Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ວິຊາທຳມະຊາດ ວິທະຍາສາດແລະເຕັກໂນໂລຊີ

ວິຊາທຳມະຊາດ ວິທະຍາສາດແລະເຕັກໂນໂລຊີ

Published by lavanh5579, 2021-08-26 03:01:39

Description: ວິຊາທຳມະຊາດ ວິທະຍາສາດແລະເຕັກໂນໂລຊີ

Search

Read the Text Version

230 บทท่ี 8 การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 4. นักศกึ ษาแต่ละคนออกแบบการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ทเี่ หมาะสมกับ เนอื้ หา โดยขนั้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนและกลวธิ กี ารสอน พร้อมออกแบบภาระงาน เพอ่ื ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ตามเรียนรู้ตามจุดประสงค์ทีต่ ัง้ ไว้ 5. นักศึกษาแตล่ ะคนตอบคาถามทา้ ยบทเรยี นแลว้ นาส่งภายในสปั ดาหถ์ ัดไป สือ่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการเรียนการสอน “การจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์” 2. การนาเสนอด้วย Microsoft Power Point 3. เครอื ข่ายการเรยี นรู้ทางอินเตอร์เน็ตเกยี่ วกบั การจัดการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 4. ตารา หนงั สอื เรยี นเกยี่ วกบั การจดั การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ การวดั ผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมระหวา่ งการรับฟังบรรยายและรว่ มกจิ กรรมกลุ่ม 2. ทดสอบการสอน 3. ตรวจสอบผลงานการตอบคาถามท้ายบทเรียนของนักศึกษาเปน็ รายบุคคล เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ 231 บทที่ 8 การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรใ์ ห้บรรลุตามวตั ถปุ ระสงคข์ องหลกั สูตร ครูเปน็ บุคคลท่ีมี ความสาคัญอย่างยง่ิ ซ่งึ ความสามารถในการจัดการเรยี นการสอนเปน็ สมรรถภาพทส่ี าคญั อย่างหน่งึ ของครูวทิ ยาศาสตร์ โดยครจู ะตอ้ งมีความรู้ เน้ือหาวิทยาศาสตร์และความรู้ทางด้านการศึกษา โดยเฉพาะดา้ นวิธีและเทคนคิ การสอน เพราะในการเรยี นการสอนแตล่ ะคร้งั มจี ดุ ม่งุ หมายหลาย ประการท่ีตอ้ งการให้นักเรียนบรรลุ เช่น ตอ้ งการใหผ้ เู้ รยี นได้รบั ขอ้ มลู ความรู้ มที ักษะกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ และมเี จตคตทิ างวิทยาศาสตร์ ดังน้นั ครูจึงจาเป็นตอ้ งใชว้ ิธรการสอนหลายวิธี วธิ ี สอนแต่ละวธิ ีจะบรรลผุ ลได้ก็ตอ้ งอาศัยเทคนคิ ต่าง ๆ ครูจาจาเป็นตอ้ งศกึ ษาวธิ แี ละเทคนิคการสอน วิทยาศาสตรอ์ ย่างหลากหลาย เพอ่ื จะนามาเลือกใช้จัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสมกับ ผู้เรยี นแต่ละระดับ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

232 บทท่ี 8 การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เปา้ หมายของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ในการกาหนดวิสยั ทัศนก์ ารเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ใช้กรอบความคดิ ในเรื่องของการพฒั นา การศึกษา เพ่ือเตรียมคนในสังคมแหง่ การเรยี นรู้ และสอดคลอ้ งกบั พระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 มีดังน้ี (กรมวชิ าการ, 2546) 1. หลักสูตรและการเรียนการสอนวิทยาศาสตรจ์ ะเชอื่ มโยงเนือ้ หา แนวคดิ หลัก และ กระบวนการทีเ่ ป็นสากล แต่มีความสอดคล้องกับชวี ิตจริงทั้งระดบั ท้องถน่ิ และระดบั ประเทศ และมี ความยืดหย่นุ หลากหลาย 2. หลกั สูตรการเรียนการสอนต้องตอบสนองผเู้ รียนท่ีมคี วามถนดั และมีความสนใจ ต่างกัน ในการใช้วิทยาศาสตร์สาหรับการเรียนต่อและประกอบอาชีพทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั วิทยาศาสตร์ 3. ผ้เู รียนทุกคนจะได้รบั การสง่ เสรมิ ให้พัฒนากระบวนการคิด ความสามารถในการ เรียนรู้ กระบวนการสบื เสาะหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา และการคิดค้นสร้างสรรค์องค์ความรู้ 4. ใช้แหลง่ ทเ่ี รยี นรู้ในทอ้ งถิ่น โดยถือว่ามคี วามสาคญั ควบคู่กบั การเรยี นในสถานศึกษา 5. ใชย้ ทุ ธศ์ าสตร์การเรยี นการสอนหลากหลายเพ่ือตอบสนองความตอ้ งการ ความสนใจ และวธิ เี รยี นทแ่ี ตกต่างกันของผูเ้ รียน 6. การเรียนการสอนต้องมีการสง่ เสรมิ และพฒั นาผ้เู รียนใหม้ ีเจตคติ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ มที่เหมาะสมตอ่ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี วทิ ยาศาสตร์เป็นเรอื่ งของการเรยี นรูเ้ ก่ียวกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ ชก้ ระบวนการสังเกต สารวจตรวจสอบ และการทดลองเก่ียวกบั ปรากฏการณ์ธรรมชาตแิ ละนาผลมาจัดระบบหลกั การ แนวคิดและทฤษฏี ดงั น้นั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรจ์ ึงมุ่งเน้นให้ผเู้ รยี นได้เป็นผู้เรยี นรแู้ ละค้นพบ ด้วยตนเองมากที่สุด นนั่ คือให้ได้ทัง้ กระบวนการและองค์ความรู้ ตง้ั แตว่ ัยเริ่มแรกก่อนเข้าเรยี น เม่อื อยใู่ นสถานศกึ ษาและเมอ่ื ออกจากสถานศึกษาไปประกอบอาชพี แลว้ การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตรใ์ นสถานศึกษามเี ปา้ หมายสาคัญ ดังนี้ (กรมวชิ าการ, 2546) 1. เพอื่ ใหเ้ ข้าใจหลกั การ ทฤษฏีที่เปน็ พืน้ ฐานในวทิ ยาศาสตร์ 2. เพื่อใหเ้ ข้าใจขอบเขต ธรรมชาติ และข้อจากดั ของวทิ ยาศาสตร์ 3. เพื่อใหม้ ีทักษะทีส่ าคัญในการศกึ ษาค้นควา้ และคิดคน้ ทางวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทท่ี 8 การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 233 4. เพื่อพฒั นากระบวนการคิดและจนิ ตนาการ ความสามารถในการแกป้ ญั หาและ การจัดการ ทักษะในการสอ่ื สารและสามารถในการตัดสนิ ใจ 5. เพ่ือใหต้ ระหนกั ถึงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งวทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยี มวลมนุษยแ์ ละ สภาพแวดล้อมในเชิงที่มีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกนั และกัน 6. เพอื่ นาความรู้ความเข้าใจในเรอ่ื งวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใชใ้ หเ้ กิด 7. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรมและคา่ นยิ มในการใช้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยอี ย่างสรา้ งสรรค์ แนวทางการจดั การเรียนการสอนวชิ าวทิ ยาศาสตร์ การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขัน้ พนื้ ฐานได้เน้นใหผ้ เู้ รยี นเปน็ สาคัญโดยผเู้ รียนมี บทบาทวางแผนการเรียนรู้ เลอื กทากจิ กรรมการเรียนรูแ้ ละลงมือปฏิบัติ ท้ังนเี้ พ่ือพฒั นาผู้เรยี นใหม้ ี ความสมบูรณ์ท้ังรา่ งกาย อารมณ์ สงั คมและสติปัญญา การจดั การเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ใช้แนว ทางการจัดกระบวนการเรยี นรตู้ ามพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 24 ที่ระบใุ ห้ สถานศึกษาดาเนนิ การดังนี้ (กรมวิชาการ, 2546) 1. จดั เน้อื หาสาระและกจิ กรรมใหส้ อดคล้องกับความสนใจและความถนดั ของผูเ้ รียน โดยคะนึงถึงความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล 2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจดั การ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ ความรมู้ าใช้เพ่อื ป้องกันและแกไ้ ขปัญหา 3. จดั กจิ กรรมใหผ้ ้เู รยี นรจู้ ากประสบการณ์จริง ฝกึ ปฏบิ ตั ิใหท้ าได้ คิดเปน็ รกั การอา่ น และเกิดการใฝร่ ้อู ย่างต่อเน่อื ง 4. จดั การเรยี นการสอนโดยผสมผสานสาระความรดู้ ้านตา่ ง ๆ อยา่ งได้สดั สว่ น สมดลุ กัน รวมทัง้ ปลูกฝังคณุ ธรรมค่านยิ มทด่ี งี ามและคุณลักษณะพงึ ประสงคไ์ ว้ในทกุ วชิ า 5. ส่งเสรมิ สนบั สนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดลอ้ ม ส่ือการเรยี นและ อานวยความสะดวกเพ่ือให้ผู้เรยี นรแู้ ละมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเปน็ ส่วนหนงึ่ ของ กระบวนการเรียนรู้ ทั้งนผี้ ู้สอนละผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่ง วิทยาการประเภทตา่ ง ๆ 6. จัดการเรียนรใู้ ห้เกิดไดท้ กุ เวลาทุกสถานท่ี การประสานความรว่ มมือกับบิดา มารดา ผปู้ กครองและบุคคลในชุมชน เพ่ือร่วมกนั พัฒนาผเู้ รยี นตามศกั ยภาพวิทยาศาสตรเ์ ปน็ เรื่องของการ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชา ธรรมชาติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

234 บทที่ 8 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เรยี นร้เู กย่ี วกบั ธรรมชาติ โดยมนุษยใ์ นกระบวนการสังเกต การสารวจตรวจสอบ และการทดลองที่เป็น ระบบ มขี ้นั ตอนทีช่ ดั เจนต่อเนอื่ ง และกระทาโดยปราศจากอคติจนไดผ้ ลสรปุ เป็นองค์ความรูใ้ หม่ หรอื ไดผลผลิตท่แี ตกต่างไปจากเดิม แตม่ คี ุณภาพและประสิทธิภาพมากขน้ึ และนาผลมาจัดระบบ หลักการ แนวคดิ และทฤษฎี ดงั น้นั การสอนวิทยาศาสตร์ทดี่ ี จะตอ้ งปลกู ฝงั ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ใหผ้ ู้เรียนมี ความรูค้ วามสามารถในทักษะทางด้านวทิ ยาศาสตรว์ ิธีสอนวิทยาศาสตร์ท่สี ามารถสง่ เสรมิ ความรู้ ความสามารถและทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ให้แกผ่ ู้เรยี นให้ผูเ้ รียนไดเ้ ปน็ ผ้เู รียนรู้และ ค้นพบดว้ ยตนเองมากที่สุด นั่นคือให้ไดท้ ั้งกระบวนการและองค์ความรู้ ฉะนนั้ ครูจะต้องมี ความสามารถในการนาความรู้ไปใช้ในการจดั การเรียนการสอนทเ่ี หมาะสมกับสถานการณ์ทเี่ ป็นอยู่ใน ชนั้ เรยี น กระบวนการจัดการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการท่ีนามาใช้ในการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ให้มีประสิทธภิ าพ น้ันมีหลายกระบวนการ ซ่ึงในเอกสารฉบับนี้จะนาเสนอตัวอยา่ งการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนที่ สามารถนามาใช้จัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ดังนี้ 1. กระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบวงจรการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบวงจรการเรียนรู้ (The Learning Cycle Approach) เปน็ โมเดลการสอน ซง่ึ แบ่งกิจกรรมการสอนออกเป็นระยะ ช่วงแรกเร่ิม วงจรการ เรยี นรู้มี 3 ระยะคือ การสารวจ การประดิษฐ์ และการค้นพบภายหลงั มผี ้นู าได้พัฒนารปู แบบการ สอนตามแนวการสรา้ งความรู้และได้ขยายวัฎจกั รการเรียนรเู้ ป็น 5 ขัน้ คือ การสร้างการมีสว่ นร่วม การสารวจ การอภิปราย การขยายและการสร้างความกระจา่ งและการประเมิน ซง่ึ เรยี กชือ่ ใหม่เปน็ วัฎจกั รการเรยี น 5E และมีการพฒั นาวธิ กี ารและข้ันตอนในการเรียนการสอนเพ่ิมขึ้นเปน็ เป็น วัฎจกั รการเรยี น 7E ในที่นจ้ี ะขอกล่าวถึงขัน้ ตอนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรเู้ ปน็ วัฎจักรการเรียน 5E และ 7E และการสอนวฎั จักรการเรยี นรู้ 5E มขี ัน้ ตอน 5 ขัน้ ดงั น้ี (Trowbridge & Bybee, 1996) 2.2.1 ขน้ั การมสี ว่ นร่วม ระยะนี้เปน็ การกระตุ้นให้นักเรียนมสี ่วนร่วมในการเรียนรู้ด้วย การเสนอ ปญั หา สถานการณ์ หรือเหตกุ ารณ์ทีเ่ ชื่อมโยงระหวา่ งกิจกรรมในอดีตและกจิ กรรมทจี่ ะทา ต่อไปการมอบหมายภาระเพ่ือเรียนรมู้ โนทัศน์ กระบวนการปฏิบตั ิงาน เป็นการเสนอความขดั แยง้ ที่ เกดิ ขนึ้ ในเหตุการณ์ การนาเสนอสิ่งท่นี ่าสนใจและมีความหมายต่อนักเรยี น เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทท่ี 8 การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ 235 2.2.2 ขนั้ การสารวจ นกั เรียนสารวจแนวคิดและประสบการณ์ทเี่ ปน็ รปู ธรรม เพ่ือสร้าง สะพานการมีสว่ นรม่ (Hands-On) เปา้ หมาย คือการแนะนามโนทศั น์ กระบวนการ หรือทักษะ นกั เรยี นจะมเี วลาในการสารวจวตั ถุ เหตุการณ์หรือสถานการณ์ ซ่งึ นกั เรยี นจะนาไปสร้างความสัมพันธ์ รปู แบบการสงั เกต การจาแนกตวั แปร และคาตอบ บทบาทของครูผู้สอนคือการเป็นผอู้ านวยความ สะดวก ผู้แนะนา และให้เวลานักเรียนในการสารวจ 2.2.3 ขัน้ การอธบิ าย หมายถึง การกระทา หรือกระบวนการท่ีนาเสนอประสบการณ์ รปู ธรรม เพ่ือการส่ือสารด้วยภาษาทแ่ี สดงเหตผุ ล มีหลกั ฐาน และงา่ ยต่อความเข้าใจและชัดเจน รูปแบบทางการส่อื สารอาจจะเปน็ คาพูด การเขยี น การสรา้ งโมเดล เปน็ ตน้ 2.2.4 ข้นั การสรา้ งความกระจ่าง เม่อื นักเรียนอธิบายการเรียนร้ขู องตนเอง นกั เรยี น อาจจะมีมโนทัศน์ท่ผี ดิ หรอื เข้าใจมโนทศั นเ์ ฉพาะในกระเดน็ การสารวจเทา่ นัน้ การสรา้ งความกระจา่ ง คอื การมีสว่ นร่วมหรอื ในการอภปิ ราย 2.2.5 ขนั้ การประเมนิ ผล นกั เรียนจะได้รับการสะท้อนกลับ ในเรอื่ งราวสารวจของ ตนเอง การประเมนิ อย่างไมเ่ ป็นทางการเกิดข้นึ ได้ในทุกข้ันตอนของการสอน ส่วนการประเมินแบบ ทางการทาได้ในระยะการสรา้ งความกระจา่ ง ต่อมาในปี ค.ศ. 2003 Eisenkraft ไดเ้ สนอรปู แบบวัฏจักรการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรจ์ าก 5 ขัน้ ตอน เปน็ 7 ขน้ั ตอน โดยมีเปา้ หมายเพือ่ กระต้นุ ใหเ้ ด็กได้มีความสนใจและสนุกกับการเรียน และยังสามารถปรบั ประยุกต์สงิ่ ท่ไี ดเ้ รยี นรไู้ ปสกู่ ารสร้างประสบการณ์ของตนเอง การสอนตามแบบ วฏั จกั รการเรียนรู้ 7 ขนั้ เป็นการสอนทีเ่ นน้ การถ่ายโอนการเรยี นรู้ และความสาคญั เกี่ยวกบั การ ตรวจสอบความรู้เดิมของเด็ก ซง่ึ เปน็ สง่ิ ทคี่ รูละเลยไม่ได้ และการตรวจสอบความรู้พน้ื ฐานเดมิ ของเดก็ จะทาให้ครคู น้ พบวา่ นกั เรยี นตอ้ งเรยี นรอู้ ะไรก่อน ก่อนทจี่ ะเรยี นรใู้ นเนอ้ื หาบทเรียนนนั้ ๆ ซง่ึ จะช่วยให้ เดก็ เกิดการเรียนรูอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ ขั้นของการเรียนรตู้ ามแนวคดิ Eisenkraft มเี นือ้ หาสาระ ดังน้ี 1. ข้ันตรวจสอบความรู้เดิม (Elicitation Phase) ครูจะต้องทาหน้าทก่ี ารตัง้ คาถาม เพ่ือกระตุน้ ให้เดก็ ไดแ้ สดงความร้เู ดมิ คาถามอาจจะเป็นประเดน็ ปญั หาที่เกดิ ขน้ึ ตามสภาพสงั คม ท้องถน่ิ หรือประเด็นข้อค้นพบทางวิทยาศาสตร์ การนาวทิ ยาศาสตร์มาใช้ในชีวิตประจาวนั และเด็ก สามารถเชือ่ มโยงการเรียนรูไ้ ปยงั ประสบการณ์ทีต่ นมี ทาให้ครูไดท้ ราบวา่ เด็กแต่ละคนมีความรู้ พื้นฐานเป็นอย่างไร ครูควรเติมเต็มสว่ นใดใหน้ ักเรียน และครูยงั สามารถวางแผน การจดั การเรยี นรไู้ ด้ อยา่ งเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของนักเรยี น 2. ข้นั เรา้ ความสนใจ (Engagement Phase) ขน้ั น้เี ป็นการนาเข้าสูเ่ น้ือหาในบทเรยี น หรือเร่ืองทีน่ า่ สนใจ ซ่ึงอาจเกิดความสนใจของนกั เรยี น หรือเกดิ จากการอภปิ รายภายในกลุ่ม เรือ่ งที่ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

236 บทท่ี 8 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กาลังเกิดข้ึนในชว่ งเวลานนั้ หรอื เปน็ เรื่องทีเ่ ช่ือมโยงกบั ความรูเ้ ดมิ ท่ี เดก็ เพิ่งเรียนรู้มาแล้ว ครทู าหน้าท่กี ระตนุ้ ใหน้ ักเรียนสร้างคาถาม ย่ัวยใุ ห้นกั เรียนเกิดความอยากรู้ อยากเห็น และกาหนดประเด็นทจี่ ะศึกษาแกน่ ักเรียน ในกรณีท่ียังไมม่ ปี ระเด็นทีน่ ่าสนใจ ครูอาจให้ ศกึ ษาจากสอ่ื ต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ วารสาร อินเตอร์เนต็ เป็นตน้ ซึง่ ทาให้นักเรียนเกดิ ความคิด ขดั แย้งจากสงิ่ ทน่ี กั เรยี นเคยรู้มาก่อน ครูเป็นผู้ทที่ าหน้าที่กระตุ้นให้นกั เรียนคิด โดยเสนอประเด็นที่ สาคญั ข้ึนมากอ่ น แต่ไมค่ วรบังคับให้นักเรยี นยอมรับประเด็นหรอื คาถาม่ีครูกาลงั สนใจ เปน็ เรื่องทใี่ ห้ นกั เรียนศึกษา เพอ่ื นาไปสูก่ ารสารวจตรวจสอบในขั้นตอนตอ่ ไป 3. ขั้นสารวจค้นหา (Exploration Phase) เมอื่ นกั เรียนทาความเข้าใจประเดน็ หรือ คาถามทีส่ นใจจะศกึ ษาอยา่ งถ่องแท้แล้ว ก็มกี ารวางแผน กาหนดแนวทางการสารวจตรวจสอบ ตงั้ สมมติฐาน กาหนดทางเลอื กทเ่ี ป็นไปได้ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ เพื่อเกบ็ รวบรวมข้อมลู ข้อสนเทศหรือ ปรากฏการณต์ ่างๆ วธิ ีการตรวจสอบ อาจทาได้หลายวธิ ี เชน่ สืบค้นข้อมูล สารวจ ทดลอง กจิ กรรม ภาคสนาม เป็นตน้ เพ่ือให้ได้ข้อมูลอย่างพอเพยี ง ครทู าหน้าทก่ี ระตุ้นใหน้ ักเรียนตรวจสอบปัญหาและ ดาเนนิ การสารวจตรวจสอบและรวบรวมข้อมลู ด้วยตนเอง 4. ข้นั อธบิ าย (Explanation Phase) เมอื่ นักเรียนได้ข้อมลู มาแลว้ นักเรยี นจะนาข้อมลู เหล่าน้นั มาทาการวิเคราะห์ แปลผล สรุปผล และนาเสนอผลทีไ่ ด้ในรปู แบบต่างๆ เชน่ บรรยายสรปุ สร้างแบบจาลอง รูปวาด ตาราง กราฟ ฯลฯ ซงึ่ จะชว่ ยให้นกั เรยี นเห็นแนวโนม้ หรอื ความสมั พันธ์ของ ขอ้ มลู สรุปและอภิปรายผลการทดลอง โดยอ้างอิงประจกั ษพ์ ยานอย่างชดั เจนเพอ่ื นาเสนอแนวคดิ ตอ่ ไป ขัน้ นีจ้ ะทาใหน้ ักเรียนได้สรา้ งองค์ความรใู้ หม่ การคน้ พบในขั้นน้ีอาจเป็นไปไดห้ ลายทาง เชน่ สนับสนุน สมมติฐาน แต่ผลท่ไี ดจ้ ะอย่ใู นรปู แบบใดกส็ ามารถสร้างความรู้ และชว่ ยนักเรยี นไดเกดิ การ เรยี นรู้ 5. ข้ันขยายความรู้ (Elaboration Phase) ชว่ งน้เี ป็นการนาความรูท้ สี่ รา้ งขนึ้ ไป เชอื่ มโยงกับความรู้เดิมหรือแนวคิดเดมิ ที่ค้นคว้าเพ่ิมเตมิ หรอื แบบจาลองหรือข้อสรุปท่ีได้ไปใชอ้ ธิบาย สถานการณห์ รือเหตกุ ารณ์อ่ืนๆ ถ้าใช้อธิบายเร่ืองราวตา่ งๆ ได้มากกแ็ สดงวา่ มีข้อจากดั น้อย ซ่งึ กจ็ ะ ช่วยใหเ้ ชื่อมโยงเก่ยี วกับเรือ่ งราวต่างๆ และทาใหเ้ กดิ ความรกู้ ว้างขวางขน้ึ ครคู วรจัดกจิ กรรมหรือ สถานการณ์ใหน้ กั เรียนมีความรู้มากข้นึ และขยายแนวกรอบความคิดของตนเองและต่อเตมิ ให้ สอดคลอ้ งกบั ประสบการณเ์ ดิม ครคู วรส่งเสรมิ ใหน้ กั เรยี นตั้งประเด็นเพื่ออภปิ รายและแสดงความ คดิ เห็นเพิ่มเตมิ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึน้ 6. ขั้นประเมนิ ผล (Evaluation Phase) ข้ันน้ีเปน็ การประเมินการเรยี นร้ดู ว้ ย กระบวนการต่างๆ วา่ นกั เรยี นรอู้ ะไรบ้าง อยา่ งไร และมากน้อยเพียงใด ขน้ั น้ีจะชว่ ยให้นกั เรยี น เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาติวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ 237 สามารถนาความรู้ทไ่ี ด้มาประมวลและปรบั ประยุกต์ใชใ้ นเรื่องอนื่ ๆ ได้ ครูควรส่งเสรมิ ให้นกั เรียนนา ความรใู้ หมท่ ่ีได้ไปเชื่อมโยงกบั ความรเู้ ดมิ และสร้างเปน็ องค์ความรู้ใหม่ นอกจากน้ีครูควรเปดิ โอกาสให้ นกั เรียนไดต้ รวจสอบซึ่งกันและกนั 7. ขั้นนาความรู้ไปใช้ (Extention Phase) ครูจะต้องมีการจัดเตรยี มโอกาสให้นักเรยี น นาความร้ทู ีไ่ ด้ไปปรับประยกุ ตใ์ ช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์ตอ่ ชวี ติ ประจาวนั ครเู ปน็ ผู้ทาหนา้ ท่ี กระตุน้ ให้นักเรียนสามารถนาความรู้ไปสรา้ งความรใู้ หม่ ซงึ่ จะชว่ ยให้นักเรยี นสามารถถ่ายโอนการ เรยี นรู้ได้ รูปแบบการจัดการสอนตามแนวคิดของ Eisenkraft เป็นรูปแบบท่คี รสู ามารถนาไปปรับ ประยุกตใ์ ห้เหมาะสมตามธรรมชาตวิ ชิ า โดยเฉพาะอย่างย่งิ กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ซึง่ เนน้ กระบวนการสืบเสาะหาความรอู้ นั ทจ่ี ะทาให้นักเรยี นเขา้ ถงึ ความรู้ความจรงิ ได้ด้วยตัวเอง และนักเรยี น ได้รับการกระตนุ้ ใหเ้ กิดการเรียนรู้อยา่ งมีความสขุ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท้ัง 7 ขน้ั ควรระลกึ อยู่ เสมอว่าครูเปน็ เพียงผู้ทาหน้าที่คอยชว่ ยเหลือ เอือ้ เฟ้อื และแบ่งปันประสบการณ์ จัดสถานการณ์เรา้ ให้ นักเรียนได้คิดตงั้ คาถามละลงมือตรวจสอบ นอกจากนี้ครูควรจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ใหเ้ หมาะสมกบั ความรู้ ความสามารถบนพน้ื ฐานของความสนใจ ความถนดั และความแตกต่างระหวา่ งบุคคล อนั ท่จี ะ ทาใหก้ ารจดั การเรยี นรบู้ รรลุสจู่ ดุ มงุ่ หมายของการเรียนการสอนทเี่ นน้ ผูเ้ รยี นเป็นสาคญั 2. กระบวนการจัดการเรยี นการสอนแบบร่วมมือ กระบวนการจัดการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื มีรปู แบบในการจัดการเรยี นการสอนหลาย รปู แบบ จดุ มงุ่ หมายโดยทั่วไปของการเรยี นแบบร่วมมือคือท่จี ะชว่ ยพฒั นาผเู้ รียนทัง้ ในด้านสังคมและ สติปญั ญา (Joyce and Wiel, 1986) มหี ลกั ท่ีผู้สอนคานงึ อยู่ 3 ประการ คือ รางวัลหรอื เป้าหมายของกลุ่ม ความสามารถของสมาชิกภายในกลุม่ และโอกาสในการชว่ ยให้กลมุ่ ประสบ ผลสาเร็จเท่าเทยี มกนั ซึ่งทา้ ยที่สุดกล่มุ จะได้รบั รางวัลหรือไดร้ ับการยกย่องเม่ือกล่มุ แสดง ความสามารถสงู กวา่ มาตรฐานทว่ี างไว้ รปู แบบการเรยี นแบบรว่ มมือทีเ่ ป็นทีน่ ิยมแพร่หลายและจะ นาเสนอในเอกสารฉบับนี้มีดังนี้ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาติวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

238 บทท่ี 8 การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ 2.1 กระบวนการเรียนการสอนแบบรว่ มมือแบบ STAD กระบวนการเรียนการสอนแบบรว่ มมอื แบบ STAD (Student Team- Achievement Division) เป็นรูปแบบการจัดการเรียนรูท้ ่ีสามารถดัดแปลงใช้ไดเ้ กอื บทกุ วชิ าและทกุ ระดับชันเพื่อเปน็ การพฒั นาสัมฤทธผิ ลของการเรียนและทักษะทางสงั คมเปน็ สาคัญ เปน็ การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ซ่ึงกาหนดให้นักเรียนที่มคี วามสามารถแตกต่างกัน ทางาน รว่ มกนั เป็นกลุ่มๆ ละ 4-5 คน ซ่งึ ประกอบด้วย นักเรยี นที่เรียนเก่ง 1 คน นกั เรยี นท่เี รียนปานกลาง 2-3 คน และนักเรียนทเี่ รียนอ่อน 1 คน ซ่งึ มีขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ขั้นนาเสนอเนื้อหา โดยการทบทวนพนื้ ฐานความรเู้ ดมิ จากนั้นครูสอนเนื้อหาใหม่ กบั นกั เรียนกลุ่มใหญท่ ั้งชั้น 2. ขัน้ ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลมุ่ โดยนกั เรียนในกลุ่ม 4-5 คน ร่วมกนั ศึกษากล่มุ ยอ่ ย นักเรียนเก่งจะอธิบายให้นกั เรียนออ่ นฟังและชว่ ยเหลอื ซ่ึงกันและกันในการทากิจกรรม 3. ขั้นทดสอบย่อย นกั เรียนแต่ละคนจะทาแบบทดสอบดว้ ยตนเอง ไม่มีการ ช่วยเหลือกัน 4. คิดคะแนนความก้าวหนา้ แต่ละคน และของกลุม่ ย่อย ครูตรวจผลการสอบของ นักเรยี น โดยคะแนนท่นี กั เรียนทาได้ในการทดสอบจะถอื เป็นคะแนนรายบุคคล แล้วนาคะแนน รายบคุ คลไปแปลงเป็นคะแนนกลุ่ม 5. ชมเชย ยกย่อง บคุ คลหรอื กลมุ่ ท่ีมีคะแนนยอดเย่ียม นกั เรียนคนใดทาคะแนนได้ ดกี วา่ ครั้งก่อน จะไดร้ บั คาชมเชยเปน็ รายบคุ คล และกลุม่ ใดทาคะแนนได้ดกี วา่ ครงั้ ก่อนจะได้รบั คา ชมเชยทง้ั กล่มุ 2.2 กระบวนการเรียนการสอนแบบรว่ มมือแบบ TGT กระบวนการเรยี นการสอนแบบร่วมมอื แบบ TGT (Team-Games-Tournament) เปน็ รูปแบบการจดั การเรียนรู้ท่ีคล้ายกับSTAD แตเ่ ป็นการจงู ใจในการเรยี นเพ่มิ ขึ้น โดยการใชก้ าร แข่งขนั เกมแทนการทดสอบย่อยแตกตา่ งกนั ที่ TGT ไมม่ ีการทดสอบแต่จะใชว้ ธิ ีการเล่นเกมการ แข่งขนั ตอบปญั หาแทนซ่ึงการจัดการเรียนรแู้ บบTGT ประกอบดว้ ย ขั้นตอนดังน้ี 1. การนาเสนอบทเรยี นต่อทั้งชัน้ (Class Presentation) โดยครูจะทาการสอน เนือ้ หาของบทเรียนแกน่ ักเรียนพรอ้ มกันท้งั ชน้ั ซึ่งครอู าจจะใช้เทคนิควิธกี ารสอนรูปแบบใดนน้ั ขน้ึ อยู่ กบั ลักษณะของเน้ือหาของบทเรียน และการตัดสินใจของครูเป็นสาคัญทจี่ ะเลอื กวธิ ีการสอนท่ี เหมาะสม การนาเสนอบทเรยี นครูตอ้ งใช้สอ่ื ประกอบอยา่ งเพียงพอดว้ ย ในชัน้ น้คี รูควรกระต้นุ หรอื ช้ี ให้นักเรยี นเห็นความสาคญั โดยการแจง้ จดุ ประสงค์และประโยชนข์ องบทเรยี นขนั้ นาเสนอบทเรียน เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทท่ี 8 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ 239 หรือข้ันเสนอเน้ือหาเพือ่ พัฒนาความคิด และ หลักการน้ีครูจะต้องใหต้ วั อย่างที่นา่ สนใจ ชดั เจนและ สมั พนั ธก์ ับชีวติ ประจาวันของนกั เรียน 2. การเรยี นกลมุ่ ยอ่ ย (Team Study) กลุม่ จะประกอบดว้ ยสมาชกิ ประมาณ 4-6 คน ซึ่งมีความสามารถแตกต่างกนั ทางการเรียน เพศ หนา้ ท่ที ่ีสาคัญของกล่มุ คือ การเตรียมสมาชิก ของกลุ่มใหม้ ีความรู้ความเข้าใจเนอ้ื หาท่เี รียน หลังจากท่ีครูนาเสนอเน้อื หาตอ่ นักเรยี นท้ังชนั้ การเรียน กล่มุ ยอ่ ยคือสมาชิกในกลุ่มส่งเสริมและสนับสนุนซ่งึ กันและกัน 3. การเลน่ เกมแข่งขนั ทางวชิ าการ (Game Tournament) เปน็ การแข่งขันตอบ คาถามเกีย่ วกบั เน้ือหาของบทเรยี น โดยมจี ุดมงุ่ หมายเพอ่ื ทดสอบ ความรคู้ วามเข้าใจบทเรียน เกม ประกอบดว้ ยผ้เู ล่น 3-5 คน ซึ่งแต่ละคนจะเปน็ ตวั แทนของกลุ่มย่อยแตล่ ะกลุ่ม การกาหนดนักเรยี น เขา้ กลุ่มเลน่ เกมจุดยึดหลักนักเรยี นทมี่ คี วามสามารถเท่าเทยี มกันแข่งขันกัน โดยนักเรียนทุกคนเข้า โตะ๊ เกมซึ่งนักเรยี นเกง่ ของแต่ละกลุ่มแขง่ ขัน นักเรียนปานกลางแขง่ ขนั กัน และนักเรยี นอ่อนแข่งขนั กนั ในโต๊ะเกมที่จดั ไว้เพ่ือให้ผู้ที่มคี วามสามารถใกล้เคยี งกันแข่งขนั กนั 4. การยกยอ่ งทีมท่ปี ระสบผลสาเร็จ (Team Recognition) โดยสมาชกิ ทุกคนนา บตั รสะสมจากการแข่งขนั มาแปลงเปน็ คะแนน และคิดคะแนนเฉล่ียของทีม ถา้ คะแนนเฉลย่ี ถึงเกณฑ์ ทก่ี าหนด จะได้รับรางวัล หรือไดร้ ับการยกย่องวา่ เปน็ ทีมท่ีประสบผลสาเรจ็ 2.3 กระบวนการเรียนการสอนแบบร่วมมือแบบ JIGSAW จ๊ิกซอว์ (Jigsaw) เป็นกลยุทธ์ในการเรียนรแู้ บบมสี ว่ นรว่ มทีจ่ ัดใหน้ กั เรยี นแตล่ ะคน เป็นผูเ้ ช่ยี วชาญเฉพาะเร่ืองทีแ่ ตกตา่ งกัน และให้แต่ละคนไปศกึ ษาค้นควา้ เร่ืองน้นั จนเข้าใจดีแลว้ มา สอนหรือถ่ายทอดใหส้ มาชกิ ในกลุ่ม (ซงึ่ จะเรียกว่ากลุ่มบ้าน) ทไี่ ม่ได้เช่ียวชาญในเร่อื งนนั้ เป็นการ แลกเปล่ียนกนั กลยุทธ์น้นี ักเรียนจะเรยี นรกู้ ารทางานและแกป้ ญั หารว่ มกนั มีความรบั ผิดชอบในการ เรยี นรู้ของตวั เอง ข้อดคี ือสง่ เสรมิ ใหน้ ักเรยี นยกระดบั ความสามารถ มีสว่ นร่วมรบั ผิดชอบในเนอ้ื หาที่ จะตอ้ งเรียนรู้ (จรยิ า สุจารกี ุล, 2550: 51-52) ซ่ึงมขี น้ั ตอนดังนี้ 2.3.1 นาเนือ้ หาที่จะเรยี นรมู้ าแบง่ เป็นสว่ นๆ ตามจานวนนักเรยี นแต่ละกลมุ่ เชน่ ถ้า มีสมาชิกจานวน 3 คนจะต้องแบง่ เน้อื หาออกเป็น 3 ส่วน แบง่ ใหแ้ ต่ละคนรับผดิ ชอบ 1 ส่วน โดย จะต้องไปศึกษาหาความรู้ใหเ้ ป็นผเู้ ชี่ยวชาญในสว่ นนั้น และทกุ กล่มุ จะทาแบบเดยี วกัน 2.3.2 เมอ่ื สมาชกิ แต่ละคนในแต่ละกลมุ่ ไดห้ วั ข้อศึกษาเฉพาะแล้ว ให้ทุกกล่มุ ที่ เช่ียวชาญในหวั ข้อเดยี วกันมาจบั คู่หรอื จับกล่มุ กัน (กลมุ่ ผูเ้ ช่ยี วชาญ) เพอื่ รว่ มกนั ศกึ ษาและเรยี นรู้ เก่ียวกบั เร่ืองทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย โดยผู้เชีย่ วชาญแตล่ ะคนจะไดร้ บั ใบปฏิบัติการและเอกสารเพิ่มเติม นอกจากน้ียังสามารถศกึ ษาเพิ่มเตมิ จากแหลง่ อนื่ ๆ ได้ดว้ ย นักเรียนต้องกรอกข้อมูลที่ไดจ้ าก เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

240 บทท่ี 8 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ การศกึ ษาคน้ ควา้ ลงในใบงานผเู้ ชี่ยวชาญพร้อมสรุป และเตรยี มกลบั เข้าส่กู ลุ่มเรียนรเู้ ดมิ ของตัวเอง โดยปฏบิ ตั ิตามขัน้ ตอนที่ 3 2.3.3 ผูเ้ ช่ยี วชาญแยกย้ายกลบั เขา้ สกู่ ลมุ่ ของตัวเอง และรายงานในหวั ข้อทแี่ ต่ละคน ไดศ้ ึกษา โดยอาจรายงานแบบไม่เปน็ ทางการหรือสอนเกย่ี วกบั เน้อื หาสาระความรทู้ ี่ค้นควา้ มาทั้งหมด (ถอื ว่าเปน็ การสอนโดยตรง) หรอื อาจให้ปัญหาแก่เพื่อน กลุ่มจะต้องรว่ มกนั แกป้ ัญหา (กรณีน้ี ผ้เู ชยี่ วชาญแตล่ ะกลมุ่ จะถูกเรียกใหม้ าชว่ ยแก้ปัญหา) 2.3.4 นักเรยี นทุกคนทาข้อสอบเพอื่ ทดสอบสิง่ ท่เี รียนรู้ โดยอาจเป็นแบบขอ้ เขยี น หรือข้อสอบวดั พฤตกิ รรมการนาความรู้ท่ไี ดไ้ ปใช้ 2.3.5 เปน็ การประกาศเกยี รติคุณและให้รางวลั ด้วยการมอบประกาศนียบตั รแก่ กลมุ่ ท่มี ีผลงานดี ตัวอย่าง แนวทางการจดั การเรียนการสอนตามกลยุทธ์จ๊กิ ซอว์ โดยรอเบิรต์ สตเี ฟน 1. กลุม่ 1.1 กลุ่มผู้เชีย่ วชาญเปน็ กลมุ่ ที่มพี ืน้ ฐานและความสามารถคละกัน และมี สมาชกิ 4-5 คน เปน็ ตวั แทนทมี่ คี วามสามารถเชงิ วิชาการ เพศ ใหส้ มดลุ กัน 1.2 กลุม่ ผเู้ รียนรอู้ าจเปน็ กล่มุ ที่มีพื้นฐานและความสามารถคละกนั หรือ คล้ายคลึงกันก็ได้ 1.2.1 นกั เรียนแตล่ ะคนจะมีงานทจ่ี ะทาตามจดุ หมายของกลุ่ม 1.2.2 นักเรยี นเป็นสมาชกิ ของกลุม่ ผู้เช่ียวชาญและกลมุ่ ผู้เรียนรู้ 2. ภาษาและชดุ การเรียนรู้ 2.1 ครูสร้างใบงานสาหรบั ผ้เู ชี่ยวชาญและข้อสอบย่อยสาหรับแตล่ ะหนว่ ย 2.2 ครแู บง่ เนอื้ หาออกเป็นหวั ข้อ 2.3 ชดุ การเรียนรู้อาจประกอบดว้ ย 2.4 ใบงานวิธกี ารเรยี น 2.5 ควรประกอบดว้ ยขอบเขตหัวข้อในลักษณะคาถาม 2.6 การทดลอง 2.7 การจัดการ 2.8 ผลงาน 2.9 ซอฟต์แวร์คอมพวิ เตอร์ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 241 3. กลุ่มผู้เชีย่ วชาญพดู 3.1 ใหเ้ วลานกั เรยี นศึกษาและทางานในหัวขอ้ ของตนก่อนทผ่ี ู้เช่ยี วชาญจะ ประชุมรว่ มกนั 3.2 นกั เรียนแต่ละคนทางานอิสระในการเรียนรูส้ ว่ นของบทเรียน 3.3 ผเู้ ชย่ี วชาญอธิบายข้อมูลของตนแกส่ มาชิกในกลุ่ม 3.4 ผ้เู ชี่ยวชาญรับผดิ ชอบในการเรียนร้ทู ่กี ลุ่มอื่นแลกเปล่ยี นมา 4. กลมุ่ รายงาน 4.1 หลังจากทผี่ ูเ้ ชย่ี วชาญทางานของตนแล้ว ก็จะเข้าไปในกลุ่มการเรยี นรู้ ของตน 4.2 เมื่อเข้ากลุม่ แลว้ นักเรียนแต่ละคนแลกเปลีย่ นสิ่งท่ีได้เรียนรูม้ า 4.3 สนบั สนุนใหม้ ีการใช้รูปแบบการสอนและนาเสนอทีห่ ลากหลา 5. สอบ 5.1 หลังจากที่กลมุ่ ทางานเสร็จก็จัดการสมั มนาย่อยๆ กับนักเรยี นในชนั้ โดย ใชก้ ารตัง้ คาถามที่มคี าตอบเดียวและคาถามท่ีมีหลายคาตอบ ส่งเสริมให้ผู้เช่ยี วชาญตอบคาถาม ให้ โอกาสนักเรียนในการต้ังคาถามเพ่ือคน้ หาความกระจ่างของสิง่ ทส่ี งสัย 5.2 จัดสอบย่อย 6. การประกาศเกยี รติคุณ 6.1 ตงั้ คะแนนท่เี ป็นเกณฑ์ตดั สินผลการเรยี นรู้สาหรบั นกั เรยี นแตล่ ะคน ตัดสนิ ใจว่าจะใช้คะแนนตา่ สดุ ทน่ี ักเรียนจะต้องได้ จงึ จะผ่านเกณฑ์ 6.2 ส่งเสริมผลการเรียนรู้ทางวิชาการ ระบุนักเรียนท่ีมพี ฒั นาการในการ เรียนร้ทู ่ดี ใี นแตล่ ะสปั ดาห์ การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนแบบ JIGSAW ตามแนวคิดของรอเบริ ์ต สตีเฟน สรปุ ได้ดงั ภาพประกอบท่ี 8.1 เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

242 บทท่ี 8 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ภาพประกอบท่ี 8.1 สรปุ กระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ JIGAWตามแนวคิดของรอเบิร์ต สตเี ฟน เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชา ธรรมชาตวิ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 243 วิธกี ารสอนวทิ ยาศาสตร์ 1. ความหมายวิธีสอน สวุ ัฒน์ นยิ มค้า (2531: 271) กลา่ วว่า วิธีสอน หมายถงึ วธิ ดี าเนนิ การในการสอนในชน้ั เรยี นอย่างมรี ะเบียบแบบแผนเพ่อื ทาใหน้ ักเรียนเกดิ การเรียนรตู้ ามจดุ ประสงค์ เปน็ กจิ กรรมท่ีครแู ละ นักเรียนตอ้ งทาในชนั้ เรยี น เพ่ือให้บรรลุจดุ ประสงค์ท่วี างไว้ ตวั อย่างวธิ ีการสอนเช่น วิธีการสอนแบบ สบื เสาะหาความรู้ วิธีสอนแบบสาธิต เป็นตน้ วธิ ีสอน หมายถงึ กระบวนการท่ที าใหว้ ตั ถปุ ระสงคห์ รือความมงุ่ หมายของการศึกษา ปรากฏผลข้นึ ได้ ฉะนั้นวธิ ีการสอนจงึ เปรียบเสมือนสะพานทเี่ ชือ่ มโยงวัตถุประสงค์กับผลให้ ตอ่ เนอ่ื งกนั (สุโขทัยธรรมาธิราช, 2527: 187) วธิ ีสอน คอื ขั้นตอนท่ผี สู้ อนดาเนินการให้ผ้เู รยี นเกิดการเรียนรูต้ ามวัตถปุ ระสงคด์ ว้ ย วิธกี ารตา่ งๆ ทีแ่ ตกตา่ งกนั ไปตามองคป์ ระกอบและขั้นตอนสาคัญอนั เปน็ ลักษณะเดน่ หรือลักษณะ เฉพาะทข่ี าดไม่ได้ของวธิ ีน้นั ๆ (ทิศนา แขมมณี, 2550: 321) สรปุ วธิ กี ารสอน หมายถึง วธิ ีดาเนินการสอนท่ีมขี ัน้ ตอนที่ผู้สอนดาเนินการใหผ้ เู้ รยี น เกิดการเรียนร้ตู ามวตั ถุประสงค์ 2. วิธีการสอนวิทยาศาสตร์ การสอนเปน็ กิจกรรมท่ีมีความซับซ้อน ไม่มรี ปู แบบของการนาเสนอใดท่ีทรงพลงั ท่ีสดุ เพยี งรปู แบบเดียวแลว้ ทาให้นกั เรียนเกิดความเขา้ ใจ ไม่อาจจะกาหนดจานวนวธิ กี ารสอนหรือ ขนั้ ตอนการสอนที่เป็นมาตรฐานแนน่ อนท่ผี ้สู อนทกุ คนจะตอ้ งทาตาม (Loughran, Berry & Mulhall, 2006) ในเอกสารประกอบการเรียนการสอนฉบบั น้ี ขอยกตัวอย่างวธิ กี ารสอนทีส่ ่งเสรมิ การ เรียนรูว้ ิทยาศาสตร์ 4 วิธดี ังนี้ 2.1วธิ ีสอนแบบปฏิบตั ิการทดลอง เปน็ วธิ สี อนที่ทาให้ผเู้ รียนได้มีประสบการณโ์ ดยตรง โดยใช้เครอ่ื งมือการทดลอง ซง่ึ อาจจะปฏิบัติในห้องหรือนอกหอ้ งปฏบิ ัตกิ ารทางวิทยาศาสตร์ขนั้ ตอนการสอนแบบปฏิบตั ิการทดลอง 2.1.1 ขัน้ เตรียมกจิ กรรม แบ่งกลมุ่ ผู้เรยี น วางแผนร่วมกนั ในกฎ กตกิ า ของการ ทางานกลุ่ม ขั้นตอนการทางาน รวมท้งั อธบิ ายใหผ้ เู้ รียนรู้จักอุปกรณ์ตา่ งๆในการทดลอง เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

244 บทที่ 8 การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 2.1.2 ขั้นปฏิบตั ิการ ผูเ้ รียนจะปฏบิ ัติงานตามขน้ั ตอนท่กี าหนดไว้ตามใบงาน มี สงั เกต บันทึกผลอยา่ งเป็นระบบ โดยครดู ูแลใหค้ าแนะนา 2.1.3 ขน้ั สรปุ และประเมินผล ครซู กั ถามผู้เรยี นถึงผลท่ีได้จากการปฏบิ ตั ิการ ครู และผ้เู รยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็นถึงผลท่ีได้ โดยครพู ยายามสง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รียนเปรยี บเทียบผลทไ่ี ด้ ในกลุ่มของตนเองและกลมุ่ ของเพอ่ื นๆวา่ มีสาเหตุอะไรทที่ าใหแ้ ตกต่างกันออกไป จะเปน็ การส่งเสรมิ ความคดิ และสรา้ งเจตคติทางวิทยาศาสตรใ์ หน้ ักเรียนในการรู้จักหาเหตผุ ลของสิง่ ต่างๆครูตอ้ งสังเกต พฤติกรรมของผเู้ รียนขณะลงมือปฏบิ ตั งิ าน เช่น ความสนใจในการทางาน การทางานเป็นกลุม่ รวมทั้ง ครตู ้องตรวจและประเมินผลการปฎบิ ัตกิ ิจกรรมท่ผี ู้เรียนบนั ทึกหรือเขียนรายงานผลการทดลอง 2.2 วธิ ีสอนโดยโครงงาน การจัดทาโครงงานเป็นการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง เปิดโอกาสให้ผูเ้ รียนมี ความคดิ ริเร่ิมและดาเนินการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง โดยมคี รูเป็นผู้ช้ีแนะแนวทางในการให้ คาปรึกษา เน้นกระบวนการแสวงหาความรู้ หรือการปฏิบตั ิของผูเ้ รียนเป็นสาคญั ซึ่งอาจเปน็ การ ทดลองการสารวจรวบรวมขอ้ มลู การสร้างทฤษฎใี หมห่ รือคาอธิบาย การพฒั นาหรอื ประดิษฐ์ ข้ันตอน การทาโครงงานวิทยาศาสตร์ โดยมขี ัน้ ตอนดังน้ี 2.1 การกาหนดหวั ข้อเรอื่ งโครงงาน โดยกาหนดจากปัญหา หรอื ความอยากรู้อยาก เห็นของผู้เรยี นเอง หัวข้อเรื่องควรเฉพาะเจาะจงและชัดเจน ควรเป็นเร่ืองทแ่ี ปลกใหม่ทีแ่ สดงถึง ความคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์ และควรคานงึ ถงึ ประโยชนข์ องโครงงานทน่ี ามาดาเนินการด้วย 2.2 การศกึ ษาเอกสารทเ่ี กย่ี วข้อง ในขนั้ ตอนน้รี วมถึงการขอคาปรึกษาจากผู้มี ประสบการณ์ และการสารวจอ่นื ๆด้วย จะชว่ ยใหผ้ ้เู รียนได้แนวคดิ ในการกาหนดขอบข่ายของเรื่อง ตลอดจนสามารถออกแบบและวางแผนดาเนินงานโครงการไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2.3 การจดั ทาเค้าโครงของโครงงาน เพ่ือแสดงโครงสร้าง ขน้ั ตอน และกลยุทธใ์ น การทาโครงการ ซึ่งประกอบด้วย 2.3.1 ชอ่ื โครงงาน 2.3.2 ช่ือผู้ทาโครงงาน 2.3.3 ทปี่ รกึ ษาโครงงาน 2.3.4 ท่มี าและความสาคัญของโครงงาน 2.3.5 จุดมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า 2.3.6 สมมติฐานของการศึกษาคน้ คว้า (ถา้ มี) เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บทท่ี 8 การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 245 2.3.7 วิธีดาเนินงาน 2.3.8 ปฏิทนิ ปฏบิ ัติงาน 2.3.9 ผลทค่ี าดว่าจะไดร้ บั 2.3.10 เอกสารอ้างองิ 2.4 การลงมือทาโครงงาน เป็นการดาเนนิ โครงงานตามแผนงานทก่ี าหนดไว้ในข้อ 3 เริม่ ตง้ั แต่การเตรียมวสั ดอุ ปุ กรณ์ การทดลอง หรือการประดษิ ฐ์ หรือสืบคน้ ด้วยวิธีต่างๆ ทาการสังเกต และเกบ็ รวบรวมข้อมลู บนั ทึกขอ้ มูลไว้อย่างเป็นระบบเพื่อนามาสรปุ เปน็ องคค์ วามรู้ เพื่อตอบปัญหา หรือแสดงวิธีการแก้ปัญหาท่ีเป็นระบบสมเหตสุ มผล น่าเช่ือถือสาหรบั โครงงานทเี่ ปน็ ส่งิ ประดษิ ฐ์ ตอ้ ง มีการทดสอบเพื่อใหเ้ หน็ ประสิทธิภาพและคุณภาพของสิง่ ประดิษฐ์นนั้ ๆ ถา้ ยงั มีประสทิ ธภิ าพไมถ่ ึง เกณฑ์ทก่ี าหนดต้องทาการปรับปรงุ ตามข้อมูลท่บี ันทึกไว้ เพ่ือใหไ้ ดส้ ง่ิ ประดิษฐต์ ามท่ตี ้องการ 2.5 การเขียนรายงาน การเขียนรายงานการดาเนนิ งานตามโครงการเปน็ ข้ันตอนที่ สาคัญ ผู้ดาเนนิ โครงการจะใช้สอ่ื สารให้แก่ผทู้ ี่เกี่ยวข้องไดร้ ับความรู้ และเห็นความสามารถของ ผ้ดู าเนนิ การและจะเป็นประโยชนโ์ ดยตรงแก่ผนู้ าเอาผลการดาเนนิ งานไปใชใ้ นการจัดการเรยี นการ สอนและการใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั 2.3 วิธีการสอนแบบใชก้ ระบวนการแกป้ ญั หา วธิ สี อนแบบใชก้ ระบวนการแกป้ ัญหาทางวทิ ยาศาสตร์ เปน็ ความสามารถทาง สติปัญญาและความคิดทน่ี าเอาประสบการณ์เดมิ มาใชใ้ นการแก้ปญั หาทปี่ ระสบใหม่ โดยพจิ ารณาหา ความสมั พันธจ์ ากข้อมลู ต่างๆท่ีเกี่ยวกับปญั หามขี ั้นตอน ดงั นี้ 2.3.1 ข้ันเตรียมการ เป็นการต้งั ปญั หาหรือค้นหาวา่ ปัญหาทแ่ี ทจ้ รงิ ของเหตุการณ์ นั้นๆ คืออะไร 2.3.2 ขนั้ ในการวเิ คราะห์ปญั หา เป็นการพิจารณาดวู า่ ส่ิงใดบา้ งท่เี ป็นสาเหตุที่ สาคัญของปัญหาหรือสงิ่ ใดที่ไมใ่ ชส่ าเหตุทส่ี าคญั ของปญั หา 2.3.3 ข้ันในการเสนอแนวทางในการแกป้ ญั หา เป็นการหาวิธีการแก้ปญั หาให้ตรง สาเหตขุ องปัญหา แล้วออกมาในรปู ของวิธกี ารสดุ ท้ายจะได้ผลลพั ธ์ออกมา 2.3.4 ขนั้ ตรวจสอบ เป็นการเสนอเกณฑเ์ พอ่ื การตรวจสอบผลลัพธท์ ี่ไดจ้ ากการ เสนอแนวทางในการแก้ปญั หาถา้ พบว่าผลลพั ธน์ ้นั ยงั ไม่ได้ผลลพั ธ์ทถี่ ูกต้อง ก็ต้องมกี ารเสนอแนวทาง ในการแก้ปญั หานี้ใหม่ จนกว่าจะไดแ้ นวทางทดี่ ีทส่ี ดุ หรอื ถูกตอ้ งทีส่ ดุ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชา ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

246 บทที่ 8 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ 2.3.5 ข้ันในการนาไปประยุกต์ เปน็ การนาวิธกี ารแก้ปญั หาทถี่ กู ต้องไปใช้ในโอกาส ข้างหนา้ เม่อื พบกับเหตกุ ารณ์คล้ายคลึงกับปัญหาทเ่ี คยพบเห็นมาแลว้ 2.4 วธิ สี อนแบบใช้กระบวนการศึกษาค้นควา้ กระบวนการศึกษาค้นคว้า เป็นวิธกี ารเรียนรทู้ ผ่ี ู้เรียนศึกษาคน้ ควา้ จากเอกสาร ตารา ส่ิงพมิ พ์ สอื่ อิเล็กทรอนกิ ส์ เพื่อให้ทราบความรู้ ความจริง ข้อมูลทางวทิ ยาศาสตร์ ซ่งึ เปน็ เรอ่ื งจาเป็นที่ ต้องใช้ควบคู่กับวธิ กี ารเรียนรู้วิธีอ่ืนๆ กระบวนการศึกษาค้นคว้ามีขน้ั ตอน ดงั นี้ 2.4.1 กาหนดจุดประสงคข์ องการศึกษาคน้ คว้า โดยผู้เรยี นกาหนดกรอบการเรียนรู้ ของตนเองวา่ ต้องการศึกษาค้นคว้าเรื่องอะไร เพราะเหตใุ ด 2.4.2 วางแผนการศึกษาค้นควา้ เพื่อกาหนดแนวทางการศึกษาค้นควา้ ท่ีวางไว้ เชน่ กาหนดรายการหรือประเดน็ เนือ้ หายอ่ ยทต่ี ้องการศกึ ษาคน้ ควา้ แหล่งขอ้ มูล วิธีการบันทึกขอ้ มลู 2.4.3 ศึกษาคน้ ควา้ ตามแผน บนั ทกึ ข้อมลู แหล่งอา้ งอิง 2.4.4 นาเสนอข้อมูล ข้อคน้ พบท่ีได้จากการศึกษาคน้ คว้ามานาเสนอต่อกลมุ่ ตอ่ สมาชิกท้ังช้นั วเิ คราะห์ อภปิ ราย ความเหมือน ความต่างของข้อมูลจากแหลง่ ความร้ตู า่ ง ๆ ความ สมบรู ณ์ถูกตอ้ ง ความนา่ เช่ือถือ สรปุ ความรู้ที่ได้ 2.4.5 จดั ทารายงานสรุปความรู้ พร้อมทงั้ อ้างองิ แหลง่ ข้อมลู ขอ้ เสนอแนะในการสอนดว้ ยกระบวนการศึกษาคน้ คว้ามดี ังน้ี 1. ผู้สอนตอ้ งจดั เตรียมจดั หาหนังสือ เอกสารคน้ คว้าให้เพยี งพอ และตรงกบั ความ ตอ้ งการ 2. การศกึ ษาค้นควา้ ของผู้เรยี น ควรใชแ้ หล่งความรู้หลากหลาย ระบุอา้ งอิงให้ ชดั เจน 3. การสรุปความรู้ ต้องมกี ระบวนการวเิ คราะห์ อภิปราย เปรยี บเทียบ สรปุ รว่ มกนั อย่างกวา้ งขวาง สรปุ วิธกี ารสอน (Teaching Method) คือ ขั้นตอนที่ผูส้ อนดาเนนิ การให้ผ้เู รียนเกิดการ เรียนรตู้ ามวตั ถปุ ระสงค์ ด้วยวธิ กี ารต่างๆ ทแ่ี ตกต่างกันไปตามองค์ประกอบและขนั้ ตอนสาคญั อนั เปน็ ลกั ษณะเดน่ หรอื ลักษณะเฉพาะท่ขี าดไมไ่ ด้ของวธิ นี ั้น ๆ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาติวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 247 เทคนคิ การสอนวิทยาศาสตร์ เทคนิคการสอน (Teaching Technique) คือ กลวิธีตา่ ง ๆ ทีใ่ ช้เสริมกระบวนการสอน ข้นั ตอน การสอน วธิ ีการสอน หรือการดาเนินการทางการสอนใด ๆ เพ่ือช่วยใหก้ ารสอนตามข้นั ตอนต่าง ๆ มี คณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพมากขึน้ การเลือกใชเ้ ทคนคิ หรือกลวธิ ีการสอนเป็นเร่ืองสาคัญท่ผี ู้สอน สามารถเลือกใชต้ ามความเหมาะสมกับเนื้อหา เวลา ผ้เู รยี น และบรบิ ทอน่ื ๆ เกยี่ วกับการจดั การเรยี น การสอน ในเอกสารฉบบั นจ้ี ะยกตวั อย่างเทคนิคการสอนท่ีสามารถนามาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์ ดงั นี้ 1. เทคนิค K-W-L เทคนิค K-W-L เป็นวธิ ีการหน่งึ ทีต่ อ้ งใช้การสบื คน้ ความรูจ้ ากการอา่ นที่มีประสิทธิภาพ ซ่งึ ครูจะใหน้ ักเรยี นระบุวา่ จะต้องสบื คน้ ข้อมูลใด และให้นกั เรยี นอภปิ รายเนื้อหาของหัวข้อที่ศกึ ษา คน้ คว้านนั้ วธิ กี ารสอนนปี้ ระกอบดว้ ย 3 ขน้ั ตอน ดังน้ี (Hassard, J. (1999). จริยา สุจารีกลุ , ผูแ้ ปล) ขน้ั K(Know) เปน็ ขั้นทมี่ กี ารประเมนิ วา่ เรารหู้ รือเคยได้ยินอะไรมากอ่ นโดยนกั เรยี น จะตอ้ งปฏบิ ตั ิ 2 ข้นั ตอนคอื ข้ันตอนท่ี 1 จะตอ้ งระดมความคดิ ว่าไดเ้ รียนร้หู รือเคยไดย้ ินอะไรมาบ้าง แลว้ เก่ยี วกบั หัวขอ้ ที่จะศึกษานนั้ และนักเรยี นจะทางานเป็นกล่มุ ย่อยโดยใชใ้ บบันทึกข้อมูลในกลยุทธ์ การสอนแบบ K-W-L และเริ่มบันทกึ ความคดิ ต้องระบุจดุ เน้นของความคดิ ข้ันตอนท่ี 2 จัดระบบ ข้อมลู ทีน่ ักเรียนไดค้ น้ คว้ามาได้ ขน้ั W(Want) เป็นขั้นท่ีมกี ารชบี้ ่งวา่ เราตอ้ งการจะเรยี นรอู้ ะไร เป็นขั้นตอนท่ีชว่ ยให้ นกั เรียนคาดคะเนว่าจะตอ้ งอ่านอะไรเพ่ิมเติม และชว่ ยให้นกั เรยี นเนน้ ไปยงั สิง่ ที่ต้องการจะรูจ้ ากการ อา่ น ครนู านักเรยี นในกลุ่มใหเ้ ขียนคาถามหลายๆคาถามท่ีตนสนใจอยากรู้คาตอบมากทีส่ ุดลงในใบ บนั ทกึ ข้อมลู โดยอาศัยการอภปิ รายและระดมความคิดก่อนหน้าน้นั ข้ัน L(Learn) เปน็ ข้ันท่ีมกี ารทบทวนและอภิปรายว่านกั เรียนไดเ้ รียนรู้อะไรไปบ้าง จากการอ่านตารา ใหน้ ักเรยี นเน้นไปท่กี ารทบทวนสง่ิ ท่ีได้เรียนรมู้ าแล้วจากการอา่ น ดว้ ยการทางาน เป็นกลมุ่ นักเรียนควรระดมความคิดที่ได้จากการอ่าน โดยนกั เรยี นจะลองตอบคาถามดว้ ยตวั เองก่อน กไ็ ด้ 2. เทคนิค ทานาย-สังเกต-อธิบาย การจัดการเรียนการสอนแบบ Predict, observe, explain หรือ POE พัฒนาขึ้นโดย White & Gunstone (1992) น้ันเป็นการจัดกจิ กรรมการเรียน โดยเน้นทก่ี ารท้าทายผู้เรียนเพื่อให้เกิด เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

248 บทที่ 8 การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ \"ความมสี ่วนร่วม\" ในกระบวนการที่จะเกดิ ขน้ึ เป็นกลวิธีที่ให้นักเรียนเรียนรู้จากการทานาย ( Predict ) การสังเกต ( Observe ) และการอธิบาย ( Explain ) ใช้เพ่ือกระตุ้นให้นักเรียนสนใจ มุ่งมั่นในการ ทดลองโดยให้นกั เรยี นทานายผลท่ีจะเกดิ ขึ้นลว่ งหน้ากอ่ นลงมอื ทากิจกรรมเพ่ือให้นักเรียนสังเกตอย่าง จดจ่อ ละเอียด รอบคอบ นาผลท่ีได้จากการสังเกตมาอธิบายและเปรียบเทียบกับส่ิงที่ทานายไว้ นักเรียนจะรสู้ ึกสนุกสนานและในช่วงที่ทากิจกรรมหรือทาการทดลองแล้วท้าทายในการค้นหาความรู้ เพ่ือตรวจสอบผลการทานายของตนเองมี 3 ข้ันตอน ดงั นี้ 1. ขัน้ ทานาย ( Predict ) ครูใชค้ าถามกระตนุ้ ให้นักเรียนแต่ละกล่มุ / คนทานายสงิ่ ทเี่ กิดข้นึ จากการสาธิตการทดลองหรอื ปญั หาทีก่ าหนด 2. ข้ันสงั เกต ( Observe ) ครูให้นกั เรยี นทาการทดลอง สังเกต บนั ทึกผล เพื่อศึกษา ว่าผลทเ่ี กิดขนึ้ เป็นอย่างไร และเป็นไปตามท่ีทานายไวห้ รือไม่ 3. ข้นั อธบิ าย ( Explain ) ใหน้ กั เรียนอธิบายผลทีเ่ กิดจรงิ ซ่งึ ผลเกดิ ขึ้นจริงอาจตรง กบั ท่ีทานายไว้ทงั้ หมด หรอื บางส่วน ครใู หน้ กั เรยี นวิเคราะห์หาสาเหตุ และสรุป อยา่ งไรก็ตามในปี พ.ศ. 2553 John Haysom, Michael Bowen (2010) ไดเ้ สนอ ลาดับการจดั การเรียนการสอนด้วย POE นน้ั ได้นาเสนอเอาไว้ 8 ขั้นตอน 1. การแนะนาและสร้างแรงกระตุ้น (Orientation and motivation) ในข้นั ตอนน้ี มกั เริม่ ต้นดว้ ยประสบการณ์ของผ้เู รยี นท่เี ก่ยี วข้องกบั การทดลองทเี่ รากาลังจะไดท้ าตอ่ ไป ขัน้ ตอนนี้ จะช่วยให้ผเู้ รียนได้แสดงความเข้าใจหรือประสบการณเ์ ดิมท่ี เก่ียวขอ้ งกับแนวคิดของการทดลอง 2. แนะนาการทดลอง (Introducing the experiment) แนะนาการทดลองท่ีจะทา โดยยังไมต่ ้องลงมือทา พยายามเชือ่ มโยงการทดลอง (หรือการสาธติ ) กบั ความรูท้ ี่ไดเ้ กรนิ่ แลว้ เกดิ ให้ เกดิ ความหมายที่สมบูรณ์ 3. การทานาย (ล้วงเอาแนวคิดของผเู้ รยี น) [Prediction: the elicitation of Students' ideas] ใหผ้ ู้เรยี นแลกเปลีย่ นหรอื นาเสนอแนวคิดของตนก่อนเรม่ิ การทดลองลงในใบ บนั ทึก (Worksheet) โดยทานายว่าผลทเี่ กิดข้ึนจะเป็นอย่างไรในข้นั ตอนนม้ี ีความสาคัญต่อทัง้ ผู้ สอน และผู้เรียน โดยผูเ้ รยี นจะไดร้ วบรวมความคิดและเกิดความตระหนักในการคดิ 4. อภปิ รายผลการทานาย (Discussing their prediction) ในขั้นนีจ้ ะขอให้ผู้เรยี น แลกเปลย่ี นผลการทานายเพ่ือทาการอภปิ รายทง้ั ห้อง โดยใชก้ ระดาน หรอื ผลงานนักเรียน เพ่อื นาเสนอผลการทานายและเหตผุ ลที่ใช้การทานายดังกลา่ ว ในขน้ั ตอนนี้ผ้สู อนตอ้ งกระตุน้ ให้เกดิ แรงผลกั ดนั ในการสง่ เสรมิ การให้ขอ้ มูล จากนน้ั ให้อภิปรายเพ่อื เลือกคาทานายท่ดี ีทีส่ ดุ ในข้นตอนี้ ผูเ้ รียนจะได้พจิ ารณาทบทวนแนวคดิ ของตนอีกคร้ัง และอาจสิ้นสุดขั้นตอนนี้โดยการทาการโหวต เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ 249 5. สงั เกตการณ์ (Observation) การทดลองส่วนมากทีน่ าเสนอนัน้ จะเป็นการสาธิต หรือเป็นการทดลองให้ผ้เู รียนลงมือเองได้ แต่หากเป็นการสาธติ กค็ วรเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนเขา้ มามสี ว่ น ร่วม จากนั้นให้ผู้เรยี นเขยี นบันทกึ การสังเกต 6. อธบิ าย (Explanation) ผู้เรียนมกั ปรับแตง่ แนวคิดของตนผ่านการพดู คยุ และ เขียน และมักพบบอ่ ยๆวา่ ผ้เู รียนจะสนทนาแลกเปลีย่ นความคดิ เหน็ กับเพื่อนๆ เกีย่ วกบั สิ่งที่สังเกตได้ กอ่ นทจี่ ะลงมือเขียนอธบิ าย เมอื่ ผู้เรียนเขยี นอธบิ ายเสรจ็ แลว้ ควรทาการอภปิ รายท้งั ห้องอีกครั้งหนงึ่ 7. เสนอการอธิบายเชิงวทิ ยาศาสตร์ (Providing the scientific explanation) แนะนาการอธิบายเชงิ วทิ ยาศาสตร์ โดยข้นึ ตน้ ว่า \"นักวิทยาศาสตรใ์ นปัจจุบนั ได้คิดวา่ ...\" ซ่งึ จะดีกว่า การใชป้ ระโยคข้ึนต้นท่ีว่า \"การอธิบายทถี่ ูกต้องคือ.... \" แลว้ ให้ผูเ้ รยี นตรวจสอบความเหมือนและ ความแตกต่างของการอธิบายโดยนักเรียนและ การอธบิ ายเชิงวทิ ยาศาสตร์ 8. ตดิ ตามผล (Follow-up) นกั วิจยั พบวา่ แนวคดิ ของผูเ้ รียนมกั จะต่อต้านการ เปลยี่ นแปลง และแม้แต่วธิ ี POE ก็ไมส่ ามารถทาไดน้ อกเสียจากว่าจะจดั ข้ันตอนการเร่ิมตน้ ใหม้ ีคุณค่า มาก และรูปแบบการสอนน้กี ็ยังอยใู่ นข้นั ตอนการศึกษาและทดสอบ และใน POE บางครง้ั จะติดตาม ดว้ ยขนั้ ติดตามผล เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถประยุกตค์ วามร้ทู ่ีไดไ้ ปใช้อธบิ ายเหตุการณ์ทพี่ บใน ชวี ิตประจาวนั จดุ เดน่ ที่เข้มแข็งของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบ POE ก็คอื สามารถช่วย ใหผ้ ้สู อนเข้าใจการคดิ ของผูเ้ รียน โดยในข้ันที่ 1 จนถึง 4 น้ันสามารถตรวจสอบ (สารวจ) มโนมติ เรม่ิ แรกของผเู้ รยี น ในข้ันท่ี 6 และขัน้ ท่ี 7 จะช่วยให้ผ้สู อนสามารถตดิ ตามดกู ารเปลย่ี นแปลงหรอื จดั แจงความคิดของผู้เรียน สว่ นในขน้ั ที่ 8 ก็จะนาไปสู่การสะทอ้ นผลท่ีแสดงความกา้ วหน้าของผู้เรยี น ดังน้ันจงึ มคี วามจาเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สอนจะสนบั สนนุ หรือสง่ เสริมให้ผูเ้ รียนเกดิ การแลกเปล่ียนการคดิ ซ่ึงอาจะเป็นหรือไม่เปน็ ท่ียอมรบั ทางวทิ ยาศาสตร์ก็ได้ และให้คุณคา่ ต่อการเสนอแนวคิดของผเู้ รียน เสมอ อันจะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นปรบั ตัวเขา้ กบั รปู แบบการเรียนการสอนน้ีได้เป็นอยา่ งดี 3. เทคนคิ การจดั ระบบความคดิ โดยใช้แผนผัง เทคนคิ การจดั ระบบความคิดโดยใช้แผนผังหรอื Graphic Organizer ใชเ้ พือ่ ประเมนิ ความเข้าใจ ความถูกต้องของเนื้อหาสาระจากการเรยี นรู้ ช่วยฝึกและเพ่ือพฒั นากระบวนการคิด มี หลากหลายรูปแบบ เช่น แผนผังความคิดหลกั ( Concept map ) แผนผังเวนน์ ( Vann diagram ) แผนผังก้างปลา ( fish bone ) และแผนผงั ความคิด ( Mind map ) เปน็ ตน้ แตล่ ะรูปแบบของการ จัดระบบความคิดจะมีลกั ษณะเฉพาะ ดังตวั อย่าง เชน่ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

250 บทท่ี 8 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 3.1 แผนผังความคดิ หลัก กลวิธแี ผนผงั ความคิดหลัก หรือ Concept Map เป็นเครื่องมือทีใ่ ช้ตรวจสอบ ความคิดหลักของนกั เรยี นก่อนเรยี น หรือประเมนิ นักเรยี นท่หี ลังจากการ ทากจิ กรรมต่าง ๆ แลว้ นกั เรียนได้ เรยี นร้อู ะไรบ้าง เข้าใจเนื้อหาถูกต้อง หรือไม่ เปน็ แผนภาพทเ่ี ขียนแสดง การเชอ่ื มโยงความสมั พันธ์ระหว่าง ความคิดหลกั หรือมโนทัศน์ (Concept) ต่าง ๆ โดยใชค้ าเชอื่ มอยา่ งมี รูปภาพประกอบที่ 8.2 แสดงแผนผังความคดิ ลาดบั และเป็นระบบเรม่ิ จากความคดิ หลกั ทกี่ วา้ งไป แคบไปหรือเฉพาะเจาะจงทาใหเ้ หน็ ความสมั พันธ์ตา่ ง ๆ อยา่ งครอบคลุม เขา้ ใจเนื้อหาดขี ึ้น ใหเ้ กดิ การเรียนรู้อย่างมีความหมาย ถกู ต้อง และครอบคลมุ เปน็ การฝกึ คิดวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และ สรา้ งสรรค์ 3.2 แผนผังเวนน์ เป็นกลวธิ ีท่ฝี ึกการคดิ วเิ คราะหเ์ พื่อเปรยี บเทยี บของ 2 สง่ิ หรือ มากกวา่ ว่ามีอะไร ทเ่ี หมือนกัน และมีอะไรที่ แตกต่างกนั โดยเขียนลงในแผนผงั เวนน์ ซ่ึง ประกอบดว้ ยวงกลมจานวนเท่ากบั สิ่งทนี่ ามา เปรียบเทยี บเขยี นซ้อนทบั กันบางส่วน สว่ นที่ ซอ้ นทบั เขยี นแสดงลักษณะท่ีเหมอื นกัน บริเวณนอกเหนือส่วนท่ซี ้อนกันอยเู่ ขียนแสดง ภาพประกอบที่ 8.3 แผนผังเวนน์ ลกั ษณะท่ีแตกต่างกนั เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ 251 4. เทคนิควงแหวนชาวประมง เทคนคิ วงแหวนชาวประมงเป็นกลวิธฝี กึ ให้นักเรยี นพดู ส่ือสารและแสดงความคิดเห็น อย่างทว่ั ถึง ในประเด็นปญั หาทางวิทยาศาสตร์ท่เี กี่ยวข้องกับสงั คม โดยผลดั เปลีย่ นกันในวงเพือ่ พดู ข้อดีและข้อเสยี ของประเด็นนั้นครเู ลอื กประเด็นปญั หาทางวิทยาศาสตร์ที่กาลังเป็นท่ีสนใจของ ประชาชน ใหข้ อ้ มูลท้ังข้อดแี ละข้อเสยี หรืออาจกาหนดประเด็นใหน้ ักเรียนสืบคน้ ขอ้ มลู ใหน้ กั เรียน ศึกษาข้อมลู และใช้กิจกรรมวงแหวนชาวประมงเปน็ สอื่ ในการทาใหน้ ักเรยี นเกิดการเรียนรู้ ฝกึ กระบวนการคดิ และส่อื สารความรไู้ ปยังผู้อน่ื มีข้นั ตอนดาเนินการดงั น้ี 4.1 กาหนดประเดน็ ทจี่ ะศึกษา ควรเปน็ ประเด็นวทิ ยาศาสตรท์ ี่มคี วามขัดแยง้ กนั ใน สงั คมขณะน้ัน และกาลังอยใู่ นความสนใจของนักเรียนหรือประชาชน 4.2 เตรียมใบกจิ กรรม 4.3 เตรียมวิธกี ารประเมนิ ผล 4.4 เตรยี มสถานท่ีจดั กจิ กรรม โดยจัดหาสถานทท่ี ่เี ป็นห้องโล่งหรอื ลานกวา้ งพอ สาหรบั จดั นกั เรียนยนื เปน็ วงกลม 2 วง และเคลื่อนไหวได้สะดวก 4.5 เร่ิมทากจิ กรรมโดยแจกใบกิจกรรมใหน้ ักเรียนทุกคนศึกษา 4.6 จัดกจิ กรรมวงแหวนชาวประมงเพ่ือใหน้ กั เรียนสะท้อนข้อดีและข้อเสียของ ประเดน็ ที่ศึกษา โดยดาเนนิ การดังน้ี 4.6.1 ครูชแ้ี จงขนั้ ตอนการทากิจกรรม 4.6.2 ครใู หน้ ักเรยี นยนื เปน็ 2 วง ให้เท่ากนั วงละไม่ควรเกิน 10 คน และแตล่ ะคู่ หนั หนา้ เข้าหากัน ครสู ่งสญั ญาณใหน้ กั เรยี นผลัดเปลีย่ นคู่กันสะท้อนข้อดีและขอ้ เสีย โดยการเปลีย่ นคู่ อาจให้นักเรยี นเดนิ สวนทางกันไปหาคูใ่ หม่ 4.7 ร่วมกันอภปิ รายทงั้ ชัน้ เพ่ือสรปุ เป็นความคิดของหอ้ ง 5. เทคนิคการใช้คาถาม การตั้งคาถามท่ดี ีจะชว่ ยใหเ้ รามคี วามเข้าใจเนือ้ หา รายละเอียดของขอ้ มูลตา่ ง ๆ ได้ดี ย่งิ ขนึ้ โดยเราจะสามารถเข้าใจถึงวิธคี ิด หลักในการทางาน ขัน้ ตอนการทางาน ได้อยา่ งถูกต้อง ทาให้ เราสามารถนาข้อมลู เหลา่ น้ีมาใชใ้ นการวเิ คราะห์ เพ่ือทาการแก้ไขใหร้ ะบบการทางานมีประสทิ ธิภาพ ดีขึ้น คาถามจาแนกโดยใชเ้ กณฑ์ต่าง ๆ ไดห้ ลายลกั ษณะ เช่น คาถามระดับตา่ คาถาม ระดบั สงู คาถามง่ายคาถามยาก นักการศึกษาบางกลุ่มแบ่งประเภทคาถามตามระดบั ข้นั ของการใช้ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

252 บทที่ 8 การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ ความคดิ ในพุทธิพสิ ัย (Cognitive Domain) ตามแนวคดิ ของBenjamin Bloom โดยแบง่ คาถามเป็น 6 ประเภท (พิมพ์พันธ์ เตชะคุปต์ และ พเยาว์ ยินดสี ขุ , 2551) คือ 1. ถามความรู้ คาถามทม่ี ีคาตอบแน่นอน ถามเนือ้ หาเกีย่ วกับข้อเท็จจริง คาจากัดความ คานิยาม คาศพั ท์ กฎ ทฤษฎีถามเกี่ยวกับใคร (who) อะไร(what) เมอ่ื ไร (when) ทไี่ หน (where) รวมทง้ั ใชห่ รอื ไม่ เช่น มนุษยสัมพนั ธห์ มายถึงอะไร ผ้คู น้ พบทฤษฎสี มั พนั ธภาพคือใคร 2. ถามความเขา้ ใจ คาถามที่ต้องใชค้ วามรู้ ความจามาประกอบเพอื่ อธิบายด้วยคาพดู ของตนเอง เป็นคาถามท่สี งู กว่าถามความรู้ เช่น จงเปรยี บเทียบความแตกต่างระหว่างการแพรแ่ ละ การออสโมซิส จงอธิบายลักษณะของผูม้ สี ุขภาพจิตดี 3. ถามการนาไปใช้ คาถามที่นาความรแู้ ละความเขา้ ใจไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ ใหม่ เช่น ท่านจะมวี ิธปี ระหยัดนา้ ในครอบครวั ของทา่ นได้หรือไม่ อย่างไร เมอื่ เขา้ ชมพิพิธภัณฑ์ท่าน ควรปฏบิ ัตติ นอยา่ งไรบ้าง 4. ถามการวิเคราะห์ คาถามที่ให้จาแนกแยกแยะเรื่องราวต่าง ๆ วา่ ประกอบด้วย สว่ นยอ่ ยอะไรบ้าง โดยอาศยั หลักการ กฎ ทฤษฎี ทม่ี าของเร่ืองราว หรอื เหตกุ ารณ์นัน้ เช่น สาเหตุ สาคัญใดบา้ งท่ที าใหเ้ ยาวชนเสพยาเสพยต์ ดิ มูลเหตสุ าคัญท่ที าให้สถติ ิ การมีสขุ ภาพจิตไม่ดขี องคนใน กรงุ เทพฯ สงู ขึ้นคืออะไร 5. ถามการสงั เคราะห์ คาถามท่ีใชก้ ระบวนการคิด เพื่อสรุปความสมั พันธ์ระหว่างข้อมลู ยอ่ ย ๆ ข้นึ เป็นหลักการ หรือแนวคิดใหม่ เชน่ จงสรปุ หลกั การถนอมอาหาร จากการศึกษา จงสรุปผล เกยี่ วกบั สาเหตกุ ารเกิดมะเรง็ 6. ถามการประเมินค่า คาถามทีใ่ หน้ กั เรยี นตคี ณุ คา่ โดยใชค้ วามรู้ ความรูส้ กึ ความ คดิ เห็นในการกาหนดเกณฑ์ เพ่ือประเมินค่าสงิ่ เหลา่ นนั้ เชน่ ความคดิ เหน็ ของเพ่ือนคนใด เหมาะสม ทส่ี ุด ผลการทาโครงงานวิทยาศาสตรข์ องกล่มุ ใดดีท่ีสุด คณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ (2534) เสนอแนวทางการการพัฒนาการคดิ ใน การใช้คาถามเป็น 2 ระดับ ดังนี้ 1. คาถามระดบั ตา่ เป็นคาถามท่ีเกีย่ วขอ้ งกบั ข้อเทจ็ จรงิ ซงึ่ ไดจ้ ากความจาและการสงั เกต คาถาม ประเภทนี้มักมีคาตอบเดียว คาถามระดบั ต่าแบ่งไดเ้ ปน็ 6 ชนดิ คือ 1.1 คาถามใหส้ งั เกต เปน็ คาถามทต่ี ้องการใชป้ ระสาทสมั ผัส คอื ตา หู จมกู ล้ิน และผวิ กาย เพยี งสว่ นใดสว่ นหนึ่งหรือหลายสว่ น รวบรวมขอ้ มลู ในการตอบคาถาม แต่ผตู้ อบตอ้ งไม่ เพ่ิมความรเู้ ดมิ หรอื ความคิดเห็นส่วนตวั ลงไป เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 253 - เด็ก ๆ เห็นอะไรในภาพนี้บา้ ง (ตา) - มะละกอทเ่ี ด็ก ๆ ชมิ มรี สเป็นอย่างไร (ล้นิ ) - เดก็ ๆ ลองเอามือเคาะโต๊ะ แลว้ ฟงั ซิว่ามีเสียงอย่างไร (หู) - ดอกไม้ที่เด็ก ๆ ถืออยู่มีกล่นิ หรอื ไม่ (จมูก) - ลองจบั ดซู ิ ผิวของน้อยหนา่ เปน็ อยา่ งไร (ผวิ กาย) 1.2 คาถามให้ทบทวนความจาเปน็ คาถามทผ่ี ตู้ อบสามารถนาความร้หู รอื ประสบการณ์เดิมมาตอบคาถาม - เด็ก ๆ ทราบไหม นกกินอะไรเปน็ อาหาร - ลองนกึ ดูซิ ไกท่ เี่ ด็ก ๆ เคยเหน็ มีลักษณะอยา่ งไร - รุ้งกินน้ามีก่ีสี - สตั ว์ปีกออกลูกเปน็ อะไรก่อน 1.3 คาถามใหบ้ อกความหมายหรือคาจากดั ความเป็นคาถามที่ใชต้ รวจสอบ ประสบการณ์เดิมเก่ยี วกับความรู้ ความเขา้ ใจ ในเรื่องคาศัพท์และความหมายของคา ก่อนการจัด ประสบการณ์ใหม่แก่ผูเ้ รยี น - รงั นกหมายถงึ อะไร - บ้านของนักเรยี นอีกอย่างหน่ึงว่าอะไร - ข้าวเปลอื กหมายถงึ ขา้ วลกั ษณะอย่างไร 1.4 คาถามชบ้ี ่งเป็นคาถามที่กาหนดข้อมูลไวห้ ลายอยา่ ง แล้วใหเ้ ลือกข้อมูลอย่าง หนงึ่ ทีเ่ ด็กต้องการนามาเปน็ คาตอบ - ตัวหนอน หญา้ แห้ง นา้ หวานจากดอกไม้ สงิ่ ใดคือ อาหารของนก - มะมว่ ง ส้ม และน้อยหน่า ผลไมช้ นดิ ใดท่ีมีเมลด็ ภายในผลเพียงเมล็ดเดียว - ระหว่างววั ช้าง และม้า สัตวช์ นดิ ใดวิ่งเร็วทีส่ ุด - ปลาดุก ปลานลิ และปลาทอง ปลาชนดิ ใดทีเ่ ล้ียงไว้ดเู ล่น 1.5 คาถามถามนาเปน็ คาถามทใ่ี ชเ้ น้นเรอื่ งท่ีครพู ูด และดงึ ความสนใจของเด็ก คาถามประเภทน้ีมักนาไปสู่คาตอบ ใช่ จริง ถูก เป็นส่วนใหญ่ - แก้วเป็นเดก็ ท่ีเล้ยี งนก ใช่หรอื ไม่ - ต้นไม้ในภาพมีขนาดใหญ่ใช่ไหม - เดก็ ๆ คิดวา่ การยงิ นกเปน็ ส่ิงดีหรอื ไม่ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาติวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

254 บทท่ี 8 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ 1.6 คาถามเร้าความสนใจ เปน็ คาถามที่ไมต่ อ้ งการคาตอบอย่างจริงจงั แต่ใชเ้ พ่ือ ดาเนินกิจกรรมในชัน้ เรยี นให้เปน็ ไปตามทไ่ี ด้วางแผนไว้ - เด็ก ๆ คอยดูซวิ า่ เพ่ือนจะทาทา่ อะไรต่อไป - เดก็ ๆ ลองคดิ ดูซวิ ่า ในกลอ่ งนมี้ ีอะไรอยู่ คาถามระดบั ต่าทงั้ 6 ชนิดดงั กล่าว ยังมีความจาเป็นในห้องเรียนอยู่มใิ ชน่ อ้ ย ทง้ั น้ีเพราะครอู าจ เลือกใช้คาถามเพ่ือทบทวนความจา ใช้เชือ่ มโยงความรู้และประสบการณ์เดมิ ไปสปู่ ระสบการณ์ใหม่ และเพื่อควบคุมกจิ กรรมในห้องเรยี นใหด้ าเนินไปในทิศทางทีต่ อ้ งการ 2. คาถามระดับสูง เป็นคาถามท่สี ่งเสริมให้ผู้ตอบใช้ความคิด นาความรแู้ ละประสบการณ์เดิมมาเป็น พืน้ ฐานสรุปหาคาตอบ ส่งเสรมิ ให้เด็กมคี วามคิดสร้างสรรค์และเกิดทักษะในการคิดอยา่ งมรี ะบบ นอกจากนัน้ ยงั เป็นคาถามทีเ่ ปดิ โอกาสใหผ้ ้ตู อบได้แสดงความคิดเห็น ตลอดจนกระตุ้นให้ได้ลอง แก้ปญั หาดว้ ยตนเอง คาถามระดบั สงู แบง่ ไดเ้ ป็น 7ชนิด ดงั นี้ 2.1 คาถามให้อธบิ าย เป็นคาถามทผี่ ู้ตอบจะต้องนาความรู้ และประสบการณเ์ ดิมมา เปน็ พ้นื ฐานสรุปหาคาตอบ - ถา้ เดก็ ๆ อยากทราบว่า มดที่เล้ยี งไว้ชอบอาหารประเภทใดมากทส่ี ุด เดก็ ๆ จะทาอยา่ งไร - ทาไมเด็ก ๆ จึงบอกว่า มดชอบกนิ น้าหวาน ลองเล่าใหเ้ พื่อน ๆ ฟังซิ - ทาไมเด็ก ๆ เหลา่ น้จี งึ ไม่สวมเสื้อในฤดหู นาว - ทาไมมดแต่ละรังต้องมีนางพญามด 2.2 คาถามใหเ้ ปรยี บเทยี บเป็นคาถามท่มี จี ุดมุ่งหมายใหเ้ ดก็ ใช้ความคิดเปรียบเทียบ ของสองสิ่งว่า มคี ุณสมบัติหรือลักษณะคลา้ ยกันหรือตา่ งกันอย่างไร คุณสมบตั ิทีน่ ามาเปรยี บเทยี บน้ัน ไดแ้ ก่ รูปรา่ ง ลักษณะ สี ขนาด น้าหนกั จานวน ปรมิ าตร ความสงู ความยาว ความหนา รสชาติ กล่ิน ฯลฯ - เสอื กับแมวมีอะไรต่างกันบา้ ง - เสือกับแมวมีอะไรท่ีคล้ายกัน - ถา้ เราต้องช่วยกนั จดั ผลไม้เหลา่ นีใ้ ส่กระจาด 2 ใบ เดก็ ๆ จะจดั แบ่ง อย่างไร ลองคดิ และเล่าใหเ้ พอ่ื น ๆ ฟัง 2.3 คาถามให้จาแนกประเภท เปน็ คาถามเพ่ือส่งเสรมิ ใหเ้ ด็กรจู้ กั จดั กลุ่ม จดั หมวดหมู่โดยใช้เกณฑ์ของตนเองหรอื ของผู้อืน่ หรือบอกเกณฑ์ท่ีใชใ้ นการจัดกลุม่ ท่ผี ู้อ่นื ทาไว้ เกณฑท์ ่ี เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทท่ี 8 การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ 255 ใชใ้ นการจัดกลุ่มน้ีอาจได้แก่ สี ขนาด รูปร่าง ประโยชน์ หรือวสั ดทุ ่ใี ช้ หากเป็นภาพของสงิ่ มีชีวติ อาจ แบง่ ตามอาหาร ที่อย่อู าศยั ลักษณะเช่น สตั ว์ 2 เท้า สัตว์ 4 เทา้ และประโยชน์ เชน่ สตั ว์เล้ียงไวใ้ ช้ งาน เปน็ ตน้ - ครแู บง่ มดออกเป็น 2 พวกอย่างทีเ่ หน็ เด็ก ๆ บอกไดไ้ หมวา่ ทาไมครูจงึ แบง่ เชน่ น้ี - ลองคิดดซู ิว่า เราจะแบง่ ภาพสตั ว์เหล่านี้เปน็ 2กลุ่มไดอ้ ย่างไรดี 2.4 คาถามให้ยกตัวอย่าง เป็นคาถามทต่ี ้องการใหผ้ ตู้ อบบอกช่อื หรือยกตวั อยา่ ง ของสงิ่ ทกี่ าหนดให้ โดยอาศัยทักษะการสังเกต และมีความรูค้ วามจาเรอื่ งต่าง ๆ เปน็ พืน้ ฐานในการหา คาตอบ - ใหน้ กั เรยี นยกตวั อย่างผักที่ใชเ้ ปน็ อาหารคนละ 1 ชอ่ื - ให้บอกช่อื สิ่งของทบ่ี รรจอุ ยู่ในกระป๋องมาคนละ 1 ชื่อ - บอกช่อื ผลไม้ท่มี รี สหวานคนละ 1 ชนดิ - มสี ตั วช์ นดิ ใดบา้ งที่เลี้ยงไว้ใชง้ าน 2.5 คาถามใหว้ เิ คราะห์ เป็นคาถามที่ใหค้ ิดคน้ หาความจริงหรอื แยกแยะเรื่องราว เพื่อหาสาเหตุและผลต่าง ๆ ของปัญหาท่ีเกิดขนึ้ หรอื ให้นักเรยี นได้คดิ ค้นหาความจริงต่าง ๆ ท่ี ประกอบข้ึนมาเปน็ เรอ่ื งราวหรอื เหตุการณ์ - แมวมปี ระโยชน์อย่างไร - แมวให้โทษอย่างไร - ถ้าจะเลย้ี งแมว เด็ก ๆ จะต้องเตรียมอะไรบ้าง - ทาไมผา้ จึงแห้งได้ - จงชว่ ยกนั บอกชื่อสว่ นตา่ ง ๆ ของตน้ ไม้ 2.6 คาถามใหส้ ังเคราะหส์ ังเคราะห์ หมายถงึ การผสมรวมส่ิงตา่ ง ๆ ตั้งแต่สองส่ิงข้นึ ไปให้เกดิ เปน็ ของใหม่ข้นึ มาเช่น การปรงุ อาหาร การพูด การเขียนให้เป็นข้อความหรือเรอ่ื งราวท่ีเป็น แนวคิดใหม่ หรือพฒั นาของเก่าใหด้ ขี นึ้ ใช้ประโยชน์ไดม้ ากขนึ้ คาถามให้สงั เคราะห์ เป็นคาถามท่มี ี จดุ มงุ่ หมายใหเ้ ด็กใชก้ ระบวนการคิด เพื่อสรุปความสัมพนั ธ์ระหวา่ งขอ้ มลู ยอ่ ยขน้ึ เปน็ หลักการ - อะไรเอ่ย นกมีหู หนมู ปี ีก บินหลบหลีกอยู่กลางคืน - ถา้ ไม่อยากให้ฟันผุ เดก็ ๆ คิดว่าควรทาอย่างไร - ถา้ มดงา่ มตัวโตเทา่ ช้างจะเป็นอยา่ งไร - ถา้ คนบนิ ได้อะไรจะเกดิ ข้ึน เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาติวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

256 บทท่ี 8 การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ - ถา้ สตั ว์ตา่ ง ๆ ในโลกนี้พูดภาษาคนไดอ้ ะไรจะเกดิ ขึน้ (เป็นคาถามที่มงุ่ ให้ เกดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ คือ คิดในแนวทางท่ีแปลกและแตกตา่ งไปจากเดมิ เกิดเปน็ แนวคดิ ใหม่) 2.7 คาถามใหป้ ระเมินค่า เป็นคาถามที่มีจดุ มุ่งหมายให้ได้พิจารณาคุณคา่ ของส่งิ ของ ก่อนตัดสินใจอย่างมีเหตุผล รู้จกั ประเมินคา่ ของสงิ่ ต่าง ๆ โดยใช้กฎเกณฑท์ ีเ่ ป็นจรงิ และเปน็ ทีย่ อมรบั ของสังคมแล้ว มาสนับสนุนความคิดเหน็ ของตนก่อนตัดสินใจ - อาหารจานน้หี นคู วรรบั ประทานหรือไม่ เพราะเหตุใด - เด็ก ๆ ควรเอาอย่างเด็กในภาพหรือไม่ เพราะเหตุใด (ครูให้ดูภาพเดก็ กาลังยิงนก ครูต้องการใหเ้ ด็กประเมินการกระทาของเด็กคนนน้ั ในภาพ พร้อมทั้งบอกเหตุผล) 6. เทคนิคท่ีใช้ในการเรียนแบบรว่ มมือ การเรียนแบบร่วมมือเป็นวิธหี น่งึ ที่สง่ เสริมให้ผเู้ รียน ไดเ้ รียนรูแ้ บบมสี ว่ นรว่ มซึ่งจะชว่ ย ให้ผู้เรยี นไดร้ บั ประสบการณท์ ่ีสัมพนั ธก์ ับชวี ิตจรงิ ไดร้ บั การฝึกฝนทกั ษะกระบวนการแสวงหาความรู้ ทกั ษะการบันทึกความรู้ ทักษะการคิด ทกั ษะการจัดการกบั ความรู้ ทักษะการแสดงออกทักษะการ สร้างความรู้ใหมแ่ ละทักษะการทางานเปน็ กลุ่มจัดวา่ เป็นวธิ เี รยี นท่ีสามารถนามาประยุกตใ์ หเ้ หมาะสม กับการเรียนการสอนท่ีมคี ุณภาพได้อีกวธิ ีหนงึ่ จึงนบั วา่ เป็นวิธีเรียนที่ควรนามาใช้ไดด้ ีกบั การเรยี นการ สอนปจั จุบนั เพื่อให้การเรยี นร้ขู องนักเรยี นเปน็ ไปอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ เทคนคิ การเรียนแบบร่วมมือมีอยู่ 2 แบบคือ เทคนิคที่ใชต้ ลอดกิจกรรมการเรียนการ สอนและเทคนิคทไ่ี มไ่ ด้ใช้ตลอดกจิ กรรมการเรยี นการสอน ในที่นผ้ี ู้วจิ ัยสนใจท่ีจะเลอื กใช้เทคนคิ ที่ไม่ ใช้ตลอดกิจกรรมการเรยี นการสอนในแตล่ ะช่วั โมงอาจใช้ในขัน้ นา หรอื จะสอดแทรกในขนั้ สอนตอนใด กไ็ ดห้ รือใชใ้ นขั้นสรุป ขน้ั ทบทวน ขัน้ วดั ผลของคาบเรยี นใดคาบเรียนหนง่ึ ตามทคี่ รูผสู้ อนกาหนด เทคนคิ วิธีเรยี นแบบรว่ มมือที่มีลกั ษณะต่าง ๆ ตาม Kagan (1995) เสนอ ดังน้ี 6.1 เทคนิคการพดู เป็นคู่ (Rally robin) เปน็ เทคนิควธิ เี รียนแบบรว่ มมอื ท่นี กั เรียน แบง่ เปน็ กลุม่ ย่อย แล้วครูเปิดโอกาสให้นกั เรียนได้พดู ตอบ แสดงความคิดเหน็ เป็นคู่ ๆ แต่ละคจู่ ะ ผลัดกนั พดู และฟังโดยใช้เวลาเท่าๆ กนั 6.2 เทคนคิ การเขยี นเปน็ คู่ (Rally table) เป็นเทคนิคคลา้ ยกับการพดู เป็นคู่ ต่างกัน เพยี งแตล่ ะค่ผู ลดั กันเขียนหรือวาดแทนการพูด เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชา ธรรมชาติวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บทท่ี 8 การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 257 6.3 เทคนคิ การพูดรอบวง (Round robin) เปน็ เทคนคิ ทเี่ ปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นใน กลุ่มผลดั กันพูด ตอบ อธบิ าย ซึ่งเป็นการพูดทีผ่ ลดั กันทีละคนตามเวลาท่ีกาหนดจนครบ 4 คน 6.4 เทคนิคการเขียนรอบวง (Round table) เป็นเทคนคิ ที่เหมือนกบั การพดู รอบวง แตกตา่ งกันทีเ่ นน้ การเขยี นแทนการพดู เมื่อครูถามปัญหาหรือใหน้ ักเรยี นแสดงความคดิ เห็น นักเรยี น จะผลัดกนั เขยี นลงในกระดาษท่เี ตรยี มไว้ทีละคนตามเวลาที่กาหนด 6.5 เทคนิคการเขยี นพร้อมกันรอบวง (Simultaneous round table) เทคนิคนี้ เหมือนการเขียนรอบวง แตกต่างกันทีเ่ นน้ ใหส้ มาชกิ ทุกคนในกลุ่มเขยี นคาตอบพร้อมกนั 6.6 เทคนคิ คู่ตรวจสอบ (Pairs check) เปน็ เทคนคิ ที่ใหส้ มาชิกในกลุม่ จับคู่กัน ทางาน เมอื่ ได้รบั คาถามหรอื ปัญหาจากครู นกั เรยี นคนหน่ึงจะเปน็ คนทาและอีกคนหน่ึงทาหน้าที่ เสนอแนะหลังจากที่ทาข้อท่ี 1 เสรจ็ นกั เรียนค่นู ้นั จะสลบั หนา้ ทีก่ นั เมื่อทาเสร็จครบแต่ละ 2 ขอ้ แต่ ละค่จู ะนาคาตอบมาและเปลี่ยนและตรวจสอบคาตอบของคอู่ ืน่ 6.7 เทคนิคร่วมกนั คิด (Numbered heads together) เทคนิคนแ้ี บง่ นกั เรียน เป็นกลมุ่ ดว้ ยกลมุ่ ละ 4 คน ทีมีความสามารถคละกัน แต่ละคนมีหมายเลขประจาตัว แล้วครถู าม คาถาม หรือมอบหมายงานให้ทา แล้วใหน้ ักเรยี นได้อภปิ รายในกลมุ่ ย่อยจนม่นั ใจวา่ สมาชกิ ในกลมุ่ ทุก คนเขา้ ใจคาตอบ ครูจึงเรยี นหมายเลขประจาตวั ผเู้ รียน หมายเลขทค่ี รเู รียกจะเป็นผตู้ อบคาถาม ดังกล่าว 6.8 เทคนคิ การเรียงแถว (Line-ups) เป็นเทคนิคท่งี ่าย ๆ โดยใหน้ ักเรยี นยืนแถว เรียงลาดบั ภาพ คา หรอื สง่ิ ท่ีครูกาหนดให้ เช่น ครใู หภ้ าพต่างๆ แกน่ ักเรยี น แล้วให้นักเรยี นยนื เรียงลาดับภาพข้นั ตอนของวงจรชีวิตของแมลง ห่วงโซอ่ าหาร เป็นตน้ 6.9 เทคนคิ วงกลมซอ้ น (Inside–outside circle) เป็นเทคนิคท่ีให้นักเรียนนัง่ หรือ ยืนเปน็ วงกลมซอ้ นกนั 2 วง จานวนเท่ากนั วงในหันหนา้ ออก วงนอกหันหน้าเขา้ นักเรยี นทอ่ี ยู่ตรง กบั จบั คู่กันเพื่อสัมภาษณ์ซงึ่ กันและกัน หรอื อภปิ รายปญั หาร่วมกนั จากน้ันจะหมุนเวยี นเพอ่ื เปลีย่ น ค่ใู หม่ไปเรอื่ ยๆ ไม่ซา้ คู่กนั โดยนักเรียนวงนอกและวงในเคลือ่ นไปในทศิ ทางตรงข้ามกัน 6.10 เทคนิคแบบมุมสนทนา (Corners) เปน็ เทคนคิ วิธีที่ครเู สนอปัญหา และ ประกาศมมุ ต่าง ๆ ภายในหอ้ งเรียนแทนแตล่ ะข้อ แล้วนักเรยี นแตล่ ะกลุ่มย่อยเขียนหมายเลขขอ้ ที่ ชอบมากกวา่ และเคลือ่ นเข้าสูม่ มุ ท่ีเลอื กไว้ นักเรยี นร่วมกันอภิปรายภายในกลุ่มตามมุมต่างๆ หลังจากน้นั จะเปดิ โอกาสใหน้ ักเรยี นในมมุ ใดมุมหนง่ึ อภปิ รายเรือ่ งราวท่ไี ด้ศึกษาให้เพ่ือนในมุมอื่นฟัง 6.11 เทคนคิ การอภปิ รายเปน็ คู่ (Pair discussion) เปน็ เทคนิคท่ีครูกาหนดหวั ข้อ หรือคาถาม แลว้ ให้สมาชกิ ทีน่ังใกลก้ ันรว่ มกนั คดิ และอภปิ รายเปน็ คู่ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชา ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

258 บทที่ 8 การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ 6.12 เทคนิคการคิดเดย่ี ว คิดคู่ รว่ มกันคดิ (Think - pair - share) เปน็ เทคนิคท่เี ริม่ จากปญั หาที่ครูผูส้ อนกาหนดนกั เรยี นแต่ละคนคดิ หาคาตอบดว้ ยตนเองก่อนแลว้ นาคาตอบไป อภิปรายกบั เพื่อนทีเ่ ปน็ คู่ จากนน้ั จึงนาคาตอบของแตล่ ะคู่มาอภปิ รายพร้อมกนั 4 คน เม่อื มัน่ ใจวา่ คาตอบของตนถูกต้องหรอื ดีทีสดุ จงึ นาคาตอบเล่าใหเ้ พื่อนทั้งช้ันฟัง 6.13 เทคนิคการทาเป็นกล่มุ ทาเปน็ คู่ และทาคนเดียว (Team - pair - solo) เป็น เทคนคิ ท่คี รกู าหนดปญั หาหรืองานใหแ้ ลว้ นักเรียนทางานร่วมกันทั้งกลุ่มจนงานสาเร็จ จากนนั้ จะแยก ทางานเป็นคู่จนงานสาเร็จ สุดทา้ ยนกั เรียนแต่ละคนแยกมาทาเองจนสาเรจ็ ไดด้ ้วยตนเอง 6.14 เทคนิคการอภิปรายเปน็ ทมี (Team discussion) เป็นเทคนิคท่ีครูกาหนด หวั ข้อหรอื คาถาม แล้วใหน้ กั เรยี นทกุ คนในกลุ่มร่วมกันระดมความคดิ และพูดอภปิ รายพรอ้ มกนั 6.15 เทคนคิ โครงงานเป็นทีม (Team project) เป็นเทคนิคทีเ่ หมาะสมกบั วชิ า วทิ ยาศาสตรม์ าก เทคนิคน้ีเร่ิมจากครูอธบิ ายโครงงานใหน้ ักเรยี นเข้าใจกอ่ นและกาหนดเวลา และ กาหนดบทบาทท่เี ท่าเทียมกันของสมาชิกในกลุ่ม และมีการหมุนเวยี นบทบาท แจกอปุ กรณต์ ่าง ๆ ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกันทาโครงงานที่ไดร้ ับมอบหมาย จากน้ันจะมีการนาเสนอโครงงานของแต่ ละกล่มุ 6.16 เทคนคิ สัมภาษณ์เป็นทีม (Team – interview) เปน็ เทคนคิ ที่มกี ารกาหนด หมายเลขของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม แลว้ ครผู สู้ อนกาหนดหัวขอ้ และอธิบายหวั ข้อให้นักเรยี นทง้ั ช้ัน สุม่ หมายเลขของนักเรยี นในกลุ่มยืนข้นึ แลว้ ใหเ้ พ่ือนๆ รว่ มทมี เปน็ ผ้สู มั ภาษณ์และผลัดกันถาม โดย เรยี งลาดบั เพ่ือนใหท้ ุกคนมีสว่ นรว่ มเท่า ๆ กัน เม่ือหมดเวลาตามท่ีกาหนด คนที่ถกู สมั ภาษณน์ ง่ั ลง และนกั เรียนหมายเลขต่อไปน้ีและถูกสัมภาษณ์หมนุ เวียนเชน่ นีเ้ รอื่ ยไปจนครบทุกคน 6.17 เทคนคิ บัตรคาชว่ ยจา (Color-coded co-op cards) เป็นเทคนิคทีฝ่ ึกให้ นกั เรียนจดจาข้อมลู จากการเลน่ เกมทใ่ี ชบ้ ตั รคาถาม บตั รคาตอบ ซึ่งนักเรยี นแต่ละกลุ่มที่เตรียมบตั ร มาเปน็ ผถู้ าม และมีการให้คะแนนกับกลมุ่ ท่ตี อบได้ถกู ต้อง 6.18 เทคนคิ การสร้างแบบ (Formations) เปน็ เทคนคิ ที่ครูผสู้ อนกาหนด วตั ถุประสงค์หรือสงิ่ ทีต่ ้องการให้นกั เรยี นสร้าง แล้วใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลุม่ รว่ มกันอภิปรายและทางาน ร่วมกันเพ่ือสร้างชิ้นงาน หรอื สาธติ งานทไ่ี ด้รับมอบหมาย เช่น ใหน้ กั เรยี นสาธิตว่าฤดกู าลเกดิ ข้ึนได้ อย่างไร สาธิตการทางานของกงั หนั ลม สร้างวงจรของหว่ งโซ่อาหาร หรอื สายใยอาหาร 6.19 เทคนิคเกมส่งปัญหา (Send- a-problem) เปน็ เทคนิคทีน่ ักเรยี นสนกุ กับเกม โดยนกั เรยี นทุกคนในกลุ่มต้ังปญั หาด้วยตัวเองคนละ 1 คาถามไว้ด้านหน้าของบตั รและคาตอบซ่อนอยู่ หลังบตั ร นกั เรียนแตล่ ะคนในกลุม่ กาหนดหมายเลขประจาตัว 1-4 เร่ิมแรกนักเรียนหมายเลข 4 สง่ เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ 259 ปญั หาของกลุม่ ใหห้ มายเลข 1 ในกล่มุ ถดั ไป ซึ่งจะเป็นผู้อ่านคาถามและตรวจสอบคาตอบส่วน สมาชิกคนอ่ืนในกลมุ่ ตอบคาถามในข้อถัดไปจะหมุนเวยี นให้สมาชิกหมายเลขอ่ืนตามลาดับ คอื นักเรยี นหมายเลข 2 เปน็ ผู้อา่ นคาถาม และตรวจคาตอบจนครบทกุ คนในกลุ่ม แล้วเริ่มใหม่ใน ลักษณะเช่นนีไ้ ปเร่ือยๆ ในรอบตอ่ ๆ ไป 6.20 เทคนิคแลกเปลี่ยนปญั หา (Trade-a-problem) เป็นเทคนคิ ที่ใหน้ กั เรยี นแต่ละ คู่ตงั้ คาถามเก่ียวกบั หวั ข้อที่เรียนและเขยี นคาตอบเก็บไว้จากน้ันให้นักเรียนแต่ละคู่แลกเปลย่ี นคาถาม กับเพ่ือนคู่อน่ื แต่ละคจู่ ะช่วยกันแกป้ ญั หาจนเสร็จ แลว้ นามาเปรยี บเทยี บกับวิธกี ารแกป้ ัญหาของ เพ่ือนเจา้ ของปญั หานัน้ 6.21 เทคนิคแบบเลน่ เลยี นแบบ (Match mine) เป็นเทคนคิ ทีใ่ หน้ ักเรียนกลมุ่ หน่ึง เรียงวัตถทุ ก่ี าหนดใหเ้ หมือนกัน โดยผลัดกันบอกซงึ่ แตล่ ะคนจะทาตามคาบอกเทา่ นน้ั หา้ มไม่ให้ ดูกนั วธิ ีนี้ใชป้ ระโยชน์ในการฝึกทกั ษะด้านการสอื่ สารให้แก่นักเรียนได้ 6.22 เทคนิคเครอื ข่ายความคิด (Team word – webbing) เป็นเทคนิคทใี่ ห้ นกั เรียนเขียนแนวคิดหลัก และองคป์ ระกอบย่อยของความคิดหลกั พรอ้ มกับแสดงความสัมพนั ธ์ ระหว่างความคิดหลกั กบั องค์ประกอบย่อยบนแผ่นกระดาษลักษณะของแผนภมู คิ วามรู้ สรปุ การสอนวิทยาศาสตร์จะประสบผลสาเรจ็ มากนอ้ ยเพียงใด ขน้ึ อยกู่ ับครผู ู้สอนไดน้ าวิธีและ เทคนิคการสอนมาใช้ วธิ สี อนแต่ละวิธจี ะมลี ักษณะเดน่ ท่ีมงุ่ ช่วยให้การสอนบางจุดหรือบางดา้ น บรรลผุ ลได้ดเี ป็นพเิ ศษ การใช้วิธีสอนน้นั ใหม้ ีคณุ ภาพสูงสุดจาเป็นที่ครผู ู้สอนจะต้องใชเ้ ทคนิคเสรมิ เพอ่ื จะชว่ ยให้ได้ผลเพ่ิมข้ึน แต่อยา่ งไรก็ตาม ถา้ มุ่งใช้เทคนิคเสริม โดยขาดขนั้ ตอนหรือองค์ประกอบ ที่เป็นแกนสาคญั กเ็ ท่ากบั วา่ ไมไ่ ดใ้ ชว้ ธิ ีนั้น เพราะขาดแกน่ สาคัญของวิธนี ้นั ซง่ึ จะมีผลทาให้การใช้วธิ ี นัน้ ไมเ่ กิดผลสมบูรณต์ ามวตั ถุประสงคข์ องวธิ นี นั้ ดังนนั้ ครูผู้สอนควรเลือกวิธแี ละเทคนิคการสอนท่ี สอดคลอ้ งกบั เนื้อหาและระดับความสนใจและระดบั การเรียนรู้ของผู้เรียน เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

260 บทท่ี 8 การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ ตัวอยา่ งแผนการสอน : จก๊ิ ซอวข์ องหนิ ดว้ ยเทคนคิ JIGSAW (ทม่ี า Hassard. (1999). จรยิ า สจุ ารีกุล, ผแู้ ปล) วัตถุประสงค์ : เพื่อเรียนรูว้ า่ จะนากลยุทธก์ ารเรยี นรจู้ ๊ิกซอว์ของหนิ ไปใช้อย่างไร ในการ จาแนกหินอัคนี หนิ ชนั้ และหินแปรมาใชแ้ กป้ ัญหาเกีย่ วกับหนิ วสั ดุอุปกรณ์: ชดุ การเรยี นรสู้ าหรบั นักเรียนแตล่ ะคู่ดังตอ่ ไปนี้ ผู้เชีย่ วชาญหนิ อัคนี : หนิ แกรนติ หนิ พมั มิส หินออบซเิ ดียน หินบะซอลต์ นา้ สม้ สายชู 1 ขวด แว่นขยาย ผเู้ ช่ยี วชาญหินตะกอน : หนิ ทราย หนิ ดนิ ดาน หนิ กรวดมน หนิ ปนู หินทีม่ ซี ากดึกดา บรรพใ์ ดก็ได้ น้าส้มสายชู 1 ขวด แวน่ ขยาย ผเู้ ชีย่ วชาญหินแปร : หินไนส์ หนิ ชสี ต์ หินชนวน หนิ อ่อน นา้ ส้มสายชู 1 ขวด แว่น ขยาย ทกุ กลมุ่ ไดใ้ บงานสาหรบั ผูเ้ ชย่ี วชาญ (ดังตวั อยา่ ง) วธิ ีการ 1. แบง่ นกั เรียนออกเป็นคูต่ ามกลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญท้งั 3 ด้าน ใหน้ ักเรียนคนหน่ึงได้ทา ชดุ การเรยี นร้สู าหรับ 2 คน ในกลุ่มเดยี วกนั นกั เรยี นควรจะได้ใบงานสาหรบั ผเู้ ช่ยี วชาญสาหรับกลุ่ม ของตนทาสาเนาใบงานสาหรบั ผู้เชยี่ วชาญท่ีจะบรรยายสาหรับ 2 คน 2. นกั เรยี นใช้วัสดุอุปกรณแ์ ละทางานเปน็ คเู่ พื่อตอบคาถามในใบงานสาหรับ ผ้เู ช่ียวชาญ นักเรียนสามารถใช้เอกสารอา้ งองิ และอินเตอร์เนต็ ช่วยตอบคาถาม 3. ช่วงสดุ ท้ายของคาบเรียนนักเรียนจะกลับเขา้ กล่มุ ของตวั เอง แจกใบงานใหแ้ ต่ละ กลุ่ม ซ่งึ นักเรียนจะต้องตอบคาถามเป็นกลุ่ม 4. อภปิ รายปญั หาทลี ะข้อ 5. ทดสอบความรเู้ รื่องหินของนักเรยี น โดยอาจใช้วธิ นี คี้ ือ แจกหินและแวน่ ขยาย ใหแ้ กน่ กั เรียน แลว้ ใหน้ ักเรียนเขียนลงในกระดาษวา่ นักเรยี นสามารถสร้างหนิ เช่นนั้นจากเศษหินทม่ี ี ลกั ษณะเหมือนหินท่ีนกั เรียนได้รบั มาอย่างไร บอกใหน้ ักเรียนอธิบายกระบวนการโดยละเอีย 6. ออกแบบใบประกาศนียบัตรท่ีจะแจกใหน้ ักเรียนในช้นั เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บทท่ี 8 การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ 261 ภาพประกอบท่ี 8.4 ใบงานสาหรบั ผู้เช่ียวชาญหนิ อัคนี (ท่ีมา Hassard. (1999). จรยิ า สุจารกี ลุ , ผแู้ ปล) หิน สี รูปรา่ งและสี การเรียงตัว ผลท่เี กิดขึน้ เมอ่ื การมซี ากดึกดา ประโยชน์ของหนิ ของผลกึ ของผลกึ หยดน้าสม้ สายชู บรรพ์ A B C D 1. หินเหลา่ นเี้ กิดขน้ึ ไดอ้ ย่างไร 2. หนิ เหล่านเ้ี กดิ ข้นึ ภายใต้สภาวะแวดล้อมอยา่ งไร 3. สังเกตหินแตล่ ะชนิดและบันทึกการสังเกตลงในกระดาษท่แี จกให้ 4. ถา้ มีแร่อยใู่ นหินเหลา่ น้ัน แรน่ ้ันคืออะไร 5. นักเรยี นพบหนิ ชนิดน้ที ี่ไหน 6. นักเรียนพบหนิ เหลา่ น้ีบนดนิ หรอื ใตด้ นิ ของโรงเรียน 7. นักเรียนสามารถจะบอกอะไรไดจ้ ากขนาดของผลึกในหนิ 8. ความแตกต่างระหวา่ งหนิ ท่เี ย็นตัวบนดินและใตด้ นิ คืออะไร 9. ถา้ นกั เรยี นต้องการสาธติ วา่ หินอัคนีเกิดข้ึนอยา่ งไร นักเรียนจะทาอยา่ งไร 10. นักเรยี นคดิ วา่ จะมีหินอัคนีบนดาวเคราะห์ดวงอ่นื หรอื ไม่ อธิบาย เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชา ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

262 บทท่ี 8 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ ภาพประกอบท่ี 8.5 ใบงานสาหรบั ผูเ้ ชยี่ วชาญหนิ ชน้ั (ทีม่ า Hassard. (1999). จริยา สุจารีกุล, ผแู้ ปล) หิน สี รูปร่างและสี การเรียงตวั ผลที่เกิดข้นึ เมื่อ การมซี ากดกึ ดา ประโยชน์ของหิน ของผลึก ของผลกึ หยดน้าสม้ สายชู บรรพ์ A B C D 1. หนิ เหล่านเ้ี กิดขึ้นได้อย่างไร 2. หินเหล่านี้เกิดข้ึนภายใตส้ ภาวะแวดลอ้ มอยา่ งไร 3. สังเกตหินแตล่ ะชนดิ และบันทึกการสงั เกตลงในกระดาษที่แจกให้ 4. ถา้ มีแร่อยูใ่ นหนิ เหล่าน้นั แรน่ ้ันคอื อะไร 5. นกั เรยี นพบหินชนดิ นี้ท่ีไหน 6. นักเรยี นพบหนิ เหลา่ นบ้ี นดนิ หรอื ใต้ดินของโรงเรียน 7. ทาไมนักเรียนจึงคาดว่าจะพบซากดึกดาบรรพ์ในชนั้ หิน 8. การเขย่าขวดท่ีใสท่ รายขนาดตา่ ง ๆ กบั น้า และสังเกตผลเป็นการแสดงกระบวนการเกิดหนิ ช้ันหรอื ไม่ อธิบายโดยใชแ้ ผนภาพและคาพดู ประกอบ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ 263 ภาพประกอบที่ 8.6 ใบงานสาหรับผเู้ ชี่ยวชาญหินแปร (ท่ีมา Hassard. (1999). จรยิ า สุจารกี ลุ , ผูแ้ ปล) หิน สี รูปร่างและสี การเรยี งตวั ผลทเ่ี กดิ ข้นึ เม่ือ การมซี ากดึกดา ประโยชน์ของหนิ ของผลกึ ของผลกึ หยดนา้ สม้ สายชู บรรพ์ A B C D 1. หินเหล่าน้เี กิดขนึ้ ได้อย่างไร 2. หินเหลา่ น้เี กิดขึ้นภายใต้สภาวะแวดล้อมอยา่ งไร 3. สังเกตหินแต่ละชนิดและบันทึกการสงั เกตลงในกระดาษทแ่ี จกให้ 4. ถา้ มแี ร่อยู่ในหนิ เหล่านน้ั แร่นั้นคอื อะไร 5. นักเรยี นพบหินชนิดนท้ี ่ีไหน 6. นักเรยี นพบหินเหล่าน้ีบนดินหรอื ใต้ดนิ ของโรงเรียน 7. ถ้านกั เรียนต้องการสาธติ วา่ หนิ แปรเกิดข้ึนได้อย่างไร นกั เรียนจะทาอยา่ งไร จงแสดงและ อธิบาย 8. นกั เรยี นคดิ ว่าจะมีหินแปรบนดาวเคราะห์ดวงอ่ืนหรอื ไม่ อธิบาย เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

264 บทท่ี 8 การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ ตัวอย่างแผนการสอน: เรอ่ื งแผน่ ดนิ ไหว โดยเทคนคิ K-W-L (ท่ีมา Hassard. (1999). จรยิ า สุจารกี ลุ , ผ้แู ปล) จดุ มุง่ หมาย: 1) เพ่ืออธิบายว่าแผน่ ดนิ ไหวเกิดข้นึ ได้อยา่ งไร 2) เพอื่ ทานายผลของการเกิดแผน่ ดนิ ไหว K: นกั เรยี นรอู้ ะไรมาบ้างแลว้ เก่ยี วกับหัวขอ้ นี้ ขอ้ สงั เกต: นค่ี อื สว่ นของการระดมความคดิ ซงึ่ นักเรียนจะบรรยายถึงสิง่ ทเี่ คยรูเ้ กีย่ วกบั แผน่ ดนิ ไหว บทบาทของครคู ือ การตง้ั ปัญหาหรอื ให้งานแก่นกั เรียน เพื่อช่วยใหน้ กั เรยี นเน้นการอ่าน ท่ีจะเกิดข้นึ ต่อไป 1. ต้ังคาถาม “นกั เรียนรูอ้ ะไรบา้ งเกยี่ วกบั แผน่ ดินไหว” ให้นักเรยี นจับคู่กนั ระดม ความคดิ และบันทึกส่งิ ที่เคยร้เู ก่ียวกับแผ่นดนิ ไหว 2. ใหน้ ักเรียนจบั คู่กนั ในกลุ่ม (กลุ่มละ 4 คน) แลว้ นาสิ่งท่ีทงั้ สองคใู่ นกล่มุ คิดได้มา รวมกันและเรยี บเรียงใหม่ 3. ใหน้ กั เรียนทุกกลุ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกนั ในการเขียนรายการข้อมลู เก่ยี วกบั หวั ขอ้ ทีอ่ าจจะอยู่ในส่ิงที่เป็นสาเหตุของการเกดิ แผ่นดินไหว อนั ตรายจากแผน่ ดินไหว คลืน่ แผน่ ดนิ ไหว และวิธีตรวจวัดแผ่นดนิ ไหว 4. ถามนกั เรียนว่า นกั เรยี นได้ข้อมลู เกี่ยวกับแผ่นดนิ ไหวมาได้อย่างไร ขั้นตอนยอ่ ย ของข้ันสุดท้ายนจี้ ะชว่ ยใหร้ พู้ ้ืนเดิมของนกั เรยี น และรู้แหล่งของขอ้ มูลที่เปน็ ความรู้เดมิ ของนักเรียน W: นักเรียนตอ้ งการรู้อะไรเก่ียวกับหัวข้อน้ี ขอ้ สังเกต: ข้นั น้ีช่วยใหน้ ักเรยี นรวู้ ่าจะอา่ นอะไร และช่วยให้นกั เรยี นม่งุ ไปยงั สง่ิ ทีต่ นต้องการ รจู้ ากการอา่ นข้นั น้นี ักเรยี นควรจะทาเป็นกล่มุ 1. นักเรียนทงั้ 4 คนในแต่ละกลุ่ม ตั้งคาถามเกีย่ วกับหัวขอ้ นี้มาคนละ 4 คาถาม 2. ครูจดคาถามเหล่านีบ้ นกระดาน ครคู วรขยายความของคาถาม อาจเลอื กคาถาม ทีน่ ักเรียนส่วนใหญส่ นใจสกั 2 คาถามหรือมากกว่าน้นั เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ 265 L: นักเรียนเรียนรู้อะไรเก่ียวกับหวั ขอ้ นี้ ขอ้ สงั เกต: นักเรียนอ่านเอกสารทแ่ี จกให้ เขียนสง่ิ ท่เี คยเรียนรู้มาแลว้ ลงในใบบันทึกข้อมูล การสอน โดยใชก้ ลยุทธก์ ารเรียนรู้แบบ K-W-L นักเรยี นต้องตรวจสอบว่า คาถามทีต่ นอยากรู้น้นั มีคน ตอบไปหรือยงั และถ้าความรู้เดิมของเขาได้รับการรับรองแลว้ วา่ ใชไ้ ด้ ให้นักเรยี นทางานเปน็ กลมุ่ ย่อย เพอื่ อภิปรายคาถามของกลมุ่ ตน 1. กลุ่มเสนอข้อมูลสาคญั ที่ไดม้ าใหน้ ักเรยี นทั้งชน้ั ดู ด้วยการติดข้อมลู บนกระดาน และอ้างอิงทม่ี าของข้อมลู 2. แตล่ ะกลมุ่ ตดั ข้อมลู ที่ไม่ตรงกับเอกสารอ้างองิ ออก 3. นกั เรียนเขียนสง่ิ ท่ีได้เรยี นรลู้ งในช่องสุดท้าย 4. ครเู ดินไปรอบหอ้ ง และถามนักเรียนเพื่อชี้ว่าคาถามของนกั เรยี นตอบไปหรือยัง 5. ครูให้แต่ละกลมุ่ เขียนแผนผงั แนวความคิดหลักและเสรมิ สิ่งที่ได้เรยี นร้จู ากการ อา่ นลงในแผนผงั เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาติวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

266 บทท่ี 8 การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์ ภาพประกอบที่ 8.7 ใบงานประกอบเร่อื งแผ่นดินไหว (ทม่ี า Hassard. (1999). จรยิ า สจุ ารกี ุล, ผูแ้ ปล) เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บทท่ี 8 การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ 267 ภาพประกอบที่ 8.8 ใบงานสาหรับกจิ กรรมการเรยี นรู้ KWL (ที่มา Hassard. (1999). จริยา สุจารกี ลุ , ผแู้ ปล) เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

268 บทท่ี 8 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ แบบฝึกหัดประจาบท คาชี้แจง ใหน้ ักศึกษาตอบคาถามต่อไปน้ี 1. วิธีการสอนและกลวธิ ีการสอนเหมือนหรอื แตกต่างกนั หรือไม่ อย่างไร 2. จงยกตวั อย่างวิธกี ารสอนและกลวิธกี ารสอนทีท่ า่ นรจู้ กั มาให้มากที่สุด 3. การสอนเปน็ คณะ (team) และการสอนแบบบรรยาย สาธิต การทดลอง อยู่ในระดบั เดียวกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร? 4. ขนั้ ตอนการสอนท่ีท่านรู้จกั ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนในหอ้ งเรียนมกี ่ีขน้ั ตอน อะไรบ้าง 5. แนวทางการจดั การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรท์ ่ีดี ควรเปน็ มีลักษณะอย่างไร (ตอบตามความ คดิ เหน็ ของท่าน) 6. ให้นักศกึ ษาออกแบบการสอนเนือ้ หา 1 เรื่อง พร้อมวบิ ุวิธกี ารสอนแต่ละขั้นตอนท่ีเลอื กใช้และ ระบเุ ทคนิคการสอนทน่ี ามาเสรมิ ในวิธสี อนนน้ั ๆ เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาติวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บทที่ 8 การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์ 269 เอกสารอา้ งอิง กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). การจัดสาระการเรียนร้กู ลมุ่ สาระวิทยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ครุสภาลาดพรา้ ว. ทิศนา แขมมณี. (2550). ศาสตร์การสอน. กรงุ เทพมหานคร: จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . นิคม ทาแดง และ สจุ ินต์ วศิ วธีรานนท์. 2529. เอกสารการสอนชดุ วิชาวิทยาศาสตร์ 3. กรุงเทพมหานคร: สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมมาธริ าช. พนั ธ์ ทองชุมนุม. 2545. การสอนวิทยาศาสตรร์ ะดับประถมศึกษา. ปัตตาน:ี คณะศึกษาศาสตร์. มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร.์ ลกั ขณา สรวิ ัฒน.์ (2549). การคิด. กรุงเทพมหานคร : โอเดยี นสโตร.์ พวงทอง มีมั่งค่ัง. (2537). การสอนวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯมหานคร: วิสิทธ์ิ พัฒนา. พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์. (2544). การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ: แนวคิดวิธีและเทคนิค การสอน2. กรุงเทพมหานคร: สถาบนั พฒั นาคณุ ภาพวิชาการ. พิมพนั ธ์ เดชะคุปต์. (2527).วตั ถปุ ระสงค์การเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตร์. เอกสารการสอนชุดวชิ า วทิ ยาศาสตร์ หน่วยที่ 1-7. กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. ภพ เลาหไพบลู ย์. (2540). แนวการสอนวิทยาศาสตร์ ระดับอดุ มศึกษา. พมิ พค์ รง้ั ที่ 2 กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช. ______ . (2542). แนวการสอนวทิ ยาศาสตร.์ พมิ พ์คร้ังที่ 3. กรงุ เทพมหานคร: ไทยวฒั นาพานิ มังกร สขุ ทองดี. (2523). การวางแผนการเรยี นการสอนวิทยาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร : สามเจรญิ พานชิ . มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. (2542). เอกสารการสอนชุดวิชาวิทยาศาสตร์ 3 หนว่ ยที่ 1-9. พมิ พค์ รงั้ ที่ 4. กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. ยพุ า วรี ะไวทยะ. (2539).มาตรฐานการศกึ ษาวิทยาศาสตร์ในศตวรรษท่ี 21, วารสารศกึ ษาศาสตร์ ปรทิ ัศน์. 11,3(กันยายน-ธนั วาคม 2539), 17. วรรณทิพา รอดแรงค้า. (2540). การประเมินทกั ษะกระบวนการและการแกป้ ัญหาในวชิ า วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ. ______ . (2540). การสอนวทิ ยาศาสตร์ทีเ่ น้นทักษะกระบวนการ. กรุงเทพมหานคร: สถาบนั พฒั นาคณุ ภาพวชิ าการ. เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

270 บทท่ี 8 การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์ _______ . (2544). การสอนวทิ ยาศาสตร์ท่เี น้นทักษะกระบวนการ. พิมพ์ครั้งที่2. กรุงเทพมหานคร: พฒั นาคณุ ภาพวิชาการ. สปิ ปนนท์ เกตุทตั . (2541). แนวความคดิ เก่ยี วกับทิศทางและนโยบายด้านวทิ ยาสาสตร์และเทคโนโลยี ศกึ ษาของประเทศไทย. วารสารวชิ าการ,1,5(พฤษภาคม 2541) ,2. สเุ ทพ อุสาหะ. (2527). การสอนวทิ ยาศาสตร์ระดบั มธั ยมศกึ ษา. มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลัยศรนี คริ นทรวโิ รฒ มหาสารคาม. สุนันท์ สงั ข์อ่อง. (2537). หน่วยท่ี 3 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในประมวลสาระชุดวิชาสารัตถะ และวิทยวธิ ที างวิชาวิทยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช . สนุ นั ท์ สงั ขอ์ ่อง. (ม.ป.ป.). ทัศนคติเชิงวทิ ยาศาสตร์ ใน เอกสารหน่วยการเรียนการสอนธรรมชาติ ของวทิ ยาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์การศาสนา. สุวฒั ก์ นิยมค้า. (2517). การสอนวทิ ยาศาสตรแ์ บบพฒั นาความคดิ . กรุงเทพมหานคร : วฒั นา พานชิ . สุวัฒก์ นิยมคา้ . (2531). ทฤษฎแี ละทางปฏิบตั ใิ นการสอนวิทยาศาสตรแ์ บบสืบเสาะหาความรู้. กรุงเทพมหานคร: เจเนอรลั บคุ๊ สเ์ ซนเตอร์. American Association for the Advancement of Science (AAAS). (2001). Science for all Americans Project 2061. New York: Oxford University Press. Abruscato, J. (1995). Teaching Children Science. Boston: Allyn and Bacon. Andersen, H. O. (1970). Reading in Science Education for the Secondary School. New York : The Macmillan Company, Gega, Peter C., and Peter Joseph, M. (1998). Science in Elementary. 8 th ed. NewJersy : Prentice-Hall, Inc.Smily,n.d. Scientific Mind.[online]. Available : http://www.reallygoodauthorsonline.com/ Hassard, J. (1999). วิทยาศาสตร์ คือกระบวนการสืบเสาะหาความรู้. (จริยา สจุ ารกี ลุ , 2550, ผู้ แปล). กรงุ เทพมหานคร: นานมีบ๊คุ ส์พับลเิ คชัน่ ส.์ Kagan, S. (1995). Cooperative Learning & Wee Science. San Clemento: Kagan Cooperative Learning. เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บรรณานกุ รม เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

270 บรรณานุกรม เอกสารประกอบการเรียนการสอน วิชา ธรรมชาติวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บรรณานกุ รม 271 บรรณานกุ รม กรมวชิ าการ. (2545). เอกสารประกอบหลกั สตู รการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2544 คูม่ ือการ จดั การเรยี นรู้สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร.์ กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ครุ สุ ภา. กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2546). การจัดสาระการเรยี นรูก้ ลุ่มสาระวิทยาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์ครุสภาลาดพรา้ ว. ขจรศักดิ์ บวั ระพันธ์ และ วรรณทิพา รอดแรงคา้ . (2548). แนวทางการพัฒนาครูวิทยาศาสตร์: การ พฒั นาความรู้ในเน้อื หาผนวกวิธสี อน. วารสารศกึ ษาศาสตรป์ รทิ ัศน์, 20(2), 31-48. ชตุ มิ า วัฒนะครี ี. (2541). การสอนวทิ ยาศาสตร์ในโรงเรียนมัธยมศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร: ภาควิชา หลกั สตู รและการสอน. ดรณุ ี แกว้ มว่ ง และคณะ. (2546). เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าวิถีโลก. ม.ป.ท: สานักงาน สภาสถาบันราชภัฏ. เติมศักด์ิ เศรษฐวัชราวนชิ และคณะ. (2539). วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อคณุ ภาพชีวติ . กรุงเทพมหานคร: เธิรด์ เวฟ เอ็ดดเู คชนั่ . ทบวงมหาวิทยาลัย. (2525). ชดุ การเรียนการสอนสาหรบั ครูวทิ ยาศาสตร์ เลม่ 1. กรุงเทพมหานคร: ทบวงมหาวิทยาลยั . ทวีศักด์ิ จินดานุรักษ์ และ พศิ าล สร้อยธหุ ร่า. (ม.ป.ป.). ชดุ พฒั นาทกั ษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ ขน้ั พนื้ ฐาน. มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช. เข้าถงึ เมอ่ื 8 สงิ หาคม 2555 ที่ http://www.stou.ac.th/schools/sed/projects/. ทวีศักดิ์ จินดานุรกั ษ์ และ อนันต์ จันทร์กวี. (ม.ป.ป.). ชดุ พัฒนาทกั ษะกระบวนการวทิ ยาศาสตร์ขัน้ พ้นื ฐาน. มหาวิทยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธิราช. สบื ค้นเมอ่ื 8 สงิ หาคม 2555, จาก http://www.stou.ac.th/schools/sed/projects. ทิศนา แขมมณี. (2550). ศาสตร์การสอน. พิมพ์ครงั้ ที่ 6. กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธารง บวั ศรี. (2531). ทฤษฎีหลักสตู ร การออกแบบและการพฒั นา. กรงุ เทพมหานคร: ธนธชั การ พมิ พ์. นคิ ม ทาแดง และ สุจินต์ วิศวธรี านนท์. (2529). เอกสารการสอนชุดวิชาวทิ ยาศาสตร์ 3. กรุงเทพมหานคร: สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมมาธริ าช. เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

272 บรรณานกุ รม นดิ า สะเพยี รชยั . (2526). ปรัชญาและความม่งุ หมายของการสอนวิทยาศาสตร์, วารสารสสวท, 5 (กรกฏาคม 2526), 4-8. บญั ญตั ิ ชานาญกิจ. (2542). กระบวนการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์. นครสวรรค์: คณะครุ ศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั นครสวรรค์. ปรชิ าติ เบญ็ จวรรณ์. (2551).ปัจจัยเชงิ สาเหตุท่สี ง่ ผลตอ่ จิตวทิ ยาศาสตรข์ องนกั เรยี นช่วงชน้ั ที่ 4 สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษากรงุ เทพมหานครเขต 2. ปริญญานพิ นธ์การศกึ ษา มหาบัณฑติ สาขาวิชาการวิจัยและสถิติทางการศึกษา มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. ปรีชา วงศ์ชศู ิริ และคณะ. (2525). เอกสารหนว่ ยการเรยี นการสอนธรรมชาติทางวิทยาศาสตร์. บรุ ีรมั ย์: วิทยาลยั ครบู ุรีรมั ย์. พงศักดิ์ สงั ขภญิ โญ. (ม.ป.ป.). พ้ืนฐานความรูด้ ้านวรรณกรรม. นครศรีธรรมราช: คณะมนุษยศาสตร์ และสงั คมศาสตร์ สถาบันราชภฏั นครศรธี รรมราช. พันธ์ ทองชุมนุม. (2545). การสอนวิทยาศาสตรร์ ะดบั ประถมศึกษา. ปตั ตาน:ี คณะศึกษาศาสตร.์ มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร.์ พวงทอง มีมั่งคั่ง. (2537). การสอนวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา. กรุงเทพมหานคร: วิสิทธิ์ พัฒนา. เพียร ซ้ายขวัญ.(2536). วิทยาศาสตร์กับสังคม. ม.ป.ท.: ม.ป.พ. พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์. (2544). การเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ: แนวคิดวิธีและเทคนิค การสอน2. กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั พฒั นาคณุ ภาพวิชาการ. พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์. (2527). วตั ถุประสงค์การเรียนการสอนวทิ ยาศาสตร์. เอกสารการสอนชุดวชิ า วทิ ยาศาสตร์ หน่วยที่ 1-7. กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. พศิ าล สร้อยธหุ รา่ . (2539). หนว่ ยที่ 5 ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ 4 ใน เอกสารการสอนชุด วิชาวิทยาศาสตร์ 3 : แนวคดิ ทางวิทยาศาสตร์. พิมพ์คร้งั ท่ี 3. กรงุ เทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช. ภพ เลาหไพบลู ย์. (2537). แนวการสอนวิทยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพาบีช. _______ . (2539). แนวการสอนวทิ ยาศาสตร.์ พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: ไทยวฒั นา พานิช. _______ . (2540). แนวการสอนวิทยาศาสตร์ ระดับอุดมศึกษา. พมิ พ์ครงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช. เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาตวิ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บรรณานุกรม 273 มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2542). เอกสารการสอนชุดวิชาวิทยาศาสตร์ 3 หน่วยท่ี 1-9. พิมพ์คร้งั ท่ี 4. กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช. มงั กร สุขทองดี. (2523). การวางแผนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร : สามเจรญิ พานชิ . ยพุ า วีระไวทยะ. (2539).มาตรฐานการศกึ ษาวิทยาศาสตร์ในศตวรรษท่ี 21, วารสารศกึ ษาศาสตร์ ปริทัศน์. 11,3 (กันยายน-ธนั วาคม 2539), 17. ราชวรมนุ ี (ประยูร ธมมฺ จติ ฺโต), พระ. (2542). ปรัชญากรีก บ่อเกดิ ภูมปิ ัญญาตะวันตก.พิมพค์ ร้ังที่ 4. กรงุ เทพมหานคร: ศยาม. ลกั ขณา สริวัฒน์. (2549). การคิด. กรงุ เทพมหานคร : โอเดียนสโตร.์ วรรณทพิ า รอดแรงค้า. (2540ก). คอนสตรัคติวซิ ึม. เอกสารประกอบการอบรม. กรงุ เทพมหานคร: ภาควชิ าการศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ______ . (2540ข.). การประเมนิ ทักษะกระบวนการและการแกป้ ญั หาในวชิ าวิทยาศาสตร์ ระดับ ประถมศึกษา. กรุงเทพมหานคร: สถาบนั พฒั นาคุณภาพวิชาการ. ______ . (2540ค.). การสอนวิทยาศาสตร์ทีเ่ น้นทกั ษะกระบวนการ. กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั พฒั นาคณุ ภาพวชิ าการ. ______ . (2544). การสอนวิทยาศาสตร์ท่เี นน้ ทักษะกระบวนการ. พมิ พ์คร้ังที่ 2. กรงุ เทพมหานคร: พฒั นาคณุ ภาพวชิ าการ จากัด วโิ รจน์ วฒั นานมิ ติ กลู . (2548). การพัฒนาหลกั สตู ร องคค์ วามรู้เพอื่ พัฒนาการศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร: คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏบา้ นสมเด็จเจ้าพระยา. วุฒิชัย ออ่ งนาวา. (ม.ป.ป.). ปรัชญาเบอ้ื งตน้ . สบื ค้นเมอ่ื 8 สิงหาคม 2555, จาก http://saengtham.wordpress.com/ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2524) . ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคาถามท่ีนาไปสทู่ ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี ______ . (2551). ตวั อย่างการประเมินผลวทิ ยาศาสตร์นานาชาติ: PISA และ TIMSS. กรงุ เทพมหานคร: สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลย.ี ______ . (2553). รายงานผลการวเิ คราะห์ข้อมลู เบื้องตน้ : PISA 2009. กรุงเทพมหานคร: สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลย.ี เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

274 บรรณานกุ รม _______ , [ม.ป.ป.]. สืบคน้ เม่ือ 4 มีนาคม 2554, จาก www3.ipst.ac.th/primary_math/training/pdf_train/math_p1_s_02.pdf) _______ . (2554). เอกสารการพฒั นาวิชาชีพครูวิทยาศาสตร์: กระบวนการเรยี นรูท้ ่เี หมาะสมกับ เนอื้ หาตามมาตรฐานหลักสูตร. กรงเทพมหานคร: สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลย.ี . [ม.ป.ป.]. [วดี ิทศั น์]. กรุงเทพมหานคร: สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สมจิต สวธนไพบูลย์. (2535). ประมวลการพฒั นาการสอนวิทยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร. สมคั ร บุราวาส. (2544). ปรชั ญา. พมิ พ์ครง้ั ที่ 4. กรุงเทพมหานคร : ศยาม. สปิ ปนนท์ เกตทุ ัต. (2541). แนวความคิดเกยี่ วกับทิศทางและนโยบายดา้ นวิทยาสาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ศึกษาของประเทศไทย. วารสารวิชาการ, 1,5 (พฤษภาคม 2541), 2. สจุ ินต์ วศิ วธีรานนท์. (2539). การเขยี นแผนการเรียนการสอน ในเอกสารการสอนชดุ วิชาการสอน วทิ ยาศาสตร์ หน่วยท่ี 8- 15. พิมพ์ครงั้ ท่ี 2. นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช. สุเทพ อุสาหะ. (2527). การสอนวทิ ยาศาสตร์ระดับมัธยมศึกษา. มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลยั ศรนี คริ นทรวโิ รฒ มหาสารคาม. สนุ นั ท์ สังข์อ่อง. (2537). หนว่ ยท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใน ประมวลสาระชุดวิชาสารตั ถะ และวทิ ยวิธีทางวิชาวิทยาศาสตร์. กรงุ เทพมหานคร: มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช . _______ . (ม.ป.ป.). ทัศนคติเชิงวิทยาศาสตร์ ใน เอกสารหนว่ ยการเรยี นการสอนธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพก์ ารศาสนา. สนุ นั ท์ บรุ าณรมย์ และคณะ. (2542). วิทยาศาสตรเ์ พ่ือคณุ ภาพชีวติ ในโครงการพัฒนาสื่อการศึกษา เพอื่ สง่ เสรมิ การเรียนร้ดู ว้ ยตนเองของนักศึกษา. กรงุ เทพมหานคร: เธริ ์ดเวฟ เอ็ดดเู คช่ัน. สุนีย์ คล้ายนิล,ปรีชาญ เดชศรี และ อัมพลิกา ประโมจนีย.์ (2550). บทสรุปเพื่อการบริหาร: การรู้ วทิ ยาศาสตร์ การอา่ น และคณิตศาสตร์ของนกั เรียนวัย 15 ปี. กรุงเทพมหานคร : สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. สุรวทิ ย์ ศรพี ล. (2540). เจตคติต่อวทิ ยาศาสตร์และเจตคตเิ ชงิ วิทยาศาสตร์ของนักเรยี นชัน้ มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ ในโรงเรยี นสงั กัดคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ. วิทยานพิ นธ์การศึกษามหาบัณฑติ สาขาวชิ าวิทยาศาสตรบัณฑิต มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. สรุ างค์ สากร. (2537). พฤตกิ รรมการสอน. กรงุ เทพมหานคร: ภาควิชาหลกั สตู รและการสอน คณะวิชาครุ ุศาสตร์ สถาบันราชภฏั จันทรเกษม. เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วชิ า ธรรมชาตวิ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ES12401)

บรรณานุกรม 275 สุวัฒก์ นิยมค้า. (2517). การสอนวิทยาศาสตรแ์ บบพฒั นาความคิด. กรงุ เทพมหานคร : วฒั นา พานชิ . ______ . (2531). ทฤษฎีและทางปฏิบตั ิในการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ บบสบื เสาะหาความรู้. กรุงเทพมหานคร: เจเนอรลั บคุ๊ สเ์ ซนเตอร.์ สานักงานคณะกรรมการศกึ ษาแหง่ ชาต.ิ (2544). รายงานการสมั มนาเร่อื งนโยบายปฏริ ูป วทิ ยาศาสตรศ์ กึ ษาของไทย. กรงุ เทพมหานคร: กล่มุ งานพัฒนานโยบายวิทยาศาสตร์ ศึกษา. สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน. (2553). คูม่ ือการประเมินสมรรถนะครู. กรุงเทพมหานคร : ม.ป.พ. สานักทดสอบทางการศึกษา. (2554). สบื คน้ เม่ือ 12 กันยายน 2554, จาก http://bet.obec.go.th ศรนิ ทพิ ย์ ภู่สาลี. (2542). การสอนวทิ ยาศาสตร์ระดับมธั ยมศึกษา. ลพบุร:ี คณะครุศาสตร์ สถาบนั ราชภฏั เทพสตร.ี อมรา ทองปาน และ วรี ศักด์ิ อดุ มโชค. (2541). วิทยาศาสตร์ทัว่ ไป. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. AAAS. (The American Association for the Advancement of Science, 1970). Science – A Process Approach: Commentary for Teacher. Washington D.C.: AAAS American Association for the Advancement of Science (AAAS). (2001). Science for all Americans Project 2061. New York: Oxford University Press. Abruscato, Joseph. (1995). Teaching Children Science. Boston: Allyn and Bacon. Andersen, H. O. (1970). Reading in Science Education for the Secondary School. New York: The Macmillan Company, Baxter, J.A. & Lederman, N.G. (1999). Assessment and measurement of pedagogical content knowledge. In J. Gess-Newsome and N.G. Lederman. (Eds.). Examining pedagogical content knowledge. Dordrecht, The Netherlands: Kluwer Academic Publisher. 147-161 Bell, J., Veal, W. R., & Tippins, D. J., (1998). The evolution of pedagogical content knowledge in prospective secondary physics teachers. Paper presented at the annual meeting of the National Association for Research in Science Teaching, San Diego, CA. เอกสารประกอบการเรยี นการสอน วิชา ธรรมชาติวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

276 บรรณานุกรม Buaraphan,K., (2006). The development and exploration of pre-service physics teachers’ pedagogical content knowledge: From a method course to teaching practice, Ph.D. thesis, Bangkok: Kasetsart University. Cochran, K. F., Deruiter, J. A., & King, R. A., (1993). Pedagogical content knowing: An integrative model for teacher preparation. Journal of Teacher Education, 44 (4), 263- 272. Faikhamta, C., (2007). The development of pre-service chemistry teachers’ pedagogical content knowledge: From a method course to field experience, Ph.D. thesis, Bangkok: Kasetsart University. Fernandez-Balboa, J., & Stiehl, J., (1995). The generic nature of pedagogical content knowledge among college professors. Teaching and Teaching Education. ,11(3), 293-306. Fosnot, C. T., (1996). Constructivism: A psychological theory of learning. In C. T. Fosnot (Ed.), Constructivism: Theory, perspectives, and practice (pp. 8- 33). New York: Teachers College Press. Geddis, A. N., & Wood, E., (1997). Transforming subject matter and managing dilemmas: A case study in teacher education. Teaching and Teacher Education, 13 (6), 611- 626. Gega, Peter C., and Peter Joseph, M. (1998). Science in Elementary. 8 th ed. New Jersy : Prentice-Hall, Inc.Smily,n.d. Scientific Mind.[online]. Available : http://www.reallygoodauthorsonline.com. Good, C. V. (1976). Dictionary of Education. New York : McGraw-Hill Book Company. Grossman, P. L. 1989. A study in contrast: Sources of pedagogical content knowledge for secondary English. Journal of Teacher Education, 40 (5), 24-31. Hassard, J. (1999). วิทยาศาสตร์ คอื กระบวนการสืบเสาะหาความรู้, (จริยา สุจารกี ลุ , 2550,ผู้ แปล). กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คสพ์ บั ลิเคช่นั ส.์ Kagan, S. (1995). Cooperative Learning & Wee Science. San Clemento : Kagan Cooperative Learning. เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)

บรรณานกุ รม 277 Leach, J., & Scott, P. (2002). Designing and evaluating science teaching sequence: An approach drawing upon the concept of learning demand and a social constructivist perspective on learning. Studies in Science Education, 38, 115-142. Loughran, J., Berry, A., and Mulhall, P., (2006). Understanding and developing science teachers’ pedagogical content knowledge. The Netherland: Sense Publication. Magnusson, S., Krajcik, J., & Borko, H. 1999. Nature, sources, and development of pedagogical content knowledge for science teaching. In J. Gess-Newsome & N. G. Lederman (Eds.), Examining pedagogical content knowledge (pp. 95- 132). Dordrecht, The Netherlands: Kluwer Academic Publisher. McComas, W. F. (2008). The Nature of Science in Popular Books on the Subject: Lessons for Science Education. In Lee, Y. J. & Tan, A. L. (Eds.) (2008) Science education at the nexus of theory and practice. Rotterdam: Sense Publishers. Marks, R. 1990. Pedagogical content knowledge: From a mathematical case to a modified conception. Journal of Teacher Education, 41(3), 3-11. Magrood-in, P., (2008). A professional development program for lower secondary science teachers’ development of pedagogical content knowledge in genetics, Ph.D. thesis, Bangkok: Kasetsart University. Schulte, P.L. (1996, November-December). Definition of Constructivism. Science Scop, 25-27. Shulman, L. S. 1986. Those who understand: Knowledge growth in teaching. Educational Researcher, 15(2), 4-14. Tamir, P. (1988). Subject matter and related pedagogical knowledge in teacher education. Teaching & Teacher Education, 4, 99-110. Theobald, D.W. (1968). An Introduction to the Philosophy of Science. London: Methuen. เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ า ธรรมชาติวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (ES12401)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook