138 ความสาคัญของค่านิยม เซอร์โต ได้แสดงความสัมพนั ธ์ระหว่าค่านิยม เจตคติ การตัดสินคา่ (Judgment) และการแสดงพฤติกรรมดงั ต่อไปนี้ (Certo, 2000 : 403-405) ค่านิยมและความ สร้าง เจตคติ ซ่งึ มอี ิทธิพลต่อ พฤติกรรมการ เชอ่ื ปฏิบัติและการ ตดั สินค่า ภาพที่ 7. 1 ค่านิยมและความเชื่อที่มผี ลตอ่ พฤติกรรม จากภาพที่ 7.1 สามารถสรปุ และอธิบายเปน็ ตารางที่ 7.1 ได้ดังนี้ ตารางที่ 7. 1 แสดงคา่ นิยมและความเชื่อทีม่ ผี ลตอ่ พฤติกรรม คา่ นยิ มและความเชือ่ เกิดเจตคติ ตดั สินค้าและพฤติกรรม “โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ “ระบบคอมพิวเตอร์ต้องไม่มี “ระบบคอมพิวเตอร์ที่เสนอ เสนอขายกันในตลาดมีมีราคา คณุ ค่าสมกบั ราคาแน่นอน” โดยบริษัทอินโฟเทคต้องไม่ แพงเกินจรงิ กว่าเท่าตวั แต่มี คุ้มค่ากบั ราคาหนว่ ยงานนี้ การบริการเพียงครึ่งเดียวใน จงึ ปฎิเสธ การชอื้ จากบริษัท สัญญาทีผ่ ู้ขายระบุ” น”ี้ ซึ่งเซอร์โตอธิบายเพิ่มเติมว่า แหล่งกาเนิดของค่านิยมของบุคคลจะได้รับอิทธิพลท้ังจาก ความเชื่อสว่ นบุคคลของตนเองและความเชื่อของกลุ่มเพื่อนรว่ มงานดังน้ี
139 ความเชือ่ สว่ น เจตคติตอ่ ตัดสินค่า พฤติกรรม บคุ คล พฤติกรรม ความเชือ่ การคล้อย ของกลุ่ม ตามกลุ่ม ภาพที่ 7. 2 แสดงความเช่อื ของบุคคลและกลุ่มทีม่ ผี ลตอ่ พฤติกรรม จากภาพที่ 7.2 แสดงความเชื่อส่วนบุคคล (Personal Beliefs) คือ ความเชื่อว่าการทา พฤติกรรมบางอย่างอาจชักนาไปสู่ผลลัพธ์ เช่น เชื่อว่าการประจบผู้บังคับบัญชาจะนาไปสู่ความพึง พอใจของผบู้ งั คบั บญั ชา เช่อื ว่าการทางานล่าช้าผดิ พลาดจะถกู ตาหนลิ งโทษจากผบู้ ังคบั บญั ชา เจตคติต่อพฤติกรรมคือการที่บุคคลประเมินว่าผลของความเชื่อเหล่านี้มีความสาคัญต่อ ตัวเขาเพียงใด ถ้าประเมินแล้วสาคัญก็จะยึดถือเป็นเจตคติพอใจอยากทาพฤติกรรมนั้น ถ้าไม่เห็น ความสาคัญของผลของความเชื่อ ก็จะเป็นเจตคติไม่พอใจต่อพฤติกรรมน้ัน จึงพบเนืองๆ ว่าแม้ ความสาคัญของการถกู ตาหนิ เขากต็ ัดสินค่าของพฤติกรรมการตง้ั ใจทางานในระดับต่า และยังคง แสดงพฤติกรรมไม่ตงั้ ใจทางานอยู่อย่างเดิม ความเชื่อของกลุ่ม (Beliefs of Peer Group) คือ ความเชื่อของหมู่คณะว่าควรทาหรือไม่ ควรทาพฤติกรรมอย่างไร เช่นกลุ่มของเพื่อนร่วมงาน บุคลากรในกลุ่มงานเดียวกันควรแสดง พลังงานความเข้มแข็งด้วยการไม่คล้ายตามผู้บังคับบัญชาที่เข้มงวดเกินไป หรือเห็นว่าทุกคนควร ช่วยเหลือกนั ทางานที่ได้รบั มอบมาจากผู้บังคับบญั ชา การคล้ายตามความเช่อื ของกลุ่ม (Subjective Norms) คือ สิง่ ทีม่ อี ิทธิพลจงู ใจให้สมาชิกใน กลุ่มต้องปฏิบัติตาม เพื่อแสดงถึงความเป็นหมู่คณะที่สามัคคีกลมเกลียวกัน การคล้ายตามความ เชื่อของกลุ่มจะมีอิทธิพลต่อการตัดสินค่าของพฤติกรรม เช่น เห็นค่าความสาคัญของการร่วมมือ กันในหมคู่ ณะ
159 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 8 การต้ังเปา้ ประสงค์ของชีวติ และการทางาน เนือ้ หาประจาบท 1. ความหมายของเป้าประสงค์ 2. ความสาคญั ของการกาหนดเป้าประสงค์ 3. ตัวอย่างเป้าประสงค์ของชีวติ และการทางาน 4. ลักษณะของเป้าประสงค์ทีด่ ี 5. หลักการกาหนดเป้าประสงค์ของชีวติ และการทางาน 6. บทสรุป 7. แบบฝกึ หัด วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม 1. อธิบายความหมายความหมายของเป้าประสงค์ 2. ได้ทราบถึงความความสาคัญของเป้าประสงค์ 3. สามารถเข้าใจภาพรวมของหลักการกาหนดเป้าประสงค์ของชีวติ และการทางาน 4. เข้าใจตวั อย่างเป้าประสงค์ของชีวติ การทางาน 5. สามารถบอกถึง ลักษณะของเป้าประสงค์ที่ดี วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. บรรยายประกอบการสอนพร้อมตอบข้อซักถามสลับกับบรรยาย 2. อภปิ รายร่วมกนั ในช้ันเรยี น 3. ให้ทาแบบทดสอบหลังเรยี น 4. นางานที่มอบหมายให้ค้นคว้างานเพื่อนาเสนอในชั้นเรียน 5. การตอบแบบฝกึ หดั 6. สรปุ เนือ้ หาประจาบทเรียน
160 ส่อื การเรียนการสอน 1. ตาราหลัก 2. เอกสารประกอบการสอน 3. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 4. กรณีศกึ ษา 5. วีดีทัศน์ การวดั และการประเมินผล 1. การเข้าช้ันเรยี น 2. การตอบข้อซกั ถาม 3. ทาแบบทดสอบท้ายบท 4. มอบหมายงานล่วงหน้าเพือ่ นาเสนอในชั้นเรยี น
161 บทที่ 8 การตัง้ เป้าประสงค์ของชีวติ และการทางาน การแสดงพฤติกรรม การปฏิบัติกิจการงาน การดาเนินงานในโครงการต่างๆ ล้วน เกี่ยวข้องกับจุดหมายปลายทางที่ต้องการผลบางประการให้บังเกิดข้ัน ผลที่ต้องการให้บังเกิดนี้ถ้า เป็นการทาพฤติกรรมปกติในชีวิตประจาวัน เช่น พฤติกรรมสนทนา ทาอาหาร นิยมเรียกผลที่ ต้องการน้ีเรียกว่า จุดประสงค์หรือวัตถุประสงค์ เช่น สนทนาเพื่อสื่อความหมาย ทาอาหารเพื่อให้ ได้อาหารมาบริโภค เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลระยะสั้นๆ แต่ถ้าเป็นการปฏิบัติกิจกรรม งาน โครงการ ที่ต้องใช้ระยะเวลาดาเนินการสักระยะหนึ่ง จึงจะได้รับผล นิยมเรียกผลที่ปรารถนาจะ ได้รับนี้ว่าเป้าประสงค์ เช่น ปฏิบัติตนในเร่ืองการศึกษาเล่าเรียนเพื่อเป้าประสงค์ คือ จบการศึกษา ได้รบั วฒุ ิที่ต้องการ เพือ่ นาไปประกอบอาชีพ หรอื เป็นพลเมืองที่มคี ณุ ภาพ หรอื มีการจัดตั้งองค์การ ดาเนินการผลิตสินค้าสาเร็จรูป ก็เพื่อเป้าประสงค์ คือ มีผลผลิตที่มีคุณภาพสนองความต้องการ ของลูกค้าทาให้เกิดรายได้แก่องค์การ เป้าประสงค์ที่ดี ช่วยพัฒนาความสามารถของบุคคลในการ ตรวจสอบปรับปรุงแก้ไขการต้ังเป้าประสงค์ของตนเองในการใช้ชีวิตและการทางาน และช่วยให้ บุคคลใช้เป้าประสงค์ของชีวิตและการทางานเป็นเคร่ืองมือแสดงทิศทางชี้นาทาง การปฏิบัติหน้าที่ การงานต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มประสิทธิภาพการทางาน และนามาซึ่งความสุขสาเร็จใน การประกอบกิจการงาน ความหมายของเปา้ ประสงค์ กันตยา เพิ่มผล (2546 : 18) ได้ให้ความหมายของเป้าประสงค์ หมายถึง จุดหมาย ปลายทางของสิ่งที่กาลงพยายามดาเนินการอยู่ หรืออาจจะหมายถึงอะไรที่วางไว้ในเวลาไกลตัว ออกไป ถ้าหากว่าจะลองเขียนรายการเป้าประสงค์เหล่านดี้ กู อ็ าจจะได้ความดงั ตอ่ ไปนี้ (1) พยายามให้ได้เลือ่ นเปน็ หวั หน้างาน (2) เลื่อนขนั้ เงินเดือนปีละ 10 เปอร์เซน็ ต์ (3) ให้เวลาครอบครวั เตม็ ที่อย่างนอ้ ยอาทิตย์ละหนึ่งวันเต็ม ๆ (4) ช่วยลูกทาการบ้านอย่างนอ้ ยอาทิตยละ 2 คืน (5) เกบ็ เงินใหไ้ ด้สัก 5 หม่นื เพือ่ ให้ลกู เรียนมหาวิทยาลัย (6) ออกกาลงั กายอาทิตย์ละ 3 คร้ัง (7) เกบ็ เงินไว้พาครอบครัวไปเทีย่ วสกั 2 สปั ดาห์
162 สมใจลกั ษณะ (2552 : 167-176) ได้กล่าวว่าเป้าประสงค์ (Goal) คือ สิ่งที่ต้องการให้เกิด เป็นผล (Result) ของการกระทาใดๆ เป็นลักษณะความสาเร็จ (Success) ที่ได้รับจากความพยายาม ดาเนนิ การใดๆ มาระยะเวลาหนึง่ เปน็ ผลผลติ (Output) หรอื ผลได้ (Outcome) ในระยะยาวหลังจาก ดาเนนิ กระบวนการ(Process)และใช้ปจั จยั (Input)ไปแล้ว มีผู้จาแนกความแตกต่างระหว่างวตั ถุประสงค์ ความมงุ่ หมาย และเป้าประสงค์ ไว้ดังนี้ วัตถปุ ระสงค์ (Objective) เป็นผลที่ต้องการได้รับทันทีที่ปฏิบัติกิจกรรมหรือกระบวนการ เสรจ็ สิน้ ลง ความมุ่งหมาย (Purpose) เป็นผลรวมการปฏิบัติกิจกรรมหลายๆ อย่างแล้ว ทาให้ บังเกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องการทาให้เกิดขึ้นหลังจากมีการปฏิบัติกิจกรรมหรือกระบวนการ ต่างๆ แล้ว เป้าประสงค์ (Goal) เป็นผลในระยะยาวเป็นผลที่ค่อนข้างถาวรถ้าบังเกิดขึ้นเป็นผลที่เกิด จากการได้ผลของความมงุ่ หมาย หรอื เปน็ ผลที่ตามมาหลงั จากได้ผลจากความมงุ่ หมายแล้ว โครงสรา้ งความสัมพนั ธ์ระหว่างวัตถุประสงค์ ความมุ่งหมาย และเป็นเป้าประสงค์เป็นดัง ภาพที่ 8.1 ต่อไปนี้ ผลิตสอ่ื อบรม ใชเ้ ทคโนโลยชี ว่ ย (1) บริษัทผลลิตสินค้า ทางานควบคุม ได้มาตรฐาน ฝึกปฏบิ ตั ิ เทคโนโลยี คณุ ภาพ (2) เพม่ิ รายได้ ทดลองปฏบิ ัตงิ าน ภาพที่ 8. 1 โครงสรา้ งของผลระดบั ต่างๆ ทีม่ า : (สมใจ ลกั ษณะ, 2552 : 168)
163 จากภาพที่ 8.1 เป็นกรณีตัวอย่างของการบังเกิดผลที่ต้องการในระดับต่างๆ ทั้งระดับ วตั ถุประสงค์ ระดับความมงุ่ หมาย และระดับเป้าหมาย เปน็ สถานการณข์ อง บริษัทผู้ผลิตสินค้า อาหารสาเร็จรูปที่ต้องการยกระดับคุณภาพของ สินค้าให้ได้มาตรฐาน ผลิตได้จานวนเพียงพอต่อปริมาณการสั่งซื้อในตลาดในขณะที่การแข่งขัน ระหว่างบริษัทคู่แข่ง การเอาชนะจาเป็นต้องใช้เทคโนโลยีช่วยในการควบคุม คุณภาพการผลิต ควบคุมมาตรฐานให้สงู เท่ากนั ในการผลิตผลทกุ ชนิ้ แม้จะมปี ริมาณผลติ ผลมาก ผลความสาเร็จในระดบั วัตถุประสงค์ (Objective) เป็นวัตถุประสงค์ย่อยๆ ของ กิจกรรมพัฒนาบุคลากรในด้านเทคโนโลยีซึ่งประกอบด้วย 3 กิจกรรม แต่ละกิจกรรมมี วัตถปุ ระสงค์เฉพาะของกิจกรรม คือ 1. กิจกรรมพัฒนาสื่อชุดการฝึกอบรมพนักงาน ในเร่ืองการใช้เทคโนโลยี มีวัตถุประสงค์ เพือ่ เสริมสรา้ งความรู้ความเข้าใจแก่พนกั งานในการใชเ้ ทคโนโลยีทันสมยั ในกระบวนการ 2. กิจกรรมการฝึกปฏิบตั ิการใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในกระบวนการควบคุมคุณภาพของการ ผลิต มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพนักงานให้บังเกิดความสามารถและทักษะในการลงมือปฏิบัติจริง ใช้เทคโนโลยีอย่างถกู ต้องและชานาญ 3. กิจกรรมการทดลองปฏิบัติงานเป็นการทางานจริงด้วยการให้พนักงานที่ผ่านการฝึก ปฏิบัติการใช้เทคโนโลยีแล้ว ได้มีโอกาสทดลองนาเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในการควบคุมมาตรฐาน คุณภาพของอาหารสาเร็จรูป มีวัตถุประสงค์เพื่อให้พนักงานสามารถประยุกต์เทคโนโลยีสู่การ ปฏิบตั ิจริงอย่างได้ผล ผลความสาเรจ็ ในระดบั ความมุ่งหมาย (Purpose) คือ ผลสบื เนือ่ งที่เป็นผลมาจากการ ทากิจกรรมพัฒนาบุคลากรด้วยกิจกรรมทั้ง 3 อย่างแล้ว ความมุ่งหมาย คือ “เพื่อเพิ่มขีด ความสามารถของบริษัทในการควบคุมมาตรฐานคุณภาพของสินค้าในกระบวนการผลิต” หรือาจ กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่าความมุ่งหมาย คือ “อาหารสาเร็จรูปของบริษัทมีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ เชอ่ื ถือได้” ผลสาเร็จในระดับเป้าประสงค์ (Goal) คือ ผลที่ตามมาหรือเกิดขึ้นในระยะยาว เช่น จากกรณีตวั อย่างน้ี (1) อาหารสาเรจ็ รปู ของบริษัทนไี้ ด้รับความนยิ มว่า มมี าตรฐานคณุ ภาพสูง (2) ผลิตอาหารสาเร็จรูปในปริมาณมาก เพราะเทคโนโลยี เคร่ืองจักรที่มีความทันสมัย และรับประกันคุณภาพได้ จะช่วยให้สามารถผลิตสินค้าได้ทันกับความต้องการของตลาด และ เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว เปน็ การได้เปรียบคู่แข่งขัน
175 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 9 การสารวจตนเอง เนื้อหาประจาบท 1. ความหมายและความสาคัญของการสารวจตนเอง 2. รปู แบบของการใช้ผลการสารวจตนเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทางาน 3. กระบวนการวางแผนสารวจตนเอง 4. ลักษณะการสารวจตนเองในคุณลกั ษณะส่วนตัว 5. แหลง่ ทีม่ าของปัญหาและอปุ สรรคของตน 6. การใชผ้ ลการสารวจเพือ่ การพฒั นาพฤติกรรมของตน 7. กรณีตวั อย่างของการใช้ผลสารวจตัวเองในการพัฒนาพฤติกรรม 8. บทสรปุ 9. แบบฝกึ หดั วตั ถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม 1. อธิบายความหมายของความหมายและความสาคญั ของการสารวจตนเอง 2. ได้ทราบถึงความสาคัญรูปแบบของการใช้ผลการสารวจตนเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การทางานและ กระบวนการวางแผนสารวจตนเอง 3. เข้าใจลักษณะการสารวจตนเองในคุณลักษณะส่วนตัวและลักษณะการสารวจตนเองใน ด้านปญั หาและอปุ สรรค 4. สามารถเข้าใจการใชผ้ ลการสารวจเพือ่ การพฒั นาพฤติกรรมของตน 5. สามารถบอกถึงกรณีตัวอย่างของการใช้ผลสารวจตัวเองในการพัฒนาพฤติกรรมและ การจัดบุคลลากรเป็นเครือ่ งมอื สาคญั ของการเพิม่ ประสิทธิภาพขององค์การ
176 วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. บรรยายประกอบการสอนพร้อมตอบข้อซักถามสลบั กบั บรรยาย 2. อภปิ รายร่วมกนั ในช้ันเรยี น 3. ให้ทาแบบทดสอบหลงั เรยี น 4. นางานที่มอบหมายให้ค้นคว้างานเพือ่ นาเสนอในชั้นเรียน 5. การตอบแบบฝกึ หัด 6. สรปุ เนือ้ หาประจาบทเรียน ส่อื การเรียนการสอน 1. ตาราหลัก 2. เอกสารประกอบการสอน 3. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 4. กรณีศกึ ษา 5. วีดีทศั น์ การวดั และการประเมินผล 1. การเข้าชั้นเรยี น 2. การตอบข้อซกั ถาม 3. ทาแบบทดสอบท้ายบท 4. มอบหมายงานล่วงหน้าเพือ่ นาเสนอในชั้นเรยี น
177 บทที่ 9 การสารวจตนเอง การพัฒนาตนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของชีวิตและการทางานเป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้อง กับความคิด ความรู้สึก และการวางแผนปฏิบัติเพื่อปรับปรุงตนเอง เม่ือบุคคลทบทวนปรัชญาและ อดุ มการณใ์ นการพัฒนาตนเองและปรับปรุงตนเองให้เป็นกรอบความคิดของการใช้ชีวิตของตนเอง แล้ว การปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพและค่านิยมให้มีลักษณะพึงปรารถนา รวมถึงการกาหนด เป้าประสงค์ของชีวติ และการดาเนินงานให้มีความเหมาะสมเอื้อต่อความเป็นจริงของการปฏิบัติตน ให้ประสบผลสาเรจ็ กเ็ ปน็ ผลตามมา กระบวนการน้จี ะนาไปสู่การวางแผนลงมือปฏิบัติในการพัฒนา ตนเพือ่ เพิ่มประสทิ ธิภาพของชีวติ และการทางานอย่างแท้จรงิ แต่ในสภาพที่บุคคลมีความแตกต่างกันในความรู้ความสามารถ ความต้องการ ความ สนใจ และอารมณ์ความรู้สึกอื่นๆ ผนวกกับความแตกต่างกันในสภาพแวดล้อมของการทางาน วัฒนธรรมการทางาน และลักษณะของบุคคลที่อยู่ร่วมกันในองค์การ จะมีผลทาให้บุคคลมี ความสาเร็จในชีวิตแตกต่างกัน สาเหตุสาคัญที่ทาให้บุคคลไม่ประสบความสาเร็จจะมาจาก ข้อจากัดในปจั จัยของตนเอง และมาจากปญั หาอุปสรรคในการปฏิบัติงานที่ตนเองเผชิญอยู่ สิ่งที่จะ ช่วยส่งเสริมโอกาสความสาเร็จในชีวิต มีประสิทธิภาพการทางาน จาเป็นต้องสารวจตนเองให้ได้ ความรู้ความจริงเกี่ยวกับตนเอง ความจริงที่เป็นผลมาจากการสารวจตนเองจะเป็นปัจจัยสาคัญ ของการวางแผนการปฏิบัติงานให้บังเกิดความสาเรจ็ ตามเป้าประสงค์ของชีวิตและการทางาน ความหมายและความสาคญั ของการสารวจตนเอง การสารวจตนเอง (Self-Investigation) คือกระบวนการศึกษาหาข้อมูล วิเคราะห์และ วิจารณ์ เพือ่ ให้บงั เกิดผลเปน็ ความรู้ความเข้าใจตนเองในทุกด้านที่สนใจปรารถนาจะรู้จกั ตนเอง การสารวจตนเองมีความสาคญั คือ 1. ช่วยใหเ้ กิดการมีความรใู้ นลกั ษณะต่างๆของตนเอง (Self-Concept) ตามความจริง 2. ช่วยแสดงจุดเด่น (Strength) และจุดอ่อน (Weakness) ในบางดา้ นของตนเอง 3. ช่วยให้มีความสามารถนาจุดเด่น จุดอ่อนของตนไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนดาเนิน ชีวติ ประกอบกิจการงานให้สอดคล้องกบั คณุ ลกั ษณะของตนเอง
178 4. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทางาน และคุณภาพของชีวิตความเป็นอยู่ โดยเป็นผลสืบ เนือ่ งมาจากการวางแผนดาเนนิ ชีวติ ทีอ่ าศัยความรู้ที่ได้จากการสารวจตนเอง 5. ช่วยให้บุคลากรสามารถพัฒนาพฤติกรรมของตนเองเพื่อแก้ไขปรับปรุงจุดอ่อน จดุ บกพร่องให้เป็นบุคคลที่มคี ณุ ลกั ษณะทีเ่ หมาะสมดีงามยิ่งข้นึ รปู แบบของการใช้ผลการสารวจตนเองเพื่อเพิม่ ประสิทธิภาพการทางาน ในการดารงชีวติ และปฏิบตั ิหน้าทีใ่ นกิจการงานใดๆของบุคคล เป้าประสงค์สาคัญของการ บรรลุความสาเร็จในผลที่ต้องการจะได้รับ ลักษณะของกระบวนการไปสู่ผลที่ต้องการและความ ล้มเหลวหรอื ความสาเรจ็ มีลักษณะดังภาพที่ 9.1 ลักษณะบคุ คล พฤติกรรมมุ่ง ปัญหา พิชิต บรรลุ เป้าประสงค์ ปัญหาอุปสรรค เป้าประสงค์ ความรู้ อุปสรรค ความสามารถ ล้มเหลวไม่สามารถ พิชิตปัญหาอปุ สรรค ปรชั ญา อดุ มการณ์ บุคลิกภาพ ค่านิยม ความรสู้ ึก (ความต้องการ ความสนใจ) ภาพที่ 9. 1 แสดงลักษณะการทาพฤติกรรมไปสู่เป้าประสงค์ ทีม่ า : (สมใจ ลกั ษณะ, 2552 : 170) จากภาพที่แสดงลักษณะการทาพฤติกรรมไปสู่เป้าประสงค์พฤติกรรมดังกล่าวโดยท่ัวไป แล้ว คือ พฤติกรรมในองค์การที่ครอบคลุมถึงการแสดงพฤติกรรมต่อบุคคล พฤติกรรมต่อกลุ่ม พฤติกรรมต่อองค์การ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมการปฏิบัติงาน สาเหตุของพฤติกรรมของ บุคคลจะมาจากโครงสร้างลักษณะของบุคคลที่ครอบคลุมทั้งความรู้ ความสามารถ ปรัชญาและ อุดมการณ์ในการใช้ชีวิตและการทางาน บุคลิกภาพ ค่านิยม และลักษณะอารมณ์ความรู้สึกที่ส่วน ใหญ่จะเกีย่ วข้องกับความต้องการ ความสนใจ และการรับรู้เกี่ยวกับตนเองในแง่มุมต่างๆ ลักษณะ ส่วนบุคคลจะมีอิทธิพลกาหนดพฤติกรรมที่มุ่งไปสู่เป้าประสงค์ของชีวิตและการทางาน การจะมี ความสาเร็จบรรลุเป้าประสงค์ได้เพียงใด จะขึ้นกับความสามารถที่จะพิชิตปัญหาและอุปสรรคใน
179 การดาเนินชีวิตหรือการทางาน บุคคลบางคนจึงอาจพบความล้มเหลวถ้าไม่สามารถพิชิตเอาชนะ ปญั หาและอปุ สรรคได้ บุคคลผู้สามารถพิชิตปัญหาอุปสรรคได้จะมาจากความสามารถที่บุคคลน้ัน ใช้ประโยชน์จากการรจู้ ักลักษณะส่วนบคุ คลของตนเองอย่างดีและรู้จักปัญหาอุปสรรคที่เผชิญ จาก ความรเู้ กีย่ วกบั ตนเองของปัญหาอปุ สรรคจะช่วยให้ปรับปรุงพฤติกรรมอย่างเหมาะสม จนสามารถ พิชิตปัญหาอุปสรรค บรรลุความสาเร็จในเป้าประสงค์ได้รูปแบบของการใช้ผลสารวจตนเองเพื่อ เพิ่มประสิทธิภาพการทางาน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่าเพื่อให้มีพฤติกรรมเหมาะสมจนนาไปสู่ เป้าประสงค์ได้ มีลักษณะรูปแบบดังภาพที่ 9.2 ผลการสารวจตนเอง วางแผนพฤติกรรม รจู้ ักตนเอง พฤติกรรม - จดุ เด่น - สนองจุดเด่น พฤติกรรมที่ มี สารวจ - จุดอ่อน - แก้ไขจุดอ่อน เขา้ ใจปญั หาอปุ สรรค - แก้ไขปัญหา ตนเอง - สาเหตุ ประสิทธิภาพ และพิชติ อปุ สรรค - ผลกระทบ ภาพที่ 9. 2 แสดงรปู แบบการใชผ้ ลสารวจตนเอง ทีม่ า : (ดัดแปลงจาก สมใจ ลักษณะ, 2552 : 171) จากภาพที่ 9.2 แสดงรูปแบบการใช้ผลสารวจตนเองจะพบว่าพฤติกรรมที่มีประสิทธิภาพ นาไปสู่การบรรลุผลตามเป้าประสงค์นั้น จาเป็นจะต้องเป็นประพฤติกรรมที่ผ่านการกลั่นกรอง วางแผนอย่างดี การวางแผนพฤติกรรมที่ได้ผลควรเป็นพฤติกรรมที่อาศัยข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ ตนเองและความรู้เกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรค การสารวจตนเองจะช่วยให้บุคคลได้รู้จักตนเองใน จดุ เด่น จุดอ่อน เข้าใจปัญหาและอุปสรรคที่ตนเผชิญ ซึ่งเป็นความเข้าใจลึกซึ้งสาเหตุของปัญหา และผลกระทบของปัญหาและอปุ สรรคเหล่านั้น กระบวนการวางแผนสารวจตนเอง การสารวจตนเองที่ได้ผลดี ทาให้ได้ข้อมลู ความรทู้ ี่ตรงและเชื่อได้ และช่วยให้ได้ความรู้ที่ สมบูรณ์นาไปใช้ในการวางแผนพฤติกรรมของตนเอง โดยเฉพาะพฤติกรรมประสิทธิภาพการ ทางานน้ัน ควรใช้กระบวนการวางแผนสารวจได้ดังนี้
180 1. กาหนดสิ่งที่ควรสารวจ ซึ่งอาจเลือกตัวแปรควรเป็นตัวแปรที่คลอบคลุมปัจจัย เกี่ยวกับตนเอง เช่น บุคลิกภาพ ค่านิยม ความรู้ความสามารถ ความสนใจ ความต้องการ ปญั หาและอปุ สรรคที่เผชิญอยู่ 2. ดาเนินการสารวจตนเองด้วยวิธีการที่หลากหลาย เช่น การวิเคราะห์ตนเอง การใช้ แบบสารวจหรือแบบประเมินตนเอง การรับฟังคาวิจารณ์ตนเองจากผู้อื่น และการพิจารณาผล การกระทาพฤติกรรมของตนเองว่าพฤติกรรมใดนาไปสู่ผลพฤติกรรมใดไม่ได้ผล นามาประมวล เปน็ ความรู้จดุ เด่น-จุดอ่อนของตวั เอง 3. วิเคราะห์ผลการสารวจ ตัดสินส่วนที่เป็นจุดเด่นส่วนดี ส่วนน่าพอใจถึงตน ระบุสิ่งที่ เป็นจุดอ่อน ข้อบกพร่องสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไข การแปลผลการสารวจบางคร้ังจาเป็นต้องอาศัย เกณฑ์หรือมาตรฐานอ้างอิงเพื่อตัดสินว่าสิ่งที่สารวจอาจตัดสินใจไม่ หรือตัดสินแบบลาเอียง เข้าข้างตัวเองเกณฑ์หรอื มาตรฐานนอี้ าจมาจากการทาทฤษฎี ความคิดของผู้เชี่ยวชาญ หรือความ คิดเห็นของกลุ่ม หรอื หมคู่ ณะวา่ คนส่วนใหญ่ยอมรับในลกั ษณะใด ไม่ยอมรบั ในลักษณะใด 4. ความรู้เกี่ยวกับตนเองเพื่อให้การวางแผนทาพฤติกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อ การวางแผนพชิ ิต ปัญหาและอปุ สรรค ซึง่ จะกล่าวถึงในบทต่อไป ลกั ษณะการสารวจตนเองในดา้ นปญั หาและอุปสรรค สิ่งที่เป็นปัญหา (Problem) คือ สิ่งที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง (Expectation) ผลที่ ตามมา คือ ความไม่เป็นสุข ไม่สะดวกสบาย ความไม่พึงปรารถนา เช่น คาดหวังว่าสร้างโปรแกรม คอมพิวเตอร์แสดงบัญชีลูกค้าได้ทันในเวลา 2 สัปดาห์ แต่ในความเป็นจริงสร้างโปรแกรมไม่ได้ หรือสร้างได้ไม่ทันเวลาตามมาด้วยการถูกตาหนิ ความไม่สบายใจที่ตัวเองไม่เก่งพอจนเกิดปัญหา \"สร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ไม่ได้ดั่งความมุ่งหมาย\" มีข้อสังเกตว่า เหตุการณ์เดียวกันจะเป็น ปัญหาของบุคคลหรือไม่ต้องขึ้นกับผลที่ตามมาของเหตุการณ์น้ัน ในกรณีสร้างโปรแกรม คอมพิวเตอร์ไม่สาเร็จทันเวลาถ้าเกิดกับเดชา เดชาจะทุกข์ร้อน เพราะเดชามีมาตรฐานการทางาน สูงและทนไม่ได้กับการถูกตาหนิ ทนไม่ได้ถ้าตัวเองไม่มีความน่าภูมิใจ เดชารู้สึกว่ามีปัญหา แต่ใน กรณีนี้ถ้าเกิดกับพนม ...พนมไม่เกิดความทุกข์แต่อย่างใด เพราะพนมถือว่าบริษัทไม่ใช่ของเรา พนมไม่มีมาตรฐาน การทางานอย่างมีประสิทธิภาพ พนมพอใจจะปล่อยเวลาให้พ้นไปวัน ๆ หนึ่ง ขอให้ได้เงินเดอื นก็แล้วกันพนมทนได้ ถึงผู้บังคับบัญชา จะตาหนิหรือเพื่อนฝูง ไม่ยกย่องว่าเป็นคน เก่งเหตกุ ารณน์ ีจ้ งึ ไมเ่ ป็นปญั หาสาหรบั พนม พนมยังแอบคิดในใจด้วยว่าการทางานไม่ดีทาไม่ทันเป็นสิ่งที่เหมาะสมสาหรับพนม คราว ต่อไปผบู้ งั คับบัญชาจะได้ไม่มอบงานอีกพนมจะสบาย คนที่ขยนั ทางานแบบเดชาเป็นคนโง่ เพราะยิ่ง
181 ทาได้เร็วเท่าใดผู้บังคับบัญชาก็มักจะเรียกใช้และมีงานมาเร่ือยๆ แต่พนมลืมคิดไปว่าในระยะยาว ความเจริญก้าวหน้าในการงาน ย่อมเป็นของเดชา และองค์การมีประสิทธิภาพเพราะมีบุคลากรที่ รักการทางาน ทางานอย่างมปี ระสิทธิภาพ... อุปสรรค (Barrier) คือสิ่งที่ขัดขวางความราบร่ืนขัดขวางความสะดวกในการดาเนินงาน ไปสู่เป้าประสงค์ เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความยุ่งยาก (Difficulty) ทาให้ไม่สามารถปฏิบัติตามแผนหรือ ตามสิ่งที่กาหนดไว้ถ้ามีอุปสรรคระดับปานกลางจะมีผลทาให้บรรลุเป้าประสงค์ได้ช้าหรือบรรลุ เป้าประสงค์ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีถ้ามีอุปสรรคระดับสูงมาก อาจมีผลทาให้ไม่สามารถบรรลุ เป้าประสงค์ได้เลย แหล่งท่มี าของปญั หาและอุปสรรคของตนเอง 1. ปัญหาอุปสรรคจากปัจจัย เชน่ 1.1 มีความรไู้ ม่เพียงพอ 1.2 ด้อยความสามารถในการปฏิบตั ิ 1.3 ขาดเงิน หรอื มีไมเ่ พียงพอ 1.4 ขาดเทคโนโลยีทนั สมยั 1.5 มีเวลาไม่เพียงพอ 1.6 มีขอ้ จากดั ทางระเบียบ กฎเกณฑ์ที่ล้าสมัย 1.7 มีขอ้ จากดั ของทีมงาน ได้คนจานวนน้อย ได้คนไม่เก่งไม่ดี 1.8 ขาดข้อมูลขา่ วสาร 1.9 ขาดการสนับสนนุ จากผู้บริหาร 2. ปัญหาอปุ สรรคจากกระบวนการ เชน่ 2.1 ขาดการวางแผนที่เหมาะสม 2.2 ขาดความรว่ มมอื จากผู้รว่ มงานในการปฏิบตั ิ 2.3 โครงสรา้ งขององค์การไม่เอือ้ ต่อการเพิม่ ประสิทธิภาพการทางาน 2.4 สายการบังคับบญั ชาควบคุมงานมหี ลายข้ันตอนเกินไป 2.5 การปฏิบัติงานไม่เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพการทางาน หรือขาดมาตรฐาน คณุ ภาพการทางาน 2.6 องค์การบกพร่องในระบบกระบวนการควบคมุ มาตรฐานการปฏิบัติงาน 2.7 ระบบการประเมินผลการปฏิบัติงานไม่เหมาะสม ไม่เน้นผลงาน ไม่ส่งเสริมขวัญ กาลังใจคนทางาน ไม่ยุติธรรม ไม่เสมอภาค ไม่โปร่งใส
182 แนวการเอาชนะปัญหาอุปสรรคในการทางานจะกล่าวถึงบทต่อไป สิ่งที่ควรระลึกถึงใน เรือ่ งการสารวจปัญหาและอุปสรรคของตนเองในการปฏิบัติงาน คือ ควรให้ได้ข้อมูลที่ครบถ้วนทุก แง่ทุกมุมวิเคราะห์ด้วยความเที่ยงตรงกับความจริง (Objectivity) และนาผลการวิเคราะห์มาจัดทา รายการสิ่งที่เป็นปัญหาอุปสรรค์ที่ควรปรับปรุงพัฒนา เป้าหมายสูงสุขของการสารวจตนเองก็เพิ่ม ประสิทธิภาพการทางานเพื่อความสาเร็จและเพื่อคณุ ภาพของการดารงชีวิต การใชผ้ ลการสารวจเพือ่ การพัฒนาพฤตกิ รรมของตน ผลการสารวจตนเองจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มหาศาล ถ้าบุคคลจะนาผลการสารวจมา พัฒนาตนเอง จากที่กล่าวแล้วข้างต้น ข้อมูลที่ได้จากการสารวจตนเองเม่ือนามาเปรียบเทียบกับ มาตรฐานหรือเกณฑ์ที่พึงปรารถนาแล้ว จะทาให้บุคคลสามารถระบุคุณสมบัติของตนที่มี คุณลักษณะเหมาะสมดีงามแล้ว ทาให้สามารถระบุคุณลักษณะที่ยังด้อยเป็นจุดอ่อน เป็น ข้อบกพร่อง ผู้ที่ต้องการมีคุณลักษณะของตนที่เหมาะสมดีงามโดยสมบูรณ์ทุกด้านจะเกิดความ ปรารถนาที่จะพัฒนาโดยใช้วิกฤตความบกพร่องอ่อนน้อมถ่อมตน มาเป็นโอกาสของการแก้ไข ปรบั ปรงุ พัฒนาตนเองให้หลดุ พ้นจากสภาพด้วย ให้เปลี่ยนเป็นสภาพที่สมบูรณ์เหมาะสมดีงาม การ พัฒนาพฤติกรรมของตนเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตน เพราะการพัฒนาพฤติกรรมถือว่าเป็น กิจกรรมที่สาคัญที่เป็นรูปธรรมของบุคคล การพัฒนาพฤติกรรรมจะเป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตน ให้เปน็ ไปในแนวทางทีพ่ ึงปรารถนายิ่งขนึ้ กระบวนการใชผ้ ลการสารวจเพือ่ การพัฒนาพฤติกรรมของตนมีดงั นี้ 1. กาหนดขอบข่ายของคุณสมบัติที่ควรพิจารณาเพื่อการพัฒนาตนแต่ละด้าน นาผลการ สารวจตนเองแต่ละด้านมาพิจารณา 2. วิเคราะห์ผลการสารวจจะเปรียบเทียบกับเกณฑ์ของความเหมาะสมดีงาม ระบุสิ่งที่ สอดคล้องกับเกณฑท์ ีน่ า่ พอใจในแตล่ ะดา้ นตาม ข้อ 1. 3. จัดลาดับความสาคญั ของคณุ สมบตั ิแต่ละด้านที่ผลสารวจแสดงความจาเป็นต้องแก้ไข ปรบั ปรุง ข้ันตอนนชี้ ่วยกาหนดสิง่ ที่ควรปรับปรุงแก้ไขตามลาดับก่อนหลัง เกณฑ์การเลือกสิ่งที่ควร ปรับปรุงก่อน คือ 3.1 เปน็ เรือ่ งสาคัญ 3.2 มีคุณประโยชนต์ ่อตนเองและต่องาน 3.3 เปน็ เรือ่ งทีม่ โี อกาสประสบความสาเร็จในการแก้ไขปรบั ปรงุ
183 4. เลือกคุณสมบัติที่ต้องการแก้ไขปรับปรุงพฤติกรรมของตนเอง เริ่มจากลาดับแรก กาหนดวตั ถปุ ระสงค์ทีเ่ ปน็ เป้าหมายของการพฒั นาพฤติกรรมระบผุ ลพฤติกรรมทีป่ รารถนา 5. วางแผนพัฒนาพฤติกรรมกาหนดวิธีการเรียนรู้หรือวิธีฝึกปฏิบัติภายในเง่ือนไขระยะ จานวนวันทีค่ วรพัฒนาได้ผลสาเรจ็ 6. ปฏิบัติตนพฒั นาพฤติกรรมพฤติกรรมตามแผนในกาหนดเวลา 7. ประเมินตนเองพิจารณาความสาเร็จ และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อหมู่คณะ และต่อ ประสิทธิภาพในการทางาน กรณีตวั อย่างของการใชผ้ ลสารวจตนเองในการพัฒนาพฤตกิ รรม เดชา เป็นบุคลากรระดับหัวหน้าฝ่ายขององค์การสถาบันการศึกษา มีหน้าที่รับผิดชอบ งานวิเทศสมั พนั ธ์ติดตอ่ สื่อสารกับเครือขา่ ยงานธรุ กิจการศกึ ษาระดับปริญญากับสถาบันการศึกษา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เดชา ประสบสิง่ บอกเหตขุ องการด้อยประสิทธิภาพในการทางานจากผลงานในช่วงเวลาที่ ผ่านมาไม่ประสบผลสาเร็จเท่าที่ควร เดชาสังเกตพบว่าผู้ร่วมงานไม่ให้ความร่วมมือในการติดต่อ ประสานงาน เดชาพบความไม่ราบร่นื ในการสื่อสารกับหน่วยงานต่างประเทศ การบริหารจัดการใน งานไม่เป็นไปตามแผน มีผู้วพิ ากษ์วจิ ารณ์วา่ การเขียนรายงานของตนไม่สมบรู ณ์ ข้ันท่ี 7 ขั้นท่ี 1 กาหนด ประเมินพัฒนา ขอบข่าย คณุ สมบัติ พฤติกรรม ข้ันท่ี 6 ปฏิบัติ ขั้นท่ี 2 วเิ คราะห์ พัฒนาพฤติกรรม ผลการสารวจ ตนเอง ขั้นท่ี 5 การ ข้ันท่ี 4 ขั้นท่ี 3 วางแผนพฒั นา กาหนด จดั ลาดับ วตั ถปุ ระสงค์ ความสาคัญ พฤติกรรม ของการพฒั นา พฤติกรรม ภาพที่ 9. 3 แสดงลาดบั ขั้นตอนการใชผ้ ลสารวจตนเองในการพฒั นาพฤติกรรม
184 ขัน้ ท่ี 1 กาหนดขอบขา่ ยคณุ สมบัติ เดชากาหนดองค์ประกอบของคณุ สมบตั ิทีค่ วรสารวจตนเอง 3 ด้าน คือ 1. ด้านพฤติกรรมในการสื่อสาร 2. ด้านพฤติกรรมสังคม 3. ด้านพฤติกรรมในการทางาน ข้นั ท่ี 2 วิเคราะหผ์ ลการสารวจตนเอง คุณสมบัติแต่ละด้านควรมีเกณฑ์มาตรฐานที่แสดงคุณลักษณะที่เหมาะสมดีงาม เดชา ได้รบั คาแนะนาจากที่ปรึกษาฝา่ ยพฒั นาทรพั ยากรมนุษย์ของสถาบัน จัดทาเป็นพฤติกรรมเกณฑ์ 3 ด้าน เมื่อนาผลการสารวจตนเองมาพิจารณาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมเกณฑ์ ปรากฏผลดังน้ี ตารางที่ 9. 1 แสดงพฤติกรรมเกณฑด์ ้านต่างๆ เกณฑพ์ ฤตกิ รรมในการสือ่ สาร ผลการวเิ คราะห์ 1. เดชา มคี วามสามารถครบถ้วนในการอ่าน และฟัง 1. สามารถอา่ นและฟังอยา่ งมีวจิ ารณญาณ 1.1 เข้าใจคา ประโยค อย่างมี วิจารณญาณ 1.2 จับใจความสาคัญ 1.3 วเิ คราะห์ความคดิ เหตผุ ล ความมุ่ง 2. เดชามีขอ้ มลู นอ้ ยเกีย่ วกบั ผู้รบั ข่าวสาร 2.1 การพดู การเขียนมวี ัตถปุ ระสงคท์ ี่ชดั เจน หมาย 2.2 การลาดับเรือ่ งทีเ่ หมาะสม 2.3 หลายคร้ังทีเ่ ดชาแสดงความรู้สกึ มากกว่าตาม 2. สามารถพูด เขียนอยา่ งสร้างสรรค์ 2.1 เข้าใจพ้ืนฐานความรู้ความคดิ ของผู้รบั ข้อมลู 2.2 มวี ตั ถปุ ระสงค์การพดู เขยี นที่ชดั เจน 2.4 การมองข้ามภมู หิ ลงั ผู้รบั ข่าวสาร จึงมกั 2.3 ลาดบั เรือ่ งทีจ่ ะแสดงออกมีเหตผุ ล 2.4 มขี ้อมลู ความรู้ ความคิด สมบรู ณ์รองรับการ เกิดผลท่ผี ู้รับข่าวสาร ไมเ่ กิดความรู้ความเข้าใจใน ข่าวสาร พูด เขียน 2.5 เลอื กใช้ภาษาทั้งคา และประโยคที่ถ่ายทอด ผลการวเิ คราะห์ 1. เดชามีน้าใจนอ้ ยไป เรือ่ งทีจ่ ะพดู เขียนอยา่ งเหมาะสมกบั ผู้รับ 1.1 แตท่ าตนเป็นประโยชนเ์ สมอ เกณฑ์พฤตกิ รรมสังคม 1.2 มักวางตนเปน็ นายเหนอื กวา่ ผู้ร่วมงาน 1. พฤตกิ รรมแสดงมติ รไมตรีสูง 1.1 ทาน มีนา้ ใจ เปน็ ผู้ให้ 1.2 กล่าวถ้อยคาไพเราะ 1.3 ประพฤติตนเปน็ ประโยชน์ 1.4 ทาตนเองเสมอกันให้เกียรตใิ ห้การยอมรบั นบั ถือ
189 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 10 การพิชิตปญั หาอุปสรรคในการทางาน เนือ้ หาประจาบท 1. ความหมายของการพิชิตปัญหาอุปสรรค 2. คุณลกั ษณะของผู้มคี วามสามารถพิชิตปัญหาอุปสรรค 3. รปู แบบกระบวนการแก้ไขปญั หาและพชิ ิตอปุ สรรค 4. การพฒั นาตนเพือ่ พิชิตปญั หาอปุ สรรค 5. บทสรปุ 6. แบบฝกึ หดั 7. กรณีศกึ ษา วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. เข้าใจความหมายของการพิชิตปญั หาอปุ สรรค 2. เข้าใจความหมายของปัญหา และสามารถอธิบายความเข้าใจพื้นฐานเกีย่ วกบั ปญั หาได้ 3. เข้าใจกระบวนการในแก้ปัญหา และอธิบายคุณลักษณะของผู้ที่มีความสามารถพิชิต ปญั หาอุปสรรค์ได้ 4. อธิบายรูปแบบกระบวนการแก้ปญั หาและพิชิตอุปสรรคได้ 5. เข้าใจการพัฒนาเพื่อพิชิตปัญหาอุปสรรค และอธิบายการใช้หลักธรรมเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทางาน 6. เข้าใจการสร้างความสขุ ในการทางาน และสามารถนาไปปรบั ใช้ในชวี ิตประจาวนั ได้ วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. บรรยายประกอบการสอนพร้อมตอบข้อซกั ถามสลับกับบรรยาย 2. อภปิ รายร่วมกนั ในชั้นเรยี น 3. ให้ทาแบบทดสอบหลังเรยี น 4. นางานที่มอบหมายให้ค้นคว้างานเพื่อนาเสนอในช้ันเรียน 5. การตอบแบบฝกึ หดั 6. สรปุ เนือ้ หาประจาบทเรียน
190 ส่อื การเรียนการสอน 1. ตาราหลกั 2. เอกสารประกอบการสอน 3. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 4. กรณีศกึ ษา 5. วีดีทศั น์ การวดั และการประเมินผล 1. การเข้าช้ันเรยี น 2. การตอบข้อซักถาม 3. ทาแบบทดสอบท้ายบท 4. มอบหมายงานล่วงหน้าเพื่อนาเสนอในชั้นเรยี น
191 บทที่ 10 การพิชติ ปัญหาอปุ สรรคในการทางาน ปัญหา คือ สิ่งที่ไม่เป็นไปตามคาดหวังสิ่งที่ไม่เป็นไปตามแผน และการไม่บรรลุ วตั ถปุ ระสงค์ทีค่ นปรารถนา อุปสรรค คือ สิง่ ที่มาขดั ขวางความราบร่ืนของการดาเนินงาน เป็นสิ่งที่ สร้างความยุ่งยากลาบากในวิถีชีวิตหรือการดาเนินงานไปสู่วัตถุประสงค์ ผลของปัญหาและ อุปสรรค คือ ความไม่สะดวกสบาย ความทุกข์ ความไม่พอใจ ทาให้การทางานไม่สามารถบรรลุ เป้าประสงค์ ทาให้ลดประสิทธิภาพการทางาน จากการสารวจตนเองทาให้รู้จุดเด่นจุดด้อยในลักษณะของตนเองในด้านต่าง ๆ รู้สภาพ ปัญหาอุปสรรค สาเหตุที่มาของปัญหาอุปสรรคและช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่ควรปรับปรุงแก้ไข บุคคลที่มีประสิทธิภาพการทางานจาเป็นต้องมีวิธีการพิชิตปัญหาอุปสรรคในการทางาน และ สามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆ นาตนเอง นางานไปสู่ความสาเร็จตามเป้าประสงค์ของชีวิตและการ ทางานได้อย่างดี ความหมายของการพิชิตปญั หาอปุ สรรค การพิชิตหรือเอาชนะ (Overcome) คือ การกระทาได้สาเร็จในสิ่งที่ยากลาบาก เช่น พิชิต การสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย ชนะคู่แข่งขันในการเข้าสู่ตาแหน่งระดับสูง การพิชิตปัญหาและ อุปสรรคจงึ หมายถึงการแก้ปัญหาให้หมดไปได้ หรือลดปัญหาลง การทาตัวรอดพ้นจากสิ่งขัดขวาง หรอื ข้อยุ่งยากต่าง ๆได้สาเรจ็ ลักษณะสาคัญที่แสดงถึงการพิชิตปัญหาและอุปสรรคได้ จะสังเกตได้จากความคิดและ วิธีการปฏิบัติของผู้เผชิญปัญหาและอุปสรรค จนสามารถแก้ปัญหาและเอาชนะอุปสรรคได้ ดัง ตัวอย่างต่อไปนี้
192 ตารางที่ 10.1 แบบเสนอค่านยิ มต่อกลุ่มของตนเอง ขอ้ มลู แสดงปัญหาและอุปสรรค การพิชิตปญั หาอุปสรรค (1) ขาดความรคู้ วามสามารถในเทคโนโลยี พฒั นาตนเองด้วยการเพม่ิ พูนความรู้ความสามารถ ด้วยการเรียนรู้จากแหล่งตา่ งๆ (2) ไมไ่ ด้รบั การยอมรับจากกลุ่มสาเหตจุ ากขาด ปรบั ปรัชญาและอุดมการณข์ องชวี ติ เพม่ิ ความมคี ่า ความรบั ผิดชอบแลง้ นา้ ใจ ด้วยการปรับปรุงบคุ ลิกภาพอย่างมุ่งมั่น (3) งานที่ทาน่าเบือ่ หนา่ ย อยากหลบเลี่ยงงาน ลา สารวจความถนัด ความสนใจ ความตอ้ งการของตน หยุดบ่อย และนามาใชใ้ นการเลอื กงานที่ตนถนัดและสนใจได้ สาเร็จ (4) มคี วามท้อแท้ หมดกาลงั ใจ รสู้ ึกเปน็ ผู้แพ้ พบจดุ เด่นของตนเอง เหน็ คุณค่าของตนเอง ตลอดกาล สิ้นหวังในชีวิต ตงั้ เป้าหมายไมใ่ ห้สูงเกินไป เริม่ จากมุ่งปฏบิ ัตใิ นส่งิ ที่ ตนทาได้ ภมู ิใจใน ความสาเร็จของตนแม้จะเป็นเรื่อง เลก็ น้อยไม่สนใจท่จี ะเปรียบเทียบกบั ผู้อื่น (5) ทีมงานไม่ให้ความร่วมมอื การทางานของกลุ่ม สร้างความเป็นผู้นาในตน สร้างความสัมพนั ธ์ที่ดใี น ล่าช้าไม่ไดผ้ ลทางานหนกั กว่าผอู้ น่ื แต่ไม่สาเร็จเพราะ กลุ่ม แสดงน้าใจต่อกันและให้ทกุ คนมีส่วนร่วม ปริมาณงานมากเกินไป เวลาไมพ่ อ วางแผน ชว่ ยกันกาหนดมาตรฐานการปฏบิ ัติ วางแผน ให้สอดคลอ้ งกบั เวลาและบริหารเวลาเป็น คณุ ลักษณะของผู้มีความสามารถพชิ ิตปัญหาอุปสรรค ผู้ที่มีความสามารถพิชิตปัญหาและอุปสรรคของตนเอง และของการทางานได้ ควรมี คุณลักษณะที่สาคญั ต่อไปนี้ 1. มีปรชั ญาและอดุ มการณ์ของชีวติ และของการทางานอย่างเหมาะสม 2. มีแรงจงู ใจใฝ่สัมฤทธิ์ (Achievement Motivation) และลักษณะมุ่งอนาคต 3. เหน็ คุณค่าของตน รับรู้ตนเอง (Self-Concept) อย่างถกู ต้องตรงความจริง 4. มีคา่ นิยมพ้ืนฐาน เช่น ขยนั ประหยดั อดทน รับผิดชอบ ซื่อสตั ย์มีวินัย และยึดถือความ เปน็ อยู่อย่างพอเพียงสมฐานะแหง่ ตน 5. ใฝ่รใู้ ฝ่เรยี นตลอดชีวติ จากแหล่งความรตู้ ่างๆ สนใจใคร่พัฒนาตนให้ดขี นึ้ อยู่เสมอ 6. มีความเชื่อในหลักการของสาเหตุ และผล สาเหตุที่ทาให้บังเกิดผลดี สาเหตุ คือ ความคิด ความมงุ่ ม่ัน และการปฏิบัติตน ถ้าปรับปรงุ ใหค้ ิดดี มุ่งม่นั ดีและปฏิบัติดีย่อมบังเกิดผล ผล ที่ไม่ดไี ม่น่าพอใจเป็นเพราะความบกพร่องในความคิด ความมงุ่ มัน่ และการปฏิบตั ิ 7. มีกระบวนการแก้ไขปัญหาและวิธีการพิชิตอุปสรรคอย่างมีเหตุผล ปรับวิธีการให้เข้า กบั สถานการณต์ ่าง ๆ
193 8. มีความสามารถในการคิดยืดหยุ่น คิดได้หลากหลายไม่ยึดติดกับความคิดหรือวิธีการ เดียว แต่เร่มิ สร้างสรรคส์ ิ่งใหม่ๆ ได้เสมอให้เข้ากบั ปญั หาและอปุ สรรค 9. มีความเชอ่ื ม่ันทีจ่ ะกล้าคิด กล้าทาสิง่ ใหม่ๆ เพื่อให้บังเกิดผลได้ดีข้นึ รปู แบบกระบวนการแกไ้ ขปัญหาและพชิ ิตอปุ สรรค มีผู้คิดค้นกระบวนวิธีการต่าง ๆ ที่จะนามาใช้ในการแก้ไขปัญหาและพิชิตอุปสรรคในการ ดาเนนิ ชีวติ หรอื การทางานได้หลายวิธี แตล่ ะวธิ ีอาจมีลักษณะเด่นแตกต่างกนั ดังน้ี 1. กลวิธานปกป้องตน (Defense Mechanism) เป็นกลวิธีที่มนุษย์ไม่สามารถแก้ปัญหา สนองความต้องการส่วนตัวได้ ก็จะเกิดความเครียดและความคับข้องใจและนาไปสู่การมีปมด้อย อาการแสดงปมด้อย คือ 1.1 กังวลเกี่ยว กับ ตนเอง เม่ือมีคนอื่ นมาวิพากษ์ วิจารณ์ จะ มีความรู้สึ ก กระทบกระเทือนทนั ที 1.2 ดีใจจนเกินเหตุตอ่ คาเยินยอ 1.3 คอยหาทางแข่งขนั กบั ผอู้ ืน่ 1.4 หาทางจบั ผดิ คนอื่น เพื่อให้มองเหน็ ความผิดของตนนอ้ ยลง บุคคลที่มีปัญหาทางอารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้จะแก้ปัญหาด้วยวิธีหาเหตุอ้างให้กับ ข้อบกพร่องของตนที่เรียกว่ากลวิธานปกป้องตน เชน่ (1) เรียกร้องความสนใจด้วยการแสดงออกในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น เกเร เพื่อให้คน สนใจ (2) การสร้างสิ่งทดแทน เช่น มีปมด้อยในด้านรูปร่างหน้าตา ชดเชยทดแทนด้วยการ สร้างปมเด่นทางการเรยี นเก่ง (3) เลียนแบบบุคลิกลักษณะของบุคคลอื่น (Identification) โดยเฉพาะคนที่เด่น คนที่ หมคู่ ณะยอมรบั หรอื อย่างนอ้ ยกแ็ สดงตนเป็นพวกกับคนที่สังคมยอมรับเพื่อยกฐานะความเด่นของ ตนขนึ้ มา (4) การหาเหตอุ ้าง (Rationalization) คือ การยกเหตุผลขึ้นอธิบายลักษณะด้อยของตน เชน่ เม่อื ไม่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จะยกเหตุผลว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยปิดไม่ให้ความ เป็นอิสระเท่ากบั มหาวิทยาลัยเปิด (5) การโยนความผิดให้ผู้อื่น (Projection) หรือกล่าวโทษสิ่งอื่นแทนความบกพร่องของ ตน เชน่ พฒั นาเครอ่ื งมอื ได้ไม่ดพี อกก็ ล่าวโทษข้อจากัดของเวลา และที่ปรึกษาไม่ให้ความร่วมมือ
194 กลวิธีเหล่านี้ยกขึ้นมากล่าวเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมการปรับตนของผู้มีปมด้อย ซึ่งเป็น วิธีการที่แก้ปัญหาไม่ตรงจุด การนากลวิธีไปใช้ควรค้นหาสาเหตุของปมด้อย และพัฒนาให้พ้น สภาพความด้อย หรือยอมรับความด้อยนั้นเสีย ไม่รู้สึกเป็นปมด้อย แล้วหันไปพัฒนาส่วนเด่นของ ตนในด้านอน่ื ต่อไป 2. วิธีวิทยาศาสตร์ วิธีวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) เปน็ วิธีการทีน่ ักวิทยาศาสตร์ใช้ ในการแก้ปญั หา คิดค้นความรู้ความจริงใหม่ๆ วิธีการทีน่ ิยมใช้ คือ 2.1 ขั้นกาหนดปัญหาเชน่ ขายสินค้าได้ตา่ กว่าเป้าหมาย 2.2 ขั้นตง้ั สมมติฐาน เพื่อแก้ไขปัญหา 2.3 วางแนวทาง เพิ่มยอดการขายสินค้าไว้หลาย ๆ วิธี เช่นลดต้นทุนทางผลิต เพื่อให้ ราคาลดลงเพิม่ งบโฆษณาหาสิง่ จูงใจเป็นรางวลั แก่ผซู้ อื้ เปลี่ยนสินค้า 2.4 ทดสอบสมมติฐาน หาข้อมูลด้วยการศึกษาความเป็นไปได้ของทางเลือกแต่ละวิธี อาจมีการทดลองนาร่องในพื้นที่หรือสถานที่บางแห่งในวงแคบ เพื่อเปรียบเทียบว่าวิธีเพิ่มยอดการ ขายวิธีใดได้ผลดีกว่ากนั 2.5 วิเคราะหข์ ้อมูลศึกษาข้อมลู จากการทดลองแต่ละข้อ 2.6 สรปุ ตดั สินใจนาวิธีการที่ดีที่สุดจากการทดลอง นาไปใช้ในวงการจริง 3. กระบวนการแก้ไขปัญหาประสานสัมพันธ์ ฮันเซเกอร์ และ อเลสซานดรา (Hunsaker and Alessandra) ได้กล่าวในหนังสือ The Art of Managing People ที่แปลโดยวัชรี ธุวธ รรม (2534 : 324) กล่าวถึงกระบวนการแก้ปัญหาเชิงประสานสัมพันธ์ที่ดาเนินการโดยหลายฝ่าย ไว้ดงั นี้ 3.1 กาหนดปญั หา 3.1.1 สร้างพื้นฐานความไว้วางใจ 3.1.2 กาหนดวัตถุประสงค์ให้ชดั เจน 3.1.3 ประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน 3.1.4 กาหนดเวลาวเิ คราะหป์ ัญหา 3.1.5 ตกลงร่วมกันในปัญหาที่ตอ้ งแก้ไข 3.2 พัฒนาแผนปฏิบตั ิการ 3.2.1 สร้างเกณฑ์ในการตดั สินใจ 3.2.2 พฒั นาหาลู่ทางในการปฏิบัติ 3.2.3 ประเมินลทู่ างในการปฏิบตั ิ 3.2.4 ตัดสินใจเลือกแผนปฏิบตั ิการ
195 3.3 ติดตามผลงานตลอด 3.3.1 สร้างเกณฑ์เพือ่ ความสาเร็จ 3.3.2 พิจารณาหาวิธีวัดผลการปฏิบตั ิงาน 3.3.3 รบั ฟงั ผลงาน 3.3.4 นาผลงานไปแก้ไข 4. การใช้วิธีการเชิงระบบ (Systems Approach) เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมในการ แก้ไขปญั หา กระบวนการสาคัญ คือ 4.1 กาหนดปญั หาและสาเหตุ 4.2 กาหนดวตั ถุประสงค์ 4.3 หาแนวทางเลอื กทีจ่ ะนาไปสู่วตั ถุประสงค์ 4.4 ประเมินความเหมาะสมของแต่ละแนวทาง เลือกโดยพิจารณาจากปัจจัยเอื้อ (Resources) และข้อกาหนด (Constraints) จนได้ทางเลอื กทีด่ ที ี่สดุ 4.5 นาทางเลือกมาทดลองแก้ปญั หา 4.6 ประเมินผลการแก้ไขปญั หา พิจารณาการบรรลุวตั ถุประสงค์ 4.7 สรุปผล นาวิธีการทีไ่ ด้ผลไปใช้ในการแก้ปัญหา ตัวอย่างการนาวิธีการเชงิ ระบบไปใช้ในการแก้ปญั หา ปญั หาและสาเหตุ : เปิดรา้ นเสริมสวยแล้วมลี กู ค้าน้อย สาเหตขุ องปัญหาเปน็ เพราะ ฝมี อื ไม่เปน็ ที่ยอมรบั วัตถปุ ระสงค์ : เป้าหมายลูกค้า 30 ราย แนวทางเลอื ก : วตั ถปุ ระสงค์อาจบรรลุด้วยวิธีการตอ่ ไปนี้ ก. ส่งช่างเดิมไปอบรม ข. จา้ งช่างใหม่ ค. เป็นสาขาของรา้ นทีต่ ิดตลาดมีชือ่ เสียง ง. ย้ายทาเลที่ตง้ั ใหม่ จ. ตกแต่งร้านให้หรูหราทีส่ ุด
196 ประเมินทางเลือก ปจั จยั เออ้ื ขอ้ จากดั ทางเลือก - ชา่ งเดิมพอใจ -มคี ่าใชจ้ ่ายการอบรม ก. ส่งช่างไปอบรม - ระหว่างช่างไม่อยู่ขาด ข. จ้างชา่ งใหม่ - มแี หลง่ อบรม รายได้ ค.เป็นสาขาของร้านอื่น - มีช่างใหม่ๆมีฝีมือจานวน - ค่าจ้างแพง ง. ยา้ ยทาเลใหม่ จ. ตกแตง่ ร้าน มากต้องการงาน - จะต้องจ่ายชดเชยการ ไมจ่ ้างชา่ งเดิม - มรี ้านทีม่ ีชื่อเสียง - ต้องแบ่งส่วนรายได้ ให้กับเจ้าของชื่อร้าน - ต้องเพ่ิมมาตรฐานฝีมือ ให้เท่ากบั ร้านต้นแบบ มสี ถานที่ - เกินกาลังทนุ มคี นรบั ตกแตง่ - ค่าใชจ้ ่ายสูง - คณุ ภาพไม่ยัง่ ยนื เพราะ ลูกค้าให้ความสาคัญกับ ฝีมอื ตดั สินใจเลือก ก. เพราะมีปัจจัยเอือ้ มากและมขี ้อจากดั ที่นอ้ ยทีส่ ุด นาทางเลือกมาทดลอง : ดาเนนิ การเปน็ แผนทดลองใชช้ ่าง 2 คน ใน 5 คน ไปรบั การอบรม ประเมินผล 1 เดือนและกลบั มาทางาน สรุปนาไปใช้ : เปรียบเทียบจานวนลูกค้าทีเ่ พิม่ ข้นึ โดยเฉพาะลกู ค้าทีน่ ิยมชา่ ง เสริม สวย 2 คน คนที่ผา่ นการอบรม พบว่าดึงดูดลูกค้าได้จริง จานวนลูกค้าเพิม่ ขนึ้ : ตกลงใจส่งช่างที่เหลือ 3 คน ไปรับการอบรม และ ดาเนนิ การปรับปรงุ คุณภาพจริง
197 การพฒั นาตนเพื่อพชิ ิตปญั หาอปุ สรรค 1. พัฒนาวิธีคดิ แบบโยนิโสมนสิการ พระราชวรมุนี (ประยูร ธัมมจิตโต) กล่าวในหนังสือขอบฟ้าแห่งความรู้ (2541 : 24- 26) กล่าวถึงวิธีคิดโยนิโสมนสิการ แยกความหมายว่า โยนิโส แปลว่าถูกต้องแยบคาย มนสิการ แปลว่า ทาใจไว้ในใจ โยนิโสมนสิการ จึงหมายถึงการทาไว้ในใจโดยแยบคายหรือการคิดเป็น ถูกต้องตามความเป็นจริง โดยอาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และคิดเชื่อมโยงตามข้อมูลเพื่อ นาไปใช้ตอ่ ไป โยนิโสมนสิการมีวธิ ีคิดสรปุ ได้เป็น 4 แบบคือ 1.1 อปุ ายมนสิการ คือ คิดถกู วิธี “คิดอะไรก็ให้มวี ิธีคิด” 1.2 ปถมสิการ คิดมรี ะเบียบ “ตั้งดวงจติ แนว่ แนไ่ ม่แปรผัน” 1.3 การณมนสกิ าร คือ คิดมเี หตผุ ล “ใช้เหตุผลแก้ปัญหาสารพัน” 1.4 อปุ ปาทกมสิการ คือ คิดเป็นกศุ ล “ต้ังใจมั่นตามครรลองมองแงด่ ี” ตัวอย่างของการพฒั นาวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ การใชห้ ลักอปุ ายมนสิการ หรอื การคิดถกู วิธี มีผู้แปลเป็นคาง่ายๆ ว่าการคิดอย่างมีอุบาย แยบคาย ที่เรียกว่า “คิดอะไรก็ให้มีวิธีคิด” คือ การเลือกรูปแบบของการคิดที่เหมาะสมกับ สถานการณ์ เชน่ ถ้าตอ้ งการคดิ เพือ่ แก้ไขปัญหาก็อาจใช้วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาปลา ในบ่อเลยี้ งปลาตายเพิม่ ข้นึ ทกุ วัน 1. นิยามปญั หา สาเหตุ กาหนดผลของการแก้ปัญหาคือปัญหาคืออะไรเป็นสาเหตุให้ปลา ตาย ทาอย่างไรปลาจึงเติบโตไม่ตาย 2. ตั้งสมมตฐิ าน ปลาตายเพราะน้าเปน็ พิษ ติดโรคระบาด 3. ทดสอบสมมติฐาน โดยการนาตัวอย่างนี้ตัวอย่างอาหารไปให้นักวิเคราะห์สารเคมี ทดสอบหาสารทีเ่ ปน็ พิษ ส่งปลาที่ตายไปวิเคราะหก์ ารตดิ เช้ือโรค 4. วิเคราะหผ์ ลการทดสอบ เชน่ พบว่าปลาตดิ โรค โรคนมี้ ากบั น้าและแมลงบางชนิด 5. สรุปผลการนาไปใช้ สรุปการแก้ไขปัญหาโดยการป้องกันโรคระบาดที่จะมากับน้าและ แมลงโดยการถ่ายน้าในบ่อเลยี้ งปลาและกั้นตาข่ายป้องกันแมลง เป็นต้น การใช้หลักปถมสิการ หรือการคิดมีระเบียบ เช่น เม่ือมีการตั้งความมุ่งหมายที่จะค้นหา องค์การประกอบที่จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้า หลังจากกาหนดส่วนประกอบของสิ่งที่มี ความเชือ่ ม่ันที่มีตอ่ สินค้า ว่าควรพิจารณาสิง่ ต่างๆ คือ
209 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 11 การสรา้ งความเชือ่ มน่ั ในตนเอง เนือ้ หาประจาบท 1. ความหมายของความเชือ่ มั่น 2. การประเมนิ ความเชือ่ มน่ั ในตนเอง 3. ความสาคญั ของความเชอ่ื ม่นั ในตนเอง 4. ทฤษฏีและหลักการที่เกี่ยวข้อง 5. แนวทางพัฒนาความเชื่อมัน่ ในตนเอง 6. การเสริมสรา้ งความเชอ่ื ม่ันในตนเอง 7. การควบคมุ ทางอารมณ์ 8. การฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ 9. การพูดบรรยายด้วยความเชอ่ื มน่ั 10. การเขียนด้วยความเชอ่ื ม่ัน 11. บทสรปุ 12. แบบฝกึ หดั วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม 1. อธิบายความหมายของความเชื่อมน่ั ได้ 2. อธิบายความสาคญั ของความเช่อื มน่ั ในตนเองได้ 3. เข้าใจทฤษฏีและหลกั การทีเ่ กี่ยวข้อง 4. เข้าใจแนวทางการพัฒนาความเชือ่ ม่นั ในตนเอง 5. สามารถอธิบายการเสริมสรา้ งความเชอ่ื มนั่ ในตนเองได้ 6. เข้าใจกลยุทธ์การสร้างความเช่อื มัน่ ศรัทธาในตนเอง 7. สามารถอธิบายวิธีเพิม่ ความเชื่อม่ันในตนเองได้
210 วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. บรรยายประกอบการสอนพร้อมตอบข้อซักถามสลบั กับบรรยาย 2. อภปิ รายร่วมกันในชั้นเรยี น 3. ให้ทาแบบทดสอบหลงั เรยี น 4. นางานที่มอบหมายให้ค้นคว้างานเพือ่ นาเสนอในชั้นเรียน 5. การตอบแบบฝกึ หดั 6. สรุปเนือ้ หาประจาบทเรียน สอ่ื การเรียนการสอน 1. ตาราหลกั 2. เอกสารประกอบการสอน 3. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 4. กรณีศกึ ษา 5. วีดีทศั น์ การวัดและการประเมินผล 1. การเข้าช้ันเรยี น 2. การตอบข้อซักถาม 3. ทาแบบทดสอบท้ายบท 4. มอบหมายงานล่วงหน้าเพื่อนาเสนอในช้ันเรยี น
211 บทที่ 11 การสร้างความเชือ่ มนั่ ในตนเอง การพัฒนาตนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทางานจาเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลาย ประการประกอบกันต้ังแต่การมีปรัชญาและอุดมการณ์ที่เหมาะสมในการพัฒนาตนเองการ ปรับปรงุ บุคลิกภาพปรับเปลี่ยนค่านิยมให้เหมาะสมการต้ังเป้าประสงค์ของชีวิตและการทางานหลัง จากน้ันจะต้องรู้จักสารวจตนเองในความต้องการความสนใจปัญหาอุปสรรค และมีเทคนิควิธีการที่ ดีในการพิชิตปัญหาและอุปสรรค เชื่อม่ันความสาเร็จในการพัฒนาตนเอง ซึ่งองค์ประกอบความ เชื่อม่ันในตนเองเป็นองค์ประกอบที่สาคัญมากเช่นเดียวกันความเชื่อมั่นในตนเองช่วยเพิ่มพลังทาง จติ ใจใหเ้ กิดความมุ่งม่ันไม่หวั่นไหวกบั การแปรเปลี่ยนยวั่ ยขุ องสภาพแวดล้อมและไม่ท้อถอยกับการ พัฒนาตนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทางานการสร้างความเชื่อม่ันในตนเองจะเกี่ยวข้องกับ ความสามารถในการวิเคราะห์คุณลักษณะของบุคคลที่มีความเชื่อม่ันในตนเองมีความรู้ เ กี่ ย ว กั บ ท ฦ ษ ฎี แ ล ะ ห ลั ก ก า ร ที่ เ กี่ ย ว ข้ อ ง กั บ ก า ร พั ฒ น า ค ว า ม เ ชื่ อ ม่ั น ใ น ต น เ อ ง แ ล ะ ต้ อ ง ใ ช้ ความสามารถในการสารวจประเมินความเชื่อม่ันของตนเองนาตนเองในการพัฒนาความเชื่อม่ันใน ตนได้ ความหมายของความเชือ่ มั่น นฤมล สุ่นสวัสดิ์ (2549 : 291-292) ได้กล่าวถึงความหมายของความเชื่อม่ันในตนเอง ของนกั วิชาการหลายท่านไว้ดงั นี้ บรานแดน (Branden, 1992 : 8) ให้ความหมายของความเชื่อมั่นในตนเองว่าเป็นความ มั่นใจในความสามารถของตนที่จะคิดจะทาสิ่งท้าทายของชีวิต เป็นความมั่นใจในสิทธิที่จะมี ความสขุ รู้สึกว่าตนมีคุณค่า สมควรได้รับการตอบสนองความจาเป็นความต้องการ คนที่มีความ ม่ันใจในตนเองสูงจะสามารถจัดการกับปัญหาของชีวิตได้ดีกว่า มีความยืดหยุ่น มีความคิด สร้างสรรคแ์ ละมีเจตนาอนั แรงกล้า จะมีความสัมพนั ธ์ทีด่ กี ับผอู้ ืน่ จะเป็นที่เคารพผอู้ ื่น ลอยด์และเบอร์เธลอด (Lloyd &Berthelot, 1992 : 5) กล่าวว่า ที่น่าสนใจคือ คนที่มี ความเชือ่ มนั่ ในตนเองสงู จะไว้วางใจคนได้ง่ายมาก เม่ือผู้จัดการเชื่อม่ันในความสามารถของตนเอง การกลัวไม่ไว้วางใจคนอื่นก็จะมลายหายไป เม่ือมีระดับความเชื่อมั่นในตนเองสูง ก็อยากจะ แบ่งปันปัญหาหรือความรู้สึกกับเพื่อนหรือกลุ่มมากขึ้น ในอีกด้านหนึ่ง หากความเชื่อมั่นในตนเอง
212 แตกร้าว ก็จะวิตกกังวลว่าคนอื่นจะคิดเกี่ยวกับตนเองว่าอะไรแล้วจะเก็บปัญหาความรู้สึกไว้กับ ตนเอง วอเทอร์ส(Waters, 1996 : 186) นิยามความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าเป็นภาพลักษณ์ของตน (ภาพที่ตัวเองเห็นตนเอง) กับภาพในอุดมการณ์ของตน (อยากเห็นว่าตนเองเป็นเช่นไร) เป็นการ ประเมินความขัดแย้งกัน สมใจ ลักษณะ (2552 : 217-229) ได้กล่าวว่า มีผู้ให้ความหมายของความเชื่อม่ันใน ตนเอง (Self Confidence) ในหลายทศั นะคือ แบนดูรา (Bandura 1977 : 79) ให้ความหมายของผู้ที่มีความเชื่อม่ันในตนเองคือบุคคลที่ สามารถควบคุมตนเองให้แสดงพฤติกรรมเพื่อการบรรลุผลที่ต้องการ (Outcome) ด้วยความมุ่งม่ัน จรงิ จงั คาดหวงั ในความสาเร็จโดยไม่เกรงกลัวต่ออปุ สรรคจากสภาพแวดล้อม เซคอร์ดและแบ็คแมน (Secord and Backman,1974 : 529) ให้ความหมายของผู้มีความ เชื่อมั่นในตนเองว่าเป็นส่วนผสมของการรับรู้ตนเองทางบวก(Self Concept)เห็นคุณค่าใน ความสามารถของตนเอง (Self worth)แสดงออกเป็นพฤติกรรมที่เปิดเผย (Open) และกล้าหาญ (Bold) นฤมล สุ่นวัสดิ์ (2549 : 292) ได้ให้ความหมายของความเชื่อมั่นในตนเอง หมายถึง การรู้คุณค่าของตนเอง เม่ือวางคุณค่าตนเองไว้สูง ก็จะนับถือทักษะ ความสามารถขตน มีความ เชื่อมั่นว่าทางานสาเร็จ ถ้าไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง ก็จะไม่ถอยหนีสิ่งท้าทาย มีความเป็นมือ อาชีพ สมใจ ลักษณะ (2552 : 299) โดยสรุป ผู้มีความเชื่อมั่นในตนเอง สามารถแสดงออก ทางการพูด เขียน ปฏิบัติกิจกรรมในสถานการณ์ต่างๆ อย่างเชื่อมั่นน้ัน เป็นผู้มีส่วนผสมภายใน ตัวบคุ คลอย่างเหมาะสม ทั้งการมคี วามรู้ ความสามารถ มีขอ้ มลู เปน็ พื้นฐานดีพอเกี่ยวกับสิ่งที่จะ แสดงออก เป็นผู้รับรู้เข้าใจตนเอง (Self Concept) ในทางบวกเห็นว่าตนเองมีความเด่น มี ความสามารถ มีคุณค่า เป็นผู้มีบุคลิกภาพที่กล้าแสดงออก กล้าเผชิญความจริง ไม่ท้อถอยต่อ อุปสรรค และเป็นผู้มุ่งม่ันสูงต่อการได้รับความสาเร็จ (Achievement Motivation) หรือกล่าวส้ันๆ ได้วา่ คนมีความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง คือ คนกล้าคิดกล้าทาอย่างเดด็ เดี่ยวนน่ั เอง คุณลักษณะความเชื่อม่ันในตนเองของบุคคลจะขึ้นกับสถานการณ์ บุคคลมีความเชื่อใน ตนเองสูงในสถานการณ์หนึ่ง อาจเป็นบุคคลที่มีความเชื่อม่ันในตนเองต่าในอีกสถานการณ์หนึ่ง เช่น บุคคลบางคนมีความเชื่อม่ัน สูงในการแสดงความคิดเชิงวิชาการเศรษฐศาสตร์ เพราะตรง กับพื้นฐานความรู้ที่ได้รับการศึกษามา แต่อาจลดความเชื่อมั่นในตนเองลง เม่ือต้องใช้
213 คอมพิวเตอร์ หรือต้องร้องเพลง ถ้าเขาไม่ได้รับการฝึกให้มีพื้นฐานดีพอมาก่อน ผู้มีความถนัด ทางการกีฬา เช่น เทนนิส จะมีโอกาสเป็นผู้มีความม่ันใจในตนเอง เม่ือต้องเล่นกีฬาเทนนิส มากกว่าความม่นั ใจในตนเอง เมื่อตอ้ งอภิปรายเร่ืองธุรกิจเป็นภาษาอังกฤษร่วมกับชาวต่างประเทศ ถ้าเขาไม่ได้มีประสบการณ์ทางธุรกิจและภาษาต่างประเทศ การประเมินความเชื่อมน่ั ในตนเอง แบบประเมินต่อไปนี้ช่วยให้บุคคลประเมินตัวเองว่ามีคุณลักษณะความเชื่อมั่นในตนเอง เพียงใดโดยให้พิจารณาคุณลักษณะแต่ละข้อต่อไปนี้ ถ้าเป็นสิ่งที่ตรงกับความคิด หรือสิ่งที่ท่าน เคยปฏิบัติให้ตอบว่า “ใช่” ถ้าไม่ตรงความคิด หรอื ท่านไม่เคยปฏิบตั ิให้ตอบว่า “ไม่ใช่” 1. คนที่เปน็ คนเก่งจะเก่งเกือบทกุ เร่อื งคนไม่เก่งจะไม่เก่งเกือบทุกเร่อื ง 2. คนเราควรมคี วามรู้ ความสามารถในทุกด้าน เช่น ด้านวิชาการ ศลิ ปะ กีฬา อาชีพ เทคโนโลยี 3. การแสดงตัวต่อคนหมู่มาก รูปร่างหนา้ ตาเป็นเรือ่ งสาคัญ 4. ฉนั มกั ประหม่า และวิตกกังวลมาก ถ้าต้องแสดงความคิดเหน็ ตอ่ หน้าตาคนหมู่ มาก 5. ฉันคิดว่าฉันเป็นคนพดู ไม่เก่ง ทกุ คร้ังที่พดู คงมีคนเยาะเย้ยฉัน 6. ฉนั เปน็ คนไม่ฉลาดนัก แมจ้ ะมีนิสัยดี พูดอะไรไม่ดเี ท่ากับคนเก่งๆ 7. ฉันนึกไม่ออกว่าตวั เองมีอะไรเด่นบ้าง ไม่รวู้ ่าฉนั ควรจะเอาดีทางด้านไหน 8. ฉนั ใช้ชีวติ ปกติไปวนั ๆ หน่ึง ไม่ค่อยได้ทาอะไรเป็นประโยชน์ตอ่ ผอู้ ื่นนัก 9. ฉนั ชอบฟงั คนอน่ื พูด มากกว่าที่จะเป็นผู้พดู เสียเอง 10. ฉนั ไม่ชอบการเล่นเกม หรือการแขง่ ขนั เพราะมักจะสู้เขาไม่ได้ 11. เมือ่ อยู่กับกลุ่ม ฉนั มกั ไม่อยากเสนออะไร เพราะเกรงใจคนอื่นเขาจะราคาญ 12. จะลงมอื ทาอะไรก็ทาเพียงใหผ้ า่ นๆ ไป เพราะไม่มีความพร้อมที่จะทาให้มนั ดไี ป กว่านี้ 13. เห็นคนที่เด่นการคิด เด่นการทากิจกรรม ฉนั ได้แต่ดู เพราะฉนั เปน็ อย่างเขาไม่ได้ หรอก 14. ถ้ามีกิจกรรมใหเ้ ลือก ฉนั ขอเลือกทาในสิง่ ทีท่ าตามลาพังมากกว่าทาเป็นกลุ่ม 15. ถ้ามีสง่ิ ใดใหเ้ ลือกทา ฉันจะเลือกทาในสิง่ ทีง่ า่ ยต่อความสามารถของฉัน 16. ฉันท้อใจทกุ คร้ังถ้าตอ้ งทาอะไรที่มปี ญั หาอุปสรรค
214 17. สิ่งทีย่ ุ่งยากเมือ่ ทาไม่ได้ฉนั พอใจจะยกเลิกและหาสิ่งอ่ืนที่ทาได้ง่ายกว่า 18. ฉนั มกั ปล่อยชวี ิตไปตามธรรมชาติไม่เคยคิดอยากได้หรืออยากเปน็ อะไร 19. สิ่งทีฉ่ นั อยากได้อยากเป็นฉันจะพยายามทกุ อย่างให้ได้สิง่ นั้นไมเ่ คยเปลี่ยนใจ ยกเลิก 20. ทาสิง่ ใดไปถ้าผิดพลาดฉันจะรีบหาสาเหตุและหาทางแก้ตัวใหม่ 21. คิดสิง่ ใด ทาสิ่งใด ต้ังใจทาให้เต็มที่ ให้ดีทีส่ ุด ผลเปน็ อย่างไรก็ยอมรบั ได้ 22. ถ้าได้ฟังส่งิ ใด ที่ยังไม่ถูกต้อง ฉนั ไม่ลังเลทีจ่ ะขอโอกาสพดู แนะนาแก้ไข 23. ฉนั เคยผดิ หวัง แตไ่ ม่เสียใจมากนกั ใชค้ ติล้มเหลวกล็ ุกได้ 24. คนรอโชคชะตา คอื คนโง่ คนฉลาดต้องดิ้นรนแสวงหาในสิ่งที่ตนเองอยากมี อยาก เปน็ 25. ฉันคิดว่า ฉนั ก็เก่งเอาตวั รอดได้ในบางเร่อื งไม่เป็นรองใคร 26. การพูดการทากิจกรรมขอเวลาเตรยี มตวั สกั นิดรบั รองว่าฉันทาได้ 27. ถ้าเราพูด เราทาด้วยเหตผุ ล และไม่ผดิ ศีลธรรม ไมเ่ ห็นจะต้องไปเกรงกลวั ใคร 28. คนมีความสาเร็จ คอื คนมีเป้าหมายชีวติ เสมอ และพยายามทาใหส้ าเร็จ 29. การขดั แย้งในหมคู่ ณะ ดว้ ยเหตุผลที่ต่างคนต่างแสดงออกเปน็ เรื่องธรรมดา ไม่ เป็นสิ่งที่ตอ้ งโกรธเคืองกัน 30. คนเราควรคิดพึง่ ตนเองมากกว่าจะขอใหผ้ อู้ ืน่ มาช่วย การให้คะแนน ข้อ 1 ถึง 18 ตอบใช่ ให้ข้อละ 0 คะแนน ตอบไม่ใช่ให้ข้อละ 1 คะแนน ข้อ 19 ถึง 30 ตอบใช่ ให้ข้อละ 1 คะแนน ตอบไม่ใช่ให้ข้อละ 0 คะแนน มีความเช่ือมั่นในตนเองสูง 25 - 30 คะเเนน มีความเช่ือม่ันในตนเองปานกลาง 15 - 24 คะเเนน มีความเช่ือม่ันในตนเองต่า 0 - 14 คะแนน
215 ความสาคญั ของความเชื่อมั่นในตนเอง คุณลักษณะความเชื่อม่ันในตนเองมีความสาคัญต่อความสาเร็จในชีวิตการทางานของ บุคคลทั่วไปเพราะเป็นคุณสมบัติที่ทาให้บุคคลที่มีสติปัญญามีความรู้ความสามารถและคุณธรรม จริยธรรมดีงามใกล้เคียงกันแต่จะมีโอกาสประสบความสาเร็จในการดารงชีวิตมีความก้าวหน้าใน อาชีพการงานได้รับการยอมรับนับถือจากสังคมแตกต่างกันด้วยสาเหตุของการมีคุณลักษณะ แตกต่างกันในการมคี วามเชื่อมั่นในตนเอง จากการศึกษาประวัติของศาสดาทางศาสนาวีรบุรุษผู้นาของประเทศนักการเมือง นัก ธุรกิจและนักปราชญ์ทางวิชาการท้ังหลายจะพบคุณสมบัติความเชื่อมั่นในตนเองเป็นปัจจัยสาคัญ ความเชื่อม่ันในตนเองเม่ือเกิดขึ้นกับบุคคลโดยจะมีอิทธิพลส่งผลให้บุคคลน้ันมีแนวโน้มมีความคิด ความเชื่อและพฤติกรรมปฏิบตั ิต่อไปนี้ 1. มีเป้าหมายความสาเร็จของชีวิต และการทางานที่แสดงความมุ่งม่ัน ทะเยอทะยานสูง (Ambition) เม่ือบรรลุเป้าหมายที่กาหนดไว้แล้วก็จะต้ังเป้าหมายที่สูงขึ้นต่อไปตามลาดับคุณสมบัติ ด้านนชี้ ่วยใหบ้ ุคคลสร้างผลิตผลอยู่ตลอดเวลา 2. มีทัศนะต่อตนเองและต่อสิ่งแวดล้อมในแง่ดีมองเห็นช่องทางที่ตนเองจะทากิจการงาน ได้มชี ่องทางพบความสาเร็จแม้จะพบอุปสรรคมีปัญหาวิกฤตเช่นลงทุนแล้วล้มเหลว เป็นหนี้ผู้อื่น ผู้ มีความเชื่อม่ันในตนเองจะมองเห็น “วิกฤตเปลี่ยนเป็นโอกาส”เรียนรู้จากความล้มเหลวเชื่อมั่นว่า ครั้งต่อไปต้องไม่ล้มเหลวต้องทาได้คุณสมบัติด้านนี้ช่วยทาให้บุคคลมีแรงกระตุ้นจูงใจที่จะสร้าง ผลผลิตอย่างตอ่ เนื่อง 3. มีลักษ ณะจิตใจมั่งคงในพัน ธ ะหน้าที่ (Commitment) มุ่งมั่นเพียรพยายามสูง (Determination and Effort) มีความเด็ดขาด (Decisiveness) ในการตัดสินใจแม้เวลาจะจากัด และมี ข้อมลู นอ้ ยกอ็ าจจาเป็นต้องตัดสินใจเพราะการรอข้อมูลรอเวลาจะทาให้เกิดความล่าช้าซึ่งบางครั้ง จะเสียโอกาสในการช่วงชิง การเอาชนะคู่แข่งขันทางธุรกิจดังนั้นผู้มีความเชื่อม่ันในตนเองสูงจะไม่มี ความลังเลไม่ขลาดกลัวมีความกล้าเสี่ยงซึ่งเม่ือผนวกกับความสามารถประจาตัวที่คิดและทางาน เป็นระบบมีพื้นฐานความรู้ความสามารถดีคาดการณ์มองวิสัยทัศน์ไปข้างหน้าได้เก่งจึงช่วยให้ ตัดสินใจได้เร็วและไม่ผิดพลาดเป็นคุณลักษณะช่วยให้เป็นผู้นาที่ดีเป็นที่พึงปรารถนาขององค์การ ต่างๆ จึงกล่าวได้ว่าคุณลักษณะของบุคคลด้านความเชื่อม่ันในตนเองมีคุณค่าช่วยทาให้บุคคล นาตนเองได้ดีเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมและขององค์การมีสุขภาพจิตดีที่จะไม่วิตกกังวล หรือเป็น ทุกข์ในเร่ืองที่ผ่านมาแล้วหรือกังวลเร่ืองที่ยังมาไม่ถึงเป็นผู้ผลิตผลงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ผล ผลติ ที่มีคณุ ประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อองค์การ
216 ความเชื่อมั่นในตนเองเป็นคุณลักษณะที่พัฒนาได้ด้วยการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล การศกึ ษาให้เข้าใจเรือ่ งความเชอ่ื ม่นั ในตนเองเเละนาความรู้ไปใช้ในการปรับความคิดความเชื่อและ พฤติกรรมของตนเองไปในแนวทางที่เสริมสร้างความเชื่อมั่นในตนเองจะมีคุณประโยชน์ทั้งต่อ ตนเองและต่อองค์การ ทฤษฎีและหลกั การท่เี กีย่ วข้อง นักคิดและนักจิตวิทยาจานวนมากได้ศึกษาหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อมั่นใน ตนเองของแต่ละบุคคลข้อค้นพบของทฤษฎีและหลักการสาคัญได้อธิบายความเชื่อมั่นในตัวเองว่า เป็นโครงสรา้ งคณุ ลักษณะของบคุ คลทีเ่ กีย่ วข้องกบั สิ่งต่อไปนี้ 1. โครงสรา้ งของความเปน็ ตัวตน (Self Structure) 2. การรบั รู้และเข้าใจเกี่ยวกบั ตนเอง (Self Concept) 3. การกาหนดชวี ิตของตนเอง (Self Determination) 4. การควบคมุ ตนเองให้นาพฤติกรรมไปสู่ผล (Self Efficacy) 5. การจัดชีวติ ของตนเองให้ทางานเชงิ ระบบ (Self Regulation) 6. การยอมรบั นบั ถือตนเอง (Self Respect) 7. การเหน็ คณุ ค่าของตนเอง (Self Worth) 8. ความภูมิใจในคุณค่าของตนเอง (Self Esteem) 9. การตระหนักรู้ตนเอง (Self Consciousness) โครงสรา้ งของความเปน็ ตวั ตน และการรับรู้ การเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง(Self-Structure Self Concept) เซอร์ทเซอร์ และสโตน ให้แนวคิดว่า โครงสร้างความเป็นตัวเอง คือ การรับรู้ และการ เข้าใจเกีย่ วกับตนเองในแงม่ ุมตา่ งๆ คือ 1. การรับรู้คุณลักษณะเชิงบุคลิกภาพของตนเอง เช่น เป็นคนเปิดเผย กล้าสู้ความจริง เพียงใด 2. การรับรู้ระดับความสามารถ และความถนัดของตนเองในด้านต่างๆ เช่น การใช้ภาษา คิดคานวณ วิเคราะหน์ ามธรรม 3. ความคิดเกี่ยวกับตนเองในส่วนที่ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น การได้รับการ ยอมรับนับถือจากกลุ่มคนที่เกีย่ วข้อง 4. การเห็นคุณค่าของตนเอง ในเชิงคุณภาพจิตใจเช่น เป็นคนรับผิดชอบ ขยันหม่ันเพียร พยายาม ซือ่ สตั ย์
217 5. การมเี ป้าหมาย และอุดมคติของการดาเนินชีวติ และในการทางาน เช่น หน้าที่การงาน ที่ตอ้ งการ เปน็ การสรา้ งครอบครัวทีพ่ ึงปรารถนา 6. ส่วนผสม 5 ประการน้ี ทาให้บุคคลมีความเช่อื ม่ันในตนเองตา่ งกัน ฮัดจินส์ และคณะ เสนอข้อค้นพบว่า ความเชื่อม่ันในตนเองเกิดจากองค์ประกอบต่างๆ ผสมกันคือ การตระหนักรู้ตนเอง (Self-Consciousness) ว่ามีจุดเด่นจุดด้อยในด้านใดบ้าง มี เป้าหมายของตนเองไปในทางใด มองเห็นคุณค่าความมีประโยชน์ของตนเอง (Self-Worth) ในด้าน ใด เป็นบุคคลที่ยอมรับนับถือตนเอง (Self-Respect) ว่าเป็นคนดีมีความสามารถทากิจกรรมต่างๆ ได้สาเร็จ ไม่ดูถูกตนเองไม่มองตนเองในทางลบ ภูมิใจ มั่นใจในความคิดความสามารถของตนเอง (Self Esteem) เพียงใด ผทู้ ีม่ คี ุณลกั ษณะต่างๆ เหล่านใี้ นทางบวกจะเปน็ ผู้มคี วามเชื่อมน่ั ในตนเองสูง เซคอร์ด และแบคแมน ให้ความรู้ความคิดเกี่ยวกับความเชื่อม่ันในตนเองของบุคคลใดๆ ว่ามีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ 1. ส่วนความรู้ความคิด (Cognitive) เป็นส่วนของเน้ือหาความเป็นตัวเอง คนมีความ เชื่อม่ันตนเองจะแสวงหาความรู้ความสามารถในด้านที่ตนถนัด และเกิดความม่ันใจว่า การ แสดงออกของตนเองจะมีความถกู ต้องเหมาะสม 2. ส่วนความรู้สึก (Affective) เป็นส่วนประเมินตนเองจนเกิดความรู้สึกที่ดี มีเจตคติต่อ ตนเองในทางบวก เหน็ คุณค่าจดุ เด่นของตนเอง ยอมรบั นบั ถือตนเอง 3. ส่วนพฤติกรรม (Behavior) ผมู้ ีความเชอ่ื มั่นในตนเอง จะมีแนวโน้มการแสดงพฤติกรรม ที่สอดคล้องกับความรู้ความสามารถ และสอดคล้องกับการยอมรับในคุณค่าของตนเอง มีความ ม่ันคงในการนาการปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ งๆ อย่างแน่วแน่เพือ่ ไปสู่เป้าหมายที่ตอ้ งการ แบนดูรา กล่าวถึงการแสดงพฤติกรรมของผู้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ดังรูปภาพที่ 11.1 ต่อไปนี้
218 บุคคล พฤติกรรม ผลพฤติกรรม พฤติกรรมท่ีควรกระทา ผลพฤติกรรมทีค่ าดหวัง ภาพที่ 11. 1 การแสดงพฤติกรรมของผมู้ ีความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง ทีม่ า : (สมใจ ลกั ษณะ, 2552 : 149) จากภาพที่ 11.1 เราสามารถยกตัวอย่างสถานการณ์บางอย่าง เช่น การประชุมระดม สมองเพื่อค้นหาวิธีที่จะเพิ่มผลผลิตขององค์การ บุคคลจะพิจารณาผลที่ต้องการ คือ ผลิตผลที่ ตรงต่อลูกค้า ก่อนทาพฤติกรรมแสดงความเห็นบุคคลจะทบทวนว่า ควรแสดงความเห็นเกี่ยวกับ อะไรบ้าง ที่จะเป็นที่ยอมรับว่า จะนาไปสู่ผล แต่จะเลือกแสดงพฤติกรรม ออกความเห็นที่ตนเอง ม่ันใจที่สุดว่าจะได้ผลดีที่สุด นั่นคือ แม้จะรู้ว่าการเพิ่มผลิตผลจะต้องอาศัยปัจจัยทางทรัพยากร ความสามารถของทีมผู้ผลิต ความคิดใหมๆ่ ที่ควรได้จากการวิจัยตลาด แตม่ ีผู้ความเชอ่ื มนั่ ในตนเอง จะเลือกประเดน็ ทีต่ นเองถนดั และมีความรู้มากที่สุด เช่น ถ้า มีพ้นื ฐานความรู้ทางศลิ ปะ ก็อาจเสนอความเห็นเกี่ยวกับการออกแบบการบรรจุสินคา้ ในกล่อง เป็น ต้น แนวทางพัฒนาความเชือ่ ม่ันในตนเอง บุคคลจะมีความเชื่อม่ันในตนเองสูง ควรดาเนินการปรับเปลี่ยนพัฒนาเสริมสร้าง คุณลักษณะของตนเองในด้านต่างๆ ที่จะทาให้เกิดความมั่นใจในการทางานแสดงออก และการ ปฏิบตั ิงาน การพัฒนาตนเองจะมีทั้งส่วนปรับปรุงความคิด ความเชื่อ เจตคติ ไปในแนวทางที่สร้าง ความรู้ ความสามารถ ในสาขาที่ตนสนใจและถนัด เพื่อเป็นฐานความม่ันใจในเน้ือหา ปรับเปลี่ยน ความคิด ความเชื่อเกี่ยวกับตนเอง ให้ภูมิใจในคุณค่าความเก่ง ความดีของตนปรับเปลี่ยนแนวการ ปฏิบัติเชิงแสดงออกที่กล้าตัดสินใจ เด็ดเดี่ยว มั่งม่ัน พยายาม โดยจากัดอุปสรรคทางอารมณ์ ความรสู้ ึก ที่จะบัน่ ทอนความมน่ั ใจในตนเอง
219 โลว์สตูเทอร์ และโรเบิร์ทสัน เสนอสูตรสาเร็จของการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง 7 ประการ คือ 1. สร้างสถานะของการมีกาลังอานาจ และรูปแบบของความสาเร็จ ถ้าอยู่ระหว่างการหา งาน ก็ควรจัดทาประวัติส่วนตัวที่แสดงการมีกาลังอานาจ ความสามารถที่แตกต่างไปจากผู้อื่น ถ้า อยู่ระหว่างปฏิบัติงาน มีงานทาแล้ว ก็ควรเพิ่มพูนกาลังอานาจความสามารถโดยเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ความสามารถต่างๆ ในการทางาน อาจค้นหารูปแบบการทางานของบุคคลที่เราชื่นชมยก ย่องในความรู้ ความสามารถในสาขาใดสาขาหนึ่งที่เราต้องการจะเลียนแบบ ศึกษาความคิด และ พฤติกรรมของเขาที่นามาซึง่ ความสาเร็จแล้วพยายามสร้างความสาเร็จด้วยการปฏิบัติตามรูปแบบ ตวั อย่างนั้น 2. จดั การกับอารมณ์ ความรสู้ ึก ให้พยายามเปลี่ยนอารมณ์ ความรู้สึกให้เป็นความร่าเริง รู้สกึ ว่าจุดดีในตัวเอง เชือ่ ม่นั เปิดเผย ปรับเปลี่ยนเก่ง กล้าหาญคิดสร้างสรรค์ได้ คิดนวัตกรรมเป็น และฉลาด ข้อแนะนาคือ ให้นึกภาพตนเองที่เป็นคนมั่นคงแข็งแกร่ง เชื่อมั่นสูง และย้าเตือนตนเอง ด้วยการกาหมัดแนน่ ทกุ ครั้งทีร่ ะลึกว่า เราคือคนทีม่ ีความเช่อื ม่นั สูง มีจุดดีจุดแข็งในตัว ไม่หวั่นวิตก หรอื เป็นรองใคร 3. เปลี่ยนความคิดทีม่ ตี ่อสง่ิ ตา่ งๆ มองในแงม่ มุ ใหม่ ปกติคนเรามีความรู้สึกอย่างไรต่อสิ่ง ต่างๆ ก็ขึ้นกับว่าเราให้ความหมายต่อสิ่งน้ันอย่างไร ถ้าเรามองสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราว่าไม่ยุติธรรม เราก็จะรู้สึกได้รับเคราะห์กรรม ต้องสูญเสียบางสิ่ง แต่ถ้าเรามองเหตุการณ์นั้นว่าเหมาะสม มี เหตุผลดีแล้ว เราก็จะมองเป็นเร่ืองปกติไม่รู้สึกเสียหายอะไร เช่น บางคนมีความคิดว่าการไม่ได้ เลือ่ นตาแหน่งเป็นการเสียหนา้ ควรหางานใหม่ทา แต่คนบางคนอาจมีความคิดว่า ตนเองคงด้อยใน การแสดงความสามารถและผลงาน จึงไม่ได้เลื่อนตาแหน่ง ก็ไม่รู้สึกสูญเสียอะไร ตรงกันข้ามกลับ คิดว่า เป็นบทเรียนเพื่อการปรับปรุงตัวต่อไป หลักการสาคัญ คือ ให้มองส่วนได้จากการสูญเสีย มองว่าเราได้ความรู้อะไร และชี้แนะการดาเนินชีวิตในตอนต่อไปว่าควรเป็นอย่างไร จึงจะไม่สาคัญ เสียเช่นนน้ั อีก กก็ ลายเปน็ ความเชือ่ ม่ันในตนเองใหแ้ ข็งแกร่งขนึ้ 4. เรียนรู้ต้นแบบของความสาเร็จ ศึกษาความคิด ความเชื่อ ค่านิยม และพฤติกรรมของ ต้นแบบของคนที่มีความเชื่อม่ันตนเอง คนที่เป็นผู้นา คนที่มีความสาเร็จในชีวิต และนามาใช้ แบบอย่างของความคิดการปฏิบัติของตนเอง 5. กาหนดผลที่ตอ้ งการและแนะนามายืดถือ หลักการสาคัญ คือ ให้ตัดสินใจกาหนดสิ่งที่ เรามี 6. ความปรารถนาต้องการจะได้รับในการดาเนินชีวิตและในการประกอบอาชีพ ควรเป็น ผลชี้เฉพาะไม่กว้างเกินไป การมุ่งผลว่าต้องการมีเงิน มีงานดี มีสังคมที่ดี อาจกว้างเกินไปในกรณี ต้องการมีเงิน ควรกาหนดผลที่ต้องการให้เฉพาะว่า ต้องการมีความสามารถในการจัดการเร่ือง
220 รายได้ของตนเองให้ดีขึ้นจะมีประโยชน์กว่า และใช้ภาพเป้าหมายที่ชัดเจนนี้เป็นทิศทางของการ ปฏิบัติตน 7. มีความมุ่งมั่นไปสู่ความสาเร็จ นอกจากจะมีเป้าหมายผลความสาเร็จที่ชัดเจนแล้ว บุคคลควรมีความมุ่งมั่นในตนเองที่จะไปสู่ความสาเร็จให้ได้ ผู้มีความมุ่งม่ันสูง จะมีความพยายาม ไปสู่เป้าหมายโดยไม่หว่ันเกรงต่ออุปสรรคความมุ่งม่ันจะเพิ่มความแข็งแกร่งในความคิด และการ ปฏิบัติ 8. ทบทวนวิธีดาเนินการให้ยืดหยุ่น ไปสู่เป้าหมาย หลักการสาคัญ คือ ประเมินความคิด และการปฏิบัติที่ไปสู่เป้าหมาย พร้อมที่จะปรับปรุงเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติให้เหมาะสมตาม สภาพแวดล้อมและเวลาที่เปลีย่ นไป เพือ่ ประสทิ ธิภาพของการปฏิบตั ิให้มากขึ้น เม่ือบรรลุเป้าหมาย หน่งึ แล้วควรมองเป้าหมายต่อไปทีค่ วรเดินทางไปให้ถึงเปน็ ลาดับต่อๆไปด้วย การเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง สมใจ ลักษณะ (2552 : 76) ได้เสนอแนะการสร้างความเชื่อมั่นในตนเองด้วยการปรับ ความเชือ่ และพฤติกรรมของตนดังน้ี 1. เชอ่ื ว่าตนเองมคี วามรู้ ความสามารถในเรื่องราวที่ตนเกีย่ วข้อง 2. เชอ่ื ว่าตนเองจะแสดงพฤติกรรมในสถานการณน์ ั้นๆได้ถูกต้องแนน่ อน 3. เชื่อว่าตนเองจะแสดงพฤติกรรมในสถานการณ์นั้นๆได้ตรงกับความคาดหวังและ มาตรฐานของผู้อ่นื ที่อยู่ร่วมสถานการณ์ 4. กล้าแสดงออกในสถานการณน์ ้ันๆ 5. ยอมรับปฏิกิริยาที่อาจจะได้รับจากบุคคลต่างๆ ในสถานการณ์น้ันท้ังปฏิกิริยาที่เป็น ข้อมลู ย้อนกลับ ที่เราพอใจและไม่พอใจ และตอบโต้ด้วยเหตุผล หรือใช้วิธีตอบว่า ขอรับข้อคิดเห็น และข้อสังเกตไว้ดว้ ยความขอบคณุ 6. รกั ษาระดับความเด็ดเดีย่ วม่นั คงในความคิดของตน โดยไม่เปลี่ยนแปลงตามคาแนะนา ของผู้อื่น หรือตามคาตาหนิคัดค้านของผู้อื่น จะยกเหตุผลยืนกรานความคิดเสมอ ยกเว้นจะพบ เหตุผลหรอื ข้อมลู ทีด่ ีกว่าจรงิ จงึ ค่อยรับความคิดน้ันมาปรับปรุงความคิดของตนเอง 7. เพือ่ ให้เข้าใจถึงแนวการเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง โปรดพิจารณากรณีตัวอย่าง ต่อไปนี้ อเนกทาหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของบริษัทฟอร์จูน บริษัทประสบวิกฤตทางเศรษฐกิจจึง ต้องการยกเลิกว่าจ้างอเนก ด้วยเหตุผลว่าบริษัทไม่จาเป็นต้องมีที่ปรึกษาทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง อเนกได้ช่วยแก้ปัญหาของบริษัทเกี่ยวกับบุคลากร และปัญหาทางธุรกิจได้อย่างดี ในช่วงที่ผ่านมา
221 อเนกมีพื้นฐานความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ จึงง่ายต่อการสังเกตบุคคล และเหตุการณ์รอบตัวที่มี ผลกระทบต่ออเนก อเนกมีความไม่พอใจในตัวบุคคลหลายคนในบริษัทแต่ก็ระงับความโกรธ ความ ไม่พอใจไปชั่วคราว โดยหันมาวิเคราะห์บุคคล และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความล้มเหลวในการ ทางานของอเนก รวมถึงการวเิ คราะหต์ วั เองว่า มีส่งิ ใดนามาซึง่ การล้มเหลม จากการวิเคราะห์อเนกพบว่า บุคคลรอบตัวเขาที่เกี่ยวข้องกับการทางาน ต่างก็มีจุดด้อย บางคนไม่รว่ มมอื ไม่มเี หตผุ ล ปิดบังข้อมูล เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เม่ือพิจารณาตัวเองก็มั่นใจว่าเป็น คนทางาน โดยยึดวตั ถปุ ระสงค์เป็นเป้าหมาย มีกระบวนการทางาน ทาหน้าที่อย่างมีระบบ อเนกจึง ระงับความโกรธ ความไม่พอใจที่ต้องออกจากงาน แม้จะมีคนอื่นระบุว่า อเนกไม่มีประโยชน์ ไม่มี ความจาเป็นต่อบริษัท อเนกก็เลือกที่จะไม่โกรธ เขาบอกตนเองว่า ทาหน้าที่ดีที่สุดแล้วไม่มีอะไร ผิดพลาดล้มเหลว ไม่ยอมให้ความคิดของผู้อื่นมามีอิทธิพลต่อความรู้สึกโกรธ หรือความรู้สึกไม่ พอใจ ทาตัวอยู่เหนือสถานการณ์ จริยา เป็นนักจิตวิทยาที่คุ้นเคยกับอเนก จริยาชี้ให้อเนกเห็นว่า อเนกยังไม่ได้อยู่เหนือ สถานการณ์ อยู่เหนือความโกรธเคือง อเนกเพียงแต่เก็บกดความรู้สึกไม่พอใจไว้ภายใน และหา เหตผุ ลมาปลอบใจตวั เอง สร้างความรู้สกึ ทีด่ ี ตัวเองไม่ผดิ ไม่บกพร่อง จริยาแนะนาว่า อเนกควรยอมรับความจริงด้วยการปรับความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ ค่านิยม และพฤติกรรมของตนให้สอดคล้องกัน อเนกควรแสดงออกในส่วนประกอบเหล่านี้อย่าง จริงใจต่อสังคมต่อผู้อื่น ใจขณะเดียวกันก็รับข้อมูลจากผู้อื่นว่า เขามีความคิด ความรู้สึกและ พฤติกรรมอย่างไรต่ออเนก อเนกมีโอกาสรับข้อมูลที่ได้จากผู้อื่นมาพิจารณา ประเมินความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ และพฤติกรรมของตนเอง และปรับส่วนประกอบเหล่านี้ของตนให้สอดคล้อง กันภายในตัวเอง และให้สอดคล้องกับการมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดต่อกัน ไม่ขัดแย้งกัน เมื่อเป็นเช่นน้ี อเนกกไ็ ม่จาเป็นต้องเก็บกดความรู้สึก ตรงกันข้าม อเนกสามารถแสดง อารมณ์อย่างเปิดเผย เป็นธรรมชาติ อเนกจะอยู่กับความเป็นจริงไม่ลอยเหนือความจริง ไม่หนี ความจริง ชีวิตการทางานจะมีความราบร่ืน ไม่เก็บความทุกข์ไว้ในใจ มีโอกาสคิดริเริ่มสร้างสรรค์ พัฒนาความก้าวหน้าทางอาชีพของตน และพฒั นาองค์การได้เตม็ ที่ การควบคุมทางอารมณ์ อารมณ์เป็นการให้ข้อมูลข่าวสารทางลบแก่ตัวเอง เช่น โกรธ หงุดหงิด ชิงชัง ฯลฯ ล้วน เปน็ ความรู้สกึ ที่บ่อนทาลายตวั เอง เป็นตวั สะกดกั้นความสามารถทางปัญญาที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดี งามให้กับชีวติ การหาทางออกเพือ่ ไมใ่ ห้เปน็ ทาสอารมณ์ ความรสู้ ึกมี 3 ข้ันตอน คือ
222 1. อย่าเก็บกด อย่าปฏิเสธ ในการมีอารมณ์เกิดขึ้น ให้ยอมรับว่ามี เช่น “ฉันรู้สึกโกรธ แล้วนะ” “ฉนั รู้สึกว่าไม่มใี ครชอบฉนั เลยนะ” 2. แสดงออกทางกิรยิ าท่าทาง ทีเ่ คยแสดงออกในอดีตเมอ่ื รู้สึกว่ามีอานาจ มีความสาเร็จ เชน่ หมุนตัวบนเก้าอี้ให้หมุนไปรอบๆ หรือลุกขึ้นยืน โดยนึกถึงเม่ือคร้ังที่มีความสาเร็จ เชื่อม่ัน กล้า หาญ และรู้สกึ ว่าตนเองเก่งเสียเหลือเกิน ในขณะเดียวกัน ก็ให้ร่างกายรับรู้การมีอารมณ์ และคิดที่ จะแก้ปัญหาที่ตน้ เหตขุ องอารมณใ์ ห้สาเร็จให้จงได้ ถือว่าเปน็ การท้าทายที่ตอ้ งเอาชนะ 3. รบั รู้การเกิดอารมณ์ และลงมอื ปฏิบตั ิ มุ่งเอาชนะให้ประสบความสาเร็จ ด้วยความเชื่อ ว่า เรือ่ งแค่น้ไี ม่ยากเคยเอาชนะเคยทาสาเร็จมาแล้ว ไม่เหลือบ่ากว่าแรง การฝึกฝนตนเองอยูเ่ สมอ วิธีฝีกฝนให้ตนเองมคี วามเชือ่ ม่นั ในตนเอง มีดังนี้ 1. ต้องรู้วา่ ตนเองเปน็ ทีพ่ ึง่ แหง่ ตน และหมั่นช่วยตนเองให้มากที่สุด คนที่ชอบร้องขอให้คน อืน่ ช่วย โดยไม่ยอมช่วยตัวเองย่อมทาลายอนาคตของตวั เอง หรอื ความก้าวหน้าของตนในที่สุด 2. ต้องรู้จักนับถือตนเอง เชอ่ื มั่นในความสามารถของตน และไม่ดถู ูกเหยียดหยามตนเอง 3. ต้องฝกึ ใหม้ ีความคิดเห็นเปน็ ของตนเอง ไม่ตกเปน็ ทาสความคิดของผอู้ ืน่ 4. อย่าคิดว่า “ทาไม่ได้” จงคิดเสมอ “เราทาได้” 5. พยายามเสริมสร้างความคิด ความรสู้ ึก และลักษณะนิสยั ประจาตัวที่เปน็ ทางบวก เชน่ 5.1 ไม่เคยรู้สกึ สนิ้ หวงั ท้อแท้ จะต้องมีช่องทางที่เราทาได้สมหวงั สกั ช่องทางหนึง่ แนๆ่ 5.2 ไม่หวาดหวั่นต่อความยากลาบาก ถือว่าของยากคือของดี เราต้องมุ่งม่ันไม่วิตก กังวลใดๆ คิดไป ทาไป ปรับปรุงไป จะสาเร็จเองเช่น ความพยายามอยู่ที่ใด, ความสาเร็จอยู่ที่น้ัน เป็นต้น 5.3 จิตใจกล้าหาญ ไม่ท้อถอย แม้จะพบความไม่สาเร็จในบางเร่ือง ถือว่าผิดเป็นครู เรียนรู้จากความผดิ พลาด 5.4 มีความคิดเชงิ ระบบ คือ (1) วิเคราะหป์ ัญหา (2) ค้นหาสาเหตขุ องปญั หา (3) สร้างทางเลือกเพือ่ แก้ปัญหาทีส่ าเหตุ (4) ประเมินเลือกทางเลือกที่ดที ี่สุด (5) ลองใชท้ างเลือก
223 (6) ประเมินผลการแก้ปัญหา คงทางเลือกถ้าแก้ปัญหาได้ ถ้าทางเลือกนั้นแก ปัญหาไมไ่ ด้ก็ลองใช้ทางเลือกอื่นตอ่ ไปไม่ยอมล้มเลิกความตง้ั ใจแก้ปัญหา การพดู บรรยายด้วยความเชือ่ ม่นั สถานการณ์ที่ใช้ฝึกความเชื่อม่ันในตนเองที่ดี คือ การพูดปาฐกถา หรือบรรยาย หรือ รายงานต่อบคุ คลจานวนมากๆ ข้อแนะนา คือ 1. จัดลาดบั เรื่องให้เปน็ เหตแุ ละผล กาหนดสาระสาคญั ประเดน็ สาคัญที่คาดว่าผฟู้ งั สนใจ 2. ใน 3 นาทีแรก ไม่ควรใช้อุปกรณ์ช่วย แต่ควรเริ่มด้วยคาคม ปัญหาท้าทายเพื่อ เรียกร้องความสนใจในตัวผพู้ ดู (ไม่ใช่สนใจภาพบนจอ) 3. ถ้ารู้สกึ เครียด จงผ่อนคลายด้วยการเคลื่อนไหว ใชม้ อื หรือเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งเป็น ยืน จากยืนบนเวทีเปน็ เดินหาผฟู้ ัง 4. พูดด้วยการสบตาผู้ฟังทั้งหลายไม่ใหพ้ ูดโดยมองแผ่นขอ้ ความที่บนั ทึกไว้ 5. ใช้ตัวอย่างจากชีวติ จรงิ ประกอบการพูดหรอื ให้ผู้ฟงั ช่วยยกตวั อย่าง 6. ให้โอกาสผฟู้ ังแสดงความคิดเห็น 7. ไม่แสดงอารมณไ์ ม่พอใจ เมื่อผู้ฟงั มีความคิดเหน็ ขัดแย้ง หรอื ดูหมน่ิ ผู้บรรยายแต่ใช้การ ยอมรบั สิทธิของบุคคลว่า ย่อมมีความคิดความเชอ่ื แตกต่างกนั ได้ ควรกระตุ้นให้ผู้มีความคิดขัดแย้ง แสดงเหตุผล และแนวการนาไปใช้ในสถานการณ์จริงรวมถึงให้ผู้ฟังคนอื่นแสดงความเห็นโต้ตอบ ความเหน็ ของบุคคลนั้น 8. มีอารมณ์ขัน ใช้คติว่า ถ้าผู้พูดร่าเริง คนฟังก็จะร่าเริงตาม ถ้าผู้พูดรู้สึกสนุกสนานจะ สนกุ ตาม 9. ใช้คาคม สาระสาคญั ทีโ่ ดดเด่น หรือบทกลอนที่กินใจนามากล่าวในตอนท้ายเพื่อสร้าง ความประทับใจ การพูดบรรยายเป็นทักษะการสื่อสารที่สาคัญ การพัฒนาตนเองให้มีความสามารถใน พฤติกรรมการพูดบรรยาย คือ เป็นกลวิธีหนึ่งของการสร้างความเชื่อม่ันหรือความใจฝึกฝนตนเอง การพัฒนาตนเองด้านการพูดบรรยายเป็นผลสืบเน่ืองจากการสารวจตนเองจนค้นพบจุดอ่อนของ ตน การด้อยความสามารถในด้านการพูดบรรยายจะทาให้เกิดผลเสียแก่ผู้พูดที่จะไม่ได้รับการ ยอมรับศรัทธาอย่างสมบรูณ์ ทาให้ลดอิทธิพลของการสื่อสารโน้มน้าวให้ผู้ฟังเกิดความรู้ความ เข้าใจที่ชดั เจนในข้อมูลข่าวสาร ซึ่งจะมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทางาน นอกจากนี้การพูด
224 บรรยายที่ไม่ได้ผลเต็มที่ จะทาให้ผู้พูดเองลดความม่ันใจในตนเองลงไป การพัฒนาการพูดบรรยาย อย่างเชือ่ ม่นั ในแนวทางที่แนะนานี้ จะเปน็ ประโยชน์ตอ่ การพฒั นาในด้านการพดู เป็นอย่างมาก การเขียนดว้ ยความเชื่อม่นั การเขียนเป็นทักษะการสื่อสารที่สาคัญอย่างยิ่ง เพราะในขณะที่การพูดทาให้ผู้ฟังรับ ข้อมูลข่าวสารที่เร็วและตรง แต่การพูดที่มีจุดอ่อนที่ผู้ฟังอาจฟังไม่ทัน หรือผู้ฟังไม่สามารถทบทวน การฟังซ้าใหม่ให้เกิดความเข้าใจได้เพราะเวลาผ่านไปแล้ว ยกเว้นจะมีการบันทึกเสียงเพื่อการทวน ฟังซ้าอีก การเขียนจะเป็นสื่อที่ผู้อ่านสามารถใช้เวลาในการสังเคราะห์ทบทวนซ้าได้อีกหลายคร้ัง และข้อเขียนจะเป็นหลักฐานอ้างอิงที่ค่อนข้างถาวรในระยะยาว ดังน้ันการเขียนที่ไม่เหมาะสมจึง อาจเป็นผลเสียได้ ตวั อย่างของผลเสียของการเขียนไม่เหมาะสม 1. การถ่ายทอดข่าวสารจากผู้เขียนไปสู่ผู้อา่ นไม่ได้ผลสมบูรณ์ 2. ลดความรคู้ วามเข้าใจที่แม่นตรง ครบถ้วน ชดั เจน ที่ควรบงั เกิดกบั ผอู้ ่าน 3. ทาให้ไม่สามารถบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของการส่งข่าวสาร เช่น วัตถุประสงค์ใน การให้ความรคู้ วามคิดใหมๆ่ วตั ถปุ ระสงค์ในการสรา้ งความร่วมมือในการดาเนินงาน วัตถุประสงค์ ในการรายงานผลการดาเนนิ งาน เป็นต้น 4. ถ้าเป็นการเขียนเพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือจูงใจลูกค้า การเขียนที่ด้อยคุณภาพ เป็นอุปสรรคของการได้ผลของการโฆษณาจูงใจ ทาให้ลดประสิทธิภาพและประสิทธิผลของ องค์การลง ข้อบกพร่องของการเขยี นอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังน้ี 1. ขาดทักษะในการใช้ภาษา ในการเลือกใช้คา ประโยค สานวน การลาดับเร่ือง และการ จัดวางกรอบตาแหน่งของตัวอกั ษร 2. ขาดความรู้ ขาดข้อมูล ขาดหลักฐานอ้างอิงที่จะนามาใช้ในการเขียน ทาให้ขาดความ สมบูรณ์เนือ้ หาสาระในสิ่งที่เขียน 3. ขาดความสามารถในการเขียนอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งในการเขียนอย่างสร้างสรรค์จึง จาเป็นต้องมีองค์ประกอบสาคญั คือ 4. มีจุดมุ่งหมายของการส่อื สารชดั เจน 4.1 มีขอ้ มลู สาระความรคู้ วามคิดหลกั ฐานอ้างองิ ประกอบสมบรู ณ์ 4.2 จัดลาดับประเด็นสาคัญที่ต้องการจะเสนอความคิด สาระความรู้ เนื้อเร่ืองและ ใจความสาคญั
225 4.3 เลือกสรรภาษาในการใชค้ า ประโยค สานวนการเขียนที่ถกู ต้องตามหลกั ภาษา 4.4 ใช้คาอธิบายขยายความ อ้างเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิง เพิ่มความสาคัญของ ประเด็นนาเสนอ แนวการพัฒนาความสามารถในการเขียนเพื่อเพิ่มความมั่นใจ มีการแบ่งเป็นระดับ ความสามารถในการเขียนจากต่าไปหาสูงดังน้ี ระดับที่ 1 เขียนตามแบบทีก่ าหนดได้ เขียนข้อความส้ันๆ ตอบคาถามได้ ระดับที่ 2 จากตัวอย่างรูปแบบการเขียนที่กาหนด ผู้เขียนสามารถเขียนขยายความ เพิ่ม ตัวอย่าง มีความหลากหลายในการใชค้ า แตเ่ นือ้ เรือ่ งที่เขียนยงั อยู่ในขอบเขตตามตัวอย่าง ระดับที่ 3 เมือ่ กาหนดหัวข้อเรอ่ื งให้ ผเู้ ขียนสามารถเขียนอย่างเป็นลาดบั มีใจความสาคัญ ชดั เจน แตม่ ีการขยายความ อธิบายอย่างกว้างขวาง ระดบั ที่ 4 เขียนโดยคานึงถึงผู้อา่ น ปรับเปลี่ยนคา ประโยค สานวนให้สอดคล้องกับผู้อ่าน ทาให้ผู้อา่ นได้รับข่าวสารได้อย่างเข้าใจชดั เจน ระดับที่ 5 สามารถเขียนได้อย่างสร้างสรรค์ มีการใช้คา ประโยค และสานวนที่สละสลวย โน้มน้าวให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตาม เห็นจริงตามข้อเขียน ผู้อ่านให้การยอมรับความรู้ความคิด ให้ความเชือ่ ถอื สูง การเขียนเพื่อให้เกิดความม่ันใจ เป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ การเขียนเป็นศาสตร์ที่ต้องยึด กฎเกณฑ์ และหลักภาษาอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การใช้คาและการสร้างประโยคถูกต้องตาม มาตรฐานของภาษา การเขียนเป็นศลิ ปะในลักษณะที่ผู้เขียนควรเลือกคา ประโยค สานวน ลีลาการ นาเสนอ การยกตัวอย่างประกอบให้เหมาะสมกับความมุ่งหมายของการเขียน ให้สอดคล้องกับพื้น ฐานความรู้ของผู้อ่าน และให้สนองเจตนารมณ์เพื่อกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในปัญหาความ จาเป็น เจตนารมณ์เพื่อให้เกิดการต่ืนเต้นเร้าใจไปกับเหตุการณ์หรือเร่ืองราวต่างๆที่นาเสนอ หรือ เจตนารมณเ์ พือ่ จงู ใจใหเ้ กิดความเชอ่ื คล้อยตามเหน็ ดว้ ยกบั ผเู้ ขียน วิธีการพัฒนาความสามารถในการเขียนด้วยความเช่อื มั่น ควรดาเนินการดงั น้ี 1. มีความรู้เร่ืองที่จะเขียนแท้จริง พัฒนาโดยการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลให้สมบูรณ์ก่อน เขียนจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เช่น หนังสืออ้างอิง ตารา บทความ ผลการวิจัย เอกสารความรู้ต่างๆ การสบื ค้นจากระบบอินเตอรเ์ น็ต เป็นต้น 2. ศึกษารูปแบบตัวอย่างการเขียนที่ประสบความสาเร็จโดยนักเขียนมืออาชีพรวบรวม เทคนิคการใชค้ า การสร้างประโยค ลีลาสานวนการเขียน และเลียนแบบตัวอย่างที่ดีผสมกับการคิด ริเรม่ิ ของตนเอง
226 3. ทาต้นร่างของข้อเขียน ทบทวนเพื่อการปรับปรุงรวมถึงนาต้นร่างให้ผู้รอบรู้ทางภาษา หรือผู้เชี่ยวชาญทางการเขียนได้ช่วยตรวจสอบแนะนาการปรับปรุงแก้ไขก่อนทาข้อเขียนสุดท้ายก็ จะนาไปใช้ประโยชน์ 4. เมื่อเผยแพร่ขอ้ เขียนไปแล้วควรรับฟังความคิดเห็นของผู้อ่านว่าเขาเกิดความเข้าใจตรง กับวัตถุประสงค์หรือไม่ มีความพอใจในข้อเขียนหรือไม่ มีข้อแนะนาสิ่งบกพร่องที่ควรปรับปรุง ประการใด เพือ่ นามาเปน็ ข้อมูลปรบั ปรุงการเขียนในครั้งต่อไป 5. ควรชานาญในการเขียนจะเกิดขึ้นจากการเขียนเป็นประจา นั่นคือ ถ้าปฏิบัติในการ เขียนบ่อยๆ และใช้กระบวนการ 4 ข้อขา้ งตน้ จะเป็นวิธีพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในการเขียน ด้วยความมั่นใจยิง่ ข้นึ บทสรุป ความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นคุณสมบัติที่สาคัญด้านหนึ่งของบุคคลที่ดาเนินชีวิตปฏิบัติ กิจการงานอย่างมีประสิทธิภาพ บุคคลที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง จะฉลาดในการค้นหาจุดเด่นของ ตนเองนามาเป็นจุดที่ยอมรับนับถือ ภูมิใจในคุณค่าของงาน เป็นผู้ที่ดาเนินชีวิตอย่างมีเป้าหมาย มี ความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวในการพยายามดาเนินชีวิต ทากิจกรรม เพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยไม่ท้อถอย หวาดเกรง วิตกกังวลต่อปญั หาอปุ สรรค เป็นผู้ที่มีทัศนะทางบวกต่อตนเอง และต่อโลกภายนอกใน ลักษณะที่เชื่อว่าตนเองทาได้ ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมพร้อมจะเอื้ออานวย ถ้าจะฉลาดสังเกต คิดค้น แสวงหา พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เรียนรู้จากความผิดพลาด บกพร่อง ล้มเหลว และลุกขึ้นสู้ใหม่ อย่างมีความหวัง ลักษณะจิตใจที่สาคัญประการหนึ่งของผู้ที่มีความเชื่อม่ันในตนเอง คือ มีจิตใจ กล้าแข็ง กล้าคิด กล้าทา กล้าแสดงออก กล้าแสดงความแตกต่าง กล้าโต้แย้งในสิ่งที่ถูกต้อง เหมาะสมดีงามเป็นคุณประโยชน์ ความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นคุณลักษณะของผู้นา ผู้ประสบความสุข ความสาเร็จในชีวิต เป็นคุณลักษณะของบุคคลที่หมู่คณะและสังคมต้องการ และนับเป็นปัจจัยสาคัญประการหนึ่งของ ประสิทธิภาพประสิทธิผลขององคก์ าร นักคิด นกั ทฤษฎีได้ค้นหาหลักการสาคัญของการพัฒนาบุคคลให้มีความเชื่อมั่นในตนเอง ได้ขอ้ สรปุ ทีส่ อดคล้องกนั ว่า เปน็ เรือ่ งของความคิด ความเชื่อ ความรสู้ ึกของบุคคลที่มีการรับรู้ และ เข้าใจเกีย่ วกบั ตนเองทางบวก การยอมรบั นบั ถือเห็นความมีค่าของตนเอง การเป็นผู้กาหนดวิถีชีวิต ของตนเอง พึ่งตนเอง มุ่งมัน่ ไปสู่ความสาเรจ็ ของเป้าหมายที่จัดวางไว้อย่างเหมาะสม จากเป้าหมาย พืน้ ฐานไปสู่เป้าหมายใดแล้ว กม็ ุ่งสเู่ ป้าหมายระดบั สูงขึน้ ต่อไปไม่มีทีส่ นิ้ สุด
227 ความเชื่อม่ันในตนเอง มิใช่สิ่งที่ติดตัวมาแต่กาเนิด แต่พัฒนาให้เกิดขึ้นได้จากการเรียนรู้ โดยตนเอง อาศัยแบบอย่าง คนต้นแบบ มิได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ ประดุจกับการจับเสือมือเปล่า องค์ประกอบสาคญั ที่ต้องพัฒนาใหเ้ กิดข้ึนกับตนเอง ได้แก่องค์ประกอบต่อไปนี้ 1. องค์ประกอบด้านความรู้ ความสามารถที่สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดและ หนา้ ที่การงานของตนเป็นส่วนเนือ้ หาที่จะเป็นพืน้ ฐานของการแสดงออกอย่างมน่ั ใจ 2. องค์ประกอบด้านความคดิ มคี วามคิดเป็นระบบ ใชก้ ระบวนการคิดอย่างมีเหตุผล ช่วย ให้การแสดงความคดิ มีความเป็นไปได้ และมีช่องทางสาเรจ็ 3. องค์ประกอบด้านความรู้สึก เจตคติ และทัศนะที่มีต่อโลก ฝึกให้ยอมรับนับถือความมี ค่าของตนเอง มีทศั นะทางบวก เหน็ ช่องทางทาให้สาเรจ็ เมือ่ ลงมอื ทาสิง่ ใดมีทัศนะว่าต้องสาเรจ็ 4. องค์ประกอบทางด้านลักษณะนิสัย ที่ต้องปรับเปลี่ยนให้เป็นผู้ที่มีความเข้มแข็ง เด็ดขาด มุ่งม่ันเพียรพยายาม กล้าเสี่ยง กล้าคิด กล้าทา ไม่ขลาดกลัว ไม่วิตกกังกลจนเกิดเหตุ รวมถึงฝึกการนาตนเอง พึ่งตนเอง 5. องค์ประกอบทางพฤติกรรมแสดงออกในสถานการณ์ต่างๆ ที่ใช้ปัจจัยจาก องค์ประกอบ 4 ประการข้างต้น ทาให้แสดงออกอย่างเปิดเผย แสดงออกอย่างมั่นใจในผลที่จะ ได้รับ การพฒั นาความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นกระบวนการที่ใช้เวลาสร้างสม บุคคลหลายคนอยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่ต้องพึ่งตนเองคิดเอง ทาเอง แก้ปัญหาเอง ต้ังแต่วัยเด็ก จะได้เปรียบกว่าบุคคลที่ถูก อบรมเลี้ยงดูให้พึ่งพาผู้อื่น แต่อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนความคิด ความรู้สึก และพฤติกรรม ตามแนวทางพัฒนาตนเองดังกล่าว ถ้าได้ฝึกฝนปฏิบัติอย่างตอ่ เน่ืองจริงจัง ก็จะพบความสาเร็จของ การมคี วามเชือ่ ม่ันในตนเองได้
228 แบบฝึกหดั ข้อ 1 ผมู้ ีความเชอ่ื มนั่ ในตนเอง ต่างจากผู้ขาดความเชื่อมั่นในตนเองในสิ่งใดบ้าง ข้อ 2 เพราะเหตใุ ด สงั คมจงึ นยิ มยกย่องผมู้ ีความเช่อื มั่นในตนเอง ข้อ 3 ถ้าท่านมีเวลาสัมภาษณ์บุคคลที่สมัครเข้าทางาน และท่านมีเวลาต้ังคาถามเพียง 3 คาถาม ท่านจะถามว่าอย่างไร และมีแนวทางให้คะแนนอย่างไร เพือ่ ตดั สินผู้มคี วามเชื่อม่ันในตนเอง ข้อ 4 จากแนวคิดของแบนดรู า จงกล่าวถึงแนวการนามาใช้เพื่อปรับพฤติกรรมบุคคลให้มี ความเชือ่ มัน่ ในตนเองเพิ่มข้นึ ข้อ 5 จงกล่าวถึง แนวทางการพัฒนาความเชื่อม่ันในตนเอง ในลักษณะการปรับเปลี่ยน ความคิด ความเชื่อม่นั ในตนเอง ข้อ 6 จงกล่าวถึง แนวทางการพัฒนาความเชื่อม่ันในตนเอง ในลักษณะการปรับเปลี่ยน ความรสู้ ึกของตนเอง ข้อ 7 บคุ คลที่ตอ้ งการเสแสรง้ แสดงตนว่ามีความเช่อื มั่นในตนเองสูง เขาจะมีกิริยาท่าทาง ทั้งการพดู และการปฏิบัติตนอย่างไร สร้างภาพใหค้ นเชอ่ื ถือ
229 เอกสารอ้างอิง กนั ตนา เพิ่มผล. การพัฒนาประสิทธิภาพในการทางาน. กรุงเทพฯ : คณะวทิ ยาการ จัดการ สถาบันราชภัฏสวนดุสิต, 2546. จติ ติมา อัครธิตพิ งศ.์ การพฒั นาประสิทธิภาพในการทางาน, กรุงเทพฯ : คณะวทิ ยาการ จัดการ มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนครศรอี ยุธยา, 2556. นฤมล สุ่นสวัสดิ.์ การพฒั นาประสิทธิภาพในการทางาน. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์วนั ทิพย์ ,2549. สมิต อาชวนิจกลุ . การพัฒนาตนเอง. กรุงเทพฯ : ดอกหญ้า,2533. สมใจ ลกั ษณะ. การพฒั นาประสิทธิภาพการทางาน. กรงุ เทพฯ : คณะวทิ ยาการจัดการ วิทยาลัยครูสวนสุนนั ท์ทา, 2552. Bandura, Albert. Social Learning Theory. New Jersey : Prentice – Hall, Inc., 1997. Hudgins, Bryce B. and Others. Educational Psychology. llinois : F.E. Peacock Publishers, Inc., 1983 Lowstuter, Clyde C. and Robertson, David P. In Search of the Perfect Job. New York : McGraw – Hill, Inc., 1992 Secord, Panal F. and Backman, Cart W. Social Psychology. 2 ed Tokyo : McGraw – Hill Kogakusha, Ltd., 1974 Shertzer, Bruce and Stone, Shelley C. Fundamentals of Guidance. 3 ed Boston : Houghton Mifflin Company, 1976
231 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 12 การพฒั นาองคก์ ารเพอื่ เพิม่ ประสทิ ธิภาพ เนื้อหาประจาบท 1. การพัฒนาองค์การ 2. สาเหตุความจาเปน็ ของการพฒั นาองค์การ 3. วตั ถปุ ระสงค์เป้าหมายของการพัฒนาองค์การ 4. ขั้นตอนการพัฒนาประสิทธิภาพขององคก์ าร 5. รูปแบบของปจั จยั ทีม่ อี ิทธิพลต่อประสิทธิภาพขององคก์ าร 6. การประเมนิ องค์การเพือ่ ศกึ ษาปัจจัยในการพฒั นาองค์การ 7. การวิเคราะหป์ ัจจยั ที่ควบคมุ ได้และควบคุมไม่ได้ 8. การพฒั นาปจั จยั ทีค่ วบคุมได้ในการพัฒนาองค์การการพฒั นาองค์การ 9. บทสรปุ 10. แบบฝกึ หัด วัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม 1. อธิบายความหมายของการพฒั นาองค์การ 2. ทราบถึงสาเหตคุ วามจาเปน็ ของการพฒั นาองค์การ 3. ทราบถึงวตั ถปุ ระสงค์เป้าหมายของการพฒั นาองค์การ 4. สามารถนาขั้นตอนการพัฒนาประสิทธิภาพขององค์การ และรูปแบบของปัจจัยที่มี อิทธิพลต่อประสิทธิภาพในการพฒั นาองค์การไปใช้ได้ 5. สามารถประเมินองค์การเพือ่ ศึกษาปจั จยั ในการพฒั นาองค์การ 6. สามารถวิเคราะห์ปัจจัยที่ควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ และการพัฒนาปัจจัยที่ควบคุม ได้ในการพฒั นาองค์การ วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. บรรยายประกอบการสอนพร้อมตอบข้อซักถามสลับกบั บรรยาย 2. อภปิ รายร่วมกันในช้ันเรยี น 3. ให้ทาแบบทดสอบหลงั เรยี น 4. นางานทีม่ อบหมายให้ค้นคว้างานเพือ่ นาเสนอในช้ันเรียน 5. การตอบแบบฝกึ หดั
232 6. สรุปเนือ้ หาประจาบทเรียน สอ่ื การเรียนการสอน 1. ตาราหลกั 2. เอกสารประกอบการสอน 3. โปรแกรมคอมพิวเตอร์ 4. กรณีศกึ ษา 5. วีดีทศั น์ การวัดและการประเมินผล 1. การเข้าช้ันเรยี น 2. การตอบข้อซกั ถาม 3. ทาแบบทดสอบท้ายบท 4. มอบหมายงานล่วงหน้าเพื่อนาเสนอในชั้นเรยี น
233 บทที่ 12 การพัฒนาองค์การเพื่อเพม่ิ ประสิทธภิ าพ การพัฒนาประสิทธิภาพในการทางานจะประสบผลสาเร็จเป็นที่น่าพอใจ จาเป็นต้อง อาศัยการปรับเปลี่ยนพัฒนาองค์การ และส่งเสริมการพัฒนาตนของบุคลากรในองค์การ จาก ความรู้ ความคิด หลักการ และแนวปฏิบตั ิต้ังแตต่ ้น แสดงให้เห็นภาพส่วนประกอบต่างๆ ของปัจจัย ที่ส่งเสริมการพัฒนาประสิทธิภาพของบุคคลในการทางาน เม่ือนาส่วนประกอบต่างๆ มาสร้าง ภาพรวมเป็นการสรุป จะช่วยเพิ่มความรู้ความสามารถในการวางแผนดาเนินการทั้งระดับองค์การ และระดับบุคคลให้นาไปสู่การปฏิบัติชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งองค์จะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดจะ ขึ้นกับประสิทธิภาพของคนและองค์การ น่ันคือในองค์การหนึ่งๆ การพัฒนาประสิทธิภาพในการ ทางานของคนและองค์การจะต้องดาเนินไปพร้อมกนั การพฒั นาองคก์ าร การพัฒนาองค์การ คือ การวางแผนและควบคุมให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่พึ่ง ปรารถนา (Veochio, 1988 : 509) การพฒั นาองค์การ คือ การนาความรจู้ ากพฤติกรรมศาสตร์ มาใช้ในความพยายามระยะ ยาวเพื่อปรับปรุงความสามารถขององค์การในการต่อสู้เอาชนะในทันการต่อต่อการเปลี่ยนแปลง สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การในการแก้ปัญหา (Bowditch and Buono, 1990: 508) การพัฒนาองค์การ เป็นความพยายามจากผู้บริหารระดับสูงขององค์การที่การวางแผน จัดการกับทุกระบบทุกส่วนในองค์การ เพื่อจะเพิ่มพูนประสิทธิภาพและสุขลักษณะขององค์การ (Organization Health) โดยการนาความรู้จากพฤติกรรมศาสตร์มาจัดเป็นวิธีการสร้างเสริม (Intervention) มุ่งต่อการปรบั ปรุงกระบวนการขององค์การ (Beckhard, 1969 : 9) การพัฒนาองค์การ เป็นกระบวนการสร้างการสร้างความเปลี่ยนแปลงในองค์การโดย การเปลี่ยนแปลงที่สมาชิกขององค์การ เทคโนโลยีที่นามาใช้ในองค์การ และส่วนประกอบทั้งหมด ขององค์การ (Certo, 2000 : 286)
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197