Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ວິຊາເຄື່ອຂ່າຍຄອມພິວເຕີ computernetwork

ວິຊາເຄື່ອຂ່າຍຄອມພິວເຕີ computernetwork

Published by lavanh5579, 2021-08-27 03:37:27

Description: ວິຊາເຄື່ອຂ່າຍຄອມພິວເຕີ computernetwork

Search

Read the Text Version

ตวั กลางในการสงขอมูล 80 จะเกดิ ขนึ้ ในทุกทิศทาง (Omnidirectional) ทําใหเ สาอากาศที่ใชรบั สัญญาณไมจ ําเปนตองตั้งทิศทางใหช้ีตรง มายังเสาสงสัญญาณ เชน เสารบั สัญญาณของวทิ ยุตดิ รถยนต ในขณะท่ีรถยนตเคล่ือนท่ีไปเร่ือยๆ วิทยุในรถจะ สามารถรับสัญญาณวทิ ยุไดตลอดเวลา ตราบเทาทรี่ ถยังคงวงิ่ อยภู ายในพนื้ ทรี่ ศั มีการสงสัญญาณ อยางไรก็ตาม ในกรณขี องเสาอากาศโทรทศั นน ั้นมคี วามจําเปน ตอ งตดิ ตง้ั เสาอากาศใหช มี้ าทางสถานสี ง เพ่ือใหสามารถรับภาพ ไดอยางชัดเจน เน่ืองจากเปนสัญญาณชองความถี่กวาง ซึ่งมีความซับซอนมากกวาสัญญาณวิทยุทั่วไป แมวา รปู แบบของการแพรคล่ืนสัญญาณท่วั ไปจะเปนแบบวงกลม แตก ารใชเทคโนโลยีข้ันสูงเขาชวยจะสามารถสราง รูปทรงแบบวงรขี นึ้ มาได ท้งั น้ีเพ่อื หลกี เล่ียงพ้ืนทท่ี บั ซอ นของสัญญาณจากสถานขี างเคยี งใหน อยลง การสื่อสารโดยอาศัยคลื่นวิทยุจะกระทําโดยการสงคลื่นไปยังอากาศเพ่ือเขาไปยังเครื่องรับ วิทยุ โดยการใชเ ทคนคิ การกลํา้ สญั ญาณหรือที่เรียกวาการมอดูเลต ดวยการรวมกับคลื่นเสียงท่ีเปนคล่ืนไฟฟา ความถเี่ สยี งรวมกัน ทาํ ใหการสือ่ สารดวยวทิ ยุกระจายเสยี งน้นั ไมจ าํ เปนตองใชสาย อีกท้ัง ยงั สามารถสงคล่ืนได ในระยะทางทีไ่ กลออกไปไดต ามประเภทของคลืน่ นั้นๆ รวมถงึ เทคนคิ วธิ ีการ ผสมคล่ืนก็จะใชเทคนิคท่ีแตกตาง กัน ดงั นนั้ เคร่อื งรบั วทิ ยทุ ่ีใชงานเปน ประจําตองปรับใหตรงกับคลื่นท่ีสง มาดวย ภาพที่ 4.15 การส่ือสารโดยอาศยั คลื่นวทิ ยุ ท่มี า (ผูเขยี น) ตารางที่ 4.5 ขอ ดี – ขอ เสยี ของคล่ืนวทิ ยุ ขอ ดี ขอเสยี 1. คล่นื วิทยุเปนคลนื่ ท่สี ามารถสรางขึ้นใชง านไดง าย 1. ถกู รบกวนไดง า ยจากอปุ กรณไ ฟฟา 2. เปนคล่ืนท่ีสามารถสงแพรออกไปไดในระยะ 2. สัญญาณจะถูกลดทอนอยา งรวดเรว็ กรณีเดินทางไป ทางไกลๆ ยังพืน้ ทรี่ ะยะไกลๆ 3. เปนคล่นื ที่ทะลผุ า นวตั ถุกดี ขวางตา งๆ ไดด ี 3. สญั ญาณจะถกู ดูดซมึ เมอ่ื เดินทางผา นสายฝน 4. เปน คลน่ื ท่ีแพรออกไปท่ัวทศิ ทาง

ตวั กลางในการสง ขอมูล 81 4.3.2.2 ไมโครเวฟ (Microwave) ไมโครเวฟที่ใชในการถายทอดสัญญาณมีความถี่สูงมาก (3 - 30 GHz) ซง่ึ ชว ยใหส ามารถสงขอมูลออกไปดวยอัตราความเร็วท่ีสูงมาก สัญญาณไมโครเวฟเดินทางเปน แนวเสนตรง (Line-of-Sight Transmission) จึงเรียกวาเปนสัญญาณทิศทางเดียว (Unidirectional) การ วางตาํ แหนง และทศิ ทางของเสาอากาศจึงมีผลโดยตรงตอคุณภาพสัญญาณที่รับเขามา นอกจากนี้พายุฝนและ พายุหิมะจะเปน ตวั อุปสรรคโดยตรงตอ ความชดั เจนของสัญญาณไมโครเวฟ โดยสญั ญาณไมโครเวฟสามารถแบง ออกเปน สองชนดิ ไดแ ก 1) ไมโครเวฟชนิดตั้งบนพื้นดิน.(Terrestrial Microwave).จะสงสัญญาณ แลกเปลี่ยนกันระหวางสถานีบนพ้ืนดิน (Earth Station) สองสถานี โดยปกติขนาดของจานรับ-สงสัญญาณ (Dish) จะมีเสนผาศูนยกลางประมาณ 10 ฟุต เน่ืองจากคลื่นไมโครเวฟเดินทางเปนเสนตรง ดังน้ันสถานีบน พน้ื ดินจงึ ตงั้ อยูใกลก นั ในระยะประมาณ 40-48 กิโลเมตร และอาจไกลถงึ 88 กโิ ลเมตรไดใ นกรณที ส่ี ถานที ้ังสอง ตั้งอยูส งู จากพืน้ ดนิ มากๆ เชน ตั้งอยูบนยอดตึกสูง แตทั้งนี้จะตองไมมีวัตถุใดๆ ขวางระหวางสถานีทั้งสอง ถา สถานีตั้งอยูหางจากกันมากเกินไปสัญญาณท่ีสงออกมาจะถูกสวนโคงของผิวโลกบังไวทําใหอีกสถานีหน่ึงไม สามารถรับสญั ญาณน้ันได ภาพท่ี 4.16 ไมโครเวฟชนดิ ต้ังบนพนื้ ดนิ ที่มา (ดัดแปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 204) ในปจจุบัน สื่อชนิดน้ีไดถูกนํามาใชงานอยางกวางขวางสําหรับการสื่อสารระยะ ทางไกล ซ่ึงไมสามารถติดตัง้ สื่อชนดิ สายทว่ั ไปได เชน ในกรณที ีต่ อ งเดนิ สายสญั ญาณขามถนนหรอื ขา มพ้นื ทีข่ อง ผอู นื่ โดยเฉพาะในกรณที ไ่ี มสะดวกท่ีจะใชส ายเสน ใยนําแสง หรือการส่ือสารดาวเทียม อีกทั้งยังมีราคาถูกกวา และติดตัง้ ไดงา ยกวา ยังสามารถสง ขอมูลไดค ราวละมากๆ อยางไรก็ตามปจจัยสําคัญท่ีทําใหไมโครเวฟชนิดตั้ง บนพืน้ ดนิ เปน ทน่ี ยิ ม คอื ราคาที่ถกู

ตวั กลางในการสง ขอมูล 82 ตารางที่ 4.6 ขอ ดี - ขอ เสียของไมโครเวฟชนดิ ตั้งบนพื้นดิน ขอดี ขอ เสยี 1. เปนคลื่นความถท่ี สี่ ามารถบังคับทิศทางได 1. การติดตง้ั ตอ งใชเงินลงทนุ สงู 2. สามารถตดิ ต้งั เสารับสงเพ่ือทอดสัญญาณตอไปบน 2. มีขอ จาํ กดั ดา นภมู ปิ ระเทศ เชน ภูเขาหรือตึกอาคาร ระยะทางไกลๆ ไดด ี สูง อาจบดบงั สญั ญาณได 3. มแี ถบความถสี่ งู 3. ภูมิอากาศแปรปรวนจะรบกวนตอระบบการส่ือสาร 4. นําไปใชงานรวมกับระบบการส่ือสารท่ัวไปไดเปน อยางดี 2) ไมโครเวฟดาวเทียม การสงสญั ญาณไมโครเวฟผานดาวเทียม (Satellite Microwave) ประกอบดว ยดาวเทียมหน่ึงดวงซง่ึ จะตองทาํ งานรว มกบั สถานพี ้นื ดนิ ตง้ั แตสองสถานขี ึ้นไป สถานี พน้ื ดินถกู นาํ มาใชเพอื่ การรบั และสง สัญญาณไปยงั ดาวเทียม ซึ่งดาวเทยี มจะทําหนา ที่เปน อปุ กรณทวนสัญญาณ และจะสงสญั ญาณกลับมายงั พ้ืนผิวโลกในตาํ แหนงท่สี ถานพี ้ืนดินแหง ทสี่ องตัง้ อยดู าวเทยี มสวนใหญถูกสงขึ้นไป อยทู ีร่ ะยะสูงประมาณ 35,680 กิโลเมตรจากผิวโลก ตามแนวเสนศูนยสูตรซ่ึงจะเปนระยะที่เหมาะสม ทําให ดาวเทียมใชเวลาโคจรรอบโลก 24 ชั่วโมงเทากับเวลาท่ีโลกหมุนรอบตัวเองพอดี ดังนั้นจึงทําใหดูเหมือนวา ดาวเทียมประเภทนี้ลอยน่ิงคงที่อยูเสมอ ซ่ึงเรียกวา ดาวเทียมโคจรสถิตย (Geosynchronous Orbiting Satellites: GEOS) การสงสญั ญาณขอมูลขนึ้ ไปยังดาวเทียมเรียกวา “สญั ญาณอปั ลิงก” (Up-link) และการสง สัญญาณขอมูลกลับลงมายังพื้นโลกเรียกวา “สัญญาณดาวน-ลิงก” (Down-link) ลักษณะของการรับสง สญั ญาณขอมูลอาจจะเปนแบบจุดตอจุด (Point-to-Point) หรือแบบแพรสัญญาณ (Broadcast) โดยสถานี ดาวเทียม 1 ดวงสามารถมเี ครอ่ื งทบทวนสัญญาณดาวเทียมไดถ ึง 25 เครอื่ ง และสามารถครอบคลุมพื้นทีก่ ารสง สัญญาณไดถึง 1 ใน 3 ของพ้ืนผิวโลก ดังนั้นถาจะสงสัญญาณขอมูลใหไดรอบโลกสามารถทําไดโดยการสง สญั ญาณผา นสถานดี าวเทยี มเพียง 3 ดวงเทา นน้ั

ตวั กลางในการสง ขอมูล 83 ภาพท่ี 4.17 ไมโครเวฟดาวเทียม ที่มา (ผเู ขยี น) จาํ นวนดาวเทียม (Satellites) ในปจจุบันมีมากจนอาจสรางปญหาในการใชง าน เนือ่ งจากการใชสัญญาณคลน่ื ที่มคี วามถ่ีใกลเคยี งกนั ของดาวเทียมที่อยใู กลกันจะรบกวนกันเองจนไมสามารถ ใชง านได เพ่อื ปอ งกนั การเกดิ ปญหาน้ี ดาวเทียมประเภทวงโคจรสถิตจงึ ถกู กําหนดใหม ตี าํ แหนงหางกัน 4 องศา แมวาดาวเทียมแตละดวงจะมีอายุการใชงานท่ีจํากัดและคอนขางส้ัน (ประมาณ 10 ป) แตเนื่องจากจํานวน ดาวเทียมทเ่ี พ่ิมขน้ึ อยางตอ เนื่อง ทําใหห ลายประเทศทวั่ โลกมีความกงั วลวาพน้ื ท่บี นช้นั บรรยากาศจะเตม็ ทําให ตนเองไมสามารถมีดาวเทียมเปนของตนเองได การสงสัญญาณขอมูลทางดาวเทียมสามารถถูกรบกวนจาก สัญญาณภาคพน้ื อื่นๆ ได อีกท้ังยังมีเวลาประวิง (Delay Time) ในการสงสัญญาณเนื่องจากระยะทางข้ึน-ลง ของสัญญาณ และทสี่ าํ คญั คอื คา ใชจายในการลงทุนสงู ทาํ ใหคาบริการสูงตามข้นึ มาเชนกัน ตารางท่ี 4.7 ขอ ดี – ขอเสยี ของไมโครเวฟดาวเทียม ขอ เสีย ขอ ดี 1. ลงทนุ สูงมาก เนื่องจากอปุ กรณม ีราคาแพง 2. ปญหาความปลอดภยั ของขอ มูล เน่อื งจากสัญญาณ 1. สามารถสงสญั ญาณแพรอ อกไปไดไกลท่ัวโลก ดาวเทียมสง ขอ มูล แบบแพรก ระจาย 2. ตนทนุ คาใชจา ยไมขนึ้ กบั ระยะทาง 3. เน่ืองจากดาวเทยี มใชค ล่ืนความถี่สูง จึงสามารถถูก รบกวนดวยสภาพ ภูมิอากาศที่แปรปรวนไดงาย เชน พายแุ ละฝนตกชุก 4. ดาวเทยี มแตละดวงมีอายกุ ารใชงาน

ตัวกลางในการสงขอมูล 84 4.3.2.3 บลูธทู (Bluetooth) เทคโนโลยีบลธู ูท เกดิ ขน้ึ เม่ือราวป ค.ศ. 1998 หากเทยี บป พ.ศ. ในประเทศไทย บลูธูท เกิดข้ึนในป พ.ศ. 2541 ซ่ึงแตเดิมบลูธูทถูกออกแบบมาเพ่ือใชเปนวิธีใหมของการ เชอ่ื มตอ หฟู งเพื่อใหสะดวกตอการใชงาน มีขอ ดีตรงที่ลงทุนตาํ่ และใชพลงั งานตาํ่ ตอมาจึงไดนาํ มาพัฒนาเพื่อใช สาํ หรับการส่อื สารไรสายบนระยะทางสนั้ ๆ ตัง้ แต 10 เซนตเิ มตร ถึง 10 เมตร มคี วามแตกตา งเม่อื เทียบกับการ การส่ือสารไรสายในแบบอื่นเพราะเหมาะสําหรับการสื่อสาร และสงขอมูลแบบใกลๆ ตัวอยางอุปกรณที่ สนับสนนุ เทคโนโลยบี ลูธทู เชน คอมพิวเตอรโ นต บุก โทรศัพทมือถือ เปนตน ภาพท่ี 4.18 เทคโนโลยบี ลูธูท ทีม่ า (ผูเ ขียน) ตารางที่ 4.8 ขอ ดี - ขอ เสยี ของบลธู ทู ขอดี ขอเสีย 1. มีกลมุ บรษิ ัทมากมายท่ใี หการสนบั สนนุ จงึ ทําใหปจจุบัน 1. ความเร็วในการถายโอนขอมูลจะลดลงเมื่อมี คอมพิวเตอรโนตบุค โทรศัพทมือถือ พีดีเอ แมกระท่ัง การเช่อื มตอกันหลายๆ จุด อุปกรณสํานักงานอยาง เครื่องพิมพ เคร่ืองสแกนเนอร เครอ่ื งแฟกซ และหูฟง มักมีการผนวกฟงกชั่นบลูธูทมาให เพือ่ เพิ่มความสะดวกในการใชง านยิง่ ขึน้ 2. คลน่ื ความถส่ี ามารถสงผานวัตถหุ รือสง่ิ กดี ขวางได 2. เหมาะสมกับการสอื่ สารในระยะทางใกลๆ 3. สามารถเชอื่ มโยงเปน เครือขายขนาดเล็กได 3. ปญหาเรื่องการชนกันของขอมูล กรณีสื่อสาร ผานอุปกรณหลายๆ อุปกรณ 4. สามารถสื่อสารขอมูลไดหลายรูปแบบ เชน ขอความ เสียง และสอื่ ประสม 5. ตนทนุ อุปกรณมรี าคาไมแ พง

ตัวกลางในการสง ขอมูล 85 4.4 หลักเกณฑก ารพจิ ารณาเลอื กสือ่ นําขอ มูล 4.4.1 ตน ทุน (Cost) การพิจารณาดา นตน ทนุ น้นั ความจริงแลวมสี ว นเกีย่ วของกบั สอื่ ตัวกลางประเภท ตางๆ ทุกชนิด ไมวาจะเปนในเร่ืองของราคาของตัวกลางในแตละชนิดท่ีมีความแตกตางกัน รวมถึงราคาที่ แตกตางกันของวัสดุที่นํามาผลิตส่ือตัวกลางชนิดน้ันๆ ดวย ยกตัวอยางเชน สายคูบิดเกลียวจัดเปนตัวกลาง สงผานขอมูลท่ีมีราคาไมแพง หรือถูกมากเมื่อนํามาเทียบกับสายไฟเบอรออปติค และสายโคแอกเชียล แตอยา งไรก็ตามยงั คงมคี วามจําเปนดา นอ่นื ตอการพิจารณาตนทุน เชน 4.4.1.1. ตนทุนของอปุ กรณสนบั สนนุ ของสายเคเบิลชนดิ นน้ั ๆ 4.4.1.2. ตนทนุ ในการติดต้ังอุปกรณ 4.4.1.3. การเปรียบเทยี บประสทิ ธิภาพ สมกบั ราคาท่ลี งทุนหรือไม สามารถเปรียบเทียบโดยใช เปนอตั ราสวน หรอื การหาความคมุ คาในการลงทนุ เทา ใด นอกจากการพิจารณาตนทุนของตัวกลางสงขอมูลแลว ตัวกลางแตละชนิดยังคงมีตนทุนดานการ บาํ รงุ รกั ษาตามมาอีกดวย ยกตวั อยางเชน ตัวกลางแบบมีสาย สายสัญญาณดังกลาวจะมีอายุการใชงานไดก่ีป ซง่ึ คาํ ถามนเ้ี ปน เรื่องท่ตี อบไดย ากมาก เราจาํ เปน ตองพิจารณาจากสภาพแวดลอ มที่ติดตง้ั สาย คุณภาพของสาย ทีน่ ําไปติดตงั้ และอืน่ ๆ ทส่ี ามารถนํามาเปน ปจจัยได 4.4.2 ความรวดเร็ว (Speed) ในการประเมินคุณภาพ หรือคุณสมบัติดานความเร็วของตัวกลาง จะพิจารณาความเร็วสองชนดิ ซ่ึงประกอบดว ย 4.4.2.1. ความรวดเรว็ ในการสงผานสัญญาณ (DTS = Data Transmission Speed) หมายถึง ความรวดเร็วในการสงขอมูล ซ่ึงสามารถคาํ นวณไดจ าก จํานวนบิตตอ วนิ าที ซงึ่ จะขึ้นอยูกับแบนดวิดธ ท่เี หมาะสมของตัวกลางประเภทน้ันๆ ระยะทางทขี่ อ มลู จะตอ งเดินทางและสภาพแวดลอมที่ตัวกลางน้ันจะตอง ผาน ยกตัวอยา งเชน สัญญาณรบกวนตามพน้ื ที่ตางๆ นอกจากนส้ี ง่ิ ท่ีตองคาํ นึงถงึ คือตัวกลางท่ีนํามาใชสามารถ ขยายแบนดวิดธเพ่ือรอบรับเทคโนโลยีในอนาคตหรอื ไม 4.4.2.2. ความรวดเร็วในการเผยแพรสัญญาณ (PS = Propagation Speed) หมายถึง ความรวดเรว็ ของสัญญาณที่เคล่อื นที่ผา นส่ือตัวกลาง เชน ความแตกตางของสายคูบิดเกลียว กับสายใยแกวนํา แสง ซึง่ ความรวดเร็วของสายใยแกวนาํ แสงจะเร็วกวา เพราะจะมีการสง ท่คี วามเรว็ ใกลเ คียงกบั ความเร็วของแสง 4.4.3 ระยะทาง (Distance and Expandability) หมายถึง ส่ือกลางในการสงขอมูล แตละชนิด จะมีขีดความสามารถในการสงสัญญาณไดในระยะทางท่ีมีความแตกตางกัน ยกตัวอยางเชน สาย UTP จะสามารถเชอ่ื มตอ ไดไ มเ กิน 100 เมตร ซึ่งหากตอ งการเชอื่ มตอหรอื ขยายระยะทางจาํ เปนตอ งมอี ุปกรณทีใ่ ชใน การทวนสัญญาณ เพ่ือใหสัญญาณสามารถสงทอดออกไปไดในระยะท่ีไกลขึ้น ในขณะที่หากใชสายไฟ

ตวั กลางในการสงขอมูล 86 เบอรออปติคสามารถเช่ือมโยงไดโ ดยใชส ายเพียงเสนเดียว และไมตอ งใชอ ุปกรณใ นการทวนสญั ญาณแตอยางใด ดังน้ัน ระบบเครือขายท่ีมีการเช่ือมโยงระยะไกลจึงมักใชสายไฟเบอรออปติคเปนแกนหลัก เพราะสามารถ เช่อื มโยงไดใ นระยะไกล อีกท้งั ยงั มคี วามเร็วในการสงผานขอมูลอกี ดวย 4.4.4 การเกดิ สญั ญาณรบกวนเพราะสภาพแวดลอม (Environment) หมายถึง ปจจัยที่อาจเกิดจาก สภาพแวดลอ ม ซึ่งถือวาเปน ปจจยั ท่สี ําคัญอกี ประการหนงึ่ ทีจ่ ะพิจารณาส่อื กลางในการสง ขอมลู จําเปน อยางย่งิ ท่ีจะตองทําการคัดเลือกสื่อกลางท่ีใชในการสงขอมูล เพ่ือใหสามารถตานทานตอสัญญาณรบกวน เชน การเลือกใชส ายสัญญาณทีม่ ฉี นวนปองกนั การรบกวน 4.4.5 ความปลอดภยั (Security) หมายถงึ ขอ มลู น้ันจําเปนตองเดินทางไปอยางปลอดภัยในระหวาง การรับและสง ซึ่งถือวาเปนสิ่งที่สําคัญมาก หากมีบุคคลใดสามารถทําการลับลอบตอสายเพื่อดัก หรือขโมย สัญญาณและนําขอมลู ไปใชในทางมิชอบ ก็จะเปนอันตรายตอ คนในองคกรเปน อยา งมาก ระบบท่ีจําเปนตองใช การรักษาความปลอดภัยในระดับสูง จําเปนอยางยิ่งที่จะตองเลือกส่ือกลางที่ยากตอการดับจับสัญญาณของ ขอมูล เชน สายใยแกว นาํ แสง หรอื ใชว ิธใี นการเขา รหสั ขอ มลู กอ นสง ผานไปยงั ตัวกลาง เพราะหากถูกขโมยหรือ ดกั สัญญาณฝายผทู ่รี บั หากไมมีโปรแกรมในการถอดรหัสกจ็ ะไมส ามารถนําขอมูลไปใชได 4.5 แบบฝก ปฏิบัตกิ ารเขา หวั RJ45 การเขาหวั RJ45 หรอื การเขา หัวสาย Lan สามารถแบงออกไดเปน สองแบบ มรี ายละเอียดดงั ตอไปน้ี 4.5.1 การเขาหัวแบบสายตรง (Straight – thru cable) ใชในการเช่ือมเคร่ืองคอมพิวเตอรเขากับ อุปกรณเครอื ขา ยจําพวก Hub และ Switch โดยการเขาหวั ท้งั 2 ปลายจะตองเปนแบบเดียวกัน (แบบ A หรือ B) 4.5.2 การเขา หัวแบบสายไขว หรอื เรยี กวา Crossover ใชใ นการเช่ือมตอระหวางเครื่องคอมพิวเตอร สองเครอื่ งโดยตรง ไมผ า นอุปกรณป ระเภท Hub และ Switch นอกจากน้ียังใชเ ชอื่ มระหวา งเครอ่ื งคอมพวิ เตอร และ Router (ซึง่ ถือวาเปนคอมพิวเตอรอ ีกรปู แบบหนึ่ง) โดยการเขาหัวท่ีปลายท้งั 2 จะไมเหมือนกัน กลาวคือ ปลายขา งหนง่ึ เขา หัวแบบ A อีกปลายจะเขาหวั แบบ B

ตวั กลางในการสงขอมูล 87 การเรียงสายแบบ A ใชร ปู แบบการเรยี งจากซา ยไปขวา ดงั น้ี - ขาว/เขยี ว - เขยี ว - ขาว/สม - นํ้าเงนิ - ขาว/นํ้าเงิน - สม - ขาว/น้ําตาล ภาพท่ี 4.19 การเรียงสายแบบ A - น้ําตาล ที่มา (ผูเ ขยี น) การเรียงสายแบบ B ใชร ูปแบบการเรียงจากซา ยไปขวา ดังนี้ - ขาว/สม - สม - ขาวเขยี ว - นา้ํ เงนิ - ขาว/นา้ํ เงนิ - เขยี ว - ขาว/น้ําตาล ภาพท่ี 4.20 การเรียงสายแบบ B - นาํ้ ตาล ท่มี า (ผเู ขยี น) วิธกี ารเขา หวั RJ45 สามารถปฏบิ ตั ไิ ดด งั น้ี 1. ทําการปลอกที่หุมสายออกประมาณ 2-3 ซม. และทําการคล่ีสายออก จัดเรียงสายท้ัง 8 เสน ให ถูกตอ งตามที่ตอ งการ โดยสามารถเลอื กแบบ A หรอื B กไ็ ด แตโ ดยสวนมากในกรณีทตี่ องการตอโดยมีตัวกลาง เราจะเรียงสายแบบ B ทั้ง 2 ดาน คือการเรียงจากซายไปขวาโดย เริ่มจาก ขาว/สม, สม, ขาวเขียว, นํ้าเงิน, ขาว/นา้ํ เงนิ , เขียว, ขาว/นา้ํ ตาล, น้าํ ตาล

ตัวกลางในการสงขอมูล 88 ภาพที่ 4.21 การปลอกทห่ี มุ สายและทําการคลส่ี ายออก ทม่ี า (ผูเ ขยี น) 2. นาํ สายทเี่ รยี งไว สอดเขา ท่ีหวั RJ45 โดยใสเ ขา ไปใหส ดุ และแนน แลว จึงใชท่ีเขา หัวสายหนีบ เพ่ือดัน ใหเขาที่ ภาพที่ 4.22 การเขา หวั ที่มา (ผูเขยี น) 3. ทําการตรวจสอบสญั ญาโดยใชเคร่ืองมือในการทดสอบ โดยนําสาย Lan ที่ทําการเขาหัวเรียบรอย แลว เสียบเขาท่ีเครื่องมือตรวจสอบสัญญา เปด Switch และทําการสังเกตตรงสัญญาไฟ โดยสัญญาไฟที่ เครือ่ งมือตอ งว่ิงจาก หมายเลข 1 ไปยงั หมายเลข 8 ครบทกุ ชองสัญญา หากไมค รบทกุ ชอ งสัญญาแสดงวาสาย ที่เขา อาจมีหวั ดานใดมีปญ หาในการเขา หวั ก็เปน ได โดยเราตองทําการตัดหัวดานท่ีคิดวาเปนปญหาแลวเขาหัว ใหมท นั ที ภาพที่ 4.23 การตรวจสอบสญั ญา ท่ีมา (ผเู ขยี น)

ตวั กลางในการสง ขอมูล 89 บทสรปุ ขอ ควรพิจารณาในการออกแบบระบบการสงผานขอมูล คืออัตราความเร็วของขอมูล และระยะทาง (Data Rate and Distance) แบนดวิดท (Bandwidth) คือแถบความถ่ีของชองสัญญาณ ถาชองสัญญาณมี ขนาดใหญก็จะทําใหสามารถเคลื่อนยายปริมาณขอมูลไดจํานวนมากข้ึน ความสูญเสียตอการสงผาน (Transmission Impairments) หมายถงึ การออ นตวั ของสญั ญาณ ซงึ่ การออนตัวของสัญญาณจะเกี่ยวของกับ ระยะทางในการสงผานขอมลู ตวั กลางทีใ่ ชส ง ขอมลู (Transmission Media) ซึ่งตัวกลางที่ใชส งขอ มูลก็อาจเปน ตวั กลางแบบมสี ายนําทาง (Guide Media) หรอื ตวั กลางแบบไรส าย (Unguided Media) ส่อื สารกลางสง ขอ มลู ประกอบสองวิธี 1. การสงสัญญาณบนสอื่ กลางแบบเบสแบนด (Baseband) โดยเครอื ขายคอมพวิ เตอรส ว นใหญ มกั ใชการสงสัญญาณชนิดนจ้ี ุดเดน คือสามารถจัดการควบคุมไดงาย 2. การสงสัญญาณบนสื่อกลางแบบบรอด แบนด (Broadband) เปนการใชชองทางการสื่อสาร หลายชองทางเพื่อสงสัญญาณอนาล็อก ตัวกลางการ สอื่ สาร (COMMUNICATION MEDIA) เปน สอื่ ที่ตอ เชือ่ มการสอ่ื สาร ระหวางผสู ง และผูรับขอ มูล ตวั กลางท่ใี ชใน การส่ือสารแบงออกเปนสองประเภทหลัก คือ ส่ือนําขอมูลแบบมีสาย (wired media) นิยมใช มีสามชนิด 1. สายคูบิดเกลียว (Twisted pair Cable) 2. สายเคเบิลรวมแกนหรือสายโคแอ็กเชียล (Coaxial Cable) 3. สายไฟเบอรออปติก (Fiber Optic Cable) โดยสายไฟเบอรออปติกสามารถแบงออกเปนสองประเภท 1) แบบมัลติโหมด (Multimode Fiber Optic : MMF) สามารถแบงออกเปนสองชนิดยอย ไดแก Step lndex และ Graded lndex 2) แบบซิงเกิลโหมด (Single Mode Fiber : SMF) และส่ือนําขอมูลแบบไรสาย (wireless media) นิยมใช มีสามชนิด ไดแก 1. คลื่นวิทยุ (Broadcast Radio) 2. ไมโครเวฟ (Microwave) โดยไมโครเวฟแบงออกเปนสองชนิดคือ ชนิดต้ังบนพ้ืนดิน และชนิดดาวเทียม 3. บลูธูท (Bluetooth) หลกั เกณฑก ารพจิ ารณาเลือกสอื่ นาํ ขอมูล 1. ตน ทนุ (Cost) 2. ความรวดเร็ว (Speed) 3. ระยะทาง (Distance and Expandability) 4. การเกิดสัญญาณรบกวนเพราะสภาพแวดลอม (Environment) 5. ความปลอดภัย (Security)

ตวั กลางในการสง ขอมูล 90 คาํ ถามทบทวน 1) การส่อื สารแบบไรสาย และการสื่อสารแบบมีสายแตกตา งกนั อยางไร ? 2) จงบอกขอแตกตา งระหวางสาย UTP และสาย STP 3) สายไฟเบอรอ อปตกิ แบบมลั ติโหมดมรี ูปแบบการทํางานกี่รปู แบบ อะไรบาง 4) การสง สัญญาณบนสื่อกลางแบบเบสแบนดแตกตา งจากแบบบรอดแบนดอยางไร จงอธบิ าย 5) การเผยแพรคลืน่ แบบในทุกทิศทาง (Omnidirectional) มีลักษณะอยางไร ? 6) การสงสัญญาณขอ มลู ขน้ึ ไปยังดาวเทยี ม และดาวเทยี มสง สญั ญาณขอมลู ลง เรยี กวา ? 7) การพิจารณาสอ่ื กลางสงขอมลู ในดา นตนทนุ มีความเกยี่ วขอ งกบั สง ใดบาง จงอธิบาย ? 8) การพิจารณาสอ่ื กลางสง ขอ มูลในดา นความรวดเร็ว มีความเก่ียวขอ งกบั สง ใดบาง จงอธบิ าย ? 9) การพจิ ารณาสอ่ื กลางสงขอมูลในดา นระยะทาง มีความเก่ียวขอ งกับสงใดบาง จงอธิบาย ? 10) การพจิ ารณาส่ือกลางสง ขอมูลในดานสภาพแวดลอม มคี วามเกย่ี วของกับสงใดบาง จงอธบิ าย ?

ตวั กลางในการสงขอมูล 91 เอกสารอา งองิ ANDREW S. TANENBAUM. (2004). COMPUTER NETWORKS. (สลั ยุทธ สวา งวรรณ). เอช.เอ็น.กรปุ จาํ กัด: ซีเอด็ ยเู คชนั่ จํากดั (มหาชน). Behrouz A.Forouzan. (2007). Data Communications and Networking. New York : McGraw-Hill Forouzan Networking Series. Larry L. Peterson and Bruce S. Davie. (2011). Computer Networks a systems appoach. USA : Morgan Kaufmann Publishers is an imprint of Elsevier. ฉัตรชยั สุมามาลย. (2545). การส่ือสารขอมลู คอมพวิ เตอรและระบบเครอื ขาย. กรงุ เทพฯ: ไทยเจรญิ การ พมิ พ.

แผนบรหิ ารการสอนประจาํ บทท่ี 5 เนือ้ หาประจาํ บท 5.1) องคกร ISO 5.2) หลักการ แนวความคดิ ในการแบง ชั้นการส่ือสาร 5.3) สถาปตยกรรมช้นั สอื่ สาร 5.4) เพยี รท เู พยี รโ ปรเซส 5.5) การจดั องคประกอบในชั้นการสื่อสาร 5.6) รายละเอียดและหนา ที่ของแตละลําดบั ชัน้ บนแบบจาํ ลอง OSI วัตถุประสงค เชงิ พฤติกรรม 1) ผูเรยี นสามารถบอกวัตถุประสงคของแบบจําลอง OSI ได 2) ผเู รยี นสามารถอธบิ ายแนวความคิดของการแบงชัน้ ส่ือสารบนแบบจาํ ลอง OSI 3) ผเู รียนสามารถบอกชอื่ กํากบั ท่ีอยบู นชั้นสือ่ สารทง้ั 7 ของแบบจําลอง OSI ไดอ ยางถกู ตอ ง 4) ผเู รยี นสามารถอธบิ ายหนาที่การทาํ งานของแตล ะช้ันส่ือสารบนแบบจาํ ลอง OSI ไดอ ยา งถกู ตอง 5) ผเู รยี นสามารถเปรียบเทียบความแตกตางระหวางช้ันของแบบจําลอง OSI ไดอ ยา งถูกตอง วิธีการสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอนประจาํ บท 1) บรรยายประกอบภาพเลือ่ น (slide) 2) ศึกษาจากเอกสารประกอบการสอน 3) ทาํ แบบฝกหดั ทบทวน ส่อื การเรียนการสอน 1) เอกสารประกอบการสอน 2) ภาพเลอ่ื น (slide) 3) แบบฝก หดั ทบทวน

การวดั ผลและการประเมินผล 1) ประเมนิ จากการซกั ถามในชน้ั เรยี น 2) ประเมินจากการทาํ แบบฝก หดั ทบทวนทา ยบทเรียน 3) ประเมนิ จากความรวมมอื และความรับผิดชอบตอการเรยี น

บทที่ 5 แบบจาํ ลอง Open Systems Interconnection Model (OSI) การทจี่ ะทาํ ใหอุปกรณฮารด แวรแ ละเคร่อื งคอมพิวเตอรในระบบเครือขายสามารถติดตอส่ือสารกันได นัน้ จําเปน จะตองอาศยั สิ่งท่เี รยี กวา “โปรโตคอล (Protocol)” ในการตดิ ตอส่อื สาร แตเนื่องจากบริษัทผูผลิต คอมพวิ เตอรแ ละอุปกรณฮ ารดแวร ตางกม็ ีมาตรฐานในการผลิตและมีมาตรฐานโปรโตคอลเปนของตนเอง (เปน ระบบเครือขา ยของบรษิ ัทน้ันๆ ) ดังนน้ั การท่ีจะทําใหอ ปุ กรณฮ ารดแวร และคอมพิวเตอรตางบริษทั กันสามารถ ติดตอสื่อสารขามเครือขายกันไดจึงเปนส่ิงท่ีเปนปญหา หนวยงานกําหนดมาตรฐานสากล หรือ ISO (International Organization for Standardization) ไดเ ลง็ เหน็ ถึงปญ หานจ้ี ึงไดม กี ารพิจารณามาตรฐาน ของ “ระบบเปด (Open System)” เพ่ือใหระบบจากบริษทั ตางๆ สามารถติดตอส่ือสารเพื่อทํางานรวมกันได เรียกวา “Open Systems Interconnection Model (OSI)” ขึ้นโดยใน OSI Model นี้จะยังไมไดกําหนด มาตรฐานของโปรโตคอลทตี่ ายตัวใดๆ ไวเ พียงแตเปน กรอบของมาตรฐาน ***ขอ ควรจาํ คําวา Open Systems คือ ระบบเปด ซ่ึงหมายความวา อนุญาตใหระบบสามารถสื่อสารกันได ถงึ แมว า อุปกรณจะมีรูปแบบทางสถาปตยกรรมระบบที่แตกตางกัน กลาวคือมาตรฐานแบบจําลอง OSI ที่จัด ข้ึนมานั้น มีจุดประสงคเ พอ่ื ใหร ะบบทีแ่ ตกตา งกันสามารถส่ือสารรวมกันได ดวยการใชมาตรฐานการส่ือสารที่ เปนสากล โดยไมมีความจําเปนท่ีจะตองเขาไปเปลี่ยนแปลงตรรกใดๆ บนอุปกรณฮารแวร อยางไรก็ตาม แบบจาํ ลอง OSI มิใช โปรโตคอล แตเปนเพียงแบบจําลองแนวความคิด ซ่ึงเปนเพียงทฤษฏีที่ชวยสรางความ เขาใจเก่ียวกับการทํางานของแตละการส่ือสาร เพื่ออํานวยความสะดวกตอผูออกแบบระบบส่ือสาร ท้ังนี้ แบบจาํ ลอง OSI ยงั ถูกสรา งข้ึนมาบนพนื้ ฐานความยืดหยุนและคงทนตอ การนําไปประยุกตใ ชงาน โดยแตละชั้น ส่ือสารยังสามารถปฏบิ ตั งิ านรว มกันไดอ ยางเหมาะสม 5.1 องคก ร ISO องคกรกําหนดมาตรฐานสากลหรือ ISO จัดเปนองคกรหนึ่งที่ไดรับการยอมรับท่ัวโลกเกี่ยวกับการ กาํ หนดมาตรฐานสากล โดยในป ค.ศ.1970 ทาง ISO ไดมีการจัดตั้งคณะกรรมการข้ึนมาเพ่ือสรางแบบจําลอง สถาปตยกรรมเครือขายข้ึน เพื่อใชเปนรูปแบบมาตรฐานในการส่ือสารระหวางคอมพิวเตอรที่เรียกวา แบบจําลอง OSI (Open Systems Interconnection) และในป ค.ศ.1984 ก็ไดม กี ารประกาศใชแ บบจําลอง OSI อยางเปน ทางการเพอ่ื ใชเปนแบบอา งอิงเครอื ขา ยมาตรฐานสากล

แบบจาํ ลอง OSI 95 แบบจําลอง OSI มีกรอบการทํางานดวยการแบงเปนชั้นสื่อสารที่เรียกวา เลเยอร (Layer) แตละ เลเยอรจ ะมีชื่อเรยี กทแ่ี ตกตางกนั รวมถงึ ฟงกช น่ั หนา ท่ีทไี่ ดรับมอบหมายในเลเยอรนั้นๆ โดยเฉพาะชั้นสื่อสาร ตา งๆ ทก่ี าํ หนดขน้ึ จะถือเปน สวนหนึง่ ของกระบวนการส่อื สารรว มกนั ซ่งึ มีท้งั หมดเจด็ ชน้ั ดว ยกันคอื ภาพที่ 5.1 แบบจําลอง OSI ทีม่ า (ดัดแปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 30) โดยหลักการแลวเทคโนโลยเี ครือขายทั้งหมด จะตองอางอิงชนั้ สื่อสารบนแบบจําลอง OSI ครบทั้งเจ็ด เนอ่ื งจากบางเทคโนโลยีอาจรวบช้ันส่ือสารบางช้นั มาเปนเลเยอรเดียวกัน หรืออาจขามการทํางานบางเลเยอร หรอื บางกรณเี ลเยอรน ้ันไมจาํ เปน ตอการใชง านกส็ ามารถขามได ทาํ ไมจึงตองมกี ารแบง เปนช้นั สือ่ สารออกเปน เลเยอรตางๆ มากมาย และการมีหลายๆ เลเยอรจ ะไมทาํ ใหเกิดความยุงยากจรงิ หรือ แตก ารแบง ช้นั สือ่ สารออกเปน เลเยอรน นั้ กลับสงผลดีมากกวา ยกตัวอยางเชน กับ การเขียนโปรแกรม หากลองนึกภาพดูวาทําไมเราถึงไมเขียนโปรแกรมท้ังระบบรวมอยูในโมดูลเดียว แตกลับ เขียนเปน โมดูลยอยที่การทํางานออกไปโดยอิสระ และการเขียนเปนโมดูลยอยๆ โปรแกรมหลักก็ยังสามารถ เรียกใชงานโมดลู เหลาน้ี เพอ่ื นํามาประมวลผลรว มกันได และหากโมดลู ใดเกดิ ขอ ผดิ พลาด กท็ าํ ใหหาตาํ แหนงท่ี ตองการแกไขไดงายกวา อกี ทง้ั ยงั ไมส งผลกระทบตอ โมดูลอน่ื ทีเ่ ก่ียวขอ ง และดวยหลักการดงั กลา วนแ้ี บบจาํ ลอง OSI จึงมีการแบง การทาํ งานออกเปน ชั้นสื่อสารทเ่ี รียกวา เลเยอร

แบบจําลอง OSI 96 5.2 หลักการ แนวความคดิ ในการแบง ช้ันการสอ่ื สาร สําหรับหลักการ แนวความคิดในการแบงลําดับช้ันส่ือสารของแบบจําลอง OSI สามารถสรุปได ดงั ตอไปน้ี 5.2.1. เพ่อื ลดความซับซอน ทําใหงา ยตอเรียนรู และทําสามารถความเขาใจไดงา ยข้ึน 5.2.2. เพื่อใหแตละช้ันการสื่อสารมบี ทบาทหนาท่ีท่ชี ดั เจน และแตกตางกัน 5.2.3. เพอ่ื ใหแตละช้ันการสื่อสารปฏิบัติงานตามฟงกชั่นหนาท่ีที่ไดรับมอบหมาย และสอดคลองกับ มาตรฐานสากล 5.2.4. จากขอบเขตและความรับผิดชอบในแตละช้นั ของการสอ่ื สาร ทาํ ใหก ารส่ือสารเกิดความคลองตวั และเปน การปอ งกนั กรณเี กดิ การเปล่ยี นแปลงบนช้นั สือ่ สารหน่ึงๆ อันจะสงผลกระทบตอชั้นส่ือสารอื่นๆ ตอไป ดว ย 5.2.5. จาํ นวนชั้นสื่อสารจะตองมจี าํ นวนมากเพียงพอ และเหมาะสมตอการจําแนกหนาท่ีการทํางาน ใหกบั แตล ะชัน้ ส่ือสาร และตองไมม มี ากจนดเู ทอะทะจนเกินความจาํ เปน ***ขอควรจาํ แบบจาํ ลอง OSI เปน เพยี งกรอบการทํางานทเ่ี ปนทฤษฏี ท่ีสามารถชวยสรางความเขาใจเกี่ยวกับ การส่อื สารระหวางคอมพวิ เตอรดวยกัน แตแ บบจาํ ลองดงั กลาวมไิ ดผนวกกรรมวธิ ีของการส่ือสารเอาไว ซ่ึงการ สื่อสารจรงิ ๆ นน้ั จะเกดิ ข้นึ จากโปรโตคอลท่ีใชส อ่ื สารระหวา งกัน โดยแตล ะชน้ั สอ่ื สารจะมีโปรโตคอลประจาํ ชน้ั ท่ี คอยบริการตามสวนงานทไี่ ดร บั มอบมาย และชั้นสอื่ สารหน่ึงๆ อาจมีโปรโตคอลไวค อยบริการมากกวาหนึ่งตวั 5.3 สถาปตยกรรมชนั้ สอ่ื สาร สําหรับกระบวนการสงผานขอมูลระหวางกัน บนสถาปตยกรรมชั้นสื่อสารของแบบจําลอง OSI นั้น สามารถพิจารณาไดจ ากภาพท่ี 5.2 จะเหน็ ไดวา เม่ือโฮสต A ตองการสงขางสารไปยัง โฮสต B เม่ือขาวสารได เดินทางจาก A ไปยัง B ซึ่งอาจจําเปนตองเดินทางผานโหนดระหวางทาง (lntermediate Node) ตางๆ จํานวนมากมาย โหนดระหวางทางตางๆ เหลานี้ ปกติจะทํางานภายใตช ้ันสื่อสารเพียงสามเลเยอรแ รกเทา นัน้ ซ่ึง ประกอบดวยชั้นสื่อสารฟส ิคัล ดาตา ลงิ ก และเนต็ เวิรก ในการพฒั นาแบบจําลอง นกั ออกแบบไดทําการออกแบบใหกระบวนการสง ผา นขอ มูลลงไปยังสวนลาง แบบตอเน่อื งกันไปในแตละชน้ั สรุปไดว า การสงขอมูลจะเรม่ิ จากชน้ั ส่ือสาร 7-6-5-4-3-2-1 ไมสามารถสื่อสาร

แบบจําลอง OSI 97 ขา มกนั ได ในขณะฝงรับขอมูลจะทําการรับขอมูลในทิศทางตรงกันขามคือ 1-2-3-4-5-6-7 โดยแตละชั้นการ สือ่ สารจะมกี ลุมหนา ท่ที ี่ตองรับผดิ ชอบแตกตางกนั ออกไป และการแบง หนาทท่ี ช่ี ดั เจนใหก ับแตล ะชน้ั การสอ่ื สาร ทําใหน กั ออกแบบเขา ใจไดงา ยมากขึ้น และยังมีความยืดหยุนสูง สําหรับการนําไปประยุกตใชงาน สิ่งท่ีสําคัญ ทส่ี ุดของแบบจําลอง OSI คือ จะมองผานทะลุ (Transparenc) ระบบอยางสมบรณู ถงึ แมวาจะเปน ระบบที่เขา กันไมได (lntermediate) กลาวคือ หากระบบที่ส่ือสารกันมีความแตกตางในสถาปตยกรรม ไมวาจะเปน ฮารแ วรห รอื ซอฟตแวรท ีเ่ ขากนั ไมไ ด แตไ มใ ชส าเหตใุ นการสรางขอ จาํ กัดของการสอื่ สาร การสอื่ สารระหวางกนั ปลอยใหห นา ท่ีของกระบวนการสื่อสารทต่ี ง้ั อยูบ นมาตรฐานแบบจาํ ลอง OSI โดยใหมองผานในเรือ่ งของระบบท่ี แตกตา งขามไปไมว าจะเปน เครื่องระดบั ใด ยห่ี ออะไร รุนอะไร กส็ ามารถส่ือสารเพ่ือรับ-สงขอมูลระหวางกันได ดงั น้นั จะเห็นไดวา เราสามารถใชคอมพิวเตอรตางระดับ ตางรุน ตางยี่หอ หรือแมตางแพลตฟอรมใหส่ือสาร รวมกันได เพยี งแตใหผูพ ฒั นายึดหลักมาตรฐานการสื่อสารบนระบบเครือขายที่อางอิงตามแบบจําลอง OSI ซ่ึง นั่นกค็ อื เปา หมายของแบบจาํ ลอง OSI นั่นเอง ภาพที่ 5.2 การสื่อสารระหวา งเลเยอรในแบบจาํ ลอง OSI ทีม่ า (ดัดแปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 31)

แบบจาํ ลอง OSI 98 5.4 เพยี รทูเพียรโ ปรเซส จากภาพท่ี 5.2 เมื่อพิจารณาจะพบไดวา แตละช้ันสื่อสารจะมีการสื่อสารกันท้ังระดับแนวนอนและ แนวตั้ง ซ่งึ เกีย่ วกับมาตรฐานโปรโตคอล และมาตรฐานบริการลําดับ สังเกตคําวา “โปรโตคอล (Protocol)” และคําวา “บริการ (Service)” ในความเปนจริงคาํ ทงั้ สองนัน้ มแี นวคิดที่แตกตางกนั โดยปกตมิ าตรฐานบรกิ าร ในท่ีนีค้ ือ ชุดคาํ ส่งั การปฏบิ ัติงานที่เตรียมไวเ พื่อบรกิ ารชน้ั สอ่ื สารทอ่ี ยูเหนือกวา และใชข อ มูลจากชั้นส่อื สารทอี่ ยู ตํ่ากวา (ลกั ษณะแนวต้งั หรอื แนวดิ่ง) กลา วไดว า มาตรฐานบริการจะเก่ียวของกับการอินเตอรเฟช ระหวางชั้น ส่อื สาร ในขณะทโี่ ปรโตคอลจะเกย่ี วขอ งกบั การสอ่ื สารบนชั้นสอ่ื สารเดียวกันระหวางเครื่องตน ทางกับปลายทาง แตก ารแพ็กเกต็ ขอมลู จากโฮสต A ไปยงั โฮสต B น้นั (ลักษณะแนวนอน) เปนการสือ่ สารถึงกนั โดยตรง ทั้งนี้ทาง ฝงสง (โฮสต A) จะสงผานขอมูลจากช้ันสื่อสารบนสุดมายังช้ันลางสุด จนกระท่ังถึงชั้นสื่อสารฟสิคัลที่จะนํา ขอมูลสงผา นลงิ กจ รงิ ไปยงั ฝง รบั (โฮสตB ) ทเี่ ปนอกี ระบบหนง่ึ ดงั น้นั กระบวนการสอื่ สารของโปรโตคอล ตั้งแต ช้นั สอื่ สารดาตาลิงกขึน้ ไประหวา งตนทางกบั ปลายทาง จะเปน กระบวนการสือ่ สารท่เี รียกวา เพียรท เู พยี รโ ปรเซส (Peer-to- Peer Process) ซ่งึ มใิ ชเ ปนการเชื่อมตอ กนั โดยตรงทางกายภาพ แตเปน การเช่ือมตอกันในเชิงตรรก หรือลอจคิ ลั นน่ั เอง การสื่อสารระหวางจดุ เชอื่ มตอระดบั เดยี วกัน (Peer-to-Peer Process) จะเปนการโตตอบ ภายในช้นั เดียวกันภายใต Protocol ที่นิยามเฉพาะสําหรับช้ันน้ัน ซึ่งมีจุดเดนท่ีสําคัญในแงของความยืดหยุน (Flexibility) และความโปรงใส (Transparent) ระหวางชั้น โดยคุณสมบัติพิเศษของการทํางานในรูปแบบ Peer-to- Peer จะไมม กี ารแบงชัน้ และความสาํ คญั ของคอมพิวเตอรทเี่ ช่ือมตอกันเขากับเครือขายคอมพิวเตอร โดยที่ทกุ เคร่อื งจะมีสิทธเิ ทา เทยี มกนั หนา ที่หลักของ Peer to Peer สามารถแบงไดสามรปู แบบ ดังนี้ 5.4.1 Pure Peer to Peer มี ลกั ษณะทต่ี รงกันขา มกับโมเดลแบบศูนยก ลางตรงท่ีทุกๆ เพียรสามารถ ตดิ ตอ และแลกเปลีย่ นกนั ไดโดยตรง จุดเดน ของโมเดลนม้ี ีความสามารถขยายเครือขา ย ความคงทน โดยที่หากมี เพียรชดุ ใดเสียหรอื ออกไปจากระบบจะไมส ง ผลกระทบโดยรวมกบั เครือขาย 5.4.2 Hybrid Peer to Peer โมเดลนีจ้ ะมีเคร่ืองเซิรฟเวอรท ่ที ําหนาท่ีควบคุมรายละเอียดของขอมูลที่ อยูภายในเครอื ขายการสงขอมลู เปน แบบเดยี วกับ Pure P2P โมเดลนีช้ ว ยลดปญหาเรื่องการจัดการขอมูลท่ีทํา ไดย าก ในโมเดลแบบ Pure P2P 5.4.3 Super Peer เปนโมเดลใหมท่ีเกิดข้ึนโดยใชระบบแบบศูนยกลาง ไปรวมอยูในระบบแบบ กระจาย และจะชว ยลดปริมาณในการจัดการของเซิรฟเวอร ชวยเพ่ิมความสามารถเรื่องการขยายขนาดและ ความคงทนของเครอื ขา ย Super Peer ทาํ หนาทีเ่ หมอื นเปนเซิรฟ เวอรกลางใหก ับกลุม ของไคลเอนต ดงั น้นั จงึ สามารถสรปุ ไดว า เพยี รท เู พียรโ ปรเซส คอื ลาํ ดบั ช้นั ที่คอมพิวเตอรใชใ นการส่ือสารจากเคร่ือง หนง่ึ ไปยังอีกเคร่อื งหนึง่ โดยผานโปรโตคอลของลําดับชัน้ นัน้ ๆ

แบบจาํ ลอง OSI 99 5.5 การจดั องคป ระกอบในชั้นการสอ่ื สาร ชน้ั ส่ือสารท้ังเจ็ดบนแบบจําลอง OSI ยังสามารถแบง การทํางานออกเปน สามกลุมยอยดว ยกันคือ 5.5.1 กลมุ ยอยที่ 1: ช้นั สอ่ื สารท่สี นับสนุนดา นเครอื ขาย (Network Support Layers) ประกอบดวยช้ันส่ือสารช้ันที่ 1, 2 และ 3 ซึ่งคือช้ันส่ือสารฟสิคัล ดาตาลิงค และเน็ตเวิรก โดยจะมี หนา ที่เคลื่อนยายขอมูลจากอุปกรณหน่ึงไปยังอุปกรณหน่ึง ซ่ึงอาจตองผานโหนดระหวางทางตางๆ มากมาย กลมุ ยอ ยสวนน้ี จะทาํ งานเก่ยี วของกับรายละเอียดทางไฟฟา การเชื่อมตอทางกายภาพ ฟสิคัสแอดเดรส และ เวลาใชในการขนสง ขอมูล ซง่ึ ตองมีความแนนอนและเช่อื ถือได 5.5.2 กลุมยอยที่ 2: ชน้ั ส่ือสารเคลอื่ นยายขอ มลู (Transport Layers) คือชน้ั สื่อสารที่ 4 น้นั หมายความวา ชนั้ สอ่ื สารทรานสปอรต ทาํ หนา ท่ีในการลงิ คเ ชือ่ มโยงระหวา งกลุม ยอยท่ี 1 และกลุมยอยท่ี 3 และจะตองสรางความม่ันใจในการสงผานขอมูลไปยังจุดหมายปลายทางอยาง แนน อนในลกั ษณะ End-to-End (สําหรับช้ันส่ือสารดาตาลิงคจะสง ผา นขอ มลู ในลักษณะ Single Link) 5.5.3 กลุม ยอ ยท่ี 3: ชัน้ สือ่ สารทีส่ นับสนนุ งานผใู ช (User Support Layers) ประกอบดวยชัน้ สอ่ื สารท่ี 5, 6 และ 7 ซึ่งกค็ ือชั้นสือ่ สารเซสซั่น พรเี ซนเตชั่น และแอปพลิเคชน่ั ในกลมุ นี้จะอนุญาตใหระบบซอฟตแวรที่มีความแตกตางกัน สามารถปฏบิ ัตงิ านรว มกันไดอ ยา งไมม ีปญ หา ภาพท่ี 5.3 การแบง กลมุ ยอ ยทํางานในแบบจาํ ลอง OSI ทมี่ า (ผูเ ขียน)

แบบจําลอง OSI 100 ภาพท่ี 5.4 การสอื่ สารในแบบจําลอง OSI ที่มา (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 32) จากภาพท่ี 5.4 เปนภาพรวมของการทํางานบนแบบจําลอง OSI โดยที่ D7 หมายถึงหนวยขอมูลบน เลเยอร 7 (ช้ันส่ือสารแอฟพลิเคช่ัน) และ D6 หมายถึงหนวยขอมูลบนเลเยอร 6 (ชั้นส่ือสารพรีเซนเตชั่น) ในขณะที่ D5, D4, D3, D2 และ D1 เปนไปตามทํานองเดียวกัน กระบวนการสื่อสารเริ่มตนขึ้นท่ีช้ันส่ือสาร แอปพลิเคช่ัน จากน้ันก็เคล่ือนยายจากเลเยอรหน่ึงไปยังเลเยอรเดียวกัน กระบวนการส่ือสารจะเริ่มตน ตามลําดับ โดยแตละเลเยอรจะเตรียมสวนหัวที่เรียกวา เฮดเดอร (Header) หรืออาจมีสวนหางท่ีเรียกวา เทรลเลอร (Trailler) ทน่ี าํ ไปเพ่มิ ใหกบั หนว ยขอ มูล ซง่ึ โดยปกตเิ ทรลเลอรมักจะถกู นําไปเพิม่ ในช้ันสือ่ สารดาตา ลิงก และหนวยขอมูลไดถูกสง ผานไปยงั แตล ะเลเยอรต ามลาํ ดบั หนว ยขอ มูลเหลา นัน้ จะถูกเพ่ิมสวนหัวเพ่ิมเขา ไปเรอื่ ยๆ ในแตล ะเลเยอร ดังนัน้ เมื่อหนวยขอมูลที่สงมาจากเลเยอรขางบนมายังเลเยอรขางลาง ก็จะถูกเพิ่ม หรอื หอหมุ ดว ยเฮดเดอรเ ปนช้ันๆ เราเรียกขบวนการนี้วา เอนแคปซเู ลชนั่ (Encapsultion) เมือ่ หนวยขอมูลถกู สงมาถงึ ชนั้ สือ่ สารฟสิคัล หนวยขอมลู เหลา น้ีกจ็ ะถกู เปลย่ี นมาเปนสัญญาณไฟฟา เพือ่ สง ผา นไปยงั ลงิ กต อ ไป ภาพที่ 5.5 แสดงกระบวนการเอนแคปซเู ลชั่น ทม่ี า (ผเู ขยี น)

แบบจําลอง OSI 101 เมื่อสัญญาณถูกสงลิงกและไปถึงจุดหมายปลายทาง หนวยขอมูลก็จะเคลื่อนยายยอนกลับขึ้นไป ตามลาํ ดบั 1-2-3-4-5-6-7 บนแบบจําลอง OSI จากน้ันแตล ะเลเยอรก็จะถอดเฮดเดอร เฉพาะสว นทีเ่ ปน ของตน ออก (เฉพาะเลเยอรท่ี 2 จะถอดทั้งเฮดเดอร และเทรลเลอร) กระบวนการน้ีจะดาํ เนนิ ตอ ไปจนกระทั่งถึงเลเยอร บนสุด คือช้นั สือ่ สารแอปพลเิ คชนั่ เราเรียกกระบวนการนว้ี า ดีแคปซเู ลชั่น (Decapsulation) 5.6 รายละเอยี ดและหนา ท่ีของแตล ะลาํ ดับชั้นบนแบบจาํ ลอง OSI 5.6.1 ช้นั ฟสคิ ัล (Physical Layer) ช้ันส่ือสารฟสิคัสทําหนาท่ีสงขอมูลในรูปแบบของการสงกระแสบิต (Bit Stream) บนสื่อกลางท่ี เก่ยี วของกบั ขอ กําหนดทางกลไก และทางไฟฟา ของการอินเตอรเฟซเพือ่ การสง ขอ มลู ตวั อยา งเชน รายละเอียด ของปลกั๊ เชอื่ มตอ EIA-232 รายละเอียดของสายคอนเน็กเตอรท่ีใชในการเชื่อมตอเครือขาย เปนตน จากภาพ 5.6 แสดงถึงตําแหนงของชั้นส่ือสารฟสิคัล ท่ีเกี่ยวของกับส่ือสงขอมูล (Transmission Medium) และชั้น ส่อื สารดาตา ลงิ ก ภาพที่ 5.6 ช้ันฟสิคัล ทม่ี า (ดัดแปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 33) ***ขอควรจํา ช้นั สอ่ื สารฟส ิคลั ทาํ หนาทีป่ ระสานงานกนั ระหวางฮารดแวรและซอฟตแวร เพื่อทําใหสามารถสง ขอ มูลท่อี ยใู นรูปสายของบติ ออกไปในสายหรือส่อื สง ขอมลู ได ทาํ ใหร ะดับชนั้ ฟสิคัลตอ งเก่ียวของกบั คณุ ลักษณะ เชงิ กลและทางไฟฟาของสื่อสงขอ มลู ท่ใี ช

แบบจําลอง OSI 102 หนาท่ีและสงิ่ ท่ตี องคาํ นงึ ถงึ ในชน้ั สอื่ สารฟส คิ ลั สามารถสรปุ ไดด ังรายละเอยี ดตอ ไปนี้ 5.6.1.1 ลกั ษณะทางกายภาพของอินเตอรเ ฟซและส่ือกลาง (Interface and Medium) เปน การกาํ หนดคุณสมบัติของอินเตอรเฟซ ที่เช่ือมตอระหวางอุปกรณ และสื่อท่ีนํามาใชสงผานขอมูลซึ่ง รวบถึงการกําหนดชนิดของส่ือสงขอ มูลดว ย 5.6.1.2 การแทนคาของบิตขอมูล (Representation of Bits) เปนเรื่องของกระแสบิต (ขอ มูลระดบั บิต 0 หรือ 1) ที่ไมตองแปลความหมายใดๆ อีกแลว ทั้งนี้ในการสงผานขอมูล ขอมูลบิต จะตองถกู แปลงดว ยการเขารหสั ใหเปน สญั ญาณ (สัญญาณไฟฟาหรอื แสง) โดยจะมีเทคนคิ การเขารหัส เพอ่ื ใชแ ปลงขอมลู ระดับบิตใหเปน สญั ญาณไดอ ยางไร 5.6.1.3 อัตราการสง ขอมูล (Data/Transmission Rate) เปนเรื่องของการกําหนดบิตขอมูล ท่ีสามารถสงไปไดจาํ นวนเทา ไหรต อ วินาที 5.6.1.4 การซิงโครไนซของบติ (Synchronization of Bits) ท้ังฝง สงและฝง รับจะตองมีการ เขาจังหวะใหส อดคลองกันในการรบั สงขอ มูลระดับบิต กลาวคือสัญญาณนาฬิกาของทัง้ ฝงสง และฝง รับ จะตองทํางานสอดคลองกนั ซง่ึ ก็คอื การซิงโครไนซน ัน่ เอง 5.6.1.5 เสน ทางการเชือ่ มโยง (Line Configuration) เกย่ี วขอ งกับการเช่ือมโยงอุปกรณเขา กับสอ่ื กลาง ซึง่ อาจเปน การเชอ่ื โยงแบบจดุ ตอดวยการนําสองอุปกรณมาลิงกเชื่อมโยงผานสายส่ือสาร เพ่อื รับสงขอ มูลกนั โดยตรง หรอื อาจเปนการเช่ือโยงแบบหลายจุด ท่ีใชส านสอ่ื สารเสนเดยี วเช่ือมตอ เขา กับหลายๆอุปกรณ และแชรก ารรบั สงขอมลู รวมกนั 5.6.1. รูปแบบการเช่ือตอทางกายภาพ (Physical Topology) เปนรายละเอียดเกี่ยวกับ รูปแบบการเชือ่ มตอครือขายหรอื โทโพโลยี เชน การเชือ่ มตอแบบบัส ที่อุปกรณทุกชิ้นจะตองเช่ือมตอ กบั สายแกนหลังเพียงเสน เดยี ว หรือการเชื่อมตอแบบดาว ที่อุปกรณจะมีสายสัญญาณเชื่อมโยงไปยัง อปุ กรณฮับ เปนตน 5.6.1.7 ทิศทางการสงผานขอมูล (Transmission Model) เปนรายละเอียดเกี่ยวกับทิศ ทางการสงผานขอมูลระหวางอุปกรณ ซ่ึงอาจใชวิธีการสงขอมูลแบบซิมเพล็กซ ฮาลฟดูเพล็กซ หรือ ฟลู ดูเพล็กซ 5.6.2 ช้ันดาตาลิงก (Data Link Layer) มหี นาทมี่ อบขอ มูลในลกั ษณะ Node-to-Node สําหรับหนว ยขอมูลในช้ันนจี้ ะถูกจัดเกบ็ ในรปู แบบของ เฟรม (Frame) รับหนา ท่ีจัดสงเฟรมไปยงั เครือขาย โดยสรางความนา เชอื่ ถอื ในเร่ืองของการรับสงขอมลู จากช้นั สื่อสารฟสิคัสท่ีปราศจากขอผิดพลาดใดๆ เน่ืองจากขอมูลที่ไดรับมาจากช้ันสื่อสารฟสิคัสน้ัน อาจมีสัญญาณ

แบบจําลอง OSI 103 รบกวน หรือขอผิดพลาดปะปนมาพรอมกับสัญญาณขอมูล ดังน้ันช้ันส่ือสารดาตาลิงกจึงตองมีกระบวนการ ตรวจจับ และแกไ ขขอผดิ พลาดเหลานนั้ เพ่ือบรกิ ารแกชนั้ สอื่ สารเน็ตเวิรกท่ีช้ันสูงถัดไป ดังภาพท่ี 5.7 ที่แสดง ถงึ ความสมั พนั ธข องชน้ั สือ่ สารดาตา ลิงก, ชน้ั เนต็ เวิรก และชนั้ ฟส คิ ัส ภาพท่ี 5.7 ชน้ั ดาตา ลงิ ก ที่มา (ดัดแปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 34) ***ขอควรจาํ หนา ทขี่ องชั้นดาตา ลงิ ก เปน การเคลอื่ นยายเฟรมจากโหนดหน่ึงไปยังโหนดถัดไป ควบคุมปริมาณ ขอ มูลท่ใี ชใ นการรับสงขอ มลู และตรวจสอบจับขอ ผิดพลาด เพอื่ ปองกนั ไมใหเครื่องสงขอมูลมากเกินจนเคร่ือง หนึ่งรับไมทัน นอกจากนยี้ งั ตอ งควบคุมใหขอมูลทส่ี ง มคี วามถกู ตองเสมอ ชั้นดาตา ลงิ กสามารถแบงการทํางานเปนชน้ั ยอยๆ อกี สองชั้นดว ยกนั คือ 1) ชั้นส่อื สารยอย LLC (Logical Link Control) เปนชั้นส่ือสารยอยท่ีจัดการดานการส่ือสารของอุปกรณท่ีเช่ือมโยงผานลิงกเครือขาย โดย LLC ถูก กําหนดขน้ึ ตามมาตรฐาน IEEE 802.2 ทสี่ นับสนุนการเช่ือมตอแบบคอนเน็กชั่นเลส (Connectionless) และ คอนเน็กชน่ั โอเรียนเต็ด (Connection-Oriented) 2) ชนั้ สื่อสารยอย MAC (Media Access Control) เปนชนั้ สือ่ สารยอยทจ่ี ัดการเกี่ยวกับการเขา ถงึ สอ่ื กลางเพอ่ื การส่ือสารบนเครือขา ย

แบบจาํ ลอง OSI 104 หนา ท่ขี องชนั้ ดาตาลงิ ก สามารถสรุปไดดังตอไปนี้ 1) จัดหนวยขอมูลใหอยูในรูปแบบของเฟรม (Framing) ช้ันดาตาลิงกจะแบงสวนท่ีไดรับจากช้ัน เนต็ เวิรก มาอยูในรูปแบบของเฟรม 2) ฟสิคลั แอดเดรส (Physical Addressing) เนอื่ งจากเฟรมจะสงไปท่ัวบนเครือขาย จึงจําเปนตองรู วาเฟรมนสี้ งมาจากที่ใดและจะใหส ง ไปท่ีไหน ดังนน้ั ชัน้ สอื่ สารดาตาลงิ กจงึ มีการผนวกเฮดเดอรไปพรอ มกบั เฟรม เพื่อระบุตําแหนงที่อยูของผูสง (Source Address) และตําแหนงท่ีอยูของผูรับ (Destination Address) ตวั อยา งเชน หมายเลขการดเครือขา ย (MAC Address) ซง่ึ เปน ฟส คิ ลั แอดเดรสท่ีใชระบุถึงตําแหนงของโหนด นั้นๆ บนเครือขา ย 3) การควบคมุ การไหลของขอ มูล (Flow Control) หากความเร็วในการรับสงขอมูลระหวางฝงสงกับ ฝง รบั ไมสัมพันธก ัน เชน ฝง สง ไดสงขอมลู ไปอยา งตอ เน่ือง ในขณะที่ฝงรับนั้นรับขอมูลไมทัน อันเนื่องมาจากมี หนว ยความจาํ บฟั เฟอรรองรบั ไดจาํ กดั ดังนัน้ จึงตองมีกลไกลควบคมุ การไหลของขอมลู ใหส มั พันธกนั เพอ่ื ปอ งกนั มใิ หฝา ยรบั ขอมูลจนทวมลน 4) การควบคุมขอผิดพลาด (Error Control) หนาที่สําคัญอยางหน่ึงของช้ันส่ือสารดาตาลิงกก็คือ จะตอ งสรางความนาเชอ่ื ถือถึงขอมูลท่ีสงไปยังปลายทางวาสมบรูณหรือไม หากขอมูลเกิดการสูญหายระหวาง ทาง ระบบตองสามารถตรวจจบั และดาํ เนินการสง ขอมลู รอบใหมไ ด รวมถงึ มีกระบวนการปองกันการรับขอมูล ซา้ํ ๆ (Duplicate Frames) กรณฝี งสงไดสง ขอมูลมาซ้ํา เนื่องจากขอมูลที่สงไปถึงที่หมายลาชาและคิดวาสูญ หายไประหวางทาง จงึ มีการสงขอมูลรอบใหมไปให ทําใหเกิดขอมูลซํ้าซอนขึ้น ดังน้ันหากเกิดเหตุการณนี้ขึ้น จะตอ งมีกระบวนการกําจัดเฟรมทซ่ี ้ําซอนออกไป และโดยปกติการควบคุมขอผิดพลาดจะดําเนินการโดยเพิ่ม รหสั เขา ไปทส่ี ว นหางทีเ่ รียกวา เทรลเลอร เพ่ือใหฝายรับสามารถนําไปใชเพื่อการตรวจจบั ขอผิดพลาด 5) การควบคมุ การเขาถงึ (Access Control) เมื่ออุปกรณมากกวาสองอุปกรณขึ้นไปเช่ือมตอภายใน เครือขายเดยี วกนั อีกท้ังยงั ใชสายสอ่ื สารเสนเดียวเพื่อการสื่อสารรวมกัน ดังนั้นโปรโตคอลในช้ันส่ือสารดาตา ลงิ กจะตอ งตัดสนิ ใจใหม ีเพียงอุปกรณใ ดอปุ กรณหน่ึง ท่มี สี ิทธเ์ิ ขาควบคมุ สือ่ กลางเพอ่ื สง ขอมลู ในชว งเวลาหน่ึงๆ 5.6.2 ชั้นเนต็ เวิรก (Network Layer) รบั ผิดชอบเก่ยี วกบั การสงแพก็ เก็ตจากตนทางไปยังปลายทางผานเครือขายหลายๆ เครือขายดวยกัน ความแตกตางระหวางช้ันสื่อสารดาตาลิงกและเน็ตเวิรกคือ หนวยขอมูลบนช้ันสื่อสารเน็ตเวิรกจะถูกแบง ออกเปน สว นๆ ทเ่ี รียกวา แพ็กเกต็ (Packet) แตแ พก็ เกต็ จะถกู สงไปยังปลายทางซง่ึ ระหวางทางอาจมเี ครือขาย ยอย ทล่ี ิงกเชือ่ มตอมากมายรวมถึงการสงขามเครือขายตางชนิดกัน ในขณะที่ช้ันส่ือสารดาตาลิงกจะมีหนวย ขอ มลู ในรปู แบบของเฟรม ท่จี ัดสงไปยงั โหนดปลายทางภายในลงิ กเ ดยี วกันจงึ ทํางานอยูภ ายใตชัน้ สือ่ สารสองชนั้

แบบจําลอง OSI 105 แรกเทา น้นั ซึ่งโดยปกติหากเครอื ขา ยสองระบบมีการเชอ่ื มตอกันภายใตลิงกเดียวกัน ก็ไมจําเปนตองใชบริการ ชัน้ สอื่ สารเน็ตเวริ ก อยางไรก็ตาม หากเครือขายสองระบบท่ีเช่ือมตอผานลิงกเปนเครือขายตางชนิดกัน จําเปนตองใช อุปกรณท่ีทํางานภายใตชั้นส่ือสารเน็ตเวิรก (โดยปกติคืออุปกรณเราเตอร) เพ่ือเช่ือมตอเครือขายทั้งสองเขา ดวยกนั เพอื่ ใหการสง มอบขอ มูลจากตน ทางไปยงั ปลายทาง (Source-to-Destination) สามารถสําเร็จไดด ว ยดี โดยพิจารณาจากภาพที่ 5.8 ท่ีแสดงใหเห็นถึงความสัมพันธของช้ันสื่อสารเน็ตเวิรกไปสูชั้นดาตาลิงก และช้ัน ทรานสปอรต ภาพท่ี 5.8 ชน้ั เน็ตเวิรก ทมี่ า (ดัดแปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 35) หนา ทขี่ องชนั้ เนต็ เวิรก สามารถสรปุ ไดดงั ตอ ไปนี้ 1) ลอจิคลั แอดเดรส (Logical Addressing) ลอจิคัลแอดเดรสแตกตางกับฟสิคัลแอดเดรสท่ี ฟสิคัล แอดเดรส นั้นคือ ตําแหนงท่ีอยูของโหนดบนเครือขายซึ่งมักจะถูกกําหนดหมายเลขไวเรียนรอยแลว บน ฮารดแวรท่ีไมสามารถเปลี่ยนแปลงคาได เชน ชุดหมายเลขแมคแอดเดรสของการดเครือขายท่ีใชงานบนชั้น ดาตาลิงก ในขณะท่ีลอจิคัลแอดเดรสจะใชงานอยูในชั้นส่ือสารที่สูงข้ึนไปอีก (ช้ันเน็ตเวิรก) โดยนํามาใชระบุ ตําแหนงของอุปกรณ เชนเดียวกัน แตลอจิคัลแอดเดรสที่ไมยึดติดกับอุปกรณ หรือเคร่ืองใดเคร่ืองหน่ึง โดยเฉพาะ เนื่องจากสามารถนําไปใชกบั เครือ่ งคอมพิวเตอรใ ดๆ กไ็ ด ตวั อยางลอจิคลั แอดเดรสที่ชดั เจนทีส่ ดุ คือ โปรโตคอลไอพี หรอื IP Address น่นั เอง 2) การเลอื กเสนทาง (Routing) เม่ือเครอื ขายไดมีการเชื่อมตอกับเครือขายขนาดใหญ เชน เครือขาย อนิ เทอรเ น็ต ดังนัน้ เสนทางในการสงผา นขอมูลก็จะมจี าํ นวนมากมาย การสงขอมูลจากตนทางไปยังปลายทางจงึ จําเปน ตองมกี ารเลอื กเสนทางการสงขอมูลทด่ี ีทสี่ ดุ หรอื เหมาะสมที่สุด เพอ่ื ใหสามารถสง ขอมลู ไปยงั ปลายทางได

แบบจําลอง OSI 106 อยา งรวดเรว็ รวมถึงหากบางเสน ทางเกิดถกู ตดั ขาด ก็สามารถเลือกเสน ทางใหมท่ีสามารถใชงานได โดยการสง ขอมูลจะอาศัยลอจิคัลแอดเดรส เปนตัวช้ีตําแหนงของคอมพิวเตอรตนทางและปลายทางที่อยูบนเครือขาย ดังน้ันจะเห็นไดว าเครือขา ยอนิ เทอรเน็ตจึงจําเปนตองมีอุปกรณท่ีเรียกวา เราเตอร ซึ่งเปนอุปกรณสําคัญที่ใช สําหรบั กาํ หนดเสน ทางการสงขอมูลบนเครือขาย ทมี่ ีการเช่ือมตอเขา กบั เครอื ขายตางๆ มากมายบนโลก ทําให เราสามารถสือ่ สารอยูบนเครอื ขายขนาดใหญไ ด และอุปกรณเ รา เตอร คือหน่ึงในหนาท่ีของชั้นส่ือสารเน็ตเวิรก ทไ่ี ดเตรยี มกลไกดงั กลา วเอาไวแ ลว ***ขอควรจํา ช้ันเน็ตเวิรกก็คือ การสงมอบแพ็กเก็ตจากโฮสตตนทางไปยังโฮสตปลายทาง การบริหารใน ระดับช้ันเน็ตเวิรกท่ีมีใหแกระดับช้ันทรานสปอรตมีสองแบบ ดังน้ี 1) แบบคอนเน็คชัน – โอเรียนเต็ด (Connection - Oriented) เปนการบริการทค่ี ลายการใชโทรศัพทท ตี่ องสรา งการตดิ ตอ และทําการสงขอมูล ตามลําดบั เมอ่ื หยุดการสง ตอ งทําการยกเลกิ การติดตอ 2) แบบคอนเน็คชันเลส (Connectionless) เปนการ บรกิ ารทคี่ ลา ยกบั การสง จดหมายท่ีอาศยั บริการของไปรษณีย ไมตองสรา งการตดิ ตอกอนจึงสามารถสง ขอมูลได เมอ่ื ตองการสง สามารถสง ไดเ พยี งระบุท่อี ยผู สู งและผรู ับ จดหมายแตละฉบับอาจมีเสนทางที่ตางกัน เมื่อไปถึง ผรู ับตองจดั เรียงลําดบั เอง ไมรับประกันความถูกตอง เครอื ขา ยขนาดใหญอ ยา งอนิ เทอรเนต็ จะมีเสน ทางในการเช่ือมโยงเครอื ขา ยระหวา งกันเปน จาํ นวนมาก ดงั นนั้ ขอมลู ทีถ่ กู นําไปยงั ปลายทางอาจไมจ ําเปน ตองใชเสนทางเดียวกันตลอด และขอ มลู ท่ีถูกนาํ สงไปกอน อาจ ไปถงึ ปลายทางชา กวาขอมลู ท่ีสงไปกอ นหนาก็ได (Out-to-Order) เม่อื แพก็ เกต็ ไดเดินทางมาถงึ ปลายทาง สว น ปลายทางจะตอ งมกี ระบวนการจัดลําดบั ขอ มลู ใหมต ามเลขลาํ ดบั ขอ มลู (Sequence Numbers) ซงึ่ เลขลําดับ นี้ ฝง สงไดบรรจลุ งไปในแตล ะแพ็กเกต็ ไวแลว กอ นทจี่ ะสง ออกไปและฝงรบั กจ็ ะใชประโยชนจากเลขลําดับน้ีใน การเลยี งลาํ ดบั แตละแพก็ เก็ต 5.6.4 ชั้นทรานสปอรต (Transport Layer) ชนั้ ทรานสปอรตจะทําหนาที่สงมอบขอมูลในลักษณะ Process-to-Process คําวาโปรเซสในที่น้ีก็คือ โปรแกรมประยกุ ตใ ดๆ ทร่ี ันอยูบ นเครอ่ื งโฮสต ดังนั้นหากมีโปรแกรมรันอยบู นเครอ่ื งโฮสตหลายๆ โปรแกรม นั่น หมายถงึ มีหลายโปรเซสรันอยูในขณะนั้นโดยการสงขอมูลแบบ Source-to-Destination บนช้ันเน็ตเวิรกซ่ึง ปกติจะรับสงขอมูลเพียงโปรเซสเดียว คงไมสามารถรองรับการสงมอบขอมูลหลายๆ โปรเซสน้ีได ดังน้ันชั้น ทรานสปอรต จึงตองรับหนา ทีใ่ นการสงมอบขอ มลู ระหวา งโปรเซสจากตน ทางไปยงั ปลายทางไดอ ยา งถกู ตองโดย ดังแสดงในภาพที่ 5.9 ท่ีแสดงถงึ ความสัมพันธของชั้นทรานสปอรตเนต็ เวริ ก และเซสช่นั

แบบจําลอง OSI 107 ภาพที่ 5.9 ชัน้ ทรานสปอรต ที่มา (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 38) ***ขอ ควรจํา ชน้ั ทรานสปอรต ก็คือการสง มอบขาวสารจากโปรเซสตนทางไปยังโปรเซสปลายทาง หนาท่ขี องชัน้ ทรานสปอรต สามารถสรปุ ไดดังตอไปนี้ 1) ตําแหนง ท่ีอยขู องพอรต (Port Addrss) ปกติแลว คอมพวิ เตอรส วนใหญจ ะสามารถรนั โปรแกรมได หลายโปรแกรมในเวลาเดียวกนั ดว ยเหตผุ ลดงั กลาว จงึ จาํ เปน ตองมีพอรตตางๆ ไวคอยบริการดานการส่ือสาร โดยชัน้ สอื่ สารทรานสปอรตจะผนวกเฮดเดอรท่ีถือเปนแอดเดรสชนิดหนึ่งท่ีเรียกวา Service-Point-Address หรอื Port Address เพ่ือใหช ้ันเน็ตเวิรกสามารถสง แพ็กเก็ตตางๆ ไปยังคอมพิวเตอรปลายทางไดอยางถูกตอง และชั้นทรานสปอรต จะไดรับขา วสารอยา งครบถวน และม่นั ใจไดว า จะสงขาวสารไปยังโปรเซสบนคอมพิวเตอร นั้นๆ ไดอยา งถูกตอง 2) การแบงเซกเมนตและการรวบรวม (Segmentation and Reassembly) เม่ือชั้นทรานสปอรต ไดร ับขา วสารจากชนั้ เซสชน่ั จะมีการนําขาวสารเหลานี้แบงออกเปนเซกเมนตยอยๆ โดยแตละเซกเมนตจะมี ลาํ ดบั (Sequence Number) บรรจุอยดู ว ย เลขลาํ ดบั ดังกลาวจะทําใหโ ปรเซสฝง รบั สามารถรวบรวมกลับมา เหมอื นเดิมได เพอื่ นาํ สง กลบั ข้นึ ไปยังช้ันส่อื สารสวนบนเพอ่ื ใชง านตอ 3) การควบคุมการเช่อื มตอ (Connection Control) การติดตอระหวางโปรเซสบนชั้นทรานสปอรต สามารถทาํ ไดใ นรูปแบบคอนเนก็ ชัน่ เลส (โปรโตคอล UDP) หรอื คอนเนก็ ช่นั โอเรยี นเต็ด (โปรโตคอล TCP) 4) การควบคุมการไหลของขอมูล (Flow Control) มีลักษณะการทํางานคลายกับชั้นดาตาลิงก ท่ีใช ควบคุมการไหลของขอมูลระหวางฝงสง และฝงรับอยางไรก็ตาม การควบคุมการไหลของขอมูลในชั้นทราน

แบบจําลอง OSI 108 สปอรตน้ี จะกระทําในลักษณะ Process-to-Process ซึ่งแตกตางจากช้ันสื่อสารดาตาลิงกท่ีสงผานบนลิงก เดียวกนั ในลกั ษณะ Hop-to-Hop 5) การควบคมุ ขอผิดพลาด (Error Control) มีลกั ษณะการทํางานคลายกับชั้นดาตาลิงกเชนเดียวกัน ท่ีควบคุมขอผิดพลาดของการรบั สงขอ มูลขอ มูลระหวา งฝงสง และฝงรบั อยางไรก็ตาม การควบคุมขอผิดพลาด ในชั้นทรานสปอรตจะกระทําในลักษณะ Process-to-Process มากกวาการสงผานบนลิงกเดียวกันโดยการ รับสงขอ มลู ในชน้ั สอ่ื สารนจี้ ะสรา งความมัน่ ใจถึงขาวสารทส่ี ง ไปยังปลายทางโดยปราศจากขอ ผิดพลาดใดๆ ไมว า จะเปนขอมลู ที่เสีย สญู หาย หรอื ขอ มลู ซํา้ ๆ ทง้ั นห้ี ากพบขอ ผดิ พลาด ปกติจะดําเนินการดวยการสงขอมูลรอบ ใหม ภาพที่ 5.10 การสรา งความนาเช่ือถอื ดว ยการสง ของมลู แบบ Process-to-Process delivery ทีม่ า (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 39) 5.6.5 ชั้นเซสชั่น (Session Layer) การบรกิ ารบน 3 ชัน้ สื่อสารแรก (ฟส คิ ลั ดาตาลงิ ก และเน็ตเวิรก) อาจไมเพียงพอสําหรับบางโปรเซส ดังน้ันสื่อสารเซสชั่นขึ้นไปจึงทําหนาที่บริการและอํานวยความสะดวกแกผูใช โดยพิจารณาจากภาพ 5.11 ท่ีแสดงถึงความสมั พนั ธร ะหวางชนั้ สื่อสารเซสชน่ั ทรานสปอรต และพรเี ซนเตชั่น ***ขอ ควรจํา หนาทข่ี องชัน้ เซสซนั่ การควบคุมการส่อื สารและการซงิ โครไนซ

แบบจําลอง OSI 109 ภาพที่ 5.11 ชนั้ เซสช่นั ที่มา (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 40) ชั้นเซสช่ันมีหนาท่ีควบคุมการสื่อสาร การจัดการแลกเปลี่ยนขาวสารที่เกิดข้ึนระหวางโฮสต ซึ่งอาจ โตตอบกันแบบซิมเพล็กซ ฮาลฟดูเพล็กซ หรือฟลูดูเพล็กซ โดยการสื่อสารท่ีกําลังดําเนินการอยู ณ ขณะใด ขณะหน่ึงจะเรียกวา เซสช่นั ทั้งนีห้ ลายๆ เซสชัน่ ทีเ่ กดิ ข้นึ อาจเกิดจากการทํางานของคนเพียงคนเดยี วหรือหลาย คนก็ได ตัวอยา งเชน การลอ็ กอนิ แบบระยะไกลของเทอรมนิ ลั เพื่อเขาใชบ รกิ ารบนเครื่องโฮสตในแตละคร้ังก็ถือ เปนเซสช่ันหนึ่งทปี่ ระกอบดวย แสดงขัน้ ตอนดงั ภาพที่ 5.12 การลอ็ กอิน  การกรอกรหสั ผาน  การใชโ ฮสต  การออกจากระบบ ภาพท่ี 5.12 แสดงการลอ็ กอิน ท่มี า (ผูเขยี น)

แบบจาํ ลอง OSI 110 เซสซั่นของการสนทนาทปี่ ระกอบดวยขั้นตอน แสดงขัน้ ตอนดังภาพท่ี 5.13 การเรมิ่ สนทนา  การสนทนาเพอื่ แลกเปลีย่ นขอมลู  การจบการสนทนา ภาพที่ 5.13 แสดงเซสซ่ันของการสนทนา ที่มา (ผเู ขยี น) 5.6.6 ช้ันพรีเซสเตชั่น (Presentation Layer) เปนชั้นที่นําเสนอเก่ียวกับการเปล่ียนขอมูลใหมีรูปแบบ และมีความหมายเดียวกัน กลาวคือระบบ คอมพิวเตอรแตล ะระดับ อาจใชร หัสแทนขอมลู ท่ีแตกตางกนั ได เชน บนพีซคี อมพวิ เตอรก จ็ ะใชร หสั ASCII หรอื Unicode ในขณะทเ่ี มนเฟรมคอมพิวเตอรก็จะใชรหัส EBCDIC ซึ่งหากปราศจากกระบวนการจัดการกับรหัส แทนขอมูลที่แตกตางกัน จะสงผลตอการนําเสนอขอมูลระหวางสองระบบผิดพลาดได เนื่องจากใชรหัสแทน ขอ มูลท่แี ตกตา งกนั น่นั เอง ดงั นน้ั ดวยหนา ทรี่ ับผดิ ชอบของช้ันพรีเซนเตช่ัน จะทําใหท้ังสองระบบท่ีถึงแมจะใช รหสั แทนขอมูลท่ีแตกตางกนั กจ็ ะสามารถนําเสนอขอมลู ไดอยา งเขา ใจทั้งสองฝาย โดยจะมีกระบวนการแปลง ขอ มูล (Translation) ใหสามารถนาํ เสนอไดอยา งถูกตอง กลา วคือ ฝง รับจะสงขอมูลอะไรไปก็ตาม ฝงรับก็จะ ไดรบั ขอมลู ตามนน้ั ดว ย พิจารณาจากภาพ 5.14 ซ่ึงแสดงถึงความสมั พันธระหวา งช้นั พรเี ซนเตชั่น แอปพลิเคชั่น และเซสซนั่ อาจสรุปไดวา ในระดบั ชั้นน้มี ีการเขา รหัสและถอดรหัสเพื่อความปลอดภัยของขอ มลู รวมทัง้ ทาํ การ บีบอัดและขยายขอมูลเพ่ือชวยใหการสงขอมูลมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทําใหเวลาท่ีใชในการสงนอยลงเพราะ ขอมลู มีขนาดเลก็ ลงนน้ั เอง ***ขอควรจํา หนาท่ีของช้นั พรเี ซนเตชนั่ คือ การแปลงขอมลู การเขารหัสขอ มลู และการบีบอัดขอมลู

แบบจาํ ลอง OSI 111 ภาพท่ี 5.14 ช้ันพรเี ซสเตช่นั ทม่ี า (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 40) หนา ทขี่ องช้ันพรีเซนเตช่นั สามารถสรุปไดด งั ตอไปนี้ 1) การแปลงขอมูล (Translation) โปรเซสหรือโปรแกรมท่ีรันอยูในสองระบบ เมื่อมีความตองการ แลกเปลย่ี นขอมลู ระหวางกัน ซงึ่ ตามปกติจะตองนําขอมูลมาแปลงเปนสัญญาณเพ่ือสงผานส่ือกลาง และดวย ระบบท้ังสองทส่ี ื่อสารกนั อาจใชคอมพิวเตอรต างระดับกัน และใชรหัสแทนขอ มูลท่ีแตกตา งกนั ดงั น้ันชั้นพรีเซน เตชนั่ จึงตองรบั หนา ท่ใี นการแปลงรหัสท่แี ตกตา งกนั เหลานี้ใหอ ยใู นรูปแบบเดียวกัน เพอ่ื นําเสนอขอ มลู ใหต รงกนั ทั้งสองฝง 2) การเขา รหสั (Encryption) การนําสง ขอมูลแบบเครือขาย จําเปนตองมีระบบความปลอดภัยของ ขอ มลู ทด่ี ี ดงั นนั้ การเขา รหัสขอมลู ดวยการเปล่ียนรูปขอมูลเดิมใหอยูในรูปแบบของขอมูลท่ีไดรับการเขารหัส (Encryption) ทําใหอานไมรูเรื่องกอนที่จะถูกนําสงไปยังเครือขายถือเปนเร่ืองมาตรการความปลอดภัยเพื่อ ปองกันการดักลักลอบขอมูลไปใชงานจากผูไมหวังดี เมื่อขอมูลไดสงถึงปลายทาง จะมีการถอดรหัส (Decryption) กลบั มาเปน ขอมูลตามตน ฉบับ 3) การบีบอัดขอมูล (Compression) การใชเทคนิคบีบอัดขอมูล (Data Compression) เพื่อให ขอ มูลมขี นาดเล็กลง จะสงผลดีตอความรวดเร็วในการส่ือสาร และชวยลดแบนดวิดธในระบบสื่อสารลงได โดย การใชเทคนคิ การบีบอดั เปนส่งิ สําคัญสาํ หรับการสง ผา นขอมูลมัลติมีเดีย ทีป่ ระกอดดว ย ขอความ ออดิโอ และ วีดโี อ

แบบจาํ ลอง OSI 112 5.6.7 ชนั้ แอปพลิเคช่ัน (Application Layer) เปนชั้นส่ือสารระดับประยุกตที่มุงเนนการติดตอกับผูใช ท่ีอนุญาตใหผูใชซ่ึงอาจเปนบุคคลหรือ ซอฟตแ วรสามารถเขาถึงเครือขายได โดยจะยูสเซอรอินเตอรเฟซเพ่ือสนับสนุนงานบริการตางๆ เชน การสง จดหมายอิเล็กทรอนิกส การติดตอเครือขายแบบระยะไกลเพ่ือเขาถึงขอมูลและถายโอนขอมูล การแชร ฐานขอ มลู ลการบริการอ่ืนๆ เปน ตน ***ขอควรจาํ หนาที่ของช้ันสื่อสารแอปพลเิ คชน่ั ก็คอื การจดั การบริการใหแ กผ ูใช ภาพท่ี 5.15 ช้ันแอปพลเิ คชน่ั ทีม่ า (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 41) จากภาพท่ี 5.15 ท่ีแสดงถึงความสัมพันธของช้ันแอปพลิเคช่ันกับผูใช และช้ันพรีเซนเตช่ัน โดยมี โปรแกรมแอปพลเิ คชนั่ มากมายทีส่ ามารถนํามาใชงาน ซึง่ จากภาพพบวามกี ารใชบริการ 3 แอปพลิเคชั่นดวยกัน คือ โปรแกรม X.400 ทบ่ี รกิ ารรบั สงขาวสาร โปรแกรม X.500 ท่ีบริการไดเรกทอรี และ FTAM ที่บริการการ เขา ถึงและจดั การไฟลขอ มูล โดยจากภาพผูใชบ รกิ ารแอปพลิเคชนั่ โปรแกรม FTAM ในการเขาถึงไฟลเพ่อื จัดการ ขอมูล

แบบจาํ ลอง OSI 113 ตัวอยา งงานบริการบนชน้ั ส่อื สารแอปพลเิ คช่ัน 1) โปรแกรมจําลองเทอรม ินัลบนเครือขา ยเสมือนจริง (Network Virtual Terminal) เปน ซอฟตแ วร ท่ีจําลองเทอรมินัลเพ่ือเขาถึงเครือขายแบบเสมือนจริงท่ีคลายกับโปรแกรมประเภทวิชวลแมชชีน (Virtual Machine) ตัวอยางเชน ตองการใหผูใชล็อกออนเขาระบบจากโฮสตระยะไกล ซ่ึงตามปกติอาจจําเปนตอง ดาํ เนินการทดสอบการลอ็ กออนระยะไกลตา งพืน้ ทบ่ี นสถานการณจ ริง แตทั้งนี้ซอฟตแวรดังกลาวจะลอกเลียน การใชงานเสมือนจริง เสมือนกบั มีเครอื่ งอีกเครอื่ งหนึ่งท่ีตั้งอยูระยะไกลกําลังล็อกออนเขามาในระบบ ท้ังๆ ท่ี เคร่อื งโฮสตและรโี มตนั้นทาํ งานอยภู ายในเครื่องเดียวกัน โดยซอฟแวรดังกลาวจัดเปนซอฟตแวรท่ีมักนํามาใช เพ่ือการทดสอบระบบเครือขา ย 2) การจัดการไฟลขอมูล (File Transfer, Access and Management : FTAM) เปนซอฟตแวร หรอื แอปพลเิ คชน่ั ท่อี นุญาตใหผใู ชสามารถเขาถงึ ไฟลแ บบระยะไกล เพอ่ื สามารถดําเนนิ การเกยี่ วกบั ไฟลไ มว า จะ เปน การอาน การเปลย่ี นแปลง รวมถึงการติดตอโฮสตคอมพิวเตอรแบบระยะไกลเพ่ือคัดลอกขอมูลจากโฮสต มายังเคร่ืองของตน และการจดั การควบคมุ ไฟลขอ มลู แบบระยะไกล เปน ตน 3) การบริการเมล (Mail Services) เปนซอฟตแ วรท ่ีนํามาใชเ พื่อการรบั สงจดหมายอิเล็กทรอนิกสหรือ อเี มล และการจดั เกบ็ เมล 4) การบริการไดเรกเทอรี (Directory Services) เปนซอฟตแวรที่ใชสําหรับจัดการฐานขอมูลแบบ กระจาย (Directory Database) การจดั การดแู ลทรัพยากร การเขาถึงขอ มูลและออบเจกตต างๆ จากช้ันการสื่อสารท้ังเจ็ดที่ไดกลาวมา พบวาแตละชั้นสื่อสารจะมีฟงกชั่นและหนาท่ีของตนท่ีตอง รบั ผดิ ชอบ โดยฝงสงจะสื่อสารผานหนวยขอมูลไปยังช้ันส่ือสารท่ีอยูต่ํากวา ในขณะท่ีฝงรับก็จะมีการบริการ หนว ยขอมลู ใหกับชน้ั ส่อื สารที่อยเู หนือกวา ซึ่งการศึกษาเก่ียวกับหนาท่ีการทํางานและการส่ือสารระหวางช้ัน สือ่ สารบนแบบจําลอง OSI จะทําใหเ ขาใจถึงกระบวนการสื่อสารภายในเครือขายไดชัดเจนยิ่งข้ึนโดยสามารถ สรุปหนาท่ขี องแตล ะชน้ั สอื่ สารบนแบบจําลอง OSI ไดด ังภาพท่ี 5.16

แบบจาํ ลอง OSI 114 ภาพท่ี 5.16 หนา ที่ของระดบั ชัน้ บนแบบจําลอง OSI ทมี่ า (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 42) บทสรปุ แบบจําลอง OSI มีกรอบการทํางานดว ยการแบงเปน ชัน้ สอื่ สารที่เรียกวา เลเยอร ซึ่งมีอยทู ัง้ หมดเจ็ดชั้น ดว ยกนั คือ ชั้นส่อื สารฟส ิคลั ดาตาลงิ ก เนต็ เวิรก ทรานสปอรต เซสชซนั่ พรีเซนเตชนั่ และแอปพลเิ คชัน่ แนวความคิดของการแบงชั้นสือ่ สารบนแบบจําลอง OSI 1. เพ่ือลดความซับซอน ทําใหเรียนรูและทํา ความเขาใจไดงายข้นึ 2. เพือ่ ใหแ ตละชั้นสื่อสารมบี ทบาททที่ ช่ี ัดเจน และแตกตางกนั 3. เพื่อใหแ ตละชั้นส่ือสาร ปฏิบตั ิงานตามฟง กชัน่ หนา ทที่ ไ่ี ดรับมอบหมาย และสอดคลอ งกับมาตรฐานสากล 4. เพ่ือใหเกิดความคลองตัว และปองกันการเปลีย่ นแปลงช้ันสือ่ สารหน่งึ ๆ แลวสง ผลตอ ช้นั สื่อสารอื่นๆ 5. จํานวนชนั้ ส่ือสารจะตองมีจํานวน มากเพยี งพอ เหมาะสม ไมมากจนเทอะทะ หรอื นอ ยจนเกินไป การอินเตอรเฟซระหวางชน้ั สื่อสาร เปน การเตรยี มบริการแกช้ันสอื่ สารท่ีอยเู หนือขึ้นไป การส่ือสารบน ชน้ั ส่ือสารเดียวกันระหวา งตน ทางและปลายทาง จะสือ่ สารผานโปรโตคอล โดยช้ันสอื่ สารตั้งแตดาตาลิงกข้ึนไป จะเปน การส่ือสารเชงิ ตรรก หรอื ทเ่ี รยี กวา เพียรท ูเพียรโ ปรเซส การส่ือสารบนช้ันสื่อสารเดียวกันระหวางตนทางกับปลายทางที่มีการสงผานขอมูลผานลิงกจริงๆ เกดิ ขนึ้ เฉพาะในชน้ั ส่อื สารฟส คิ สั เทา นัน้

แบบจาํ ลอง OSI 115 ชนั้ สื่อสารท้ังเจด็ บนชัน้ แบบจาํ ลอง OSI ยงั สามารถแบงการทํางานออกเปนสามกลุมยอ ยดว ยกันคือ 1. ชัน้ สือ่ สารท่สี นับสนุนดา นเครอื ขา ย ซึ่งประกอบดว ยช้ันสอื่ สารฟส คิ ัลดาตาลงิ ก และเนต็ เวริ ก 2. ช้นั สอื่ สารเคล่ือนยา ยขอ มูล ซ่ึงก็คอื ชนั้ สื่อสารทรานสปอรต 3. ช้ันสื่อสารท่สี นบั สนนุ งานผูใช ซ่ึงกค็ อื ชน้ั สอ่ื สารเซสซ่นั พรีเซนเตชั่น และแอปพลเิ คชนั่ กระบวนการสื่อสารท่ีเริ่มจากฝงสง ที่มีการเคล่ือนยายขอมูลจากเลเยอรหน่ึงไปยังเลเยอรถัดไป ดานลางในรูปแบบ 7-6-5-4-3-2-1 ซ่งึ แตล ะเลเยอรจะเตรียมเฮดเดอรเพ่ือนําไปปะเมกับหนวยขอมูล เราเรียก กระบวนการนีว้ า เอนแคปซูเลชั่น (Encapsulation) เมื่อสญั ญาณถกู สงผา นลงิ กแ ละไปถงึ จุดหมายปลายทาง หนวยขอ มลู จะเคลอื่ นยายยอ นกลบั ข้ึนไป ตามลําดับ 1-2-3-4-5-6-7 จากนั้นแตละเลเยอรก็จะถอดเฮดเดอรเฉพาะสวนท่ีเปนของตนออก เราเรียก กระบวนการน้ีวา ดีแคปซูเลชั่น (Decapsulation) ช้ันสอ่ื สารฟส ิคัล มีหนา ท่ีเคล่อื นยา ยขอมูลระดบั บติ จากโหนดหนง่ึ ไปยงั โหนดถดั ไป ช้ันสอ่ื สารดาตา ลงิ ก มหี นาท่เี คลือ่ นยา ยเฟรมจากโหนดหน่งึ ไปยังโหนดถัดไป ชน้ั ส่ือสารเนต็ เวิรก มีหนา ท่ีมอบแพ็กเก็ตจากโฮสตต นทางไปยงั โฮสตปลายทาง ชนั้ สอ่ื สารทรานสปอรต มีหนา ทสี่ งมอบขา วสารจากโปรเซสตน ทางไปยังโปรเซสปลายทาง ชน้ั สื่อสารพรัเซนเตชนั่ มหี นา ทแี่ ปลงขอมลู เขารหสั ขอมลู และบบี อดั ขอมูล ชน้ั สื่อสารแอปพลเิ คช่นั มีหนาทีจดั การงานบริการใหแ กผ ใู ช

แบบจาํ ลอง OSI 116 คําถามทบทวน 1) แบบจําลอง OSI ประกอบดวยชั้นส่อื สารใดบาง 2) การแบงชนั้ สอื่ สารออกเปน เลเยอรของแบบจาํ ลอง OSI มวี ตั ถปุ ระสงคใ ด 3) การสอ่ื สารบนแบบจาํ ลอง OSI สามารถส่ือสารดวย “โปรโตคอล” และ “อินเตอรเฟซ” มีความ แตกตา งกนั อยา งไร จงอธบิ าย 4) เพียรทเู พยี รโปรเซส คอื อะไร จงอธบิ าย 5) หนา ทกี่ ารควบคุมการโตตอบสนทนา เปน หนา ท่ีของระดับช้ันใด 6) ขาวสารจะสงผานช้ันส่ือสารตางๆ บนแบบจําลอง OSI เพื่อไปยังโฮสตปลายทางไดอยางไร จง อธิบาย 7) จงอธบิ ายหลกั การของแอนแคปซเู ลต และดแี คปซูเลตบนแบบจาํ ลอง OSI มาใหพอเขา ใจ 8) เฮดเดอรแ ละเทรลเลอรคอื อะไร และจะถูกเพ่ิมเขา ไปหรอื นําออกไปอยางไร จงอธบิ าย 9) ในระดับชนั้ ใดที่หนวยของขอ มูลเรียกวา เฟรม 10) แบบจาํ ลอง OSI ยงั สามารถแบงการทาํ งานออกเปนกลุม อยากทราบวา มกี ลุมใดบาง จงอธบิ าย 11) เฮดเดอรแ ละเทรลเลอรค ืออะไร และจะถูกเพิ่มเขาไปหรือนําออกไปอยา งไร จงอธิบาย 12) ชัน้ สือ่ สารดาตา ลงิ ก ยังประกอบไปดว ยช้ันส่อื สารยอ ย 2 สว นดว ยกนั มอี ะไรบา ง จงอธิบาย

แบบจาํ ลอง OSI 117 เอกสารอางองิ ANDREW S. TANENBAUM. (2004). COMPUTER NETWORKS. (สลั ยุทธ สวางวรรณ). เอช.เอน็ .กรุป จํากดั : ซีเอ็ดยเู คช่ัน จาํ กัด(มหาชน). Behrouz A.Forouzan. (2007). Data Communications and Networking. New York : McGraw-Hill Forouzan Networking Series. Larry L. Peterson and Bruce S. Davie. (2011). Computer Networks a systems appoach. USA : Morgan Kaufmann Publishers is an imprint of Elsevier. ฉัตรชยั สุมามาลย. (2545). การสอ่ื สารขอ มลู คอมพวิ เตอรและระบบเครอื ขา ย. กรงุ เทพฯ: ไทยเจรญิ การ พิมพ. วุฒิชัย พรพชั รพงศ. (2555). ระบบเครือขายคอมพิวเตอรเบ้อื งตน : ทฤษฎสี ูปฏิบตั ิ. คณะวทิ ยาศาสตร และเทคโนโลย:ี มหาวิทยาลยั ราชภัฎมหาสารคาม.

แผนบรหิ ารการสอนประจาํ บทท่ี 6 เน้ือหาประจาํ บท 6.1) การมลั ตเิ พลก็ ซ 6.2) สัญญาณรบกวน 6.3) การปองกันสัญญาณรบกวน 6.4) การควบคมุ การไหลของขอ มลู 6.5) การควบคมุ ขอ ผิดพลาด วตั ถปุ ระสงค เชิงพฤตกิ รรม 1) ผเู รียนสามารถบอกวตั ถปุ ระสงคในการทํามลั ตเิ พลก็ ซไ ด 2) ผเู รยี นสามารถเปรยี บเทยี บรูปแบบการทํางานของมลั ติเพลก็ ซใ นรปู แบบตางๆ ได 3) ผเู รียนสามารถอธบิ ายการควบคุมการไหล และการควบคุมขอ ผิดพลาดของขอมลู ได 4) ผเู รยี นสามารถอธิบายหลกั การทาํ งาน และวิธีการควบคุมการไหล แบบ Stop-and-Wait และ Sliding Windows 5) ผูเรียนสามารถจําแนกการจดั การกบั ขอผิดพลาดในรปู แบบตางๆ ได วธิ ีการสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอนประจําบท 1) บรรยายประกอบภาพเลื่อน (slide) 2) ศกึ ษาจากเอกสารประกอบการสอน 3) ทาํ แบบฝก หัดทบทวน ส่ือการเรยี นการสอน 1) เอกสารประกอบการสอน 2) ภาพเลือ่ น (slide) 3) แบบฝก หัดทบทวน

การวดั ผลและการประเมินผล 1) ประเมนิ จากการซกั ถามในชน้ั เรยี น 2) ประเมินจากการทาํ แบบฝก หดั ทบทวนทา ยบทเรียน 3) ประเมนิ จากความรวมมอื และความรับผิดชอบตอการเรยี น

บทที่ 6 การมลั ตเิ พล็กซ และการตรวจจบั ขอผดิ พลาด การมัลติเพล็กซ (Multiplexing) เปนเทคนิคที่ผสมสัญญาณที่มาจากหลายแหลงขอมูลใหสามารถ สง ผา นชอ งสญั ญาณเดียวกัน เพ่อื ใชงานรวมกนั ไดการนาํ เทคนคิ มลั ติเพล็กมาใช สงผลใหสามารถลําเลียงขอมูล ในปรมิ าณมากผานลิงกเดียว ทําใหเ กดิ การลงทุนท่ีประหยัดขึ้นและการตรวจจับขอผิดพลาดน้ัน เกี่ยวของกับ กระบวนการและข้นั ตอนในการตรวจสอบขอ ผดิ พลาด เม่ือเกิดขึ้นจะตองปฏิบัติเชนไร เปนการตรวจสอบเพื่อ แสดงใหเหน็ ถึงความม่ันใจวาขอ มูลท้ังหมดที่สงไปยังปลายทาง จะไมเกดิ ขอ ผดิ พลาดในการสง 6.1 การมัลติเพลก็ ซ การมลั ติเพล็กซ เปนเทคนคิ ท่ีอนุญาตใหสัญญาณทีใ่ ชแ ทนขอ มลู จากหลายแหลงขอมูลสามารถสงผาน ชองสัญญาณเดียวกัน เพือ่ ใชง านรวมกันไดโดยมีความจําเปนทจี่ ะตอ งใชสายเพื่อเชื่อมตอ ใหม ีจาํ นวนนอย แตให มีความสามารถลําเลยี งขอมูลออกไปในปริมาณมากไดท าํ ใหม กี ารลงทุนที่ตํ่าและประหยัด ดังนั้นจึงเกิดแนวคิด การรวมขอมลู ขึ้นหรอื เรยี กวาการมัลติเพล็กซ โดยเทคนคิ การมัลตเิ พลก็ ซปกตทิ ั่วไปจะมอี ยูสามวิธีดวยกัน คอื 6.1.1 การมลั ติเพล็กซแบบแบงความถี่ (Frequency Division Multiplexing: FDM) การมลั ตเิ พล็กซแ บบแบงความถี่ นั้นจะอนุญาตใหผูสงหรือสถานีสงจํานวนหลายๆ สถานี และสถานี ฝายรับสามารถส่ือสารรวมกันอยูบนสายสัญญาณเดียวกันได ดวยการใชเทคนิคแบบอนาล็อกท่ีของเก่ียวกับ แบนดว ิดธของลงิ ก หรอื ตวั กลางสง ขอ มลู โดยสญั ญาณตา งๆ น้ันจะถกู สรา งขึน้ จาก แตล ะสถานแี ละสงดวยการ มอดเู ลตกับสัญญาณพาหะใหมีความถ่ที แ่ี ตกตา งกนั บนตัวกลาง กลาวคือ แบนดวิดธของลิงกจะมีการแบงสวน เปนยานความถ่ียอย (Sub Channel) ใหเพียงพอกับแบนดวิดธท่ีมีอยู โดยแตละแชนแนล จะมีแบนดวิดธที่ ไมไดถูกเรยี กใชห รอื ทเี่ รยี กวา Guard Band เพือ่ เปนปอ งกนั ไมใหแตล ะแชนแนลนน้ั เกดิ การแทรกแซงสญั ญาณ ระหวางกันตัวอยางการมัลติเพล็กซแบบแบงความถ่ี เชน การสงสัญญาณคล่ืนวิทยุกระจายเสียง AM ซึ่ง แบนดว ิดธข องคลน่ื AM อาจจะอยูใ นชวงประมาณ 20 ถึง 1,200 KHz นัน่ หมายถึงแบนดวิดธจริง ๆ จะมีเพียง 1,000 KHz โดยสมมติวาแตละสถานีมีความตองการแบนดวิดธประมาณ 2 KHz ในการสงสัญญาณ ดวยการ สง ผา นสเปกตรมั คล่นื วิทยุ AM ในอากาศ ซง่ึ เปน ชองสญั ญาณเดียวกนั ไดโ ดยใชเ ทคนคิ การมอดเู ลตกับสัญญาณ พาหะท่ีมีความถี่แตกตางกัน ซึ่งในแตละคลื่นความถ่ีที่สงผานชองสัญญาณจําเปนตองมี Guard Band เพ่ือ ปองกันการรบกวนระหวางสถานีขางเคียง โดยพิจารณาจากจะเห็นไดวา สถานีสง (Sources) จะมีอุปกรณ มัลตเิ พลก็ เซอร ซง่ึ ทาํ หนาที่ในการรบั สัญญาณขอ มูลจากสถานสี งแตละสถานี และสงสญั ญาณไปยังยานความถ่ี

การมลั ตเิ พล็กซ และการตรวจจบั ขอผดิ พลาด 121 ของสถานตี า งๆ ผานสายสงเพื่อไปยงั ปลายทางสถานี (Destinations) ในขณะท่สี ถานปลายทางจะมีอุปกรณท่ี เรียกวา “ดมี ัลตเิ พล็กเซอร” ซ่งึ จะทาํ งานในลกั ษณะตรงกนั ขามกบั อุปกรณมลั ตเิ พลก็ ทที่ ําหนาที่แยกสัญญาณ กลับคืน เพ่ือสงออกไปยังสุดหมายปลายทางท่ีตองการตอไป โดยส่ือนําสัญญาณท่ีนํามาใชสามารถเปนสาย เคเบิล หรอื คลนื่ วิทยกุ ไ็ ด ภาพท่ี 6.1 การมลั ติเพลก็ ซแบบแบงความถ่ี ท่มี า (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 163) 6.1.2 การมลั ติเพล็กซแ บบแบงความยาวคลน่ื (Wavelength-Division Multiplexing : WDM) การมลั ตเิ พลก็ แบบแบง ความยาวคลน่ื หรอื ทีเ่ รยี กวา “แบบ WDM” ไดรับการออกแบบเพ่ือใหนํามาใช กับสายไฟเบอรอ อปตกิ ทีส่ งสญั ญาณในรูปแบบของคล่นื แสง โดยท่ีสายไฟเบอรอ อปตกิ มีอตั ราความเร็วในการสง ขอ มูลสูงกวา สายเคเบลิ ทัว่ ไป วสั ดทุ ่ีแกนกลางทาํ จากทองแดง รวมถึงมีชวงของแบนดวิดธที่กวาง ดังน้ันการใช สายไฟเบอรอ อปติกเปน สายนําสัญญาณเพียงแหลงกาํ เนดิ เดยี ว อาจสง ผลตอ การสญู เสียแบนดวิดธไปโดยเปลา ประโยชน และดว ยการใชเ ทคนคิ การมัลติเพลก็ แบบ WDM จึงทาํ ใหส งสัญญาณจากหลายแหลงกําเนิดไดพ รอม กนั บนสายนําสัญญาณเพยี งเสนเดียว หลกั การของมัลตเิ พล็กแบบ WDM นัน้ มีการทาํ งานคลายคลึงกับการมลั ติเพลก็ แบบ FDM นน้ั คือจะทาํ การรวมสัญญาณ ท่ีมาจากหลายแหลงและทําการสงไปยังยานความถี่ท่ีแตกตางกัน ยกเวนเพียงแตจะ มลั ติเพล็กซ และดมี ลั ตเิ พล็กซกับคลื่นแสง ทีส่ งผานมาแตละแชนเนลในสายไฟเบอรออปติก โดยอาจมองเปน ความซับซอนสงู ในเชงิ ปฏิบัติ แตห ากพจิ ารณาในหลักการแลว กลับเรียบงาย เพราะหลักการทํางานนั้นจะทํา การรวบรวมแหลงกําเนิดของแสงจากหลายๆ แหลงที่เรียกวาการมัลติเพล็กซ ทั้งนี้การรวมและการแยก แหลงกําเนดิ ของแสงสามารถทําไดง า ยมากดวยอุปกรณปริซึม ซ่ึงพื้นฐานทางฟสิกสแลว ปริซึมจะสามารถหัก และรวมแสงได (Bends and Beam) และดวยสายไฟเบอรออปติกที่มชี วงของแบนธส งู มาก ดังนั้นจึงมีวิธีใหม

การมลั ตเิ พล็กซ และการตรวจจับขอผิดพลาด 122 ท่ีเรียกวา “การมัลติเพล็กซแบบแบงความยาวคลื่นหนาแนนสูง” (Dense Wavelength-Division Multiplexing : DWDM) ซึ่งวิธีนี้จะทําใหสามารถมัลติเพล็กเพื่อใหไดมาซ่ึงแชนเนลจํานวนมาก ทําใหเกิด ประสิทธิภาพในการสง ขอมลู ที่สูงขนึ้ ภาพที่ 6.2 การมลั ตเิ พล็กซแ บบแบงความยาวคลน่ื ทมี่ า (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 168) 6.1.3 การมลั ตเิ พล็กซแบบแบงเวลา (Time Division Multiplexing: TDM) การมัลตเิ พล็กซแ บบแบงความถ่ี (FDM) เปนเทคนิคแบบเกาท่ีเราใชสําหรบั การส่ือสารดา นตางๆ หลาย ดา นดว ยกัน เชน โทรทัศน วทิ ยกุ ระจายเสยี ง และโทรศพั ทเซลลูลารแ บบอนาล็อก ซึ่งเปน เทคนิคอยางงา ย ดว ย การกาํ หนดใหย า นความถแี่ ตล ะยา นไมใหท ับซอ นกนั แตเ ทคนคิ ดังกลาวจะไมเหมาะกบั การนํามาใชงานกับการ สงสัญญาณดิจิตอล นอกจากจะมีการแปลงสัญญาณดิจิตอลเปนสัญญาณอนาล็อกเสียกอน สําหรับการ มัลติเพล็กซแ บบแบงเวลา (TDM) จะเปนเทคนิคท่ีนํามาใชก ับระบบดิจิตอล ดวยการอาศัยชวงเวลาที่แตกตาง กนั ในการสงขอมลู ทเ่ี รยี กวา Time slot การมัลตเิ พลก็ ซแบบแบง เวลา เหมาะกับสัญญาณแทนขอ มูลแบบดิจิตอล เนื่องจากสัญญาณดิจติ อลนั้น จะมีชว งเวลาท่ีแนน อนของบติ แตละบิต จึงทาํ ใหสามารถมลั ติเพลก็ ซแ บบแบง เวลาใหมคี วามสอดคลองกับเวลา ของบิตได แตอยา งไรก็ตาม การมัลติเพล็กซแบบแบงเวลาน้ีจะของเก่ียวกับอัตราความเร็ว (Data Rate) ของ ตวั กลางหรือส่อื นําสญั ญาณเปน สําคญั โดยสญั ญาณท่มี อี ตั ราความเรว็ ตาํ่ หลายๆ สัญญาณ เมอ่ื นาํ มามัลติเพลก็ ซ รวมกันก็จะไดสัญญาณที่มี Data Rate ที่สูงข้ึน โดยการมัลติเพล็กซแบบแบงเวลาน้ี ยังสามารถแบงยอย ออกเปน “การมลั ติเพลก็ ซแบบแบงเวลาในรูปแบบซิงโครนัส (Sync TDM)”และ “การมัลติเพล็กซแบบแบง เวลาในรูปแบบสถติ ิ (Stat TDM)”

การมลั ตเิ พล็กซ และการตรวจจบั ขอผิดพลาด 123 6.1.3.1 การมัลติเพลก็ ซแบบแบง เวลาในรปู แบบซิงโครนสั (Synchronous Time Division Multiplexing : Sync TDM) เราสามารถใชคาํ ยอ วา ซงิ โครนัสทดี เี อ็ม (Sync TDM) นน้ั จะอนญุ าตใหขอมูลจากแตละแหลง หมุนเวียนเพอ่ื สง ขอมลู ไปบนสายสง ขอ มูลความเรว็ สูง ดว ยการใชหลกั การเดยี วกับ Round-Robin ตวั อยา งเชน มีจาํ นวน n ที่อินพุตเขา มา ซงิ โครนัสทดี ีเอ็มจะใหช้ินสวนของขอมูล เชน ไบตขอมูล จากอุปกรณสงผานไปยัง สายสงขอมลู ความเร็วสงู จากน้ันก็ใหอุปกรณท จ่ี ะอนิ พุตในลําดับถัดไปสง ไบตขอมูลผานสายสงขอมูลความเร็ว สงู หมุนเวียนตอ ไปเรอื่ ยๆ ดงั แสดงในภาพที่ 6.3 ภาพที่ 6.3 ซงิ โครนสั ทีดเี อม็ ท่ีมา (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 169) ภาพท่ี 6.4 ซิงโครนัสทดี เี อม็ รอบเวลา ทมี่ า (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 170) ภาพที่ 6.4 แสดงใหเห็นถึงอปุ กรณบ างอยา งทส่ี ามารถสง ขอมูลสองชดุ ในแตละรอบเวลา ได แตจ ําเปนอปุ กรณฝ งดีมัลติเพลก็ ของฝง รบั จะตอ งทราบถงึ กระบวนการดังกลาวดว ย และจะเกิดอะไรขึน้ หาก สถานีผูส งบางสถานีที่ไมต อ งการสงขอมลู ในชว งเวลาขณะนัน้ จะเหน็ ไดว ามเี พยี งยสู เซอร A เทาน้นั ทีต่ องการสง

การมัลตเิ พล็กซ และการตรวจจบั ขอผิดพลาด 124 ขอ มูล ในขณะท่ยี สู เซอรอื่นๆ ไมมีขอมูลท่ีตองการสงหรือเรียกวาอยูในสถานะ Idle ดังนั้น หากสถานีอื่นๆ ที่ ไมไ ดม กี ารสงขอมูล มัลตเิ พลก็ เซอรก็จะทาํ การสงสลอต (Slot) ขอมูลของสถานีที่ Idle ผานสายสงขอมูลดวย ความเร็วสูง โดยสลอตดังกลาวน้ีจะเปนสลอตวาง ซ่ึงการสงสลอตวางออกไปก็เพื่อจุดประสงคใหคงลําดับ เหมือนเดิม ดงั แสดงในภาพที่ 6.5 ภาพที่ 6.5 การสง ขอ มลู ดว ยวธิ ซี ิงโครนสั ทดี เี อม็ ทม่ี า (ดัดแปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 171) 6.1.3.2 การมัลติเพล็กซแบบแบงเวลาในรูปแบบสถิติ (Statistical Time Division Multiplexing : Stat TDM) การมัลติเพล็กซแบงความถ่ี (FDM) และ ซิงโครนัสทีดีเอ็ม (Sync TDM) น้ันจะไมมีการ การันตีปริมาณความจขุ องลิงกทไ่ี ดใ ชง าน นนั้ หมายถงึ จําเปนตอ งสิน้ เปลืองไปกบั สลอตวา งเปลาทส่ี ง ไปพรอ มกบั ตัวกลางโดยใชเหตุ ในกรณที ่ีอปุ กรณตน ทางไมม กี ารสง ขอ มูล แตก จ็ ําเปน ตองสงสลอตวางออกไปเพื่อคงลําดับ ในขอมูลเนื่องจากไทมสลอต (Time Slot) ทําใหเกิดการกําหนดขึ้นมากอนและมีความคงท่ี ยกตัวอยางเชน หากมกี ารมัลติเพลก็ ซเอาตพ ุตจากสถานผี ูส ง จาํ นวน 50 สถานบี นสายสอื่ สารเสนเดียว การใชซิงโครนัสทีดีเอ็ม (Sync TDM) บนสายสง กจ็ ะมคี วามเรว็ ของแตละอินพุตครบทุกๆ สถานีในชวงเวลานั้น โดยในหลักความจริง คงเปนไปไมไดที่ทุกสถานีจะสงขอมูลในทุกเวลา โดยอาจสมมติวา หากมีเพียง 15 สถานีท่ีมีการสงขอมูลใน ชวงเวลาหนงึ่ ๆ ดงั นนั้ สถานอี ืน่ ๆ ท่ีไมมีการสง ขอมลู ก็จะทาํ การสง สลอตวางออกมา นัน่ หมายถึงปรมิ าตรความจุ ขอ มลู บนลิงกก ็จะสงู เสยี ไปแลว ครึ่งหนงึ่ การมัลติเพล็กซแบบแบงเวลาในรูปแบบสถิติ (Stat TDM) อาจเรียกอีกชื่อหน่ึงวา อะซิงโครนัสทดี ีเอม็ (Asynchronous TDM) เปนการมลั ติเพลก็ ซเ ชงิ สถติ ทิ ่ีขอมูลสามารถสงรว มกันบนสายใน ลักษณะแบบแบง เวลาตามความตอ งการ (On-Demand) ซง่ึ ถูกออกแบบมาเพือ่ หลีกเลย่ี งการสญู เสยี สลอตวา ง

การมลั ตเิ พล็กซ และการตรวจจบั ขอผดิ พลาด 125 เปลา ของสถานีท่ีไมการสง ขอ มลู ดงั น้ันขอ มลู ท่สี งจะถูกสงไปยังบนสายเฉพาะสถานีท่ีตองการสงขอมูลเทาน้ัน ถึงแมวาซิงโครนัสทีดีเอ็ม (Sync TDM) จะมีความคลายคลึงกับสแตตทีดีเอ็ม (Stat TDM) ตรงที่อนุญาตให จํานวนอนิ พตุ หลายๆ อินพุตท่มี ีความเร็วตาํ่ มาทาํ การมลั ติเพลก็ ซดว ยสายสงขอมูลเสนเดียวท่ีมคี วามเร็วสูง แต จะมคี วามแตกตา งกนั ตรงที่สแตตทีดีเอ็มจะมคี วามเร็วโดยรวมของขอ มลู ท่ีอนิ พตุ เขา มา บนสายสง มากกวา แบบ ซิงโครนัสทีดีเอ็มที่ตองสญู เสียไปกบั สลอตวา งเปลา สามารถพจิ ารณาไดจากภาพท่ี 6.6 จะเหน็ ไดวา ยูสเซอร A และ ยูสเซอร C ตอ งการสง ขอ มูลในขณะท่ี ยูสเซอร B ไมมีการสงขอมูลก็จะไมมีการสงสลอตวาง หรือขอมูล เปลาออกไปทีส่ ายสง ภาพที่ 6.6 Asynchronous TDM ทมี่ า (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 180) สําหรบั การสงขอ มลู ดว ยมลั ติเพลก็ ซแบบแบง เวลาในรปู แบบสถิติ หรอื สแตตทดี ีเอม็ ท่นี ําเสนอไวด งั ภาพ 6.6 นี้ ทําใหเห็นภาพอยางงายในการสงขอมูลดวยวิธีการดังกลาว โดยสถานีท่ี Idle จะไมมีการสงสลอตวาง เปลาออกมาบนสายสง แตอยางไรก็ตามในการสงขอมูลของแตละสถานีดวยการมัลติเพล็กซแบบแบงเวลาใน รปู แบบสถิตนิ ีข้ อ มลู ท่ีสงจะมีการใสแ อดเดรสของสถานเี ขาไปดว ย ซึ่งจะทาํ ใหฝา ยรับนั้นรบั รูไดวา ขอ มลู ทีส่ ง นนั้ มาจาดสถานีใด ซ่ึงแสดงไดด งั ภาพท่ี 6.7

การมัลตเิ พล็กซ และการตรวจจับขอผิดพลาด 126 ภาพที่ 6.7 Statistical TDM ท่มี า (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 180) จากภาพที่ 6.7 แสดงใหเ ห็นถงึ สถานคี อมพิวเตอร 5 สถานี ไดมีการแชรลิงกดวยการมัลติเพล็กซแบบ แบง เวลาในรูปแบบสถิติ โดยไดกําหนดใหข นาดของเฟรมหนง่ึ สามารถบรรจุขอ มลู ไดเพียง 3 สลอต ซึ่งในแตละ สถานี ตัวมัลติเพล็กซเซอรจะทําการแสกนขอมูลที่จะสงในลักษณะเรียงลําดับจาก 1 ถึง 5 และทําการบรรจุ แออดเดรสไปยังขอมูลทสี่ ง ไปยงั สายขอ มูลความเร็วสูง 6.2 สัญญาณรบกวน สัญญาณรบกวน เปน สัญญาณเกดิ ขึน้ มาพรอมกับสัญญาณขอมูลบนสายส่ือสาร ถือเปนเรื่องราวปกติ หรือ อาจกลาวไดวาเปนเร่ืองธรรมชาติก็ได หากลองนึกดูในขณะท่ีฟงการบรรยายจากอาจารยผูสอน มี สญั ญาณรบกวนหรือไม ? คําตอบ มีแนน อน เชน เพอื่ นในหองเรยี นมกี ารพดู คยุ สงเสียงกัน เสยี งโทรศพั ทดังบา ง เสียงรถทว่ี ่งิ บนทองถนนขางอาคารเรียน หรือเสยี งการทาํ งานของ เครอื่ งปรบั อากาศหรือพัดลม เปนตน แตสาํ หรับสญั ญาณรบกวนทม่ี าพรอมกับสญั ญาณขอ มลู บนสายสอ่ื สารนน้ั เปนสญั ญาณทไ่ี มประสงคซ งึ่ เกิดขึน้ ไดจ ากหลายสาเหตุดวยกัน เชน จากสภาพแวดลอมท่ีสงผลตอความเสี่ยง ใหเกิดสัญญาณรบกวนทาง ไฟฟาหรอื อุณหภูมิ โดยชนิดของสญั ญาณรบกวน ประกอบดวยชนิดตา งๆ ดงั ตอไปนี้

การมัลตเิ พล็กซ และการตรวจจบั ขอผิดพลาด 127 ภาพท่ี 6.8 สัญญาณที่ไมป ระสงค ท่มี า (ผูเ ขียน) 6.2.1 เทอรม ลั นอยซ (Thermal Noise) สัญญาณรบกวนชนดิ Thermal Noise มีชอื่ เรยี กหลายชื่อดวยกนั เชน White Noise หรือ Gaussian Noise เปน สัญญาณรบกวนทเ่ี กดิ จากความรอ นหรอื อุณหภูมิ ซ่งึ เปน สงิ่ ที่ไมส ามารถหลีกเล่ียงไดเลย เพราะเปนผลมาจากการเคล่ือนท่ีของอิเล็กตรอนบนลวดตัวนํา โดยหากมีอุณหภูมิสูงข้ึน ระดับของสัญญาณ รบกวนกจ็ ะสงู ข้ึนตาม สญั ญาณรบกวนชนิดน้ีไมมีรูปแบบแนนอน และอาจมีการกระจายไปทั่วในยานความถี่ ตา ง ๆ สาํ หรับการปองกันสัญญาณรบกวนชนิดน้ี อาจปองกันได ดวยการใชอุปกรณกรองสัญญาณ (Filters) สําหรบั สัญญาณอนาลอ็ ก หรอื อุปกรณ Regenerate สัญญาณสาํ หรบั สัญญาณดจิ ิตอล ภาพที่ 6.9 Thermal Noise ทมี่ า (ดดั แปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 85) 6.2.2 อิมพัลสนอยซ (Impulse Noise) เปน เหตกุ ารณท ีจ่ ะทาํ ใหมีคล่นื สญั ญาณโดง (Spiles) ขนึ้ อยา งผดิ ปกตอิ ยางรวดเรว็ จัดเปน สญั ญาณรบกวนแบบไมค งทซ่ี งึ่ ยากตอการตรวจสอบ เนอ่ื งจากอาจเกิดขึ้นในชวงเวลาส้ันๆ แลวก็ หายไป โดย มกั จะเกิดการรบกวนจากภายนอกแบบทนั ทที ันใด เชน ฟา แลบ ฟาผา ซึ่งหากสัญญาณ รบกวนชนิดน้ีไดมีการ

การมลั ติเพล็กซ และการตรวจจับขอผดิ พลาด 128 แทรกแซงเขามากับสัญญาณดจิ ิตอล และบอยคร้ังท่สี ญั ญาณดิจติ อลสามารถ ท่จี ะทาํ การกูค นื สญั ญาณที่สญู เสยี ใหกลับมาอยูในรูปแบบสัญญาณตนฉบับได แตดวยสัญญาณรบกวนแบบอิมพัลสนนอยซไดทําการลบลาง สัญญาณตน ฉบับออกไป ก็จะสงผลกระทบตอ ขอ มลู บางสวนท่ีอาจทําใหขาดหายไปได และไมสามารถทําการกู คืน สาํ หรับการปอ งกนั สัญญาณรบกวนชนิดน้ี สามารถปองกันไดดวยการใชอุปกรณกรองสัญญาณพิเศษที่ใช สาํ หรับสัญญาณอนาล็อก หรืออุปกรณประมวลผลสัญญาณดิจติ อลทีใ่ ชสําหรบั สญั ญาณดจิ ติ อล ภาพที่ 6.10 Impulse Noise ท่มี า (ดัดแปลงจาก Behrouz A.Forouzan, 2007, หนา 85) 6.2.3 ครอสทอลก (Crosstalk) เปน เหตุการณทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการเหนยี่ วนาํ ของสนามแมเ หลก็ ไฟฟา ท่ีเขา ไปรบกวนสญั ญาณ ขอ มลู ทส่ี ง ผานเขา ไปในสายสง หรอื ตวั กลางในการสงขอมูล ตัวอยางเชน สายคูบิดเกลียวที่ใชกับสายโทรศัพท มักกอใหเ กดิ สัญญาณท่ีเรยี กวา “ครอสทอลก ” ไดง า ย เน่ืองจากเม่ือมีการนําสายเหลานั้นมัดรวมกัน จะทําให เกิดการเหน่ียวนําทางไฟฟา เน่ืองจากในระบบสงสัญญาณที่มีสายสงหลายเสน และมีการติดต้ังบนระยะ ทางไกลๆ ดงั นั้นโอกาสที่สญั ญาณในแตละเสนจะมีโอกาสท่จี ะเกดิ การรบกวนซ่ึงกันและกันได ตัวอยางเชน ใน บางครั้งขณะที่เราพูดคุยทางโทรศัพทกับเพ่ือน แตกลับไดยินเสียงพูดคุยจากคูสายอ่ืนอยูเบื้องหลัง เปนตน สาํ หรบั การปอ งกันสัญญาณรบกวนชนดิ นี้ สามารถปอ งกนั ไดด วยการใช สายสญั ญาณที่มีฉนวนหรือมีชีลด เพื่อ ปอ งกนั สัญญาณรบกวน ภาพท่ี 6.11 Crosstalk ทม่ี า (ผเู ขียน)

การมลั ติเพล็กซ และการตรวจจบั ขอผดิ พลาด 129 6.2.4 เอคโค (Echo) เอคโคเปน สญั ญาณท่ถี ูกสะทอ นกลับ (Reflection) ซ่ึงมีลกั ษณะเดียวกันกบั การท่เี ราตะโกน เสียงใสใ นหอ งวา งเปลา หรือบนเขา และเสียงที่ตะโกนน้ันกองกลับมาใหเราไดยิน โดยสัญญาณท่ีสงไปบนสาย โคแอกเชยี ลไดเดนิ ทางไปยังสดุ ปลายสายและมกี ารสะทอ นกลับ ซึง่ จะสง ผลกระทบตอโหนดใกลเคียง กลาวคือ โหนดใกลเ คียงจะไดย นิ เสียงสัญญาณสะทอนกลบั และพลันนกึ วา สายสงสัญญาณในขณะน้นั ไมวา ง ทาํ ใหต องรอ สง ขอมลู แทนที่จะสามารถสง ขอ มลู ไดทันที สาํ หรับการปองกันสัญญาณรบกวนเอคโค สามารถปองกนั ไดโ ดยใช อปุ กรณท ่ี เรยี กวา “เทอรมเิ นเตอร (Therminator)” เชน ในระบบเครอื ขา ยทอ งถ่นิ ที่มกี ารใชส ายโคแอกเชยี ล เปน ตวั กลางสง ขอมูล จะใชเทอรมิเนเตอรปดทป่ี ลายสายทัง้ สองฝง เพื่อทําหนาทร่ี ะงับเสียงสะทอ น ดงั กลาวดวย การดูดกลนื สญั ญาณเหลานนั้ ภาพที่ 6.12 Echo ทีม่ า (ผูเขียน) 6.2.5 จิตเตอร (Jitter) เปนเหตกุ ารณท คี่ วามถขี่ องสญั ญาณไดเกิดการเปลยี่ นแปลงไปอยา งตอเนื่อง ซ่งึ กอใหเ กดิ การ เลอ่ื นเฟสไปเปน คาอ่ืนๆ อยางตอเนอ่ื งดวย สําหรับการปองกันสัญญาณรบกวนชนิดนี้ สามารถปองกันไดดวย การเลอื กใชวงจรอเิ ล็กทรอนิกสทม่ี คี ุณภาพ หรอื อาจใชอุปกรณรีพตี เตอรเพื่อชวยในการทวนสัญญาณซา้ํ 6.2.6 ความผดิ เพีย้ นจากการเคล่อื นท่ี (Delay Distortion) เปน เหตุการณท ่สี ามารถเกดิ ข้ึนได เน่อื งมาจากสัญญาณขอ มลู ไดเคล่อื นท่ีดว ยความเรว็ ท่ี แตกตางกัน สญั ญาณทเี่ คลอ่ื นท่ีตามมาทีหลงั อาจจะมกี ารไลตามทันสัญญาณกอ นหนาและผสมรวมกัน เขาไป ซง่ึ สง ผลตอ ความผดิ พลาดของขอ มลู สาํ หรบั การปอ งกนั สัญญาณรบกวนชนดิ นี้ สามารถปอ งกันไดดวยการเพิ่ม วงจร Equalizes เพอื่ ตรวจตราสัญญาณที่เขามาและทําการปรับความเร็วของความถีใ่ หเ ทา กัน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook