2. ตวั ดาเนินการทางคณติ ศาสตร์(Arithmetic Operator) เป็นตวั ดาเนินการขอ้ มลู ดว้ ยการคานวณทางคณิตศาสตร์ ตัวอย่าง วทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 2
3. ลาดบั ก่อน/หลงั ของตวั ดาเนินการทางคณติ ศาสตร์ เมื่อมีการใชต้ วั ดาเนินการมากกวา่ 1 ตวั การดาเนินการจะตอ้ งเป็นไปตามลาดบั เช่น 1 + 4 × 5 จะไดผ้ ลลพั ธ์ 21 เพราะอินเทอร์พรีเตอร์จะทา 4 × 5 ก่อน แลว้ จึง + 1 แตถ่ า้ ตอ้ งการให้ 1+ 4 ก่อน จะตอ้ งเขียนนิพจนใ์ หม่เป็น (1 + 4) × 5 ตวั ดาเนินการทาง คณิตศาสตร์จึงมีลาดบั ในการทางานก่อนหรือหลงั ตามกฎต่อไปน้ี วทิ ยาการคานวณ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2
การเขียนโปรแกรมแบบลาดบั ?มลี กั ษณะอย่างไร วทิ ยาการคานวณ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 2
การเขียนโปรแกรมแบบทางเลือก รูปแบบโครงสร้างโปรแกรมทางเลือกมี 4 ประเภท ดงั น้ี และแบบทางเลือกเชิงซ้อน เป็ นรู ปแบบการทางานที่ ซบั ซอ้ น วทิ ยาการคานวณ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 2
การเขยี นโปรแกรม ?แบบทางเลือกคืออะไร วทิ ยาการคานวณ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2
1. ตัวดาเนนิ การเปรียบเทียบ เป็นตวั การที่นาขอ้ มูลมาเปรียบเทียบกนั ผลลพั ธ์ท่ีไดจ้ ะเป็นค่า boolean ไดแ้ ก่ จริง (True) หรือเทจ็ (False) ตวั อย่าง วทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 2
2. ตวั ดาเนินการตรรกะ เป็นตวั การท่ีนาขอ้ มูลมาเปรียบเทียบกนั ผลลพั ธ์ท่ีไดจ้ ะเป็นค่า boolean ไดแ้ ก่ จริง (True) หรือเทจ็ (False) ตัวอย่าง วทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2
3. โครงสร้างแบบทางเลือกทางเดยี ว ในภาษา Python จะมีการยอ่ หนา้ เพือ่ แบ่งบลอ็ กของโปรแกรมแต่ละส่วน ซ่ึงจะตอ้ ง กาหนดยอ่ หนา้ ใหต้ รงกนั และถูกตอ้ งตามลกั ษณะการทางาน วทิ ยาการคานวณ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 2
4. โครงสร้างแบบทางเลือกสองทาง วทิ ยาการคานวณ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 2
5. โครงสร้างแบบทางเลือกหลายทาง วทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 2
การเขียนโปรแกรมแบบวนซ้า เป็นลกั ษณะการเขียนโปรแกรมใหท้ างานซ้าตามจานวนรอบหรือตามเง่ือนไขท่ีกาหนด เรียกวา่ วนลูป (Loop) ซ่ึงมี 2 รูปแบบ คือ แบบ while และแบบ for 1. โครงสร้างวนซ้าแบบ while (while loop) เป็นคาสัง่ ที่กาหนดใหโ้ ปรแกรมทาซ้าขณะที่เงื่อนไขเป็นจริง ใหโ้ ปรแกรมทางานคาส่ัง หลงั while ถา้ เง่ือนไขเป็นเทจ็ จะออกจากการทาซ้าแลว้ ไปทาคาสั่งอื่น คาสัง่ while เหมาะกบั งานท่ีไม่ทราบรอบของการทาซ้าท่ีแน่นอน วทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2
2. การใช้คาส่ัง range() range() เป็นฟังกช์ นั ท่ีใชส้ ร้างลาดบั เลขตามขอบเขตที่กาหนด มีรูปแบบการใชด้ งั น้ี โปรแกรมและตวั อย่างผลลพั ธ์ วทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2
3. โครงสร้างวนซ้าแบบ for (for loop) คาสงั่ for เป็นคาสงั่ ท่ีกาหนดใหโ้ ปรแกรมทาซ้าดว้ ยจานวนรอบท่ีแน่นอน ถา้ ผลการ ตรวจสอบเงื่อนไขเป็นจริงจะทาคาสั่งหลงั for ถา้ เงื่อนไขเป็นเทจ็ จะออกจากการทาซ้า แลว้ ไปทางานคาสัง่ อ่ืน วทิ ยาการคานวณ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ท่ี 2
?การวนซ้ามลี กั ษณะไหนบ้าง วทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 2
?ฟังก์ชันคืออะไร วทิ ยาการคานวณ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 2
ฟังก์ชัน ฟังกช์ นั (Function) เป็นชุดคาสงั่ ที่มีหนา้ ท่ีทางานอยา่ งใดอยา่ งหน่ึง สามารถ เรียกใชง้ านกี่คร้ังกไ็ ด้ โดยไม่ตอ้ งเขียนโปรแกรมข้ึนมาใหม่ ประเภทของฟังก์ชัน 1. ฟังก์ชันจากไลบรารีมาตรฐาน เป็นฟังกช์ นั ท่ีถูกสร้างข้ึนโดยทีมผพู้ ฒั นาภาษาไพธอน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1) Built-in Functions เป็นฟังกช์ นั ท่ีถูกเกบ็ ในตวั แปลภาษา จึงสามารถเรียกใชไ้ ดท้ นั ที โดยไม่ตอ้ งอา้ งถึง 2) Library Functions เป็นฟังกช์ นั ที่สร้างโดยทีมพฒั นาโปรแกรมแลว้ จดั เกบ็ เป็นโมดูล ในไลบรารี ซ่ึงก่อนจะนามาใชง้ านตอ้ งเรียกโมดูลของฟังกช์ นั ท่ีตอ้ งการเขา้ มาก่อน ถึงจะ สามารถอา้ งอิงถึงโมดูลและเรียกชื่อฟังกช์ นั ท่ีตอ้ งการใชง้ าน วทิ ยาการคานวณ ช้ันมธั ยมศึกษาปี ที่ 2
ตวั อยา่ งการเรียกใชโ้ มดูล math ในไลบรารี มีดงั น้ี การเรียกใชฟ้ ังกช์ นั sqrt() จะตอ้ งมีชื่อโมดูลตามดว้ ย . แลว้ ใส่ช่ือฟังกช์ นั ที่ตอ้ งการ วทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศึกษาปี ท่ี 2
2. ฟังก์ชันทผี่ ู้เขียนโปรแกรมสร้างขนึ้ มาเอง เป็นฟังกช์ นั ที่นิยามข้ึนมาเพื่อใชเ้ อง จากน้นั จึงเรียกใชฟ้ ังกช์ นั ท่ีสร้างข้ึนในตาแหน่งถดั มา วทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 2
การกาหนดฟังกช์ นั เป็นการสร้างชุดคาส่ังเพ่ือนาไปเรียกใชใ้ นส่วนใดส่วนหน่ึง ของโปรแกรมไดบ้ ่อย ๆ โดยมีรายละเอียดดงั น้ี วทิ ยาการคานวณ ช้ันมัธยมศึกษาปี ที่ 2
Search