประการตอ่ ไปนี้ 1. ที่ปรึกษา (Consultant) SA จะเป็นท่ีปรึกษาด้านการปรับระบบงานขององค์การ โดยผู้บริหารองค์การอาจจ้างท่ีปรึกษาจากภายนอก หรือใช้บุคคลในหน่วยงานสารสนเทศในการศึกษาและให้คาแนะนาในการพัฒนาระบบงาน 2. ผู้เชี่ยวชาญ (Supporting Expert) จะเป็นงานของ SA ที่ปฏิบัติในแต่ละองค์การโดยรอจะเป็นผู้เชี่ยวชาญและให้คาแนะนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ต้ังแต่อุปกรณ์ ระบบ ชุดคาส่ังหรือแก้ปัญหาในการปฏิบัติงานให้กับหน่วยงานอ่ืน นอกจากนี้ SA ยังมีส่วนในการปรับปรุงระบบงานในแต่ละหน่วยงานให้มีประสิทธภิ าพข้นึ 3. ตัวแทนการเปลีย่ นแปลง (Change Agent) การพัฒนาระบบมไิ ดจ้ บลงด้วยการออบแบบและจดั หาระบบงานใหม่เทา่ น้ัน แตต่ ้องเตรียมความพรอ้ มของบคุ ลากรที่จะใช้งานระบบใหมโ่ ดย SA ตอ้ งเปน็ ตวั แทนการ
5เปล่ียนแปลงที่ช่วยให้ผู้ใช้ระบบให้มีทัศนคติท่ีดีและสามารถใช้งานระบบงานใหม่อย่างมีประสิทธิภาพโดยเฉพาะเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนอย่างถอนรากถอนโคน ซ่ึงต้องการการวางแผนและงานอย่างเป็นระบบ เราจะเห็นว่า SA จะมีบทบาทที่หลากหลาย และครอบคลุมงานในทุกส่วนขององค์การท่ีมีการใช้งานระบบสารสนเทศ ดังนั้นนอกจากทักษะในการวิเคราะห์หรือแก้ปัญหา ทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ จึงเป็นสิ่งสาคัญท่ี SA จะต้องพัฒนา เนื่องจากการพัฒนาระบบงานจะเก่ียวข้องกับบุคคลหลายด้าน เช่น ผู้บริหาร ผู้ใช้ระบบ และนกั เขียนโปรแกรม เป็นตน้6. ทีมงานพฒั นาระบบ ทีมงานพัฒนาระบบ (System Development Team) เป็นกลุ่มบุคคลท่ีมีหน้าท่ีและความรับผิดชอบและ/หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการพัฒนาระบบ ปกติการออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศในองค์การขนาดใหญ่จะต้องมีการทางานร่วมกันของสมาชิกจากหลายส่วน โดยจัดรูปแบบการทางานแบบโครงการ (Project) เน่ืองจากกระบวนการปฏิบัติงานที่ซับซ้อน และขอบเขตงานหลากหลาย ครอบคลุมไปหลายส่วนงาน ดังนั้นความรู้ ทักษะ และความเข้าใจของบุคคลเพียงคนเดียวจึงไม่เพียงพอ ปกติมีทีมงานพฒั นาระบบจะประกอบไปด้วยบุคคล ดังตอ่ ไปน้ี 1. คณะกรรมการดาเนินงาน (Steering Committee) มีหน้าท่ีตัดสินใจเกี่ยวกับการดาเนินงานของโครงการพัฒนาระบบ ต้ังแต่การกาหนดรูปแบบและวัตถุประสงค์ของระบบสารสนเทศ โดยคณะกรรมการจะถูกจัดต้ังข้ึนจากบุคคลจากหลากหลายสาขา เช่น ผู้บริหารระดับสูง เจ้าของระบบงาน และผู้เช่ียวชาญด้านสารสนเทศ เป็นต้น เพื่อระดมความคิดและตัดสินใจเก่ียวกับระบบงานท่ีพัฒนาอย่างเหมาะสม 2. ผู้จัดการระบบสารสนเทศ (MIS Manager) เป็นบุคคลท่ีทาหน้าที่ดูแลและประสานงานในการวางแผนงานของโครงงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบและการพัฒนาระบบสารสนเทศขององค์การ 3. ผู้จัดการโครงการ (Project Manager) เปน็ บคุ คลที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการวางแผน การจัดการ และควบคุมให้งานในแต่ละโครงการดาเนินไปได้อย่างราบรื่นสาเร็จลุล่วง และมีประสิทธิภาพ โดยผู้จัดการโครงการจะรับผิดชอบในการตัดสินใจ จัดสรรทรัพยากรการดาเนินงานของโครงการให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มท่ี ภายใต้ข้อกาหนดของงบประมาณและระยะเวลา ซ่ึงเราได้กล่าวถึงบทบาทและคุณสมบัติของ SAในหัวขอ้ ทผ่ี ่านมา 4. นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) เป็นบุคคลสาคัญที่ก่อให้เกิดผลงานขึ้นในข้ันตอนต่าง ๆ ของการพัฒนาระบบ เช่น การวิเคราะหค์ วามต้องการ การออกแบบและการพัฒนาระบบ เปน็ ต้น ซึ่งเราได้กลา่ วถึงบทบาทและคณุ สมบัติของ SA ในหวั ข้อทีผ่ า่ นมา 5. นักเขียนโปรแกรม (Programmer) เป็นบุคคลที่ทาหน้าที่เก่ียวกับการพัฒนาชุดคาสั่งการดาเนินงานให้กับระบบท่ีกาลังพัฒนา บางคร้ังนักเขียนโปรแกรมอาจไม่ต้องพัฒนาชุดคาส่ังขึ้นมาท้ังหมด แต่ทาการปรับปรุงชุดคาสั่งสาเร็จรูป (Software Package) ให้สอดคล้องกับความต้องการของระบบ เลือกโดยพิจารณาตดั สนิ ใจและประสานงานกับผขู้ ายภายนอก 6. เจ้าหน้าทีร่ วบรวมข้อมูล (Information Center Personnel) ทาหน้าท่ีช่วยเหลอื นักวเิ คราะห์ระบบและนักเขียนโปรแกรมในการพัฒนาระบบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาระบบเพื่อนามาใช้งานได้ตามต้องการ โดยเจ้าหน้าท่ีรวบรวมข้อมูลจะจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพ่ือให้สะดวกและรวดเรว็ ตอ่ การใชง้ าน
6 7. ผู้ใช้และผู้จัดการทั่วไป (User and General Manager) เป็นบุคคลท่ีให้ข้อมูลท่ีเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบงานเดิม และช่วยกาหนดความต้องการในระบบใหม่แก่ทีมงานพัฒนาระบบ เพ่ือพัฒนาให้ระบบใหม่มปี ระสิทธภิ าพและเป็นทีพ่ งึ พอใจของผู้ใช้ ประการสาคัญผูใ้ ชเ้ ป็นบุคคลท่เี กี่ยวข้องโดยตรงกับการใช้งานระบบสารสนเทศจึงสมควรมีส่วนร่วมท้ังโดยตรงและโดยออ้ มในการพัฒนาระบบ โดยนอกจากจะเป็นผู้ให้ข้อมูลในการพฒั นาระบบแล้วเขายังสมควรอยู่ร่วมในทีมงานพฒั นาระบบใหม่เพ่ือให้แน่ใจว่าระบบท่ีพัฒนาข้ึนสามารถปฏบิ ตั งิ านไดต้ ามทตี่ ้องการ ปัจจุบันเป็นการยากท่ีบุคคลเพียงคนเดียวจะปฏิบัติงานได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธภิ าพ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบสารสนเทศขององค์การท่ีต้องการความรู้และความชานาญจากหลายหน้าท่ี (CrossFunction) ทาให้การปฏิบตั ิงานร่วมกันเปน็ ทีม (Team Work) เป็นวิธกี ารที่เหมาะสม นอกจากนใี้ นทางปฏิบตั ิบคุ คลบางคนหรือบางกลุ่มอาจมีส่วนร่วมในทีมพฒั นาระบบ โดยทางานในหลายงานรว่ มกันเป็นทีมมิใชแ่ ค่การรวบรวมบุคคลจากแหล่งต่าง ๆ แล้วนามาปฏิบัติงานร่วมกัน โดยท้ังหัวหน้าทีม (Team Leader) และสมาชิกสมควรได้รับการเตรียมความพร้อมด้านการประสานงานการส่ือความเข้าใจ การแก้ปัญหา และประสานความขัดแย้ง ตลอดจนการยอมรับในความคิดเห็นและความแตกต่างของบุคคล เพ่ือสร้างวิญญาณของทีม (TeamSpirit) ซึ่งจะทาใหส้ มาชกิ ปฏิบตั งิ านร่วมกนั อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ7. วธิ พี ืน้ ฐานในการพัฒนาระบบ การพัฒนาระบบสารสนเทศที่เหมาะสมกับแต่ละองค์การอาจจะต้องใช้วิธีที่ต่างกัน เน่ืองจากองค์การหรือหน่วยงานแต่ละแห่งจะมรี ูปแบบของการดาเนนิ ธรุ กิจท่ีมลี ักษณะเฉพาะของตนเอง โดยที่บางองค์การเพยี งแค่ต้องการท่ีจะปรับปรุงการดาเนินงานจากระบบเดมิ ท่ีมีอยู่ให้เป็นระบบใหม่ท่ีสมบูรณ์ข้ึน ขณะท่ีบางองค์การต้องการระบบสารสนเทศใหม่ท้ังระบบ นอกจากน้ันแตล่ ะองค์การก็มีวตั ถุประสงค์ในการพัฒนาระบบแตกต่างกัน เช่น บางองค์การต้องการมีระบบที่ทาหน้าที่เฉพาะในหน่วยงาน แต่บางองค์การก็ต้องการระบบเพ่ือทาหน้าที่อ่ืนตามความต้องการของผู้ใช้ เปน็ ต้น ซึ่งวิธีการพัฒนาระบบ (System Development Approach) จะมผี ลต่อความสาเรจ็ และประสิทธิภาพการทางาน ปกตจิ าแนกวิธีการพื้นฐานที่ใช้ในการพัฒนาระบบออกเป็น 4วิธี ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. วิธีเฉพาะเจาะจง (Adhoc Approach) เป็นวิธีการแก้ปัญหาในงานใดงานหน่ึงโดยเฉพาะซึ่งต้องดาเนินการอย่างรวดเร็ว โดยการดาเนินการจะไม่คานึงถึงงานหรือปัญหาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น วิธีเฉพาะเจาะจงเหมาะสมกับหน่วยงานท่ีมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและบ่อยคร้ัง อย่างไรก็ดีวิธีน้ีมีจากัดสาคัญคือ อาจก่อให้เกิดการซ้าซ้อนของงานระบบประมวลผลข้อมูล ค่าใช้จ่ายท่ีไม่จาเป็น และขาดมาตรฐานขององค์การเพราะเมื่อแตล่ ะหน่วยงานตอ้ งการระบบสารสนเทศเพ่ือมาแก้ปัญหาก็จะพัฒนาระบบและจัดเก็บข้อมลู เอง ซึ่งอาจจะซ้าซ้อนกับข้อมูลท่ีมีอยู่ในส่วนอื่นขององค์การ ดังน้ันการพัฒนาระบบสารสนเทศด้วยวิธีการนี้จึงต้องตรวจสอบสถานะและมาตรฐานของระบบสารสนเทศในองคก์ าร เพ่อื ปอ้ งกันความผดิ พลาด 2. วิธีสร้างฐานขอ้ มูล (Database Approach) เปน็ วิธกี ารทน่ี ยิ มใชใ้ นหลายองคก์ ารทย่ี งัไมม่ ีความตอ้ งการระบบสารสนเทศเชงิ กลยุทธ์ (Strategic Information System) โดยทีผ่ ใู้ ช้ใหค้ วามสาคัญกับการพัฒนาฐานข้อมูล เพ่ือให้สามารถรวบรวม จัดเก็บ และประมวลผลข้อมูล ได้อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะง่ายต่อการเรียกข้อมูลกลับมาใช้ เน่ืองจากฐานข้อมูลเป็นระบบสารสนเทศพ้ืนฐานสาหรับการบริหารงานในหลายองค์การ โดยผู้พัฒนาระบบพยายามจัดการให้ข้อมูลท่ีเก็บไว้ให้เกิดประโยชน์มากที สุด เน่ืองจากระบบสารสนเทศยังไม่บูรณาการการเข้ากับกลยุทธ์ขององค์การ ทาให้นักวิเคราะห์ไม่ทราบความต้องการท่ีแน่นอน
7ของผู้บริหาร ดังน้ันชุดคาสั่งที่ใช้กับระบบน้ีมักเป็นชุดคาสั่งเฉพาะที่มีลักษณะส้ัน ๆ และปฏิบัติงานกับข้อมูลอยา่ งใดอย่างหนง่ึ โดยเฉพาะ 3. วิธีจากล่างข้ึนบน (Bottom-up Approach) เป็นการพัฒนาระบบสารสนเทศจากระบบเดิมที่มีอยู่ภายในองค์การไปสู่ระบบใหม่ท่ีต้องการ โดยท่ีทีมงานพัฒนาระบบจะทาการตรวจสอบว่าสิ่งใดท่ีมีอยู่แล้วในระบบปจั จุบัน ซึ่งจะสามารถนามาพัฒนาหรือเพิ่มเติมเทคโนโลยีบางอย่าง ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องที่มีอยู่ในระบบปจั จุบัน เพ่อื ให้การดาเนินงานมคี วามสมบูรณ์และมปี ระสิทธภิ าพขน้ึ 4. วิธีจากบนลงล่าง (Top-down Approach) เปน็ วธิ ีการพฒั นาระบบจากระบบจากนโยบายหรอื ความตอ้ งการของผู้บริหารระดับสูง โดยไม่คานึงถึงระบบที่มีอยู่ในปัจจุบันขององค์การ การพัฒนาระบบสารสนเทศด้วยวธิ ีนี้จะเร่ิมจากสารวจกลยุทธ์องค์การ ความต้องการปละปัจจัยสาคัญท่ีสนับสนุนการทางานของผู้บริหารระดับสูงให้มีประสิทธิภาพมากข้ึนจากนั้นทีมงานพัฒนาระบบจะเร่ิมทาการพัฒนาระบบใหม่ให้ตรงกับความตอ้ งการของผู้บริหาร หลังจากน้ันจึงทาการปรับปรุงระบบเดิมท่ีมีอยู่ภายในองค์การให้เป็นไปตามแนวทางของระบบหลัก การพัฒนาระบบสารสนเทศท่ีมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้อย่างสมบุรณ์เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ต้ังแต่การศึกษาความต้องการของผู้ใช้ระบบตลอดจนวิธีการพัฒนาระบบ ซึ่งทีมงานพัฒนาระบบต้องทาการศึกษาอย่างรอบคอบ เพ่ือกาหนดแนวทางและข้ันตอนการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม เตรียมรับกับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น ประการสาคัญผู้พัฒนาระบบต้องมีความคิดสร้างสรรเข้าใจภาพรวมของระบบงาน เทคโนโลยี และคานึงถงึ ปัจจัยด้านบุคคล โดยเฉพาะการเมือง และการสร้างความยอมรับในองคก์ าร8. ขัน้ ตอนการพัฒนาระบบสารสนเทศ เราพบว่ามีความแตกต่างกันในการกล่าวถึงข้ันตอนการพัฒนาระบบในหนังสือการวิเคราะห์ ออกแบบและการพัฒนาระบบสารสนเทศแต่ละเล่ม โดยความแตกต่างท่ีเกิดขึ้นมาจากความคิดเห็นหรือมุมมองของผู้เขียนแต่ละคน แต่ถ้าสังเกตรายละเอียดของทุกขั้นตอนการพัฒนาระบบจะเห็นว่าผู้เขียนส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากจุดเดียวกันคือ การสารวจความต้องการเบ้ืองต้น และส้ินสุดด้วนการบารุงรักษา โดยท่ีข้ันตอนที่แตกต่างกันจะเปน็ การจัดลาดับขั้นระหว่างจุดเริ่มตน้ กับจุดสุดท้าย ซ่ึงหนังสือเล่มนี้จะแบ่งการพัฒนาระบบสารสนเทศออกเปน็ 5 ขั้นตอน ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. การสารวจเบื้องต้น (Preliminary Investigation) เป็นข้ันตอนแรกของการวิเคราะห์และพัฒนาระบบสารสนเทศ โดยผู้พัฒนาระบบจะสารวจหาข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ เก่ียวกับระบบงาน ได้แก่ ปัญหาท่ีเกิดขึ้นในปัจจุบัน ความเป็นไปได้ของการพัฒนาระบบที่ต้องการ ส่ิงท่ีจะช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพของกลยุทธ์ในการดาเนนิ งาน และประมาณการของคา่ ใชจ้ า่ ยทีต่ ้องใช้ โดยข้อมูลท่ีไดจ้ ะนาเสนอใหก้ ับผ้บู ริหารของหน่วยงานเพื่อท่ีจะตัดสินใจว่าองค์การสมควรท่ีจะมีการพัฒนาระบบสารสนเทศหรือไม่ และระบบสารสนเทศทีจะพัฒนาขน้ึ สมควรจะมีลกั ษณะเป็นเชน่ ไร 2. การวเิ คราะห์ความต้องการ (Requirement Analysis) เป็นข้ันตอนทม่ี ุง่ เจาะลกึ ลงในรายละเอียดท่ีมากกว่าในขั้นสารวจเบ้ืองต้น โดยเฉพาะในประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับความต้องการของผู้ใช้ การใช้งานในแต่ละด้านของระบบใหม่ ข้อเด่นและข้อด้อยของวิธีการทางานในปัจจุบัน ตลอดจนการจัดทารายงานสรุปเพ่ือนาเสนอตอ่ ฝ่ายจดั การสาหรับทาการตัดสนิ ใจ
8 3. การออกแบบระบบ (System Design) ทีมงานพัฒนาระบบจะทาการออกแบบรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ ของระบบสารสนเทศ ได้แก่ การแสดงผลลัพธ์ การป้อนข้อมูล กระบวนการการเก็บรักษา การปฏิบัติงาน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบงานใหม่ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดหาอุปกรณ์ต่าง ๆ สาหรับนามาพัฒนาเป็นระบบใหม่ตอ่ ไป 4. การจัดหาอุปกรณ์ของระบบ (System Acquisition) ทีมงานพัฒนาระบบจะต้องกาหนดส่วนประกอบของระบบท้ังในด้านของอุปกรณ์และชุดคาส่ัง ตลอดจนบริการต่าง ๆ ท่ีต้องการจากผู้ขาย ปกติทีมงานพฒั นาระบบจะต้องทาการจัดหาสิ่งทต่ี อ้ งการ โดยเปดิ ใหม้ ีการยน่ื ขอ้ เสนอจากผูข้ ายอุปกรณต์ า่ ง ๆ โดยทีมพัฒนาระบบจะพิจารณาตัดสินข้อเสนอของผู้ขายแต่ละราย เพื่อนาอุปกรณ์และส่วนประกอบของระบบมาติดต้ังและพัฒนาเปน็ ระบบใหม่ต่อไป 5. การติดตั้งระบบและการบารุงรักษา (System Implementation and Maintenance) ทีมงานพัฒนาระบบจะควบคุมและดูแลการติดต้ังอุปกรณ์ต่าง ๆ ของระบบใหม่โดยดาเนินการด้วยตนเองหรือจ้างผู้รับเหมา ทีมงานพัฒนาระบบต้องทดสอบการใช้งานวา่ ระบบใหม่สามารถปฏบิ ัติงานไดต้ รงตามวัตถุประสงค์และรูปแบบท่ีได้ทาการออกแบบไว้หรือไม่ นอกจากนี้การติดตั้งควรท่ีจะสาเร็จตามตารางท่ีกาหนด เพ่ือให้ระบบสามารถใช้งานแทนท่ีระบบเก่าได้ทันเวลา นอกจากนี้ทีมงานพัฒนาระบบยังมีหน้าท่ีกาหนดกฎเกณฑ์ในการประเมินและการบารุงรักษาระบบอย่างสม่าเสมอ เพื่อปรับปรุงและบารุงรักษาให้ระบบใหม่สามารถปฏบิ ัตงิ านได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ และยาวนานทส่ี ดุ ตลอดอายุของระบบ การพฒั นาระบบสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพยังต้องมีกระบวนการ หรือขั้นตอนในการพัฒนาระบบท่ีดี ประการสาคัญทีมพัฒนาระบบต้องเข้าใจกระบวนการพัฒนาระบบเป็นอย่างดี เพื่อให้สมาชิกแต่ละคนได้รู้หน้าท่ีและความรับผิดชอบของตนเองอย่างชัดเจน ซึ่งจะส่งผลให้การดาเนินงานพัฒนาระบบเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และสามารถแก้ปญั หาที่เกดิ ข้ึนอยา่ งรวดเร็ว9. สรุป การพัฒนาระบบสารสนเทศเป็นงานใหญ่ที่เก่ียวข้องท้ังในด้านงบประมาณ ทรัพยากรขององค์การ และระยะเวลา แต่สิ่งสาคัญอันดับแรกที่จะช่วยให้การพัฒนาระบบประสบความสาเร็จคือ ผู้ใช้ระบบจะต้องให้ข้อมูลแก่ทีมงานพัฒนาระบบในด้านต่าง ๆ คือ สารสนเทศที่หน่วยงานต้องการผู้ใช้ต้องการให้ระบบมีความสามารถอย่างไร และปัญหาหรือความไม่พอใจในระบบปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น ระบบปัจจุบันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างแท้จริง ระบบปัจจุบันมีขั้นตอนในการทางานที่ยุ่งยากและซับซ้อนและระบบปัจจุบันมีการทางานท่ีผิดพลาดบ่อยครั้ง โดยท่ีการพัฒนาระบบให้ประสบความสาเร็จน้ันข้ึนอยู่กับปจั จยั ดังต่อไปนี้ 1. ผนู้ าและผ้ใู ชร้ ะบบมสี ว่ นร่วมตลอดกระบวน 2. การวางแผนพัฒนาระบบถูกดาเนนิ การอยา่ งถูกวิธี 3. มีแนวทางท่แี น่นอนในการออกแบบและทดสอบชดุ คาส่งั 4. เอกสารท่ีใช้ประกอบในกระบวนการพฒั นาระบบมคี วามสมบรู ณ์ 5. มกี ารวางแผนและการฝึกอบรมผ้ใู ชร้ ะบบท่ีดี 6. มกี ารตรวจสอบหลักการติดตั้งระบบใหมเ่ ป็นระยะ 7. มีการวางแผนใหม้ ีกระบวนการในการบารุงรักษาที่งา่ ย
9 8. การเตรียมความพรอ้ มสาหรับอนาคต โดยเฉพาะการพัฒนาระบบ 9. ปกติทีมงานพัฒนาระบบประกอบด้วยบุคคลต่อไปนี้ คณะกรรมการ ผู้จัดการระบบสารสนเทศผู้จัดการโครงการ นักวิเคราะห์ระบบ นักเขียนโปรแกรม เจ้าหน้าท่ีรวบรวมข้อมูล และผู้ใช้และผู้จัดการท่ัวไปโดยทก่ี ารพัฒนาระบบจะสามารถทาได้อยู่ 4 วิธี คือ วิธีเฉพาะเจาะจง วธิ สี ร้างฐานขอ้ มลู วิธีจากลา่ งขน้ึ บนและวิธจี ากบนลงล่าง การพัฒนาระบบสารสนเทศจะมีกระบวนการท่ีใหญ่แบ่งออกได้เป็นหลายข้ันตอน การท่ีจะพัฒนาระบบให้ได้มีประสิทธิภาพทีมพัฒนาระบบจะต้องเข้าใจถึงข้ันตอนของกระบวนการพัฒนาเป็นอย่างอี เพ่ือให้รู้ถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของทีมงานแต่ละคน ซ่ึงกระบวนการพัฒนาระบบน้ันสามารถแบ่งออกได้เป็น 5ข้นั ตอน คือ 1. การสารวจเบ้อื งตน้ 2. การวเิ คราะห์ความต้องการ 3. การออกแบบระบบ 4. การจัดหาอุปกรณข์ องระบบ และ 5. การตดิ ตงั้ ระบบและการบารุงรักษา
บรรณานุกรมอ้างอิงhttps://sites.google.com/site/it504249119/-7 สบื คน้ เมือ่ (3.09.18)https://sites.google.com/site/adbandon/ng-23102-thekhnoloyi-sarsnthes-5/9-kar-phathna-rabb-sarsnthes สืบคน้ เม่อื (3.09.18)https://sites.google.com/a/npu.ac.th/rabb-sarsnthes-pheux-kar-cadkar/10-2-thim-ngan-phathna-rabb-sarsnthes สืบคน้ เมอื่ (3.09.18)
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: