Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore unit9

unit9

Published by vanich.bu, 2017-07-23 22:48:28

Description: unit9

Search

Read the Text Version

1 บทที่ 9การเพม่ิ ผลผลติ โดยการพฒั นาบุคลากร (Productivity By Human Development)สาระการเรียนรู้ 1. การสรา้ งแรงจงู ใจในการทางานของพนกั งาน 2. การปรบั ปรุงสภาพการทางาน 3. การพฒั นาพนกั งาน 4. การสร้างสมั พนั ธท์ ่ีดีระหวา่ งนายจา้ งกบั พนกั งานผลการเรียนรู้ทค่ี าดหวงั 1. อธิบายการสร้างแรงจงู ใจในการทางานของพนกั งาน เพอ่ื การเพม่ิ ผลผลิตได้ 2. อธิบายการปรบั ปรุงสภาพการทางาน เพอ่ื การเพมิ่ ผลผลิตได้ 3. อธิบายการพฒั นาพนกั งาน เพอื่ การเพมิ่ ผลผลิตได้ 4. อธิบายสมั พนั ธท์ ีด่ ีระหวา่ งนายจา้ งกบั พนกั งาน เพอ่ื การเพม่ิ ผลผลิตได้ 5. ระดมสมองหาความตอ้ งการของมนุษยแ์ ต่ละข้นั ตอนของมาสโลว์ บุคลากรขององคก์ รนบั วา่ เป็ นทรัพยากรท่ีสาคญั ท่สี ุด ทจ่ี ะทาใหก้ ารดาเนินงานขององคก์ รประสบความสาเร็จตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ ดงั น้นั องคก์ รจะตอ้ งพฒั นาบคุ ลากรใหม้ ีคุณภาพ มีประสิทธิภาพ เพอ่ื เพมิ่ ผลผลิตในองคก์ ร การเพม่ิ ผลผลิตโดยบคุ ลากรมีดงั น้ี1. การสร้างแรงจูงใจในการทางานของพนักงาน แรงจูงใจ (Motivation) เป็ นเทคนิคของผบู้ ริหารหรือฝ่ายจดั การในระดบั ตา่ ง ๆ ท่ีจะเพมิ่ ประสิทธิภาพของงานใหม้ ากข้ึน โดยการกระตุน้ ปัจจยั ทางดา้ นบุคคล เพอื่ ใหค้ นหรือพนกั งานทุ่มเทความรู้ ความสามารถในการทางานในความรบั ผดิ ชอบของตนอยา่ งเตม็ ที่ และมีความจงรกั ภกั ดีตอ่ องคก์ ร การสร้างแรงจูงใจ หมายถึง การสร้างแรงผลกั ดนั ข้นึ ภายในตวั ของบคุ คล ให้บุคคลเกิดความตอ้ งการทางานดว้ ยความกระตอื รือร้นและดว้ ยความพยายามเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ(ปิ ยดา ดิลกปรีชากุล, 2545 : 259)

2 การสรา้ งแรงจงู ใจในการทางานมีหลายทฤษฎี แตโ่ ดยทว่ั ไปมกั จะศึกษาจากลาดับข้นั ความต้องการของมนุษย์ ของอบั ราฮมั มาสโลว์ (Abraham Maslow) ซ่ึงกล่าวถึง ลาดบัความตอ้ งการของมนุษย์ (Hierarchical Needs) เป็น 5 ข้นั คอื 1. ความต้องการทางกายภาพ (Physiological Needs) ไดแ้ ก่ อาหาร น้า ท่ีอยอู่ าศยัยารักษาโรค ซ่ึงเป็นความตอ้ งการอนั ดบั แรกของมนุษย์ ถา้ เป็ นพนกั งานในองคก์ รก็จะเป็นพนกั งานระดบั ล่าง 2. ความต้องการความปลอดภยั (Safety and Security Needs) ท้งั ทจี่ ะเกิดกบัร่างกายและ จติ ใจ รวมท้งั ความมน่ั คงในหนา้ ทกี่ ารงานและครอบครัว 3. ความต้องการความผกู พันธ์ในสังคม (Belonging and Social Needs) เป็นความตอ้ งการทางสงั คมของมนุษย์ ตอ้ งการความรกั การไดร้ บั การยอมรบั จากเพอ่ื นร่วมงานตอ้ งการเป็นส่วนหน่ึงของ สงั คมท้งั ทีบ่ า้ นและทท่ี างาน 4. ความต้องการเกียรตยิ ศช่ือเสียง (Esteem and Status Needs) ตอ้ งการใหค้ นอื่นเห็นความสาคญั ของตนเอง แสวงหาความมีชื่อเสียง ความดี เพอื่ ตอบสนองความรูส้ ึกทีม่ ีคุณคา่และความภูมิใจของตนเอง 5. ความต้องการพสิ ูจน์ตนเอง (Self Actualization and Fulfillment Needs)เป็นความตอ้ งการข้นั สูงสุดของมนุษย์ ทีต่ อ้ งการท่จี ะสรา้ งตนเองใหม้ ีชื่อเสียง ใหผ้ อู้ ื่นยกยอ่ งและตอ้ งการพสิ ูจนค์ วามสาเร็จของตนเองในป้ันปลายของชีวติ การทางาน สาหรับดักลาส แมคเกรเกอร์ (Douglas McGregor) ไดเ้ สนอทฤษฏี x และ yสาหรับการสร้างแรงจงู ใจ คือ ทฤษฎแี บบเก่า (ทฤษฏี x) กล่าวคือ มนุษยส์ ่วนมากมีนิสยั ไม่ชอบทางาน จะพยายามเล่ียง การทางานทกุ อยา่ งเทา่ ทโ่ี อกาสจะอานวย ถา้ ตอ้ งการใหม้ นุษยท์ างานอยา่ งมีประสิทธิภาพตอ้ งใชว้ ธิ ีการบงั คบั การควบคุมและการสง่ั การ และการลงโทษ ฯลฯ ทฤษฎีแบบใหม่ (ทฤษฏี y) กล่าวคือ การออกแรงหรือการใชส้ มองทางานเป็นของธรรมดา เช่นเดียวกบั การเล่นหรือการพกั ผอ่ น เพราะการทางานอาจเป็ นแหล่งทมี่ าของความพงึพอใจ หรือเป็นแหล่งที่ มาของการลงโทษกไ็ ด้ การควบคุมหรือการบงั คบั บญั ชาไม่เป็ นวธิ ีการที่จะทาใหก้ ารทางานบรรลุผลสาเร็จตามจดุ หมายที่วางไว้ มนุษยท์ กุ คนตอ้ งการทางานดว้ ยตวั เองจนบรรลุผลสาเร็จ การสรา้ งความพอใจในการทางานของมนุษยด์ ว้ ยการใหร้ างวลั ผลงานดีเด่นแตล่ ะบุคคล ฯลฯ จากทฤษฏีต่าง ๆ เหล่าน้ี ประกอบกบั การศกึ ษาวจิ ยั ในเรื่องของการจูงใจในการทางานของมนุษย์ องคก์ รมีวธิ ีการจูงใจพนกั งานในการเพม่ิ ผลผลิต ดงั น้ี

3 1. การตอบแทนการทางานเป็ นตวั เงนิ ในการทางานของพนกั งานในองคก์ รสามารถจา่ ย คา่ ตอบแทนเป็นตวั เงนิ เพอ่ื การเพมิ่ ผลผลิต มีดงั น้ี 1) การจ่ายเงินคา่ ตอบแทนตามผลงานเป็นรายช้ิน (Price- rate system)มีหลกั การทว่ี า่ พนกั งานคนใดทางานไดม้ ากช้ินกวา่ เกณฑข์ ้นั ต่าที่กาหนด กจ็ ะไดค้ า่ ตอบแทนในส่วนท่เี กิน 2) การจา่ ยตอบแทนตามมาตรฐานชวั่ โมงการทางาน (Standard hourPlans) มีหลกั การคลา้ ยกบั การจา่ ยคา่ ตอบแทนเป็ นรายชิ้น แตจ่ ะช่วยลดปัญหาการคานวณเพอ่ื จ่ายค่าตอบแทน หลกั การจ่ายค่าตอบแทนแบบน้ีจะกาหนดมาตรฐานชว่ั โมงการทางานแตล่ ะชิ้นงานไว้ถา้ พนกั งานทางานใชเ้ วลานอ้ ยกวา่ ก็จะบนั ทึกเวลามาตรฐานท่เี หลือไว้ เพอื่ นามาคานวณค่าตอบแทน 3) การจ่ายคา่ ตอบแทนเป็ นคา่ นายหนา้ (Commission) มกั จะใชจ้ ่ายคา่ ตอบแทน แก่พนกั งานขาย โดยอาจจะคิดเป็นเปอร์เซ็นตจ์ ากยอดขาย ยง่ิ ขายไดม้ ากกจ็ ะยงิ่ มีรายไดม้ าก ซ่ึงการจ่ายเงนิ อาจจะจ่ายเฉพาะค่านายหนา้ หรือจ่ายเงินเดือนรวมกบั คา่ นายหนา้แลว้ แตจ่ ะตกลงกนั 4) การแบ่งปันผลกาไรใหพ้ นกั งาน หรือจา่ ยโบนสั เมื่อส้ินปี บญั ชีขององคก์ รเช่น จา่ ย 1 – 3 เดือนของอตั ราเงนิ เดือนหรือค่าจา้ งของพนกั งานแตล่ ะคน นบั วา่ เป็ นการสร้างแรงจงู ใจใหพ้ นกั งาน มีความพยายามในการทางานเพมิ่ ข้นึ 5) การจ่ายเงนิ เพมิ่ พิเศษตามภาวะเศรษฐกิจ เช่น เงินเพมิ่ รายเดือน เมื่อสภาวะเศรษฐกิจสูงข้นึ พนกั งานและครอบครัวเกิดความเดือนรอ้ น ซ่ึงเงนิ เพม่ิ น้ีองคก์ รจะงดงา่ ยเม่ือสภาวะเศรษฐกิจ ลงลงเป็นปกติ 2. การตอบแทนที่ไม่ใช่ตัวเงนิ องคก์ รสามารถสร้างแรงจงู ใจใหพ้ นกั งานมีความกระตอื รือรน้ ในการเพม่ิ ผลผลิตได้ โดยไม่ตอ้ งจ่ายเป็นตวั เงินไดด้ งั น้ี 1) การจดั สวสั ดิการใหแ้ ก่พนกั งาน เช่น ทพ่ี กั อาศยั รถรบั – ส่งชุดทางานการรกั ษาพยาบาลฟรี สิ่งอานวยความสะดวกและความปลอดภยั ในการทางาน การตรวจสุขภาพประจาปี การสนบั สนุนอาหารกลางวนั การนนั ทนาการ เป็นตน้ ท้งั น้ีไม่ควรจะมีปริมาณและคณุ ภาพนอ้ ยกวา่ องคก์ รขา้ งเคียง 2) การขยายขอบเขตงาน (Job Enlargement) เป็นการขยายภาระงานใหม้ ากข้ึนเพอ่ื ใหพ้ นกั งานไดใ้ ชค้ วามรู้ ความสามารถท่มี อี ยอู่ ยา่ งเตม็ ที่ ซ่ึงจะทาใหพ้ นกั งานไม่เกิดความเบือ่ หน่าย ลดความจาเจในการทางาน

4 3) การสบั เปลี่ยนหมุนเวยี นงาน (Job Rotation) เป็ นการเปิ ดโอกาสให้พนกั งานไดม้ ีโอกาสไดไ้ ปทางานในหนา้ ทอ่ี ่ืน ๆ ทาใหเ้ กิดการเรียนรู้และมีความกระตือรือรน้ ในการทางานเพมิ่ ข้นึ และเป็ นการเตรียมบุคลากรในระดบั สูงขององคก์ รต่อไปในอนาคต 4) การเล่ือนระดบั หรือเล่ือนตาแหน่ง ถา้ องคก์ รมีระบบการเล่ือนตาแหน่งทเ่ี ป็นธรรมเนน้ ความรู้ ความสามารถของพนกั งาน มีการวดั ผลงานท่ีชดั เจน ยอ่ มจะทาใหพ้ นกั งาน ทุ่มเทความรู้ ความสามรถในการทางานท่ีตนเองรบั ผดิ ชอบอยา่ งเตม็ ท่ี ซ่ึงเป็นไปตามหลกั ของมาสโลวน์ ้นั เอง ดงั น้นั ผลผลิตขององคก์ รยอ่ มเกิดข้นึ จากความพยายามของพนกั งาน 3. การลงโทษ (Punishment) สาหรับพนกั งานท่ีทาผดิ กฎระเบียบขององคก์ รนบั วา่ เป็ นการสร้างแรงจูงใจอีกแบบหน่ึง แตค่ วรจะนามาใชเ้ ป็ นวธิ ีการสุดทา้ ย เพราะพนกั งานท่ีมีความชานาญและอยกู่ บั องคก์ รมานานยอ่ มจะมีคุณค่าตอ่ องคก์ รมาก ถา้ พนกั งานเหล่าน้นั ถูกลงโทษหรือลาออกจากองคก์ รยอ่ มจะกระทบต่อผลผลิตขององคก์ รท้งั ดา้ นคุณภาพและปริมาณ 4. การจูงใจวิธีอนื่ ๆ เช่น ความมีชื่อเสียงขององคก์ ร การยอมรบั องคก์ รของประชาชาชนในชุมชนน้นั ๆ หรือคุณคา่ ของงานที่ทา เป็ นตน้2. การปรับปรุงการสภาพการทางาน (Working Condition Improvement) การเพม่ิ ผลผลิตโดยการปรบั ปรุงสภาพการทางานมีดงั น้ี 1) ปรับปรุงสภาพแวดล้อมในการทางาน ไดแ้ ก่การปรบั ปรุงในเร่ืองของ - แสงสวา่ งท่ีเหมาะสมกบั ลกั ษณะงานทีป่ ฏิบตั ิ - อุณหภมู ิที่เหมาะสมกบั งานท่ปี ฏบิ ตั ิ - การระบายอากาศ ท้งั เพอ่ื การปรับอุณหภมู ิภายในร่างกายของพนกั งานและการระบายอากาศทม่ี ีมลพษิ ออกไปจากสถานทท่ี างาน - สภาพทางเดินภายในโรงงานทเ่ี หมาะสมกบั งานท่ีปฏิบตั ิ - การใชเ้ คร่ืองจกั รและอุปกรณ์ในการเคล่ือนยา้ ยวสั ดุที่เหมาะสม - การติดต้งั เครื่องจกั รในกระบวนการผลิตที่เหมาะสมและไม่เกิดอนั ตรายตอ่ ผปู้ ฏบิ ตั ิงาน - ความสะอาด ความเป็นระเบียบภายในองคก์ ร ทไี่ ม่ทาลายสุขลกั ษณะของพนกั งาน - อาคารสถานท่ี สาหรับนนั ทนาการของพนกั งาน เช่นหอ้ งอาหาร หอ้ งพกั ผอ่ นทอี่ อกกาลงั กาย เป็นตน้ ตอ้ งมีเพยี งพอ

5 การจดั สภาพแวดลอ้ มภายในโรงงานหรือองคก์ ร จะตอ้ งมีมาตรฐานไม่นอ้ ยกวา่ ท่ีกฎหมายทเี่ ก่ียวขอ้ ง เช่น กฎหมายแรงงาน ประกาศกระทรวงแรงงานฯ เก่ียวกบั การคุม้ ครองแรงงาน ทก่ี าหนดไว้ 2) ปรับปรุงสภาพการทางานท่ีเหมาะสมกบั พนกั งาน หรือเลือกพนกั งานใหเ้ หมาะสมกบั งานที่ทา เช่น ความเหมาะสมของโตะ๊ เกา้ อ้ีที่นง่ั ทางาน ช้นั เกบ็ วสั ดุอุปกรณ์ช้ินส่วนอะไหล่ท่ีพนกั งานจะเก็บได้ ความสูงของพนกั งานหรือเครื่องจกั รทีจ่ ะทางานไดส้ ะดวกและปลอดภยั วธิ ีการเคล่ือนยา้ ยวสั ดุอุปกรณ์ ท่สี ะดวกและปลอดภยั เช่น ใชร้ ถเขน็ วสั ดุหรือรถยกเป็ นตน้ ถา้ สิ่งตา่ ง ๆ เหล่าน้ีไม่เหมาะสม คนงานจะเกิดความเม่ือยลา้ เร็วเกินไป การทางานจะขาดประสิทธิภาพรวมท้งั อาจเกิดอุบตั เิ หตไุ ด้ 3) ปรับปรุงด้านความปลอดภยั ในการทางาน ถา้ มีอบุ ตั ิเหตเุ กิดข้นึในองคก์ ร ความสูญเสียตา่ ง ๆ จะตามมา เช่น ตอ้ งหยดุ กระบวนการผลิต มีความผดิ ตามกฎหมายเสียค่ารักษาพยาบาลหรือคา่ ทดแทนแก่พนกั งาน เบ้ยี ประกนั ภยั จะสูงข้ึน ชื่อเสียงขององคก์ รไม่ดีพนกั งานไมม่ น่ั ใจในการทางาน ทาให้ ผลผลิตลดลง ดงั น้นั จงึ ตอ้ งมีการป้องกนั ไม่ใหเ้ กิดอุบตั ิเหตุโดยดาเนินการดงั น้ี - จดั หาอุปกรณ์ป้องกนั อุบตั ิเหตสุ ่วนบคุ คล เช่น แวน่ ตานิรภยัถุงมือ หมวกนิรภยั รองเทา้ นิรภยั เป็นตน้ เพอ่ื ใหพ้ นกั งานสวมใส่ขณะปฏิบตั ิงาน - ปรับปรุงอุปกรณ์ป้องกนั อุบตั ิเหตทุ ่ตี ิดต้งั มากบั เคร่ืองจกั รหรือจดั ทาเพม่ิ เตมิ ให้สามารถป้องกนั อุบตั เิ หตไุ ด้ - สรา้ งแรงจูงใจใหก้ บั พนกั งานในการป้องกนั อุบตั ิเหตรุ ่วมกนั - ฝึกอบรมพนกั งานทกุ คน ใหม้ ีความรู้ ความเขา้ ใจ มีทศั นคติที่ดีตอ่ การป้องกนั อุบตั ิเหตุ - ประสานงานกบั หน่วยงานภายนอกในการป้องกนั อุบตั ิเหตุ - ติดตามและนิเทศใหพ้ นกั งานทุกระดบั ปฏบิ ตั ติ ามมาตรการป้องกนั อุบตั เิ หตุท่ีองคก์ รกาหนดอยา่ งเคร่งครดั3. การพัฒนาพนกั งาน การพฒั นาพนกั งานมีวตั ถุประสงคท์ ี่จะใหพ้ นกั งานมีความรู้ ความเขา้ ใจ มีทกั ษะในการทางาน ที่รบั ผดิ ชอบ และมีทศั นคตทิ ดี่ ีตอ่ องคก์ ร ต่องานหรือต่อการเปล่ียนแปลงตา่ ง ๆ ที่

6เกิดข้ึนภายในองคก์ ร ซ่ึงจะมีผลทาใหพ้ นกั งานสามารถทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ มีความกระตอื รือร้นและมีทศั นคติท่ีดีและถูกตอ้ ง การพฒั นาพนกั งานมีวธิ ีตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1) การฝึ กอบรม (Training) เป็นการใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจและทกั ษะในงานทพี่ นกั งานรับผดิ ชอบ จนถึงระดบั ความเช่ียวชาญในเร่ืองทฝี่ ึกอบรม โดยการใหพ้ นกั งานไดฝ้ ึกปฏิบตั ิในสถานการณ์จาลองในระหวา่ งการฝึกอบรม และการใหพ้ นกั งานไดฝ้ ึกปฏิบตั งิ านจริงในองคก์ รโดยมีพเ่ี ล้ียงคอย แนะนาอยา่ งใกลช้ ิด สาหรับหวั ขอ้ ที่ควรฝึกอบรมพนกั งาน เช่น วธิ ีการปฏบิ ตั งิ านใหม่ วิธีการใช้เครื่องจกั ร เคร่ืองมือใหม่ ความปลอดภยั ในการทางาน หรือการทบทวนวธิ ีการทางานของแต่ละแผนกหรือฝ่าย ตลอดจนการใชเ้ ทคโนโลยใี หม่ ๆ เป็ นตน้ วธิ ีการฝึกอบรมมีหลายวธิ ี เช่น (ปรับปรุงจากกลุ ธน ธนาพงศกร, 2543 : 486) (1) การบรรยาย (Lecture) เป็ นการถ่ายทอดความรู้ ความคดิ และประสบการณ์ จากบุคคลหน่ึงหรือหลายคนทเี่ รียกวา่ วทิ ยากร ใหก้ บั พนกั งานทมี ีจานวนคร้งั ละมากๆ ฟัง ซ่ึงวทิ ยากรจะตอ้ งมีความสามารถในการพดู การเล่าเรื่อง มีบุคลิกภาพท่ดี ีจงึ จะทาใหผ้ ฟู้ ังสนใจ (2) การประชุมอภปิ ราย (Conference) เป็ นการถ่ายทอดความรู้ ความคิดและประสบการณ์อกี วธิ ีหน่ึง แตจ่ ะใชว้ ทิ ยากรคร้ังละหลายคน พลดั เปล่ียนการพดู การเล่าเรื่องหรือแสดงความคดิ เห็นในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง โดยมีผนู้ าอภปิ รายเป็นประธาน วธีการฝึกอบรมแบบน้ีผเู้ ขา้อบรมหรือพนกั งานมีโอกาสร่วมแสดงความคิดเห็นดว้ ย (3) วธิ ีการศึกษากรณตี วั อย่าง (Case study) เป็นการฝึกอบรมทีว่ ทิ ยากรจะนาเอากรณีตวั อยา่ งทเ่ี กิดข้ึนจริงหรือเหตุการณ์สมมติ มาใหผ้ เู้ ขา้ ฝึกอบรมไดแ้ สดงความคิดเห็นไดอ้ ยา่ งอิสระ เป็นการดึงเอาประสบการณ์ทมี่ ีอยใู่ นตวั พนกั งานทมี่ ีอยอู่ ยา่ งมากมายออกมา ทาให้พนกั งานมีคามรูค้ วามเขา้ ใจในปัญหาน้นั ๆ มากยง่ิ ข้ึน (4) วิธีการสัมมนา (Seminar) เป็นการสร้างความรู้ ความเขา้ ใจและการแลกเปล่ียนประสบการณ์ของผเู้ ขา้ อบรม เหมาะกบั ระดบั ผบู้ ริหาร โดยเชิญวทิ ยากรทีม่ ีความรู้ความเช่ียวชาญในเรื่องตา่ ง ๆ มาใหค้ วามรู้และประสบการณ์ผเู้ ขา้ อบรม หวั ขอ้ ทีค่ วรจดั ประชุมสมั มนา เช่น หลกั การเพม่ิ ผลผลิต นโยบายใหม่ขององคก์ ร การพฒั นาระบบงาน กฎหมายดา้ นแรงงาน การบริหารคุณภาพในองคก์ ร การสรา้ งความเป็น ผนู้ า เป็นตน้ (5) วธิ ีการระดมสมอง (Brainstorming) เป็ นการฝึกอบรมที่กาหนดหวั ขอ้เร่ืองโดยเฉพาะเร่ืองท่ีมีปัญหายงุ่ ยาก แลว้ ให้ผเู้ ขา้ ฝึกอบรมซ่ึงเป็ นผทู้ มี่ ีความเช่ียวชาญในเรื่องน้นั

7จริง ๆ ไดใ้ ชส้ มอง หรือแสดงความคดิ เห็นของตนเองทมี่ ีอยอู่ ยา่ งเตม็ ท่ี โดยไม่มีการขดั ขวางความคดิ เห็นจากผเู้ ขา้ อบรมคนอื่น ๆ (6) วธิ ีการทดลองเรียนงาน (Understudies) เป็นการใหผ้ เู้ ขา้ ฝึกอบได้ทดลองปฏิบตั งิ านในตาแหน่งงานน้นั โดยมีวทิ ยากรคอยใหค้ าแนะนาอยา่ งใกลช้ ิด เหมาะกบั การฝึกอบรมเพอื่ เลื่อนตาแหน่งงานใหม่ของพนกั งานหรือผบู้ ริหาร (7) วิธีการสอนแนะ (Coaching) เป็นการฝึกอบรมที่ใหผ้ เู้ ขา้ อบรมไดล้ งมือปฏบิ ตั ิจริงในเรื่องน้นั ๆ โดยมีวทิ ยากรหรือผเู้ ชี่ยวชาญควบคุมการปฏบิ ตั ิอยา่ งใกลช้ ิด ทาใหผ้ เู้ ขา้อบรมสามารถปฏบิ ตั งิ านไดจ้ ริง (8) วิธีการสร้างสถานการณ์จาลอง (Simulation) เป็นการฝึกอบรมท่ใี หผ้ ู้เขา้ อบรมไดล้ งมือปฏบิ ตั ใิ นสถานการณ์ทีค่ ลา้ ยของจริงมากทส่ี ุด เช่น การฝึกขบั รถยนตใ์ นสนามจาลอง การฝึกขบั เครื่องบินในหอ้ งจาลอง หรือการฝึกอาบน้าใหเ้ ด็กโดยใชต้ ุก๊ ตาแทน เป็ นตน้ (9) วิธีการแสดงบทบาทสมมติ (Role playing) เป็นการฝึกอบรมทใ่ี หผ้ ู้เขา้ อบรมไดล้ งมือปฏบิ ตั ิตามบทบาทหนา้ ทท่ี ี่จะฝึกอบรม เช่น การแสดงบทบาทของหวั หนา้ งาน ผู้เขา้ ฝึกอบรมจะตอ้ งสวมบทบาทการเป็นหวั หนา้ งานอยา่ งเตม็ ท่ี ซ่ึงจะทาใหเ้ กิดความรู้ ความเขา้ ใจและมีทกั ษะในการเป็นหวั หนา้ งานอยา่ งดี เม่ือมาเป็ นหวั หนา้ งานจริง ๆ ก็จะปฏิบตั ไิ ดท้ นั ที โดยไม่ตอ้ งมาเสียเวลาเรียนรู้งานใหม่ (10) วธิ ีการสาธิต (Demonstration) เป็นการฝึกอบรมทีใ่ หผ้ เู้ ขา้ อบรมไดล้ งมือปฏิบตั งิ านจริงหรือเสมือนจริงตามลาดบั ข้นั ตอนทถ่ี ูกตอ้ ง โดยมีวทิ ยากรคอยใหค้ าแนะนา นอกจากน้ียงั มีวธิ ีการอื่น ๆ เช่น การศกึ ษาดูงานนอกสถานท่ี การทดลองเรียนงาน เป็นตน้ 2) การให้การศึกษา (Education) เป็นการพฒั นาพนกั งานในระยะยาว เพอ่ื ใหม้ ีความรู้ ความเขา้ ใจและมีทกั ษะในการทางานเพมิ่ มากข้นึ โดยส่งไปศึกษาตอ่ ท้งั ในหลกั สูตรการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน เพอ่ื ยกระดบั การศึกษาของพนกั งานใหส้ ูงข้นึ หรือส่งไปศกึ ษาหรือฝึกอบรมในหลกั สูตรทีจ่ าเป็นในการทางานของ องคก์ ร หรือเพอ่ื เตรียมบคุ คลในการรบั ตาแหน่งระดบั สูงข้ึน โดยประสานงานกบั หน่วยงานทางการศกึ ษาหรือสถาบนั การฝึกอบรมเฉพาะทาง ท้งั หน่วยงานของรัฐและเอกชน รวมท้งั ของตา่ งประเทศเป็ นตน้ 3) การพัฒนา (Development) เป็ นการใหค้ วามรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องทว่ั ๆ ไปแก่พนกั งาน เพอ่ื ใหม้ ีความรู้ ความเขา้ ใจในสังคม เศรษฐกิจการเมืองการปกครอง การพฒั นาตนเองใหม้ ี คุณภาพชีวติ

8ที่ดีข้นึ ไม่วา่ จะดว้ ยวธิ ีการประชาสมั พนั ธใ์ นหน่วยงาน การจดั กิจกรรมตา่ ง ๆ ในหน่วยงานการศึกษาหาความรูด้ ว้ ยตนเอง การเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม รวมถึงการจดั ประชุมสมั มนาท่กี ล่าวมาแลว้ สาหรับองคก์ รท่ใี ชร้ ะบบบริหารคุณภาพ เช่น QCC หรือ ISO 9000 จะตอ้ งมีการพฒั นาบคุ ลากรอยา่ งตอ่ เนื่องตามขอ้ กาหนดอยแู่ ลว้ ดงั น้นั องคก์ รจงึ มีการเพมิ่ ผลผลิตอยู่ตลอดเวลา4. การสร้างสัมพันธ์ทด่ี ีระหว่างนายจ้างหรือองค์กร กบั พนักงาน สาหรบั องคก์ รขนาดใหญท่ ่มี ีพนกั งานจานวนมาก องคก์ รเปิ ดโอกาสใหพ้ นกั งานไดร้ วมกลุ ่มกิจกรรมเพอื่ รักษาสิทธิของตนเอง หรือสมคั รเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ใหพ้ นกั งานมีสิทธิตามที่กาหนด ในกฎหมายแรงงานสมั พนั ธ์ รวมท้งั ฝ่ายบริหารหรือแผนกบคุ ลากรขององคก์ รจะตอ้ งลงมาคลุกคลกี บั พนกั งานในบางโอกาส เพอ่ื จะไดร้ ับทราบปัญหาของพนกั งานรวมท้งั เป็นการสรา้ งความสมั พนั ธท์ ี่ดีระหวา่ งองคก์ รกบั พนกั งาน พนกั งานมีการสรา้ งสรรคใ์ นการทางานดีข้นึ อนั เป็นผลดีตอ่ การเพมิ่ ผลผลิต5. การพัฒนาตนเองของพนักงานหรือผู้บริหารเพื่อให้สามารถทางานร่วมกับผู้อ่ืนได้ การพฒั นาตนใหเ้ ขา้ กบั เพอ่ื ร่วมงาน หรือผบู้ ริหารท่ีตอ้ งการจะเป็ นผทู้ ีม่ ีมนุษย์สมั พนั ธท์ ดี่ ีกบั เพอ่ื นร่วมงาน ควรตรวจสอบและพฒั นาตนเองดงั น้ี (เชาว์ โรจนแสง, 2544 : 621) 1) การเป็ นกนั เอง 2) ยม้ิ อยเู่ สมอ 3) จาช่ือและเรียกช่ือผอู้ ่ืนบอ่ ย ๆ 4) สนใจในกิจกรรมของเพอ่ื นร่วมงาน 5) ไม่ถอื ตวั ไม่ยกตนขม่ ท่าน 6) หลีกเล่ียงการใชส้ ิทธิพเิ ศษ 7) สุภาพ เรียบร้อย 8) ตรงตอ่ เวลา 9) ร่วมมือและทางานดว้ ยความเตม็ ใจ 10) ปฏิบตั ติ ามคาขอรอ้ ง 11) ทาตามสญั ญา 12) พจิ ารณาบคุ คลในแง่ดี 13) ใหเ้ กียรตผิ รู้ ่วมงาน 14) ฟังดว้ ยความต้งั ใจ

915) ไม่แสดงอานาจหรืออวดรู้16) หลีกเลี่ยงการแตกแยกในหมู่คณะ17) อยา่ ถกเถียงถึงปัญหา18) ช่วยประนีประนอมเม่ือมีความคดิ ขดั แยง้19) มีความจริงใจ20) มองประโยชน์องคก์ รมากกวา่ ประโยชน์ส่วนตน


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook