รายงาน วชิ าวทิ ยาการคานวณ รหสั ว30118 จดั ทาโดย เลขที่ 1 1. นางสาวภณั ฑริ า เพญ็ ศรี เลขที่ 25 2. นางสาวมนัสดา เมษาดี เลขที่ 27 3. นางสาวชมพนู ุช อนิ ศรีชื่น เลขที่ 33 4. นางสาวนนั ท์นภสั แก้วคา เลขที่ 34 5.นายรัฐภูมิ สอนเขยี ว ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 5/7 เสนอ ครูจริ ายุ ทองดี รายงานเล่มนี้เป็ นส่วนหนึ่งของรายวิชาวทิ ยาการคานวณ รหัส ว30118 โรงเรียนนวมนิ ทราชินูทศิ เตรียมอดุ มศึกษาน้อมเกล้า ภาคเรียนท่ี 1 ปี การศึกษา 2565 สังกดั กระทรวงศึกษาธกิ าร
คานา รายงานฉบับนเี้ ป็ นส่วนหน่ึงของรายวชิ าวิทยาการคานวณรหสั ว30118 ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 5 โดยมจี ุดประสงค์เพอ่ื ศึกษาเกยี่ วกบั หลกั การเขยี นโปรแกรม ข้นั ตอนการเขยี นโปรแกรม โครงสร้าง ภาษาคอมพวิ เตอร์ กระบวนการเขยี นโปรแกรม ในการจดั ทารายงานประกอบส่ือการเรียนรู้ในคร้ังนี้ ผ้จู ดั ทาขอขอบคุณ ครูจริ ายุ ทองดี ผ้ใู ห้ ความรู้ และแนวทางการศึกษา และเพือ่ นๆ ทใี่ ห้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด คณะผ้จู ดั ทาหวงั เป็ นอย่าง ยง่ิ ว่า รายงานฉบบั นจี้ ะอานวยประโยชน์ต่อผู้ทส่ี นใจและศึกษาเนื้อหาเพมิ่ เตมิ และพฒั นาศักยภาพ และบรรลตุ ามเป้าหมาย นาย รัฐภมู ิ สอนเขยี ว ผ้จู ดั ทา
สารบญั หน้า เรื่อง ก ข คานา 1 สารบญั 4 ภาษาคอมพวิ เตอร์ 5 สารสนเทศและการสื่อสาร 7 ทกั ษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยดี จิ ติ ัล 8 วทิ ยาการคานวณ 9 บรรณานุกรม ภาคผนวก
1 ภาษาคอมพวิ เตอร์ ภาษาคอมพวิ เตอร์ หมายถึง ภาษาใด ๆ ที่ผใู้ ชง้ านใชส้ ่ือสารกบั คอมพิวเตอร์ หรือคอมพิวเตอร์ ดว้ ยกนั แลว้ คอมพวิ เตอร์สามารถทางานตามคาสั่งน้นั ได้ คาน้ีมกั ใชเ้ รียกแทนภาษาโปรแกรม แต่ความ เป็นจริงภาษาโปรแกรมคือส่วนหน่ึงของภาษาคอมพิวเตอร์เทา่ น้นั และมีภาษาอื่น ๆ ทเ่ี ป็น ภาษาคอมพวิ เตอร์เช่นกนั ยกตวั อยา่ งเช่น ภาษาซี เป็นท้งั ภาษามาร์กอปั และภาษาคอมพิวเตอร์ดว้ ย แมว้ ่ามนั จะไม่ใช่ภาษาโปรแกรม หรือภาษาเคร่ืองน้นั กน็ บั เป็ นภาษาคอมพวิ เตอร์ ซ่ึงโดยทางเทคนิค สามารถใชใ้ นการเขียนโปรแกรมได้ แต่ก็ไม่จดั วา่ เป็นภาษาโปรแกรม ภาษาซี ไดร้ ับการออกแบบและพฒั นาข้ึนโดย Dennis Ritchie เม่ือปี ค.ศ. 1972 ณ หอ้ งปฏิบตั ิการ เบลล์ (Bell Laboratory) โดยออกแบบเพอ่ื ใชง้ านบนระบบปฏิบตั ิการ Unix บนเครื่อง เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ DEC PDP-11ในความเป็นจริงภาษา C ไดส้ ืบสานมาจากภาษา B ทพี่ ฒั นาข้ึน โดย Ken Thompson ซ่ึงภาษา B น้ีต้งั อยบู่ นภาษา BCPL ซ่ึงพฒั นาโดย Martin Richardsในยคุ แรก ภาษา C ไดถ้ ูกกาหนดมาตรฐานทีส่ ร้างข้ึนเองในกลุ่มคณะ De Facto Standard ซ่ึงเป็นเวอร์ชนั่ ท่ี นามาใชง้ านบนเครื่อง Unix System V จนกระทง่ั ปี ค.ศ. 1975 Brian Kernighan และ Dennis Ritchie ไดน้ าเสนอ “The C Programming” จดั พมิ พโ์ ดยสานกั Prentice-Hall ประเทศหรัฐอเมริกาใช่วงแรก มาตรฐานภาษา C ในบางส่วนถูกกาหนดไวค้ ลุมเครือ ไม่ชดั เจนนกั ส่งผลใหผ้ ผู้ ลิตคอม ไพลน์ ามา ตีความหมายแตกต่างกนั ไป จนกระทงั่ ในราวปี ค.ศ. 1983 ทางสถาบนั ANSI (American National Institute)เขา้ มาแกไ้ ขปัญหาน้ี ดว้ ยการนาภาษา C มาบรรจุไวเ้ ป็นมาตรฐานทีร่ ับรองโดย ANSIจึงเป็น ทม่ี าของ ANSI C ในทีส่ ุด และในปี ค.ศ. 1988 น้ีเอง Brian Kernighan และ Dennis Ritchie กไ็ ดม้ ีการ ปรับปรุงหนงั สืกทีเ่ ขาเขียนอีกคร้ังซ่ึงเป็ นฉบบั Second Edition ภายใตช้ ่ือว่า \"The C Programming Language\"โดยมีการประทบั คาว่า \"ANSI C \"ลงไปดว้ ย ต่อมาในปี ค.ศ. 1990 น้ีเองทาง ANSI ได้ กาหนดมาตรฐานของภาษา C เสร็จสมบรู ณ์ เพือ่ ใหผ้ พู้ ฒั นาคอมไพลเ์ ลอร์ท้งั หลายนาไปสร้าง คอมไพลเ์ ลอร์มาตรฐาน แต่อยา่ งไรกต็ ามคอมไพลเ์ ลอร์ท่ถี ูกพฒั นาข้ึนมาโดยส่วนใหญ่แลว้ มกั มิได้ พฒั นาตามมาตรฐาน ANSI อยา่ งเคร่งครัดเสียท่เี ดียว ถึงแมว้ ่าปัจจุบนั ภาษา C ไดถ้ ูกนาไปต่อยอดและ พฒั นาปรับปรุงใหม้ ีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน ในเรื่องของชุดคาส่งั ที่สนบั สนุนการโปรแกรมเชิงวตั ถุ
2 (Object-Oriented Programming) ไม่ว่าจะเป็นBorland C++ หรือ MS-Visual C++ ก็ตาม แต่ท้งั น้ี มาตรฐานชุดคาสง่ั ของ ANSI C ส่วนใหญ่แลว้ จะสามารถนามาใชง้ านร่วมกนั ไดอ้ ยา่ งไม่มีปัญหา หลกั การใช้ภาษาซี คาสงั่ ท่ีใชง้ านในภาษา C น้นั ลว้ นเป็นฟังก์ชนั่ ท้งั สิ้น ดงั น้นั โปรแกรมทเ่ี ขียนข้ึนจึงประกอบไป ดว้ ยฟังกช์ น่ั มากมาย ทถี่ กู กาหนดใหท้ าหนา้ ทีใ่ ดหนา้ ทหี่ น่ึงในลกั ษณะของโมดูลยอ่ ย เพอ่ื ทางานให้ บรรลุเป้าหมาย และในเม่ือภาษา C คือภาษาทีป่ ระกอบไปดว้ ยฟังกช์ น่ั ดงั น้นั จึงจาเป็ นทาความเขา้ ใจ เกี่ยวกบั ความหมายของฟังก์ชน่ั เสียก่อน ฟังกช์ น่ั (Function) คือ ชุดคาสงั่ ท่เี ขียนข้ึนเพื่อสัง่ ใหค้ อมพวิ เตอร์ทางาน ทอี่ นุญาตใหส้ ามารถ รับขอ้ มูล (Input) ประมวลผล (Processes) และแสดงผลขอ้ มูล (Output) โดยฟังกช์ นั่ ที่ถูกเขียนข้ึนใช้ งาน และสามารถเรียกมาใชง้ านไดท้ นั ที จะถูกจดั เก็บไวใ้ นไลบารีมาตรฐาน (Standard Library) ในขณะทีฟ่ ังก์ชนั่ อนื่ ๆจะเป็นฟังก์ชนั่ ท่ีถูกเขียนข้ึนโดยโปรแกรมเมอร์ อยา่ งไรกต็ ามในภาษา C จะมี ฟังกช์ นั่ พเิ ศษฟังก์ชนั่ หน่ึงทจี่ าเป็ นตอ้ งมีไวใ้ นโปรแกรมเสมอ คือ ฟังก์ชน่ั main() ท้งั น้ีฟังก์ชน่ั ดงั กล่าวจดั เป็นฟังก์ชน่ั หลกั ที่นามาใชเ้ ป็นจุดเริ่มตน้ ของโปรแกรมเพอื่ สั่งใหท้ างาน โดยฟังกช์ นั่ อนื่ ๆจะถือเป็นรูทนี ยอ่ ย (Subroutines) กฎเกณฑ์ในการเขยี นภาษาซี 1. จะตอ้ งกาหนดพรีโปรเชสเชอร์ทต่ี น้ โปรแกรมก่อน เช่น #include<stdio.h>, #include<conio.h> 2. คาสัง่ ต่างๆจะใชอ้ กั ษรพิมพเ์ ลก็ 3. ตวั แปรทใ่ี ชง้ านในโปรแกรมตอ้ งประกาศไวเ้ สมอ 4. ภายในโปรแกรมตอ้ งมีอยา่ งนอ้ ยหน่ึงฟังกช์ นั่ คือ main ( ) 5. ใชเ้ คร่ืองหมาย { เพอ่ื บอกจุดเร่ิมตน้ ของชุดคาสัง่ และเคร่ืองหมาย } เพ่ือบอกจุดสิ้นสุดของ ชุดคาสัง่ โดยสามารถซ้อนเคร่ืองหมาย { } เพิ่มไว้ภายในได้ 6. สิ้นสุดของแต่ละประโยคคาสัง่ จะตอ้ งจบดว้ ยเครื่องหมาย ; (semicolon)
3 7.สามารถใชเ้ คร่ืองหมาย /*comment*/ หรือ //comment เพ่ือระบุหมายเหตุภายในโปรแกรม โดย คาอธิบายท่อี ยภู่ ายใตเ้ คร่ืองหมาย /*comment*/ หรือ //comment จะไม่ถูกนาไปประมวลผล แปลภาษาซี ตวั แปลภาษา(Translator) : เนื่องจากภาษาคอมพวิ เตอร์โดยเฉพาะภาษารับสูง จะมีจุดประสงค์ เพื่อใหม้ นุษยส์ ามารถสื่อสารเพ่ือ การเขียนโปรแกรมไดง้ ่ายข้ึน แต่ภาษาระดบั สูงเป็น ภาษาที่ คอมพิวเตอร์ไม่รู้จกั ดงั น้นั จึงตอ้ งนาภาษาระดบั สูงผา่ นกระบวนการแปลเพือ่ ใหเ้ ป็นภาาาเคร่ือง เสียก่อน ตวั แปลภาษาแบง่ ออกเป็น 2 ชนิด คือ 1.คอมไพลเลอร์ (Compiler) การแปลของคอมไพลจ์ ะแปลท้งั โปรแกรมท่เี ดียว นน่ั คือซอร์สโคด้ ท้งั โปรแกรมจะถูกนามาแปลเพยี งคร้ังเดียว ถา้ เจอขอ้ ผดิ พลาดกจ็ ะรายงานใหท้ ราบเพียงคร้ังเดียวโดยไม่ บอกตาแหน่งของการผดิ พลาด 2.อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) ตวั แปลภาษาชนิดอนิ เตอร์พรีเตอร์ จะทาการแปลคาสงั่ ท่ลี ะคาส่งั และ จะปฏิบตั ิตามในคาสั่งน้นั ๆหากไม่พบขอ้ ผดิ พลาดใดๆ จากน้นั ก็จะนาคาสั่งต่อไปมาแปลต่อ จะกระทา เช่นน้ีไปเรื่อยๆจนจบ ถา้ มีขอ้ ผดิ พลาดในโปรแกรม เคร่ืองก็จะหยดุ แลว้ รายงานใหท้ ราบทนั ทที า จอภาพ
4 สารสนเทศและการสื่อสาร สารสนเทศ (ICT ยอ่ มาจาก Information and Communication Technology ICT) เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร หมายถึง เทคโนโลยที ่ีเก่ียวขอ้ งกบั ข่าวสารขอ้ มูลและ การสื่อสาร นบั ต้งั แต่การสรา้ ง การนามาวิเคราะห์หรือประมวลผล การรับและส่งขอ้ มลู การจดั เก็บ และ การนาไปใชง้ านใหม่ เทคโนโลยเี หล่าน้ีมกั จะหมายถึง คอมพิวเตอร์ ซ่ึงประกอบดว้ ยส่วนอุปกรณ์ (hardware) ส่วนคาสั่ง (software) และส่วนขอ้ มูล (data) และระบบการส่ือสารตา่ ง ๆ ไม่ว่าจะเป็น โทรศพั ท์ ระบบส่ือสารขอ้ มูล ดาวเทยี มหรือ เครื่องมือส่ือสารใด ๆ ท้งั มีสายและไร้สาย หลกั การทางานของคอมพวิ เตอร์ การทางานของคอมพิวเตอร์จะเริ่มจากผใู้ ชป้ ้อนขอ้ มูลผา่ นทางอุปกรณ์ ของหน่วยรับเขา้ (Input device) เช่น คียบ์ อร์ด เมาส์ ขอ้ มูลจะถูกเปล่ียนใหเ้ ป็นสญั ญาณติจิทลั ประกอบดว้ ยเลข 0 และ 1 แลว้ ส่งต่อไปยงั หน่วยประมวลผลกลาง เพอ่ื ประมวลผลตามคาส่ัในระหว่างการประมวลผลขอ้ มูลจะ ถูกเก็บไวท้ ่ี (Random Access Memory: RAM)ทาหนา้ ทเ่ี กบ็ ขอ้ มูลจากการประมวลผลเป็นการชว่ั คราว ขณะเดียวกนั อาจมีคาสง่ั ใหน้ าผลลพั ธ์จากการประมวลผลดง่ั กล่าวไปแสดงผลผา่ นทางอุปกรณ์ผา่ น ทางอปุ กรณ์ของหน่วยส่งออก เช่น จอภาพ หรือ เครื่องพิมพ์ นอกจากน้ีเราสามารถบนั ทึกซอ้ มูลที่อยู่ ในอนาคต โดยการ อ่านขอ้ มูลที่บนั ทกึ ในสื่อดงั กล่าวผา่ นทางเครื่องขบั หรือไดร์ฟ (drive) การส่งผา่ น ขอ้ มูลไปยงั หน่วยต่างๆ ภายในระบบคอมพวิ เตอร์จะผา่ นทาง ระบบปัส (bus) อุปกรณ์ของหน่วย รับเขา้ และส่งออก จะเช่ือมต่อกบั ตวั เครื่องท่เี รียกวา่ ซิสเตม็ ยนู ิต (System unit) มี เคส (case) เป็นโครง ยดื ใหอ้ ปุ กรณ์ต่างๆประกอบกนั ภายในเคสจะมีเมนบอร์ด (Mainboard) เป็นแผนวงจรหลกั โดยซีฟี ยู หน่วยความจา การ์ด รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ จะถูกต่อกบั เมนบอร์ดน้ีท้งั สิ้น เทคโนโลยแี ละการส่ือสาร หมายถึง สิ่งทม่ี นุษยพ์ ฒั นาข้ึนเพือ่ ใชใ้ นการส่ือสารระหวา่ งกนั โดยการถ่ายทอด รับรู้ข่าวสาร ร่วมกนั ผา่ นเครื่องมือเหล่าน้นั ซ่ึงไม่จาเป็นตอ้ งเป็นเครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องจกั ร วสั ดุ เพยี งอยา่ งเดียว อาจหมายรวมถึงกระบวนการต่างทเ่ี กิดจากการประยกุ ตท์ างวทิ ยาศาสตร์ดว้ ย
5 ทกั ษะความเข้าใจและใช้เทคโนโลยดี จิ ติ ัล Digital literacy หมายถึง ทกั ษะในการนาเครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยดี ิจิทลั ทมี่ ีอยใู่ น ปัจจุบนั อาทิ คอมพวิ เตอร์ โทรศพั ท์ แทปเลต โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ และสื่อออนไลน์ มาใชใ้ หเ้ กิด ประโยชน์สูงสุด ในการสื่อสาร การปฏิบตั ิงาน และการทางานร่วมกนั หรือใชเ้ พอื่ พฒั นากระบวนการ ทางาน หรือระบบงานในองคก์ รใหม้ ีความทนั สมยั และมีประสิทธิภาพ ความสามารถสาหรับการรู้ดจิ ิทลั น้นั สามารถแบง่ เป็น 4 ส่วนที่สาคญั 1.ใช้ (Use) ความคล่องแคลว่ ทางเทคนิคที่จาเป็นในการใชค้ อมพิวเตอร์และอินเทอร์เนต็ 2.เขา้ ใจ (Understand) ช่วยผเู้ รียนเขา้ ใจบริบทและประเมินสื่อดิจิทลั เพ่อื ใหส้ ามารถตดั สินใจเก่ียวกบั อะไรบนโลกออนไลน์ 3.สร้าง (Create) ผลิตเน้ือหาและการสื่อสารอยา่ งมีประสิทธิภาพผา่ นเครื่องมือส่ือดิจิทลั ที่หลากหลาย 4.เขา้ ถึง (Access) การเขา้ ถึงและใชป้ ระโยชนจ์ ากเทคโนโลยดี ิจิทลั เป็นฐานรากในการพฒั นา ทกั ษะด้านดจิ ทิ ลั (Digital Skills) คือ ทกั ษะที่ใชใ้ นการทางานในยคุ ปัจจุบนั ทมี่ นุษยน์ ้นั จาเป็น จะตอ้ งพ่ึงเทคโนโลยใี นการทางานในหลากหลายระดบั ซ่ึงในยคุ น้ีมีความจาเป็นอยา่ งมาก โดยเฉพาะ ในยคุ ท่ีเทคโนโลยเี ติบโต และเขา้ มามีบทบาทในการทางานและวถิ ีชีวติ ของทกุ คน โดยทกั ษะดา้ น ดิจิทลั น้นั สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็นท้งั หมด 6 ดา้ น 1. เครื่องมือและเทคโนโลยี (Tools & Technologies) 2. การคน้ หาและการใชง้ าน (Find & Use) 3. การใหค้ วามรู้และการเรียนรู้ (Teach & Learn) 4. การส่ือสารและการร่วมมือ (Communication & Collaborate) 5. การสร้างสรรคแ์ ละนวตั กรรม (Create & Innovate) 6. การยนื ยนั ตวั ตนและสวสั ดิการ (Identity & Wellbeing)
6 ทกั ษะความเขา้ ใจและใชเ้ ทคโนโลยดี ิจิทลั มี 9 ดา้ น 1. การใชค้ อมพวิ เตอร์ 2. การใชอ้ ินเทอร์เน็ต 3. การใชง้ านเพอ่ื ความมนั่ คงปลอดภยั 4. การใชโ้ ปรแกรมประมวลผลคา 5. การใชโ้ ปรแกรมตารางคานวณ 6. การใชโ้ ปรแกรมการนาเสนองาน 7. การใชโ้ ปรแกรมสร้างสื่อดิจิทลั 8. การทางานร่วมกนั แบบออนไลน์ 9. การใชด้ ิจิทลั เพอ่ื ความมนั่ คงและปลอดภยั ประโยชน์ของการพฒั นา Digital Literacy 1. ทางานไดร้ วดเร็วลดขอ้ ผดิ พลาดและมีความมนั่ ใจในการทางานมากข้ึน 2. มีความภาคภมู ใิ จในผลงานทีส่ ามารถสร้างสรรคไ์ ดเ้ อง 3. สามารถแกไ้ ขปัญหาท่เี กิดข้ึนในการทางานไดม้ ีประสิทธิภาพมากข้ึน 4. สามารถระบทุ างเลือกและตดั สินใจไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพมากข้ึน 5. สามารถบริหารจดั การงานและเวลาไดด้ ีมากข้ึนและช่วยสร้างสมดุลในชีวติ และการทางาน 6. มีเคร่ืองมือช่วยในการเรียนรู้และเติบโตอยา่ งเหมาะสม 7. มีความทนั สมยั เปิ ดกวา้ ง และเป็นที่ยอมรับ ซ่ึงจะช่วยดึงดูดและรักษาคนรุ่นใหม่ที่มีศกั ยภาพ สูง มาทางานดว้ ย 8. ไดร้ ับความเชื่อมนั่ และไวว้ างใจ
7 วทิ ยาการคานวณ วทิ ยาการคานวณ (Computing science) เป็นวิชาทีม่ ุ่งเนน้ การเรียนการสอนใหเ้ ดก็ สามารถคิด เชิงคานวณ (Computational thinking) มีความพ้นื ฐานความรู้ดา้ นเทคโนโลยดี ิจิทลั (Digital technology) และมีพ้ืนฐานการรู้เทา่ ทนั ส่ือและข่าวสาร (Media and information literacy) ซ่ึงการเรียน วิชาการคานวณ จะไม่จากดั อยเู่ พยี งแค่การคิดใหเ้ หมือนคอมพวิ เตอร์เทา่ น้นั และไม่ไดจ้ ากดั อยเู่ พยี ง การคิดในศาสตร์ของนกั วทิ ยาการคอมพิวเตอร์ แต่จะเป็นกระบวนการความคิดเชิงวิเคราะห์เพือ่ นามาใชแ้ กป้ ัญหาของมนุษย์ โดยเป็นการสงั่ ใหค้ อมพิวเตอร์ทางานและช่วยแกไ้ ขปัญหาตามทีเ่ รา ตอ้ งการไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ การจดั การเรียนการสอนวชิ าวิทยาการคานวณ มีเป้าหมายที่สาคญั ในการพฒั นาผเู้ รียนกล่าวคือ เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนมีความสามารถใชท้ กั ษะการคิดเชิงคานวณในการคิดวเิ คราะห์ แกป้ ัญหาอยา่ งเป็น ข้นั ตอนและเป็นระบบ มีทกั ษะในการคน้ หาขอ้ มูลหรือสารสนเทศ ประเมิน จดั การ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และนาสารสนเทศไปใชใ้ นการแกป้ ัญหา เสามารถประยกุ ตใ์ ชค้ วามรู้ดา้ นวิทยาการ คอมพิวเตอร์ ส่ือดิจิทลั เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร ในการแกป้ ัญหาในชีวติ จริง การทางาน ร่วมกนั อยา่ งสร้างสรรคเ์ พอ่ื ประโยชน์ต่อตนเองหรือสงั คม และสามารถใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและ การสื่อสารอยา่ งปลอดภยั รู้เทา่ ทนั กระบวนการคิดเชิงคานวณ Computational Thinking กระบวนการแกป้ ัญหาแบบเป็นลาดบั และใชเ้ หตุผลอยา่ งมีตรรกะซ่ึงจะช่วยส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนมีทกั ษะ การคิด การวิเคราะห์ การแกป้ ัญหาที่เป็นระบบ และต่อยอดกระบวนการคิดเชิงคานวณสู่การ Coding มี ดงั น้ี 1. การแบง่ ยอ่ ยปัญหา (Decomposition) แบง่ ปัญหาหรือสิ่งต่างๆ ออกเป็นส่วนๆ เพ่ือใหง้ ่ายต่อ การแกป้ ัญหา 2.การคิดเชิงนามธรรม (Abstraction) สามารถมองและระบปุ ัญหาหลกั หรือสิ่งท่จี าเป็นได้ 3.การเขา้ ใจรูปแบบ (Pattern Recognition) หารูปแบหรือลกั ษณะสิ่งต่างๆทีม่ กั เกิดข้ึนเหมือนๆกนั 4.การออกแบบข้นั ตอน (Algorithm Design) ออกแบบลาดบั ข้นั ตอนของการแกป้ ัญหา
บรรณานุกรม หน้าทมี https://sites.google.com/ntun.ac.th/hamub5-7/home สารสนเทศและการสื่อสาร https://sites.google.com/view/pantirapensri/home วทิ ยาการคานวณ https://sites.google.com/ntun.ac.th/favorite/home ทกั ษะดจิ ทิ ลั https://sites.google.com/ntun.ac.th/nunnapat33/unit/Page1 ภาษาคอมพวิ เตอร์ https://sites.google.com/ntun.ac.th/naeem507/home
ภาคผนวก
Search
Read the Text Version
- 1 - 12
Pages: