ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บชท่ือท_ี่_3__พ__ฒั __น_า__ก_า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว__ัต_ศิ _า__ส_ต_ร__์ส_ม_ยั__โ_บ_ร_า__ณ__แ_ลชะศน้ั ามส.น6า/ใ_น__โลเลกขตทะว่ี__นั _ต__ก บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตรส์ มยั โบราณและศาสนาในโลกตะวันตก อารยธรรมเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) เป็นอารยธรรม ประวตั ิศาสตร์ตะวันตกสมยั ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีอายุประมาณ 6,000 ปี ได้รับการยกย่องว่า โบราณ ได้แก่ อารยธรรม เป็นอารยธรรมแรกของโลก เมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีก และโรมัน ได้สร้างสรรค์ “เมโสโปเตเมีย” เป็นภาษากรีก แปลว่า ดินแดนระหว่าง มรดกทางวฒั นธรรมทโ่ี ดดเดน่ แม่น้ำ 2 สาย หมายถึง ที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรติส เป็น อยา่ งไรบา้ ง ดินแดนอดุ มสมบูรณ์ท่ีล้อมรอบด้วยพน้ื ท่ีแห้งแล้งโดยรอบในภูมิภาค เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (ตะวันออกกลาง) ปจั จบุ ันอย่ใู นประเทศอิรัก ▪ ปจั จัยท่ีมีอทิ ธิพลต่อการสร้างสรรคอ์ ารยธรรมเมโสโปเตเมยี - อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไทกริส – ยูเฟรติส (Tigris – Euphrates) มีรูปร่างโค้งยาวระหว่างสองลุ่มแม่น้ำ จึงมักเรียกว่าเป็น “ดินแดนรูปพระจันทร์เสี้ยว” (Fertile Crescent) ทอดโค้งจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจรด อ่าวเปอร์เซีย ลุ่มแม่น้ำตอนบนมีความแห้งแล้งจึงต้อง พัฒนาระบบชลประทาน แต่ลุ่มแม่น้ำตอนลา่ งมตี ะกอนมา ทับถมโดยเฉพาะบริเวณปากแมน่ ำ้ จึงมคี วามอุดมสมบูรณ์ - บริเวณเมโสโปเตเมียตั้งอยู่ในเขตอากาศร้อน จดุ เดน่ ของอารยธรรมเมโสโปเตเมยี คอื มีภูมิอากาศกึ่งทะเลทราย ฝนตกน้อย มีพายุรุนแรง - เป็นอารยธรรมทกี่ ลมุ่ ชนหลายเชอ้ื ชาติ สภาพภูมิอากาศไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต จึงเป็นปัจจัยท่ี ผลดั เปล่ยี นเขา้ มาปกครอง บั่นทอนกำลังของผู้คนให้ขาดความกระตือรือร้น เมื่อมี - เป็นจุดเริม่ ต้นของอารยธรรมตะวันตก ผรู้ กุ รานกม็ กั ยอมพ่ายผรู้ ุกราน เป็นลกั ษณะน้ีมาโดยตลอด (History begins at Sumer) กลุ่มชนที่สรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมเมโสโปเตเมีย ▪ สเุ มเรยี น : Sumerian (4,000 – 2,334 ปกี อ่ น ค.ศ.) ➢ ลกั ษณะการปกครอง ชาวสุเมเรียนเป็นชนกลุ่มแรกที่สร้างสรรค์อารยธรรมบนดินแดนเมโสโปเตเมีย เดิมตั้งถิ่นฐาน เป็นชุมชนเกษตรกรรมและพัฒนาเป็นชุมชนเมือง เรียกบริเวณน้ีว่า “ซูเมอร์” (Sumer) ต่อมาสถาปนา นครรฐั สุเมเรยี มีจำนวน 12 นครรฐั ผู้ปกครองมีฐานะเป็นกษัตริย์นักบวช ควบคมุ ระบบชลประทาน 33
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวัตศิ าสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก ➢ มรดกทางวฒั นธรรม : - ความเชื่อ : พหุเทวนิยม ชาวสุเมเรียนบูชาเทพเจ้าหลายองค์ เชื่อในอำนาจของเทพเจ้าตาม ธรรมชาติ เคารพดวงดาว แม่น้ำ และปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่ยังหาคำตอบไม่ได้ และเชื่อชีวิตใน ปจั จุบนั - อักษรศาสตร์ : อักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรล่ิม ซูเมอรก์ า้ วเขา้ สยู่ คุ ประวตั ศิ าสตร์ เปน็ ดนิ แดนแรกของโลก (Cuneiform) ชาวสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกของโลกที่สามารถ ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้น คูนิฟอร์มมีลักษณะเป็นตัวอักษรภาพ ใช้ไม้ปลายแหลมที่ทำจากต้นอ้อกดลงบนแผ่นดินเหนียวเปียกๆ เป็นสัญลกั ษณห์ รือตวั อักษรรูปภาพแทนความหมายของคำ และ นำไปตากแห้งหรืออบด้วยความร้อน ถือเป็นหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประโยชน์ทางด้านศาสนกิจเป็นสำคัญ โดยพวกพระหรือนักบวชใช้จดบันทึกบทบัญญัติทางศาสนา บัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีจำนวนที่ดินที่วัดให้ชาวนาเช่าและ ค่าเชา่ ขนาดของฝงู สตั ว์ เมลด็ พันธุ์พืชที่ใช้ในการหว่าน เป็นตน้ - สถาปัตยกรรม : ซิกกูแรต (Ziggurat) เป็นวิหาร รูปทรงภูเขาจำลองขนาดใหญ่ ทึบตัน มีทางขึ้นเป็นขั้นบันใด (คล้ายพีระมิดขั้นบันได) สร้างขึ้นจากอิฐทีท่ ำจากดินเหนียวตากแห้ง (ไม่คงทน) เพื่อบูชาเทพเจ้าประจำ เมือง แสดงถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของเทพเจ้า ชาวสุเมเรียนเกรงกลัวอำนาจของเทพเจ้า จึงเชื่อว่า มนุษย์มีหน้าทรี่ บั ใชเ้ ทพเจา้ นอกจากนซ้ี ิกกแู รตยังใช้เป็นศูนยศ์ ลิ ปหตั ถกรรมและสถานพยาบาลอีกด้วย - วรรณกรรม : มหากาพย์กิลกาเมซ (Epic of Gilgamesh) บันทึกด้วยอักษรคูนิฟอร์มลงบน แผ่นดินเหนียวเมื่อ 2,700 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีเนื้อหาเกี่ยวกับการผจญภัยของวีรบุรุษกิลกาเมซ ที่แสวงหาชีวิตอมตะ สามารถรอดจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลก แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถเอาชนะความตาย และเทพเจ้าได้ ต่อมาความเชื่อนี้ปรากฏในพันธสัญญาเดิม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระคริสตธรรมคัมภีร์ (Bible) จงึ เชื่อว่าไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากมหากาพย์เรือ่ งนี้ ➢ วทิ ยาการสำคัญ : - คณิตศาสตร์ : เลขฐาน 12 (โหล) ฐาน 24 (ชั่วโมง) ฐาน 60 (นาที) และฐาน 90 (มุมฉาก) การคูณ การหาร การถอดกรณฑ์กำลังสอง และกำลังสาม การหาพื้นที่ของวงกลม การนับเวลาตาม จันทรคติ และมาตราช่ัง ตวง วดั - เกษตรกรรม : ทำนบกั้นน้ำ เนื่องจากดินแดนซูเมอร์มีความแห้งแล้ง ปริมาณน้ำฝน ไม่เพียงพอต่อการเกษตร จึงต้องพัฒนาระบบชลประทาน โดยการขุดคลองส่งน้ำเช่ือมแหล่งน้ำกบั พื้นที่ เพาะปลูกที่อยู่ห่างไกลจากแม่น้ำ สร้างเขื่อน ประตูน้ำ และอ่างเก็บน้ำ ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มผลผลิตทาง 34
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวัติศาสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก การเกษตรให้มากข้ึน เช่น ขา้ วสาลี ขา้ วบารเ์ ลย์ นอกจากนี้ ยังรจู้ กั ประดิษฐ์คันไถดว้ ยสำริด และใช้วัวคู่ มาเทียมคันไถเพือ่ ทนุ่ แรงมนุษย์ - หัตถกรรม : แป้นจานหมุนสำหรับทำเครื่องปั้นดินเผา ถือเป็นเครื่องกลชิ้นแรกของโลก เครื่องมือสำริดและเหลก็ และการทอผ้า - วศิ วกรรม : วงลอ้ ประกอบเพลาใชก้ บั เกวียนและรถศกึ เพ่ือขนส่งผ้คู นทีเ่ ดินทางและสินคา้ ▪ อัคคาเดยี น : Acadian (2,334 – 2,154 ปีกอ่ น ค.ศ.) ชาวอคั คาเดยี นได้สถาปนาอาณาจักรอัคคาเดยี ข้ึน รับวธิ ีเขียนด้วยตัวอกั ษรคนู ิฟอร์มมาใช้ ▪ อะมอไรต์ : Amorite (1,895 – 1,595 ปกี อ่ น ค.ศ.) ➢ ลกั ษณะการปกครอง ชาวอะมอไรต์อพยพมาจากซีเรียเข้ายึดครองดินแดนซูเมอร์และสถาปนาจักรวรรดิบาบิโลเนีย (Babylonia) ขึ้น มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองบาบิโลน มีอำนาจทางการทหารที่เข้มแข็ง ปกครองแบบ รวมอำนาจ มีการเกณฑ์ทหาร การเก็บภาษี และการคา้ ทรี่ ัฐควบคมุ อยา่ งเข้มงวด ➢ มรดกทางวัฒนธรรม : ประมวลกฎหมายพระเจ้า ฮัมมูราบี (The Code of Hammurabi) เป็นประมวลกฎหมาย ฉบับแรกของโลก (ลายลกั ษณอ์ กั ษร) บันทึกด้วยอักษรคูนิฟอร์ม จัดทำในสมัยพระเจ้าฮัมมูราบี (1,792 – 1,750 ปีก่อน คริสต์ศักราช) นำหลักกฎหมายของชาวสุเมเรียนมาปรับปรุง และจัดระเบียบเป็นหมวดหมู่ ใช้หลักการตาต่อตา ฟันต่อฟัน ประมวลกฎหมายพระเจ้าฮัมมรู าบี กล่าวคือ ให้ชดใช้การกระทำความผิดด้วยการกระทำอย่าง เดียวกัน มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความยุติธรรมและระเบียบวินัยในสังคม มีอิทธิพลต่อผู้คนทั้งด้าน เศรษฐกิจ การถือครองที่ดิน การทำมาหากิน แสดงให้เห็นว่าจักรวรรดิบาบิโลเนียมีลักษณะเป็นรัฐ สวัสดิการ โดยรัฐดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในด้านต่างๆ เช่น กำหนดค่ารักษาพยาบาล ค่า กอ่ สรา้ ง และราคาสินค้า เพือ่ มิใหป้ ระชาชนถูกเอารัดเอาเปรยี บ รวมทง้ั เปน็ กฎหมายฉบับแรกท่ีค้มุ ครอง สิทธสิ ตรี เชน่ ใหส้ ทิ ธิสตรีฟ้องหยา่ สามีได้ เป็นตน้ จักรวรรดบิ าบโิ ลเบียระยะหลงั ถกู พวกฮติ ไทต์ (Hittite) จากอนาโตเลยี (ตุรกี) เข้ารกุ รานเมื่อประมาณ 1,590 ปี กอ่ นครสิ ตศ์ ักราชหลงั ทำสงครามกับอยี ิปต์ มคี วามสามารถในการรบโดยใช้เหลก็ หลอมทำอาวุธและใช้รถศกึ เทียมมา้ ▪ แอสซเี รียน : Assyrian (1,392 - 609 ปีก่อน ค.ศ.) ➢ ลกั ษณะการปกครอง ชาวแอสซีเรียนเป็นนักรบที่เข้มแขง็ และกล้าหาญ ใช้อาวุธที่ทำด้วยเหล็กอย่างมีประสิทธิภาพ เข้ายึดครองเมโสโปเตเมียจากชาวอะมอไรต์และสถาปนาจักรวรรดิแอสซีเรีย มีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง 35
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวัติศาสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก นิเนเวห์ (Nineveh) และขยายอาณาเขตไปถงึ ชายฝงั่ ตะวนั ออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและตอนเหนือ ของอียิปต์ นอกจากนี้ยังปรากฏแนวคิดเทวราชา กษัตริย์มีพระราชฐานะเป็นสมมติเทพ (ผู้แทนของ พระเจ้า) กษัตริย์แอสซีเรียนจึงมีเกียรติและมีฐานะสูงกว่ากษัตริย์สุเมเรียน กษัตริย์องค์สำคัญ คือ พระเจา้ อัสซูรบ์ านปิ าล : Ashurbanipal (668 – 627 ปีก่อนครสิ ต์ศักราช) ➢ มรดกทางวัฒนธรรม : - สถาปัตยกรรม : พระราชวังของจักรพรรดิซากอน เป็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ ตัวอาคารสร้างเป็นรูปครึ่งวงกลมและ มีโดม ชาวแอสซีเรยี นถือคตเิ ทวราชา จึงนิยมสรา้ งพระราชวังขนาด พระราชวงั ของจกั รพรรดิซากอน ใหญ่มากกว่าศาสนสถาน เพื่อใช้เป็นที่ประทับและศูนย์กลางการ ปกครอง - ประติมากรรม : ภาพสลักนูนต่ำ มีการเคลื่อนไหวตาม ธรรมชาติ เป็นภาพการดำเนินชีวิตประจำวันของชาวแอสซีเรียน เช่น ภาพการล่าสัตว์ ภาพการทำสงครามกับชนชาติต่างๆ เป็นต้น เปน็ ภาพทใ่ี ชป้ ระดบั พระราชวงั เพื่อเชิดชูกษตั ริยใ์ นฐานะนกั รบ ภาพสงิ โตตัวเมยี ใกล้ตาย ➢ วทิ ยาการสำคญั : ห้องสมดุ เมอื งนเิ นเวห์ เป็นหอ้ งสมุดที่เกา่ แก่ท่ีสุดในโลก รวบรวมงานเขียน ที่จารึกเรื่องราวต่างๆ บนแผ่นดินเหนียวตากแห้งจำนวนมากถึง 22,000 แผ่น เช่น เพลงสวด นิยาย ปรัมปรา วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ การปกครอง เป็นต้น สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าอัสซูร์บานิปาล ซึ่งเปน็ สมัยท่ีศลิ ปวฒั นธรรมของชาวแอสซเี รียนเจริญร่งุ เรืองมาก ▪ คาลเดยี น : Chaldean (609 – 539 ปีก่อน ค.ศ.) ➢ ลกั ษณะการปกครอง ชาวคาลเดียนเข้ายึดครองดินแดนเมโสโปเตเมยี จากชาวแอสซีเรียน และได้สถาปนาจักรวรรดิ บาบิโลเนียใหม่ ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองบาบิโลน ซึ่งขยายให้กว้างใหญ่ขึ้น มีกำแพงล้อมรอบ และสร้าง พระราชวังและวิหารขนาดใหญ่บนฝั่งแม่น้ำยูเฟรตีส กษัตริย์องค์สำคัญ คือ พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ : Nebuchadnezzar (605 – 562 ปีกอ่ นครสิ ต์ศักราช) ➢ มรดกทางวัฒนธรรม - สวนลอยบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon) เปน็ สวนขนาดใหญอ่ ยบู่ ริเวณระเบยี งของพระราชวัง มีหลายช้ัน แต่ละชั้นปลูกพืชนานาพันธุ์ มีกังหันวิดน้ำขึ้นไปรดน้ำบนสวน ชั้นบนได้ แสดงถึงความเจริญของระบบชลประทานและ วิศวกรรม ทำให้สวนแห่งนี้มีพืชพรรณเขียวชอุ่มตลอดปี เป็นสถาปตั ยกรรมทเี่ ปน็ สงิ่ มหัศจรรยข์ องโลกในยุคโบราณ สวนลอยบาบโิ ลน - หอคอยแห่งบาเบล (Tower of Babel) มลี ักษณะคล้ายซิกกูแรตขนาดใหญ่ 36
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทที่ 3 พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวันตก ➢ วิทยาการสำคญั : - การคำนวณเวลา : แบ่งสปั ดาห์ออกเปน็ 7 วัน วนั ละ 12 คาบ คาบละ 120 นาที - ดาราศาสตร์ : การคำนวณสุริยุปราคาและคำนวณเวลาโคจรของดวงอาทิตย์ในรอบปี ชาวคาลเดียนเปน็ ชนชาตแิ รกทนี่ ำความรดู้ าราศาสตร์มาทำนายโชคชะตามนษุ ย์ ➢ การล่มสลาย : จักรวรรดิบาบิโลเนียถูกจักรวรรดิเปอร์เซียยึดครองเมื่อ 537 ปีก่อน ครสิ ต์ศกั ราช ถอื เป็นจุดสิน้ สุดอารยธรรมเมโสโปเตเมยี การสร้างสรรคอ์ ารยธรรมในเอเชียไมเนอร์ เอเชียไมเนอร์เป็นดินแดนที่อยู่ระหว่างคาบสมุทรบอล ข่านและคาบสมุทรอาหรับในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ปัจจุบันมีพื้นที่อยู่ในประเทศตุรกี อิสราเอล และซีเรีย เมื่อ ประมาณ 1,200 – 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีชนชาติเก่าแก่อื่นๆ ทอี่ าศัยอยไู่ ดถ้ า่ ยทอดความเจรญิ ให้แก่อารยธรรมตะวันตก ดงั นี้ ▪ ฟนิ ิเชยี น (Phoenician) ➢ ลกั ษณะการปกครอง ชาวฟินิเชียนมชี ือ่ เดิมว่า “แคนาไนต์” (Canaanite) อาศัยอยู่บริเวณแคบๆ ของชายฝั่งทะเล เมดิเตอร์เรเนียนในพื้นที่ประเทศเลบานอนในปัจจุบัน มีการปกครองแบบนครรัฐ และเมื่อประมาณ 750 ปีก่อนคริสต์ศักราช ดินแดนต่างๆ ของชาวฟินิเชียนถูกยึด ครองโดยชาวแอสซีเรียน และเมื่อ 146 ปีก่อนคริสต์ศักราชจึงถูก ทำลายโดยกองทำเรือของจักรวรรดโิ รมนั ➢ มรดกทางวัฒนธรรม : อักษรอัลฟาเบต ชาวฟินิเชียน นำตัวอักษรคูนิฟอร์มและอักษรเฮียโรกลิฟฟิกมาดัดแปลงเป็น พยัญชนะ 22 ตัว เมื่อประมาณ 1,000 – 900 ปีก่อนคริสต์ศักราช กลายเปน็ ตน้ แบบตวั อกั ษรกรีกและละตนิ ➢ วิทยาการสำคัญ : การค้าทางทะเลและการเดินเรือ ชาวฟินิเชียนตั้งถิ่นฐานบริเวณชายฝั่ง ทะเล สร้างเรอื ใบขนาดใหญใ่ นการเดินทะเล สามารถควบคุมการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และจัดตั้ง เมืองท่าชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนยี นหลายแหง่ เช่น เมืองคาเทจ (Carthage) นอกจากนี้ยังเปน็ กลุม่ ชน ทีส่ ง่ ผา่ นอารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอียิปต์ไปเผยแพร่ยงั ชายฝงั่ ตะวนั ตกของยุโรป ▪ เปอรเ์ ซยี น (Persia) พวกลเิ ดยี นรจู้ ักใชเ้ หรยี ญกษาปณ์เป็นชนชาติแรก เปอร์เซยี นตง้ั ถ่ินฐานอยบู่ รเิ วณที่ราบสงู อหิ ร่าน เป็นบรรพบุรษุ ของชาวอิหร่าน 37
ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 3 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก ➢ ลักษณะการปกครอง - พระเจ้าไซรัสมหาราช (Cyrus the Great) ทรงรวบรวมดินแดนให้เป็นหนึ่งเดียวและ สถาปนาจักรวรรดิเปอรเ์ ซียขน้ึ เมอื่ 550 ปีกอ่ นครสิ ต์ศกั ราช - พระเจ้าดาริอุสมหาราช (Darius the Great) ทรงปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยแบ่งจักรวรรดิเปอร์เซียออกเป็น 20 มณฑล ผู้ปกครองมณฑลขึ้นตรงต่อกษัตริย์ แต่มีอำนาจเสมือน กษัตริย์ พระเจา้ ดาริอุสมหาราชจึงเปรยี บเสมอื นกษตั ริย์ของเหลา่ กษัตริย์ (king of kings) - เมื่อ 331 ปีก่อนคริสต์ศักราชเมื่อสิ้นสุดสมัยพระเจ้าดาริอุสมหาราช จักรวรรดิเปอร์เซียถูก กองทพั ของพระเจา้ อเล็กซานเดอรม์ หาราชแห่งจักรวรรดิกรกี รกุ รานและเข้ายดึ ครองในทีสุด ➢ มรดกทางวฒั นธรรม : - ศาสนาโซโรแอสเตอร์ (Zoroaster) แต่ปัจจุบนั ผู้นับถอื ส่วนใหญ่อพยพไปอยู่ในอินเดียตอนใต้ และเรียกชื่อศาสนาน้ีใหมว่ ่า ศาสนาปารซ์ ี (Parsi) - การรับอารยธรรมของชนชาตอิ ื่น เช่น แบบอย่างอักษรจากอักษรคนู ิฟอรม์ ของเมโสโปเตเมยี การใช้ปฏิทินสุริยคติและงานสถาปัตยกรรมของอียิปต์ ชาวเปอร์เซียนจึงเป็นตัวกลางที่ส่งผ่านระหว่าง อารยธรรมตะวนั ออกกับอารยธรรมตะวนั ตก ➢ วิทยาการสำคัญ : ถนนเปอรเ์ ซยี (Royal Road) เชื่อมเมืองต่างๆ ในจักรวรรดิ สร้างในสมัยพระเจ้าดาริอุส มหาราช และระบบไปรษณีย์ ▪ ฮบิ รหู รอื ยวิ (Hebrew or Jew) ➢ ลักษณะการปกครอง - ชาวฮิบรูเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทราย เข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนคานาอัน ต่อมาอพยพ ไปทีอ่ ยี ิปตแ์ ลว้ ถูกจบั เปน็ ทาส โมเสสเปน็ ผู้นำชาวฮิบรูอพยพกลับมาท่ีดินแดนคานาอนั - ชาวฮิบรูสถาปนาอาณาจักรปาเลสไตน์ ศูนย์กลางอยู่ที่นครเยรูซาเล็ม ต่อมาแตกแยกเป็น 2 ส่วนและถูกยึดครองโดยจักรวรรดิแอสซีเรียน และจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ของพระเจ้า เนบูคัดเนซซาร์ ประชาชนถูกกวาดต้อนไปอยู่บาบิโลเนียใหม่ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การคุมขังแห่ง บาบิโลเนยี ” (The Babylonian Captivity) - ดินแดนของฮบิ รกู ็อยภู่ ายใต้การปกครองของเปอร์เซยี กรกี และโรมัน เมอื่ ค.ศ.70 ชาวฮิบรู เป็นกบฏต่อจักรวรรดิโรมัน ส่งผลให้ทหารโรมันเข้าทำลายดินแดนปาเลสไตน์ ฮิบรูจึงกลายเป็นชนเผ่า เร่รอ่ นไมม่ ีดนิ แดนเป็นของตนเอง - หลังสงครามโลกคร้งั ที่ 2 ฝา่ ยสัมพนั ธมิตรตกลงจดั ต้งั ประเทศอิสราเอลของชาวฮิบรมู ีอำนาจอธปิ ไตย ➢ มรดกทางวัฒนธรรม : เอกเทวนิยม ชาวฮิบรูบูชาเทพเจ้าองค์เดียว (พระยะโฮวาห์) กำเนิด พนั ธสัญญาเดิม (The Old Testament) ทใ่ี หค้ วามรูเ้ กี่ยวกับความเปน็ มาของชนชาตฮิ ิบรูและอื่นๆ และ ศาสนายูดาห์ (Judaism) ซงึ่ เป็นพนื้ ฐานของความเช่อื ในศาสนาครสิ ต์และอสิ ลามในเวลาต่อมา 38
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บชท่อื ท_ี่ _3__พ__ฒั __น_า_ก__า_ร_ท__า_ง_ป_ร__ะ_ว_ัต__ิศ_า_ส__ต_ร_ส์__ม_ยั _โ_บ__ร_า_ณ__แ_ลชะน้ั ศามส.6น/า_ใ_น_โเลลกขตทะ่ี_ว_นั__ต_ก พัฒนาการ คำว่า “คริสต์” เป็นภาษาอังกฤษแปลมาจากภาษาฮิบรู ศาสนาคริสตก์ ำเนดิ ขน้ึ ประมาณ 2,000 ปี ณ ดินแดน คือ “เมสสิอาห์” (Messiah) แปลว่า ผู้ท่ี ปาเลสไตน์ ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน ขณะนั้นเป็นถิ่นฐาน ได้รับเลือกเป็นตัวแทนของพระเจ้าให้เป็น ของชาวยวิ ซึ่งตกอยูภ่ ายใต้การปกครองของจักรวรรดโิ รมัน ผู้ไถ่บาปแก่มวลมนุษย์ ซึ่งพระเยซูไม่เคย เอ่ยคำว่า “ครสิ ต์” เลย ▪ ศาสนายูดาห์ : รากฐานของศาสนาคริสต์ อบั ราฮมั เป็นบรรพบรุ ษุ ของชาวยิว (บิดาของชาวยิว) ไดร้ ับโองการจากพระเจา้ ใหอ้ พยพชาวยิว จากดินแดนเมโสโปเตเมียมาที่ดินแดนคานาอัน (ปาเลสไตน์) ตั้งแต่ 1,900 ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมา คานาอันเกดิ ความแหง้ แลง้ ชาวยิวจึงอพยพไปแถบลุ่มแมน่ ำ้ ไนล์ และตกเป็นทาสของชาวอยี ปิ ต์ โมเสส (แปลวา่ ผ้รู อดจากนำ้ ) ไดร้ ับโองการจากพระเจา้ ให้นำชาวยิวอพยพจากอียิปต์กลับมาท่ี คานาอัน แต่ทหารอียิปต์ตามไล่ฆ่าถึงทะเลแดง โมเสสจึงใช้อำนาจของพระเจ้าแยกน้ำในทะเลแดง พาชาวยิวหนีกลับมา (วันปาสกา) โมเสสรับมอบบัญญัติ 10 ประการจากพระเจ้าไปประกาศศาสนา ยูดาห์และคำสอนของพระเจ้าบนภูเขาไซนาย และกล่าวว่า คานาอันเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญา (Promised Land) อันศักดิ์สิทธิ์ที่พระยะเวห์ทรงประทานให้แก่ชาวยิว ซึ่งชาวยิวเชื่อว่าโมเสสคือ พระเมสสอิ าห์ทจี่ ะช่วยชาวยิว แต่ชาวยิวก็ยงั ประสบความทกุ ข์ยาก จึงเลิกเช่ือวา่ โมเสสเปน็ พระเมสสอิ าห์ ▪ กำเนิดพระเยซูและศาสนาครสิ ต์ พระเยซู เป็นชาวยิวหรือฮิบรู ประสูติขึ้นเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.1 (Christmas) ณ เมือง เบธเลเฮม แคว้นยูดาห์ ในดินแดนปาเลสไตน์ มีมารดาเป็นชาวบ้านบริสุทธิ์ชื่อว่า “มารีอา” ชาวคริสต์ จึงเชือ่ วา่ พระนางมารีอาทรงตง้ั ครรภโ์ ดยอานุภาพของพระเจ้า ต่อมาสมรสกบั โยเซฟ เมื่อพระเยซูมีพระชนมายุประมาณ 30 พรรษา ได้ให้ยอห์นที่เป็นนักบุญในศาสนายูดาห์ ประกอบพิธีศีลจุ่มให้ (John the Baptist) ณ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน และเสด็จไปบำเพ็ญจติ ในป่า 40 วัน พระยะโฮวาห์ไดโ้ องการให้พระเยซูนำคำสอนมาประกาศแกช่ าวยิว พระเยซเู ร่ิมประกาศหลักคำสอนพร้อมกับการรักษาความเจ็บปว่ ยทางกายและใจของชาวยิวใน นครเยรูซาเล็ม ปฐมเทศนาครั้งแรก คือ “การเทศนาบนภูเขา” โดยได้สาวก 12 คน (เปรียบกับ 12 เผ่าพันธุ์ของชาวยิว) เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่ศาสนา หลักคำสอนเน้นเรื่องจริยธรรมมากกว่า พิธกี รรม โดยทีไ่ มม่ พี ระประสงคท์ ่ีจะทำลายหลักคำสอนเดิมของชาวยิว แต่พระองคท์ รงปรับปรงุ เพ่ิมเติม คัมภีร์เก่า ชาวยิวกลุม่ หนึ่งมคี วามเชื่อว่าพระเยซูเปน็ พระเมสสิอาห์ (ต่างจากความเช่ือของศาสนายูดาห์ ที่ยังไม่ปรากฏมา) แต่ชาวยิวส่วนใหญ่ไม่เชื่อและ ต่อต้านพระเยซูที่สอนในสิ่งท่ีขัดต่อผลประโยชน์ ไม้กางเขน ในศาสนสถานเดิม จึงพยายามใส่ร้าย ในที่สุด เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ แสดง พระเยซูถูกทหารโรมันจับตัวและลงโทษประหาร ถงึ ความรกั และการเสยี สละของพระเยซู ชีวิต โดยการตรึงไม้กางเขน ณ ภูเขาโคลกอต 39
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทที่ 3 พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตรส์ มัยโบราณและศาสนาในโลกตะวันตก ฐานอ้างตนเป็นบุตรของพระเจ้า และเป็นกบฏต่อจักรวรรดิโรมัน สิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุ 33 พรรษา ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (The Good Friday) หลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนไปแล้ว 3 วัน พระองค์ได้ฟื้นคืนชีพ (Ester Day) และถ่ายทอดหลักคำสอนแก่สาวก เพื่อย้ำให้สาวกมีความเข้าใจ ในหลักคำสอนและช่วยกนั เผยแผ่คำสอนไปยังดนิ แดนต่างๆ เปน็ เวลา 40 วันจงึ เสด็จสูส่ วรรค์ ▪ การขยายตัวของศาสนาคริสต์ หลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ คณะสาวกได้ออกเทศนาสืบทอดหลักคำสอน นักบุญเปโตร ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเยซูให้เป็นหัวหน้าสาวก กลายเป็นประมุขคนแรกของศาสนาคริสต์ หรือ เรยี กวา่ “พระสนั ตะปาปา” (Pope) ได้เผยแผศ่ าสนาไปถึงกรุงโรม แต่ต่อมาถกู ต่อตา้ นอย่างหนัก จักรวรรดิโรมันต่อต้านศาสนาคริสต์เรื่อยมา จนกระทั่งใน ค.ศ.313 จักรพรรดิคอนสแตนตินได้ ประกาศพระราชกฤษฎีกาแห่งมิลาน (Edict od Milan) ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาแก่ชาวโรมัน และสถาปนาศาสนาครสิ ตเ์ ป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมัน คัมภีร์ พระครสิ ตธรรมคมั ภรี ์ (Bible) ประกอบด้วย 2 ภาค ไดแ้ ก่ 1. พันธสัญญาเดมิ หรอื พระคมั ภรี เ์ กา่ (Old Testament) ภาคแรกของพระคริสตธรรมคมั ภีร์เป็นภาษาฮิบรูโบราณเกือบทั้งหมด มที ม่ี าจากหลักคำสอน ของศาสนายูดาห์ กล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนพระเยซูประสูติ คือ ประวัติการสร้างโลกและมนุษย์ ประวัติ ชนชาตยิ วิ ประวัติและการเผยแผศ่ าสนายูดาห์ของโมเสส บญั ญัติ 10 ประการ คำสง่ั สอนของประกาศก (Prophet) บทสวด บทสดุดี สุภาษิต และบทเพลง พันธสญั ญาเดิมเป็นตน้ แบบและเป็นท่มี าของศาสนาครสิ ต์ พระเยซูได้ยอมรบั และยดึ ถือนำมา เป็นหลกั คำสอนของศาสนาครสิ ต์ บัญญตั ิ 10 ประการ เป็นหลกั ธรรมท่ีพระเจ้าประทานใหแ้ กช่ าวยวิ ผา่ นโมเสส ดังนี้ 1. จงนมัสการพระยะโฮวาห์องค์เดียว (เอกเทวนยิ ม) 6. อยา่ ผดิ ประเวณี 2. อยา่ ออกนามพระเจา้ โดยไมส่ มเหตุ 7. อย่าลักทรพั ย์ 3. จงถือวันพระเจ้าเปน็ วนั ศกั ดส์ิ ิทธิ์ (วันสะบาโต) 8. อย่าใส่ความนนิ ทา 4. จงเคารพบดิ า-มารดา 9. อย่าคิดมิชอบ 5. อย่าฆ่ามนษุ ย์ 10.อยา่ โลภในสง่ิ ของของผู้อ่ืน 2. พนั ธสญั ญาใหม่หรอื พระคัมภีร์ใหม่ (New Testament) ภาคหลังของพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นเป็นภาษาละติน กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อพระเยซู ประสูติแล้ว คือ ชีวิตและคำสอนของพระเยซูและการยืนยันว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิอาห์ คำทำนาย เกีย่ วกับวนั พพิ ากษาโลก กิจกรรมทางศาสนา และจดหมายของสาวก ซ่ึงรวบรวมโดยสาวกของพระเยซู ชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาห์ยอมรับเพียงพันธสัญญาเดิม แต่ไม่ยอมรับพันธสัญญาใหม่ เนื่องจากไมเ่ ชอ่ื วา่ พระเยซเู ป็นบุตรของพระเจา้ พนั ธสัญญาใหม่จึงได้รับการยอมรบั ในชาวคริสต์เท่านน้ั 40
ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทที่ 3 พัฒนาการทางประวัตศิ าสตรส์ มัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก หลักคำสอนและความเชื่อ ▪ บาปกำเนิด เป็นบาปของมนุษย์ที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของมนุษย์ ละเมิดกฎของพระเจ้า จงึ ถูกขบั ไลจ่ ากสวรรค์ลงมายงั โลกมนุษย์ พระยะโฮวาห์ได้สรา้ งสรรพสิ่งรวมทงั้ มนษุ ย์ และใหเ้ สรภี าพแก่ มนุษย์ เพื่อให้รู้คุณค่าของความดีความชั่ว มนุษย์ซึ่งมีจิตใจอ่อนแอ เป็นเหตุให้ทำความชั่วได้ง่ายและ มากขึ้น พระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษย์กลับข้ึนสวรรค์ โดยเสด็จลงมาไถ่บาปแก่มวลมนุษย์ในนามพระ เมสสอิ าหใ์ ห้มนษุ ยม์ ีศรัทธาตอ่ พระเจา้ และปฏิบัตติ ามหลกั คำสอนแล้วจะไดข้ น้ึ สวรรค์เป็นการตอบแทน ▪ หลกั ตรเี อกานภุ าพ พระเจา้ มีเพยี งองค์เดยี ว แตแ่ บง่ เป็น 3 สภาวะ ไดแ้ ก่ 1. พระบดิ าคือ พระยะโฮวาห์ พระเจา้ ผูท้ รงสร้างโลกและสรรพสงิ่ (เอกเทวนยิ ม) 2. พระบตุ ร คือ พระเยซู ผู้ทรงกำเนิดเพื่อเสียสละในการไถ่บาปของมนุษย์ให้กลับคืนสู่ อาณาจกั รของพระเจ้า 3. พระจิต คอื จติ วิญญาณศกั ด์สิ ิทธิ์ทีพ่ ระเจ้ามาสถติ ในจติ ใจของมนุษย์ เพอ่ื กระตุน้ ให้มนุษย์ ทำความดี และนำทางไปส่อู าณาจกั รของพระเจา้ ▪ หลักความรกั เปน็ หวั ใจของศาสนาคริสต์ หมายถงึ การให้ การเสียสละ และการใหอ้ ภยั - จงรักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ สุดความคิดและสุดกำลังของท่าน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง (มนุษยท์ กุ คน) - คนเราทกุ คนควรรกั กนั เพราะทุกคนล้วนเป็นบตุ รของพระเจ้า - จงรกั พระเจ้า ครอบครัว เพ่ือนบ้าน และเพอื่ นมนษุ ย์ แล้วจะได้รบั ความรกั ของโลกเป็นสง่ิ ตอบแทน - พระเจ้าโปรดให้ฝนตกและแดดออกเหนือคนดีและคนชั่วเหมือนกัน ดังนั้นเราควรรักคนทั้งคนดีและคนชั่ว และคนทีเ่ ป็นศัตรขู องเราดว้ ย - จงรักศัตรูและอวยพรแก่ผู้ที่แช่งด่าท่าน จงทำคุณแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน และจงอวยพรให้แก่ผู้ประทุษร้าย เคยี่ วเข็ญท่าน เพ่ือท่านท้งั หลายจะได้เปน็ บุตรของพระบิดาท่านทอี่ ยูบ่ นสวรรค์ - หากผ้ใู ดตบแกม้ ขวาของท่าน จงหันแก้มซา้ ยให้เข้าตบด้วย ▪ อาณาจักรพระเจ้า คือ สวรรค์ ซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งความรักหรือจิตใจที่บริสุทธิ์ ผู้ศรัทธาใน พระเจ้าอย่างมั่นคง และปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระองค์เท่านั้นถึงจะพบความรอด และมีชีวิต นริ นั ดร์รวมเป็นอันหนึง่ เดยี วกันกบั พระเจ้า (จุดมุง่ หมายสงู สดุ ของศาสนาคริสต์) ศาสนพธิ ี ศลี ศกั ดิส์ ิทธ์ิ คือ ศาสนพิธีทางศาสนาคริสตใ์ นโอกาสตา่ งๆ ทพ่ี ระเยซทู รงตั้งขน้ึ ▪ ศีลล้างบาป (ศีลจุ่ม) เป็นพิธีแรกที่ผู้จะเป็นคริสต์ศาสนิกชนต้องรับ ล้างบาปกำเนิดเพื่อความ บริสุทธิ์ เป็นศีลที่สำคัญที่สุด ทำครั้งเดียวในชีวติ หากเป็นเด็กเกิดใหมจ่ ะอุ้มแล้วจุ่มลงในถังนำ้ ศักด์สิ ิทธ์ิ ทงั้ ตัว หรือเทนำ้ บนศรี ษะ 3 ครงั้ ▪ ศีลกำลงั เป็นพิธียืนยนั เปน็ ชาวครสิ ตโ์ ดยสมบูรณ์ เปน็ เคร่อื งหมายว่าไดร้ บั พระจิตของพระเจา้ 41
ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 3 พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตรส์ มัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก ▪ ศีลมหาสนิท (มิสซา) เป็นพิธีระลึกถึงชีวิตและคำสอนของพระเยซูและแสดงถึงความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกับพระเจ้า ที่มาจากงานเลี้ยงอาหารเย็นมื้อสุดท้ายระหว่างพระเยซูกับบรรดาสาวก (The Last Supper) โดยฟังคัมภีร์ รับขนมปังแผ่นเล็กและดื่มเหล้าองุ่นจากบาทหลวง (ศาสนาจารย์) เปรียบกบั เปน็ พระวรกายและพระโลหิตของพระเยซู ▪ ศลี สมรส เปน็ พิธีทำสัญญา ประกาศความรักและความซ่ือสัตย์ตลอดชวี ิตต่อหน้าพระให้พระเจ้า ทรงทราบ (หย่าร้างไม่ได้) ▪ ศลี บวช (ศลี อนกุ รม) เปน็ พธิ ีท่ชี ายอายอุ ย่างน้อย 23 ปจี ะเตรยี มตวั และรบั คัดเลือกให้ทำหน้าที่ เปน็ บาทหลวง ตอ้ งถอื โสดและสมัครใจท่ีจะอุทศิ ตัวทำภารกจิ เปน็ ศาสนบรกิ าร เพือ่ ศาสนาตลอดชวี ิต ▪ ศีลสารภาพบาป เป็นพิธีเข้าสารภาพบาปต่อบาทหลวงเพื่อสำนึกผิด บาปจะได้รับการให้อภัย จากพระเจ้า แต่โทษของบาปจะยงั เป็นกรรมตดิ ตัวไปจนกวา่ จะชดใชด้ ว้ ยการเริ่มตน้ ทำความดี ▪ ศีลเจิมคนไข้ เป็นพิธีชำระบาปครั้งสุดท้ายแก่ผู้ป่วยหนัก เป็นการเตรียมจิตใจ ให้กำลังใจ และ สตใิ นการทนทกุ ข์ พร้อมยอมรับความเจ็บปวด การแยกนิกาย ▪ นิกายโรมันคาทอลกิ (Roman Catholic) “โรมันคาทอลิก” มาจากการเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมันมาตั้งแต่สมัยจักรพรรดิ คอนสแตนติน “คาทอลิก” แปลว่า สากล ชาวคาทอลิกเชื่อว่าตนเป็นผู้สืบทอดหลักคำสอนของศาสนา ครสิ ต์ตง้ั แตแ่ รกเริ่ม โรมนั คาทอลิกเป็นนกิ ายท่มี ผี นู้ บั ถอื มากทสี่ ุดในโลก ผู้นับถอื เรียกว่า “ครสิ ตัง” พระเยซูได้กำหนดตำแหน่งประมุขสูงสุดทางศาสนจักร คือ “พระสันตะปาปา” ปัจจุบัน มสี ำนกั อยูท่ นี่ ครรัฐวาติกนั ตั้งอย่ใู จกลางกรงุ โรม นับถอื แพร่หลายในยุโรปใต้และอเมรกิ าใต้ • ลักษณะสำคัญ : นิกายโรมันคาทอลิกจะนับถือพระนางมารีอาในฐานะแม่พระ และนับถือ นักบุญทุกองค์ มีนักบวช เชื่อเรื่องแดนชำระบาปกอ่ นพิพากษา รับศีลศักดิส์ ิทธิ์ทั้ง 7 ศีล สัญลักษณ์ของ นกิ าย คอื พระเยซตู รงึ ไมก้ างเขน • ลำดับสมณศกั ดข์ิ องศาสนาครสิ ต์นิกายโรมันคาทอลกิ 1. พระสันตะปาปา คือ ประมุขสูงสุดของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก องค์ปัจจุบัน คือ สมเดจ็ พระสันตะปาปาฟรานซสิ (ชาวอาร์เจนตินา : องค์ท่ี 266) 2. พระสังฆราช (มุขนายก) คือ ประมุขในระดับท้องถิ่น (ประเทศ) ได้รับแต่งตั้งจากวาติกัน โดยตรง หากไดเ้ ลื่อนยศเปน็ “พระคาร์ดนิ ัล” มสี ทิ ธเิ ลอื กตั้งหรอื เสนอชือ่ เปน็ สมเด็จพระสันตะปาปา 3. บาทหลวง (พระ) คอื บุคคลที่ไดร้ บั คัดเลอื กและเตรยี มตวั บวช ซงึ่ มีอายขุ ัน้ ตำ่ 23 ปี 4. นกั บวชชาย-หญิง คือ บุคคลทสี่ มคั รใจรับใช้ศาสนา เรียกว่า “บราเดอรแ์ ละซิสเตอร”์ 42
ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวัติศาสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวันตก ▪ นกิ ายกรกี ออรโ์ ธดอกซ์ (Greek Orthodox) “ออรโ์ ธดอกซ์” มาจากภาษากรีก แปลวา่ สัจธรรม แพร่หลายในกล่มุ ประเทศยโุ รปตะวันออก • ความเป็นมา : หลังจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลาย โรมันตะวันออกสถาปนาเป็น จกั รวรรดไิ บแซนไทนข์ ้ึนในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 7 นำไปสกู่ ารแยกนกิ ายเปน็ ครัง้ แรกด้วยเหตุผลทางการเมือง และวฒั นธรรม นิกายกรีกออร์โธดอกซ์มีศนู ย์กลางอยู่กรงุ คอนสแตนติโนเปลิ ไมย่ อมรับอำนาจสูงสุดของ พระสันตะปาปาที่กรงุ โรม นบั ถือแพรห่ ลายในยโุ รปตะวันออก • ลักษณะสำคัญ : นิกายกรีกออร์โธดอกซ์ไม่ขึ้นต่อศาสนจักรที่วาติกัน ไม่นับถือพระ สันตะปาปา แต่ละประเทศมีอัครบิดรที่มีอำนาจเท่าเทียมกัน และไม่นับถือนักบุญ ไม่เชื่อเรื่อง แดนชำระบาป ไม่นยิ มบชู ารปู เคารพใดๆ แตเ่ คารพภาพเขียนสองมิตขิ องพระเยซแู ทน (icons) มนี ักบวช (สมรสได้ ยกเวน้ บาทหลวง) สว่ นหลกั คำสอนและศาสนพธิ ีเหมือนกับนกิ ายโรมันคาทอลิกทกุ ประการ ▪ นิกายโปรเตสแตนต์ (Protestant) “โปรเตสแตนต”์ แปลว่า ผู้ต่อตา้ น ผู้นบั ถอื เรียกวา่ “ครสิ เตียน” • ความเป็นมา : ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 มาร์ติน ลูเธอร์ นักบวชชาวเยอรมันได้วิจารณ์ ความเสอื่ มของครสิ ตจกั รที่ใชศ้ าสนาเป็นเคร่ืองแสวงหาผลประโยชน์ เกดิ การซอ้ื ขายตำแหน่งทางศาสนา ซื้อใบไถ่บาปแทนการสารภาพบาป ห้ามอ่านคัมภีร์ และไม่อนุญาตให้พระสมรสได้ จึงเขียนข้อความ กล่าวโจมตีคริสตจักร 95 ข้อ (95 Theses) ทำให้ถูกคริสตจักรลงโทษโดยการขับไล่จากการเป็นสมาชกิ ภาพของศาสนา (บัพพาชนียกรรม) ปัจจุบันนับถือแพร่หลายในยุโรปตะวันตก ยุโรปเหนือ ออสเตรเลีย และสหรฐั อเมริกา • ลักษณะสำคัญ : นิกายโปรเตสแตนต์ไม่ขึ้นต่อศาสนจักรที่วาติกัน ไม่นับถือพระสันตะปาปา และไม่เคารพบูชารูปเคารพใดๆ โดยเฉพาะพระนางมารีอาและนักบุญต่างๆ ยึดถือหลักคำสอนเฉพาะ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ และเชื่อว่าชาวคริสต์สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้โดยตรง จึงไม่มีนักบวช (มีเพียง ศาสนาจารย์ : สอนให้ชาวคริสต์เข้าถึงพระเจ้าได้ด้วยตนเอง) ศาสนพิธีเน้นพิธีกรรมที่เรียบง่ายตาม พระคัมภีร์จึงรับแค่ศีลล้างบาปและศีลมหาสนิทเท่านั้น สัญลักษณ์ของนิกาย คือ ไม้กางเขนที่ไม่มี พระเยซูถกู ตรงึ โปรเตสแตนต์เปน็ ช่ือรวมนกิ ายยอ่ ยกว่า 220 นิกาย เช่น - นกิ ายลเู ธอรนั ก่อต้งั โดยมารต์ ิน ลเู ธอร์ แพร่หลายในเยอรมนี และสแกนดเิ นเวยี - นกิ ายคาลแวง ก่อตั้งจอห์น คาลแวง แพร่หลายในสวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ซึง่ เรยี กวา่ “พิวริตัน” (องั กฤษ) หรอื “เพรสไบทเี รยี น” (สกอตแลนด)์ - นกิ ายอังกลิกัน ก่อตั้งโดยพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ซึ่งมีพระประสงค์จะหย่าจากพระมเหสีและ อภเิ ษกสมรสใหม่ แตพ่ ระสนั ตะปาปาไม่ทรงอนุญาต อังกลิกันเป็นนกิ ายประจำองั กฤษ 43
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บชท่ือท_ี่_3__พ__ฒั __น_า__ก_า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว__ัต_ิศ_า__ส_ต_ร__์ส_ม_ัย__โ_บ_ร_า__ณ__แ_ลชะศ้นั ามส.น6า/ใ_น__โลเลกขตทะว่ี__นั _ต__ก อารยธรรมอียิปต์เป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำเนิดทางตะวันออก เฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศ อยี ปิ ต์ และทางตอนเหนือของประเทศซูดาน ▪ ปัจจัยทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสรรค์อารยธรรมอยี ปิ ต์ - ลุ่มแม่น้ำไนล์ เป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะพื้นที่อียิปต์ล่างเป็นเขต ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแผ่เป็นเนินตะกอนรูปพัด ออกสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เนื่องจากสภาพการไหลของ จุดเดน่ ของอารยธรรมอยี ปิ ต์ คอื อารยธรรม แม่น้ำไนล์มีลักษณะไหลเอื่อยอย่างช้าๆ จึงเกิดการสะสม ที่สร้างสรรค์ตอ่ เนอ่ื งโดยคนกลุ่มเดยี ว ตะกอนทีอ่ ดุ มสมบูรณ์ และเมื่อน้ำลดหลงั ฤดนู ้ำหลากก็จะ ท้ิงโคลนตมอันเป็นปุ๋ยธรรมชาติ ทำใหเ้ ออ้ื ต่อการเกษตรและคมนาคม เฮโรโดตสั กล่าวไว้ว่า “อียิปต์เป็น ของขวัญจากแม่น้ำไนล์” (Egypt is the gift of the Nile) สะท้อนถึงความสำคัญของแม่น้ำไนล์ที่ได้ มอบความอุดมสมบูรณ์ให้แก่อียิปต์ที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลทรายที่แห้งแล้งโดยรอบ เปรียบเสมือน โอเอซิสทา่ มกลางทะเลทราย ความอุดมสมบรู ณ์ทำให้ชาวอยี ิปตม์ องโลกในแง่บวกมากกว่าเมโสโปเตเมีย อย่างไรก็ตาม อียปิ ต์มีทรพั ยากรธรรมชาตคิ ่อนข้างนอ้ ย เนอ่ื งจากมีภูมปิ ระเทศเป็นหินทรายเปน็ สว่ นใหญ่ - ทะเลทรายสะฮารา ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทะเลแดง และที่ราบสูงเอธิโอเปีย อียิปต์ ลอ้ มรอบด้วยทะเลทรายท้งั ทศิ ใต้ตะวนั ตก และตะวนั ออก ส่วนทางดา้ นทิศเหนือเป็นดนิ ดอนสามเหลี่ยม ปากแม่น้ำทีท่ ำให้ไม่สามารถจอดเรอื ได้ เปน็ ปราการธรรมชาติปอ้ งกนั การรุกรานของขา้ ศกึ จากภายนอก การสร้างสรรค์อารยธรรมอียิปต์ ฟาโรห์ ➢ ลกั ษณะการปกครอง อารยธรรมอียิปต์มีการปกครองที่มั่นคงและมีกองทัพที่เข้มแข็งกว่า เมโสโปเตเมีย มีผู้นำปกครองสูงสุด คือ ฟาโรห์ (Pharaoh) เป็นกษัตริย์อียิปต์ ที่สถาปนาอำนาจสูงสุด มีสถานะเป็นกึ่งเทวะ (กึ่งมนุษย์กึ่งเทพเจ้า) ตามคติ เทวราช ชาวอยี ิปต์จงึ ต้องเคารพและเชือ่ ฟังฟาโรห์เหมอื นเทพเจา้ อียิปต์โบราณเริ่มจากการเป็นชุมชนเกษตรกรรมขนาดใหญ่ เรียกว่า โนมสิ (Nomes) ต่อมาแบ่งเป็น 3 สมยั (มีราชวงศ์ปกครองรวม 31 ราชวงศ)์ ดงั นี้ 1. สมัยอาณาจักรเก่า (2,700 – 2,200 ปีก่อนคริสต์ศักราช) อียิปต์ แบ่งดินแดนเปน็ 2 ส่วน ไดแ้ ก่ - อียิปต์บน (Upper Egypt) เป็นพนื้ ท่บี รเิ วณท่ีแมน่ ้ำไนล์ไหลผ่าน หบุ เขา เป็นทร่ี าบแคบๆ ขนาบด้วยหน้าผาและทะเลทราย 44
ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 3 พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก - อยี ปิ ต์ลา่ ง (Lower Egypt) เป็นพ้ืนท่ีบริเวณที่แม่น้ำไนล์แยกเป็นแม่น้ำสาขาสู่ปากแม่น้ำ ท่ีมลี ักษณะเปน็ เนนิ ตะกอนรปู พกั ซึง่ ชาวกรีกโบราณเรยี กว่า “เดลตา” ต่อมามีการรวมดินแดนทั้งสองเข้าเปน็ อาณาจักรเดียวกนั และสถาปนาราชวงศ์ขึ้นปกครอง อียิปต์เป็นครั้งแรก โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่นครเมมฟิส การสร้างพีระมิดจำนวนมากเป็นสาเหตุของ การสิ้นสุดสมัยอาณาจักรเกา่ 2. สมัยอาณาจักรกลาง (2,015 – 1,625 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 11 รวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นอีกครั้ง โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่นครทีบส์ ฟาโรห์ในสมัยนี้เน้นการบำบัดทุกข์ บำรุงสุขแก่ประชาชนมากกว่าการสร้างพีระมิดขนาดใหญ่ดังเช่นสมัยอาณาจักรเก่า มีการพัฒนาระบบ ชลประทานเพื่อการเกษตร โดยการจัดทำโครงการระบายน้ำและสร้างเขื่อน ซึ่งช่วยให้สามารถขยาย พนื้ ท่เี พาะปลูกออกไปได้อกี รวมทงั้ ยงั มีการขดุ คลองเช่ือมระหว่างแม่น้ำไนล์กับทะเลแดง ทำให้สามารถ เดินเรือค้าขายได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ สตรีอียิปต์มีบทบาทไม่ได้ต่ำไปกว่าบุรุษ ราชินีอียิปต์ สามารถทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการได้ เช่น ราชินีฮัตเซบสุต (Hatshepsut) แห่งราชวงศ์ที่ 18 ที่ทรง ควบคุมราชกิจของแผ่นดินได้ทั้งหมด ต่อมาอียิปต์เข้าสู่สมัยแห่งความแตกแยก และถูกรุกรานจาก ภายนอก อารยธรรมจงึ เสอ่ื มลง 3. สมัยอาณาจักรใหม่ (1,675 – 1,087 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นสมัยที่อียิปต์กลับมายิ่งใหญ่ อีกครง้ั ขยายอำนาจไปถึงดินแดนเอเชยี ตะวันออกกลาง ทำให้อียปิ ตร์ ำ่ รวยจากการไดเ้ คร่ืองบรรณาการ และทางการค้า สะท้อนจากสิ่งก่อสร้าง เช่น ศาสนสถาน พระราชวัง เป็นต้น ปลายสมัยอาณาจักรใหม่ นักบวชและขนุ นางข้ึนมามีอำนาจแทนฟาโรห์ แตใ่ นสมัยฟาโรห์อคั เคนาตัน (Akhenaton) ทรงพยายาม ทำลายอำนาจของกลุ่มนักบวช และปฏิรูปศาสนาโดยเปลี่ยนความเชื่อมาเป็นเอกเทวนิยมนับถือ สุรยิ เทพอะตัน (Aton) โดยฟาโรห์และพระราชวงศ์เท่านั้นท่มี ีสทิ ธิบ์ ูชาเทพเจ้า สว่ นประชาชนต้องเคารพ บชู าฟาโรห์ สง่ ผลให้ผนู้ บั ถอื เทพเจา้ หลายองคโ์ กรธแค้น จนทำให้อยี ิปตเ์ ส่อื มอำนาจลงไปอีก ภายหลังอียิปต์โบราณตกอยู่ภายใต้การปกครองของชนชาติอื่นท่ี ผลัดเปล่ยี นเข้ายดึ ครอง ได้แก่ จักรวรรดแิ อสซีเรีย เปอร์เซยี กรีก และโรมนั ชว่ งท่ีจกั รวรรดิกรกี เข้ายึดครองอียิปต์ตรงกับสมัยพระเจา้ อเลก็ ซานเดอรม์ หาราช เทพเจ้ารา มสี าเหตมุ าจากการระดมแรงงานมาสรา้ งพรี ะมิดจำนวนมาก ➢ มรดกทางวฒั นธรรม - ความเชื่อ พหุเทวนิยม ชาวอียิปต์นับถือเทพเจ้าหลายองค์ บูชาเทพเจ้าด้วย ความเคารพ มีความเชื่อว่า เทพเจ้ามีความเมตตาและไม่คิดว่าตนเองเป็นทาส ของพระเจ้า เทพเจา้ ทสี่ ำคัญ เชน่ เทพเจ้าราหรือเร (สุริยเทพหรือเทพเจ้าแห่ง ดวงอาทิตย์) เป็นเทพเจ้าสูงสุด เทพเจ้าโอซิริส (เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำไนล์และ 45
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทที่ 3 พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก เทพเจ้าแห่งความตาย) เทพเจ้าไอซิส (เทพีแห่งแผ่นดินและความเป็น แม)่ เทพเจา้ เซต (เทพเจา้ แหง่ ความชัว่ รา้ ย) เทพเจ้าฮอรัส (เทพเจ้าแห่ง ชาวอียิปต์มุ่งเน้นเรื่อง ฟาโรห์ ชาวอียิปต์นับถือฟาโรห์เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่ง) เทพเจ้าอนูบิส ความเช่อื โดยไมส่ นใจปรชั ญา (เทพเจา้ แห่งยมทตู ) เปน็ ตน้ รวมท้ังมกี ารบูชาสตั ว์ตา่ งๆ เชน่ แมว สุนขั ววั เหยี่ยว จระเข้ หมาใน แกะ นอกจากน้ี ชาวอียิปตย์ ังมีความเชอ่ื เรอ่ื งชีวิตหลงั ความตายและอมตภาวะ - อักษรศาสตร์ อักษรเฮียโรกลิฟฟิก (Hieroglyphic) เป็นอักษร ศักดิ์สิทธิ์ มีลักษะเป็นอักษรภาพ 1 ภาพแทน 1 คำ ใช้บันทึก เรื่องราวทางศาสนาและวิทยาการ ต่อมาพัฒนาอักษรเขียน ที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น เรียกว่า อักษรเฮียราติก (Hieratic) มีลักษณะเป็นตัวเขียนหวัด ท้ายที่สุดมีการพัฒนาเป็นอักษร อักษรเฮียโรกลฟิ ฟกิ เดโมติกที่ชาวอียิปต์ใช้กันโดยทั่วไป ช่วงแรกจารึกไว้ที่ผนังถ้ำ หิน ไม้ ดินเผา และพีระมิด ต่อมาค้นพบ วิธีการทำกระดาษปาปิรุสจากต้นอ้อ ซึ่งขึ้นตามบริเวณริมฝั่งแม่น้ำไนล์ จึงบันทึกลงบนกระดาษมากข้ึน และใช้ปล้องหญา้ มาตดั เปน็ ปากกาจิ้มน้ำหมึก ต่อมามีการค้นพบจารึกโรเซตตา (Rosetta Stone) ในปี ค.ศ.1799 เป็นจารึกอักษร 3 แบบ คือ ช่วงบนเป็นอักษรเฮียโรกลิฟฟิก ช่วงกลางเป็นอักษรเดโมติก และช่วงท้ายเป็นอักษรกรีก ค้นพบโดย ชอง ฟรังซัว ชองโปลิยอง (Jean Francois Champollion) นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสในสมัยจักรพรรดิ นโปเลียนที่ใช้วธิ ีแกะคำจากอกั ษรกรีกจึงอ่านได้สำเรจ็ - สถาปตั ยกรรม พีระมิด (pyramid) เป็นสุสานขนาดใหญ่ทำจากหิน ใชฝ้ งั พระศพของฟาโรห์และคนในราชวงศ์ตามความเชอ่ื อมตภาวะ เพื่อรอการฟื้นคืนชีพเกิดใหม่อีกครั้ง นิยมสร้างในอียิปต์โบราณ สมัยอาณาจกั รเก่าเปน็ พรี ะมดิ ขั้นบันได ต่อมาสร้างเป็นพีระมิดขั้น มหาพรี ะมิดแหง่ กีซา ข้างเรียบ พีระมิดที่มีชื่อเสียง ได้แก่ พีระมิดของฟาโรห์คีออปส์ (Cheops) เมนเคอร์ (Menkure) และ เชฟเฟรน (Chephren) การสร้างพีระมิดแสดงถึงอำนาจการปกครองของฟาโรห์ ความมั่นคงทาง เศรษฐกิจ การบริหารจัดการ วิทยาการทางวิศวกรรมและคณิตศาสตร์ อย่างไรก็ตาม พีระมิดแต่ละแห่ง ตอ้ งใชแ้ รงงานชาวอยี ปิ ตน์ บั แสนคน ใช้ค่าใช้จ่ายมหาศาล จงึ นำความเสอื่ มมาสรู่ าชวงศ์อียิปตใ์ นทสี่ ุด ต่อมาสมัยอาณาจักรกลาง เปลี่ยนมานิยมสร้างวิหารขนาดใหญ่หลายแห่งแทนพีระมิดขนาด ใหญ่ เพ่อื ใช้บูชาเทพเจา้ อะมอน (Amon) และเทพเจา้ โอซริ ิส เช่น วิหารคาร์นคั วิหารอารบ์ ูซิมเบล - จติ รกรรม ภาพสสี ันสดใสประดับพีระมดิ ส่วนใหญ่เปน็ ภาพเทพเจา้ ฟาโรห์ และวถิ ชี วี ิตของชาวอยี ปิ ต์ 46
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทที่ 3 พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวันตก - ประตมิ ากรรม สฟิงซ์ (sphinx) นิยมสร้างไว้หน้าพีระมิด เสาหินโอเบลิสก์ (Obelisk) การ แกะสลักลวดลายและงานประติมากรรมปูนปั้นประดบั พีระมิดและวหิ ารเป็นรปู สัญลกั ษณ์ ของเทพเจ้าท่มี กั มเี ศียรเปน็ สตั ว์ตามธรรมชาติของสัตว์แต่ละชนดิ และสัตว์ศักด์ิสิทธต์ิ ่างๆ - วรรณกรรม เสาหินโอเบลิสก์ คัมภีร์ของผู้ตายหรือคัมภีร์มรณะ (Book of the Dead) ว่าด้วยเรื่องชีวิตหลังความตายและคู่มือการปฏิบัติตน เพื่อเดินทางสู่ยมโลก จารึกลงบนกระดาษปาปิรุส ตัวอย่าง เนือ้ หาเชน่ เทพเจ้าโอซริ ิสจะชงั่ น้ำหนักระหวา่ งหัวใจของผู้ตาย กับขนนกแห่งความเป็นจริง คนตายต้องประกาศว่า ไม่เคยทำ บาป 42 ข้อต่อหน้าเทพเจา้ โอซริ ิส หากพูดจรงิ ขนนกจะหนกั กว่า ➢ วทิ ยาการสำคญั ความรู้ที่ชาวอียิปต์ได้พัฒนาขึ้นและถ่ายทอดต่อไป นนั้ ทำใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อสมยั ตอ่ มาถึงปัจจุบัน ไดแ้ ก่ - การแพทย์ : การใช้ความรู้เรื่องสมุนไพรทำมัมมี่ (Mummy) เพื่อเก็บรักษาศพฟาโรห์ไม่ให้เน่าเปื่อยตามความ เชื่ออมตภาวะ ผา่ นกรรมวิธที ่ซี ับซ้อนโดยการนำอวัยวะภายใน (ยกเว้นหัวใจ) ออกมาใส่ในโถ ดองศพแล้วพันด้วยผ้าลินิน นอกจากนี้ยังมีการผ่าตัดคนไข้แบบง่ายๆ การคิดค้นวิธีปรุงยา รักษาโรคต่างๆ จำนวนมาก และการทำฟันปลอมด้วยงาช้าง - ดาราศาสตร์ : การสร้างปฏิทินสรุ ยิ คตเิ พือ่ การเพาะปลกู คำนวณเวลา 1 ปีแบง่ เปน็ 12 เดอื น 365 วัน และแบง่ เป็น 3 ฤดกู าล - คณติ ศาสตร์ : การบวก ลบ หาร การหาพื้นที่วงกลม สี่เหลี่ยม และสามเหลี่ยม เพื่อการ จัดสรรทดี่ ินและการก่อสรา้ งพรี ะมดิ - การชลประทาน : การนำน้ำเข้าสู่พื้นที่ที่ห่างไกลจากแม่น้ำไนล์ เพื่อให้เพาะปลูกได้มากข้ึน มกี ารทำชาดฟั เป็นเครอื่ งตักนำ้ ใสค่ ลองชลประทาน เพ่ือวดิ น้ำจากแมน่ ำ้ ไนล์ ซ่ึงเป็นนวัตกรรมที่ใชไ้ ดด้ ี ➢ การล่มสลาย อารยธรรมอียิปต์ล่มสลายในสมัยพระนางคลีโอพัตรา (Cleopatra) เพราะตกอยู่ภายใต้การปกครองของจกั รวรรดิโรมนั ทีผ่ นวกอียิปต์เป็นดินแดน สว่ นหนึง่ และยกเลิกตำแหน่งฟาโรห์ ต่อมาชว่ งกลางครสิ ต์ศตวรรษที่ 7 อียิปต์ หันไปนับถอื ศาสนาอิสลามและกลายเปน็ ส่วนหนึง่ ของโลกอสิ ลาม 47 พระนางคลีโอพัตรา
ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บชทือ่ _ท_ี่ _3__พ__ัฒ__น_า_ก__า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว_ตั__ศิ _า_ส__ต_ร_ส์__ม_ยั__โ_บ_ร_า_ณ__แ_ ลชะ้นั ศามส.6น/า_ใ_น_โเลลกขตทะี่_ว_ัน__ต_ก อารยธรรมกรีกเป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง บรเิ วณคาบสมุทรบอลขา่ น รมิ ชายฝั่งตะวันออกของทะเล เมดิเตอร์เรเนียน ปัจจุบันอยู่ในประเทศกรีซ (สาธารณรัฐ เฮเลนิก) ชาวกรีกโบราณเรียกตนเองว่า “เฮลลีน” (Hellen) ▪ ปัจจัยทม่ี ีอทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสรรค์อารยธรรมกรกี - ภูเขา หุบเขา และเนินเขา ภูมิประเทศ จดุ เดน่ ของอารยธรรมกรีก ส่วนใหญ่ของกรีซเป็นภูเขาและเนินเขา ที่ราบที่ใช้ - เป็นอารยธรรมทีผ่ สมผสานระหวา่ งความ เพาะปลูกมีจำกัด และแม่น้ำสายสั้นๆ ที่ไหลเชี่ยวและ เจริญรอบทะเลเมดเิ ตอร์เรเนยี น พัดพาดินตะกอน พื้นที่ขาดความอุดมสมบูรณ์ ไม่เอื้อ - เด่นดา้ นการค้าทางทะเล และการเดินเรือ ต่อการเกษตร มีผลผลิตทางการเกษตรไม่เพียงพอกับ - เป็นพื้นฐานความเจริญทางอารยธรรม พลเมืองที่เกิดขึ้นในภายหลัง และเป็นอุปสรรคต่อการ ของโลกตะวนั ตกโดยเฉพาะยโุ รปในเวลาตอ่ มา ติดต่อผู้คน ทำให้ชาวกรีกตั้งชุมชนท่ีปกครองเป็นอิสระ - ชาวกรีกเป็นนักคิด นักปราชญ์ ยึดม่ัน จากกันตามหุบเขาต่างๆ บางครั้งเกิดการสู้รบทำ เหตุผลและความสามารถของมนุษย์ แตกต่าง สงครามกนั ทำใหก้ รกี แบ่งออกเปน็ นครรฐั ต่างๆ จากอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์ที่เน้น การสรรเสรญิ บชู าเทพเจา้ - ทะเลอีเจียนและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน กรีซมีพื้นที่ที่เป็นชายฝั่งทะเลและหมู่เกาะเป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวกรีกหันไปสนใจทำการค้าทางทะเล และการเดินเรือเป็นหลัก มีการสร้างเมืองท่าสำหรับจอดเรือจำนวนมากและค้าขายกับเอเชียไมเนอร์ อียิปต์ และดินแดนใกลเ้ คยี ง มสี ินคา้ ทส่ี ำคัญ คือ น้ำมันมะกอก และเหลา้ องนุ่ การเดินทางไปค้าขายกับ ดนิ แดนต่างๆ ทำใหช้ าวกรีกมีโลกทศั น์กว้างไกล มีความสนใจใครร่ ู้ - ภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน สามารถเพาะปลูกพืชผลรสเปรี้ยว เช่น ส้ม องุ่น มะนาว มะกอก และเสริมสรา้ งบรรยากาศแหง่ การคดิ และการสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์อารยธรรมกรีก การค้นพบหลักฐานทางโบราณคดี และเรื่องราวจากตำนานและเทพนิยายต่างๆ ทำให้ สันนิษฐานได้ว่ามีกลุ่มคนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนกรีกมาตั้งแต่ยุคหินใหม่บริเวณคาบสมุทร เพโลพอนนีซัส (Peloponnesus) และเกาะครีต (Crete) ในทะเลอีเจียน พบเครื่องมือหิน เครอื่ งปน้ั ดนิ เผา มีการต้งั บ้านเรอื น ▪ สมัยอีเจยี น (Aegean) อารยธรรมในสมัยอีเจียนเป็นรากฐานของอารยธรรมกรีก ซึ่งมาจากการผสมผสานของ 2 อารยธรรม ไดแ้ ก่ 48
ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวัติศาสตรส์ มยั โบราณและศาสนาในโลกตะวันตก 1. อารยธรรมไมนวน (Minoan) เกิดขึ้นเมื่อ 1,800 – 1,450 ปีก่อนคริสต์ศักราช บริเวณ เกาะครตี ทางตอนใตข้ องกรีซ เป็นสว่ นภาคพื้นสมุทร ➢ ลักษณะการปกครอง เกาะครีตปกครองโดยชาวครีตหรือครีตัน มีผู้คนอาศัยอยู่ หลายกลมุ่ แตอ่ ยภู่ ายใต้การปกครองของกษตั รยิ ์องคเ์ ดียวกัน กษตั รยิ ์ทม่ี ีความสามารถและสรา้ งรากฐาน ความเจริญบนเกาะครีตมากที่สุด คือ พระเจ้าไมนอส (Minos) และความเจริญรุ่งเรืองของ ชาวครตี จงึ เรียกตามพระนามของกษัตรยิ ์พระองค์นีว้ ่า “อารยธรรมไมนวน” ➢ มรดกทางวัฒนธรรม อารยธรรมไมนวนเป็น อู่อารยธรรมกรกี ตวั อยา่ งมรดกทางวฒั นธรรม เชน่ - พระราชวังนอสซอส (Knossos) เป็นพระราชวัง ขนาดใหญ่ - ตัวอักษรลีเนียร์ เอ (Linear A) ซึ่งปัจจุบันยัง ไม่มผี ใู้ ดสามารถอ่านและถอดคำแปลได้ พระราชวังนอสซอส ➢ การล่มสลาย เกาะครีตปราศจากป้อมปราการและการป้องกันตนเอง จึงถูกชาว ไมซเี นยี นจากแผน่ ดนิ ใหญเ่ ขา้ รกุ รานและยดึ ครอง 2. อารยธรรมไมซีเนียน (Mycenaean) เกิดขึ้นเมื่อ 1,450 – 1,120 ปีก่อนคริสต์ศักราช บริเวณคาบสมุทรเพโลพอนนซี สั เป็นส่วนภาคพ้นื ทวีป ➢ ลักษณะการปกครอง เมืองไมซีนีปกครองโดยชาวไมซีเนียนหรือเอเคียน (Achaen) ตอ่ มาสามารถยดึ ครองเกาะครีต และเมอื งทรอยจากสงครามกรงุ ทรอย (Trojan War) ➢ มรดกทางวัฒนธรรม เช่น รูปเทพเจ้าซูส เฮรา และโพไซดอน ฯลฯ มหากาพย์อีเลียดและโอดิสซี (Iliad and Odyssey) ของมหากวีโฮเมอร์ มีเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามกรุง ทรอยและการผจญภัยของวรี บุรุษกรีก โดยใช้อกั ษรกรีกโบราณท่ี ได้รับอิทธพิ ลมาจากอักษรอลั ฟาเบตของฟินเี ชยี น และยังใชอ้ ยใู่ น ปัจจุบัน ถือเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญในการศึกษา สงครามกรงุ ทรอยในมหากาพยอ์ เี ลียด ค้นคว้าเกี่ยวกับอารยธรรมกรีกโบราณ และมีความไพเราะและถ่ายทอดอารมณ์ตลอดจนจินตนาการ ทำใหร้ จู้ กั อปุ นสิ ัยและวิถีชวี ติ ของชาวกรีก นอกจากนี้ ยังมวี รรณกรรมทีเ่ ก่ียวกบั เทพเจ้าและวีรบุรุษกรีก มากมาย ➢ การลม่ สลาย ชาวไมซีเนียนถกู พวกดอเรียน (Dorian) ซ่ึงมคี วามดุร้ายมากกว่าเขา้ รุกราน และยึดครองโดยเผาทำลายบ้านเมืองของชาวไมซีเนียน ทำให้อารยธรรมบริเวณทะเลอีเจียนต้อง หยุดชะงักไปกว่า 300 ปี เป็นเหตุให้นักประวัติศาสตร์เรียกสมัยนี้ว่า “ยุคมืดของอารยธรรมกรีก” (1,120 – 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ทำให้การค้าที่เคยรุ่งเรืองของกรีกต้องมีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขาย แทน เช่น ชาวฟนิ เี ชียน 49
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก ▪ สมัยเฮลเลนิก (Hellenic) (800 – 336 ปีกอ่ นคริสต์ศักราช) ➢ ลกั ษณะการปกครอง สมัยเฮลเลนิกอารยธรรมกรีกฟื้นตัวจากยุคมืด ชาวกรีกเริ่มฟื้นฟูการค้าทางทะเล และสร้าง อารยธรรมใหม่ของตนเองที่เรียกกันว่า “เฮลเลนิส” (Hellenes) เรียกบ้านเมืองตนเองว่า “เฮลลัส” (Hellas) ปกครองแบบนครรัฐ (City State) หรือเรียกว่า “โพลิส” (Polis) ซึ่งมีรากศัพท์มาจาก “Politics” แต่ละนครรัฐมีพื้นที่น้อยใหญ่แตกต่างกันและต่างปกครองตนเองกระจายตัวเป็นอิสระ จากกัน เนื่องจากมีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาที่ควบคุมปกครองลำบาก แต่ละนครรัฐจึงแยกกันอยู่ ตามที่ราบระหว่างหุบเขา พลเมืองมีหน้าที่ในทางการเมืองต่อนครรัฐของตน นครรัฐที่มีขนาดใหญ่และ มบี ทบาทสำคัญ คอื – นครรัฐเอเธนส์ ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย เ อ เ ธ น ส ์ เ ป ็ น ห น ึ ่ ง ใ น เ ม ื อ ง ท ี ่ เ ก่ า แ ก ่ ท ี ่ ส ุ ด แ ห ่ ง ห น ึ ่ ง ข อ ง โ ล ก เจริญขึ้นมาในช่วง 508 – 322 ปีก่อนคริสต์ศักราช เป็นดินแดน เริ่มต้นของการปกครองระบอบประชาธิปไตย (ต้นแบบระบอบ ประชาธิปไตยของโลก) ระบบสาธารณรัฐ ลักษณะเป็น เนนิ เขาอะโครโพลสิ ในนครรฐั เอเธนส์ ประชาธิปไตยทางตรง ปกครองโดยสภาราษฎร แต่ยังเป็นประชาธิปไตยจำกัด เฉพาะบุคคลที่เป็น พลเมอื ง (Citizen) เทา่ น้นั ที่มสี ิทธิ์ในการออกเสยี งลงคะแนน โดยพลเมืองตอ้ งเปน็ เพศชายที่เป็นเจ้าของ ที่ดิน อายุ 21 ปีขึ้นไป และเกิดในนครเอเธนส์จากบิดามารดาที่เป็นเสรีชน โดยที่ทาส สตรี และคน ต่างด้าวยังไม่มีสิทธิทางการเมืองและมักถูกเหยียดหยาม ศูนย์กลางอยู่ที่เนินเขาอะโครโพลิส (Acropolis) ในนครเอเธนส์ริมชายฝั่งทะเล เป็นท่ีต้งั ของศาสนสถานและสถานท่ีสำคัญทางราชการ และ มีย่านการค้าของเมืองอยู่ที่อะกอรา (Agora) ตั้งอยู่ใต้เนินเขาอะโครโพลิส ใช้เป็นตลาด เวทีสาธารณะ มอี าคารบา้ นเรอื นมากมาย – นครรฐั สปารต์ า ปกครองโดยระบอบเผดจ็ การ แบบคณาธิปไตย สปาร์ตาเป็นดนิ แดนเริ่มต้น ของการปกครองระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ คนมีระเบียบวินัย เด็กชายที่มีอายุครบ 7 ปีจะถูกนำไปฝึก ทหาร และจะอนุญาตให้สมรสได้เมื่ออายุ 30 ปี แต่ยังต้องอาศัยอยู่ในกองทหารต่อไปจนถึงอายุ 60 ปี โดยไดร้ บั อนุญาตใหอ้ อกไปเยี่ยมภรรยาไดเ้ ฉพาะเวลากลางคืน ➢ มรดกทางวัฒนธรรม เทพเจ้าซูส สมัยเฮลเลนิกเป็นศิลปะดั้งเดิมของกรีกหรือศิลปะคลาสสิก (Classical Art) เป็นศิลปะบริสุทธิ์ที่ได้รับการถ่ายทอดจากอารยธรรมไมนวน และไมซีเนียน ตลอดจนอารยธรรมอียิปต์และเอเชียไมเนอร์ แล้วจึงพัฒนาเป็น อารยธรรมที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง เน้นความสมบูรณ์ สงบ เรียบง่าย อ่อนช้อย เพื่อสรรเสริญและยกย่องพระเจ้า ส่วนใหญ่เจริญในนครรัฐเอเธนส์ที่ เป็นศูนยก์ ลางของศลิ ปวทิ ยาการและปรัชญา ตัวอย่างมรดกทางวัฒนธรรม เชน่ 50
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พัฒนาการทางประวัติศาสตรส์ มัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก - ความเชือ่ : 1. พหุเทวนิยม ชาวกรีกนับถือเทพเจ้าหลายองค์ บูชาทุกสิ่งในธรรมชาติ แต่นับถือเทพเจ้า ซูส (เทพเจ้าแห่งท้องฟ้าและสายฝน) เป็นเทพเจ้าสูงสุดเหนือเทพทั้งปวง เทพเจ้าองค์อื่น เช่น เทพโพไซดอน (เทพเจ้าแห่งท้องทะเล) เทพฮาเดส (เทพเจ้าแห่งความตาย ผู้ครองใต้พิภพ) เทพีอาเธนา (เทพแี ห่งปัญญาและเทพประจำเอเธนส์) เทพเอรสี (เทพแห่งสงคราม) เทพเฮอรเ์ มส (เทพแหง่ การค้าและ การส่งข่าว) เทพอพอลโล (เทพแห่งดวงอาทิตย์และการทำนาย) เทพีอโฟร์ไดต์ (เทพีแห่งความงามและ ความรัก) เทพีเฮร่า (เทพแห่งครอบครัว) เทพเฮไฟตัส (เทพแห่งการช่าง) การนับถือเทพเจ้าของกรีก จะเชื่อว่าลักษณะของเทพเจ้าไม่แตกต่างจากมนุษย์ มีอารมณ์ความรู้สึก เรียกลักษณะเช่นนี้ว่า “มนุษยสัณฐานนิยม” ทั้งน้ี ชาวกรีกไม่ได้ให้ศาสนาเข้ามามีอทิ ธิพลมากเหมือนชาวอยี ิปต์ 2. มนษุ ยนิยม (Humanism) เช่อื ม่นั ในเหตุผลและความสามารถของมนุษย์ 3. ปัจเจกชนนิยม (Individualism) รักอิสระและความมีเสรีภาพ มีอิสระทางความคิด เชือ่ มัน่ ในความคดิ ของตน ศาสนาไมม่ ีอทิ ธพิ ลเหนอื วถิ ีชวี ิตของคนมากนัก 4. ธรรมชาตินิยม (Naturalism) เน้นความสวยงามอ่อนช้อยตามธรรมชาติ เชื่อว่าธรรมชาติ มีกฎเกณฑ์อยู่ในตัว ไม่ขึ้นกับสิ่งเหนือธรรมชาติ แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่สามารถเปลี่ยนกฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ หากมนษุ ยม์ ีความพยายามในการคดิ และศึกษากจ็ ะเขา้ ใจกฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ - ปัญญาความคิด : การปกครองแบบนครรัฐ ทำให้ชาวกรีกมีอิสรเสรีสูง กรีกจึงเป็นศูนย์รวม นกั ปรัชญาสำคญั ของโลก เช่น โสเครติส (Socrates) บิดาแหง่ วิชาปรชั ญา เสนอแนวทางในการแสวงหาความรู้และความ จรงิ ดว้ ยตนเอง และแนวคิดการใชเ้ หตุผลและสตปิ ัญญา โดยการตง้ั คำถามปลายเปิด เพ่อื กระตุ้นความคิด ให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนแสดงเหตุผลที่ชัดเจน ภายหลังเรียกว่า “วิธีสอน แบบโสเครติส” นอกจากนี้ ยังเสนอแนวคิดการปกครองว่าผู้ปกครองจะต้องมีความรู้และคุณธรรม (Knowledge is vitue) เพลโต (Plato) บิดาแห่งวิชาปรชั ญาการเมือง ผู้ก่อตั้งสำนัก Academy เมื่อ 380 ปีก่อนคริสต์ศักราช ผลงานเด่นคือ หนังสือเรื่องอุตมรัฐ (The Republic) เสนอ แนวคดิ การปกครองว่าควรมผี ูป้ กครองเปน็ นักปราชญ์ ไม่เชื่อ วา่ คนไร้การศึกษาจะมคี วามสามารถในการปกครอง อริสโตเติล (Aristotle) บิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์ ผู้ก่อตั้งสำนัก Lyceum เมื่อ 335 ปีก่อน คริสต์ศักราช มีความเชี่ยวชาญหลากหลายสาขาวิชาเน้นการหาความรู้แบบนิรนัย และวิจัยรูปแบบการ ปกครองของนครรฐั กวา่ 150 แหง่ เฮโรโดตัส (Herodotus) บิดาแห่งวิชาประวัติศาสตร์ ผลงานเด่นคือ บันทึกสงคราม ระหวา่ งกรกี กับเปอร์เซยี (497 – 479 ปกี ่อนคริสต์ศักราช) อย่างมีเหตผุ ลและเป็นระบบ 51
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทที่ 3 พัฒนาการทางประวัติศาสตรส์ มัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก อื่นๆ คือ ฮิปโปเครตีส (บิดาแห่งวิชาแพทยศาสตร์) เฮโรฟิลัส (บิดาแห่งวิชากายวิภาค ศาสตร์) ทูซิดิดีส (นักการทหารและประวัติศาสตร์) ยูคลิด (บิดาแห่งเรขาคณิต ผู้ค้นพบตัวหารร่วมมาก) พีทาโกรัส (นักคณิตศาสตร์ผู้สร้างทฤษฎีสามเหลี่ยม) อาร์คิมีดีส (นักฟิสิกส์ผู้ค้นพบแรงลอยตัว) และ เอราทอสธนี สั (นกั ภูมิศาสตร์) เธลสี (บิดาแหง่ วชิ าปรชั ญาตะวนั ตก) วหิ ารพาร์เธนอน - สถาปัตยกรรม : มีจุดเด่นที่เสาและคาน หัวเสา 3 แบบ ได้แก่ ดอริก (ปลายเสาเรียบ มีแผ่น สี่เหลี่ยมบนปลายเสาเพื่อรองรับคาน) ไออนิก (ปลายเสาม้วนโค้งเป็นรูปกน้ หอยสองข้างซ้าย-ขวา) และ โครินเธียน (ปลายเสาเป็นลายใบไม้และดอกไม้) เน้นความสวยงามอ่อนช้อย จินตนาการสูง มีหน้าจ่ัว นิยมสร้างด้วยหินอ่อน ชาวกรีกสร้างสถาปัตยกรรมที่เป็นวิหารบูชาเทพเจ้า เพราะไม่มีกษัตริย์เป็น ประมุขจงึ ไม่มีพระราชวัง เช่น วิหารพารเ์ ธนอน (Parthenon) สรา้ งเม่ือ 449 ปีก่อนคริสตศ์ กั ราชบนเนิน เขาอะโครโพลิส ถวายเทพีอาเธนา เน้นความยิ่งใหญ่ เรียบง่าย กลมกลืน ตัวอาคารสร้างด้วยหินอ่อน หลงั คาจว่ั มีเสาหินดอรกิ เรียงรายค้ำยนั โครงสรา้ งไดส้ ัดส่วนสวยงามและมคี วามสมดุล - ประติมากรรม : ชาวกรีกเป็นชนชาติแรกที่สามารถแกะสลักภาพ มนุษย์ที่มีรูปร่าง สัดส่วนและสรีระสมจริงตามหลักกายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) มีความสวยงาม และเป็นธรรมชาติ ส่วนใหญ่รูปปั้นเทพเจ้าที่มีลักษณะ มนษุ ยสณั ฐานนยิ ม เน้นแสดงอารมณ์ ความรสู้ ึก และความสมบรู ณ์ของอวยั วะและ กล้ามเนื้อ การเปลือยกายเป็นการแสดงออกถึงความงามของมนุษย์ตามธรรมชาติ เชน่ รูปปน้ั เทพเจา้ ซสู เทพีวินสั เทพอี ะเธนา นักขวา้ งจักรของไมรอน วงิ วิกตอรี - จิตรกรรม : ภาพเขียนบนเครื่องปั้นดินเผา มีลวดลายต่างๆ ทั้งลาย เรขาคณติ รูปคน สัตว์ ภาพจากเร่ืองราวเทพนยิ าย (Mythology) - การละคร : ละครสุขนาฏกรรม (Comedy) และละครโศกนาฏกรรม (Tragedy) เพื่อ บวงสรวงและเฉลิมฉลองให้แก่เทพเจ้าไดโอนีซัส (เทพแห่งการละคร เหล้าองุ่น และความอุดมสมบูรณ)์ สะทอ้ นความเชอื่ และความศรัทธาในเทพเจ้า ส่งผลใหม้ กี ารสรา้ งโรงละครกลางแจง้ มีอัฒจันทรล์ ้อมรอบ ใชน้ กั แสดงชายทัง้ หมด สวมหนา้ กาก มผี ู้พากย์และนักรอ้ งประสานเสียง (Chorus) ชาวกรีกสนใจความสมบูรณ์และพลานามัยของมนุษย์ จึงมีการจัดกีฬาโอลิมปิก เพื่อเฉลิมฉลองเทพเจ้าซูส โดยตั้งชื่อตามชื่อยอดเขาโอลิมปัสอันเป็นที่สถิตของเทพ จัดขึ้นที่เมืองโอลิมเปีย นครรัฐเอลิส บนคาบสมุทร เพโลพอนนีซัส จัดขึ้นทุก 4 ปีเป็นกิจกรรมระหว่างนครรัฐ มีรางวัลเป็นช่อมะกอกป่าขดเป็นพวง ถือเป็นเกียรติยศ สงู สดุ และเปน็ ตน้ แบบของกฬี าโอลมิ ปิกสมยั ใหม่ 52
ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 3 พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตร์สมัยโบราณและศาสนาในโลกตะวนั ตก ➢ การล่มสลาย นครรัฐของกรีกรวมกำลังกัน เพื่อต่อสู้กับการรุกรานของเปอร์เซียเป็นระยะ จนกองทัพกรีก เป็นฝ่ายชนะ ทำให้เอเธนส์เป็นผู้นำของนครรัฐต่างๆ ของกรีกรอบทะเลอีเจียน จนมีความเจริญสูงสุด เรียกวา่ “ยุคทองแห่งเอเธนส์” ความรุ่งเรืองของนครรฐั เอเธนส์นำไปสู่การเกิดสงครามเพโลพอนนีเชียน (Peloponnesian War) ระหว่างนครรัฐเอเธนส์ (กองทัพทางเรือ) กับนครรัฐสปาร์ตา (กองทัพทางบก) เมื่อ 431 – 404 ปีก่อนคริสต์ศักราช เนื่องจากนครรัฐสปาร์ตาเป็นคู่แข่งสำคัญในการแย่งชิงอำนาจ เพื่อการเป็นผู้นำของนครรัฐต่างๆ ของกรีก นครรัฐเอเธนส์พ่ายแพ้และเริ่มเสื่อมอำนาจ เนื่องจากเกิด โรคระบาด สปาร์ตาเข้าครองอำนาจได้ไม่นานก็เกิดสงครามกับเปอร์เซียและถูกเปอร์เซียยึดครอง ส่วนนครรัฐอื่นต่างแย่งชิงอำนาจกันจนกรีกเสื่อมลง ทำให้แคว้นมาซีโดเนียที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของ กรกี ขยายอำนาจเขา้ ยดึ ครองนครรัฐกรกี ได้สำเรจ็ ▪ สมยั เฮลเลนิสติก (Hellenistic) (334 – 146 ปกี ่อนคริสต์ศกั ราช) ➢ ลกั ษณะการปกครอง สมัยเฮลเลนิสติกเป็นช่วงที่นครรัฐต่างๆ ของกรีกถกู แควน้ มาซีโดเนยี ภายใต้การนำของพระเจ้า อเล็กซานเดอรม์ หาราชรกุ ราน และสถาปนาจักรวรรดิ กรีกขยายอำนาจไปกว้างขวางในดินแดนต่างๆ เช่น เมโสโปเตเมีย อียิปต์ ฟินิเชียน และเปอร์เซีย รวมท้ัง นำกองทัพไปถึงอินเดีย ➢ มรดกทางวัฒนธรรม สมัยเฮลเลนิสติกเป็นสมัยที่กรีกเผยแพร่อารยธรรมของตนไปยัง ด้านตะวันออก จนเกิดศิลปะผสมผสานระหว่างศิลปะกรีกผสมตะวันออก มีเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) ในอียิปต์เป็นศูนย์กลางการค้าและ ศิลปวัฒนธรรมกรีก ศิลปะเฮลเลนิสติกมีความงดงามแบบหรูหรา โดดเด่น ด้านประติมากรรม เป็นรูปปั้นเน้นแสดงอารมณ์ทุกข์ ทรมาน เจ็บปวด และ ความชรา รวมทั้งภาพโมเสก (mosaic) ➢ การล่มสลาย ประติมากรรมศิลปะเฮลเลนสิ ติก หลงั จากทีพ่ ระเจา้ อเล็กซานเดอร์มหาราชสวรรคต จักรวรรดิกรีกอนั ยิง่ ใหญ่กแ็ ตกแยก และถูก แบง่ ให้แกข่ นุ ศึกท่ีแย่งอำนาจอย่างวุ่นวาย ทำใหจ้ กั รวรรดกิ รีกหมดความสำคัญลง ในทสี่ ุดก็ถูกจักรวรรดิ โรมันผนวกเป็นดินแดนส่วนหน่งึ เมอ่ื 146 ปกี อ่ นคริสต์ศกั ราช 53
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บชทื่อท_่ี_3__พ__ฒั __น_า_ก__า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว_ัต__ศิ _า_ส__ต_ร_ส์__ม_ัย__โ_บ_ร_า_ณ___แ_ลชะศั้นามสน.6า/ใ_น__โลเลกขตะทว่ี_ัน__ต_ก_ อารยธรรมโรมันเป็นอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง บริเวณคาบสมุทรอิตาลี ริมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ศูนย์กลางอยู่ท่กี รงุ โรม ปจั จุบันอยใู่ นประเทศอติ าลี ▪ ปจั จัยทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การสรา้ งสรรคอ์ ารยธรรมโรมัน - เทือกเขาแอลป์และแอพเพนไนน์ วางตัว แนวนอนในตอนเหนือและพาดจากเหนือสู่ใต้กลาง คาบสมทุ รอติ าลี สง่ ผลให้พื้นที่ตง้ั ถ่นิ ฐานและการเกษตร จุดเดน่ ของอารยธรรมโรมนั มีน้อย ที่ราบลุ่มแม่น้ำมีน้อย เช่น ลุ่มแม่น้ำไทเบอร์ - เป็นพัฒนาการขัน้ สูงสุดของอารยธรรม ทำให้ชาวโรมนั ตอ้ งขยายดนิ แดนไปยังบรเิ วณใกล้เคียง ตะวันตกสมัยโบราณ โดยรับการถ่ายทอดจาก อารยธรรมกรีกทั้งทางตรงและทางอ้อม ผสม - คาบสมุทรอิตาลี เหมาะเป็นศูนย์กลางการ กับวฒั นธรรมดง้ั เดิมของพวกอที รสั กัน เดินเรือและการค้าทางทะเล ถือเป็นจุดเชื่อมต่อการค้า ทางทะเล - เดน่ ดา้ นแสนยานภุ าพทางการทหาร - ชาวโรมันเป็นนักปฏิบัติ นักรบที่มี ระเบียบวินัย สามัคคี กล้าหาญ อดทน การสร้างสรรคอ์ ารยธรรมโรมนั มีความรบั ผดิ ชอบตอ่ รฐั และมกี ฎหมายเขม้ งวด ➢ ลักษณะการปกครอง ▪ สมัยอที รัสกัน (753 – 509 ปกี ่อนครสิ ตศ์ ักราช) บรรพบุรษุ ของโรมนั คือ พวกละตนิ ซ่งึ อพยพจากตอนเหนือมาตงั้ ถิ่นฐานเป็นชมุ ชนเกษตรกรรม ขนาดเลก็ เรยี กวา่ “ฟอรัม” อยูบ่ ริเวณลุม่ แมน่ ้ำไทเบอร์ (Tiber) ตงั้ แต่ 1,000 ปีกอ่ นคริสต์ศกั ราช ต่อมา ละตินถูกพวกอีทรัสกัน (Etruscan) ที่อพยพมาจากดินแดนเอเชียไมเนอร์เข้ารุกราน อีทรัสกันได้รับ อารยธรรมกรีกมาสร้างสรรคอ์ ารยธรรมโรมัน เช่น ตัวอักษร ความเช่อื เปน็ ตน้ อที รสั กันใช้การปกครอง ระบอบกษตั ริยเ์ รยี กว่า “อิมพเี รียม” (Imperium) ▪ สมัยสาธารณรัฐ (509 – 27 ปีก่อนครสิ ตศ์ กั ราช) พวกละตนิ ไดข้ ับไล่กษตั รยิ อ์ ีทรสั กัน และจดั ตั้งสาธารณรฐั (Republic) เปน็ ดินแดนแรกของโลก เมื่อ 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช แบ่งพลเมืองออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มชนชั้นสูงเรียกว่า “แพทริเชียน” (Patrician) มีอำนาจการปกครองเหนือกว่ากลุ่มชนชั้นล่างเรียกว่า “เพลเบียน” (Plebeian) เป็น พลเมืองส่วนใหญ่ที่ไม่มีสิทธิทางการเมืองและสังคม เรียกการปกครองโดยกลุ่มชนชั้นสูงในลักษณะนี้วา่ “อภิชนาธิปไตย” เป็นลักษณะปกครองแบบกระจายอำนาจ ประกอบดว้ ย 2 องคก์ รทค่ี านอำนาจกนั คอื 1. กงสุล (Consuls) ทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร เป็นประมุขแทนกษัตริย์ จำนวน 2 คน วาระ 1 ปี มาจากกล่มุ แพทริเชียน เนอื่ งจากการตดั สนิ ใจจะต้องเห็นพอ้ งกันอยา่ งเท่าเทยี ม หากฝ่ายหนึ่งไม่เห็นดว้ ย กส็ ามารถกลา่ วคำว่า Veto ซง่ึ หมายถึงไม่เหน็ ด้วย 2. สภา ทำหนา้ ทีฝ่ า่ ยนิติบัญญตั ิ แบง่ เปน็ 54
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวัตศิ าสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวันตก - สภาเซเนต (Senate) มีจำนวน 300 คน เลือกจากกลุ่มแพทริเชียน ดำรงตำแหน่งตลอด ชวี ิต มีหนา้ ทค่ี วบคุมการคลัง การต่างประเทศ ตดั สินคดี ประกาศสงคราม มีสทิ ธิยบั ย้งั มตสิ ภาราษฎร - สภาราษฎร มีจำนวน 100 คน เลือกจากกลุ่มแพทริเชียนและเพลเบียน มีหน้าที่แต่งตั้ง กงสลุ และเจา้ หน้าทีบ่ ริหาร ให้ความยินยอมหรอื ปฏิเสธกฎหมายท่ีกงสุลและสภาเซเนตเสนอ และตัดสิน ข้อพิพาทสำคญั อย่างไรก็ตาม กลุ่มเพลเบียนซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของโรมันรู้สึกไม่พอใจกับอำนาจของ กลุ่มแพทริเชียน จนเกิดการต่อสู้ระหว่างชนชั้นขึ้น กลุ่มเพลเบียนเป็นฝ่ายชนะทำให้สภาเซเนต ต้อง ยินยอมให้กลุ่มเพลเบียนมีสิทธิเลือกผู้นำของตนเองเรียกว่า “คณะทรีบูน” (Tribunes) ซึ่งมีสิทธ์ิ ออกเสียง Veto ระหว่าง 246 – 146 ปีก่อนคริสต์ศักราช โรมันทำ สงครามพวิ นิก (Punic Wars) กบั พวกฟนิ ิเชยี นทงั้ หมด 3 ครั้งท่ี เมืองคาร์เทจ เป็นเมอื งทา่ ของฟนิ ิเชยี นในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผลคือโรมันเป็นฝ่ายชนะทุกครั้งจึงกลายเป็นจ้าวแห่งทะเล เมดิเตอร์เรเนียนแทนฟินิเชียน พัฒนาเป็นจักรวรรดิที่มีอำนาจ สงครามพวิ นกิ มากที่สุดในเวลาต่อมา เนื่องจากผูกขาดการค้าระหว่างดินแดนยุโรปและเอเชียไมเนอรจ์ นมีฐานะรำ่ รวย แต่โรมันใหค้ วามสำคญั กับกิจการทหารและการขยายดินแดนมากกว่ากิจการค้าขาย เพราะได้ประโยชน์ จากการขยายดนิ แดนในรูปแบบรฐั บรรณาการและภาษีอากร ▪ สมยั จกั รวรรดิ (27 ปีก่อนคริสต์ศักราช ถงึ พ.ศ.476) - จูเลยี ส ซซี าร์ (Julius Caesar) นำกองทพั ยึดอำนาจสาธารณรัฐโรมันเมื่อ 49 ปีก่อนคริสต์ศักราช และปกครองโรมันแบบเผด็จการ จูเลียส ซีซาร์มีอำนาจ การปกครองสูงสดุ ในฐานะผู้เผดจ็ การแห่งสาธารณรัฐโรมัน - ออคเตเวียน ซีซาร์ (Octavian Caesar) บุตรบุญธรรมของจูเลยี ส ซีซาร์ สามารถปราบมาร์ค แอนโทนี (Mark Anthony) คู่แข่งทางการเมืองคนสำคัญ ที่ปกครองอียิปต์ร่วมกับพระนางคลีโอพัตรา จากนั้นได้สถาปนาจักรวรรดิโรมัน เมื่อ 27 ปีก่อนคริสต์ศักราช เปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบกษัตริย์ และสถาปนา เป็นจักรพรรดอิ อกัสตัส (Augustus) จักรพรรดิองคแ์ รกของจักรวรรดโิ รมัน และนำ จักรวรรดิไปสู่สมัยสันติภาพแห่งโรมัน (Pax of Romana) ตั้งแต่ 27 ปีก่อน คริสต์ศักราช ถึง ค.ศ.180 คือ สมัยท่ีจักรวรรดิโรมันรุ่งเรืองนานกว่า 2 ศตวรรษ สร้างกองทัพเรือที่ยิ่งใหญ่ มีแผนการรบที่ชาญฉลาด สามารถบังคับบัญชาอย่างมีประสิทธิภาพ จนสามารถขยายดินแดนและอารยธรรมโรมันออกไปอย่างกว้างขวาง เชื่อมต่อเมืองต่างๆ ถึง 3 ทวีป เข้ามาสกู่ รงุ โรม คือ ทวีปยุโรป แอฟรกิ า (ตอนเหนือ) และเอเชยี (ตะวนั ออกกลาง) สามารถยดึ ครองกรีก อียิปต์ ดินแดนเอเชียไมเนอร์ และสเปนได้ทั้งหมด อีกทั้งโรมันเป็นชนชาติแรกที่เริ่มระบบเกณฑ์ทหาร มีการรวมอำนาจเข้าสูศ่ ูนยก์ ลาง จัดระบบการเก็บภาษี สร้างสาธารณูปโภค ขจัดการฉ้อราษฎร์บงั หลวง 55
ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทที่ 3 พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์สมยั โบราณและศาสนาในโลกตะวันตก ตลอดจนการปลูกฝังวัฒนธรรมภาษาละตนิ สมยั สนั ตภิ าพแหง่ โรมันจึงเปน็ สมัยที่พลเมืองทงั้ จักรวรรดิอยู่ ภายใตก้ ฎหมายและจกั รพรรดิเดียวกนั และใชภ้ าษาละตนิ เหมือนกนั - จักรพรรดิคอนสแตนตินมหาราช (Constantine the Great) แยกจกั รวรรดิโรมันในปี ค.ศ.313 เพราะจกั รวรรดิโรมันมอี าณาเขตกวา้ งขวาง มากเกินไป เสี่ยงต่อการถูกรุกรานจากอนารยชนตอนเหนือ โดยแบ่งดินแดน เป็น 2 ส่วน คือ จักรวรรดิโรมันตะวันตก ศูนย์กลางที่กรุงโรม และจักรวรรดิ โรมันตะวันออก ศูนย์กลางที่กรุงคอนสแตนติโนเปลิ (เดิมชื่อเมืองไบเซนทิอุม ปัจจุบันคือนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี) นอกจากนี้ จักรพรรดิคอนสแตนติน มหาราชยังประกาศให้ศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมันตาม พระราชกฤษฎกี าแห่งมลิ าน (Edict of Milan) ใน ค.ศ.313 กอ่ น หน้านี้จักรวรรดิโรมันต่อต้านศาสนาคริสต์ เนื่องจากมีคำสอน ที่กระทบต่อการปกครอง เช่น ให้บูชาพระเจ้าไม่บูชาจักรพรรดิ ต่อมากลายเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิโรมันในสมัยจักรพรรดิ ธโี อโดซิอุสที่ 1 เพื่อสรา้ งความเป็นอนั หนง่ึ อนั เดยี วกัน ทำใหช้ าวโรมันหนั มานบั ถือคริสตม์ ากขนึ้ (ครสิ ตม์ ี หลกั คำสอนเร่อื งจริยธรรมและการใหก้ ำลังใจ แต่ความเช่ือเก่ายังมีเร่อื งกิเลสและความไมเ่ สมอภาค) ภายหลังการแยกจักรวรรดิโรมัน ดินแดนโรมันตะวันออกสถาปนาเป็นจักรวรรดิไบเซนไทน์ ซึ่งเจริญรุ่งเรือง สูงสุดในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน เกิดประมวลกฎหมายจัสติเนยี น (Code of Justinian) ในปี ค.ศ.528 ต่อมา เกดิ การแยกนกิ ายศาสนาคริสตข์ ้นึ ในดินแดนจักรวรรดิไบเซนไทน์ คือ นิกายกรกี ออรโ์ ธดอกซ์ และในท่สี ดุ ค.ศ.1453 จกั รวรรดไิ บเซนไทนล์ ม่ สลายลงจากการถูกจักรวรรดิออตโตมนั รุกราน ➢ ลกั ษณะเศรษฐกิจ โรมันใช้เศรษฐกิจแบบบรรณาการและภาษีอากรโดยอาศัยกำลังทหาร และการขยายดินแดน ออกไปกดขี่ขูดรีดอาณานคิ มในรูปบรรณาการ ส่วย และภาษีอากร รวมทั้งแรงงานทาส มีการตั้งสมาคม อาชีพ (Guild) เพื่อรวมกลมุ่ ชนอาชพี เดยี วกัน และปกปอ้ งสิทธิประโยชนข์ องพวกตน ➢ มรดกทางวัฒนธรรม - ความเชื่อ : พหุเทวนิยม ชาวโรมันนับถือเทพเจ้าหลายองค์ โดยรับเทพเจ้าของกรีกมานับถือ แต่เพิ่มเติมตำนานเทพต่างๆ และแปลงพระนามใหม่ เช่น เทพจูปีเตอร์ (ซูส) เทพเนปจูน (โพไซดอน) เทพพลูโต (ฮาเดส) เทพีมิเนอร์วา (อาเธนา) เทพเมอร์คิวรี (เฮอร์เมส) เทพีวีนัส (อโฟร์ไดต์) เทพีจูโน (เฮร่า) เปน็ ตน้ จักรวรรดิโรมันเปิดเสรแี ก่ทุกศาสนาแตต่ อ้ งเคารพบูชาจักรพรรดิ - กฎหมาย : กฎหมายสิบสองโตะ๊ (Law of the Twelve Tables) เป็นประมวลกฎหมายหรอื กฎหมายลายลักษณ์อักษร เกิดจากการเรียกร้องสิทธิทางการปกครองของกลุ่มเพลเบียนจนได้รับสิทธิ 56
ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 3 พฒั นาการทางประวัติศาสตรส์ มัยโบราณและศาสนาในโลกตะวันตก ออกกฎหมายร่วมกับกลุ่มแพทริเชียน ประกอบด้วยมาตราต่างๆ ที่จารึกลงบน แผ่นสำริดจำนวน 12 แผ่น กลายเป็นกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่มีความเสมอ ภาคและยุติธรรมสำหรับทุกคนในจักรวรรดิโรมัน เนื่องจากกลุ่มแพทริเชียนและ กลุ่มเพลเบียนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันและมีสิทธิอย่างเท่าเทียม และเปิด โอกาสให้กล่มุ เพลเบียนมโี อกาสเขา้ ดำรงตำแหนง่ บรหิ ารท่สี ำคัญ กฎหมายสบิ สอง โตะ๊ จึงเป็นตน้ แบบระบบประมวลกฎหมายของชาติตะวนั ตกและประเทศทว่ั โลก - อักษรศาสตร์ : ภาษาละติน พัฒนาจากอักษรอัลฟาเบตและอักษรกรีก มีพยัญชนะ 23 ตัว เป็นรากศัพท์ของภาษาอังกฤษและกลุ่มภาษาโรแมนซ์ในยุโรป เช่น ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษา อิตาเลียน เป็นต้น ใช้อย่างแพร่หลายในดินแดนจักรวรรดิโรมันอันกว้างใหญ่ ภาษาละตินยังเป็นภาษา ที่ใชใ้ นเชงิ วชิ าการ กฎหมายสบิ สองโตะ๊ ปจั จุบนั เปน็ ชอื่ ศพั ท์ทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละการแพทย์หลายคำ - สถาปัตยกรรม : มีจุดเด่นท่ีประตูโค้ง (Arch) และหลังคารูปโดม (Dome) รวมทั้งใช้คอนกรีต ในการกอ่ สรา้ ง (ชนชาตแิ รก) โดยเป็นสถาปตั ยกรรมท่ีสืบทอดความเจริญมาจากอารยธรรมกรีก แต่เน้น การประยุกต์ดดั แปลงเพื่อประโยชน์ใช้สอยและความสะดวกสบาย แตกตา่ งจากกรีกที่เน้นความสวยงาม อ่อนช้อยและมีจินตนาการสูง ชาวโรมันเชื่อในชัยชนะและความกล้าหาญของชีวิตปัจจุบันตอบสนอง ความต้องการของชาวโรมันมากกว่าเน้นการบูชาพระเจ้าแบบชาวกรีก ดังนั้นสถาปัตยกรรม จึงแสดงถึง ความเข้มแข็ง กล้าหาญ และชัยชนะ มีลกั ษณะใหญโ่ ต ย่งิ ใหญ่ และแขง็ แรง สถาปัตยกรรมสำคญั ได้แก่ วิหารแพนธีออน (Pantheon) สร้างเลียนแบบวิหาร พาร์เธนอนด้วยเทคนิคประตูโค้งและหลังคารูปโดมแทนหน้าจั่วตาม ศิลปะกรีก นับว่าเป็นการแก้ปัญหาทางด้านโครงสร้างและการรับ นำ้ หนกั ของหลงั คาไดเ้ ป็นอย่างดี โคลอสเซียม (Colosseum) เป็นโรงมหรสพกลางแจ้ง ขนาดใหญ่ เพื่อความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจของชาวโรมัน โดยใชใ้ นการแข่งกีฬา ชมการแสดงละครหรอื การต่อสู้ พบปะสงั สรรค์ และการออกกำลังกาย มีความจุมากกว่าแสนคน ซึ่งต่อมากลายเป็น ตน้ แบบของสนามกฬี าขนาดใหญ่ทว่ั โลก ประตชู ัย (Triumphal arch) เปน็ สัญลกั ษณแ์ ห่งชัยชนะจากสงคราม ถนนโรมัน (Roman roads) เป็นถนนคอนกรีตที่สร้างเชื่อมดินแดนที่ยึดครองได้ ใช้ประโยชน์ในการเคลื่อนย้ายกองทัพ จึงเกิดคำกล่าวว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรม” ถนนบางสายยัง สามารถใช้ไดถ้ งึ ปจั จุบนั นอกจากน้ยี งั ได้สรา้ งปอ้ มปราการอีกดว้ ย ท่อและสะพานส่งน้ำขนาดใหญ่ (Aqueduct) จากภูเขา ไปสู่เมอื งใช้ตามบา้ นเรือน ทำให้เมืองใหญ่ของจกั รวรรดโิ รมันเติบโต กรุงโรมกลายเป็นเมืองที่มีประชากรครบ 1 ล้านคนเป็นเมืองแรก ของโลก นอกจากน้ยี ังมีทอ่ ระบายน้ำเสยี จากบา้ นเรือน (Cloacae) 57
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทที่ 3 พฒั นาการทางประวัตศิ าสตรส์ มัยโบราณและศาสนาในโลกตะวันตก โรงอาบนำ้ สาธารณะ (Roman Bath) สนามแขง่ รถมา้ (Circus Maximus) - ประติมากรรม : งานแกะสลักรูปเหมือนบุคคลสำคัญในท่าครึ่งท่อนบน และภาพนูนต่ำ เป็นประติมากรรมท่ดี ัดแปลงจากศิลปะกรีก เน้นความสมจรงิ - วรรณกรรม : นกั ประพันธท์ ส่ี ำคญั ของโรมนั ได้แก่ เวอร์จลิ (Virgil) ประพนั ธเ์ ร่ืองมหากาพย์เอเนียด (Aeneid) เพื่อสดุดี ความยิ่งใหญ่ของชาวโรมนั กล่าวถึงชาวโทรจัน (Trojan) หรือทรอยที่บรรพบุรุษ ของโรมูลัส (Romulus) สะท้อนถึงความจงรักภักดีต่อจักรวรรดิ และความ รับผดิ ชอบตอ่ หน้าท่ขี องชาวโรมนั โรมลู สั และเรมสุ เป็นพ่ีน้องฝาแฝด โอรสของเทพเจ้ามารท์ ี่เป็นผู้สรา้ งกรุงโรมตามตำนานของชาวโรมัน ซิเซโร (Cicero) ประพันธ์ร้อยแก้วเกี่ยวกับข้อเขียนทางการเมืองและจริยธรรม ใช้โวหาร ประชดประชนั เสียดสพี ฤตกิ รรมด้านศลี ธรรมของผู้ปกครอง จูเลียส ซซี าร์ บันทกึ สงครามกอล (Gallic War) ➢ วทิ ยาการ - การแพทย์ : การผ่าตัดหน้าท้องทำคลอดทารกจากครรภ์มารดา หรือศัลยกรรมแบบซีซาร์ (Caesarean Section) ซง่ึ จูเลียส ซีซาร์เป็นทารกคนแรกของโลกท่ีทำคลอดด้วยวธิ ีนี้ นอกจากนยี้ ังมีการ ใชย้ าสลบ เคร่ืองมือผา่ ตดั มแี พทยแ์ ละพยาบาลประจำในสนามรบ - การนับเวลา : ปฏทิ นิ จเู ลยี น (Julian calendar) เกิดขน้ึ โดยจเู ลียส ซซี าร์ทกี่ ำหนดให้มีปฏิทิน นับเวลาที่แน่นอน เกิดเป็นปฏิทิน 12 เดือน มี 365 วัน และทุก 4 ปีจะมี 1 วันเพิ่มขึ้น ซึ่งกลายเป็น ต้นแบบปฏิทินสมัยใหม่ที่ใช้แพร่หลายทั่วโลก ใช้มานานถึง 1,600 ปีจึงมีการปรับปรุงเป็นปฏิทิน เกรกอเรียน (Gregorian Calendar) - วิศวกรรมทางทหาร : เช่น การสร้างค่ายทหาร (Camp) อาวุธต่างๆ การขุดอุโมงค์ สะพาน ถนน อุปกรณก์ ารปดิ ลอ้ ม การสรา้ งแนวป้องกนั เรอื รบจนครอบครองทัง้ นา่ นน้ำทะเลเมดเิ ตอรเ์ รเนียนได้ ➢ การลม่ สลาย จักรวรรดิโรมันเผชิญกับการรุกรานจากภายนอก โดยเฉพาะอนารยชนจากตอนเหนือ จนกระทั่งในปี ค.ศ.476 โรมนั ตะวันตกถูกรุกรานจากอนารยชนเผ่าเยอรมัน (ติวโตนิก) ท่ีนำโดยโอโดเอเซอร์ (Odoacer) เปน็ แมท่ พั เขา้ ยดึ กรุงโรมจากจักรพรรดโิ รมิลลสั ออกัสตสั (Romulus Augustus) ซึ่งถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของอารยธรรมตะวันตกสมัยโบราณ แต่โรมันตะวันออกยังคงอยู่ใน นามจักรวรรดิไบแซนไทน์ในสมัยกลางของยุโรปจนล่มสลายใน ค.ศ.1453 เนื่องจากถูกพวกเติร์กเข้ายึด ครองรวมเปน็ ส่วนหนง่ึ ของจกั รวรรดอิ อตโตมัน 58
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 ช่ือ___บ_ท__ท_ี่_4__พ__ฒั __น_า__ก_า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว_ตั__ศิ _า_ส__ต_ร_์ต__ะ_ว_นั ชตัน้ กแมล.6ะ/ศ_า_ส_นเลาขสทมยั่ี__ก_ล__าง บทที่ 4 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมยั กลาง การสถาปนาจกั รวรรดิโรมันอันศักดิส์ ิทธิ์ ประวัติศาสตร์ตะวันตกสมัยกลาง เรียกสมยั นว้ี า่ “ยคุ มดื ” เพราะเหตใุ ด ▪ คริสต์ศตวรรษที่ 5 - 8 เมื่อโรมันตะวันตกล่มสลายในปี มีสภาพการปกครอง เศรษฐกิจ และ ค.ศ.476 กรุงโรมถูกอนารยชนเผ่าต่างๆ ในดินแดนยุโรป เช่น การสรา้ งสรรคท์ างวฒั นธรรมอยา่ งไร แฟรงค์ ออสโตรกอต ลอมบาร์ด แองโกลแซกซอน เบอร์กันเดียน วิซิกอท แวนดัล เป็นต้น ได้เข้ายึดครองดินแดนสำคัญในยุโรป แตกแยกเป็นแควน้ เล็กๆ กระจายอำนาจเปน็ อิสระ สภาพบ้านเมือง ไม่สงบ มีการสู้รบอยู่ตลอด ผู้คนหนีออกจากเมืองไปอยู่ตามชนบท ต่อมาชนเผ่าต่างๆ ก็ล่มสลายเหลือเพียงแองโกลแซกซันในอังกฤษ ปจั จบุ นั และแฟรงค์ในฝรงั่ เศสปัจจบุ ัน ▪ ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 9 จักรพรรดิชาร์เลอมาญ (Charlemange) พระสนั ตะปาปาลีโอที่ 3 สวมมงกฎุ ผนู้ ำอนารยชนพวกแฟรงค์ได้รวบรวมแคว้นตา่ งๆ สถาปนาจกั รวรรดิ สถาปนาจักรพรรดิชาร์เลอมาญ โรมนั อนั ศักดส์ิ ทิ ธิ์ (Holy Roman Empire) ครอบคลุมดนิ แดนโรมัน ในพิธีราชาภเิ ษก ค.ศ.782 ตะวนั ตกเดิมเกอื บท้งั หมด สถาปนาราชวงศค์ าโรลงิ เจียน ซ่ึงอยภู่ ายใตก้ ารสนับสนุนของพระสันตะปาปา ที่กรุงโรม ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ศาสนจักรเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปกครองตั้งแต่ต้นสมัยกลาง มีอำนาจ เหนือกษัตรยิ ผ์ ่านพิธคี รองราชสมบตั ิ ภายหลังสิ้นสมัยจกั รพรรดิชารเ์ ลอมาญ จกั รวรรดิโรมนั อนั ศักด์ิสิทธ์ิ ก็แตกแยกอีกคร้งั เกิดการแยง่ ชิงอำนาจในหมู่ราชวงศ์ การเพิม่ อำนาจของกลมุ่ ขุนนาง ▪ สาเหตุ : อนารยชนพวกไวก้ิงจากยุโรปเหนอื เข้ารุกราน กษัตริย์อ่อนแอปกปอ้ งประชาชนไม่ได้ ▪ ผล : กลุ่มขุนนางถือโอกาสรวมตัวสร้างอำนาจอิสระ สร้างปราสาทและป้อมปราการต่อสู้ ตา้ นทานพวกไวก้ิง ทำให้ประชาชนเขา้ มาขอพึง่ พิงกลมุ่ ขนุ นาง นำไปสู่ระบบศักดนิ าสวามภิ กั ดิ์ การขยายตวั ของแคว้นต่างๆ ในยโุ รป กษัตริย์ในแคว้นต่างๆ เช่น อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส สามารถสถาปนาราชวงศ์ขึ้น แต่การ ปกครองโดยกษัตริย์ขาดประสิทธิภาพ ขุนนางได้รับการยอมรับจากประชาชนมากกว่าและมีทหารของ ตนเอง (อัศวิน) กษัตริย์จึงต้องอาศัยกำลังทหารของขุนนางหรืออัศวินที่จงรักภักดี โดยขุนนางจะได้รับ 59
ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทที่ 4 พฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์ตะวันตกและศาสนาสมัยกลาง พระราชทานที่ดินไปดูแล ดังนั้นการปกครองในสมัยกลางอำนาจกษัตริย์จึงจำกัด ไม่สามารถบังคับ ขุนนางได้โดยตรง อำนาจแทจ้ รงิ กระจายไปตามหมู่ขุนนางที่ครอบครองที่ดิน ระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism) เป็น ระบบการปกครองแบบกระจายอำนาจจากส่วนกลาง คำวา่ “Feudal” มาจากคำวา่ “Fief” สู่ท้องถิ่น กษัตริย์ไม่สามารถรวมอำนาจได้ อำนาจการ หมายถึง ที่ดินที่เป็นพันธสัญญาระหว่าง ปกครอง การทหาร และตุลาการอยู่ท่ีกลุ่มขุนนางตาม เจา้ นายกับข้า ท้องถิ่นต่างๆ มีที่มาจากธรรมเนียมของชาวโรมันผสมกับ ธรรมเนียมคอมิเตตัส (Comitatus) ของอนารยชนเยอรมันเผา่ กอต และเป็นผลมาจากประชาชนอพยพ จากความวุน่ วายของบ้านเมอื งต้ังแต่ต้นสมัยกลางมาตั้งถิ่นฐานในชนบท ส่งผลให้อำนาจการปกครองไป อยขู่ ุนนางทอ้ งถ่ินมากกวา่ กษตั รยิ ์ในสว่ นกลาง ซง่ึ ระบบศักดนิ าสวามภิ ักดิ์มีลกั ษณะการปกครอง ดังน้ี ▪ ระบบความสัมพันธ์ต่างตอบแทน (ระบบอุปถัมภ์) มีที่ดิน (Fief) เป็นพื้นฐานของระบบ ความสัมพันธ์ โดยเป็นสิ่งที่กำหนดฐานะในสังคมระหว่างเจ้านายผู้มีสิทธิเป็นเจ้าของท่ีดิน (Lord) และ ข้ารับใช้ผู้รับมอบกรรมสิทธิ์ที่ดิน (Vassal) ที่ดินทั้งหมดเป็นของกษัตริย์ (Lord) ที่ได้พระราชทานให้ ขุนนางผู้ปกครองแคว้น (Vassal) ปกครองและจัดตั้งกองทัพเองได้ ขุนนางสูงศักดิ์ (Lord) จะแบ่งที่ดินแก่ขุนนางชั้นต่ำกว่าเป็นทอดๆ (Vassal) ในลักษณะเช่าแบบเป็นมรดกตกทอด กลุ่มขุนนางจึงเป็น ทั้งผู้ปกครอง ผู้นำทหาร และเจ้าของที่ดิน มีสิทธิ์บังคับบัญชา ประชาชนได้ กษตั รยิ จ์ ึงต้องพึง่ พาขนุ นางด้านทหารและการเงิน ▪ ระบบความสัมพันธ์รูปพีระมิดท่ีลดหลั่นลงไป และแบ่งชนชั้นคนใน สงั คมออกเป็น 2 กลุม่ ใหญต่ ามการถือครองทด่ี นิ ไดแ้ ก่ 1. ชนช้นั ผปู้ กครอง เป็นชนชน้ั ท่มี ีที่ดินและปราสาทเปน็ ของตนเอง มีชีวิตที่หรูหราและมีอำนาจสิทธิ์ขาด มีหน้าที่จัดตั้งที่ดินที่ตนครอบครอง (แมเนอร์) ซึ่งมีทั้งปราสาทของขุนนางเจ้าของที่ดิน และหมู่บ้านที่พักอาศัย ของชาวนาและทาสติดที่ดิน Lord เป็นผู้ปกครองในแมเนอร์ จัดแบ่งที่ดิน ให้ความดูแลคุ้มครอง เก็บภาษี จัดตั้งศาลตัดสินคดีความ และให้ความ ยุติธรรมแก่ผู้รับมอบกรรมสิทธิ์ที่ดินในเขตที่ดินที่ตนครอบครอง ชนช้ัน ผปู้ กครอง ไดแ้ ก่ - กษตั ริย์ (Lord ลำดบั แรก) ผ้เู ป็นเจา้ ของทด่ี ินทั่วราชอาณาจักร ที่พระราชทานให้ขุนนางชั้นสูงในท้องถิ่น (Vassal ลำดับ 1) เพื่อเป็นการตอบ แทนความดี ใหข้ นุ นางจงรกั ภกั ดีตอ่ กษตั รยิ ์และสง่ ภาษเี ปน็ การตอบแทน 60
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทท่ี 4 พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตร์ตะวนั ตกและศาสนาสมัยกลาง - ขุนนาง (Lord ลำดับรอง) นำที่ดินที่ไดร้ ับพระราชทานไปแบ่งขนุ นางระดับรองลงไปและ อัศวิน (Vassal ลำดับรอง) เพื่อหาผลประโยชน์และปกครองดูแลผู้คนที่ทำงานในแมเนอร์ ซึ่งขุนนาง ระดับรองลงมาและอศั วินต้องจงรักภักดีและสนับสนนุ กำลังทหารแกข่ ุนนางชั้นสูง อย่างไรก็ตาม ขุนนาง มักทำสงครามเพือ่ แย่งชิงความเป็นใหญ่เหนือที่ดนิ ทค่ี รอบครองระหวา่ งกันอย่บู ่อยครงั้ - อัศวิน เริ่มจากการเป็นมหาดเล็กรับใช้ Lord จนสำเร็จหลักสูตรอัศวินที่มีความรู้ ความสามารถในการรบและใช้อาวธุ ไดร้ บั การแตง่ ต้ังเป็นอศั วินเพ่ือให้ความคุ้มครองชีวติ ของ Lord และ คนในแมเนอร์ โดยยึดถืออุดมการณ์ คือ กระทำความดี แก้ไขในสิ่งที่ผิด ผดุงความยุติธรรม มีเมตตา ธรรม ปกปอ้ งคมุ้ ครองสตรี และเทดิ ทูนพระเจ้า 2. ชนชั้นผู้ใต้ปกครอง มีหน้าที่ส่งผลผลิตตามชนิดและจำนวนที่ตกลงกัน เสียภาษี ส่งทหาร ระดับอัศวินจำนวนหนึ่งสมทบให้แก่เจ้าของที่ดิน หรือยอมเป็นแรงงานตอบแทนการรับมอบที่ดินมา ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เจ้าของที่ดินในบางกรณี เป็นภาระผูกพันกับเจ้าของที่ดินที่ต้องปฏิบัติ ตามกฎระเบยี บ และต้องจงรักภักดีต่อเจา้ ของทด่ี ิน ชนช้นั ผใู้ ตป้ กครอง ได้แก่ - ชาวนาอิสระ (Vassal ลำดับรอง) ได้รับที่ดินขนาดเล็กจากขุนนาง ส่วนใหญ่เป็นชาวนา ช่วยทำงานเพาะปลูกและงานอน่ื ๆ ในไร่นาของเจา้ ของที่ดนิ โดยไมม่ ีคา่ จา้ ง - ทาสติดที่ดิน (Vassal ลำดับสุดท้าย) ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ต้องทำงานหนักในที่ดิน ของเจ้าของที่ดิน เพื่อเลี้ยงครอบครัวและผลประโยชน์ของเจ้าของที่ดิน โดยไม่ได้รับค่าจ้างแลกกับการ อยอู่ าศยั ในแมเนอร์ ตอ้ งผลติ ผลผลิตแก่เจา้ ของทีด่ ินตามชนดิ และจำนวนทตี่ กลงกันไว้ โดยที่จะย้ายท่ีอยู่ อาศัยไม่ได้ ต้องอยใู่ นเขตแมเนอรเ์ ดมิ เท่านนั้ 3. นักบวช ได้แก่ พระสันตะปาปาและบาทหลวง เป็นศูนย์กลางความเชื่อและความศรัทธา ของประชาชน มีบทบาทมากในสังคมสมัยกลาง พระสันตะปาปาที่กรุงโรมมีอำนาจสูงสุดเหนืออำนาจ ของกษตั ริย์ มีนกั บวชทม่ี ีฐานะรองลงมาทำหน้าท่ตี ่างๆ ตามเขตการปกครอง เชน่ บาทหลวงในแมเนอร์ เปน็ ผเู้ กบ็ ภาษีและสอนประชาชน ระบบแมเนอร์ (Manorial System) เป็นระบบ แมเนอร์ เศรษฐกิจพึ่งตนเอง ทรัพยากรสำคัญ คือ ที่ดินและแรงงาน เน่ืองจากการสะสมทุนยังมนี ้อย อำนาจทางเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับ ขุนนาง เนื่องจากขุนนางครอบครองที่ดินเป็นจำนวนมาก ลกั ษณะเศรษฐกิจของยโุ รปสมัยกลางมดี ังน้ี ▪ ศูนย์กลางเศรษฐกิจอยู่ที่แมเนอร์ แมเนอร์ (Manor) หมายถึง บรเิ วณทดี่ นิ กวา้ งใหญร่ อบปราสาท ของขุนนางที่เป็นเจ้าของที่ดิน (ศูนย์กลางของแมเนอร์) ได้รับมอบที่ดินเป็นทอดๆ แบ่งให้ประชาชนที่ ส่วนใหญ่เปน็ ทาสตดิ ทดี่ นิ ประกอบอาชีพในทดี่ นิ ของขนุ นาง 61
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทท่ี 4 พัฒนาการทางประวัติศาสตรต์ ะวันตกและศาสนาสมยั กลาง ▪ พื้นฐานเศรษฐกิจขึ้นอยูก่ ับเกษตรกรรมเป็นสำคัญ เศรษฐกิจในแมเนอรส์ ว่ นใหญจ่ ะทำการเกษตร แบบยังชีพ โดยเฉพาะการทำนาและทำไร่ โดยมีที่ดินเป็นปจั จัยทางเศรษฐกจิ ท่ีสำคัญท่ีสุด ผลผลิตไม่สูง มากนกั การมีท่ีดนิ เป็นเครอื่ งกำหนดฐานะทางสงั คมของบคุ คลและสทิ ธทิ างการเมืองด้วย ▪ เกษตรกรรมแบบนาเปิด (Open-field System) คือ ไม่มีการล้อมรั้ว ไม่ใส่ปุ๋ยบำรุงดิน ไม่ใช้ เทคโนโลยี ผลผลิตจึงต่ำ เลี้ยงสัตว์ให้หากินตามธรรมชาติ ใช้ระบบหมุนเวียนที่ดินในลักษณะนาสองทุ่ง หรือสามทุ่ง โดยแต่ละปีจะแบ่งนาออกเป็นสองหรือสามแปลงใหญ่ ต้องพักนาแปลงหนึ่งสลับเปลี่ยนกัน ไปไว้เป็นการพักดินให้ฟื้นตัว ใช้เป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ และต้องส่งคืนเป็นผลผลิตหรือภาษี มีการ แลกเปลย่ี นสนิ คา้ แบบของแลกของ (barter system) แตไ่ ม่มีการตดิ ตอ่ ค้าขายภายนอกแมเนอร์ ▪ อุตสาหกรรมผลิตภายในครอบครัว ทำไว้เพื่อใช้เองหรือขายภายในแมเนอร์ การค้าโดยรวมช่วง ระยะต้นสมัยกลางจึงเกิดความชะงักงัน ต่อมาผลผลิตเพิ่มขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนโดยพ่อค้าคนกลาง เกดิ ตลาดนดั เกดิ การคา้ ตา่ งเมืองตา่ งแมเนอร์ แล้วขยายตัวเปน็ การค้ากับตา่ งชาติ โดยเฉพาะกับอาหรับ และมุสลมิ ในดินแดนเอเชยี ตะวนั ออกกลาง สนิ คา้ สง่ ออกสำคัญ ได้แก่ เคร่อื งเทศ สง่ิ ทอ ยุโรปสมยั กลางเป็นสมัยแห่งศรัทธา (The age of faith) หรือเรียกวา่ ยุคมืด (The dark age) หมายถึง ยุคที่ศาสนาคริสต์มีอิทธิพลครอบงำความคิดความเชื่อของชาวยุโรป ศาสนจักรมีอำนาจ เหนือกว่าจักรวรรดิทั้งด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม อิทธิพลของศาสนจักรส่งผลให้การ สรา้ งสรรค์ศลิ ปวทิ ยาการเกดิ ข้ึนน้อย อิทธิของศาสนจกั รทมี่ ีตอ่ สงั คมยุโรปสมยั กลางมดี งั น้ี ▪ ศาสนจักรเปน็ สถาบันหลักที่สบื เนอ่ื งความร่งุ เรืองสมัยของจักรวรรดิโรมนั ความวุ่นวายของบ้านเมืองหลังโรมันตะวันตกล่มสลายจากการรุกรานของอนารยชน ส่งผลให้ ศาสนจักรเป็นที่พึ่งทางจิตใจและมุ่งหวังชีวิตที่ดีกว่าในโลกหน้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า และต่อมา อนารยชนได้ยอมรับนับถือคริสต์ศาสนา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือขยายอำนาจและสร้างการยอมรับจาก ประชาชน รวมท้ังศาสนจักรทีน่ ครวาตกิ ันยังมบี ทบาทสำคญั ตอ่ การสรา้ งสรรค์อารยธรรมสมยั กลาง ▪ ศาสนจักรมีอิทธิพลต่อวิถชี ีวติ ทุกด้านต้งั แต่เกิดจนตาย - ด้านสงั คม : จากความเชอื่ ว่ามนุษย์ไมส่ ามารถพบทาง รอดและพบพระเจ้าด้วยตนเอง ศาสนจักรกลายเป็นที่พึง่ ในโลก ปัจจุบันและความหวังกับชีวิตในโลกหน้า ชาวคริสต์ต้องปฏิบัติ ตามหลักคำสอนอย่างเคร่งครัดและมุ่งประกอบพิธีกรรม เพื่อความรอดสู่อาณาจักรพระเจ้า โดยการพึ่งพานักบวชในฐานะเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ แตล่ ะแมเนอร์จะมวี ัดเปน็ ศนู ยก์ ลางชุมชน ซง่ึ เปน็ การสง่ เสรมิ บทบาทของศาสนจักรให้มากยิ่งข้นึ 62
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทท่ี 4 พัฒนาการทางประวตั ิศาสตรต์ ะวันตกและศาสนาสมยั กลาง - ดา้ นเศรษฐกิจ : ศาสนจกั รเปน็ องค์กรทมี่ คี วามม่ันคงทางเศรษฐกิจ เพราะเปน็ แหลง่ รวมรายได้ ที่ได้รับจากประชาชนในภูมิภาคต่างๆ โดยมีนักบวชที่วัดหรือโบสถ์ในท้องถิ่นทำหน้าที่เก็บภาษีโดยตรง ในอัตราร้อยละ 10 จากรายได้ทั้งหมดของประชาชน (tithe) และมีรายได้จากแหล่งอื่น เช่น เงินบำรุง ศาสนา เงนิ และท่ดี นิ บริจาค รายได้จากการประกอบศาสนพิธี วดั จึงมีทดี่ ินและทรัพย์สนิ จำนวนมาก - ด้านการปกครอง : ทฤษฎีเทวสิทธิ์ เป็นความเชื่อว่า พระเจ้าได้มอบอำนาจการปกครอง แด่กษัตริย์ผ่านพระสันตะปาปา พระสันตะปาปาจึงต้องทำหน้าที่สวมมงกุฎสถาปนากษัตริย์ในพิธี ราชาภิเษก รวมทงั้ ศาสนจกั รมีบทบาทยุติสงครามแย่งชิงที่ดนิ ระหวา่ งเจ้าของที่ดนิ พระสันตะปาปาจึงมี อำนาจการปกครองสูงสุดเหนือกษัตริย์ นอกจากนี้ ศาสนจักรยังเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมาก จึงเข้ามา มีบทบาทในการจัดการแบ่งที่ดินขุนนางปกครอง (เช่นเดียวกับกษัตริย์) และมีบทบาทเป็นผู้ยุติสงคราม หรอื ความขดั แย้งระหว่างขนุ นางผู้ครอบครองที่ดนิ ในเขตแมเนอร์ตา่ งๆ ▪ ศาสนจักรครอบงำความคดิ และวถิ ีชวี ิตของประชาชน ศาสนจักรจำกัดการศึกษา การสร้างสรรค์ บิดเบือนความคิด ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือ ต้องเชื่อตามที่บาทหลวงสอนทกุ ประการโดยปราศจากความสงสัย เช่น สอนให้เชื่อวา่ โลกแบน โลกเปน็ ศูนยก์ ลางของจักรวาลโดยมนี ครเยรูซาเล็มเป็นศนู ยก์ ลางของโลก เปน็ ต้น นอกจากนี้ ศาสนจักรเป็นผู้วางรากฐานมหาวิทยาลัยข้ึน แก่นักบวช บุตรหลานของขุนนาง และประชาชน ซึ่งพัฒนาจาก โรงเรียนวัดและโรงเรียนมหาวิหาร เพื่อสอนวิชาเทววิทยาโดยใช้ ภาษาละติน ได้แก่ มหาวทิ ยาลัยโบโลญญา (อติ าลี) มหาวทิ ยาลยั ปารีส (ฝรั่งเศส) และภายหลังสิ้นสุดสมัยกลางในคริสตศ์ ตวรรษที่ 15 เกิดมหาวทิ ยาลัยออกฟอร์ด มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (อังกฤษ) มหาวทิ ยาลัยโบโลญญา และมหาวิทยาลัยอืน่ ในยุโรปไมต่ ำ่ กว่า 80 แห่ง ▪ ศาสนจกั รมีอำนาจบพั พาชนยี กรรม (Excommunication) ศาสนจักรมีสิทธิ์ไต่สวนและตัดสินทุกคนตั้งแต่กษัตริย์ ขุนนาง อัศวิน นักบวช ชาวนาอิสระ และทาสติดที่ดินที่ต่อต้าน ปฏิเสธคำสอน ตั้งข้อสงสัย หรือมีความคิดเห็นขัดแย้งกับ ศาสนจกั ร โดยการขับไล่ออกจากศาสนาให้ตัดขาดจากศาสนจักร การบัพพาชนยี กรรมในปลายสมัยกลาง (interdiction) โดยห้ามไม่ให้เข้าร่วมศาสนพิธีหรือปฏิบัติศาสนกิจใดๆ กลายเป็นคนนอกรีตที่ไม่ได้รับ ความคุ้มครองจากกฎหมาย หากเป็นกษัตริย์จะสั่งปิดโบสถ์ ประชาชนในดินแดนนั้นก็จะถูกตัดขาดจาก พระเจ้าไปดว้ ย (จักรพรรดิหลายพระองคเ์ คยถูกลงโทษลักษณะน้)ี หรือถ้าเป็นชนช้ันสงู จะสญู เสียอำนาจ ทั้งหมด คริสตจักรจึงมีอำนาจสูงมากยิ่งขึ้น ทำให้ชาวยุโรปเกรงกลัวและเคารพเชื่อฟังศาสนาจักรมาก ศาสนจักรได้ใช้อำนาจนี้ในการต่อรองกับกษัตริย์ชาติต่างๆ ในยุโรป ปลายสมัยกลางศาสนจักรได้ตั้ง ศาลศาสนา ซง่ึ มีอำนาจลงโทษผ้นู อกรตี ดว้ ยการเผาทง้ั เป็น (อ้างว่าเปน็ ไฟชำระบาป) 63
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 ชื่อ___บ__ท_ท__่ี 4___พ_ัฒ__น__า_ก_า__ร_ท_า_ง__ป_ร_ะ__ว_ัต_ิศ__า_ส_ต__ร_์ต_ะ__ว_ัน_ตชกน้ั แลมะ.6ศ/า_ส_น_าเสลมขยัทก่ี__ล_า_ง_ พฒั นาการ ศาสนาอิสลามกำเนิดขึ้นประมาณ ค.ศ.622 ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย คำว่า “อิสลาม” เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า สันติ ยินยอม นอบน้อม หมายถึง ศาสนาที่นำมาซึ่งสันติสุข ส่วนคำว่า “มุสลมิ ” หมายถึง ผู้มอบตนอย่างสิน้ เชงิ ต่อพระประสงคข์ องอัลลอฮ์เพียงองคเ์ ดยี ว ▪ กำเนดิ ศาสดามฮุ มั หมัดและศาสนาอสิ ลาม ศาสดามุฮัมหมัดมีนามเดิมว่า “อาบู กาซิม” เกิดในปี ค.ศ.570 ณ เมืองเมกกะ ในเผ่ากุเรซ กำพรา้ ต้งั แต่เดก็ อาศัยอยกู่ บั ลงุ ชอ่ื ว่า อบู ฏอลิบ ไม่ไดเ้ รียนหนังสือต้องตดิ ตามลุงในกองคาราวานสินค้า เมื่ออายุ 25 ปีได้สมัครรับจ้างเศรษฐินีหม้ายวัย 40 ปี ชื่อว่า คอดียะห์ คุมกองคาราวานขนส่ง สนิ คา้ ไปท่ีซีเรีย ตอ่ มาสมรสกัน มบี ตุ ร 6 คน (บตุ รชาย 2 คนเสยี ชวี ติ ตง้ั แตเ่ ด็กทง้ั หมด) ศาสดามุฮัมหมัดมีชีวิตเรียบง่าย รักสงบและมีคุณธรรม จึงได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ซื่อสัตย์ (อัลอามนี ) ซ่งึ สังคมอาหรับขณะนัน้ มแี ต่ปัญหา เชน่ การลว่ งประเวณี การฝงั เด็กหญิงทงั้ เปน็ ศาสดามุฮัมหมัดเป็นผู้สนใจด้านการศึกษาและศาสนา ได้เป็นที่ปรึกษาแก้ไขปัญหาบ้านเมือง และความขดั แย้ง เม่ืออายุ 40 ปี ทา่ นออกไปแสวงหาความสงบ เพื่อสงบสติอารมณ์ โดยหลบไปอยู่ในถ้ำ ฮิรอห์บนภูเขานูร์ จนถึงเดือนรอมฎอนได้พบกับเทวทูต คือ ญิบรออิล (กาเบรียล) มอบหมายหน้าที่ให้ ท่านเป็นผู้รับโองการจากอัลลอฮ์ (นบี) และเป็นศาสนทูตเผยแผ่โองการนั้นแก่ประชาชน (รอซูล) ซึง่ ญิบรออิลบอกโองการ 3 คร้งั กจ็ ำและท่องตามได้ ศาสดามุฮัมหมัดลังเลที่จะประกาศศาสนาถึง 3 ปี จนกระทั่งพบญิบรออิลมาเตือนให้ทำหน้าท่ี รอซูล ท่านจึงตัดสนิ ใจประกาศศาสนาแก่คนในครอบครัวกอ่ น มุสลิมคนแรก คือ นางคอดียะห์ และเรม่ิ เผยแผ่ศาสนาในเมืองเมกกะให้นับถืออัลลอฮ์องค์เดียว และห้ามบูชารูปเคารพอื่นใด ทำให้ขัดกับความ เชื่อดั้งเดิมของเผ่ากุเรซที่นิยมบูชารูปเคารพเทพเจ้ากว่า 360 องค์ และสร้างวิหารบัยตุลเลาะห์ ประดิษฐานหินดำท่ีกาบะห์ จึงต่อต้านและวางแผนกำจัด ได้ร้องขอให้เลิกเผยแผ่ศาสนา แต่ท่านปฏิเสธ จึงถูกปดิ ล้อมบนเขาเปน็ เวลา 3 ปี หลังจากน้ันนางคอดียะหไ์ ดถ้ ึงแก่กรรม เมอื่ เหน็ วา่ การเผยแผศ่ าสนาในเมืองเมกกะไม่ไดผ้ ล ศาสดามฮุ ัมหมัดจึงเปล่ียนมาเผยแผ่พ่อค้าท่ี เดินทางมาที่เมืองเมกกะ ปรากฏว่าชาวเมืองยัตริบให้ความสนใจเปน็ อย่างมาก และเชิญไปที่เมืองยัตริบ ศาสดามุฮัมหมัดอพยพไปอยู่ที่เมืองยตั ริบ เมือ่ ปี ค.ศ.622 (ปีฮิจเราะห์ แปลวา่ ปีอพยพ คือ ปีเรมิ่ ศักราช ของอิสลาม) ซึ่งได้รับเกียรติให้เป็นผู้ปกครองเมือง ออกกฎหมายของเมืองตามหลักศาสนาอิสลาม และ ประกาศให้ยตั รบิ เป็นเมอื งอิสลามแห่งแรกของโลก ชือ่ ใหมว่ า่ “เมดินะห”์ แปลว่า เมอื งของนบี ในปี ค.ศ.630 หลังจากที่ศาสดามุฮัมหมัดวางรากฐานศาสนาอิสลามและเมืองเมดินะห์แล้ว ทา่ นจึงรวบรวมกำลังคนกลบั ไปยึดเมกกะได้สำเรจ็ ให้ทำลายรูปเคารพต่างๆ และคงหินดำในกาบะห์และ วหิ ารบัยตุลเลาะหเ์ ท่านัน้ และประกาศนิรโทษกรรมให้อภัยศัตรูทหี่ ันมานบั ถอื ศาสนาอิสลาม 64
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทท่ี 4 พัฒนาการทางประวัติศาสตรต์ ะวันตกและศาสนาสมยั กลาง หลังจากชัยชนะ ชาวอาหรับเผ่าต่างๆ ได้ส่งทูตมาขอรับนับถือศาสนาอิสลามทั่วกัน ศาสนา อิสลามจึงเริ่มแพร่หลายและมั่นคงรุ่งเรืองตั้งแต่บัดนั้น ปี ค.ศ.632 ศาสดามุฮัมหมัดนำชาวมุสลิมจาก เมืองเมดินะห์ประกอบพิธีฮัจญ์ ณ วิหารบัยตุลเลาะห์ เพื่อเป็นแบบอย่างให้ชาวมุสลิมยึดมั่นในบัญญัติ แห่งอัลลอฮ์ที่ให้ความเมตตาและความสามัคคี ให้ถือว่าชาวมุสลิมทุกคนเป็นพี่น้องที่เสมอภาค เทา่ เทยี มกนั หลงั พิธีฮจั ญ์ท่านป่วยและถึงแกอ่ ายัลของอัลลอฮ์ (เสียชวี ิต) คัมภีร์ ▪ คัมภรี ์อลั กุรอาน “อัลกุรอาน” เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า สาธยายหรืออ่านโองการ เกิดจากการเปิดเผยและ ดลใจของอลั ลอฮ์ เพือ่ มอบใหแ้ กศ่ าสดามฮุ มั หมดั ผ่านญิบรออลิ ไม่ได้เกิดจากความคิดของศาสดาเอง คัมภีร์อัลกุรอาน มีทั้งหมด 30 ภาค 114 บท (ซูเราะห์) มีเนื้อหาบางตอนคล้ายกับคัมภีร์ของ ศาสนายูดาห์และคริสต์ ชาวมสุ ลมิ เชือ่ เป็นคัมภรี ์สมบรู ณ์ทสี่ ดุ ที่เพิม่ เตมิ คมั ภีร์ของศาสนทูตก่อนหน้านี้ คัมภรี อ์ ัลกรุ อานเปน็ ธรรมนญู ของชีวติ ของมุสลมิ ที่ครอบคลุมทัง้ ด้านการเมือง เศรษฐกิจ สงั คมและวัฒนธรรม หลักศรทั ธา 6 ศรัทธาของชาวมสุ ลิม หมายถึง ความเช่อื ม่นั ด้วยจติ ใจโดยปราศจากข้อสงสยั มี 6 ประการ ไดแ้ ก่ 1. ศรทั ธาในเอกภาพของอลั ลอฮ์ ชาวมุสลิมเชื่อว่าอัลลอฮ์เป็นพระเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว ทรงสร้างโลกและสรรพส่ิง ห้ามบูชาส่งิ อนื่ ใดนอกจากอลั ลอฮ์ ยกเว้นบคุ คลที่เคารพ เพราะจะถือเปน็ การตงั้ ภาคเี สมออลั ลอฮ์ 2. ศรัทธาต่อเทวทูตของอลั ลอฮ์ เทวทูต (มาลาอีกะห์) คือ วิญญาณเทพบริวารของอัลลอฮ์ ทำหน้าท่ีตัวกลางสื่อสารระหว่าง อลั ลอฮ์กบั ศาสนทตู ไมม่ ีตวั ตน ไม่มีเพศ เชน่ ญิบรออลี ผนู้ ำโองการจากอัลลอฮ์มอบแกร่ อซลู 3. ศรทั ธาตอ่ ศาสนทตู ท้ังหลาย ศาสนทูต คือ บุคคลธรรมดาที่อัลลอฮ์คัดเลือกเพื่อสั่งสอนมนุษย์ ชาวมุสลิมเชื่อว่าอัลลอฮ์ สถาปนาศาสนทูตทั้งหมด 25 องค์ เช่น อดัม นูฮ (โนอาห์) อิบรอฮีม (อับราฮัม) มูซา (โมเสส) อีซา (พระเยซ)ู มุฮมั หมดั ซงึ่ จะตอ้ งยกย่องศาสนทตู ทุกองคโ์ ดยเท่าเทยี มกัน ศาสนทตู แบ่งเปน็ 1. นบี คือ ผ้รู ับโองการจากอัลลอฮ์มาปฏบิ ตั ิตนเป็นแบบอย่างที่ดี 2. รอซูล คือ นบีท่ีนำโองการจากอัลลอฮ์มาปฏบิ ัตติ นแก่มนุษย์ใหป้ ฏบิ ัตติ าม ศาสนาอสิ ลามไมม่ นี ักบวช 65
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทท่ี 4 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์ตะวันตกและศาสนาสมยั กลาง 4. ศรัทธาต่อคมั ภรี ์ของศาสนทตู ท้ังหลาย คมั ภีรค์ ำสอนทอี่ ลั ลอฮ์ประทานให้แก่ศาสนทตู มี 104 เล่ม ซึง่ คมั ภีร์สำคัญทสี่ ุดมี 4 เล่ม ได้แก่ - เตารอต ประทานผ่านมูซา คอื พนั ธสญั ญาเดิม - ซาบูร ประทานผ่านเดวูด เปน็ ภาษาอียิปตโ์ บราณ - อินญีล ประทานผ่านอีซา คือ พนั ธสัญญาใหม่ - อัลกรุ อาน ประทานผ่านศาสดามฮุ มั หมดั เปน็ คัมภีร์สุดท้ายทส่ี มบูรณ์ท่ีสดุ แก้ไขเพมิ่ เติมไม่ได้ ชาวมสุ ลมิ ต้องศรทั ธาในคมั ภีรด์ ัง้ เดิมของศาสนทูตองคก์ ่อนหนา้ นี้ดว้ ย 5. ศรทั ธาต่อวันพพิ ากษาโลก ชาวมุสลิมเชื่อว่า โลกปัจจุบันเป็นโลกแห่งการทดลองที่มีวันดับสูญ (โลกดุนยา) เรียกว่า “วันกิยามะห์” ซึ่งเป็นวันพิพากษาของอัลลอฮ์ เมื่อวิญญาณมนุษย์จะกลับฟื้นคืนชีพ เพื่อรับ คำพิพากษาจากอัลลอฮ์ ซึ่งจะชำระผลกรรมที่กระทำไว้ ต่อมาอัลลอฮ์จะสร้างโลกใหม่ที่นิรันดร์ (โลกอาคีเราะห์) สำหรับผู้ที่ทำแตค่ วามดีจะมีชีวิตนริ ันดร์และเข้าส่อู าณาจักรของอลั ลอฮ์ 6. ศรทั ธาในกฎสภาวการณ์ (พระลขิ ิต) ชาวมุสลิมเชอ่ื ว่า อัลลอฮ์ทรงกำหนดกฎสภาวการณข์ องมนุษยแ์ ละโลกไว้ 2 ลกั ษณะ คอื 1. สภาวการณค์ งท่ี คอื กฎธรรมชาติ (เปลี่ยนแปลงไมไ่ ด)้ 2. สภาวการณ์เปลี่ยนแปลง คือ ผลการกระทำของมนุษยท์ ี่ขึ้นอยู่กบั เหตุและผลของแตล่ ะคน จะใช้สติปัญญาเลือกประพฤติปฏบิ ตั ิ มนษุ ย์ต้องเพียรพยายามใช้สติปัญญาฝ่าฝืนลขิ ติ ของอลั ลอฮ์ ศาสนาอิสลามมีพื้นฐานความเชื่อมาจากศาสนายูดาห์และคริสต์ เช่น เรื่องพระเจ้า การสร้างโลก ศาสนทูต คัมภีร์ โลกหลังความตาย (ไม่มีภพ-ชาติ) และวันพิพากษาโลก แต่เชื่อว่าพระเจ้ามีสภาวะเดียวแตกต่างจากคริสต์ ไมเ่ ชอ่ื เรอื่ งพระเมสสอิ าห์ (พระเยซูเปน็ เพยี งศาสดา) หลักปฏิบัติ 5 1. การปฏญิ าณตน การปฏิญาณตนเป็นหัวใจของชาวมุสลิม (หลักปฏิบัติสำคัญที่สุด) เป็นก้าวแรกที่นำไปสู่ความ เป็นมุสลิม ชาวมุสลิมต้องปฏิญาณตนว่า “จะไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากอัลลอฮ์ และรอซูลของอัลลอฮ์” จะกล่าวประโยคนี้ในการละหมาดทุกครั้งโดยไม่มีข้อยกเว้น และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ โดยไมจ่ ำเป็นต้องแสวงหาทพ่ี ง่ึ ศาสนาอิสลามจงึ ไม่มีรปู เคารพสำหรับเคารพบูชา 2. การละหมาด (นมาซ) การละหมาดเป็นการนมัสการ ขอบคุณ ขอขมา และสรรเสริญอัลลอฮ์ทั้งร่างกายและจิตใจให้ บริสุทธ์ิ เพื่อแสดงออกถึงความสัมพันธ์ระหว่างชาวมุสลิมกับอัลลอฮ์ และฝึกความรับผิดชอบ ระเบียบ วินยั ความอดทน ตรงต่อเวลา และเอาชนะใจตนเอง 66
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทที่ 4 พัฒนาการทางประวตั ิศาสตร์ตะวันตกและศาสนาสมัยกลาง ทุกคนต้องปฏิบตั ิ 5 เวลา คือ เช้า บ่าย เย็น ค่ำ และกลางคืน เริ่มตั้งแต่อายุ 10 ปี ยกเว้น สตรี มีประจำเดือนและผู้ป่วยหนัก ก่อนละหมาดต้องชำระร่างกายให้สะอาด สวมเสื้อผ้าที่สะอาด หันหน้าสู่ ทิศที่ตั้งวิหารบัยตุลเลาะห์ นครเมกกะ (ทิศตะวนั ตก) เพอ่ื ใหเ้ กิดเอกภาพ กระทำในสถานท่ใี ดกไ็ ด้ แต่ช่วง บ่ายวนั ศกุ ร์บรุ ุษนยิ มละหมาดในมัสยดิ (แสดงพลงั ศรัทธาทมี่ สุ ลิมมตี ่ออัลลอฮ์) ผนู้ ำปฏบิ ตั ิ คือ อิหมา่ ม 3. การถอื ศีลอด การถือศีลอดเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิม เพื่อฝึกฝนร่างกายและจิตใจถึงความอดอยาก อดทน เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ ผู้บรรลุศาสนาภาวะ (อายุ 15 ปีขึ้นไป) ยกเว้น สตรีตั้งครรภ์ มีประจำเดือน ให้นมลูกอ่อน คนชรา ผู้ป่วยหนัก และผู้เดินทางไกล (ต้องถือศีลอดหรือบริจาคอาหารแก่คนจนชดเชย) จะตอ้ งละเวน้ จากการบริโภคอาหาร เคร่อื งดืม่ หา้ มลูบไลเ้ ครื่องหอม ร่วมประเวณี และห้ามประพฤติช่ัว ตง้ั แตร่ งุ่ สางจนกระทงั่ ตะวนั ลบั ขอบฟา้ ในเดือนรอมฎอน (เดือนท่ี 9 ตามจนั ทรคตขิ องอิสลาม) 4. การบริจาคซะกาต การบริจาคซะกา ตกระทำเ พื่ อช ำร ะจิ ตใจ ของผ ู้บ ริจ าคให้ บ ริสุ ทธ์ิ มีจิ ตใจ เมตต ากร ุ ณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สละความเห็นแก่ตัว และลดช่องว่างระหว่างชนชั้น โดยการให้ทานปีละร้อยละ 2.5 เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ ขัดสน มีหนี้สินจากการประกอบอาชีพสุจริต เด็กกำพร้า ผู้เผยแผ่ศาสนา ผู้ควร ปลอบใจ ทาสเชลย ผเู้ ดนิ ทางทข่ี าดปจั จยั ผู้กำลังจะหันมานับถอื ศาสนาอสิ ลามและกจิ การสาธารณกุศล 5. การประกอบพิธฮี ัจญ์ พิธีฮัจญ์เป็นการแสวงบุญตามศรัทธาของชาวมุสลิมต่อเอกภาพของอัลลอฮ์ ไม่เป็นการบังคับ ถือเป็นโอกาสที่มุสลิมจากทั่วโลกได้พบปะกัน โดยผู้บรรลุศาสนาภาวะที่พร้อมทั้งร่างกาย จิตใจ และ ทรัพย์ เดินทางสะดวก ถือศีลอดและบริจาคซะกาตแล้ว จะเดินทางไปประกอบศาสนกิจ ณ วิหาร บัยตุลเลาะห์ นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ในเดือนซุลฮิจญะห์ (เดือนที่ 12 ตามจันทรคติของ อิสลาม) แต่งกายด้วยชุดอิห์รอม พิธีสำคัญ คือ การค้างแรมที่ทุ่งอะระฟะห์ เดินไปทุ่งมีนา เวียนรอบ กาบะห์ ผู้เข้าพิธีมักจะจูบหรือสัมผัสหิน แสดงจุดเริ่มต้นการเวียนรอบวิหาร กลับมาเรียกว่า “ฮีจญี” (บรุ ุษ) และ “ฮัจญะ” (สตรี) ขอ้ หา้ มในศาสนา - ห้ามตั้งภาคี หรอื ยึดถือสง่ิ อนื่ มาเทียบเคียงอัลลอฮ์ เชน่ เงนิ ชื่อเสียง - ห้ามกราบไหวบ้ ูชารปู ปน้ั วัตถอุ ืน่ ใด ดวงดาว ผี เทวดา - หา้ มเช่อื เรื่องดวง ทำนายถอื โชคลาง เลน่ เครอื่ งรางของขลัง - หา้ มเล่นการพนนั ทุกชนิด - หา้ มกนิ ดอกเบีย้ - หา้ มฆา่ สิง่ มชี ีวิตโดยเจตนาหรือไมม่ เี หตุผล หา้ มฆ่าตวั ตาย และหา้ มรว่ มพิธีศพของศาสนาอน่ื - ห้ามกนิ หมู กินสัตวท์ ีเ่ ชือดโดยมไิ ด้กล่าวนามอลั ลอฮ์ สัตว์ทีต่ ายเอง มีโรค สตั วเ์ ซ่นไหว้ - หา้ มบรโิ ภคอาหารที่ไดโ้ ดยไม่ชอบธรรม 67
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทที่ 4 พฒั นาการทางประวัตศิ าสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมยั กลาง - หา้ มเสพสงิ่ มนึ เมาทกุ ชนิดทีเ่ ป็นอันตรายต่อรา่ งกาย - หา้ มสมรสกับคนนอกศาสนา และผิดประเวณี แม้จะยินยอมสมัครใจ หา้ มคมุ กำเนดิ และทำแท้ง - ห้ามประกอบอาชพี ท่ีขัดต่อศลี ธรรม กกั ตุนสนิ คา้ และคา้ กำไรเกินควร การแยกนิกาย ▪ นิกายซนุ นี (Sunni) ซุนนี มาจากคำว่า “ซุนนะห์” แปลว่า จารีต เป็นนิกายดั้งเดิมที่นับถือกาหลิบ 4 องค์แรก (อาบู บากร,์ โอมาร์, โอรมนั และอาลี) เชอ่ื ว่าเปน็ ผู้นำแนวทางของศาสดามฮุ ัมหมดั ถ่ายทอดอย่างถูกต้อง ผู้นับถือนิกายซุนนีเป็นผู้เคร่งครัดในแนวทางการปฏิบัติตามจริยวัตรของศาสดามุฮัมหมัดและ คำสอนในคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะห์ (คัมภีร์ของนิกาย) ส่วนใหญ่อยู่ในซาอุดิอาระเบีย ตุรกี แอฟริกา ตอนเหนือ อนิ โดนเี ซยี มาเลเซยี และไทย รวมท้งั ชาวมสุ ลมิ สว่ นใหญ่ของโลก นยิ มสวมหมวกสีขาว ▪ นิกายชอี ะห์ (Shiah) ชีอะห์ เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า พรรคพวก มาจากคำว่า “ชีอะตุลอาลี” หมายถึง ผู้สนับสนุน อาลี แต่ชาวมุสลิมอื่นไม่ยอมรับ เนื่องจากมองว่าอาลีมีส่วนพัวพันในการสังหารกาหลิบองค์ที่ 3 ต่อมา อาลีถูกลอบสังหาร ทำให้ศิษย์ของอาลีโกรธแค้น จึงเป็นนิกายแรกที่แยกตัว นับถืออาลีเป็นผู้นำคนแรก เรียกว่า “ชอี ะห์” ไม่นบั ถือกาหลิบองค์อืน่ และตำแหน่งผู้นำจะสืบทอดโดยทายาทของอาลี ผู้นับถือนิกายชีอะห์ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศอิรัก อิหร่าน เยเมน ซีเรีย อินเดีย อัฟกานิสถาน และแอฟริกาตะวันออก (ไทยเรียกว่า “แขกเจ้าเซน”) นิยมสวมหมวกสแี ดง ▪ นกิ ายคอวารจิ (Kowarige) คอวาริจ แปลว่า ผู้ต่อต้านหรือผู้แยกตัว โดยคัดค้านไม่ยอมรับฐานะของอาลีเป็นกาหลิบองค์ท่ี 4 แต่งตั้งกาหลิบโดยวธิ ีเลือกตั้ง ถือว่าพวกตนเป็นมสุ ลิมแท้เทา่ นั้น โดยมุสลมิ จะตอ้ งรับหลักของศาสนา ด้วยตนเองก่อน คนมุสลมิ ที่เลวท่สี ดุ ไมใ่ ช่มสุ ลิม ผนู้ บั ถอื สว่ นใหญอ่ ยใู่ นแอลจเี รีย โอมาน ▪ นกิ ายวาฮาบี (Wahabi) กำเนิดโดยมุฮัมหมัด อิบนิ อัลดุล วาฮับ ชาวอาหรับในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ผู้นับถือจะยึดถือ เฉพาะอัลลอฮ์และคัมภีร์อัลกุรอาน ปฏิเสธทุกสิ่งที่ไม่บัญญัติในพระคัมภีร์ คือ ไม่นับถือกาหลิบ เพราะ ถือเป็นการตั้งภาคีเทียบกับอัลลอฮ์ ห้ามแต่งกายด้วยผ้าแพรไหมหรือของฟุ่มเฟือย ผู้นับถือมีบ้างใน อนิ เดยี แอฟรกิ าตะวนั ออก และบางประเทศในเอเชียตะวนั ออกกลาง ▪ นกิ ายซูฟี (Sufi) ซูฟี เป็นภาษาอาหรับ แปลว่า ขนสัตว์ ผู้นับถือจะแต่งกายด้วยขนสัตว์ (แกะเนื้อหยาบ) สันนิษฐานว่าเกิดขึ้นประมาณ 200 ปี เน้นการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถือสันโดษ บำเพ็ญพรต เน้นการ ชำระจติ ใจให้บรสิ ทุ ธ์ิ ผู้นบั ถือมบี ้างในตุรกี อิรัก และอิหรา่ น 68
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 ช่อื __บ__ท__ท_ี่ _4__พ__ฒั __น_า_ก__า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว_ตั__ศิ _า_ส__ต_ร_์ต__ะ_ว_ันชตั้นกแมล.6ะ/ศ_า_ส_นเลาขสมทยัี่__ก_ล__าง สงครามครเู สด (Crusades War) ความขดั แย้งทางการเมืองและศาสนานานเกือบ คำว่า “Crusade” แปลว่า ไม้กางเขน 200 ปี (ค.ศ.1096-1291) ระหว่างชาวคริสต์ในดินแดน จึงเห็นสัญลักษณ์ไม้กางเขนอยู่ในเสื้อผ้าและ โลกตะวันตกกับชาวมสุ ลมิ ในดนิ แดนโลกตะวนั ออก อุปกรณ์การรบเสมอ รวมทั้งงานจิตรกรรมที่ เกี่ยวขอ้ งกบั สงครามนี้ดว้ ย ▪ มูลเหตุของสงคราม เมื่อปี ค.ศ.70 ชาวฮิบรูก่อกบฏต่อจักรวรรดิโรมัน ส่งผลให้จักรวรรดิโรมันทำลายเมือง ปาเลสไตน์ของชาวฮิบรูจนต้องอพยพเร่ร่อนกระจัดกระจายออกจากเมืองไป ต่อมาในปี ค.ศ.636 ชาวอาหรับเข้ายึดครองเยรซู าเลม็ มายาวนาน ซึ่งชาวอาหรบั เปน็ พวกมขี ันตธิ รรม ใหท้ ุกศาสนาอยู่ร่วมกัน อยา่ งสนั ติ อยา่ งไรก็ตาม กองทพั ชาวคริสต์ก็พยายามสกดั กัน้ การขยายอำนาจ เวลาต่อมาในปี ค.ศ.1076 พวกเติร์กชาวมุสลิม (เซลจกุ เตริ ์ก) เข้ายดึ นครเยรูซาเล็ม กีดกนั ศาสนกิ ชนศาสนาอื่น เขา้ มาแสวงบญุ ในนครเยรูซาเล็ม และประหารชีวิตนักแสวงบุญ ชาวคริสต์ รวมทั้งขยายอิทธิพลไปยังจักรวรรดิไบแซนไทน์ โดยการเตรียมบุกกรุงคอนสแตนติโนเปิล ทำให้จักรพรรดิ ไบแซนไทน์ได้ส่งสาส์นขอความชว่ ยเหลือไปยังพระสันตะปาปา เออร์บันที่ 2 ที่กรุงโรม พระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ได้เรียก เซลจุกเติรก์ ประชุมขุนนางและอัศวินให้ร่วมกันทำสงครามกับพวกเติร์ก ศาสนจกั รจึงเริ่มปลกุ ระดมเกณฑ์ชาวครสิ ต์ไปทำสงคราม ▪ จุดม่งุ หมายของสงคราม 1. ชาวคริสตต์ ้องการแย่งชิงดินแดนอันศักด์ิสิทธ์ิที่ชาว มุสลิมได้ยึดครองกลับคืนมา คือ นครเยรูซาเล็มในดินแดน ปาเลสไตน์ ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน โดยอ้างว่าเพ่ือ ปลดปลอ่ ยนครเยรูซาเลม็ 2. ชาวคริสต์ต้องการแย่งชิงเส้นทางการคา้ ในทะเลเมดิเตอรเ์ รเนยี น ▪ การดำเนินสงคราม ศาสนจักรเกณฑช์ าวคริสต์ไปทำสงคราม สงครามดำเนินไปถึง 9 ครั้งและพักรบเป็นช่วงๆ โดยศาสนจักรบงั คับให้กษัตริย์ในยุโรปเกณฑ์ชาวคริสตเ์ ข้าเป็น กองทัพขนาดใหญ่ ศาสนจักรกระตุ้นให้ชาวคริสต์ในยุโรปด้วย วิธีชวนเชื่อ และชี้ให้เห็นถึงภัยจากการรุกรานของมุสลิม โดย อา้ งว่าเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า 69
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทท่ี 4 พฒั นาการทางประวัตศิ าสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมยั กลาง สงครามครั้งที่ 1 ชาวคริสต์ทำสงครามด้วยความศรัทธาต่อคริสต์ศาสนาอย่างแท้จริง โดยพระสันตะปาปาเออร์บันที่ 2 ประกาศว่า ชาวคริสต์ที่ช่วยยึดดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์คืนจะได้เข้าสู่ อาณาจักรพระเจ้า การตายในสมรภูมิเป็นการถวายชีวิตเพื่อเข้าสู่อาณาจักรพระเจ้า หากรอดชีวิต ศาสนจักรสัญญาว่าจะใหเ้ ป็นอิสรชน ได้รับการยกบาปและหนี้สินให้ ทำให้ชาวครสิ ต์ยินดีและเต็มใจเขา้ ร่วมรบเพื่อชีวิตท่ีดีในโลกหน้า ขุนนางต้องการรบเพื่อได้ที่ดินเพิ่ม และกษัตริย์ต้องการรบเพื่อเกียรติยศ จนทำให้สามารถยึดนครเยรซู าเลม็ ไดใ้ นปี ค.ศ.1099 อย่างไรก็ตาม ตง้ั แต่สงครามครงั้ ท่ี 2 เป็นต้นไป ชาวคริสต์ปราศจากเป้าหมายในการรบทแี่ ท้จริง และไมไ่ ด้มเี ปา้ หมายเพ่ือศาสนา แตม่ ุง่ ผลประโยชน์ทางการเมือง การคา้ และความมัน่ คง ไม่มีผู้แพ้ชนะ เดด็ ขาด ส่วนใหญน่ ครเยรซู าเลม็ ยงั มผี ู้ปกครองเปน็ มสุ ลมิ ▪ ผลของสงคราม ในทีส่ ุดสลุ ตา่ นแหง่ กรุงไคโรสามารถยึดครองเมืองอาเกร (Acre) ฐานทมี่ นั่ สดุ ทา้ ยของชาวคริสต์ ไว้ได้ในปี ค.ศ.1291 ทำใหก้ องทัพยโุ รปไมส่ ามารถเอาชนะจกั รวรรดมิ ุสลมิ ได้ และยังสง่ ผลดังนี้ - ดา้ นเศรษฐกจิ 1.การค้าขยายตัวระหว่างโลกตะวันตกกับโลก ตะวันออก (ยุโรปกับเอเชีย) โดยเฉพาะดินแดนอาหรับ เกิดสงั คมเมอื ง เสน้ ทางการค้าใหมท่ ไี่ ม่ตอ้ งผา่ นทะเลเมดิเตอร์- เรเนียนซึ่งถูกครอบครองโดยชาวมุสลิม การใช้ระบบเงินตรา ตลาดแสดงสินค้าในปลายสมยั กลาง ตลาดแสดงสนิ คา้ (Fair) 2. เกิดเมืองศูนย์กลางทางการค้า เมื่อสถานการณ์ บ้านเมืองในยุโรปสงบมากขึ้น การรุกรานจากภายนอกลดลง ทำให้เกิดเมืองท่าการค้าเพื่อเป็นจุดพักสินค้าในทะเล เมดิเตอร์เรเนียนและแลกเปลี่ยนทางการค้า เช่น เวนิส ฟลอเรนซ์ เจนัว ปิซา โบโลญญาในอิตาลี พ่อค้าเมืองเวนิส ชอื่ ว่า มารโ์ ค โปโล เดนิ ทางไปค้าขายถึงจีนสมัยราชวงศ์หยวน และกลับมาเลา่ เรอ่ื งราวทนี่ า่ ตื่นเตน้ 3. เกิดชนชั้นกลางและชุมชนเมือง ความก้าวหน้า ทางการค้าส่งผลให้เกิดชุมชนเมือง (Bourg) และเกิดชนช้ัน เมอื งเวนสิ ในอติ าลี กลางที่อาศัยในชุมชนเมืองเข้ามามีอำนาจแทนที่กลุ่ม ชนชน้ั กลางในปลายสมยั กลาง ขุนนาง คือ พ่อค้าและชาวเมืองหรือกระฎุมพี (Bourgeoisie) ซึ่งมีฐานะร่ำรวย และเป็นผู้ทำลายระบบ สงั คมศกั ดนิ าสมยั กลางในทีส่ ุด นำไปส่กู ารฟ้ืนฟูศลิ ปวทิ ยาการในเวลาตอ่ มา 4. เกิดสมาคมอาชีพ (Guild) ของช่างฝีมือประเภทต่างๆ ซึ่งมีสมาชิกและควบคุมการผลิต สนิ ค้าด้านคุณภาพ ปรมิ าณราคา ตลอดจนมศี าลตดั สินขอ้ พิพาทต่างๆ ด้วย 70
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทที่ 4 พัฒนาการทางประวตั ศิ าสตรต์ ะวันตกและศาสนาสมัยกลาง - ดา้ นการปกครอง 5. ระบบศักดินาสวามิภกั ดิ์และระบบแมเนอร์เสื่อมลง ขนุ นางเสียชีวิตจากสงครามจำนวนมาก สว่ นที่รอดชีวติ กย็ ากจนและมีอำนาจลดลง ทด่ี ินแมเนอรท์ ี่กวา้ งใหญห่ ลายแห่งในยโุ รปรกร้างว่างเปล่าไร้ ผอู้ ย่อู าศัย ในขณะทอ่ี ัตราสว่ นเสรีชนในยโุ รปเพิ่มข้นึ จากการท่ีทาสติดทดี่ ินรอดชวี ิตจากสงคราม 6. กษัตริย์รวมอำนาจก่อตั้งเป็นรัฐชาติ กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจาก กล่มุ พอ่ ค้าสนับสนนุ ในการดงึ อำนาจกลับคนื จากขนุ นาง เนอื่ งจากไมพ่ อใจท่ถี ูกเรยี กเก็บภาษีผา่ นด่านท้ัง ขาเขา้ และขาออกในระบบแมเนอร์ จงึ เกิดการรวมตวั เป็นสมาคมพ่อค้า และหนั มาสนบั สนุนทางการเงิน แก่กษัตริย์ให้ตั้งกองทัพโค่นล่มอำนาจของขุนนาง สถาปนาการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ขึน้ ในยุโรป และพัฒนาส่กู ารเป็นรฐั ชาติ 7. เกิดการปกครองส่วนท้องถนิ่ เรียกว่า “เทศบาล” - ดา้ นสงั คมและวฒั นธรรม 8. ศาสนจักรเริ่มเสื่อมอำนาจลง ประชาชนในยุโรปมีทัศนคติแง่ลบกับขุนนางและศาสนจักร มากขึ้น ชาวคริสตจ์ ึงหันไปสนใจชีวิตในโลกปัจจุบันมากขึ้น มีสาเหตุมาจากการที่ชาวคริสต์เสียชีวิตเปน็ จำนวนมากในสงครามครูเสดจากการเกณฑ์แรงงาน โดยเฉพาะทาสติดที่ดินที่ดินที่ร่วมรบ ส่งผลให้ แมเนอร์ร้าง ประกอบกับศาสนจักรใช้อำนาจในทางที่ผิดมากขึ้น เช่น เผาคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก นอกรตี ประพฤติเสื่อมเสยี ร่ำรวยผดิ ปกติ เปน็ ตน้ 9. เกิดการแลกเปลี่ยนวิทยาการและการผสมผสานอารยธรรมกับโลกตะวันออก การเดินทาง ไปรบอนั ยาวนาน ทำให้ชาวครสิ ตไ์ ดเ้ ปดิ โลกทัศน์ออกจากกรอบของแมเนอร์ ไดพ้ บเหน็ และเรียนรู้ความ เจริญทางการค้าและวิทยาการของชาวมุสลิม ซึ่งสมัยกลางในขณะที่ยุโรปอยู่ในช่วงความชะงักงันทาง ศิลปวิทยาการจากการครอบงำของศาสนจักร ทำให้ศูนยก์ ลางความเจรญิ ทางวิทยาศาสตร์ของโลกรวมที่ จักรวรรดิเปอร์เซียของชาวมุสลิม สง่ ผลให้ชาวยุโรปรบั ความเจริญทางอารยธรรมจากดินแดนตะวันออก กลบั ไปยโุ รป 10.การขยายตัวของการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย การเดินทางไปรบในสงครามครูเสด ทำให้ชาวคริสต์ได้รับความรู้และวิทยาการมาจากจักรวรรดิไบแซนไทน์และดินแดนเอเชียไมเนอร์ และ ผลของการขยายตัวทางการค้า ส่งผลให้ผู้เข้าตืน่ ตัวทางการศึกษา มีเงินทุนจักตั้งมหาวิทยาลัยของเมือง โดยมีศาสนจักรเป็นผู้วางรากฐานมหาวิทยาลัยเพื่อสอนวิชาเทววิทยา เช่น มหาวิทยาลัยโบโลญญ่า (อิตาลี) มหาวิทยาลัยออกฟอร์ด (อังกฤษ) มหาวิทยาลัยปารีส (ฝรั่งเศส) จนกระทั่งสิ้นสุดสมัยกลาง มมี หาวิทยาลยั เกิดขึ้นในยุโรปไมต่ ำ่ กว่า 80 แหง่ สงครามรอ้ ยปี ความขัดแย้งระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส (ค.ศ.1337-1453) ซึ่งเปลี่ยนแปลงความขัดแย้ง ระหว่างบุคคลเป็นความขัดแย้งระหว่างชาติ อังกฤษได้ยึดดินแดนฝรั่งเศสจนเกือบสิ้นชาติ ทำให้รัฐสภา อังกฤษมอี ำนาจมากขึ้น เนือ่ งจากกษัตรยิ ต์ ้องการเงนิ จากรัฐสภาไปทำสงคราม 71
ส33101 สงั คมศึกษา ม.6 บทท่ี 4 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์ตะวันตกและศาสนาสมยั กลาง ต่อมาเกิดวรี สตรโี ยน ออฟ อาร์ค สาวชาวนาผนู้ ำฝรง่ั เศส ไปสู่เอกราชจากอังกฤษ แต่ถูกเบอร์กันดีทรยศโดยจับตัวส่งให้ อังกฤษเผาทั้งเป็นในข้อหาแม่มด วีรกรรมของโยน ออฟ อาร์ค ส่งผลให้เกิดลัทธิชาตินิยมในยุโรป ทำให้ฝรั่งเศสขับไล่อังกฤษ ออกไปไดส้ ำเร็จ และเป็นจุดเริ่มต้นการเกดิ รัฐชาตขิ องฝร่ังเศส Joan of Arc ศิลปกรรม ศิลปกรรมตะวันตกในสมัยกลางเน้นการสร้างความศรัทธาต่อศาสนจักร สะท้อนเรื่องราวทาง ครสิ ต์ศาสนา มลี กั ษณะทั่วไป คือ - สถาปัตยกรรม นิยมสร้างปราสาทขนาดใหญ่ มั่นคงแข็งแรง มีกำแพงสูงและหนา ตกแต่ง อยา่ งหรหู รา - ประติมากรรม ใชต้ กแตง่ ผนงั อาคาร และไม่นยิ มสดั สว่ นตามธรรมชาติ - จติ รกรรม เนน้ เรอื่ งราวทางศาสนา ศลิ ปกรรมตะวันตกในสมยั กลางประกอบดว้ ย 4 แบบ ได้แก่ ▪ โรมาเนสก์ (Romanesque) ➢ ลกั ษณะสำคัญ - ศิลปะเพื่อความศรัทธาต่อศาสนจักรท่ีผสมผสานระหว่างศิลปะโรมันและเยอรมัน (ช่วง ครสิ ต์ศตวรรษท่ี 10 - 12) โดยนำเอาลวดลายและลกั ษณะบางอย่างมาจากศลิ ปะโรมัน ไบแซนไทน์ และ ศิลปะของบรรพบุรุษอนารยชนมาผสมผสานเชื่อมเขา้ ไวใ้ หเ้ ป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ส่วนใหญ่เป็นผลงาน ของนกั บวช เป็นตน้ แบบสูก่ ารสรา้ งศิลปะโกธิค - สถาปัตยกรรม : มีแบบแผนตายตัว เน้นความเรียบง่าย (ต่อต้านศิลปะไบแซนไทน์) แปลน รูปไม้กางเขนขนาดใหญ่ หลังคารูปโค้งประทุน ผนังหนาทึบและแข็งแรงคล้ายป้อมปราการ เพื่อรองรับ กำแพงและคานที่มีน้ำหนักมาก จึงทำให้ไม่สง่างาม ประตูและหน้าต่างมีน้อย ขอบบนเป็นรูปโค้ง ครึ่งวงกลมแบบศลิ ปะโรมัน แสงสวา่ งในอาคารจงึ น้อย ตกแต่งไดน้ อ้ ย - ประติมากรรม : เน้นเรื่องราวทางศาสนา เป็นภาพสลัก 3 มิติ ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ใช้ประดับโบสถ์และวิหาร นิยมสร้างรูปเคารพทางคริสต์ศาสนาที่อธิบายวิถีชีวิต ความเชื่อ และความ ศรทั ธาได้มาก - จิตรกรรม : นิยมสร้างภาพเขียนสีปูนเปียก (fresco) แต่งผนังอาคาร คือ การวาดภาพ ขณะที่ปูนที่ฉากฝาผนังยังเปียกอยู่ รูปวาดแข็งทื่อ ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เล่นแสงและเงา รวมทั้งตกแต่ง ด้วยพรมขนาดใหญ่ (tapestry) 72
ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทที่ 4 พัฒนาการทางประวตั ิศาสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมยั กลาง ➢ ตัวอย่างผลงาน เช่น วิหารปิซา (อิตาลี) วัดคลูน่ี วัดแซงต์ แซร์แนง (ฝรั่งเศส) และ วิหารแซงต์ ปิแอร์ (สวิสเซอรแ์ ลนด)์ ▪ โกธิค (Gothic) วหิ ารปิซา ประเทศอิตาลี - ศลิ ปะเพ่อื ความศรทั ธาตอ่ ศาสนจกั รเช่นเดยี วกบั ศลิ ปะโรมาเนสก์ (ชว่ งครสิ ต์ศตวรรษท่ี 12 - 15) มีอิสระในการแสดงออก มีชีวิตชีวา หลุดพ้นจากอิทธิพลของศิลปะกรีกและโรมัน แต่ยังแสดงถึง ความศรทั ธาต่อศาสนจักร - สถาปัตยกรรม : ดดั แปลงศลิ ปะโรมาเนสก์ รปู ทรงสงู ชะลดู เพื่อเฉลย่ี น้ำหนกั ของหลังคาลง บนเสาและผนัง หลังคายอดแหลม ผนังโปร่งบาง อาคารมีน้ำหนักเบา จึงสร้างให้สูงมากขึ้น ประตูและ หน้าต่างมีมาก เพื่อเพิ่มความสว่างภายในอาคาร ประตูเป็นรูปโค้งซ้อนหลายชั้น เน้นความอ่อนช้อย สวยงามด้วยลวดลายตา่ งๆ - ประติมากรรม : เน้นเรื่องราวทางศาสนาเช่นเดียวกับศิลปะโรมาเนสก์ แต่มีลักษณะ เฉพาะทสี่ ูงชะลูดแบบลอยตัวยื่นออกมาจากผนังหรือกำแพง ไมเ่ ป็นธรรมชาติ สว่ นใหญส่ ร้างเพื่อตกแต่ง สถาปัตยกรรม และถือเป็นสว่ นหนึ่งของสถาปัตยกรรม - จิตรกรรม : ใช้กระจกสี (Stained Glass) ประดับสถาปัตยกรรม เพื่อประกอบเหนือ บริเวณประตแู ละหน้าตา่ งให้แสงสว่างผา่ นเข้ามา คลา้ ยกบั เปน็ แสงสรี ุ้งของพระเจ้าที่ใกล้ชดิ กบั มนุษย์ ➢ ตัวอย่างผลงาน เช่น วิหารโนตรดามและวิหาร แชงเอเตียนส์ (ฝรั่งเศส) วิหารออร์เวียตโต (อิตาลี) วิหารแห่ง โคโลญ (เยอรมนี) วิหารลินคอลน์ (อังกฤษ) ▪ ไบแซนไทน์ (Byzantine) ➢ ลักษณะสำคัญ วหิ ารโนตรดาม ประเทศฝรง่ั เศส - ศิลปะเพื่อความศรัทธาต่อศาสนาคริสต์ (กรีกออร์โธดอกซ์ในฝั่งยุโรปตะวันออก) ที่ปราศจากการครอบงำของศาสนจักร (โรมันคาทอลิกฝั่งยุโรปตะวันตก) มีศูนย์กลางอยู่ที่ กรุง คอนสแตนติโนเปลิ แหง่ จักรวรรดิไบเซนไทน์ สถาปนาโดยจักรพรรดิคอนสแตนตนิ มหาราชในปี ค.ศ.330 - เก็บรักษาและสืบทอดศิลปะกรีกและโรมันและนำมาผสมผสานกับศิลปะเปอร์เซีย ไบแซนไทน์จึงเปน็ ศิลปะทผี่ สมผสานระหวา่ งศลิ ปะตะวันตกและตะวนั ออก - สถาปตั ยกรรม : นิยมสร้างโบสถ์และวหิ ารเป็นโดมหวั หอม ผงั รูปไมก้ างเขน แสดงถึงความ หรูหรา ตกแตง่ ประดับประดาด้วยกระเบือ้ งหนิ สี (mosaic) - ประติมากรรม : นิยมแกะสลักรูปนักบุญต่างๆ ทางศาสนา และภาพสำริดสลักนูนต่ำ เพอ่ื ประดับอาคาร - จติ รกรรม : นิยมสรา้ งภาพเขยี นเทคนคิ เทมเปอรา (tempera) 73
ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทที่ 4 พฒั นาการทางประวัติศาสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมยั กลาง ➢ ตวั อยา่ งผลงาน เช่น วหิ ารเซนตโ์ ซเฟีย (ตุรกี) ▪ อิสลาม (Islamic) วหิ ารเซนต์โซเฟยี ประเทศตรุ กี - ศิลปะเพื่อความศรัทธาต่อศาสนาอิสลามท่ี มสั ยิดอิหมา่ มริซ่า ประเทศอหิ ร่าน ผสมผสานศิลปะอียิปต์ กรีก เปอร์เซีย ปาเลสไตน์ และอินเดีย เข้าด้วยกัน ชาวมุสลิมได้ถา่ ยทอดความรูใ้ หแ้ ก่ชาวยโุ รปอีกทอด หนึ่งช่วงสงครามครูเสด อิทธิพลของกองทัพอิสลามส่งผลให้ ศิลปะอิสลามขยายตามไปด้วย - สถาปัตยกรรม : นิยมสร้างมัสยิดเป็นโดมรูป หวั หอม มหี อคอยสงู - ประติมากรรม : ห้ามตกแต่งดว้ ยรูปสิ่งมีชีวิตท้ังคน และสตั ว์ ทำใหศ้ ิลปะอสิ ลามไมโ่ ดดเด่นดา้ นประติมากรรม - จิตรกรรม : นิยมสร้างภาพเขียนลวดลายดอกไม้ เรขาคณติ และตวั อกั ษร วรรณกรรม วรรณกรรมได้รบั อิทธิพลจากคริสตศ์ าสนาอยา่ งชดั เจน ใช้ภาษาละตนิ ประพันธ์ เช่น - มหากาพย์ (Epic) สดดุ ีวีรบุรษุ เช่น มหากาพย์อัศวินโรลองด์ - นยิ ายวีรคติ (Romance) ภกั ดีต่ออศั วนิ และสตรี เชน่ กษัตรยิ ์อาเธอร์กบั อัศวินโตะ๊ กลม - นยิ ายคตี กานต์ (Lyric) ประกอบเพลงบรรเลง - นิทานฟาบลโิ อ (Fabliau) เสียดสสี ังคม - นิทานอทุ าหรณ์ (Fable) นทิ านอสี ป ตวั อยา่ งงานวรรณกรรมในสมยั กลาง เช่น Summary Treatise of Theology ของ Saint Thomas Aquinas, The City of God ของ Saint Augustin การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) คือ การเกิด ใหม่หรือฟื้นฟูความเจริญทางด้านศิลปะและวิทยาการตาม ศิลปะกรีกและโรมัน (Rebirth to Greek & Roman) ในยุโรป สมยั กลางช่วงปลาย (คริสตศ์ ตวรรษท่ี 15) ชาวยโุ รปหันกลับมา เมอื งฟลอเรนซใ์ นอิตาลี สนใจศึกษาความรู้ ศิลปะ วทิ ยาการ และวรรณกรรมของสมัยโบราณให้กลบั มานิยมอกี ครง้ั เปน็ ช่วงเวลา ทช่ี าวยุโรปหลดุ พน้ จากการครอบงำของศาสนจกั รในสมัยกลาง โดยแพร่หลายในกลุ่มชนชั้นกลาง 74
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 ช่อื ___บ_ท__ท_่ี_4__พ__ัฒ__น_า__ก_า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว_ตั__ศิ _า__ส_ต_ร__์ต_ะ_ว_นั ชต้นั กแมล.6ะ/ศ_า__สนเลาขสทมี่_ัย_ก_ล__าง ปัญญาชนและผ้มู ่งั คง่ั มีศูนย์กลางอย่ตู ามเมืองต่างๆ ในคาบสมทุ รอิตาลตี อนเหนือ ซ่งึ เป็นบรเิ วณทีก่ ารค้าFrancesco Petrarca Petrarch เร่มิ ฟ้นื ตัว เรม่ิ ขึ้นทเี่ มืองฟลอเรนซ์ประมาณปี ค.ศ.1350 และขยายไปยังดินแดนสว่ นอ่ืนๆ ของยโุ รป จดุ เริม่ ต้น ฟรานเชสโก เปทรากา เปทราค (Francesco Petrarca Petrarch) นักปราชญ์คนแรกในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ผู้เป็นบิดาแห่งแนวคิด มนุษยนิยมที่พยายามศึกษางานวรรณกรรมคลาสสิก การใช้ภาษาละตินให้ ถูกต้องตามแบบแผนดั้งเดิม โดยอาศัยงานเขียนซิเซโร ชาวกรีก และ กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดนักมนุษยนิยมที่สร้างงานเขียนจำนวนมากใน สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ แนวคดิ มนุษยนยิ มจึงเปน็ พลงั สำคญั ในการขับเคลื่อนประวตั ิศาสตรต์ ะวนั ตกจากสมยั กลางเข้าสู่สมยั ใหม่ นโิ คลสั คอปเปอร์นคิ สั เสนอทฤษฎีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจกั รวาล ซึง่ ขัดกับคำสอนของศาสนจักรท่ีว่า โลก เป็นศนู ย์กลางของจกั รวาล ผลงานน้จี งึ ไม่ได้รบั การเผยแพร่ (ภายหลงั ไดร้ บั ยกยอ่ งเปน็ บดิ าแหง่ ดาราศาสตร์สมยั ใหม่) ลักษณะสำคัญ 1. กลับไปให้ความสำคัญกับแนวคิดมนุษยนิยม ปัจเจกชนนิยม ธรรมชาตินิยม มีความเชื่อว่า มนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล สามารถควบคุมธรรมชาติ และถือว่าคุณค่าของมนุษย์อยู่ที่ความรู้ ความคิดของมนุษย์เอง มนุษย์มีอิสระทางความคิดมากขึ้น แสดงอารมณ์ความรู้สึกได้เต็มท่ี จึงต้องการ แยกตัวออกจากการถูกครอบงำทางความคดิ ของศาสนจกั ร (ถูกศาสนจักรต่อตา้ นต่อมา) 2. ให้ความสำคัญกับชีวิตในโลกปัจจุบันอย่างมีความสุข งานศิลปะเน้นธรรมชาติและปรัชญา ไม่เนน้ เรอื่ งราวทางศาสนาและใหค้ วามสำคญั ในโลกหนา้ เหมือนสมัยกลาง 3. ยกยอ่ งบคุ คลที่มีความรรู้ อบและรอบรู้ 4. ถือเป็นจุดเชื่อมต่อคาบเกี่ยวระหว่างสมัยกลางกับสมัยใหม่ในโลกตะวันตก การฟื้นฟู ศิลปวิทยาการเกิดขึ้นตอนปลายสมัยกลางในคริสต์ศตวรรษที่ 14 มาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยมี ความเจริญรุ่งเรืองสูงสดุ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ถือเปน็ ยุคทองของการฟน้ื ฟูศลิ ปวทิ ยาการ ปจั จัยสนบั สนนุ 1. สงครามครูเสด ส่งผลให้ชาวยุโรปมีทัศนคติแง่ลบกับศาสนจักร เริ่มปฏิเสธพระเจ้าและ ไม่เชื่อศาสนจักรอย่างงมงายดังเช่นสมัยกลาง ในขณะเดียวกันก็ได้เปิดโลกทัศน์ชาวยุโรปให้เห็น ศิลปะวิทยาการใหม่ในโลกตะวันออก ได้รับความรู้และศิลปวิทยาการจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ ซึ่งมี รากฐานมาจากอารยธรรมกรีกและโรมัน 2. การขยายตัวทางการค้า ทำให้เกิดชนชั้นกลางที่มีฐานะร่ำรวยจากการค้า โดยเฉพาะพ่อค้า และเจ้าครองนครต่างๆ ในอิตาลี ได้หันมาสนใจและสนับสนุนผลงานศิลปะและวิทยาการแขนงต่างๆ มกี ารสร้างงานศลิ ปะและสะสมงานศิลปะมากขึน้ 75
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทที่ 4 พัฒนาการทางประวตั ิศาสตร์ตะวนั ตกและศาสนาสมัยกลาง 3. การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์ในดินแดนยุโรปตะวันอออก ในปี ค.ศ.1453 ส่งผล ใหน้ ักปราชญ์ ผู้คน และศลิ ปวิทยาการของกรกี และโรมนั โอนกลบั มายงั ดินแดนยุโรปตะวนั ตก 4. อิตาลเี คยเป็นศูนยก์ ลางความเจริญในอารยธรรม โรมัน ยังปรากฏงานสถาปัตยกรรมโรมันที่ล้ำค่าจำนวนมาก ศิลปินและนักปราชญ์อิตาเลียนจคงให้ความสนใจฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรมโรมนั การสรา้ งสรรคท์ างศิลปะ Saint Peter’s Basilica ▪ สถาปัตยกรรม : ใช้เทคนิคเสา คาน และหน้าจ่ัวของ กรีก และเทคนิคประตูโค้งและหลังคารูปโดมของโรมันมา ปรบั ปรงุ สรา้ งขึ้นใหม่ ทำใหม้ ลี กั ษณะเฉพาะมากขนึ้ เช่น มหา วิหารเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter’s Basilica) ในนครวาติกัน วิหารเซนตป์ อล (Saint Paul’s Cathedral) ในอังกฤษ St.Paul’s Cathedral ▪ ประติมากรรม : นิยมความเป็นธรรมชาติ ความงาม และความแข็งแรงของสรีระร่างกายมนุษย์ เช่น รูปปั้นเปลือยกายของกษัตริย์เดวิด (David) รูปปั้นพระแม่มารีอาประคองพระเยซูในอ้อมพระกร หลังสิ้นพระชนม์ (La Pieta) ของไมเคิลแองเจโล บูโอนาร์โรติ (Michelangelo Buonarroti) เป็น ประตมิ ากรรมท่ีมีความสามารถทางสถาปตั ยกรรม จติ รกรรม วรรณกรรม และวศิ วกรรม มีความสามารถ ในการแกะสลกั รปู ปน้ั ขนาดใหญ่ท่มี ีสัดสว่ นถกู ต้อง David La Pieta Michelangelo Buonarroti ▪ จิตรกรรม : ใช้เทคนิคภาพสามมิติ (perspective) ผสมปูนเปียก (fresco) และผสมไข่ขาวในสี น้ำมัน (tempera) คำนึงถึงเส้น แสง และเงาให้เกิดแสงสว่างที่แตกต่างกัน เกิดความตื้นลึกของภาพ เพื่อให้ได้ภาพดูสมจริง มักเป็นรูปมนุษย์ที่มีฉากหลังเป็นภาพทิวทัศน์ เน้นอิริยาบถการเคลื่อนไหว สะท้อนอารมณ์ และความร้สู กึ ของมนุษยต์ ามความเป็นจรงิ เชน่ ศลิ ปนิ ตวั อย่างผลงาน มาซัชชีโอ (Masaccio) ภาพการจา่ ยเงินบรรณาการ (The Tribute Money) ผู้ใช้เทคนคิ ภาพสามมิติคนแรกในต้นคริสตศ์ ตวรรษที่ 15 76
ส33101 สงั คมศกึ ษา ม.6 บทที่ 4 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ตะวนั ตกและศาสนาสมัยกลาง ศิลปิน ตัวอยา่ งผลงาน ลีโอนาร์โด ดา วนิ ชี (Leonardo Da Vinci) ภาพพระกระยาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) ภาพโมนา ลิซา (Mona Lisa) ผูม้ ีความรู้ด้านกายวภิ าคศาสตร์เป็นอย่างดี และเป็นศิลปิน มหาศลิ ปินแหง่ ศลิ ปะ ท่รี อบรู้ทง้ั จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี และวศิ วกรรม ภาพบนเพดานโบสถ์ซิสทีน (Sistine Chapel) ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ไมเคลิ แองเจโล ตามบัญชาของพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 แสดงเรื่องราวในพระคัมภีร์ บโู อนาร์โรติ เก่าและใหม่ เช่น ภาพการพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Last Judgment) (Michelangelo ภาพการสรา้ งอดมั (The Creation of Adam) Buonarroti) ภาพสำนกั แหง่ เอเธนส์ (School of Athens) ภาพพระแม่ พระบุตร และ ราฟาเอล (Raphael) นักบุญจอห์น เบพติสต์ (The Madonna and Child with Saint John the Baptist) แซนโดร บอตติเชลลี ภาพกำเนิดวีนัส (The Birth of Venus) (Sandro Botticelli) The Last Supper Sistine Chapel School of Athens Leonardo Da Vinci Mona Lisa The Madonna and Child Raphael ▪ วรรณกรรม : เป็นกวนี พิ นธร์ ้อยแก้วสนั้ ๆ with Saint John the Baptist เนน้ แนวคดิ มนุษยนิยม การแสดงอารมณ์ของปัจเจกชน ความรักของชายหญิง เสียดสีเย้ยหยันความเปน็ อยู่ของคนในสมัยกลาง แสดงถึงความตอ้ งการที่จะหลุด พ้นจากกฎเกณฑท์ ี่เครง่ ครดั ของศาสนจกั รใช้ภาษาพนื้ เมืองประพันธ์แทนภาษาละติน กวีคนสำคัญ เช่น - เดซิเดอเรียส อรี ัสมสั (Desiderius Erasmus) ผลงาน คอื แปลคมั ภีร์ไบเบลิ หนงั สือเรื่องการ สดดุ ีคนโง่ (The Praise of Folly) 77
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 บทท่ี 4 พัฒนาการทางประวัตศิ าสตร์ตะวนั ตกและศาสนาสมัยกลาง - นิคโคโล มาเคียเวลลี (Niccolo Machiavelli) ผลงาน คือ หนังสือเรื่องเจ้าผู้ครองรัฐ (The Prince) กล่าววา่ อำนาจคือศีลธรรม ดังน้นั ความสำเร็จทางการเมืองไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งคำนึงถึงศีลธรรม เจา้ ผคู้ รองรฐั ไมจ่ ำเปน็ ต้องมีเมตตาธรรม - เซอร์โทมัส มอร์ (Sir Thomas More) ผลงาน คือ หนังสือ เรื่อง Utopia กล่าวถึงสังคมในอุดมคติท่ีมนุษย์จะใช้ชีวิตอย่างมี ความสขุ ปราศจากความเหล่อื มลำ้ และการเอารดั เอาเปรียบ - วิลเลียม เชคสเปียร์ (William Shakespeare) ผลงานคือ โรมิโอและจูเลียต (Romeo and Juliet) แฮมเลต (Hamlet) แมคเบธ (Macbeth) เวนิสวานิช (The Merchant of Venice) กษัตริย์เลียร์ (King Lear) ฝนั ณ คนื กลางฤดูรอ้ น (A Midsummer Night’s Dream) จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) แอนโธนีและคลีโอพัตรา (Anthony and Cleopatra) William Shakespeare - จโี อวานนี บอคคาซโิ อ (Giovanni Boccaccio) ผลงานคอื Decameron ผลสืบเนื่อง ▪ การเผยแพรผ่ ลงานสมัยฟื้นฟูศลิ ปวิทยาการ การประดิษฐ์แท่นพิมพ์เรียงตัวอักษรแบบโลหะผสมของโจฮันน์ กูเตนเบิร์ก (Johann Gutenberg) ชาวเมืองไมนซ์ในเยอรมนี ซึ่งเรียนรู้ เทคนิคการพิมพ์จากจีน เอกสารที่พิมพ์ขึ้นฉบับแรก คือ คัมภีร์ไบเบิล (ฉบบั กเู ตนเบริ ์ก หรือไบเบลิ 42 บรรทดั ) การประดิษฐ์แท่นพิมพ์เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการปฏิวัติภูมิปัญญาและวรรณคดีของชาติ ตะวนั ตก ผูค้ นมีทศั นคตทิ ก่ี ว้างไกลมากข้นึ เกิดความตื่นตวั ทางวิชาการผา่ นงานเขียน หนงั สือราคาถูกลง ความรู้และข่าวสารไดร้ ับการเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวางขึ้น ส่งผลให้เกิดการปฏิวัติภมู ปิ ัญญา ▪ การเขา้ สู่สมยั ใหมข่ องโลกตะวันตก สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการเป็นจุดเชื่อมต่อจากสมัยกลางเข้าสู่สมัยใหม่ ยุโรปตะวันตกเกิดการ สำรวจและคน้ พบดนิ แดนใหม่ การปฏริ ูปศาสนา และการปฏวิ ตั วิ ิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมา จดุ มุ่งหมายสูงสดุ ของชีวติ ทุกศาสนามีหลักคำสอนและ ทุกศาสนามจี ุดหมายรว่ มกนั คือ มงุ่ ให้มนษุ ยล์ ะเว้นความ หลักปฏิบัติตนร่วมกันที่มุ่งสร้าง คนดีในสังคม และนำไปสู่การ ช่ัว ทำความดี มีเมตตากรุณา เสยี สละ รู้จกั พัฒนาตนเอง เพื่อหลุด สร้างความเข้าใจอันดีระหว่าง พน้ หรอื รอดจากความทุกขใ์ นชีวิตปจั จุบนั สู่ชีวิตทีเ่ ป็นนริ นั ดร์ ดงั นี้ ศาสนา เพื่อสามารถดำเนินชีวิต อย่างสันติสุขท่ามกลางความ 78 หลากหลายทางความเชือ่
ส33101 สังคมศึกษา ม.6 ชอ่ื ____บ_ท__ท_่ี_4__พ__ฒั __น_า__ก_า_ร_ท__า_ง_ป__ร_ะ_ว_ัต__ิศ_า_ส__ต_ร_์ต__ะ_ว_ัน_ ตชกนั้ แมล.ะ6ศ/า_ส__นเาลสขมทัยี่_ก_ล__า_ง จุดมุง่ หมายสงู สดุ ของชีวิต • พราหมณ–์ ฮินดู มุ่งไปสู่โมกษะ คอื การได้เปน็ อันหนงึ่ อนั เดียวกบั พรหมมัน • พุทธ มุ่งไปสนู่ พิ พาน (ไมม่ ีตวั ตน) • ครสิ ต์ มงุ่ ไปสู่ชีวติ นริ ันดรเ์ ป็นอนั หนง่ึ อนั เดยี วกบั พระเจา้ • อสิ ลาม มงุ่ ไปสชู่ วี ติ นริ นั ดร์อย่ใู นอาณาจกั รพระเจ้า จริยธรรมของศาสนา ▪ หลักการทำความดีและละเวน้ ความชวั่ • พราหมณ–์ ฮนิ ดู สอนไว้ในหลักธรรม 10 ประการ (ธฤติ กษมา ทมะ อัตเตยะ เศาจะ อนิ ทรียนิครหะ ธี วิทยา สัตยะ และอโกธะ) • พุทธ สอนไวใ้ นหลักเบญจศลี – เบญจธรรม กศุ ลกรรม และมรรค 8 • ครสิ ต์ สอนไว้ในบญั ญตั ิ 10 ประการ • อิสลาม สอนไว้ในซูเราะห์ (บท) ที่ 103 – 104 ว่า “เชิญชวนและกำชับในเรื่อง ความดีงามและห้ามปรามในเรื่องความชวั่ ช้า” ▪ หลกั ความรักสากลและความเมตตา • พราหมณ–์ ฮนิ ดู สอนในมหากาพย์ภารตะว่า “มีความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น ให้มีความเอื้อ อารตี อ่ แขกทีม่ าเย่ียมบา้ น แมจ้ ะเป็นศัตรูของตนก็ตาม” • พทุ ธ สอนไว้ในพรหมวิหาร 4 (ธรรมะของผ้เู ป็นใหญ่) • ครสิ ต์ สอนให้รกั เพื่อนบ้านเหมอื นรกั ตนเอง • อิสลาม สอนให้ชว่ ยเหลอื ญาตพิ นี่ ้อง ให้เกียรติคนชรา ปรานีตอ่ เดก็ ▪ หลักการสงเคราะห์ผู้อ่ืน • พราหมณ–์ ฮนิ ดู สอนให้ปันด้วยความยนิ ดแี ละเตม็ ใจ และควรให้ตามกำลังฐานะของตน • พทุ ธ สอนไว้ในสงั คหวัตถุ 4 (ธรรมะทใ่ี ช้ยดึ เหนย่ี วจติ ใจกัน) • คริสต์ สอนไม่ให้ทำความดเี พื่อเอาหนา้ หรอื ตอ้ งการหวังผลตอบแทน • อิสลาม สอนให้บริจาคซะกาต (หนา้ ท่ีของมุสลมิ ) ▪ หลกั ความอดทน • พราหมณ–์ ฮนิ ดู สอนในหลักธรรม 10 ประการ ได้แก่ กษมาและทมะ • พุทธ สอนไว้ในขนั ติ – โสรัจจะ • คริสต์ สอนวา่ ความอดทนทำใหเ้ กิดอุปนสิ ยั ท่ดี ี • อสิ ลาม สอนให้ถอื ศีลอด เพ่อื เรียนรู้ถึงความยากลำบากนำไปสกู่ ารรู้จกั แบง่ ปันผ้อู ่ืน ▪ หลักการพัฒนาตนเอง • พราหมณ–์ ฮินดู สอนในหลักอาศรม 4 ให้คนปฏบิ ตั ิตนพฒั นาชวี ติ ตามชว่ งวยั ต่างๆ • พุทธ สอนไว้ในทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ (ธรรมะที่เป็นประโยชน์เพื่อปัจจุบัน) และ อิทธบิ าท 4 (ธรรมะทน่ี ำไปสู่ความสำเร็จ) 79
ส33101 สังคมศกึ ษา ม.6 บทท่ี 4 พฒั นาการทางประวตั ิศาสตรต์ ะวนั ตกและศาสนาสมัยกลาง • คริสต์ สอนให้มีความอดทน มีความรัก ความเพียรในเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อสร้าง • อสิ ลาม อุปนสิ ยั ทีด่ ีและใหเ้ กดิ ความหวัง สอนให้มีความมานะพยายาม รักการทำงาน หมนั่ ศึกษาหาความรู้ ฯลฯ ▪ หลักการพงึ่ ตนเอง • พราหมณ–์ ฮินดู สอนในหลักโยคะ 3 ใหม้ นุษยม์ คี วามรสู้ ึกว่าตนเองสำคัญ • พทุ ธ สอนไว้ในพทุ ธศาสนสภุ าษิตทว่ี า่ อตตฺ าหิ อตฺ าโน นาโถ (ตนเป็นท่พี ่ึงแหง่ ตน) • ครสิ ต์ สอนว่า “ชว่ ยเหลอื ตนเองก่อน แล้วพระเจา้ จะชว่ ยท่าน” • อิสลาม สอนในกฎสภาวการณ์ในส่วนที่เป็นสภาวการณ์เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นไปตาม ผลการกระทำของมนษุ ยท์ ี่ขึ้นอยูก่ ับเหตแุ ละผลของแตล่ ะคน ความเชือ่ เรอ่ื งนรก – สวรรค์ ทุกศาสนามีความเชื่อเรอื่ งนรก – สวรรค์ที่คลา้ ยคลงึ กนั คอื เป็นสถานทต่ี อบแทนหรือพิพากษา ผลของกระทำท่ีมนุษย์กระทำในขณะที่มีชีวติ อยู่ ขอ้ สงั เกต - พระพุทธศาสนากบั พราหมณ์ – ฮนิ ดู เชื่อเร่อื งการเวยี นว่ายตายเกดิ (สังสารวัฏ) เหมือนกัน ในขณะที่ศาสนาครสิ ต์และอิสลาม เชอ่ื เรื่องการเกิดเพยี งชาตเิ ดียวเหมือนกนั - ศาสนาคริสตก์ ับพราหมณ์ – ฮนิ ดู เชื่อเรอ่ื งที่มาของพระเจา้ คล้ายกัน - ศาสนายูดาห์ คริสต์ และอิสลาม เชื่อเรื่องพระเจ้าผู้สร้าง วันพิพากษาโลก การกำเนิดมนุษย์ และเชือ่ เร่อื งพระเมสสอิ าห์ ยกเว้นศาสนาอสิ ลาม - พระพุทธศาสนามีความเชื่อที่แตกต่างจากศาสนาอื่น คือ ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าผู้สร้าง และ อนตั ตา (ความไม่มีตัวตน) 1. ศึกษาและทำความเข้าใจหลักคำสอนและหลักปฏิบัติตนของศาสนาต่างๆ เพื่อให้เกิดความ เขา้ ใจถึงความแตกตา่ ง และปฏบิ ัตติ ่อศาสนิกชนของแต่ละศาสนาได้อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม 2. ไมน่ ำรปู เคารพและสัญลกั ษณท์ างศาสนาไปใช้ในกิจกรรมหรือสถานท่ไี ม่เหมาะสม 3. ไม่พูดหรือวิพากษ์วิจารณ์ กล่าวนามพระเจ้า ศาสดา บุคคล หรือหลักคำสอนของศาสนา ต่างๆ ทไี่ ม่เหมาะสม เพราะอาจนำไปสคู่ วามขดั แยง้ และบาดหมางใจกัน 4. ควรใชค้ ำพดู สภุ าพและให้เกยี รตศิ าสนิกชนต่างศาสนา 5. เมื่อมีโอกาสเข้าร่วมศาสนพิธีของศาสนาอื่น ควรแต่งกายสุภาพ สำรวมกาย วาจา ใจ และ ปฏิบัตติ นให้ถกู ต้องตามหลักของศาสนานนั้ 6. เม่ือเขา้ ไปในศาสนสถานของศาสนาอืน่ จะต้องปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บโดยเครง่ ครัด 80
Search
Read the Text Version
- 1 - 48
Pages: